หลวงปู่พุทธะอิสระ - แสดงธรรม และปุจฉาวิสัชนา (๒)
บวชเนกขัมมะ เพื่อสุขภาพ เนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา
วันเสาร์ที่
12
กรกฎาคม 2568 เวลา 9.00 น.
(Live)
ณ
ศาลาปฏิบัติธรรม วัดอ้อน้อย(ธรรมอิสระ) อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
https://www.facebook.com/buddha.isara/videos/1280896090056174/
พิธีกร: กราบนมัสการองค์หลวงปู่พุทธะอิสระนะครับ
แล้วก็สวัสดีญาติธรรมวัดอ้อน้อยทุกท่านนะครับ สำหรับในวันนี้ผมแสตมป์ ภควรรณ
เกดกานดาจะรับหน้าที่ดำเนินการเป็นพิธีกร ในตลอดทั้งวันนี้ ทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่ายนะครับ
โดยในช่วงเช้าผมจะดำเนินรายการในเรื่องเกี่ยวกับ “กระจกจริยธรรม”นะครับ แล้วก็ในช่วงบ่ายจะเป็นในเรื่องของปุจฉา
วิสัชนานะครับ
สำหรับช่วงเช้านะครับเราได้รวบรวมคำถามจากทางsocial
mediaและจากAI ในเรื่องประเด็นสังคมและกระจกจริยธรรมนะครับ
ประมาณ ๒๐-๒๕ คำถามนะครับ โดยประเด็นแรกนะครับ มีคำถามอยู่ว่า ถ้าสังคมทางโลกบอกว่า
สิ่งหนึ่งถูก แต่หัวใจเรารู้สึกว่ามันผิด จริยธรรมควรจะอยู่ข้างๆไหนครับ?
หลวงปู่พุทธะอิสระ: ไอ้คำว่าจริยธรรมเนี่ยะ
มันเป็นบรรทัดฐานของโลก ว่าสังคมที่ตกลงปลงใจเชื่อและยอมรับมัน
เพราะฉะนั้นถ้าเอาตัวเองมาเป็นบรรทัดฐาน ก็ไม่ใช่ประมวลจริยธรรมที่ชาวโลกเค้ายอมรับ
ฉะนั้นจริยธรรมก็ตาม กฎหมายก็ตาม ธรรมเนียมปฏิบัติ กฎเกณฑ์กติกา จารีตประเพณี
มันเป็นสิ่งที่สังคมเค้าสร้างขึ้นแล้วก็ยอมรับ เพราะเห็นพ้องต้องกันว่า
อันนี้คือหลักปฏิบัติ นั่นแหละคือความหมายของคำว่าประมวลจริยธรรม
แต่ถ้าเมื่อใดที่เราบอกว่า
เอาความถูกใจกูเป็นหลัก แล้วไม่สนใจส่วนรวม ไม่สนใจความเห็นของสิ่งแวดล้อมเนี่ยะ
ไอ้ยังงั้นน่ะ มันละเมิดจริยธรรม ไม่ถูกต้อง จบ.
พิธีกร: สาธุครับ. คำถามที่ ๒ นะครับ พระสงฆ์ควรทำตัวเป็นกระจกสะท้อนจริยธรรมให้สังคม
หรือควรเป็นแต่นำทางให้สังคมครับ?
หลวงปู่พุทธะอิสระ: ไม่ต้องไปสะท้อนให้คนอื่นหรอก สะท้อนตัวเองให้พ้นจากอีกอล์ฟให้ได้เหอะลูก
ไอ้ที่ ไอ้ที่อยู่โดยไม่สะท้อนตัวเองเนี่ยะ มันก็เลยอีกอล์ฟมันก็เลยลากเอาไปกินไง
นี่เห็นว่าเล่นไป ๑๑ เทพแล้วอ่ะมั้ง? ไม่ใช่น้อยนะมึง
ยังไม่รู้จะขุดไปเจออีกเท่าไหร่? แต่กูแน่ใจว่าไม่มีวัดอ้อน้อยหรอก
เพราะวัดอ้อน้อยไม่มีเทพ มีแต่มาร
เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่ไปจ้องที่จะทำมาตรฐานจริยธรรมให้คนอื่นเค้า
เอาตัวเองเป็นหลักก่อน ทำตัวเองให้มันดูแล้ว งดงาม ไพบูลย์ เหมาะสม ควรต่อการยกย่องสรรเสริญ
บูชากราบไหว้ให้ได้ก่อน ไหว้ตัวเองได้ บูชาตัวเองถูก ยอมรับตัวเองสนิท แล้วจึงจะไปให้คนอื่นเค้าไหว้
อย่างสนิทใจนั่นน่ะถูกต้อง จบ.
