หลวงปู่พุทธะอิสระ - แสดงธรรม และปุจฉาวิสัชนา (๑)
บวชเนกขัมมะ เพื่อสุขภาพ เนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา
วันเสาร์ที่
12
กรกฎาคม 2568 เวลา 9.00 น.
(Live)
ณ
ศาลาปฏิบัติธรรม วัดอ้อน้อย(ธรรมอิสระ) อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
https://www.facebook.com/buddha.isara/videos/1280896090056174/
เจริญธรรมเจริญสุข
สาธุชนคนใฝ่ดีที่รักทุกท่าน วันนี้เข้าสู่วันที่ ๓ ของการบวชเนกขัมมะ ปฏิบัติธรรม
เนื่องในกิจกรรมวันอาสาฬหะ วันบูชาใหญ่ที่พระบรมศาสดา ทรงแสดงปฐมเทศนา แล้วก็แรม ๑
ค่ำเดือน ๘ คือเมื่อวานนี้ ก็เป็นวันเข้าปุริมพรรษา เป็นวันอธิษฐานพรรษาของพระภิกษุสงฆ์องค์สามเณรทั่วโลก
ไม่ว่าจะอยู่ในซีกโลกไหน เมใอวานนี้ก็ทุกวัด ทุกสำนักสงฆ์ทุกที่พักสงฆ์
พระภิกษุทุกรูป ต้องอธิษฐานพรรษา ก็อย่างอภิปรายความไปเมื่อวานว่า อธิษฐานก็คือการตั้งจิต
ให้สัจจะ อธิษฐานมีทั้งส่วนตนและทั้งส่วนรวม นี่ส่วนตนก็ต่างคนต่างทำ
ส่วนรวมก็คือทำต่อหน้าพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีพระมหาเถระ อนุเถระ และพระหนุ่มเณรน้อย
นั่งร่วมเป็นสักขึพยาน ส่วนใหญ่เค้าก็จะทำในพระอุโบสถ หรือในวิหาร
ในสถานที่ที่ทำสังฆกรรม ในขณะที่ทำก็มีการแจ้งบุพกิจ คือกิจเรื่องที่จะทำเบื้องต้น
ก่อนจะเข้าอธิษฐาน แล้วก็หลังจากอธิษฐานแล้ว เรียกว่าเป็นบุพกิจข้อวัตรปฏิบัติที่พึงกระทำ
ในการอยู่ร่วมกัน ในการเข้าพรรษา
แล้วก็ อธิษฐานส่วนตนก็อาจจะไม่ได้อยู่ในวัด
หรือบางองค์ท่านยังติดภารกิจ เดินทางยังมาไม่ถึงวัด อยู่ตามคามนิคมชนบท
อยู่ในป่าในถ้ำ ท่านก็อาจจะอธิษฐาน จำพรรษาเฉพาะตนอยู่ในถ้ำ ในคูหา
ในป่าเขาลำเนาไพรแล้วแต่ อย่างนี้เรียกว่าอธิษฐานพรรษาส่วนตน ไม่มี ไม่มีวัดอยู่
แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว ตามกฎหมายมหาเถรสมาคมนี่เค้าก็ ต้องมีสังกัด
ไอ้คำว่ามีสังกัดนี่ ถ้าว่ากันตามกฎหมายก็คือ ให้ขึ้นทะเบียนว่าสังกัดอยู่วัดไหน
แต่ว่าในระหว่างพรรษาอาจจะมีเหตุเภทภัย หรือไม่ก็จำเป็นเดินทางมาไม่ได้
