ความแตกต่างระหว่าง ชีวอัตตา, อัตตา, จิตวิญญาณ และ กาย
The
Differences Between the Soul, Ego, Spirit, and the Body
https://youtu.be/rXyNvdLcMwA?si=-Kip8blrxxRfl3Pl
ความแตกต่างระหง่าง
ชีวอัตตา และ จิตวิญญาณ (The Differences Between the
Soul1
and the Spirit2)
1 https://en.wikipedia.org/wiki/Soul
2
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%95%E0%B8%B0
กายของคุณเดินแต่จิตวิญญาณของคุณนุ่มนิ่ม.
เหมือนเช่นยิ้มของคุณเป็นจริงแต่ชีวอัตตากำลังกรีดร้อง. คุณกำลังพูดความสัจจริงของคุณแต่อัตตาของคุณแก้ไขเรียบเรียงทุกคำพูดนั้น.
(Your
Body walks but your Spirit limps. Like your smile is real but your Soul is
screaming. You’re speaking your truth but your Ego3 edits every
words.)
3
https://en.wikipedia.org/wiki/Id,_ego_and_superego
คุณได้ประสบความสำเร็จอย่างมากยิ่ง,
กระนั้นความเงียบภายในก็ยังคอยถามแต่ว่า, “นี่เป็นสิ่งนั้นหรือ?”
พวกเขามองเห็นความเข้มแข็งของคุณแต่พวกเขาจะไม่มีวันรู้ถึงราคาที่คุณได้จ่ายไปเพื่อแค่ที่จะยืน.
เพราะไอศวรรย์ /บัลลังก์ทั้งหลายรอคอยการกลับมาของคุณอยู่: จงให้อัตตาของคุณก้มคำนับ,
จงให้จิตวิญญาณของคุณลุกขึ้น, จงให้ชีวอัตตาของคุณจดจำไว้, และจงให้กายของคุณอ่อนโยน.
(You’ve achieved so much, yet
a silence inside keeps asking. “Is this it?”. They see your strength but they
will never know the price you paid just to stand. For thrones await your
return: let your Ego bow, let your Spirit rise, let your Soul remember, and let
your body soften.)
มนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงแค่ร่างกายหนึ่ง,
หรือจิตสำนึกจำกัดอยู่ที่ความคิดและอารมณ์รู้สึกทั้งหลาย. ตัวตนนั้นได้ถูกประกอบขึ้นด้วยสี่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
แต่เป็นศูนย์กลางพลังอำนาจที่ได้ถูกเชื่อมติดต่อกัน. ที่ถูกเรียกว่า “ไอศวรรย์/บัลลังก์”
: กาย, อัตตา, จิตวิญญาณ, และชีวอัตตา. (A
human being is not merely a body, nor is6 consciousness
limited to thoughts or emotions. The self is composed of four distinct but interconnected
center of power. Which are called “thrones”: the Body, the Ego, the Spirit, and
the Soul.)
แต่ละบัลลังก์เหล่านี้แสดงแทนถึง
โกศ/ชั้นของการมีชีวิตอยู่ของคุณ, และแต่ละอันเล่นบรรเลงบทบาทสำคัญในการสร้างรูปของ
ความเป็นจริง, พฤติ, สัญญา/การรับรู้, และชะตากรรม ของคุณ.
ผู้แสวงหาทั้งหลายผิดพลาดไปในเรื่องอัตตากับจิตวิญญาณ, หรือว่าชีวอัตตากับสัญชาตญาณทั้งหลายของกาย.
เมื่อบุคคลหนึ่งกลายเป็นตื่นรู้ถึงบัลลังก์ทั้งหลายเหล่านี้
และเรียนรู้ที่จะจำแนกแยกแยะระหว่างพวกเขา, ระดับใหม่ของการตื่นรู้ตนเองก็ได้เริ่มต้นที่จะคลี่เผยออก. (Each of these thrones represent
a different layer of your being4, and
each one plays a vital role in shaping your reality, behavior, perception5, and
destiny. Many seekers mistake the Ego for the Spirit, or the Soul for the Body’s
instincts. When a person becomes aware of these thrones and learns to distinguish
between them, a new level of self-awareness begins to unfold.)
4
https://yogasutrathai.com/kosha/
5
https://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=%A2%D1%B9%B8%EC_5
6
https://en.wikipedia.org/wiki/Destiny
ขอให้เราในตอนนี้เริ่มต้นด้วยบัลลังก์แรก,
อันหนึ่งที่ใกล้ชิดกับโลกมากที่สุด. กายนั้นเป็นสนามหนึ่งที่ซึ่งกรรมได้สำแดงประกาศ,
และที่ซึ่งบทเรียนทั้งหลายทางจิตวิญญาณได้ฝังรากอยู่ในโลกแห่งวัตถุ. กายนั้นได้ถูกปกครองโดยกฏทั้งหกลายของโลกและแรงโน้มถ่วง. มันดึงเอาความตื่นรู้ของคุณลงมา.
เข้าไปสู่ความหนาแน่นและเวลา. นี้ไม่ใช่การลงโทษ - มันเป็นข้อตกลงศักดิ์สิทธิ์.
กายยินยอมให้คุณประสบรับรู้เส้นเวลา, เหตุและผล, และความแหลมคมของความขัดกันทางกายภาพ.
ความยินดีกับความเจ็บปวด, ความหิวกับความพึงพอใจ, ความตึงเครียดกับความผ่อนคลาย
– ทั้งหมดเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่ชีวอัตตาสามารถเติบโตผ่านในขณะของการกลับมาเกิด.
(Let
us now begin with the first throne, the one closet to earth. The Body is the
field where karma manifest, and where spiritual lessons take root in the
material world. The body is governed by the laws of Earth and Gravity. It pulls
your awareness downward. Into density and time. This is not a punishment – it
is a sacred agreement. The body allows you experience linear time, cause and
effect, and the sharpness of physical contrast. Pleasure and pain, hunger and
satisfaction, tension and relaxation – all these are tools through which the
soul can grow while incarnated.)
อย่างไรก็ตาม,
กายนั้นไม่สามารถชี้นำให้กับรูปลักลักษณ์ส่วนลึกแห่งวิวัฒนาการของคุณบนตัวของมันเองได้.