พิธีกร: สาธุครับ.
หลวงปู่ ขออนุญาตสอบถามประเด็นเมื่อกี้เพิ่มเติมครับ ถ้าปกติเนี่ยะ ในคนทั่วไปน่ะครับ
ฆราวาสเนี่ยะ มักจะคิดว่าเวลาขาดที่พึ่งทางใจในสังคมเนี่ยะ
มักจะต้องไปหาพระสงฆ์อ่ะครับหลวงปู่ เพื่อที่จะชี้นำ
ชี้นำทางให้ในการเข้าสู่พุทธศาสนา หรือว่าให้มีที่พึ่งทางใจ แล้วอย่างกรณีเนี๊ยะ
แม้กระทั่งเกิดตัวพระสงฆ์เองยังไม่สามารถนำทางได้ หยั่งงี้ในฐานะประชาชนหรือชาวบ้านทั่วไป
เราควรที่จะไปหาที่พึ่งจากตัวเอง หรือว่าจะไปพึ่งพระสงฆ์ดีกว่ากันอ่ะครับ?
หลวงปู่พุทธะอิสระ: พึ่งตัวเองไง พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกเลยว่าต้องไปพึ่งคนอื่น
ไม่งั้นพระองค์จะสอนได้ไงว่า อัตตาหิ อัตตะโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าก็ต้องทำตามที่พระพุทธเจ้าสอน
จะไปเชื่อผีห่าซาตานที่ไหน ต้องไปพึ่งนู่นนี่นั่นอะไรเยอะแยะ เลอะเทอะ ทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนนั่นแหละถูกต้องแล้ว
อัตตาหิ อัตตะโนนาโถ ทำตัวเองให้เป็นพึ่งของตัวเอง ให้ได้ให้ดีที่สุดนั่นแหละ
แล้วมันพึ่งได้ตลอดเวลา ถ้าไปหวังพึ่งหลวงพี่หลวงพ่อหลวงน้าหลวงน้องหลวงตาหลวงลุง
ก็ต้องพึ่งได้บางเวลา ช่วงไหนหลวงพี่นอนก็ไปยุ่งกะแกไม่ได้ เดี๋ยวแกก็ตวาดตะเพิดเอา
ช่วงไหนแกฉันข้าวก็ไปวุ่นวายกะแกไม่ได้ แกกำลังเมามันเอร็ดอร่อย
เพราะยังวงั้นสรุปแล้ว พึ่งตัวเองน่ะดีที่สุด ใครที่สอนว่าให้พึ่งพระสงฆ์นั่นไม่ถูกต้องแล้ว
ไอ้นั่นมันพวกนอกรีตสอนแล้ว ถ้าพึ่งตัวเองเนี่ยะ ใครที่สอนพึ่งตัวเองได้น่ะ นั่นล่ะคือสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
จบ.
พิธีกร: สาธุครับ.
หลวงปู่พุทธะอิสระ: สมัยก่อนจำได้ตอนบวชใหม่ๆเนี่ยะ ไม่มีโยมอุปัฏฐาก ป่วย บวชมาก็ป่วย
นอนอยู่วัดคลองเตย วันไม่ได้ฉันข้าว
เพราะว่าปกติพระใหม่เค้าต้องมีคนส่งข้าวส่งน้ำก่อน ๓ วัน ๕ วัน ก่อนจะบิณฑบาตเองได้
แต่เราหนีเค้าบวชไง หนีพ่อแม่ไปบวช ก็เลยไม่มีใครอุปถัมภ์อุปัฏฐาก
ก็นอนแหม่บอยู่ในกุฏิ แล้วก็ป่วยด้วย ไม่สบายด้วย เค้าเรียกโรคแพ้ผ้าเหลืองรึไงก็ไม่รู้
สุดท้ายได้ยินพระพุทธรูปน่ะ นอนหายใจรวยริน ๓ วัน คิดดูไม่ได้...