ยังติดอยู่ในป่าอยู่ในถ้ำ ก็อาจจะทำได้ แต่ก็ต้องไม่ทิ้งการอธิษฐานพรรษา อันอธิษฐานการเข้าพรรษา
และพรรษานี่มีอยู่ ๒ กรณี มีพรรษาแรก
ก็คือแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ กับพรรษาที่ ๒ ก็ยืดเวลาไปอีก ๑ เดือน และยืดเวลาไปอีก ๑
เดือนก็ประมาณ เดือน ๙ คือเข้าพรรษาที่ ๒ พรรษาที่ ๒ นี้ไม่มีสิทธิรับกฐิน
แต่พรรษาแรกจึงจะมีสิทธิรับกฐิน เพราะอานิสงส์กฐิน ก็คือ ก่อนจะถึงเพ็ญกาลเดือน ๑๒
สิ้นสุดเขตกฐิน แต่พอไปเข้าพรรษา ๒ เนี่ยะ มันออกพรรษามันเลยกลางเดือน ๑๒ ไปแล้ว
ก็รับกฐินไม่ได้แล้ว อย่างนี้เป็นต้น
สมัยก่อนจำได้
หลวงปู่ก็เคยไปติดอยู่ในป่า ไม่ใช่ติดอยู่ในป่า เดินอยู่ในป่า ก็จพรรษาที่ ๒
ก็ไม่ได้รับกฐินไปปีนึง แต่ตอนนั้นรู้สึกจะไปแถวอีสาน ไปแถวทุ่งคำชะอี ไปเทือกเขาภูพาน
ก็เพลิดเพลินเจริญใจจนลืมวันลืมคืนลืมเดือน มารู้อีกทีก็ อ้าว นี่มันเค้าเข้าพรรษากันแล้วนี่
อย่างนี้เป็นต้น เราก็ต้องมาอธิษฐานพรรษาเข้าพรรษาที่ ๒ ก็เป็นเดือน ๙ กลางเดือน ๙
แล้วเราก็จะออกพรรษาก็ต้องเลยเดือน ๑๒ ไปแล้ว ซึ่งมันหมดเขตรับกฐินแล้ว อย่างนี้
ก็การรับกฐิน ไอ้รับกฐินก็เป็นกฐินทาน
เป็นกฐินกรรม ซึ่งเป็นวินัยบัญญัติที่กำหนดไว้ชัดเจน ปีนี้วัดอ้อน้อยเราก็มีการรับกฐิน
เมื่อวานประกาศไปรึยัง?...วันไหน?...วันเสาร์ที่ (๑ พฤศจิกายนค่ะ)...อืม
เราจะรับกฐินกันวัน วันเสาร์ที่ ๑ พฤศจิกา เอ๊ะ วันอาทิตย์ต้นเดือน ใช่มั้ย? อ้าว
แล้ววันอาทิตย์ก็ต้องมีรักษาไข้ (ใช่ค่ะ) อื้อ ไม่เกรงใจกูเลยนะ พวกมึงเนี่ยะ เล่น
๒ วันเลย รับกฐิน แล้วรุ่งขึ้นก็รักษาไข้ ใครว่ายิ่งแก่งานน้อย กูนี่ยิ่งแก่งานก็ยิ่งเยอะ
เมื่อคืนถึงขนาดฝันซ้อนฝันเลยอ่ะ ฝันซ้อนฝันยังไง มันพิสดารพันลึกความฝันกู
เป็นไข้ ไข้ขึ้น มันอักเสบ ไข้ตัวร้อน พอเป็นไข้ตัวร้อนแล้วเราก็จำวัด จำวัดก็
ไปไหนก็ไม่รู้ ไป เดินเข้าไปในหมูบ้าน มีผู้คน บ้านก็ปลูกกันห่างๆ เป็นหลังๆๆๆๆ ดูสงบเงียบดี
บ้านส่วนใหญ่ก็ปลูกด้วยไม้ แบบบ้านโบราณ เข้าไปลึกหน่อยลึกหน่อยก็
มันมีเค้าเรียกว่าสำนัก สำนัก...พระภิกษุณี ไปเจอสำนักพระภิกษุณี เราก็
