หน้าเว็บ

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

พระอาจารย์ชยสาโร - ไม่ฝึกก็เสื่อม

พระอาจารย์ชยสาโร - ไม่ฝึกก็เสื่อม

พระธรรมเทศนา เรื่อง 'ไม่ฝึกก็เสื่อม' ปฏิบัติธรรมบ้านบุญ วันอาทิตย์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๘

          https://www.youtube.com/live/4K_lHTZpj18?si=pqWUlSXuO9J0grgV

          จุดวิกฤติในอารยธรรมตะวันตกเมื่อ ๑๐๐ ปี แล้ว เกิดขึ้น ในเมื่อฮิตเลอร์ขึ้นอำนาจในเยอรมัน ขึ้นอำนาจได้อำนาจตามหลักประชาธิปไตยน่ะ ไม่ใช่ว่าเป็นปฏิวัติเป็นกบถ ก่อนหน้านั้นประเทศเยอรมัน ถือว่าเป็นประเทศที่เจริญที่สุดในยุโรป พร้อมกับอังกฤษ แต่มองทางด้านปรัชญา ศิลปะ ดนตรี วรรณกรรม เยอรมันอาจจะเจริญมากกว่าอังกฤษ ด้วยซ้ำไป แต่ภายในไม่กี่ปีเยอรมันก็กลายเป็นประเทศโหดร้าย โดยเฉพาะในเรื่องของการสังหารคนยิว ๖ ล้านกว่าคน ก็ทำสิ่งที่น่าเกลียดน่าสยดสยองอย่างนึกไม่ถึง ว่ามันจะเป็นไปได้และประเทศหนึ่งจะเปลี่ยนได้เร็วขนาดนั้น แต่สิ่งที่น่าตกใจนี้ก็คือ คนที่ทำความโหดร้ายต่างๆหลายกรณีนั้น ไม่ใช่เป็นพวกโรคจิต เป็นชาวบ้าน เป็นคนธรรมดา ซึ่งทำให้ปัญญาชนชาวตะวันตกจำนวนหนึ่ง กลับมาทบทวนประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา รวมทั้งเรื่องศาสนา วัฒนธรรมต่างๆว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? เป็นจุด จะว่าเป็นจุดวิกฤติ เป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่ทำให้ปัญญาชนตะวันตก จำนวนไม่น้อยเลย ที่หันมาหาคำตอบในอารยธรรม ในศาสนาของตะวันออก

          และในกระแสนี้อาตมาเป็นผู้ที่ค่อยเข้าเมื่อเวลาผ่านไป ๒๐ กว่าปี ๓๐ ปี จุดแรกในระลอกแรก มันจะเป็น จะมีชาวอเมริกัน ที่ไปอยู่ญี่ปุ่น หลังสงครามโลกที่ ๒ จบลงไปแล้ว แต่เรียนรู้เรื่องพุทธทางเซน เซนก็เลยเป็นที่นิยม เป็นแฟชั่นในอเมริกา เมื่อ ๗๐ - ๘๐ ปีที่แล้ว ต่อมาเมื่อจะมีสงครามเวียตนาม ความสนใจของโลกก็หันมาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็คงจะมีมาทางไทยทางพม่า แค่ที่คนนิยมที่สุดก็อินเดีย ไปกันเยอะ

          แต่บทสรุปที่ได้ ที่อาตมาได้ก็คือ ความ ความไม่เบียดเบียน หรือความไม่คิดที่จะเบียดเบียน และการใช้ชีวิตอย่างไม่เบียดเบียนใคร ถ้ามองคนร้อยคนนะ อันนี้ก็คิดง่ายๆว่า สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร? สักสิบคนในร้อย จะดีจนได้ ไม่เบียดเบียนใคร แล้วก็จะมีน้อยกว่าสิบคนในร้อยซึ่งสิ่งแวดล้อมเป็นยังไง ก็จะมีความยินดีในการเบียดเบียน แต่ ๗๐ หรือ ๘๐ คน ใน ๑๐๐ คน อ่อนแอ จะไปตามกระแส ถ้าสร้างสิ่งแวดล้อมให้ดี เอื้อต่อการรักษากฎหกมาย เอื้อต่อการอยู่ด้วยกันอย่างสันติ คนส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติ แต่ศีลมันไม่ได้อยู่ในใจ เป็นปลาอยู่ในน้ำ พอสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ศีลไม่มีในตัว ก็มีแต่การทำตามกฎหมาย ทำตามกฎระเบียบต่างๆ โดยไม่ได้คิดอะไร

