พระอาจารย์ชยสาโร - เสพติดความคิด
https://youtu.be/LZAB23VNsbk?si=t2DJjlYno3P9Vogv
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
พุทธะง
ธัมมัง สังฆัง อะนุตตะรัง อุปปัชชายัง นะมะสามิ.
อย่างจิตใจของคนเรา ท่านเปรียบเทียบเหมือนเทียนอยู่ในสายลม
เทียนอยู่ในสายลมที่ลมแรงๆก็ ดับไปเลย แต่ถ้าไม่ดับ
แล้วเทียน...แล้วเทียนนั้นจะไม่นิ่ง แล้วเทียนนั้นไม่นิ่งแล้ว จะอ่านหนังสือ
จะทำงาน โดยอาศัยแสงนั้น ไม่ค่อยได้ เพราะเทียนจะมีประโยชน์ในเมื่อเปลวเทียนนิ่ง แล้วเทียนไม่นิ่ง
มันก็ไม่ค่อยเป็นประโยชน์เท่าไหร่
จิตใจของเราเหมือนกัน
จิตใจคนเราเหมือนเปลวเทียนอยู่ในสายลม ดังนั้นต้องการทำสมาธิเพื่อgอาเทียน ออกจากสายลม เพราะเทียนออกจากสายลมแล้วจะสว่างทันที
พอนิ่งแล้วสว่าง พอสว่างแล้ว เราจะอ่านหนังสือ จะทำงานทำอะไรได้ทุกอย่าง จิตใจของเราก็เหมือนกัน
ความคิด ความคิดเหมือนยาเสพติด และในวันนี้อาจารย์จะเปรียบเทียบ หลายอย่าง
เพื่อจะง่ายในความจำ ข้อแรก เปรียบเทียบจิตเหมือนเทียนในสายลม ที่ส่องความคิดและอารมณ์
เหมือนของเสพติด ยาเสพติดมีโทษ มีโทษต่อกาย มีโทษต่อใจ
และยาเสพติดต่างๆนี่ก็ทำร้าย สุขภาพกาย อย่างคนดื่มเหล้าบ่อยๆ ดื่มเหล้ามาก
ตับแข็ง เป็นโรคตับไปเลย มีผลต่อร่างกายอีกหลายข้อเลย ยาเสพติดทำให้จิตใจอ่อนแอ
เพราะถ้าทุกครั้งที่รู้สึกเบื่อ รู้สึกเครียด รู้สึกหดหู่ ใช้ยาเสพติด
นี่จะไม่เก่งในอารมณ์ซักที และในการใช้ยาเสพติดทั่วไปทำให้คนเป็นที่พึ่งตัวเองไม่ได้
เพราะพึ่งแต่สิ่งนอกตัว นัยว่าเป็นการสละความเป็นอิสระ ภายในจิตใจ
เพื่อการพ้นทุกข์แบบเผินๆ ในชั่วระยะสั้นๆ
อันนี้ก็คือยาเสพติดที่เป็นวัตถุ เป็นบุหรี่เป็นเหล้าเป็น
อ่า ยาเสพติดต่างๆ แต่อารมณ์ก็เป็นยาเสพติดเหมือนกัน เวลาเราให้จิตทำงาน
งานของจิตก็คือให้อยู่กับลมหายใจ งานง่ายๆ แต่ว่าจิตเกิดเบื่อ เกิดไม่ชอบ
ไม่สนุก ต้องหาอารมณ์เป็นของเสพติด บางคนเอาความจำ พยายามหาความจำที่มันสนุกๆ
ให้ได้ลืมปัจจุบัน ให้ได้ลืมปัญหา บางคนเอาจินตนาการ
คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ในอนาคต เอาสิ่งที่ชอบ มาคิด ทีนี้ถ้าเราสังเกตตัวเองแบบนี้
เวลาเราอยู่กับลมหายใจ ลองดูซิว่า อะไรคืออุปสรรค ที่ทำให้เราอยู่กับลมหายใจไม่ค่อยจะได้
มันคืออะไร ว่าเป็นการบกพร่อง เป็นความอ่อนแอของจิตใจ
แล้วเมื่อเกิดความไม่พอใจ ความขี้เกียจ เป็นต้น จิตใจชอบไปอยู่ที่ไหน? ชอบไปอยู่กับความจำมั้ย?