ก็มีเสียงคนนิมนต์ว่า นิมนต์เจ้าข้า นิมนต์เจ้าข้า เราก็เข้าไป ไอ้สำนักภิกษุณีนี้ก็แปลก
ไม่ได้ ไม่ ไม่ เป็นกุฏิเป็นหลังๆ แต่ก็ทำเป็น เป็นเหมือนปราสาท เปิดประตูเข้าไป
ชั้นแรกนี่ อ้าว ผู้หญิงนั่งนอนกันเต็มไปหมด แบบนุ่งห่มโบราณแล้ว เค้าก็บอกว่า อ้อ
ไม่ใช่ค่ะ อ้าว เราก็ขออภัย เข้าผิดห้องเว้ย นึกในใจว่า เอ๊ะ นี่มันสำนักอีกอล์ฟเปล่าว่ะ
หะหะหะ เอ่อ เอาไปฝันน่ะ มึงรู้มั้ย? อีกอล์ฟ เนี่ยะเอากูไปฝันเลยล่ะ
ใช่มั้ย? อีกอล์ฟรึเปล่า? ดูมัน กิริยาท่าทางยั่วยวนเหลือเกิน
เราก็เอา ออกมาจากห้อง ขออภัย
ขึ้นไปชั้นบนปราสาท อ้อ ต้องยอดปราสาทถึงได้เห็นพระภิกษุณี ระหว่างทางที่ขึ้นไป
มันก็มีการกำลังประดับประดาตกแต่งก่อสร้างนู่นนี่นั่นอะไร เราก็ไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่งถึงยอดปราสาท
ก็ไปเจอพระภิกษุณีคุ้นเคยกัน รู้จักกัน คุ้นเคยกัน ก็โอภาปราศรัย พูดคุย
มีอยู่ช่วงหนึ่งน่ะ มีพระภิกษุณีเฒ่า แกอายุมากแล้วล่ะ ก็ป่วยไม่สบาย
ป่วยไม่สบายเค้าก็ให้ทำยาให้ เราก็ไม่รู้จะเอายาอะไรมาทำให้ ก็หันไปซ้ายขวา
ก็ไปเจอต้นว่าน เอ้อ ยานี้มันแก้ลมหอบได้ แก้ลมหอบก็คือแกเป็นลมหอบหืดน่ะ ก็เอามาฝนๆกับฝาละมี
แล้วก็ยื่นให้ บอกว่าเนี่ยะ กินยานี่แล้วเดี๋ยวจะหายหืดหอบ แล้วก็อยู่ไปนั่งคุยกัน
แกกินยาเสร็จเราก็นั่งเฝ้าดูอาการ เฝ้าดูอาการแล้วก็ เอ้อ แกก็ดีขึ้นไม่หอบไม่หืด ไม่เหนื่อยแล้ว
ก็จะกลับ ก็ มีลูกศิษย์พระภิกษุณี ที่เป็นฆราวาส ทั้งผู้หญิงผู้ชายเค้าก็มา
มาดึงเอาไวเ บอกว่าอย่าพึ่ง อย่าพึ่ง อยู่ก่อน อย่าพึ่งกลับ เราก็บอก เฮ้ย
เดี๋ยวมันจะเข้าแล้ว ก็จะกลับแล้ว เอ่อ ไม่ให้กลับ ไม่ให้กลับก็ ระหว่างนั้นก็มีคนเอาน้ำมาถวาย
ก็ฉันน้ำ น้ำมันเป็นเหมือนกับคล้ายๆน้ำใบเตย แต่ไม่ใช่น้ำใบเตย
กลิ่นมันเหมือนกับดอกขจร เข้าใจว่าเป็นน้ำต้มดอกขจร น้ำดอกสลิดน่ะ ไม่รู้ว่า
รู้จักรึเปล่า? เอ้อ ดอกขจรดอกสลิดน่ะ กินเข้าไปแล้วรู้สึก อื้อ มัน มันสวิงสวาย
มันมึนๆงงๆ มันจะกระชุ่มกระชวยก็ไม่ใช่ มันอะไรก็ไม่รู้ เราก็ เออ แต่ก็เฉยๆ