ไม่ได้ฉันข้าวด้วย มันรู้สึกยังไง ดื่มแต่น้ำ ดื่มแต่น้ำ
แล้วพระข้างๆเค้าก็ไม่มีใครสนใจใคร พระในเมืองในกรุงเนี่ยะ
ตัวใครตัวมันไม่ได้อยู่แบบอาทร เหมือนพระชนบท
นอนหายใจรวยริน เอ๊
กูจะตายแหล่ไม่ตายแหล่ น้ำตาไหลพรากๆ หันไปมองพระพุทธรูป เป็นพระนาคปรกองค์เล็กๆอยู่ในโต๊ะหมู่บูชา
ได้ยินเสียงหลวงพ่อท่านพูดว่า อัตตาหิ อัตตะโนนาโถ เอ้อ
ตอนนั้นยังไม่รู้หรอก บวชใหม่ๆ ๓ วัน ๕ วันเอง ก็เลยไปถามหลวงตา หลวงตา อัตตาหิ
อัตตะโนนาโถ นี่มันแปลว่าไรอ่ะ? แกก็บอกว่า เอ้า ตนเป็นที่พึ่งของตนไง เหรอ
เอ้อ ตนเป็นที่พึ่งของตน อย่างงั้นก็แสดงว่า พระพุทธเจ้าสอนให้เราพึ่งตัวเอง ก็มีกำลังวังชา
ลุกขึ้นสรงน้ำสรงท่านุ่งสบงทรงจีวร รุ่งขึ้นเช้าก็ออกไปบิณฑบาตด้วยลำแข้งตัวเอง
ได้ข้าวมาครึ่งบาตรมั้ง แน่ะ อาหารขนมก็ฉันจนหมดเลยล่ะ เพราหลายวันไม่ได้ฉันข้าว
แล้วตั้งแต่นั่นมา ไม่เคยคิดหวังพึ่งใครเลย พึ่งลำแข้งตัวเอง ขอ ๒ ขายืนได้ ๒
มือทำได้ ๑ ตัวตั้งมั่น ๑ หัว ก็คิดออก ไม่มีเรื่องอะไรที่บอกแล้วทำไม่ได้หรอก
แค่เนี๊ยะ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ จบ.
พิธีกร: สาธุครับ.
คำถามข้อที่ ๓ นะครับ ถ้าคำพูดความจริงของเราทำให้มีคนต้องตาย
เราจะยังควรพูดความจริงนั้นหรือไม่ครับ?
หลวงปู่พุทธะอิสระ: อื้อ
พูดความจริงแล้วทำให้คนตาย
พิธีกร: เช่นเราอาจจะพูดว่า
อ่า คนๆเนี๊ยะ กำลังป่วยเป็นโรคมะเร็งขั้นสุดท้าย แล้วที...
หลวงปู่พุทธะอิสระ: ตายซะ.
พิธีกร: แล้วทำให้จิตใจ...
หลวงปู่พุทธะอิสระ: ถ้ากูไปเยี่ยมไข้ คนไข้เป็นมะเร็ง ระยะสุดท้าย กูจะพูดเลย อยู่มานานรึยัง?
นานแล้วค่ะ เอ้า เตรียมตัวได้แล้ว ไปละนะ จบ.
พิธีกร: หรืออย่างในกรณีหนึ่ง
อย่างเงี๊ยะ...
หลวงปู่พุทธะอิสระ: รุ่งขึ้นตายเลย ก็ไม่เห็นต้องบาปอะไร มันจะตายอ่ะ ทำไมล่ะ?
เราไม่ได้เป็นคนทำให้มันตายนิ่ มันอยากตายเอง จะบอก อู๊ย ไม่เป็นไรเดี่ยวก็หายแล้ว
ทำใจดีๆ สบายๆ อ้าว โกหกเขา ตอแหล ก็คนมันจะตาย ยังไงมันก็ต้องตาย
ก็ไปบอกให้เตรียมตัวตาย ก็จบแล้ว ต้องไปโอ้ฌลม ปฏิโลมอะไร วันนี้แขกตอนเช้ามา พ่อหมอแม่หมอลูกก็หมอ
หมอทั้งบ้าน แต่ลูกเป็นหมอที่ไม่ คือพ่อแม่controlตลอด
เลยหันไปด่าพ่อแม่บอก มันโตจนอายุขนาดนี้แล้ว มึงยังไปชี้นำมัน ต้องเป็นยังงั้นต้องเป็นยังงี้
คิดแบบนั้นคิดแบบนี้ มึงคิดว่ามึงจะชี้มันได้กี่วัน อายุเข้าไปแจะ ๓๐ แล้ว
ยังเลี้ยงไม่รู้จักโต ยังงี้เรียกว่า พ่อแม่รังแกลูก ไม่ได้คิดจะทำให้ลูกแข็งแรง
ด้วยลำแข้งตัวเอง ยืนหยัดตัวเองไม่ได้ ต้องให้พ่อแม่คอยชี้นำตลอดเวลา มึงอย่าลืมนะ
อาชีพหมอนี่ เป็นคนตัดสินใจเรรวน รวนเรไม่มั่นใจตัวเอง กลัว กล้าๆกลัวๆ กลัวๆกล้าๆ
โดยเฉพาะไอ้หมอเฉพาะทางนี่ มันรักษาคนหายได้ที่ไหน มีแต่คนตาย
เพราะมันต้องอาศัยการตัดสินใจของผู้เป็นหมอรักษา ต้องฉับพลันดีเป็นนาทีชีวิต อิ่ม
ด่าซะ สบายใจ แล้วก็ไล่กลับ จบ.