เมื่อทำความชั่วได้ โดยที่ เอ่อ ไม่มีใครตำหนิ ไม่มีใครจับได้ ไม่ต้องกลัวติดคุกติดตาราง ปรากฏว่าง่ายกว่าที่คิด กลายเป็นเรื่องปกติ เรื่องนี้มันสอนว่าอย่างไร? หนึ่ง สำหรับอาตมา ข้อที่แรก ข้อแรกก็คือ จะต้องมีวินัย จะต้องมีกฎหมาย และจะต้องมีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำดี เพื่อให้คนส่วนใหญ่ที่ยังไม่มี จิตใจยังไม่เข้มแข็ง ก็จะไม่ทำบาปทำกรรมมาก และเพื่อเป็นกำลังใจ กับผู้ที่มุ่งมั่นต่อคุณงามความดี สนับสนุนคนดี แล้วก็จะมีการป้องกันและการลงโทษ หรือการจัดการในทางที่ถูกต้องกับผู้ที่ยังๆก็ต้องทำความชั่วจนได้

แต่นอกจากนั้นแล้ว เราก็ยังจะต้อง สร้างวัฒนธรรมที่คนมีอุดมการณ์ มีความต้องการที่จะฝึกตน ให้มีศีลแท้ เกิดขึ้นในใจ จนกระทั่งยืนยันได้ว่า ถึงแม้ว่า อยู่ในที่ทำความชั่วได้โดยไม่ต้อง อ่า ไม่ต้องรับผิดชอบได้เลย อาจจะยังได้รับการยกย่อง ว่าเป็นผู้รักชาติก็ได้ ฉันก็ไม่ทำ

ก็อะไรคือคุณธรรม ที่จะเป็นเครื่องรับประกันในเรื่อวงนี้ ก็หิริโอตัปปะ1นั่นเอง ที่เรียกว่าความละอายต่อบาป ความเกรงกลัวต่อบาป ทีนี้คำว่า บาป ให้เข้าใจความหมายของคำว่า บาป บาปก็คือ กรรมไม่ดี คือการกระทำ

1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81

ที่ไม่ดี ความละอายก็คือ ละอายต่อการกระทำสิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าทางกาย ทางวาจา ทางใจ รู้สึกว่าการทำอย่างนั้นมันน่าละอาย ฉะนั้นมันจึงเป็นความรู้สึกที่ต้องเกิดขึ้นภายใน มันไม่ใช่ว่าจะ มันจะฝังอยู่ในกฎระเบียบ กฎหมายบ้านเมือง มันทำไม่ได้ แล้วก็จะต้อวงมีความเกรงกลัวต่อ การทำ การพูด การคิด ในสิ่งที่ไม่ดี

          ทั้งนี้ ความละอายและความเกรงกลัว เป็นความรู้สึก แต่มันเกิดจากปัญญา แต่เมืองไทยนี่เมื่อเรา เอ่อ พยายาม จะเป็นเมืองพุทธ ถือว่าเราควรจะให้น้ำหนักกับปัญญา ปัญญาที่เห็นชัดเลยว่า ทำไมการเบียดเบียน โดยกาย โดยวาจา โดยใจ น่าละอาย เพราะอะไร? และ ทำไมการกระทำที่เป็นการเบียดเบียน การทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่สมควรนั้น มันน่ากลัว?  

          ต้องมีการศึกษา แล้วจะต้องมีการดู ในการดูภายใน นี้แหละสำคัญที่สุด เพราะกฏแห่งกรรมถ้าเป็นกฏแห่งกรรมข้ามภพ ข้ามชาติ เราก็รับไว้เหมือนเป็นสมมติฐาน รับไว้ด้วยความไว้วางใจ ในมหาปัญญาธิคุณของพระอริยะ เอ่อ ของพระพุทธเจ้าเลย และพระอริยะเจ้าทั้งหลายได้ยอมรับว่าเรามองไม่เห็น แต่กรรมในความหมาย ในเชิง ในช่วงสั้นๆ คือความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำไปด้วยเจตนาทางกาย ทางวาจา ทางใจ กับผล ที่เกิดขึ้น นั้นเป็นสิ่งที่เราศึกษาได้ และเมื่อเราเห็นความสัมพันธ์ชัดเจนว่า ถ้าทำอย่างนี้ พูดอย่างนี้ คิดแอย่างนี้ มันก็เกิดผลร้ายอย่างนี้ อย่างนี้ ความรู้สึก ละอายก็จะเกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องบังคับ มันเองเป็นผลของการดู ผลการรู้ วิถีชีวิต วิถีของจิต วิถีของกายของใจ ดูได้ และก็สมควรจะดู ถ้าไม่ภาวนานี่มันไม่รู้ไม่เห็น

และอาตมาออกบวชมาเมืองไทย อาตมา คือก่อนมาเมืองไทย พระที่รู้จักก็เฉพาะพระสายหลวงปู่ชา โดยมีกลวงพ่อสุเมโธ เป็น อ่า เป็นเจ้าอาวาส เป็นผู้นำ ตอนนั้นมีความเข้าใจว่า พระคือ ผู้ที่ออกจากเรือน เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นผู้ทรงศีล อะไรเนี่ยะ คือรักง่ายๆอย่างนี้ แล้วก็เข้าใจ เราเองว่า ใครครองผ้าเกลืองก็ต้องเป็นอย่างนั้น ทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นจะบวชพระทำไม?