ไม่ได้อะไรมาก หรือว่าเราเป็นฤทธิ์พิษไข้ก็ไม่รู้ มีอาการคล้ายกัน
เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ จะกลับแล้ว
ก็ยังไม่ให้กลับอีก ดึงอยู่นั่นแหละ บอกอยู่ก่อน อยู่ก่อนก็ อือ ไม่ไหวแล้วล่ะ
จะกลับแล้วเดี๋ยวมันจะเช้าแล้วนี่ เสียงไก่ตัวแรกมันขันแล้ว แหม
แต่พระยังไม่ได้ตีระฆัง ไก่ตัวแรกขันก็ประมาณตี ๓ พระตีระฆังประมาณตี ๔ อะไรประมาณนี้
แล้วก็ ไม่เอาแล้ว กลับ กลับเค้าก็หันซ้ายหันขวาไปคว้าเอาต้นสมุนไพรต้นนึง
ซึ่งมันอยู่ในกระถางสีทอง เอามาให้ เราก็ เอ้ย เดินทางไกล จะมาแบกกระถางต้นไม้
มีต้น เหมือนกับจะเป็นต้นบอน แต่มันก็ไม่ใช่ต้นบอน แต่ดอกและต้นใบมันเป็นกลากๆ
เหมือนกับว่ามีแป้งหยดใส่ เป็นจุดๆๆๆๆ แล้วมันต้น แต่รู้ว่าเป็นสมุนไพร
ก็บอกว่าเอาวางไว้ดีกว่ามั้ยล่ะ แบกเอาไปนี่มันจะเกะกะ เดี๋ยวจะหาว่า
เรามาช่วยแล้วก็จะมาเอาของตอบแทน ก็เลยวาง วางไว้ก็หันไปร่ำลากันเสร็จเรียบร้อย
อีกคนเค้าก็บอก ท่านอย่าลืมเอากระถางสมุนไพรไปด้วย ก็หันมาดู อ้าว
มันมีแต่กระถางแล้วสมุนไพรหายไปไหน? ก็เผอิญมีผู้ชายคนหนึ่ง ค้าก็เดินเข้ามาบอก
แล้วก็กระซิบข้างหู สมุนไพรน่ะ ผมใส่ไปในกระเป๋าอังสะท่านแล้ว เอ้อ เราก็ว่า อ่ะ
เอามาทำไมอ่ะ? กระถางอยู่ตรงนั้นแต่สมุนไพรมาอยู่ในกระเป๋าอังสะ เรา
มันใส่ตอนไหนวะ เรายังนึกอยู่ว่า เอ๊ะ นี่มันใส่กระเป๋าอังสะกูตอนไหน?
ก็ตบๆดูมันก็ตุงๆ ก็ เออ เฉยๆ แล้วก็เดินไปสักพักก็มานึก ไม่เอาได้มั้ยอ่ะ? ก็เดินกลับไปหาใหม่
บอกว่า เอาคืนไป ถ้าท่านไม่เอาเนี่ยะไอ้ที่มันหายไปจากกระถางเนี่ยะ คนเค้าจะมองว่าท่านขโมยไปนะ
เออ ดูมันขู่กูว่ะ เพราะว่าอีตอนที่กูหันไปมอง สมุนไพรมันก็หายไปจากกระถางจริงๆ
คนทั้งนั้นเค้าก็รู้กันหมดว่า เอ่อ มันหายไปไหน ทุกคนก็โวยวาย เฮ้ย ใครเอาสมุนไพรไป
ใครเอาสมุนไพรไป แต่มันมาแอบใส่กระเป๋าอังสะเรา เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พอเราไปบอกมัน
บอกว่า เฮ้ยกูไม่เอาแล้ว มันก็สวนกลับมาบอกว่า ถ้าท่านไม่เอาไป
เดี่ยวคนเค้าก็จะรู้ว่ามัน ท่านขโมยไปนะ แล้วแถมท่านโกหกด้วย