ชอบไปอยู่กับจินตนาการมั้ย? ชอบเอาสิ่งที่ตัวเองยินดีมาคิด
จะเป็นดนตรีก็ได้ ละครก็ได้ กีฬาก็ได้ อะไรก็ได้ ที่เอามาคิดแบบฆ่าเวลา นี่คือนิสัยใจคอ
ที่ขัดขึ้นมาเพราะการทำสมาธิ ถ้าเราไม่ให้จิตทำงานแบบอยู่กับลมหายใจ
อาจจะไม่ได้เห็น อาจจะไม่ได้รู้ว่า เอ้อ ใช่ ปกติเวลาเราเกิดไม่สบายใจ อึดอัดใจ
เครียด มันจิตใจชอบไปอยู่กับสิ่งนั้น เป็นประจำ อืม แล้วได้วิชาความรู้
เกี่ยวกับจิตใจตัวเอง
บางคนก็เอาสิ่งที่ไม่ชอบมาคิด
พอเบื่อกับปัจจุบัน เบื่อกับงาน ในปัจจุบัน บางทีก็เอาเรื่องที่ไม่พอใจคนนั้นคนนี้มาคิด
เรียกว่าเอาสิ่งที่ไม่ถูกใจมาคิด ไม่ชอบสิ่งนั้นไม่ชอบสิ่งนี้ เวลาเราอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบนั้นแล้ว
คนเรามักจะรู้สึกฉลาด แต่ว่าไม่ใช้ความฉลาดซะเลย คนเรานี่จะมีข้ออ้างได้อยู่ตลอดเวลา
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้ เรื่องข้ออ้าง บางคนก็ โอ๊ มันเช้าเกินไป จึงไม่ทำ
หรือไม่อยากทำ ไม่เช้าก็ โอ๊ย มันดึกเกินไป บางคนก็อ้างว่าหิวเกินไป เมื่อกินข้าวแล้วก็
อิ่มเกินไป บางคนก็บอกว่า ไม่มีเวลา นี่กำลังเตรียมจะเดินทาง
พอเดินทางกลับเสร็จแล้ว ก็เหนื่อยจากการเดินทาง ก่อนจะทำก็ไม่มีเวลา หลังจากทำไปแล้วก็บอกว่าหมดแรง
กิเลสนี่มีเหตุผลอยู่ในทุกๆเรื่อง ไม่มีสิ่งไหนที่กิเลสหาข้ออ้างไม่ได้หรอก
ความไม่ดีเค้า หรือว่าจิตใจเวลาอยู่อย่างไม่...ขาดฉันทะ ไม่มีสติปัญญา
พอที่จะสร้างความพอใจกับสิ่งที่ทำอยู่ มีกิเลสตัวไหนเกิดขึ้น
เรื่องน่าเบื่อเนี่ยะ
ก็คู่กับนักเรียนบ่อยๆ ว่าแล้วต้องสังเกตความแตกต่าง ระหว่างสิ่งที่เราไม่ชอบ หรือว่าสิ่งที่มีส่วนทำให้เราเป็นทุกข์
อย่างเช่นคนธรรมดา ไปจับไฟ ต้องไหม้ มันจะไหม้มือ ใช่มั้ย? โจรผู้ร้ายจับไฟก็ไหม้มือ
พระอรหันต์จับไฟก็ไหม้มือได้เหมือนกัน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะธรรมชาติของไฟ
ธรรมชาติของผิวหนัง เป็นเช่นนั้นเอง
ดังนั้นจะบอกว่า ไฟไหม้มมือ
เพราะมีไฟมันจึงมีอาการไหม้เกิดขึ้นได้ ไม่ผิด แต่ถ้าเราบอกว่า เพราะทำสิ่งนี้
เราเบื่อ มันคนละเรื่องกัน เพราะอะไร เพราะถ้าเป็นธรรมชาติว่า
ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว เบื่อ เป็นกฎตายตัวของธรรมชาติ ทุกคนทำก็ต้องเบื่อทุกคน แต่ถ้าเบื่อเป็นบางคน
แสดงว่าไม่ใช่เป็นเหตุเป็นผล มันสำคัญที่คนเรามากกว่า จิตใจของเรามากกว่า
ฉะนั้นเมื่อเราทำอะไร
มันไม่ใช่การนั่งสมาธิอย่างเดียว แล้วเราเรียนหนังสือ ทำอะไรก็
อาการเบื่อเกิดขึ้น ต้องเข้าใจว่า ที่เบื่อไม่ใช่เบื่อเพราะสิ่งที่ทำ ต้องเบื่อ
เพราะเราบริการจิตใจไม่เป็น ไม่รู้จักป้องกันความเบื่อ เพราะบางสิ่งบางอย่างมันชวนเบื่อ
แต่ไอ้ขวนกับบังคับ มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ใช่มั้ย?
ไม่มีอะไรจะบังคับให้เราจะเป็นทุกข์ทางใจ มีแต่สิ่งที่ชวนให้เป็นทุกข์
ตรงนี้จะได้เห็นความ เอ่อ ความหวังของมนุษย์ในตอนนี้ ว่าเราจะไปบังคับบัญชา
จะไปควบคุมสิ่งแวดล้อม ให้ได้แต่สิ่งที่ถูกใจอย่างเดียว ถึงจะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี
อภิมหาเศรษฐี ก็ทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเรา ถ้าเราดูแลจิตใจ สิ่งเดียว
ตัวเดียว เรียกว่าไม่ต้องเป็นทุกข์อะไรเลย
ตอนอาตมายังเป็นนักเรียนอยู่ ที่อังกฤษ เป็นคนชอบอ่านหนังสือ
ตั้งแต่เด็ก อาจจะเป็นเพราะว่าตแอนอยู่โรงเรียนประถม ป่วยตลอด ป่วยตั้งแต่อายุ 1
ขวบ ถึง 14 ขวบ ป่วยเป็นโรคหืดหอบ หายใจไม่ค่อยจะได้ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นตลอดเวลา ก็เป็นบางช่วง
แต่ก็ขาดเรียนบ่อย แต่สำหรับอาตมานี้ การที่ขาดเรียนนี้ เป็นบุญ อ่า
เพราะถ้าอยู่กับเพื่อนน่ะ ก็อาจจะขี้เกียจขี้เล่นเหมือนเพื่อนๆ แต่เพราะเราอยู่คนเดียวมันก็มีนิสัยชอบอ่านหนังสือ
หาความรู้ นิสัยจะไม่ค่อยเหมือนเพื่อนเท่าไหร่ แต่พอเราอายุเริ่ม 14-15 เริ่มสนใจว่าชีวิตที่ดีเป็นยังไง?