พิธีกร: เพราะฉะนั้นรบกวนต้องพูดความจริงนะครับ
สาธุครับ.
หลวงปู่พุทธะอิสระ: ก็พูดไปเฮอะ
คนมันจะตาย ยังไงมันก็ตาย มึงไม่พูดมันก็ตาย แต่ถ้าพูแล้วให้มันรู้จักว่า
มันต้องตาย แล้วมันเตรียมตัวตายน่ะ อันนี้น่ะ มันจะไปสบาย แต่ไม่รู้จัก
แล้วไม่เตรียมตัวตาย ถึงเวลายังมาแหกตา หลอกลวงกัน ไม่เป็นไร อยู่ได้สบายๆ แล้วมันก็หวังอยู่ยังงั้นน่ะ
ลูกหลานก็ไม่ยอมบอกความจริง แทนที่พ่อแม่จะทรมานน้อยหน่อย ก็เฝ้าแต่หวัง เฝ้าแต่รอ
เฝ้าแต่คอย สุดท้ายก็รอคอยกันไปเหอะ ลูกหลานก็ทิ้งกันไปหมด ทุกข์หนักกว่าเก่าอีก
เพราะยังงั้น คนมันจะตายก็บอกว่ารีบตายซะ ไม่เห็นยาก บางคนไข้บางคนนะ กูไปเยี่ยมนะ
เหก็นถ้าจะไม่รอดไม่รอด กูเข้าไปสะกิด เคยได้ยินไก่ขันตอนเช้ามั้ย? เคยค่ะ เคยครับ
มันร้องว่าไง? โอ้ยอี๊โอ้ก ไม่ช่าย อยู่ไปก็รกโลก หึหึหึ รุ่งขึ้นตายเลย....จบ.
พิธีกร: สาธุครับ.
หลวงปู่ครับ ขอเพิ่มเติมจากประเด็นนี้นิดนึงครับ แล้วถ้าสมมติในกรณีที่มีแบบเป็นแม่ลูก
แบบมีความสัมพันธ์ที่ดี ทำบุญทำกุศลด้วยกันมาดี แต่เกิดการประชดประชันเช่น
แม่บอกลูกว่า ไปตายซะ แล้วลูกเกิดน้อยใจ โดยที่เสี้ยววินาทีเกิดไปฆ่าตัวตาย แล้วตายจริง
อย่างเนี๊ยะ จะถือว่าผู้ที่พูดไป อย่างคนแม่เนี่ยะ จะบาปมั้ยครับหลวงปู่?
หลวงปู่พุทธะอิสระ: โอ้ย สมควรให้มันตายไปเฮอะ คนอ่อนแอขนาดนั้น เลี้ยงมันมาแล้วมันยังไม่รู้จักรักษาตัวเอง
คำพูดของพ่อของแม่ ก็เอามาเป็น...เป็นเครื่องบั่นทอนชีวิตจิตใจ
เค้ามีแต่คำพูดของพ่อของแม่จะเป็นพรสำคัญพรอันยิ่งใหญ่ จะส่งผลให้ตัวเอง รุ่งเรืองเจริญ
ฉะนั้นให้มันตายไปเถอะ ถามว่าเพราะอะไร? ก็เพราะว่า คนเราเนี่ยะถ้าว่า
มันอยู่แล้วมันไม่รักตัวเอง ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่รู้จักที่จะถนอมชีวิตตัวเอง
แล้วก็ใช้ชีวิตตัวเองอย่าง สมบุกสมบัน ตะบี้ตะบัน ทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดเวลา
อย่างงี้ก็ควรจะให้มันตายไปถึงไม่ใช่คำพูดของพ่อแม่แล้วมันใช้ชีวิตในมุมกลับกัน
คือสำมะเลเทเมา เหลวแหลกเละเทะ มีแผลเป็นทั้งตัว ตั้งแต่หัวจรดปลายตีน มันอยู่ไปแล้วมีประโยชน์อะไร
ต่อโลกและสังคม เปลืองอากาศหายใจ ปล่อยให้มันตายไป คนดีๆเค้าจะได้มีที่ว่างใหเอยู่
มันจะกลับมาเกิดได้จะได้มีที่ว่างให้อยู่
ยิ่งตอนนี้อ่ะนะ ยิ่งยุคนี้นะ อยากใหรัสเซียอยากให้อิหร่านอยากให้สหรัฐมันกดปุ่มซัก
๒-๓ ปุ่ม โดยเฉพาะการเมืองไทยในประเทศไทยในเวลานี้นะ ก็อยากให้กดซัก
๑๐ ปุ่ม การคณะสงฆ์เมืองไทย กูอย่ากใหเกดทั้งแผงเลย ให้มันยกแผงไปซะเลย แหม
จริงๆ มันน่าจะมีอีกอล์ฟตำบลล่ะคนนะมึง จบ.