คนเค้าจะมองว่าท่านโกหก เพราะขโมยสมุนไพรใส่กระเป๋าอังสะไป เราก็จำยอมต้องเอาไป
เอาไปก็ ตอนนั้นมันอยู่บนยอดปราสาท
มองไปทางประตูที่จะออก เอ๊ะ ยอดปราสาททำไมมันมีทางถนนด้วยวะ? เราก็เลยถามว่า
ลงทางนี้ได้มั้ย? เค้าก็บอก ไปได้เนี่ยะ ลงไปทางนี้ได้ เอ้า ไม่ต้องลงไปชั้นล่างเหรอ
ไม่ต้อง นี่ออกไปทางยอดปราสาทนี่ ลงไปทางถนน เดินไปตามทางที่มีน่ะ ไปต่อเชื่อมถนน
เราก็รู้สึกตงิดตงิด เคืองใจใจว่า ไอ้ห่านี่ มันบังคับให้เราเอาสมุนไพร
แล้วมันก็ยังมาขู่เราอีก ไม่เอามันก็บอกว่าเดี๋ยวเราโกหก จะขโมย อ่า
ถือว่าเป็นขโมย ถ้าเอามาเราก็จะกลายเป็นว่า เห็นแก่ได้เพราะว่าไปช่วยเค้าไว้ เอาของมาตอบแทน
รับของตอบแทนมา ก็แสดงว่าเราไม่ได้ช่วยด้วยความจริงใจ ช่วยเพราะอยากได้สมุนไพร
พออกมาจากตรงนั้นปุ๊บนี่ กูก็โยนสมุนไพรทิ้ง พ้นจากปราสาทมา โยนสมุนไพรทิ้ง
แล้วก็กะว่าจะไปละ เอ๊ รู้สึกมันหมดเรี่ยวหมดแรงไปเลย เอ ทำไง หันไปดู เอ๊อะ
ทางมันหายไปไหน ทางมันหายไหน ก็มีคนเดินผ่านมาในเส้นทางนั้นพอดี ก็ถามเค้าว่า เอ๊ะ
ไอ้ปราสาทตรงเนี๊ยะ มันหายไปไหนอ่ะ? เค้าก็เลย ไอ้คนๆนั้นก็เลยบอกว่า อ๋อ
สงสัยท่านจะไปโดนพิษบังบดเค้าแล้วล่ะ พิษบังบดคืออะไร? เอ้า มันทำให้ท่านเห็นว่า
ช้างเนี๊ยะ ข้างในป่าทึบเนี่ยะ มันมีปราสาทใหญ่ มีหลายคนเข้าไปแล้วก็ไม่ได้ออกมา
ท่านเนี่ยะถือว่ามีบุญน๊า ออกมาได้ แต่ว่าแล้วทำไงอ่ะ? ก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว
ไม่สบาย ตัวร้อนเป็นไฟ จะกลับเข้าไป ถามว่าเอายาไปมห้กิน เอาน้ำอะไรให้ดื่ม
ทำไมเราถึงรู้สึกตัวร้อนเป็นไฟ เลยบอกว่า ไอ้คนๆนั้นก็เลยบอกว่า
คงจะยากแล้วล่ะท่าน ถ้าจะเข้าไป ลองเข้าไปดูก็ได้ แต่คงจะหาไม่ได้ล่ะมั้ง
เพราะเจ้าของเค้าไม่ให้หา เราก็ไม่เชื่อมัน ก็เดินเข้าไปควานหาในป่า โอ๊ มองไม่เห็นเว้ย
ปราสาท บ้านหมู่บ้านหลังใหญ่ๆ มันหายไปไหนหมด ออกมาอีกรอบหนึ่ง เอ้า
หาปราสาทไม่เจอ หาหมู่บ้านไม่เจอ มาหาสมุนไพรที่โยนทิ้ง เอ้า หายไปไหน
สมุนไพรก็หายอีก เอ่ ก็ไปเจออีตาคนนั้นอีก แกก็ยืน ถามว่า ท่านหาอะไรอ่ะ?