ชีวิตที่ดีที่สุดเป็นยังไง? ต้อง...ต้องอยู่อย่างไร? มันจึงจะให้มันดี ทีนี้ตอนนั้นก็ไม่ศรัทธา
ศาสนาประชาติเลย ไม่เห็นมีเหตุมีผลอะไร ก็ไม่เคยให้ความสนใจ
และชอบอ่านหนังสือทางปรัชญา ทางจิตวิทยา และจิตศาสตร์ ก็ถ้าวันเสาร์เช้า
ก็นั่งรถเมล์จากบ้านไปเมืองเคมบริดจ์ ซึ่งเป็นเมืองมหาวิทยาลัย
ร่านหนังสือมีเยอะแยะ ร้านหนังสือใหญ่ๆ 3 ชั้น 4 ชั้น
ส่วนมากคนทำงานในร้านเค้าเป็นนักศึกษากัน เพราะงั้นเราก็อยู่ในร้านหนังสือ
อ่านหนังสือตั้งแต่เช้าจนเย็น บางทีหนึ่งวันนี่อ่านหนึ่งเล่ม
เพราะไม่มีสตางค์ซื้อหนังสือ แต่เจ้าหน้าที่เห็นเค้าก็สงสารมั้ง เค้าก็ไม่ไล่ บางทีก็อ่านหนังสือจนเช้าพอเที่ยงหิวข้าว
ก็หมายเอาไว้ว่าถึงหน้าไหน ออกไปทานข้าวกลับมาอ่านต่อ นี้คือวิธีศึกษา
ใฝ่รู้มากตอนนั้น
แต่มันเกิดความท้อแท้ใจเหมือนกัน เพราะว่าเห็นหนังสือ
แม้แต่ร่นหนังสือแห่งเดียว หนังสือเป็นหมื่น
เราคิดว่าเราอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน ตลอดทั้งชีวิต ก็ไม่กี่เล่มอ่ะนะ แหม
มันจะมีทางลัดมั้ย? ว่าจะควรเรียนวิชาไหน เรียนอะไร มาถึงมันจะ...มันจะเป็นหลัก
จะเป็น เหมือนเป็นราก ของความรู้ทั้งหลาย คล้ายๆว่าถ้าเรา มีมั้ยว่า
รู้สิ่งนี้แล้ว มันจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง สุดท้ายอาตมาก็ได้ความรู้ว่า ถ้ารู้จักจิตใจ
ถ้าเข้าใจจิตใจตัวเอง เหมือนกับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ต้องอ่านหนังสือทุกวิชา
เลยสนใจเรื่องจิตใจมาก เพราะจิตใจเป็นที่ตั้ง จิตใจเป็นรากเหง้า
จิตใจเป็นหลักในทุกสิ่งทุกอย่าง
และเวลาเราอาจจะเรียน
จะศึกษาจิตใจตัวเอง จะศึกษาอย่างไร? จะทำความรู้อย่างไร?