มันตอบสนองต่อ การกระตุ้น, การทำซ้ำ, และสัญชาตญาณ. โดยปราศจากบัลลังก์ทั้งหลายอื่น,
โดยเฉพาะชีวอัตตาและจิตวิญญาณ, กายนั้นจะปฏิบัติการจากนิสัยและการอยู่รอด.
มันกลายเป็นวงวนปิดของสิ่งเร้าและปฏิกิริยา. นั่นคือทำไมปรมาจารย์ทางจิตวิญญาณจึงเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้ที่จะสังเกตกาย
โดยไม่กลายเป็นสูญหายไปในมัน. กายต้องถูกให้เกียรติ, ไม่ใช่ถูกเชื่อฟัง.
มันต้องถูกได้ยินที่จะไม่ผิดพลาดไปกับตัวตน. (However, the Body cannot guide
the deeper aspects of your evolution on its own. It responds to impulse, repetition,
and instinct. Without the other thrones, especially the soul and spirit, the
body will operate from habit and survival. It becomes a closed loop of stimulus
and reaction. That is why spiritual mastery begins with learning to observe the
body without becoming lose in it. The body must be honored, not obeyed. It must
be listened to but not mistaken for the Self.)
อัตตานั้นเป็นบัลลังก์ที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุดในความเชื่อทางจิตวิญญาณสมัยใหม่.
คำสอนมากมายตีความปฏิบัติต่ออัตตาเป็นเช่นตัวร้าย,
แรงกำลังที่ต้องถูกทำลายหรือถูกเอาชนะ. แต่นี่คือมุมมองอันตรายและไม่ถูกต้อง.
อัตตาไม่ใช่ศัตรูของคุณ. มันคือผู้ปกป้องอัตภาวะของคุณ. มันกำหนดขอบเขตแห่งภาพลักษณ์ของคุณ.
มันก่อสร้างความที่ว่า “ฉันคือฉัน และคุณคือคุณ.”(The
Ego is the most misunderstood throne in modern spirituality. Many teachings
treat the Ego as a villain, a force to be destroyed or transcended. But this is
a dangerous and incorrect view. The Ego is not your enemy. It is the guardian of your individuality. It
defines the boundaries of your self-image. It builds the idea of ‘I am me and
You are you.’)
การแยกกันอยู่นี้ไม่ใช่มายา/ภาพลวง---มันเป็นภาพลวงที่จำเป็น.
อันหนึ่งที่ยินยอมให้จิตสำนึกที่จะปฏิสัมพัทธ์กับความเป็นจริงผ่านทัศนภาพทั้งหลายอันเป็นหนึ่งเดียว.
(This
separation is not illusion—it is necessary illusion. One that allows
consciousness to interact with reality through unique perspectives.)
อัตตาก่อรูปในชั้นต้นผ่านประสบการณ์รับรู้ในวัยเด็ก,
รูปแบบทั้งหลายทางอารมณ์, และการปรับสภาพทางสังคม. มันก่อสร้างเรื่องราวทั้งหลายเกี่ยวกับว่าคุณเป็นใคร,
คุณสมควรได้รับอะไร, อะไรคือความปลอดภัย, และอะไรที่เป็นอันตราย. เรื่องราวเหล่านี้ก่อรูปร่างปฏิกิริยาทั้งหลายของคุณ,
การเลือกทั้งหลายของคุณ, และกระทั่งความเชื่อทั้งหลายของคุณเกี่ยวกับสรวงสวรรค์.
อัตตานั้นได้กลายเป็นแว่นตา 2 กระจกที่คุณมองยังโลก. ถ้าเลนส์ทั้งสองนั้นได้ถูกขีดข่วนเป็นรอยหรือถูกบิดเบี้ยว,
คุณจะไม่มองได้ชัดกระจ่างนัก. แต่ถ้าเลนส์ทั้งสองนั้นได้สะอาดและกระจ่างใส, อัตตานั้นสามารถกลายเป็นผู้รับใช้แห่งความกระจ่างชัด.
(The
Ego forms primarily through experiences in childhood, emotional patterns, and
social conditioning7. It
builds stories about who you are, what you deserve,
what is safe, and what is dangerous. These stories shape your reactions, your
choices, and even your beliefs about the divine. The Ego becomes like a pair of
glasses which you view the world. If the lenses are scratched or distorted, you
will not see clearly. But if the lenses are clean and transparent, the Ego can
become a servant of clarity.)
7 https://en.wikipedia.org/wiki/Social_conditioning
บัลลังก์ของอัตตาได้ถูกกำหนดตำแหน่งในจิต,
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาระรับผิดชอบต่อการเปรียบเทียบ, ส่วนต่างๆ,
ความทรงจำ, ภาษา, และการสร้างอัตลักษณ์. มันสร้างสรรค์เสียงในใจ.
มันกังวล, วางแผน, ตัดสินและจำแนกแยกแยะทั้งหลาย. แต่มันก็ยังปกป้องคุ้มครองคุณด้วยเช่นกัน.
อัตตานั้นเป็นอะไรที่หยุดคุณจากการก้าวเข้าไปในไฟ, จากการเปิดเผยความอ่อนแอของคุณมากเกินไป,
จากการพังพินาศไปสู่ภาวะจิตท่วมล้น. (The Ego’s throne is located in
the Mind, especially in the responsible for comparison, parts, memory,
language, and identity formation. It creates internal dialogue. It worries,
plans, judges, and categorizes. But it also protects you. The Ego is what stop
you from stepping into fire, from overexposing your vulnerability, of from
collapsing into psychic overwhelm.)
ความแตกต่างระหว่าง อัตตา และ กาย (The Differences Between the Ego and the Body?)
มันมีที่ทางแห่งหนเหมาะสมของตนเอง. เมื่ออันตรายอุบัติขึ้นมาเมื่ออัตตาเชื่อว่ามันเป็นเพียงบัลลังก์อำนาจเดียวเท่านั้นที่สำคัญ.
เมื่ออัตตาตัดตัวมันเองออกจากชีวอัตตาและจิตวิญญาณ,
มันก็เริ่มต้นที่จะปกครองโดยใช้ความกลัวและการควบคุม. มันเกาะติดอยู่กับความดื้อดึงต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพที่แน่นอน
และปฏิเสธสิ่งใดๆที่คุกคามข่มขู่มันเป็นที่เล่าขานทั้งหลาย. (It has
its rightful place. The danger arises when the Ego believes it is the only
throne that matters. When the Ego cuts itself off from the Soul and Spirit, it
begins to rule by fear and control. It clings to certainty, resists
transformation and denies anything that threatens it narratives.)