หาสมุนไพรสิ เอ้า ท่านได้สมุนไพรมาด้วยเหรอ? ใช่ เค้าให้สมุนไพรมา แต่มันขู่
มันขู่ว่าถ้าไม่เอามา ก็จะหาว่าเราขโมย แต่ถ้าเราสำนึก เราเอามา เราก็จะกลายเป็นคนที่ช่วยคนอื่น
เพราะหวังผลตอบแทน ก็เลยโยนมันทิ้ง อ้าว ต่ายแล้วมันหายไปแล้วนี่ หาไม่เจอ
ก็เดินวนอยู่อย่างนั้นน่ะ ไข้ก็ขึ้น เอ้ เรามาเจอพิษบังบดเข้าไป เราจะแก้ยังไง ถามเค้าว่าจะมียาแก้มั้ย?
อีตาคนนั้นก็บอก ยาไม่มีหรอกท่าน ท่านต้องไปเอาจากที่น่ะ เค้ามียาแก้ในตัวเค้าเอง
ถ้าท่านอยากหายก็ต้องไปหายาแก้ เราก็เลย เอ้อ กูจะมาตายก็ตอนนี้ซะล่ะมังว้า ก็เดินวนอยู่แถวนั้น
เข้าไปอีกรอบหนึ่งก็ไม่เจอไอ้หมู่บ้าน ไม่เจอปราสาท เอ้า ตายก็ตาย ไม่ยาก
แต่ตัวมันก็ร้อน เดินออกมา โอ๊ มหัศจรรย์ ไอ้ข้างทางมีต้นไอ้สมุนไพร
ที่กูโยนทิ้งน่ะ อู๊ ขึ้นดาดเดื่อนเต็มไปหมดเลย เป็นแถวเลย เอ๊ กูก็มาทางนี้
เมื่อกี้ดูก็เข้าทางนี้ เข้าออกอยู่ตั้งหลายรอบ ทำไมกูไม่เห็น
แต่เที่ยวนี้ยอมตายมันเลยเห็น เอ้า ก็เลยเก็บเอามา เก็บสมุนไพรมา โปรดติดตามตอนต่อไป....
แต่แล้นแต่แล้นแต่แล้น...เหอ แหมตั้งใจฟัง
ชะเง้อ ชะเง้อคอฟังเลยมึง เอ้อ แต่มันก็เป็นฝันซ้อนฝันลูก ขณะที่ฝันนะ ขณะที่กูฝัน
กูก็รู้นะว่ากูนอนไข้กินนะ กูก็รู้สึกไม่สบายนะ นอนไข้กระสับกระส่าย น้ำขวดเนี่ยะ
วางอยู่บนหัวนอนน่ะ ๔ ขวดน่ะ ฉันหมด ๔ ขวดหมด เอ้า มันเอาอีก ๒ ขวด หมด เอ้อ
ร้อนมาก ตัวร้อนมาก ทุรนทุรายมาก ออกมาเอา หาน้ำฉันอีก ๒ ขวด ขณะที่ก็ฝันน่ะ
กูออกมาหาน้ำ ขณะที่ฝันก็เดินออกมา ฝันเดินออกมาก็มาเจอน้ำ แต่มันไม่ได้อยู่ในขวด มาเจอน้ำที่เค้าใส่ไว้ในคนโท
วางไว้ตามทางเราก็คว้าขึ้นดื่ม เอ้อ ดับร้อนภายในกายได้ แต่ก็มีแรงมกำลัง
แล้วก็เดินหาสมุนไพรมันต่อไปอีก สุดท้ายมาเจอ เจอเราก็ดึงเอามาแค่ต้นเดียว ว่า
นึกว่าเอาละ ยอมตายมาเจอยารักษาแล้ว ได้ยาละ หันกลับไปมองอีกทีนึง เนี่ยะ
เจอคนยืนอยู่เป็นแถวเลยในป่าน่ะ โบกมือ บ๊ายบาย สลอนเลย โบกมือ เอ้อเว้ย
ก็เข้ามาในเมืองบังบดตั้งแต่เมื่อไหร่? มาได้ยังไง? เออ แต่มันก็ยังมี มีพระ
แต่ไม่ใช่พระภิกษุ มีพระภิกษุณี ยังมีศาสนา ชาวบ้านเค้าก็อยู่กันอย่างสงบสุข