ก็บางอย่างเราก้พออาศัยทฤษฎีเป็นส่วนใหญ่ได้ อย่างเช่น คณิตศาสตร์ ถ้าเป็นคณิตศาสตร์แท้ๆเนี่ยะ
ไม่มีภาคปฏิบัติ เป็นทฤษฎี 100 เปอร์เซ็นต์ แต่หลายอย่างไม่ใช่เช่นนั้น อย่างเช่นคนที่เค้าเรียน
MBA อะไรพวกเนี๊ยะ เอ่อ เค้าไปทำงาน
เจ้านายนี่ก็ยังไม่ค่อยจะไว้ใจเท่าไหร่ ใช่มั้ย? ผู้ที่เพิ่งจบ MBA ใหม่ๆ ไม่รู้ว่าเค้าเก่งหรือไม่เก่ง MBA
เรียกว่าเป็นหลักไม่ได้ ต้องให้เค้าทำงาน แล้วก็ดูเค้าทำงาน
เราจึงจะรู้ว่าเค้าเก่งจริงหรือไม่ มันต้องมีภาคปฏิบัติ ฉะนั้นหลายสิ่งหลายอย่างนี้
จะรู้ได้ระหว่างการทดลอง การพยายามประยุกต์ใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้
อย่างเราจะรู้วิธีทำกับข้าว
ก็อ่านตำราทำกับข้าวได้ อันนี้ก็ได้ความรู้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ไว้ใจตัวเอง
ต้องทำ ต้องลองทำกับข้าวจึงจะรู้ว่า เข้าใจหรือไม่เข้าใจ อร่อยหรือไม่อร่อย การปฏิบัติธรรม
ก็เหมือนกัน เราจะรู้จิตใจของตัวเอง ว่าเราเป็นคนอย่างไร ว่ามีความเก่งตรงไหน
ว่ามีจุดอ่อนตรงไหน ถ้าไม่ให้จิตทำงาน คือไม่ภาวนานี่
หลอกตัวเองได้ตลอด คนเราชอบคิดเข้าข้างตัวเอง เดี๋ยวนี้ก็ทุกวงการ
ก่อนหน้านี้อาตมาก็อ่านหนังสือ
เกี่ยวกับตำรวจ เกี่ยวกับวิธีสอบสวน คือคนเราส่วนมากเค้ามักจะคิดว่า ถ้าเราไม่ทำ
ถ้าเราบริสุทธิ์ พอตำรวจสอบสวนนี่ความจริงย่อมปรากฏ แต่ไม่ค่อยจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป
ก่อนหน้า...อันนี้หมายถึงที่ ตะวันตก ที่แต่ก่อนนี้พวกตำรวจ พวกทนาย พวกนี้จะ
ไม่ยอมรับเลยว่า บางคนที่สารภาพผิด ที่จริงไม่ผิด มันเป็นไปไม่ได้ถ้าเค้าสารภาพแปลว่าเค้าทำจริง
ถ้าเค้าไม่ทำ ทำไมเค้าจึงสารภาพ มันเป็นไปไม่ได้ แต่เนื่องจากตอนหลัง เรามี DNA เป็นเครื่องพิสูจน์ แน่นอน ปรากฏหลายคนที่เคยสารภาพ ว่าฆ่าคน
สารภาพทำอะไรร้ายๆ ที่จริงเค้าไม่ได้ทำ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับ เทคนิค ขึ้นอยู่กับวิธีการ
อ่า สอบสวน เช่น ที่อ่านตัวอย่าง เด็กผู้ชายอายุ 14 ปี กลับบ้าน เจอแม่ตาย ถูกแทงตาย
ตำรวจก็มา ตำรวจเกิดความสงสัยว่า ลูกฆ่าแม่ตัวเอง แล้วก็เก็บลูกไว้ ไม่ให้พูดกับใครเลย
แล้วก็สอบสวนหลายชั่วโมง 6 ชั่วโมง 7 ชั่วโมง 8 ชั่วโมง สลับกัน เด็กอายุแค่ 14 ปี
ผู้ใหญ่มารังแก แล้วก็บอกว่าเค้าไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำ จนตำรวจบอกว่า บางคนนี่
แบบหน้ามืด หน้ามืดแล้วทำ ทำเสร็จแล้วก็ไม่รู้ตัว จะเป็นได้มั้ยที่เป็นเด็กน่ะ เราจะตอบยังไง
ใช่มั้ย? แต่เอ้ะ เรารู้สึกว่าไม่ใช่ แล้วเราลองจินตนาการดูสิ จินตนาการได้มั้ย
ว่านึกภาพออกมั้ยว่า เรา...คือพูดไปพูดมาหลายชั่วโมง ในที่สุดแล้ว
เด็กคนนั้นสารภาพ ลงหนังสือพิมพ์เป็นเรื่องใหญ่ โอ้ ลูกฆ่าแม่ตัวเองแท้ๆ
ติดคุกตั้ง 6-7 ปี มันถึงมีหลักฐานทาง DNA พิสูจน์ว่าไม่ใช่
ทีนี้
ที่อยากจะพูดว่า คือตำรวจก็ไม่ค่อยอยากจะยอมรับเรื่องนี้
แต่หลายครั้งพอตำรวจเค้าตัดสิน เค้าเชื่อว่าเค้าดูคนออก ว่าเค้าเป็นมืออาชีพ
ใครโกหก ใครไม่โกหก เค้าดูออกหรอก เค้าเชื่อมั่นในตัวเอง ทีนี้นักวิจัย
จึงให้มีการสอบสวน แต่ผู้ถูกสอบสวนนั้นเป็นนักแสดง แล้วก็ให้คนดู 2 กลุ่ม
กลุ่มหนึ่งก็เป็นตำรวจชั้นนักสืบที่มีประสบการณ์ 10 ปีขึ้นไป อีกกลุ่มหนึ่งคือนักศึกษา
เป็นนิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย แล้วให้ดู...ดูการสอบสวน แล้วตอบคำถามว่า