ในสถานะนี้, อัตตานั้นได้กลายเป็นทรราชย์. มันบอกกับคุณว่าคุณแยกจากกัน, ไม่คู่ควร, หรือเหนือกว่า. มันก่อสร้างอาณาจักรเท็จของการเปรียบเทียบและการแข่งขัน.
ความเจริญทางจิตวิญญาณอย่างแท้จริงไม่ได้ฆ่าอัตตา. มันให้การศึกษาแก่มัน.
มันนำอัตตาเข้าไปสู่การจัดแถวแนวกับบัลลังก์ที่สูงกว่า. มันสอนอัตตาที่จะเป็นผู้แปล,
ไม่ใช่ผู้เผด็จการ. (In
this state, the Ego become tyrannical. It tells you that you are separate,
unworthy, or superior. It builds a false kingdom of comparison and competition.
True spiritual growth does not kill the Ego. It educates it. It brings the Ego
into alignment with the higher thrones. It teaches the Ego to be a translator,
not a dictator.)
เมื่ออัตตาเรียนรู้ถึงอรรถประโยชน์ที่แท้จริงของมัน,
มันกลายเป็นสะพานระหว่างทวยเทพและมนุษย์, ระหว่างนิรันดร์และชั่วคราว.
มันกลายเป็นล่าม/ผู้แปลที่ซื่อสัตย์ชี้นำกายของคุณ และบุคลิกภาพขณะที่ยังคงอ่อนน้อมถ่อมตนต่อหน้าความไพศาลของชีวอัตตาของคุณ. (When the Ego learns its true
function, it becomes a bridge between the divine and the human, between the
eternal and the temporary. It becomes a loyal interpreter guiding your Body and
personality while remaining humble before the vastness of your Soul.)
จิตวิญญาณคือไฟที่ให้ทิศทางของมันแก่ชีวิต.
ขณะที่กายให้รูปร่างและอัตตาให้โครงสร้าง, จิตวิญญาณให้ความเคลื่อนไหว.
มันเป็นเปลวไฟที่ผลักดันให้คุณที่จะวิวัฒนะ, ที่จะเคลื่อนไปข้างหน้า,
ที่จะทะลวงผ่านข้อจำกัดทั้งหลาย. คุณสามารถคิดว่าจิตวิญญาณนั้นเป็นดุจลมหายใจของพระเจ้าในตัวคุณ. (The Spirit is the fire that
gives life its direction. While the Body gives form and the Ego gives structure,
the Spirit gives motion. It is the flame that pushes you to evolve, to move
forward, to break through limits. You can think of the spirit as the breath of
God within you.
มันเข้ามาในตัวคุณที่ตอนเกิดและออกไปที่ตอนตาย.
มันคืออะไรที่ทำให้คุณมีชีวิตชีวา, อะไรที่เผาไหม้ในดวงตาของคุณเมื่อมีชีวิตด้วยเป้าประสงค์หรือกิเลส/ความปรารถนารุนแรง.
จิตวิญญาณไม่ได้จดจำถึงอดีตเหมือนชีวอัตตาทำ. มันไม่ได้สนใจในประวัติศาสตร์หรือกรรม.
จิตวิญญาณต้องการการปลดปล่อย, การเปลี่ยนร่าง, วิวัฒนาการ.
มันได้ถูกเชื่อมต่อยังเจตจำนงทวยเทพ, ไม่ใช่รูปลักษณ์ส่วนบุคคล. (It enters you at birth and
leaves at death. It is what animates you, what burns in your eyes when are
alive with purpose or passion. The Spirit does not remember the past like the
Soul does. It is not interested in history or Karma. The Spirit wants
liberation, transformation, evolution. It is connected to divine will, not
personal identity.)
นั่นคือทำไมที่จิตวิญญาณบ่อยครั้งผลักดันผู้คนให้รับการเสี่ยง,
ที่จะทิ้งเขตอุ่นสบายหรือละทิ้งโครงสร้างทั้งหลายที่ไม่ได้รับใช้การเติบโตของพวกเขาอีกต่อไป.
จิตวิญญาณนั้นกระทำการผ่านการรู้โดยสัญชาตญาณ, แรงบันดาลใจ, ความชัดเจนเป็นไปตามธรรมชาติ,
และการเปลี่ยนถ่ายทันใดของการตื่นรู้/สัมปชัญญะ. เมื่อบุคคลหนึ่งได้รับทัศนภาพ,
รู้สึกถึงแรงกระเพื่อมของไฟภายใน, หรือสัมผัสรู้สิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้
ดึงลากไปสู่อะไรบางอย่างที่มีความหมายเต็มเปี่ยม, นั่นคือการพูดของจิตวิญญาณ.
(That is why the Spirit often
pushes people to take risks, to leave comfort zone or abandon structures that
no longer serve their growth. The Spirit acts through intuition, inspiration,
spontaneous clarity, and sudden shifts of awareness. When a person receives a vision,
feels a surge of inner fire, or senses an unexplainable pull towards something
meaningful, that is the Spirit speaking.)
มันบ่อยครั้งพูดเป็นสัญลักษณ์ทั้งหลาย, ภาพทั้งหลาย,
หรือกระแสประสาทที่รุนแรง ที่ยากจะอธิบายในเชิงเหตุผล/ตรรกะ. ในจารีตโบราณทั้งหลาย,
จิตวิญญาณได้ถูกรู้กันว่าเป็นเช่นเปลวสุริยะ—แรงกำลังที่สืบเชื้อสายจากสุริยะเทพที่จะปลุกตื่นหัวใจของมนุษย์.
อย่างไรก็ตาม, จิตวิญญาณเพียงลำพังสามารถที่จะเป็นอันตรายได้ ถ้าไม่สมดุลโดยชีวอัตตาและอัตตา.
(It
often speaks in symbols, images, or intense impulses that are hard to explain
logically. In ancient traditions, the Spirit was known as the Solar Flame—a
force that descended from the divine sun to awaken the human heart. However,
the Spirit alone can be dangerous if not balanced by the Soul and the Ego.)