ประตูหน้าต่างก็ไม่ปิด เดินไปแต่ละบ้านแต่ละบ้าน ก็มใทรัพย์สินศฤงคารวางกันเกลื่อนกล่น
ไม่มีใครกลัวว่าใครจะขโมยของใคร โจรไพรไม่มี ก็ยังได้คุยกับชาวบ้าน ตอนขากลับว่า
เอ้า นี่ประตูไม่ปิด แล้วบ้านช่องทิ้งเงินทองไว้เยอะแยะ ไม่กลัวหายเร๊อะ? เค้าบอก
ไม่หายหรอก ไม่เคยมีใครหาย ไม่เคยมีของใรหาย หมูหมากาไก่วัวควายก็ไม่ต้องมีคอก ของตัวเอง
ถึงเวลาตกเย็นมันก็เข้าคอกมัน เหมือนกับว่ามันจะรู้
ไก่เป็ดอะไรทั้งหลายเค้าเลี้ยงสารพัด แต่ไม่มีใครไปบังคับบัญชา แล้วก็ เอ้า ถามมัน
อันนี้เลี้ยงไว้กิน? ไม่กินหรอกจ้ะ อ้าว แล้วเลี้ยงไว้ทำไมอ่ะ? มันตายแล้วถึงกิน
เอ้า แล้วไม่ฆ่าเหรอ? ฆ่าไม่ได้จ้ะ? เพราะว่าถือศีล ๕ อ้อ เค้าถือศีล ๕
กันทั้งหมู่บ้าน อาหารการกินที่ได้จากเนื้อสัตว์ ก็ต้องรอมันหมดอายุขัย ตายเอง
แล้วจึงจะเอาเนื้อมันมากิน กุ้งหอยปูปลาก็เหมือนกัน และมันตายเองแล้วถึงจะกิน
ไม่มีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
โอ๊ ก็มานั่งนึก หมู่บ้านอย่างนี้มันดีนะ
ทำยังไงมันจะให้มัน มันอยู่ใกล้ๆวัดอ้อน้อย วัด เอ่อ กูคิดไปถึงขนาดนั้นขนาดนี้เลยนะ
ว่าหมู่บ้านแบบนี้ทำไมมันไม่อยู่ใกล้ๆวัดอ้อน้อย อย่างน้อยกูก็ไม่ต้องมาเทศน์หาเงินล่ะวะ
เพราะว่าไอ้เงินทองนี่มันวางเกลื่อนกล่นไปหมด โอ๊ มันว่างกันดื่น ดาษดื่น เหมือนกับก้อนหินก้อนกรวดก้อนทราย
ดูไม่มีค่า ไม่มีราคา ทองเป็นก้อนๆก้อนๆ วาง ไม่มีใครหยิบ มีใครเห็น หรือมันมองไม่เห็นคุณค่า
แล้วข้าวในนานี่ ส่งกลิ่นหอมยังกะกลิ่นธูปควันเทียน น่ะ ทั้งที่มันยังอยู่ในนานะ
ยังไม่ได้เกี่ยว กลิ่นหอมหึ่งไปหมด แหนะ ดอกม้งดอกไม้บานสะพรั่งเต็มไปตามลำต้น
เดินชมนกชมไม้ไปเรื่อย จนกว่าจะถึงยอดปราสาท เรายังมานึก หือ
นี่มันเป็นโลกของเมืองบังบดหรือเปล่า? หรือว่าเป็นเมืองลับแล
เมืองของเหล่าอธิสมานกายชั้นล่าง ที่เค้ามีบุญพาวาสนาส่ง อยู่รวมกัน เกิดในกลุ่มของพวกกัลยาณมิตร
ปฏิบัติในกัลยาณธรรม จึงรวมกันเป็นกัลยาณชน แน่ะ อยู่กับแบบไม่อนาทรร้อนใจ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน
ไม่มีภัยไม่มีพิษกับใคร
กลับมาพอได้สมุนไพร เดี๋ยวเค้าจะว่า แหม ได้มาแล้วทำไง?