พิธีกร: สาธุครับ.
คำถามต่อไปครับ...
หลวงปู่พุทธะอิสระ: มันแกไม่ได้แล้วไง
มันพูดมากไปมันก็แก้ไม่ได้ เพราะมันฝังรากลึก มันซึมเข้าไปจนเกาะกินไขกระดูกไปหมดแล้วไง
ไอ้ระบบอุปถัมภ์ ไอ้ระบบทุรยศ ไอ้ระบบอัปรีย์จัญไร สีกระบาลเหล่านี้ มันเกลื่อนกล่นไปหมด
เต็มไปหมด เมื่อมันแก้ไม่ได้ก็ปล่อยให้มัน เป็นไปอย่างที่มันอยากจะเป็น เราก็ได้แต่นั่งเชียร์
ทำตัวออกห่างๆ อย่าไปสูสี สู้ อย่าไปอี๋อ๋ออะไรกะมัน ขืนไปยุ่งกับมันมาก
เดี๋ยวก็ติดโรค ทำชีวิตของเราให้มันอยู่ให้ได้ก็แล้วกัน จบ.
พิธีกร: สาธุครับ. คำถามข้อต่อไปครับ เมื่อเด็กอยู่ในครอบครัวที่ไร้ศีลธรรม
เมื่อเขาเติบโตเข้าจะมีโอกาสเป็นคนดีได้ จริงหรือไม่ครับ?
หลวงปู่พุทธะอิสระ: ไม่จริงแล้ว.
แล้วสำหรับยุคนี้นะ เพราะว่าอะไร? เพราะว่าคนยุคนี้มันเลี้ยงลูกไม่เป็น
เลี้ยงลูกแบบชนิดที่ถนอมเหมือนอย่างไข่ในหิน เพราะฉะนั้นเลี้ยงเพื่อให้เสพ
แล้วมันก็เสพติดอารมณ์จนคุ้นชิน อารมณ์อะไรที่มันอยากได้ มันต้องได้
ถ้าไม่ได้มันก็โวยวาย ตีโพยตีพาย ซึ่งจะแตกต่างจกาคนยุคโบราณ ยุคก่อน เมื่อเช้ายังเล่าให้ไอ้พวกครอบครัวหมอฟัง
แม่หลวงปู่เนี่ยะ เวลาจะสอนอะไรนี่ ไม่ได้มีคำสอนนะ แต่ใช้ให้ทำ เริ่มต้นทำให้ดูก่อน
ระดับที่สอง ให้ทำเอง แล้วก็พอทำแล้ว ผิดถูกอย่างไร แม่ก็จะหยิบสิ่งที่แม่ทำน่ะ
เอามาวางให้ดู แล้วคิดเทียบกับไอ้สิ่งที่เราทำ แล้วให้ไปหาคำตอบเอง
ว่ามันต่างกันยังไง มันแตกต่างกันแบบไหน แล้วให้กลับไปทำใหม่
นั่นคือวิธีการสอนของคนโบราณ เค้าสอนโดยไม่มีคำสอน สอนแบบให้ลงไม้ลงมือ กระทำด้วยตัวเอง
เพื่อค้นหาประสบการณ์ทางวิญญาณของตัวเอง ค้นหาวิธีการของตัวเอง ไม่ใช่ว่าแม่พ่อจะต้องชี้วิธีการให้หมด
เหมือนกับลูกเนี่ยะ เป็นง่อย ทำอะไรก็ไม่ได้ สุดท้ายพ่อแม่นำหมด ทำให้หมด
เด็กสมัยนี้มันเป็นอย่างงี้ไง พอมันเป็นอย่างงี้ พ่อแม่ทำให้ทุกอย่าง ถึงเวลาตัวเอง
จะพึ่งตัวเองบ้าง พึ่งไม่ไป พึ่งไม่ไหว ทำไม่เป็น แล้วจบลงตรงไหน? ก็อ่อนแอไง
ง่อยเปลี้ยเสียขา หมดสภาพ สิ้นพ่อสิ้นแม่ สิ้นไม้หลัก
ทีนี้ก็ทำตัวเป็นไม้เลื้อยแล้ว เลื้อยไปเรื่อย นั่นยคือความล้มเหลว ทางการมีชีวิต ฉะนั้นมีชีวิตอยู่ก็เลอะเทอะ
ไร้สาระ
แล้วมันจะแก้ปัญหาอย่างไร? แก้ยากแล้วล่ะ เพราะคนสมัยนี้จะยอมรับก็ต่อเมื่อตัวเองใกล้ตายแล้วอ่ะ
ต้องรอให้แผลซมไปหมดแล้ว หรือไม่ก็ต้องจมปลักอยู่ในเรื่อง
ที่มันตัวเองเอาตัวไม่รอด แล้ว ถึงขั้นวิกฤติแล้ว ถึงจะยอมฟังยอมเชื่อ