จิตวิญญาณคือไฟ,
และไฟย่อมกลืนกิน. ถ้าบุคคลหนึ่งติดตามแต่เพียงจิตวิญญาณของพวกเขาโดยปราศจากปัญญา,
พวกเขาสามารถกลายเป็นมุทะลุดุดัน, ไม่มั่นคง, หรือกระทั่งล้างผลาญทำลาย.
อัตตาต้องบรรจุไว้ด้วยไฟของจิตวิญญาณโดยปราศจากการดับมอดมัน.
และชีวอัตตาต้องให้มันด้วยบริบทและจังหวะเวลา. มีเพียงนี้เท่านั้นที่การกระทำของจิตวิญญาณนั้นสามารถอยู่ในการกลมกลืนประสานกับชะตากรรม.
ในกายวิภาคศาสตร์พลังงาน, จิตวิญญาณบ่อยครั้งมักจะรู้สึกได้ในช่องท้องส่วนล่างขึ้นไปถึงหน้าอก,
ที่ซึ่งบุคคลนั้นจะพบกับจุดหมายที่สูงส่ง. (The
Spirit is a fire and fire consumes. If the person follows only their spirit
without wisdom, they can become reckless, unstable or even destructive. The Ego
must contain the Spirit’s fire without extinguishing it. And the Soul must give
it context and timing. Only then can the Spirit act in harmony with destiny. In
energetic anatomy8, the
spirit is often felt in the Solar plexus and chest, where the personal will
meets the higher purpose.)
8 https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S2095754818300358
เมื่อจิตวิญญาณได้ถูกปิดกั้น,
ผู้คนจะรู้สึกเฉื่อยชา, มึนงง, หรือหดหู่. เมื่อมันได้ถูกปลุกตื่นขึ้น,
พวกเขารู้สึกถึงไม่อาจหยุดยั้งได้, สร้างสรรค์, และกระจ่างชัด.
เป้าหมายนั้นไม่ใช่การทำเชื่องให้กับจิตวิญญาณ, แต่ที่จะฟังต่อมัน,
ที่จะให้เกียรติยศต่อข่าวสารทั้งหลายของมัน, และที่จะกำกับพลังงานของมันอย่างชาญฉลาด. (When the Spirit is blocked,
people feel numb, stagnant, or depressed. When it is awakened, they feel
unstoppable, creative, and clear. The goal is not to tame the Spirit, but to
listen to it, to honor its messages, and to direct its energy wisely.)
ชีวอัตตาเป็นบัลลังก์ที่ลึกที่สุดและยากที่สุดที่จะอธิบาย.
มันเป็นส่วนหนึ่งของคุณที่ได้มีอยู่ก่อนชีวิตนี้และจะดำเนินต่อไปภายหลังการกำเนิดอีกครั้งนี้สิ้นสุดลง.
มันไม่ได้สร้างขึ้นด้วยเลือดเนื้อ, ความคิดทั้งหลาย หรือพลังงานในประสาทรู้สึกปกติ.
มันถูกสร้างขึ้นด้วยความทรงจำภายใน. ความทรงจำแห่งทวยเทพของคุณที่เดินทางข้ามผ่านกาลเวลา,
อวกาศ และมิติทั้งหลาย. (The Soul is the deepest throne
and the hardest to describe. It is the part of you that existed before this life
and will continue after this incarnation ends. It is not made of flesh,
thoughts or energy in the usual sense. It is made of eternal memory. The memory
of your divine journey across time, space and dimensions.)
ชีวอัตตาเป็นเจ้านายสถาปนิกแห่งวิวัฒนาการของคุณ.
มันแบกถือลายเซ็นเอกลักษณ์ของคุณ, นามศักดิ์สิทธิ์ของคุณ, และสัญญาด้วยการมีชีวิตของคุณ.
ชีวอัตตาจดจำได้ทุกสิ่ง. มันจดจำว่าใครที่คุณได้เป็นในชีวิตอื่นทั้งหลาย. มันจดจำบทเรียนทั้งหลายที่คุณได้มาเรียนรู้และพลังงานทั้งหลายที่คุณได้มาสู่ร่างนี้.
(The Soul is the master architect
of your evolution. It carries your unique signature, your sacred name, and your
contract with existence. The Soul remembers everything. It remembers who you
were in other lives. It remembers the lessons you came to learn and the
energies you came to embody.)
มันเลือกกายนี้ของคุณ, ครอบครัวของคุณ,
ความท้าทายทั้งหลายของคุณ, และพรสวรรค์ทั้งหลายของคุณด้วยความเที่ยงตรงอันสมบูรณ์แบบ.
ชีวอัตตาปฏิบัติการบนระดับที่ไม่ส่ามารถถูกตะครุบกุมได้ด้วยจิตตามลำพัง.
มันพูดอยู่ในอารมณ์รู้สึกทั้งหลาย, สัญลักษณ์ทั้งหลาย, และชั่วขณะทั้งหลายแห่งการก้องกังวานอันลึกซึ้ง. เมื่อคุณพบใครบางคนและคุณรู้สึกได้ว่าคุณได้รู้จักพวกเขามาชั่วนิรันดร์,
หรือเมื่อคุณได้มาถึงยังสถานที่ซึ่งรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหกลาด, , มันคือชีวอัตตาของคุณที่กำลังจดจำได้ถึงอะไรบางอย่างโพ้นเลยไปกว่าชีวิตนี้.
(It chooses your body, your
family, your challenges, and your gifts with perfect precision. The Soul
operates on the level that cannot be grasped by the Mind alone. It speaks in feelings,
symbols, and moments of profound resonance. When you meet someone and feel
you’ve known them forever, or when you arrive at the place that feels strangely
familiar, it is your Soul that is recognizing something beyond this life.)
เหตุผลอะไรที่แท้จริงคุณรู้สึกขาดการเชื่อมต่อ
แม้ว่าเมื่อชีวิต “ดูดี”? (The
real reason you feel disconnected even when life “looks good”?)
ชีวอัตตาดำรงอยู่อย่างเบื้องต้นในกายปกติที่นั่งอยู่เหนือระนาบจักรวาลภายนอกกับระนาความจิตใจ.