แต่มาเมืองไทย งงเลย เอ๊ ทำไมเป็นอย่างนี้? คือไม่ใช่ว่าเจอพระที่ ไม่มีฉันทะ มีความมุ่งมั่นต่อมรรคผลนิพพานแล้ว ก็เชื่อว่าพระส่วนมากส่วนใหญ่ ไม่ภาวนา ไม่...ไม่ภาวนา ก็คือ ไม่คิดจะฝึกตน คือการภาวนาก็คือเรื่องของการฝึกกาย ฝึกวาจา ฝึกใจ ในขั้นละเอียด แล้วอาตมาก็งงอยู่เหมือนกัน เอ๊ะ ท่านอยู่ได้ยังไง? ในเรื่องมี อ่า ออกจาก ออกจากเรือนแล้ว แล้วถ้าไม่มีคุณธรรมอยู่ในใจ ไม่ฝึกจิต ให้มีสติ ให้มีความอดทน ให้มีปัญญา ให้มีหิริให้มีโอตัปปะ อะไรเป็นต้น เป็นเครื่องป้องกัน แล้วเมื่อเจอเรื่อง แล้วที่สำคัญที่สุด ยิ่งกว่านั้น ไม่รักษาพระวินัยด้วย ก็เลยสงสัยว่า เอ๊ อยู่ได้อย่างไร ในเมื่อมีการกดดัน หรือมีสิ่งยั่วยุ กิเลส ท่านเอาตัวรอดได้ยังไง?

เพราะสิ่งที่จะช่วยให้พระเป็นพระที่ดี และเป็นพระในรูปแบบที่ เรียกว่าเหมาะสม ถูกต้องนั้น ก็มีวินัย กับการฝึกตน ส่วนที่จริงวินัยก็ ส่วนหนึ่งของการฝึกตนอยู่ดี ก็เป็นการฝึกกาย ฝึกวาจา พุทธศาสนา ไม่ว่าเป็นพระ เป็นโยม ถือว่า อยู่ด้วยการฝึกตน พุทธองค์ก็ตรัสยืนยันไว้บ่อยๆว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐได้ ด้วยการฝึกตน เราฝึกตนได้ และควรจะฝึกตน แต่ถ้าไม่ฝึกตน ก็มีแต่ความทุกข์ร่ำไป

  ฉะนั้นก็เป็นปัญหามานานมากแล้ว ว่าพระสงฆ์ส่วนใหญ่ ซึ่งนี้ว่าเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาตมาว่าในหลายด้านนี่ มีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น อืม แต่พระสงฆ์ที่ไม่รักษาพระวินัย หรือว่ารักษาวินัยเป็น อ่า เป็นบางข้อ แล้วที่ไม่มีการฝึกตน เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็ไม่แปลกใจว่า จะต้องมีความเสื่อม เกิดขึ้น ทีนี้ในเรื่องของวินัย สิกขาบทที่เป็นปัญหาตั้งแต่พุทธองค์ปรินิพพานใหม่ๆ ก็เรื่องเงินเรื่องทอง มีพระเถียงกันเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยนู่นเลย 2,000 กว่าปีว่า มันลำบากเกินไป มันยาก มันไม่จำเป็นแล้ว อะไรเนี่ยะ คือจะมีความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเถรวาทกับมหายาน จะต่างกันนะ ในมหายาน ถ้าเป็นวินัย มีอะไรที่ไม่สะดวก บอก ก็ยกเลิกไปเลย อ่า ปรับเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าตามกิเลสเสมอไป บางทีเป็นการตอบสนอง ของความเปลี่ยนแปลงในสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่ไม่เหมือนในประเทศอินเดีย เป็นต้น