ถึงวันนั้นพ่อแม่ก็หมดแรงสอนแล้วล่ะ ทีนี้ต้องให้อะไรสอน ให้ทุกข์มันสอน
แล้วทุกข์มันสอนก็เมื่อหมดแรง ทำแล้วอ่ะ ก็ตายอย่างเดียว โรคสมัยนี้มันเป็นอย่างนี้นะ
นี่เด็กจบใหม่มา หางานทำไม่ได้ อะไรก็ได้ที่ได้เงินง่ายๆ ก็ทำหมด แล้วสุดท้ายก็เอาตัวเองไปเสี่ยง
ไปสำมะเลเทเมา ไปเละเทะ แล้วจนสุดท้ายหาทางรอดไม่ได้ หาทางออกไม่ได้ ก็เยอะแยะไปหมด
เพราะงั้นเรื่องพวกเนี๊ยะ
ต้องโทษพ่อโทษแม่ มันเลี้ยงลูกกันยังไง สอนลูกกันแบบไหน ถึงเอาตัวไม่รอดในสถานการณ์ที่มัน
บีบคั้นแบบนี้ จบ.
พิธีกร: สาธุครับ. คำถามขอต่อไปครับ
เราควรให้อภัยคนที่ทำผิดในอดีต หรือควรตัดสินด้วยมาตรฐานจริยธรรมของวันนี้ครับ?
หลวงปู่พุทธะอิสระ: คำว่าทำผิดในอดีตเนี่ยะ
จริงๆไม่มีใครในโลกใบนี้ที่ไม่เคยผิดมาก่อนหรอก มันก็ผิดทั้งนั้นแหละ
ปัญหามันอยู่ที่ว่า ปัจจุบันมันทำอะไร? เป็นคุณเป็นโทษอย่างไร? ต่อตนและคนยรอบข้าง
ตรงนั้นต่างหากเล่า จบ.
พิธีกร: สาธุครับ. คำถามขอต่อไปครับ ฝึกจริยธรรมอย่างไร
โดยไม่ให้กลายเป็นเครื่องมือชี้คว่ามผิดคนอื่น?
หลวงปู่พุทธะอิสระ: โอ้ จริยธรรมมันมีมาตรฐานของมัน
ดังนั้นผู้รู้เท่านั้นจึงจะมีสิทธิจะชี้บอก ไอ้คนที่รู้แล้วยิ่งไม่ได้ทำ แล้วจะไปบอกไปชี้ยิ่งยากใหญ่
จริยธรรมมันมีมาตรฐาน มีบรรทัดฐาน มีแบบแผน มีขนบธรรมเนียม มีจารีตประเพณี
มีวิธีปฏิบัติ นั่นเค้าเรียกว่าจริยธรรม งั้นผู้รู้จึงมีหน้าที่อบรมสั่งสอน
ปราชญ์บัณฑิตพ่อแม่ครูบาอาจารย์จึงต้องทำหน้าที่ถ่ายทอด จริยธรรม คุณธรรม และศีลธรรม
ให้ลูกหลาน เพราะฉะนั้นไม่ใช่จริยธรรมอยู่ในโลก แล้วเราก็บอกว่า
พอเราอยู่ในโลกใบนี้แล้วก็ต้องมีจริยธรรม เหมือนกับที่บรรทัดฐานเค้าตั้งไว้
อันนั้นมันไม่ใช่ ไอ้นั่นมันเลอะเทอะ เพราะฉะนั้นจริยธรรมต้องบอก ต้องสอน
แล้วคนจะบอกจะสอนต้องมีคุณสมบัติมากพอ ไม่ใช่ เลอะเทอะเปรอะเปื้อน
แล้วมาเสแสร้งแกล้งสอน บอกกล่าวอบรมจริยธรรม ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย
ยังทำไม่ถูกเลย ผิดกๆพลาดๆ แล้วจะมาบอกว่าตัวเองมีจริยธรรม จริยธรรมมันต้องดูจากตรงไหน
แล้วว่ามีไม่มี มันดูจากบรรทัดฐานของ โลกและสังคมที่เค้า ตราไว้ ที่เค้ากำหนดบทบาทเอาไว้
ตัวอย่างง่ายๆเช่น ศีล ๕ คุณไปสอนศีล ๕ คนอื่น เนี่ยะ ไปถามไอ้ ๑๑ เทพน่ะ
มันให้ศีลชาวบ้านมั้ย? กาเมสุมิจฉาจารมันให้มั้ย? แล้วมันเป็นไง? ๗
ตัวมีเมียตัวเดียวกัน อย่างเงี๊ยะ อย่างนี้มันควรจะสอนจริยธรรมมั้ย?