มันได้ฝังรากในปัญญาแห่งทวยเทพ. กระนั้นมันก็ยังสวมเสื้อคลุมของความเป็นปัจเจกบุคคล.
ชีวอัตตาของคุณเป็นเหมือนโน้ตดนตรีหนึ่งในซิมโฟนีแห่งการรังสรรค์.
แน่แท้กระนั้นก็ยังแยกออกได้จากทั้งปวง. ในจารีตลับๆทั้งหลาย, ชีวอัตตาได้ถูกเรียกว่าคือกระจกเงาอมตะ
เพราะว่ามันสะท้อนทั้งเรื่องราวบุคลิกภาพของคุณและแก่นแท้ของทวยเทพไปพร้อมกัน.
(The Soul exists primarily in the
causal body which sits above the astral and mental plains9. It is
rooted in divine intelligence. Yet it wears a cloak of individuality. Your soul
is like a note in the symphony of creation. Distinct yet inseparable from the
whole. In secret traditions, the Soul was called the immortal mirror because it
reflects both your personal story and the divine essence at once.)
9 https://en.wikipedia.org/wiki/Astral_plane
* "The astral and
mental plains" แปลว่า "ระนาบจักรวาลภายนอก (หรือระนาบจิต)" และ "ระนาบความคิด" หรือ
"โลกทิพย์และโลกแห่งความคิด" ก็ได้เช่นกัน
คำอธิบายเพิ่มเติม:
·
Astral
Plane (ระนาบจักรวาลภายนอก/โลกทิพย์):
ในความเชื่อหลายๆ
อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของจิตวิญญาณและการเดินทางของจิตใจ มักจะมีการกล่าวถึง "Astral Plane" ซึ่งเป็นมิติที่อยู่นอกเหนือจากโลกทางกายภาพ เป็นโลกที่จิตใจหรือวิญญาณสามารถเดินทางไปได้เมื่อออกจากร่าง
·
Mental
Plane (ระนาบความคิด/โลกแห่งความคิด):
เป็นมิติที่เกี่ยวข้องกับความคิด
ความรู้สึก และสติปัญญา เป็นโลกที่สร้างขึ้นจากความคิดและจินตนาการ
ดังนั้น "The astral and mental plains" จึงหมายถึงสองมิติที่แตกต่างกัน แต่ก็มีความเชื่อมโยงกันในเรื่องของจิตวิญญาณและการรับรู้
ผู้แสวงหาทั้งหลายทางจิตวิญญาณมากมายได้สับสนกับชีวอัตตาในเรื่องอารมณ์รู้สึกและความทรงจำ.
แต่อารมณ์รู้สึกทั้งหลายสามารถเป็นของกายหรืออัตตา. ชีวอัตตาไม่ใช่ปฏิกิริยา.
มันเป็นการสังเกตและชี้นำ. มันเฝ้าดู. มันรอคอย. มันดุนดัน.
มันจะไม่มีวันตะโกนหรือใช้กำลังบังคับ. นั่นคือทำไมผู้คนมากมายพลาดที่จะได้ยินเสียงของมัน.
ชีวอัตตาพูดแต่เพียงเมื่อคุณกลายเป็นนิ่งเงียบเพียงพอที่จะฟัง. (Many spiritual seekers confuse the
Soul with emotion or memory. But emotions can belong to the body or the Ego,
The Soul is not reactive. It is observational and guiding. It watches. It
waits. It nudges. It will never shout or force. That is why many people miss
its voice. The Soul only speaks when you become quiet enough to listen.)
เหล่าผู้ได้จุติขึ้นทั้งหลายมามากมายด้วยการเรียนรู้อย่างเพ่งเน้นทางจิตวิญญาณ
ถือติดมาด้วยอะไรที่เรียกว่าเครื่องหมายของตัวตนดั้งเดิม.
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่เป็นง่ายๆของชีวอัตตาเก่าเดิมทั้งหลาย.
พวกเขาคือผู้ส่งสารแรกเริ่มแห่งต้นแบบศักดิ์สิทธิ์ของทวยเทพทั้งหลาย.
พวกเขาปรากฏมีอยู่ในรูปของความรู้สึกหนักหน่วง, ส่องสว่าง หรือไม่นิ่งสงบต่อคนอื่นๆ.
พวกเขาบ่อยครั้งมักจะตื่นรู้ขึ้นมาในตอนต้นในชีวิต, แบกเอามาในความโศกเศร้าอันอธิบายไม่ได้
หรือการแสดงออกถึงปัญญาที่โพ้นเลยไกลไปกว่าวัยของพวกเขา. การเดินทางของพวกเขาไม่ได้ง่ายกว่าแต่ลึกล้ำกว่า.
การจุติกำเนิดขึ้นมาอีกนั้นไม่ได้เพียงแค่ที่จะเรียนรู้ แต่ก็ยังเพื่อที่จะทอดสมอปักลงในคลื่นความถี่ที่ถูกต้องบนโลก.
(Those
who have lived many incarnations with focused spiritual learning carry what is
called the mark of the primordial incarnate. These things are not simply old
Souls. They are original carriers of divine archetypes. They presence feel
heavy, luminous or unsetting to others. They often awaken early in life, carry
unexplained grief or exhibit wisdom far beyond their age. Their journey is not easier
but deeper. They incarnate not only to learn but also to anchor a certain
frequency on earth.)
บัลลังก์เหล่านี้ไม่ได้มักจะปฏิบัติการอย่างผสานกลมกลืนกันเสมอไป.
ในความเป็นจริงแล้ว, เวลาส่วนมากที่สุดพวกเขาอยู่ในความขัดแย้ง. พวกเขาคัดค้าน.
พวกเขาใช้กำลังเอาชนะซึ่งกันและกัน. พวกเขาให้แรงกระตุ้นเร้าทั้งหลายที่ขัดแย้งกันและพวกเขาเรียกร้องสั่งการรูปแบบที่แตกต่างกันในความภักดี.
ความขัดแย้งภายในไม่ได้เป็นหลักฐานของความแตกหัก;
มันเป็นหลักฐานของความสลับเชิงซ้อน. (These
thrones do not always operate in harmony. In fact, most of the time they are in
conflict. They argue. They overpower one another. They give contradictory impulses
and they demand different forms of loyalty. This inner conflict is not evidence
of brokenness; it is evidence of complexity.)