แต่เถรวาทมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งว่า เราถือหลักที่ว่า เราจะไม่ยกเลิกสิกขาบทที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เป็นอันขาด และเราจะไม่บัญญัติสิกขาบทใหม่ คือเถรวาทถือว่าเป็นสายอนุรักษนิยม เราจะไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อความสะดวกในการเผยแผ่ เราถือว่าหน้าที่ของเรา เราก็รักษาของเก่าเอาไว้ ของเก่ามันดีแล้ว แต่ถ้าพระที่ไปอยู่จีน ไปอยู่เกาหลี ไป เอ้อ น่าจะดีนะอินเดีย แต่ที่นี่มันไม่ไหวนะ มันไม่ได้ จะยกตัวอย่างเรื่องบิณฑบาต ในอินเดีย เรื่องพระหรือสมณะ ออกจากเรือน แล้วอาศัยบิณฑบาต อาศัยน้ำใจของญาติโยม ในเรื่องของปัจจัย ๔ เป็นที่ยอมรับของชาวอินเดียตั้งแต่สมัยพุทธกาล ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นที่ยอมรับ ของชาวอินเดีย พระ พุทธเราเดินเข้าไปในหมู่บ้านไหน ในประเทศอินเดีย เค้าไม่รู้จักเรา รู้ไม่จักเป็นสายไหนนิกายไหน ศาสนาไหน แต่เค้าเห็นเราเป็นสมณะ ชาวบ้านก็จะใส่บาตร ชาวบ้านจะดูแล ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ ไม่ต้องคิด นี่คือความหมายของคำว่าวัฒนธรรม สิ่งที่ทำโดยไม่ต้องคิด ก็แน่นอนแล้ว ชัดเจนละ ต้องดูแล

แต่ประเทศจีนไม่เป็นอย่างนั้น ประเทศจีนก็ถือว่า ถ้าไม่ทำงานก็ไม่ต้องกินหรอก ไอ้การนั่งหลับตา ไม่ทำอะไรช่วยสังคม น่ะ เราจะ อ่า ให้คนอื่นดูแลทำไม? อันนี้สรุปให้ง่ายๆ อ่า แต่ว่าในอิทธิพลของลัทธิขงจื๊อหรือของเก่าของจีนเค้าเป็นอย่างนั้น แล้วนานๆเข้าในการออกบิณบาตรในเมืองจีนเลยน้อยลง น้อยลง หายไปเลย วิถีชีวิตพระเปลี่ยนแปลง ไป พระต้องทำกับข้าวเอง ซื้อที่ ดูแลตัวเอง เพราะพระต้องดูแลตัวเองแล้ว ก็มีความเปลี่ยนแปลงอย่างอื่น พระก็ปลูกข้าว ไอ้ ถ้ายังงั้นพระจะเลี้ยงวัวเลี้ยงควายเลี้ยงหมู แล้วก็ฆ่าเพื่ออาหาร โอ๋ แน่นอน ไม่ต้องไปทำยังงั้น ฉะนั้นพระก็เริ่ม อ่า ทานเจ พระมหายานในจีนก็ฉันเจ เพราะก็ทำอาหารเอง ก็เลยเป็นสิ่งที่ตามมา มาตามเหตุตามผล แต่ในการที่พระต้องดูแลตัวเองมากขึ้น ความสัมพันธ์กับฆราวาส ความสัมพันธ์กับชาวบ้าน ก็ลดน้อยลง ก็มีการแยกออกจากสังคม มากกว่าในประเทศเถรวาท

นี่เป็นตัวอย่างที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิตของพระสงฆ์ในประเทศจีน โดยเป็นการค่อยปรับตามสิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์บ้าง ทางวัฒนธรรมศาสนาบ้าง แค่ในเถรวาทบอกว่าเราไม่เปลี่ยน นี่คือของเรา ถ้าคุณสนใจเราก็ยินดีแบ่งปัน คุณไม่สนใจ ก็เรื่องของคุณ แต่เราก็จะไม่ปรับ ถ้ามีคน โอ๊ นี่อนัตตาน่ะ เข้าใจยาก ทำให้คนไม่...เอ่อ มันไม่ใช่ว่าเราจะประชุมมหาเถรสมาคม โอ๊ ไอ้เรื่องอนัตตานี่ไม่ได้แล้วนะ คนไม่เอาละ ยกเลิกดีมั๊ย? เอาคำสอนที่ง่ายกว่านี้หน่อย มันทำไม่ได้ เราก็มีหน้าที่รักษาของเก่าเอาไว้

แต่ว่า ในประวัติศาสตร์ อย่างที่เรารู้น่ะ มีพระที่ยังไม่พอใจกับวินัยหลายข้อ จะทำยังไง? เราจะยกเลิกไม่ได้ จะบัญญัติข้อใหม่ไม่ได้ จะทำยังไง? ตีความใหม่ ตีความของของเก่า ไปในทางที่ไม่ต้องรักษา นี่พูดตรงๆ แบบว่า เงินนี่รับไม่ได้ เอ้า ถ้าอยู่ในซอง ก็ไม่ได้จับสิฮะ เงินอยู่ในซองนะ อ้าว ก็อย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งก็มีอย่างนี้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล คือเราจะมีอรรถะ กับ พยัญชนะ ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษก็จะเป็น spirit and letter หมายถึงว่า มีทั้งทั้ง อ่า ถูกต้องตามตัวหนังสือและถูกต้องตามเจตนารมณ์ในการบัญญัติ ไปด้วย ไม่ใช่เอาแต่ตัวอักษรเป็นหลัก แต่ไม่ได้เอาเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก คือทำไมพระพุทธองค์ทำไว้อย่างนี้? มันก็เลย อ่า ไม่รักษาได้ โดยมีข้ออ้าง ในเถรวาทมีการไม่ทำตามพระวินัย ที่ไหนก็จะมีข้ออ้างพร้อมเลย อันนี้ก็จุดอ่อนของเรา 