คนนี้มีความผิดจริงหรือไม่? เมื่อเปรียบเทียบแล้ว ปรากฏว่า นักสืบที่มีประสบการณ์
ที่เป็นมืออาชีพกับนักศึกษา ดูคนออกพอๆกัน นักสืบไม่เก่งกว่าเลย ที่ว่าดูว่า
คนนี้โกหก ไม่แน่ คนนี้ไม่โกหก
แต่ที่ต่างกันมากก็คือ
เมื่อนักวิจัยถามนักศึกษาว่า แน่ใจมั้ย? มั่นใจมั้ย? นักศึกษาบอก ไม่แน่เหมือนกัน คิดว่านะ
ดูๆแล้วน่าจะใช่ แต้ไม่รับรอง 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าเราไม่ใช่มืออาชีพ ส่วนตำรวจ
มั่นใจ มั่นใจ 70-80 เปอร์เซ็นต์ ว่าใช่ เราประสบการณ์มาก คนแบบนี้ก็เจอมาหลายรายแล้ว
ก็เป็นผลการวิจัย ที่น่าสนใจ แต่ว่าเค้าทไว้อีกหลายวงการ ไม่ใช่เฉพาะในวงการตำรวจ
แต่วงการที่ว่า ระหว่างมืออาชีพ ผู้เชี่ยวชาญ กับคนที่ไม่มีความรู้ซะเลย
บางทีความแตกต่างกัน จะน้อย แต่จะแตกต่างข้อเดียวในความเชื่อมั่นในตัวเอง
ฉะนั้น
ความเชื่อมั่นจึงเป็นเรื่องอันตราย แล้วคนเรานี้จะชอบเข้าข้างตัวเอง อยู่เสมอ ฉะนั้นวิธีที่จะรู้
ความจริงของตัวเอง มันต้องทำยังไง? เราหลอกลวงตัวเองหรือไม่? สงสัยมา
จะรู้ได้ยังไง? คนที้ภาวนาเป็นประจำ คนที่รู้จักดูจิตใจตัวเอง อาการจิตเข้าข้างตัวเอง
อาการที่ไม่ยอมรับความจริงแล้วหนีจากความจริง เราก็จะเห็นชัดเลย
ความเข้าใจในเรื่องความไม่แน่นอน การเห็นกับอคติเกิดขึ้น ในเวลาคนมีอคติ อะไรเนี่ยะ
เราคุยกับเค้าไม่ค่อย ไม่เกิดประโยชน์อ่ะนะ ถ้าคนตัดสินเราแล้ว พูดยังไงเค้าก็ไม่
เค้าก็ไม่ฟัง
ฉะนั้นไอ้การที่เราจะรู้จักตัวเอง
จะรู้จักตัวเองได้ยังไง? อาตมาว่า ถ้าเราไม่ให้เวลาอยู่กับตัวเองคนเดียว
มา...มาฝึกให้รู้จัก นิสัยใจคออารมณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น
เราไม่มีทางที่จะรู้เป็นประสบการณ์ตรง ใช่มั้ย? ดังนั้นไอ้การนั่งสมาธิมันไม่ใช่
เพื่อจะไปลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ไปอยู่ในโลกหนึ่ง ที่มันลอย ๆ สบาย ๆ ไปพักผ่อน
แต่มันตรงกันข้าม เราฝึกสติให้รู้ตัว เพื่อจะได้รู้ว่ามีอะไรต่ออะไรในจิตใจตัวเอง
จะได้เห็นความโลภเห็นความโกรธ เห้นความหงุดหงิดรำคาญ เห็นความอิจฉาพยาบาท
เห็นความวิตกกังวล เห็นความขี้เกียจขี้คร้าน ทุกสิ่งทุกอย่าง
มันจะผุดขึ้นมาให้เราเห็น ให้เราได้ศึกษา ไม่ใช่ศึกษาทฤษฎี ไม่ใช่ตำราจิตวิทยา มันเป็นการดูความจริง
แล้วดูความจริงแล้วก็ฝึกในการจัดการกับมัน บริหารมันได้ ไม่อย่างนั้นอารมณ์จะอยู่เหนือเราตลอดเวลา
ถ้าเราอยู่เหนืออารมณ์ เรียกว่าเราอยู่เหนือกรรม เหมือนกันนะ
สำหรับอาตมาเนี่ยะ
ต้องพูดถึงไอ้สิ่งดลบันดาลใจอาตมา ตั้งแต่อาตมาวัยรุ่น สนใจในคำว่าอิสระ ทำยังไงถึงจะเป็นอิสระ
ทีแรกคิดว่าเป็นอิสระคือ ออกจากบ้าน ไม่อยู่การ...ใต้การบังคับบัญชาของพ่อแม่
รู้สึกอึดอัด โอ้โห ออกจากบ้านแล้วไป โบกรถไปต่างประเทศ เดินออกไปจากบ้านคนเดียว
ของทั้งหมด ของของเราทั้งหมดอยู่ในเป้ โห นี่เป็นความรู้สึกสุดยอด ที่ชอบ
เป็นอิสระ แต่พอเราเดินทางไปไม่กี่วัน มันก็เริ่มเห็นว่า
ไอ้ความทุกข์ไม่ใช่เพราะพ่อแม่ เป็นความทุกข์เพราะความโลภมั่ง ความโกรธมั่ง
ความ....มันเป็นความทุกข์เพราะอารมณ์ ไม่ใช่อะไรอื่นไกล แล้วรู้สึกว่าจะไปที่ไหน
อยู่กับใคร จะทุกข์หรือสุข มันก็อยู่ที่เรามากกว่า มากกว่าอย่างอื่น มันจึงเห็นว่า
ถ้าเราไม่แก้ที่ตัวเรา เรานี้ไปที่ไหน มันก็...มันก็เหมือนเดิม ใช่มั้ย?