แต่จนกว่าบุคคลหนึ่งเรียนรู้ที่จะจดจำได้ถึงการแบ่งแยกกลุ่มกองภายในเหล่านี้
และที่จะฟังต่อเสียงที่แยกกันของพวกเขานั้น, พวกเขาก็จะได้ประสบรับรู้ต่อความตึงเครียดภายในอันเรื้อรังยาวนาน
เมื่ออัตตาได้จี้ปล้นยึดเอาเสียงนั้นเป็นตัวประกันไปจากชีวอัตตา.
สิ่งนี้บังเกิดขึ้นเมื่ออัตตาในความกลัวของมันเองในการสูญเสียการควบคุม
เริ่มต้นที่จะล้อเลียนน้ำเสียงของชีวอัตตา. (But
unless a person learns to recognize these internal divisions and listen to
their separate voices, they will experience chronic inner tension, confusion,
and spiritual paralysis. One of the most common and devastating inner conflicts
is when the Ego highjacks the voice of the Soul. This occurs when the Ego in
its fear of losing control begins to mimic the Soul’s tone.)
มันบอกกับคุณว่า, “นี่คือเป้าประสงค์ของคุณ.”
เมื่อในความเป็นจริงมันเพียงกำลังจะเสริมแรงในการเล่าขานของมันเองเท่านั้น ถึงความเหนือกว่า,
ปลอดภัย หรือการทำให้ถูกต้อง. อัตตาเริ่มต้นที่จะพูดในภาษาทางจิตวิญญาณ
แต่แรงกระตุ้นทั้งหลายของมันไม่ได้เป็นความสัจจริงหรือความเจริญเติบโต. พวกเขาเป็นการเสริมกำลังของอัตลักษณ์.
คุณสามารถจดจำสิ่งนี้ได้เมื่อคุณรู้สึกมั่นใจชัดเจนทางจิตวิญญาณ แต่มีความสงสัยใคร่รู้หรือแข็งกระด้างทางอารมณ์ขึ้นมา.
(It
tells you “This is your purpose.” When in reality it is only reinforcing its
own narratives of superiority, safety or validation. The Ego begins to speak in
spiritual language but its motives are not truth or growth. They are
reinforcement of identity. You can recognize this when you feel spiritually
certain but emotionally anxious or rigid.)
อัตตามักจะดื้อดึงเสมอต่อการเปลี่ยนแปลง
ที่มาข่มขู่คุกคามบทบาทของมัน. ดังนั้น, มันจะประดิษฐ์เหตุผลทั้งหลายว่าทำไมคุณไม่ควรที่จะทิ้งงานพิษไป,
ทำไมคุณจึงต้องยังคงรักษาภาพพจน์-ตนเองของการเป็นคนดี, หรือทำไมคุณถึงสมควรได้รับการถูกกล่าวขวัญยอมรับมากยิ่งขึ้น.
เหล่านี้อาจจะรู้สึกว่าสูงศักดิ์หรือกระทั่งรู้แจ้ง,
แต่พวกเขาแบกถือเอาด้วยการใช้พลังงานตึงล้นเกินไป. (The Ego always resists change
that threatens its role. So, it will invent reasons why you should not leave a
toxic job, why you must maintain a self-image of being good, or why you deserve
more recognition. These may feel noble or even enlightened, but they carry an
energic tightness.)
เสียงของชีวอัตตารู้สึกถึงความนิ่ง,
แผ่กว้าง, และไร้กาลเวลา. เสียงของอัตตาจะรู้สึกได้ถึงความเร่งด่วนฺ,
ป้องกันตั้งรับ, หรือเหนือกว่า.
ในพลวัตนี้, บุคคลนั้นกลายเป็นติดกับดักอยู่ในการแสดงออกทางจิตวิญญาณ.
พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับการเจริญเติบโตแต่ปิดป้องช่องโหว่ต่อความเสี่ยง. พวกปรากฏว่าฉลาด,
แต่รู้สึกมึนชามะลื่อทื่ออย่างลับๆ. (The Soul’s voice feels still,
expansive, and timeless. The Ego’s voice feels urgent, defensive or superior. In
this dynamic, the person becomes trapped in spiritual performance. They talk
about growth but resist vulnerability. They appear wise, but secretly feel
numb.)
พวกเขาไล่ล่าประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ
แต่หลีกหนีความอยู่นิ่งสงบเบื้องลึก. ชีวอัตตาไม่ได้ประชันขันแข่ง.
มันล่าถอย. เมื่ออัตตาได้ยึดเอาบัลลังก์, ชีวอัตตาก็จะถอยกลับออกมาและรอคอย.
มีเพียงที่เมื่ออัตตากลายเป็นถ่อมต่ำต้อยลงเท่านั้นผ่านความล้มเหลว,
โศกเศร้า หรือยอมแพ้แล้วเท่านั้น ที่ชีวอัตตาจะกลับมาพูดอีกครั้ง.
(They chase spiritual experiences
but avoid deep stillness. The Soul does not compete. It retreats. When the Ego
takes the throne, the Soul steps back and waits. Only when the Ego becomes humble
through failure, grief or surrender does the Soul return to speak.)
อีกอันหนึ่งของความละเอียดอ่อนแต่ขัดแย้งขั้นวิกฤติที่ผุดขึ้นระหว่างจิตวิญญาณกับชีวอัตตา. บัลลังก์ทั้งสองเหล่านี้ทั้งคู่ต่างคือทวยเทพ,
แต่พวกเขาปฏิบัติการที่ความเร็วและอย่างไพศาลทั้งหลายที่แตกต่างกัน.
จิตวิญญาณนั้นรวดเร็ว. มันเผาไหม้. มันแสดงกระทำ. แต่ชีวอัตตานั้นเชื่องช้า.
มันไตร่ตรอง, จดจำ, และเคลื่อนไปตามแอบอิงอยู่กับซุ้มโค้งทั้งหลายของชะตากรรม.
(Another subtle but critical
conflict arises between the spirit and the Soul. These two thrones are both
divine, but they operate at vastly different speeds. The Spirit is fast. It
burns. It moves. It acts. The Soul is slow. It
contemplates, remembers, and moves according to long arcs of destiny.)