ทีนี้เรื่องของการ...การปฏิบัติต่อเงิน ในพระวินัย พุทธองค์ก็ตรัสอย่างละเอียดมาก คือพุทธองค์อนุญาตให้ มีไวยาวัจกร2 เช่นว่า โยมอยากถวายเงิน พระรับไม่ได้ แต่เรามีไวยาวัจกรได้ อย่างสมมติโยมเปรมเป็นไวยาวัจกร ถ้าโยม ข้าพเจ้าขอถวายปัจจัย ๑๐๐ บาท อาตมาจะบอกว่า ฝากไว้กับโยมเปรมก็ได้ โยมเปรมเป็นไวยาวัจกร ไม่ได้ พูดอย่างนี้ไม่ได้ นั้นผิดนะ เพราะเราเป็นการสาง เหมือนเรามีอำนาจในการใช้เงิน เราไม่มีอำนาจ เราก็ว่า เนี่ยะ คนนี้เป็น  

2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%A3

ไวยาวัจกร แต่บางทีก็ยอมรับนะ ว่าบางที หะหะ บางทีมันยากนะ คนก็ไม่รู้ว่าไวยาวัจกร หรือว่าคนนี้ เคาก็งง เพราะงั้น ภาษาไทยก็มีทางออก มีทางออกง่ายๆคือคำว่า “ได้” อืม ฝากไว้กับคนนี้ได้ ใช่มั้ย? คือไม่ใช่เป็นการสั่ง แต่มันเป็นการให้ทราบ ทางเลือก อื่อ บางทีก็จำเป็นนะ พยายามไม่พูดในบางที คนก็งง ไปต่างประเทศคนก็งง

          แต่สำคัญก็คือ โยม โยมสมบูรณ์ ก็ฝากปัจจัยไว้กับโยมเปรม ทีนี้อาตมาก็ยังถือว่า ๑๐๐ บาทนั้นเป็นเงินของโยมสมบูรณ์  ที่ฝากไว้กับโยมเปรม ไม่ใช่เงินของเรานะ เปรม อาตมาขาดแปรงสีฟัน สมมตินะ เปรมก็ ครับ เดี๋ยวผมจัดการ อย่าวนี้ แต่สมมติว่าเปรมเค้าคัดค้าน ท่านพระอาจารย์นี่ เพิ่งถวายแปรงสีฟันเมื่อเดือนที่แล้วเอง ของเก่าอยู่ที่ไหน? หึหึหึ ไม่ให้หรอก ท่านอาจารย์ต้องเป็นตัวอย่างในการใช้ของอย่างประหยัด ยังสั่งสอนเราด้วยอ่ะนะ ถ้าเวลาผ่านไปก็ยังยืนหยัดอยู่อย่างนั้น พระก็มีสิทธิสมบูรณ์ เอ้ ปัจจัยที่ฝากไว้กับเปรมเนี่ยะ ไม่ยอมจ่ายเลย เก็บไว้ จึงเป็นเรื่องระหว่างเปรมกับสมบูรณ์ ไม่ใช่เรื่องของเรา อย่างนี้มัน คือรายละเอียดนี่มัน เอ่อ มันยาวมาก แต่ก็เป็นตัวอย่างที่พุทธองค์ ท่านก็บัญญัติไว้หมดแล้ว

          ทีนี้ เอ่อ การที่พระจะไม่ใช้เงินนะ มันก็จะต้องเป็นความร่วมมือระหว่างพระกับโยม และทุกๆคนก็ต้องเข้าใจหลักการ เพราะว่า หลายวัด อันนี้อาตมาก็เคยพูดอย่างนี้ หลายวัดทุกกวันนี้ผู้ พระน้อยก็รู้สึกว่า ถ้าไม่รับเงินนี้อยู่ไม่ได้ เพราะวัดไม่ดูแล บางวัดก็ยังเก็บค่าน้ำค่าไฟกับพระด้วยซ้ำไป ซึ่ง...เมื่อกี้นี้ตอนต้นเนี่ยะบอกว่า เราสร้างระบบที่เอื้อต่อการรักษากฎหมาย ถึงแม้วาญาติโยมก็ยังไม่มีศีลแท้ ยังมีกิเลสเยอะ กฎหมายบ้านเมือง ข้อตกลงในชุมชนก็ช่วยด้วย ช่วยในระดับหนึ่ง ทีนี้ถ้าเราต้องการให้พระรักษาวินัย เราต้องช่วยกันสร้างระบบที่เอื้อต่อการรักษาวินัย