อย่างเคยมีอุบาสิกาคนหนึ่ง
ไป...ไปอยู่ที่วัด ทีแรกก็ใช้ได้ ก็บอกกำลังปรับตัว
ก็อยู่ได้สักอาทิตย์หนึ่งเริ่มจะมีปัญหากับชาวบ้าน เข้าไปในครัวเจ้ากี้เจ้าการ สั่งคนนั้นสั่งคนนี้
ทั้ง ๆที่เค้าเพิ่งมาใหม่ ก็เกิดทะเลาะกับคนในครัว ในสมัย...สมัยก่อนเป็นเจ้าอาวาสนี่
อันนี้ หน้าที่เจ้าอาวาสข้อหนึ่งก็เป็น เป็นกรรมการปัญหาในครัวน่ะ ก็วันนั้น
โยมผู้หญิงก็ คนนี้ก็มา โอ้ นี่เรากรรม เราก็ต้องมีกรรมติดตัวเรามาก
อันนี้ไม่ใช่ครั้งแรกเจ้าค่ะ ว่างั้น ไป...ไปที่ไหนก็เหมือนกัน คือไปวัดไหนแรกๆ
ทุกคนก็น่ารักดี เป็นมิตรดี เป็นเพื่อนนี้ดีมาก นานๆเข้าเค้าเริ่มตั้งข้อรังเกียจ
แล้วก็รังแกแล้วก็ไม่ดีกับเราเลย ไม่รู้ทำกรรมอะไรไว้ตั้งแต่ชาติก่อนรึเปล่า?
คือที่จริงแล้วมันดูไม่ยาก พฤติกรรมของคนนี้ไปที่ไหน ไอ้การแสดงออก ไอ้การกระทำในปัจจุบัน
ทำให้เกิดปัญหากับคนรอบข้าง แต่แทนที่จะดู การแสดงออกในปัจจุบันหรือกรรมใหม่
เอากรรมเก่าเป็นข้ออ้าง โอ้ย มันกรรมติดตัวมาตั้งแต่ชาติก่อน จริงๆแล้ว
มันต้องดูว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ในปัจจุบัน ไม่ต้องเอากรรมเก่ามาพูด มาดูกรรมปัจจุบันดีกว่า
ฉะนั้นในการภาวนา เราทวนกระแสของกิเลส
เพื่อเห็นกิเลส เพื่อจะได้มีหลักในการบริหาร ในการจัดการกับกิเลส
ไม่ยังงั้นเราจะอยู่ใต้อำนาจของกิเลส ตลอดชีวิต ถ้าอยู่ใต้อำนาจของกิเลสตลอดชีวิต มันก็ต้องมีปัญหาตลอดชีวิต
คือเราเห็นรึยังว่ากิเลส ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ก็เพราะกิเลส
แอย่างเช่นความโกรธ ความโมโห ความอิจฉา ความวิตกกังวลหรืออะไร
สิ่งเศร้าหมองในจิตใจ เราเห็นรึยัง? เรากลัวรึยัง? น่ากลัวนะ? ไม่มีศัตรูที่ไหนที่จะทำร้ายชีวิตเราได้เท่ากับกิเลสที่อยู่ในจิตใจตัวเอง
ไม่มีเลย และไม่มีเพื่อนที่ไหนที่จะดีเท่า จิตใจที่รับการฝึกที่ดีแล้ว
ฉะนั้นพุทธศาสนาคือศาสนาแห่งการทำงานนะ
ไม่ใช่ว่าพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาดลบันดาล มาช่วย ไม่ใช่ว่ามีพิธีกรรมอะไรจะล้าง...ล้างกรรมหรืออะไรต่ออะไร
ต้องล้างด้วยการกระทำ ฉะนั้นการฝึกจิตถึงจะยาก ก็ต้องทำ
เราดูว่าสิ่งอื่นของเราทำในชีวิตที่มีคุณค่ามาก มีอะไรมั้ยที่ได้ง่ายๆ อย่างเช่นจะเล่นเปียโน
จะเล่นดนตรี โอ๋ ก่อนที่จะเล่น ที่จะแสดงในที่สาธารณะ โอ้โห ต้องใช้เวลานานมาก ใช้ไปในการหัด
เรื่องการหัดโน้ตใหม่ๆ การเขียนหนังสือก็เหมือนกัน ก่อนจะเขียนได้นี้ ใช้ดเวลานานมาก
ใช่มั้ย? แต่เราก็ยอม เพราะว่าถ้าจะเอาตัวรอดในสังคมนี้
เขียนหนังสืออ่านไม่...เขียนไม่ได้อ่านไม่ได้เนี่ยะ ไม่มีทาง เราก็ยอม
เรื่องการเดินน่ะ
ทุกวันนี้ ไอ้เราหัดเดินใช่มั้ย? ตั้งแต่เด็ก ถ้าหากว่าคนเรามีความคิดกับการเดิน
เหมือนกับการนั่งสมาธิ ทุกวันนี้ก็คงยังคลานอยู่นะ เพราะว่า ดูเด็ก ก็ลุก...ลุกขึ้นมา