เมื่อจิตวิญญาณกลายไปเป็นโดดเด่นนำมากไป,
มันผลักดันเพื่อแสดงกระทำก่อนที่จะบูรณาการจะเข้ามาแทนที่. มันต้องการที่จะสร้างสรรค์,
แสดงออก, ปลดปล่อยและทะยานขึ้น. แม้กระทั่งเมื่อชีวิอัตตานั้นยังคงนิ่งสงบอยู่ในกระบวนการของการเรียนรู้,
บำบัดรักษา, หรือเตรียมพร้อม. สิ่งนี้ก็สร้างสรรค์ความตึงเครียดขึ้นที่รู้สึกได้เหมือนความฉุกเฉินที่ปราศจากความกระจ่างชัด.
(When
the Spirit becomes too dominant, it pushes for action before integration has
taken place. It wants to create, express, liberate, and ascend. Even when the
Soul is still in the process of learning, healing, or preparing. This creates a
tension that feels like urgency without clarity.)
อะไรบังเกิดขึ้นเมื่อจิตวิญญาณและชีวอัตตาของคุณไม่ได้ถูกจัดเรียงแนว? (What Happens When Your Spirit & Soul
Are NOT Aligned?)
บุคคลหนึ่งอาจรู้สึกจำเป็นอย่างสิ้นหวังที่จะแสดงกระทำ,
พูด, หรือเปลี่ยนรูป, แต่พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมหรืออย่างไร.
พวกเขาอาจจะเริ่มต้นส่องและละทิ้งพวกเขา. พวกเขาอาจจะแสวงหาประสบการณ์ความรู้แจ้งแต่รู้สึกสูญเสียภายหลังจากนั้น.
(A person may feel a desperate
need to act, speak, or transform, but they don’t know why or how. They may
start projects and abandon them. They may pursue enlightenment experiences but
feel lost afterward.)
นี้คือไฟของจิตวิญญาณเผาไหม้อย่างรวดเร็วกว่านาฬิกาของชีวอัตตาสามารถยั่งยืนได้.
จิตวิญญาณต้องเรียนรู้ที่จะอดทนและชีวอัตตาต้องเป็นที่มีเจตจำนงในการที่จะอนุญาตให้จิตวิญญาณที่จะแสดงกระทำเมื่อถึงเวลาที่ถูกต้อง.
เมื่อทั้งสองเหล่านี้ได้จัดแนว, ผลลัพธ์ก็คือชะตากรรมก็ประกาศสำแดงออกมาผ่านการกระทำนั้น.
(This
is the fire of Spirit burning faster than the Soul’s clock can sustain. The
spirit must learn patience and the Soul must be willing to give the Spirit
permission to act when the time is right. When these two align, the result is
destiny manifesting through action.)
บุคคลนั้นเคลื่อนไปไม่ได้เพียงรวดเร็ว แต่ในทิศทางที่ถูกต้อง,
ที่ชั่วขณะที่ถูกต้อง. ชีวิตของพวกเขากลายเป็นการเค้นรำหนึ่งระหว่างปัญญานิรันดร์กาลและการแสดงออกในทันทีนั้น.
หนึ่งในความขัดแย้งที่ลึกล้ำที่สุดและถูกซ่อนเร้นก็คือ ความหวาดกลัวของอัตตาต่อจิตวิญญาณ.
อัตตาเจริญรุ่งเรืองอยู่กับความคาดหมายได้, ความปลอดภัย,
และความควบคุม. (The person moves not just fast but in
the right direction, at the right moment. Their life becomes a dance between
eternal wisdom and immediate expression. One of the deepest and most hidden
conflicts is the Ego’s fear of the spirit. The Ego thrives on the
predictability, safety, and control.)
จอิตวิญญาณไม่สามารถคาดหมายได้,
ป่าเถื่อน, และถูกปกครองโดยแรงกระตุ้นทวยเทพ. อัตตารู้ดีว่าถ้าจิตวิญญาณได้ตื่นรู้เต็มเปี่ยม,
หลายสิ่งของโครงสร่างทั้งหลายมัก็จะพังพาบลง. นี้รวมทั้งอัตลักษณ์ผิดๆทั้งหลาย,
อุปาทาน/ความยึดติดทั้งหลาย, บทบาททั้งหลาย, และความคาดหวังทั้งหลาย.
(The
Spirit is unpredictable, wild, and governed by divine impulse. The Ego knows
that if the Spirit is fully awakened, many of its structures will collapse. This
includes false identities, attachments, roles, and expectations.)
อัตตาหวาดกลัวต่อจิตวิญญาณ
เพราะว่าจิตวิญญาณนั้นไม่ได้ถามขออนุญาตต่อมัน. มันไม่ได้เจรจาต่อรอใด.
มันเคลื่อนไป. มันบัญชาการ. มันริเริ่มกระบวนการขัดขวางอันศักดิ์สิทธิ์. นั่นยคือทำไมที่อัตตาบ่อยครั้งพยายามที่จะระงับและสะกดกลั้นจิตวิญญาณโดยการเบนเบี่ยงรบกวนต่อจิต,
ทำความมึนชาทึมทื่อกับกาย หรือป้อนให้ซึ่งความสงสัยกังขาลังเลใจ. (The Ego fears the Spirit because
the Spirit does not ask for permission. It does not negotiate. It moves. It
commands. It initiates sacred disruption. That is why the Ego often tries to
suppress or sedate the Spirit by distracting the Mind, numbing the body or feeding
constant doubt.)
มันจะบอกว่า, “คุณเป็นใครหรืแอที่จะมาพูดถึงความสัจจริงนั่น?”
หรือ, “มันเสี่ยงเกินไป.” มันจะรายล้อมไฟของจิตวิญญาณด้วยกำแพงของตรรกะ
และ สถานะทางสังคม. แต่เมื่อใดที่จิตวิญญาณพังทะลุผ่าน,
อัตตาก็ไม่มีทางเลือกใดได้แต่ยอมพ่ายแพ้หรือทุกข์ระทม. (It will say, “Who are you to
speak that truth?” Or, “That’s too risky.” It will surround the Spirit’s flame
with walls of logic and social conditioning. But once the Spirit breaks through,
the Ego has no choice but to surrender or suffer.)
นี้เป็นบ่อยครั้งที่ชั่วขณะของวิกฤติของความตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ.