          ในเรื่องของเงินน่ะ ทุกวันนี้ ระบบไม่เอื้อ ระบบเอื้อต่อการใช้เงินมากกว่าการไม่ใช้เงิน ซึ่งมันจะไปว่าเป็นความผิดของใคร? มันทั้ง ๒ ฝ่าย ทั้งพระทั้งโยม อาตมามีลูกศิษย์รูปหนึ่ง ท่านพระอเมริกัน ท่านเล่าว่า ท่านไปทำธุระที่กรุงเทพ ไปพักแถวลาดพร้าว ท่านออกบิณฑบาต โยมจะเอาเงินใส่บาตรท่าน ท่านไม่รับ โยมก็งงเลย ไม่เคยเจอในรชีวิตเลยก็เลยว่าเป็นฝรั่ง ว่า เอ้อ ท่านเป็นศาสนาอะไรอ่ะ? คิดว่าพระไม่รับเงิน ไม่น่าเป็นพุทธเลย มันถึงขนาดนั้นน่ะ มันถึงขั้นนั้นเลย

          ทีนี้ไอ้เรื่องของแต่งตัวเป็นพระออกบิณฑบาตน่ะ มีตลอดนะ คือบิณฑบาตในกรุงเทพนะหลายแห่งนะ บิณฑบาตชั่วโมงหนึ่งก็ได้เงินหลายร้อยนะ ถ้าคนมีกิเลสไม่กลัว ไม่กลัวบาปในการครองผ้าเหลือง เพื่อรับเงินน่ะ มันก็น่าสนใจนะ เราจะไปโทษเค้าอย่างเดียว ก็...เค้าก็น่าตำหนิ แต่ผู้ที่เอาเงินใส่บาตรนั้น ก็สนับสนุนพวกนี้ด้วยอาะนะ เพราะฉะนั้นหลายอย่างเราก็ต้องเปลี่ยน ผู้ครองผ้าเหลืองเนี่ยะ ก็มีกิเลส ท่านบวชเพื่อ เพราะต้องการจะหลุดพ้นจากกิเลส ไม่ใช่เพราะไม่มีกิเลส แต่ถ้าครองผ้าเหลืองแล้ว ไม่มีความเพียร พระไม่มีความฝึกตน ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ นานๆเข้า ไอ้กะลาภนี่ก็เพิ่มมากขึ้น สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อความหลง ก็มีมากขึ้น ทีนี้ถ้าพระฝึกตั้งแต่ต้น พออายุพรรษามากขึ้นแล้ว ถ้าสิ่งเหล่านี้มา ก็มีอาวุธ มีความพร้อมที่จะอยู่ท่ามกลางโลกธรรม อยู่ท่ามกลางสิ่งที่คนให้ความเคารพนับถืออะไรต่างๆได้ เพราะมีการ มีภูมิคุ้มกัน แต่พระที่ไม่ปฏิบัตินี่ ไม่มีภูมิคุ้มกัน

          ภูมิคุ้มกันก็ ๑) วินัย อันนี้เรื่องของ “นารีพิฆาต” อะไรต่างเนี่ยะ อาตมาก็พูดตั้งแต่อยู่วัดนานาชาติสมัยก่อนแล้ว วินัยนี่เหมือนกำแพง ๗ ชั้น ชั้นในสุดก็คือ ปาราชิก3 ภายนอกนี่เป็นพวกทุกกฏ อาบัติเล็กน้อย แล้วก็มี ปาจิตตีย์เป็นชั้นๆไป ถ้าเรารักษาชั้นนอก ชั้นในก็ไม่ต้องเป็นห่วง

            3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%81

          * อาบัติทุกกฏ (Tukkata) ในพระวินัยสงฆ์หมายถึง อาบัติเล็กน้อยที่เกิดขึ้นจากการกระทำที่ผิดวินัย แต่ไม่ร้ายแรงเท่ากับอาบัติประเภทอื่นๆ เช่น ปาราชิก หรือ สังฆาทิเสส อาบัติทุกกูฏมีหลายประเภท เช่น การพูดที่ไม่เหมาะสม การกระทำที่ไม่สุภาพ หรือการไม่ปฏิบัติตามข้อห้ามบางประการ 