แล้วก็ล้ม แต่ก็ไม่ยอมใช่มั้ย? ลุกขึ้นมาใหม่ๆๆๆ จนกระทั่งเดินได้ อันนี้คือคว่ามใจสู้
ที่น่าเคารพ ที่น่าประทับใจ การฝึกจิตก็เหมือนกัน ต้องชนะใจตัวเอง
ตัวเป็นผู้ชัยชนะ ฉะนั้นอาตมาว่า ไอ้การภาวนาน่ะ มันมีประโยชน์มากมหาศาลจริงๆนะ คือคนที่เค้าทำ
ทำจริงจังละ แล้วทำจริงจังและอาตมาไม่เคยเจอที่ แหม ไม่ดีเหมือนที่คิด
ก็แค่นั้นแหละ แ เสียดายเวลาเหมือนกัน
ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างในโลกจะเป็นอย่างนี้
ใช่มั้ย? สิ่งที่คนต้องการมากๆ โอ้ย แสวงหา ตั้งอกตั้งใจ พอมันได้จริงๆแล้ว
มันก็โอเคอยู่ แต่มันก็นึกว่าจะดีกว่านี้ อันนี้ เราเด็กๆก็ยัง ยัง
ก็ยังไม่ถึง ถามผู้ใหญ่ว่าเคยเป็นมั้ย? เคยเป็นทุกคน สิ่งที่เคยให้ความสำคัญมาก
คิดว่าถ้าได้สิ่งนี้แล้ว ชีวิตเราจะดี พแอมันได้แล้วก็ อืม ไม่ดีเหมือนที่คิด
แต่ว่าคนที่ฝึกจิต
ที่ทำสมาธิ ไม่เคยพูดอย่างนั้น แต่พูดแต่ว่า โอ้ย มันดียิ่งกว่าที่คิด
ไม่นึกว้าจะดีอย่างนี้ มันนึกไม่ออก เพราะว่าไม่อยู่เหนือความคิด ฉะนั้นจิตใจของเรานี่
หลอกง่ายมาก บางคนคิดว่าคนเข้าวัดหลอกง่าย เอ่อ แต่คนที่เค้าทำงานในการชวนให้คนคิด
ในทางที่เค้าต้องการ คนที่ทำงานทางโฆษณา เค้ารู้แล้วว่า ไอ้สิ่งที่ต้องใช้เป็นเครื่องมือในการบังคับคน
หรือการชักชวนคนก็คือ กิเลสนั่นแหละ คนที่ไม่ปฏิบัตินี่ จะไม่ทันเค้าเลย จะยกตัวอย่างอีกข้อหนึ่ง
ที่เค้าเขียนว่า เค้าเอาสินค้าใหม่ ให้เค้าลองดูว่า ลองว่า สมมติ 100 คน
คนก็ยอมเปลี่ยน รับของใหม่ 30 ใน 100 สมมติ โอเค 30 ใน 100 ก็เป็น base ทีนี้ ครั้งที่ 2 ก็ถาม ก่อนจะเสนอสินค้า ตั้งคำถามแค่ข้อเดียวว่า คุณเป็นคนชอบของใหม่มั้ย?
กล้าลองของใหม่มั้ย? เป็นคนที่ไม่พร้อมที่จะ เรียนรู้ในสิ่ง
สิ่งที่แปลกใหม่มั้ย? พูดอะไรทำนองเนี๊ยะ Are you adventured? เค้าถามในภาษาอังกฤษ Are you adventured person? ทุกคนก็อยากจะพูดว่า Yes, I’m adventured person เสร็จแล้วถามว่าจะลอง สินค้านี้มั้ย? จาก 30 ใน 400 กลายเป็น 70 ใน 100
ที่รับ คือไม่ได้เพิ่ม ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้านี้มันดีอย่างไร เพียงแต่ว่า
ตั้งคำถามก่อนว่า เป็นคนกล้า คนชอบสิ่งใหม่มั้ย? ใช่ ชอบ เอา แล้วไอ้นี่ก็สิ่งใหม่
เอามั้ย? คือสามารถเปลี่ยนใจคนง่ายมาก มันง่ายแบบไม่น่าเชื่อ แต่ว่าเป็นได้ เพราะคนไม่รู้ตัวเอง
ไม่รู้จักอารมณ์ตัวเอง อยากขออะไรเนี่ยะ ก็ชื่นชมนิดหน่อย คนที่ไม่รู้เท่าทันโลกธรรม
พอเราชื่นชมนิดเดียว ก็พร้อมที่จะให้ละ ง่ายมาก เพราะความไม่รู้ เวลาคนพูดน่ะ
ชื่นชมเพื่อจะได้ผลประโยชน์บางอย่าง หรือตำหนิ ให้เราเสียความมั่นใจในตัวเอง
คนที่ไม่ภาวนานี้ไม่ทันเขา
แต่ผู้ที่ภาวนาก็ อื้อ เนี่ยะ นี้ไอ้คำพูดนี้