ก็เอามาฝัน ฝนกับฝาละมี เอามาฝนกับฝาละมี รู้จักฝาละมีมั้ย เอ่อ ไม่ใช่สามีนะ ฝาละมีก็คือฝาหม้อดินน่ะ
โบราณน่ะเค้าเรียกฝาละมี จะเอามาฝน เอ่อ แล้วก็เอาน้ำเติม แล้วก็ดื่ม โอ มันโล่ง ตั้งแต่ลำคอลงไป
จนถึงปลายเท้า ปลายมือปลายเท้ามันเหมือนกับ ความเย็นรมันเข้าไปขับความร้อนออก เห็นเป็นสายพุ่งออกมาหมด
สบายขึ้น แน่ะ สบายตัวขึ้น ไข้เข้ยหาย อาการปวดหลังก็บรรเทาเบาบาง แล้วก็ยังมานึก
แหม่ รู้งี้ก็เก็บมาสักกำมือก็ดี เอ้อ ยังนึกถึงขนาดนี้น่ะ รู้งี้จะเก็บมาซักดกำมือนึง
เอามาไว้รักษาโรคชาวบ้าน เออะ ชีวิตรอดกฌบุญแล้ว มักน้อยดันหยิบมาแค่ต้นเดียว
จนมันขึ้นดาษดื่นเต็มไปหมดเลยนะ อีตอนที่ตั้งใจไปหา หาไม่เจอ แต่หมดอาลัยตายอยาก
ก็ตายแน่ เสือกเจอ เต็มไปหมด ไอ้ตรงนั้นเราก็เดินผ่านหบายรอบ มันกลับไม่เห็น
เพราะตอนนั้นไม่อยากตาย อยากอยู่ไง แต่พออยากตายขึ้นมา มันกลับโผล่ขึ้นมาให้เห็น
เอ้อ เล่าให้พวกมึงฟังไว้ก็
เพื่อให้เห็นว่า บางทีบางครั้งน่ะ อะไรที่มันปลงใจปลงจิตปลงสังขาร ปลงร่างกายเนี่ยะ
สิ่งที่ไม่คาดคิดมันก็เกิดขึ้นได้ ถ้าไม่รู้จักปลงเสียบ้างเนี่ยะ อะไรๆมันก็ไม่เกิด
แล้วเกิดได้ยาก เนี่ยนะ โบราณเค้าจึงจะสอนให้ลูกหลานได้รู้จัก ปลงซะบ้าง รู้จักปลงแล้วมันจะเห็นคำตอบ
แต่ถ้าไม่รู้จักปลง มันหาคำตอบไม่เจอ มันตันแน่นอยู่ยังงั้น เพราะตัณหามันบดบังหมด
กูไม่อยากตาย กูอยากอยู่ กูอยากมีชีวิต กูอยากรอด มันก็เลย มองไม่เห็น สิ่งที่จะมาแก้ปัญหาได้
ก็ตัวกูมันใหญ่มันค้ำ บิดบัง ปิดบังลูกกะตา ปิดบังญาณปัญญา
มันฝันเหมือนไม่ได้ฝันว่ะ
เมื่อคืนเนี๊ยะ แล้วกูก็มานั่งนึกเมื่อเช้า ลุกขึ้นมากูก็ เอ หรือเมื่อคืนนี้
เมื่อวานนี้ กูไปกิน ไปขอหมาก คุณตาฤาษีกิน ไปคำนึงวะ มันก็ไม่น่าใช่นะ อือ อ้ะ
จบ. วันนี้เค้ามีพิธีกร เชิญ.
(ต่อ
2)
https://www.facebook.com/watch/live/?ref=watch_permalink&v=1280896090056174
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น