           ผู้หญิงจะไปทำอะไรพระ เอ่อ อย่างเดียว มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าพระรักษาวินัย ถ้าพระไม่รักษาวินัยเมื่อไหร่ อันตรายทันที ฉะนั้นจะไปโทษผู้หญิงฝ่ายเดียวนี่ไม่ได้ มันต้องผิดทั้ง ๒ ฝ่าย ผิดฝ่ายเดียวนี่มันเหมือน เหมือนกับงูกัดคน งูมันชั่ว อ้าว ถ้าคน ถ้าเป็นงูอสรพิษ เข้าไปใกล้ทำไม? ไปเหยียบมันทำไม? ไปยุ่งกับมันทำไม? มันก็...มันก็เป็นอย่างงี้แหละ ฉะนั้นกิเลส กิเลสก็เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องอำนาจ อะไรพวกเนี้ยะ มันเป็นสิ่งที่พระเราต้องฝึก ตั้งแต่อุปสมบทใหม่ๆ ไม่งั้นพอถึงขั้นที่เป็น เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส เป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะ มีสมณศักดิ์แล้ว มันสายเสียแล้ว

          อยู่ที่การฝึกตน ที่จริงเรื่อง...เรื่องนี้มันไม่ได้ มันไม่ได้ยากมาก ถ้ามีความศรัทธาจริงๆ แต่ว่าเมื่อเราปล่อยให้ระบบ เป็นระบบที่ไม่เอื้อต่อการอยู่อย่างสำรวม ไม่เอื้อต่อความมีสติ ไม่เอื้อต่อการฝึกตน กิเลสกำเริบ ที่พระถ้าพรรษาใหม่ๆนี่ ก็อยู่ด้วยความศรัทธาแรงกล้า ศรัทธาแรงกล้านี่พอจะบ่มกิเลสได้บ้าง แต่พออายุมากขึ้น ศรัทธาไม่อยู่แล้ว มันชินแล้ว กิเลสก็เริ่มกลับมาใหม่ ไอ้ความสำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ จะประมาณในการบริโภค ในการฝึกจิตให้ตื่น เป็นผู้ที่มีความพอใจ มีความสุขในการฝึกตน แล้วจะเป็นผู้ที่อยู่ได้ เอาตัวรอดได้

          พระอยู่ใน อ่า อริยะวงศ์ เรียกว่าเป็นผู้ที่มีความสันโดษ มีความพอใจ กับเสื้อผ้า กับผ้าจีวร กับอาหารบิณฑบาต กับที่อยู่อาศัย ตามที่ญาติโยมถวาย

          และข้อที่ ๔) น่าสนใจ เป็นผู้ที่มีความสุข มีความพอใจในการลดกิเลส ในการละกิเลส ในการบำเพ็ญกุศล ทุกๆคนต้องการความสุขแน่นอน มันอยู่ที่ว่าเราฉลาดพอมั้ยที่จะ ได้รับความสุขจากสิ่งที่ดี? คือมันเป็นการเปลี่ยนกระแส ทุกคนก็ต้องการความสุข มันอยู่ที่ว่าเราจะหาความสุขที่ไหน ถ้าพระนี่มีความสุขในการเป็นสมณะ  มีความสุขในการเห็นกิเลสอ่อนลงๆ มีความสุขในการเห็นคุณธรรมเพิ่มขึ้นๆ มีความภาคภูมิใจในการสร้างประโยชน์ ต่อแสวงประโยชน์ และค่อยมีโอกาสสร้างประโยชน์ส่วนร่วม ตัวเองก็มีความสุข สามารถให้ความสุขกับคนอื่นได้มากขึ้น

          ถ้านี่คือจุดที่เรารู้สึกภูมิใจในชีวิต มีความสุขในการที่เป็นผู้เจริญตามรอยของพระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นผู้ที่มีส่วนในการสืบอายุแห่งของพระบรมพุทธศาสนา ไอ้การจะหาความสุขที่อื่นเนี่ยะ มีโอกาสน้อยลงมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นพระจะเป็นโยม สมาธิช่วยได้มากที่สุด  ก็เป็นที่รู้กันว่า ในการถกเถียงกัน เรื่องสมาธิ มันจะมีว่า โอ๊ เรื่องสมถะ วิปัสสนา เป็นนั้นเป็นนี้ ถกกันไปถกกันมา แต่ที่อาตมาว่าชัดเจนมาก ว่าสิ่งที่จะระงับ หรือที่จะลดความต้องการในกาม ในรูปเสียงกลิ่นรสมากที่สุดก็คือ สมาธิ