เพราะยังงั้น จริยธรรมไม่มีเครื่องแบบ จริยธรรมไม่ต้องอาศัยเครื่องแบบ
แต่จริยธรรมมันอาศัยการกระทำ ทำอย่างไรพูดอย่างนั้น พูดอย่างไรคิดอย่างนั้น
ทำพูดคิดเรื่องเดียวกัน นั่นล่ะคือประมวลจริยธรรมเบื้องต้นละ คือความซื่อตรง
จบ.
พิธีกร: สาธุครับ. หลวงปู่ครับ แล้วจริยธรรมเนี่ยะ มีความคล้ายกับคำว่าค่านิยมมั้ยครับ
หลวงปู่?
หลวงปู่พุทธะอิสระ: ไม่เกี่ยวเลย ค่านิยมมันเป็นเรื่องกิเลสมนุษย์
แต่จริยธรรมมันเป็นเรื่องที่ตั้งขึ้นโดยบรรทัดฐานของความเป็นการอยู่ร่วมกันของมนุษย์
เป็นคุณสมบัติของสัตว์สังคม มันไม่ได้เกี่ยว จบ.
พิธีกร: สาธุครับ. คำถามต่อไปครับ. จริยธรรมคือกฎของใจ หรือควรเป็นกฎของสังคมครับ?
หลวงปู่พุทธะอิสระ: เริ่มต้นมันมาจากกฎของสังคมก่อน
แล้วทำตัวเองให้สอดคล้องกับระบบนั้น เพื่อเราจะได้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข
จบ.
พิธีกร: สาธุครับ.
คำถามต่อไปครับ ความยุติธรรม กับ ความเมตตา อะไรสำคัญกว่ากัน?
หลวงปู่พุทธะอิสระ: มันต้องดูบริบทของเนื้อความและเนื้อหาและเนื้อเรื่องในเหตุการณ์
ถ้าจะบอกว่าเมตตา มึงเพิ่งไปฆ่าเค้ามา ฟันเคาเละทั้งตัว ตัดหัวโยนให้หมากิน
เอ้อ แล้วก็พูดภาษามีเมตตา โอ๋ อโหสิกรรมกันนะ อย่าถือโทษโกรธกันนะ
อย่างนี้ได้มั้ย? (ไม่ได้) เอ้อ เพราะฉะนั้น มันต้องดูเป็นเรื่องๆ ดูบริบทคนละเรื่อง
พ่อ...ไอ้แม่ลูกอ่อน ไม่มีเงินผัวทิ้ง ต่อเลี้ยงลูก แม่เลี้ยงเดี่ยว มีลูก
๓ คน แล้วไอ้ลูกคนเล็ก ป่วยไม่สบาย แม่ไม่รู้จะทำยังไง ไปขโมยยาเค้ามาให้ลูกกิน
ถ้าผู้พิพากษาบอก ต้องยึดตามกฎหมาย ต้องปฏิบัติ เอาแม่มันไปติดคุก แล้วไอ้ลูก ๓ คน
ใครเลี้ยง ไอ้อย่างงี้ควรจะมีความยุติธรรมมั้ย? มันใช้ความยุติธรรมไม่เป็นไง?
อันดับต้นต้องใช้อะไรก่อน?
ใช้เมตตาก่อน เอ้อ เค้าทำมาด้วยสาเหตุอะไร? ต้องสืบค้นหาสาเหตุก่อน
กรรมใดเกิดแต่เหตุ ถ้าจะดับกรรมนั้น ไม่อยากให้เค้าขโมย มึงก็หาข้าวให้เค้ากิน
ให้เค้ามีข้าวกิน มียารักษาโรค แล้วเค้าจะไปขโมยทำไม? ใครมั่งที่อยากจะทิ้งลูกไปติดคุก
เนี่ยะ บริบทมันแตกต่างกัน แต่ต่างจากไอ้คนที่ไปฆ่าเค้า สับหัวโยนให้หมากิน
แล้วจะมาบอกใช้เมตตา แต่ไอ้คนที่ไปขโมยยาให้ลูกกิน ต้องติดคุกรักษากฎหมาย รักษาความเที่ยงธรรม
เลอะเทอะ จบ.