ทุกสิ่งที่คุ้นเคยก็จะเริ่มต้นแตกแยกลงไป. อัตตาเรียกมันว่าการพังทลาย. ชีวอัตตาเรียกมันว่าการพังทะลุผ่าน.
ในชั่วขณะนี้, อัตตาต้องถูกอบรมสั่งสอนใหม่, ไม่ใช่ถูกทำลายลงไป. มันต้องถูกสอนว่า จิตวิญญาณนั้นไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะทำลายล้างมัน,
แต่เพื่อกำหนดมอบหมายงานให้มันใหม่.
(This is often the moment of crisis in spiritual awakening.
Everything familiar begins to fall apart. The Ego calls it a breakdown. The
Soul calls it a breakthrough. In this moment, the Ego must be retrained, not
destroyed. It must be taught that Spirit is not here to annihilate it, but to
reassign it.)
อัตตากลายไปเป็นิผู้แปลความ, ผู้ปกป้องของตัวตนใหม่
มากไปกว่าผู้คุมขังของตัวตนเก่าเดิม. การเปลี่ยนผ่านนี้เปราะบาง,
แต่มันเป็นจุดเลี้ยวที่ทรงพลังอำนาจมากที่สุดในการเดินทางไปสู่อำนาจอธิปไตยที่แท้จริง.
(The Ego becomes a translator, a
protector of the new Self rather than a jailer of the old one. This transition
is fragile, but it is the most powerful turning point in the journey toward true
sovereignty.)
อัตตากลายเป็นบิดเพี้ยน,
ไม่ใช่เมื่อมันแสวงหาการปกป้องคุ้มครอง, แต่เมื่อมันปฏิเสธที่จฺวิวัฒนะ.
งานของมันคือการก่อรูปร่างและคงไว้ซึ่งประสาทรู้สึกของตัวตนของคุณ,
แต่เมื่อมันกลายเป็นที่แข็งกระด้าง,
มันเริ่มต้นที่จะดื้อดึงต่อต้านประสบการณ์รับรูใดๆที่อาจท้าทายการควบคุมของมัน. (The Ego becomes distorted, not
when it seeks protection, but when it refuses to evolve. Its job is to form and
maintain your sense of Self, but when it becomes rigid, it begins to resist any
experience that might challenge its control.)
คุณสามารถจดจำได้ถึงอัตตาที่บิดเพี้ยนหนึ่งได้โดยหนทางที่มันตอบสนองต่อการวิพากษ์วิจารณ์,
การนิ่งเงียบ, และความลึกลับ.
เมื่อบุคคลหนึ่งกลายเป็นไม่สบายอย่างลึกๆในการเงียบ—เมื่อพวกเขาตรวจดูซ้ำๆกับโทรศัพท์ของเขา,
ขัดแทรกคนอื่นๆ, หรือเติมทุกการหยุดพักด้วยเสียง, พวกเขาไม่ไกด้แค่หลีกเลี่ยงความเบื่อหน่ายเท่านั้น.
(You can recognize a distorted
Ego by the way it responds to criticism, silence, and mystery. When a person
becomes deeply uncomfortable in silence—when they compulsively check their
phone, interrupt others, or fill every pause with noise, they are not just
avoiding boredom.)
พวกเขากำลังหลีกเลี่ยงการพังทลายลงของอัตลักษณ์ของอัตตา.
ความเงียบคือกระจกเงาหนึ่งและอัตตาหวาดกลัวต่อกระจกเงาทั้งหลาย.
อัตตาที่สมบูรณ์แข็งแรงสามารถที่จะพักอยู่ในความนิ่งสงบโดยปราศจากความตื่นตระหนก.
อัตตาที่แข็งกระด้างกลายเป็นเร่าร้อนและเสาะหาซึ่งความฟุ้งซ่าน.
(They
are avoiding the collapse of the Ego’s identity. Silence is a mirror and the
Ego fears mirrors. A healthy Ego can rest in stillness without panic. A rigid
Ego becomes agitated and seeks distraction.)
อีกเครื่องหมายหนึ่งของอัตตาซึ่งบิดเพี้ยน
คือความจำเป็นต้องการที่จะอธิบายในทุกสิ่งทุกอย่าง, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอารมณ์รู้สึกทั้งหลาย. ถ้าใครบางคนรู้สึกจำเป็นที่จะต้องคอยหาเหตุผลมาอธิบายปฏิกิริยากระทำทั้งหลายของพวกเขาอยู่เสมอ
หรือว่าบอกเล่าความรู้สึกของพวกเขา ประดุจว่าเป็นระบบกลไกปกป้อง,
มันบ่อยครั้งที่คือความพยายามของอัตตาที่จะอยู่ในการควบคุม. ชีวอัตตาไม่ได้จำเป็นต้องการที่จะอธิบายอารมณ์รู้สึกทั้งหลายของมัน.
มันแค่ง่ายๆที่จะรู้สึกและไหลเลื่อนไป. (Another sign of a distorted Ego
is a need to explain everything, especially emotions. If someone feels the need
to constantly justify their reactions or to narrate their feelings as a defense
mechanism, it is often the Ego’s attempt to stay in control. The Soul does not
need to explain its emotions. It simply feels and flows.)
ท้ายที่สุด, เครื่องหมายที่ละเอียดอ่อนอย่างมากคือความขุ่นเคืองไปยังความลี้ลับ.
ถ้าบุคคลนั้นรู้สึกกระวนกระวายใคร่รู้หรือไม่เป็นสุขเมื่ออะไรบางอย่างไม่สามารถที่จะถูกระบุกำหนดชี้ชัดได้,
ถูกประทับตราได้, หรือถูฏจำแนกแยกแยะประเภทได้. มันก็แสดงว่าอัตตากำลังมีอำนาจเหนือกว่า.
ชีวอัตตาเจริญรุ่งเรืองเมื่อใด, อัตตาก็พังพาบอยู่ใต้มัน. (Finally, a very subtle sign is
resentment toward mystery. If person feels anxious or irritated when something
cannot be defined, labeled, or categorized, it shows that the Ego is
dominating. The Soul thrives in mystery. The Ego collapses under it.)
ได้โปรดกดlikeให้กับวิดีโอนี้และแบ่งปันความคิดเห็นทั้งหลายของคุณกับเรา.(Please
like this video and share your thoughts with us.)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น