          ฉะนั้นจะใช้วิปัสสนาดูเกิดดับดูอะไร ก็ดู...ดีมาก ควรจะทำ แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนความรู้สึกอย่างเห็นได้ชัดเลย ต่อสิ่งที่เคยให้ความสุขความเพลิดกับเรา นี่คือสมาธิ เมื่อเราจิตเป็นสมาธิ ความสุขเป็นอาการเป็นปกติ คือไม่ใช่เป็นความสุขที่เกิดจากการเสพ หรือการสัมผัส แต่ว่าเป็นความสุขที่เป็นเอกลักษณ์ จะเป็นธรรมชาติ ของจิตที่ไม่มีกิเลส ชั่วคราว ถ้าเป็นการบรรลุธรรมแล้ว มันเป็นถาวรเลย แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นนั้น ถ้าฝึกสมาธิ เป็นที่พึ่ง เราก็เรียกว่า ความรู้สึกกระวนกระวาย หรือรู้สึกขาดอะไรสักอย่าง ก็รู้สึกว่าต้องการสิ่งตื่นเต้น ต้องการอะไรสัก...เนี่ยะ มันจะหายไป จิตใจจะมั่นคงเพราะมีที่พึ่ง เรื่องนี้ไม่ต้องบวชเป็นพระหรอก โยมก็ทำได้ เพียงแต่ว่าเห็นความสำคัญ แล้วแบ่งเวลาในแต่ละวัน รู้จักจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆในชีวิตให้ดีกว่านี้หน่อย อ้า เรื่องของการทำสมาธิ ก็หาเวลาไม่ยาก...ยากนักหรอก เพราะยังไม่ศรัทธา ยัวงไม่เห็นความสำคัญ ยังไม่เห็นความจำเป็น จึงไม่ค่อยมีเวลา

          ดังนั้น เรื่องของพระธรรมคำสั่วงสอนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นอมตะ ไม่ว่าชาวอินเดีย ชาวตะวันตก ชาวตะวันออก ไม่ว่าสมัยพุทธกาล สมัยไหน สมัยนี้ อนาคต ต้องถูกต้อง ตรงเป๊ะเหมือนเดิม เพราะอะไร? เป็นเรื่องของกาย ใจ ของมนุษย์ แล้วมนุษย์เราไม่เปลี่ยน จิตใจของมนุษย์เราไม่เปลี่ยน ความโลภความโกรธความหลงของคน ทุกยุคทุกสมัยทุกประเทศ ทุกทวีป เหมือนกันหมด และความไม่โลภไม่โกรธไม่หลง เหมือนกันหมด

ธรรมจึงเป็น ซึ่งเป็นอมตะ อกาลิโก แต่เราต้องปฏิบัติให้เข้าถึง ทุกวันนี้เราเสื่อมจากพระธรรม เสื่อมจากพระวินัย กันมาก แล้วสิ่งที่น่า...สิ่งที่น่าเสียดายว่า ผู้ที่มีบุญ ที่ได้เกิดในประเทศอันสมควร ในประเทศไทย มีบุญ ที่ได้อุปสมบทในพุทธศาสนา มีบุญที่ได้อยู่ในผ้าเหลือง ๑๐-๒๐ ปี ทิ้ง ทิ้งอย่างเหมือนเป็นผ้าขี้ริ้ว สงสารท่านมาก ท่านอาจจะไม่กลัว แต่เราที่ศึกษาเข้าใจ  เรื่องกฎแห่งกรรม กลัวแทน อันนี้ ความเป็นพุทธศาสนา เป็นสิ่งล้ำค่า เราต้องช่วยกันรักษา ไม่ต้องนั่งโกรธ นั่งเกลียด นั่งวิพากษ์วิจารณ์ อันนั้นก็เป็นการเบียดเบียนจิตใจตัวเอง ปล่อยใจให้ไปวิตกกังวลเรื่องอนาคต ของพระศาสนา อะไรนั้นก็เป็น ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ก็คือ พยายามทำจิตให้เป็นกลาง

อะไรเป็นเหตุปัจจัยของความเสื่อม? ทำอย่างไรเราถึงจะได้ระงับได้? ในการระงับความเสื่อมในพุทธศาสนา ส่วนไหนเป็นเรื่องของสงฆ์? ส่วนไหนเป็นเรื่องของฆราวาส? ตรงไหนที่เป็นทั้งสงฆ์และฆราวาส? ต้องช่วยกัน อะไรเป็นเหตุปัจจัยของความเจริญ?  อะไรเป็นสิ่งที่พระต้องทำเอง? อะไรเป็นสิ่งที่โยมก็ต้องทำ? อะไรเป็นสิ่งพระและโยมต้องทำด้วยกัน? แล้วคิดอย่างนี้ ที่จริงสถาบันสงฆ์นี่ยังมีอะไรดีๆเยอะมาก แต่ในขณะเดียวกันต้องยอมรับว่า มีปัญหา ดังนั้นก็ต้องช่วยกัน ช่วยกันแก้ปัญหา

เอาละวันนี้ ก็คงพอสมควร.

...สาธุ... นสิ่งปำ           

          https://www.youtube.com/live/4K_lHTZpj18?si=tEFcS94w17EP6kcx

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น