เค้าไปแล้ว ผู้พิพากษากลับไปแล้ว
มีงถามช้าไป ไม่งั้นกู...จะด่ามากกว่านี้
พิธีกร: ฉะนั้นรบกวนต้องดูตามบริบทเป็นหลักด้วยครับ สำหรับคำถามต่อไปนะครับ
คนที่ปล่อยผ่านพอคนเห็นทำผิด เพราะกลัวภัยมาถึงตัว ถือว่าผิดจริยธรรมไหม
และควรทำอย่างไงเมื่อเจอเหตุการณ์เหล่านี้ครับ?
หลวงปู่พุทธะอิสระ: มันไม่ได้เกี่ยวกับจริยธรรมมั้ย
มันเกี่ยวกับสำนึกรับผิดชอบ ความสำนึกรับผิดชอบ จริยธรรม ไม่ได้หมายถึงต้องเป็นสำนึกรับผิดชอบ
สำนึกรับผิดชอบอะไร? สำนึกรับผิดชอบในหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ผู้อยู่ร่วมกันในสังคม
เราทุกคนเอาตัวรอดไม่ได้ ทุกคนต้องรอดไปพร้อมๆกับเรา
เพราะฉะนั้นเมื่อมันเกิดความผิดปกติ เสียหาย ก็ต้องแก้ไข ต้องปรับปรุง
แก้ไม่ได้ก็บอกคนอื่นแก้ เห็นคนอื่นทำผิดก็เตอนได้บอกได้ ก็ต้องรีบเตือนรีบบอก ถ้าทำเฉยแฉะเฉื่อยชา
แล้วสุดท้ายไอ้ความผิดนั้นมันไม่ใช่เล็กๆ มันใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น ทุกคนเดือดร้อน ตัวมึงก็เดือดร้อน
ตัวใครก็เดือดร้อน ทุกคนเดือดร้อนหมด นั่นแสดงว่าความไร้ ไร้สำนึกรับผิดชอบ
เหมือนๆกับอีตอนมีโควิดใหม่ๆอ่ะ
เมื่อเช้านี้ก็ยังคุยให้พวกนั้นฟัง ไอ้คนข้างๆตรอกสลัมข้างๆวัดอดจะตาย แต่ไอ้เจ้าอาวาส
มีเงินฝากธนาคารเป็นร้อย ๆล้าน ไม่เคยออกมาเยียวยาซักบาทซักสลึง ไอ้อย่างเนี๊ยะ มีความรับผิดชอบมั้ย?
แต่เวลาตัวเองจะกินข้าว ก็ไปขอข้าวชาวบ้าน แต่ถึงเวลาตัวเองมั่งมีศรีสุข
กลับไม่เยียวยาช่วยเหลือชาวบ้าน ไอ้เนี่ยะ เค้าเรียกว่าแล้งน้ำใจ ไร้เมตตา
ขาดสำนึกรับผิดชอบ เป็นสัตว์สังคมชั้นต่ำ เรียกว่าชั้นเลว
อยู่ร่วมกับสังคมไม่ได้ แหม เค้าจะตัดกูมั้ยเนี่ยะ ด่าขนาดเนี๊ยะ
ไม่อยากบอกว่าอยู่วัดไหนด้วยซ้ำ จบ.
พิธีกร: ขอเมตตาหลวงปู่สอบถามเพิ่มเติมครับ
แล้วสมมติว่าเป็นกรณีที่คนๆนั้น อาจจะ มีอาวุธ หรือจะไปทำร้ายใครซักคนนึงซึ่งคนๆนั้นเกิดเป็นญาติเรา
แล้วคิดจะไปทำร้ายคนอื่น แล้วมีอาวุธ แล้วอาจจะ พอเราไปเตือนเนี่ยะ
อาจจะเกิดอารมณ์โทสะ แล้วทำให้เกิด เราเกิดถึงชีวิตได้ยังเงี๊ยะ เราควรยังจะต้องไปเตือนคนประเภทนี้อยู่มั้ย?
หลวงปู่พุทธะอิสระ: ก็สมควรตาย
โง่ขนาดนั้นก็สมควรตาย กูนี่นะ เวลากูจะไปดุหมานี่กูต้องดูว่าหมามันกัดมั้ย?
ถ้าหมามันกัดกูก็ตัวใครตัวเผือก ตัวใครตัวมัน ห่างหมาดุเอาไว้ ถ้าหมาตัวไหนมันพอดุได้
มันเป็นหมาเห่าใบตองแห้ง ก็พอจะเตือนได้ บอกได้ สอนได้แนะนำได้ แต่ถ้าหมาตัวไหนมันไม่เห่าเลย
มันกระโดดกัดเลย มึงจะขืนไปเทศน์ให้มันฟัง อย่านะ อย่าเข้ามานะ มึงนะ
มึงน่ะตายก่อน อย่างนั้นโง่ สมควรตายเหอะ จบ.
(มีต่อ 3)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น