เค้าต้องการให้เรารู้สึกอย่างนั้นเน๊าะ เอ้อ เค้าพูดอย่างนั้น เค้าแกล้งเน๊าะ ให้เราเสียความมั่นใจ
หรือพูดข่มขู่เรามั่ง ถ้าเราไม่รู้เท่าทันโลกธรรม เราก็หลงอยู่เรื่อย ยังไม่รู้อารมณ์ตัวเองอย่างเช่น
ถ้าวัยรุ่นนะ ต่อไปเข้าสู่วัยรุ่น อะไรก็สิ่งที่วัยรุ่นส่วนใหญ่กลัวที่สุด
หลัวเพื่อนทอดทิ้ง กลัวจะไม่เป็น กลัวหมู่ไม่รัก กลัวหมู่รังเกียจ และน่าจะเป็น
มันจะเป็นความคิด ที่เป็นอารมณ์ ที่มีน้ำหนักมาก
ฉะนั้นเราก็รู้เท่าทัน แล้วก็ว่าเป็นธรรมชาติ ชองสมอง ของชีวิต ของคนในวัยรุ่น แต่ในลักษณะเดียวกัน
เอ่อ เราก็ต้องระมัดระวัง เพราะถ้าหากว่า เราทำแล้วพูดอะไรที่เรารู้ว่าไม่ถูกต้อง เพียงเพราะกลัวว่าเค้าจะไม่ชอบ
ถ้าไม่ทำ เพราะอยากให้เค้าชอบ อยากให้เค้าให้ตวามสนใจกับเรา อันนี้อันตราย
ดังนั้นก็ต้องมีหลักการของเรา
ถ้า...ถ้าหากว่าจะทำหรือไม่ทำ แล้วแต่เพื่อน ก็เสียความเป็นตัวของตัวไปแล้วเน๊าะ แต่เราต้องปรับตัวบ้าง
แต่ก็ต้องมีความรู้สึก อยู่ว่า อะไรถูกต้อง อะไรไม่ถูกต้อง ไปด้วย ถ้าเสียสละความถูกต้องเพราะอยากให้เค้าชอบเรา
รึกลัวว่าเค้าจะไม่ชอบเรา อันนี้ก็เสียความเป็นอิสระแล้ว และก็กำลังจะอันตราย
ฉะนั้นการฝึกจิตนี้เป็นเรื่องสำคัญ
สำคัญมาก ไม่มีอะไรจะมีคุณค่าต่อชีวิต เท่ากับการฝึกจิตใจ
เท่ากับการรู้จักตัวเอง รู้จักจิตใจ เวลาคิดเข้าข้างตัวเอง เวลาจิต จะโลภ
จะโกรธ จะหลง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะต้องยอมรับ ว่า เอ้อ เราก็เป็นคนอย่างนั้นแหละ
อันนี้ไม่ใช่ ดูจากชีวิตของครูบาอาจารย์ ท่านก็ชนะใจจนกลายเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ในกิเลส
อ่า ในเบื้องต้นจะแรงกว่าเราด้วยซ้ำไป แต่ท่านไม่ยอม ท่านไม่ยอมแพ้ ท่านสู้
ท่านใช้สติ ใช้ปัญญา เอาชนะใจตัวเอง เป็นพยาน พิสูจน์ได้เลยว่า
คนเราสามารถชนะใจตัวเองได้ และขนะแล้วจะมีความสุข แล้วเมื่อเรามีความสุข เราก็มีความสุขที่จะให้คนอื่นได้ด้วย
เพราะฉะนั้น
อยากเราทุกคนได้พิจารณาในเรื่องนี้ที่พระพุทธเจ้าสอนอริยสัจ 4 ว่า คนเราจะทุกข์ทางใจ
จะทุกข์ เพราะกิเลส ใช่หรือเปล่า กิเลสคืออะไร? แล้วเคยเห็นกิเลสตัวเองมั้ย?
แล้วถ้าทุกข์เกิดเพราะกิเลส แล้วเรามีกิเลสอยู่ในใจ ควรจะทำยังไง?
จึงจะปลอดภัย จึงจะชีวิตของเราจะเจริญ และถ้าไม่จัดการกับกิเลส
มีโอกาสมั้ยที่กิเลสนี้ จะตายไปเอง จะหายไปเอง? คิดว่าไม่นะ ที่ว่ามีแต่กำเริบ
มีแต่เพิ่มเรื่อย ๆ ดังนั้นพุทธองค์ต้องการให้เรารับผิดชอบชีวิตตัวเอง และใหกำหนดว่า
อะไรเป็นสิ่งที่ไม่ดีในจิตใจ ทำยังไงเราจึงจะปล่อยวางมันได้
อะไรคือสิ่งที่ดี ที่น่าภูมิใจในชีวิต ทำยังไงเราจึงจะสนับสนุน จึงจะพัฒนาให้มันดียิ่งๆขึ้นไป
อันนี้คือหลักการกันมา หลักการปฏิบัติ
เอาล่ะวันนี้
คงพอสมควรแก่เวลา.
...สาธุ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น