บรรพที่ สอง
มวด’ดิบ
ดยุค
ลีโต และลักษณะอาการของมัน, พระบิดาได้โกรธเกรี้ยวยิ่งในแบบที่เรา
ไม่เคยได้เห็นมาก่อน.
ท่านกล่าวโทษว่าพระมารดาของข้าและพวกแนบแน่นได้
บีบบังคับให้ท่านต้องแต่งตั้งพวก
เบเน เกสเสอริต ที่บนบัลลังก์. ท่านกล่าวโทษ
ว่าพวกกิลด์
และเจ้าปีศาจเฒ่าบารอน. ท่านกล่าวโทษทุกคนที่อยู่ในสายตา,
ไม่ยกเว้นกระทั่งข้า, เพราะท่านบอกว่า
ข้าเป็นแม่มดเหมือนคนอื่นๆ. และเมื่อ
ข้าได้หาทางปลอบประโลมท่าน,
บอกไปว่ามันได้ถูกกระทำเช่นนั้นไปตามกฎเก่าแก่
ของการธำรงรักษา-ตนเอง
ต่อสิ่งที่กระทั่งผู้ปกครองยุคโบราณส่วนมากให้ความยึด
ถือสวามิภักดิ์,
ท่านยิ้มเยาะให้กับข้าและถามว่าถ้าข้าคิดว่าท่านเป็นผู้ที่อ่อนแอหรือ.
ข้าเข้าใจแล้วในตอนนั้นว่าเขาได้ถูกปลุกเร้าให้ตื่นขึ้นต่ออารมณ์โทสะนี้ไม่ใช่เพราะ
ด้วยความกังวลมากไปในเรื่องการตายของ
ดยุค แต่ก็ด้วยอะไรที่การตายนั้นบอกนัย
ถึงการจงรักภักดีทั้งหมด.
เมื่อข้าได้มองย้อนกลับไปยังมัน, ข้าคิดว่าอาจได้เป็นการรู้
ล่วงหน้าบางอย่างในพระบิดาของข้า,
ด้วยเช่นกัน, เพราะมันชัดเจนว่าสายโลหิตของ
เขาและของ
มวด’ดิบ
แบ่งปันบรรพบุรุษร่วมกัน.
--- “ในราชวังของพระบิดาข้า,” โดย
เจ้าหญิงอีร์อูลาน
“บัดนี้ ฮาร์คอนเนน จะฆ่า ฮาร์คอนเนน,” พอล กระซิบ.
เขาได้ตื่นขึ้นสั้นๆก่อนที่จะมืดค่ำ,
ลุกขึ้นนั่งในกระโจมปิดผนึกและมืดมิด. เมื่อเขาพูด, เขาได้ยินเสียงขยับตัวไม่ชัดเจนนักของมารดาของเขาที่เธอนอนพิงอยู่กับผนังกระโจมฝั่งตรงข้าม.
พอล
เหลือบดูเครื่องตรวจจับระยะประชิดบนพื้นนั้น,
ศึกษาหน้าปัดส่องสว่างในความดำมืดด้วยหลอดฟอสฟอรัส.
“จะกลางคืนในไม่ช้านี้แล้ว,”
มารดาของเขาพูด. “ทำไมลูกไม่ยกม่านกระโจมขึ้นล่ะ?”
พอล ตระหนักในตอนนั้นว่าการหายใจของเธอได้แตกต่างไปจากเมื่อครู่,
ว่าเธอได้นอนเงียบอยู่ในความมืดจนกระทั่งชัดเจนว่าเขาได้ตื่นขึ้นมาแล้ว.
“ยกม่านขึ้นก็ไม่ช่วยอะไรได้,”
เขาพูด. “ได้มีพายุมาก่อนแล้ว. กระโจมได้ถูกปกคลุมด้วยทราย.
ข้าจะขุดให้เราออกไปได้ในเร็วนี้.”
“ไม่สัญญานอะไรจาก
ดันแคน หรือ?”
“ไม่เลย.”
พอล
ถูอย่างไม่รู้สึกตัวที่แหวนตราดยุคบนนิ้วหัวแม่มือของเขา,
และความโกรธทันทีทันใดต่อทุกสรรพสิ่งของดาวเคราะห์นี้ที่ได้ช่วยฆ่าบิดาของเขาทำให้เขาเริ่มตัวสั่นระริก.
ความว่างเปล่าไร้เรียกร้องใดของคำพูดเธอช่วยฟื้นคืนบางอย่างของความสงบของเขา.
จิตใจของเขาเพ่งอยู่กับพายุนั้นดุจเดียวกับที่เขาได้เห็นมันเริ่มต้นผ่านปลายสุดที่โปร่งใสของกระโจมทะเฃทรายนี้---เหล่าหยดทรายเย็นๆไหลผ่านข้ามแอ่งนี้ไป,
แล้วทำร่องคูและลากหางให้กับท้องฟ้า. เขาได้เงยขึ้นยังยอดแหลมของหิน, เห็นมันเปลี่ยนรูปทรงอยู่ภายใต้การถูกระเบิดใส่,
กลายเป็นลิ่มสีเนยเช็ดดาร์เตี้ยๆ. ทรายทำปล่องกรวยเข้าไปในแอ่งอ่างของพวกมันทำเงาทาบท้องฟ้าอย่างรีบเร่งเลอะเปรอะ,
แล้วก็ทำให้ด่างเปื้อนกับแสงสว่างทั้งหมดเมื่อกระโจมได้ถูกปกคลุม.
คันโครงของกระโจมได้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อพวกมันยอมรับน้ำหนักกดลงมานั้น---ความเงียบแตกพังไปโดยแค่คำรามหรี่เลือนเสียงฟืดฟาดจากเครื่องสูบอากาศพ่นทรายผ่านรูท่อหายใจของพวกนั้นจากผิวพื้น.
“ลองเครื่องรับอีกครั้งสิ,”
เจสสิกา พูด.
“ไม่มีประโยชน์,”
เขาบอก.
เขาพบท่อน้ำของชุสติลล์สูทของเขาในคลิปของมันที่คอของเขา,
ดูดกลืนน้ำอุ่นเข้าในปากของเขา,
และเขาคิดว่านี่คือที่เขาได้เริ่มต้นแท้จริงกับการมีชีวิตอยู่เยี่ยงอาร์ราคีนแล้ว---อาศัยอยู่ด้วยความชื้นที่เอาคืนกลับมาอีกจากลมหายใจและร่างกายของตัวของเขาเอง.
มันเป็นน้ำที่ราบเรียบและไร้รส, แต่มันละมุนกับลำคอของเขา.
เจสสิกา ได้ยิน พอล
กำลังดื่ม,
รู้สึกได้ถึงความมันลื่นของชุดสติลล์สูทของเธอเองแนบแน่นอยู่กับร่างของเธอ,
แต่เธอปฏิเสธที่จะยอมรับความกระหายของเธอ. การจะยอมรับมันจะต้องการการตื่นขึ้นเต็มที่เข้าไปในความจำเป็นทั้งหลายอันน่าตระหนกของ
อาร์ราคิส ที่พวกเขาต้องพิทักษ์ป้องกันกระทั่งร่องรอยปลีกย่อยทั้งหลายของความชื้น,
การกักตุนกระทั่งสองสามหยาดหยดนั้นในกระเป๋าดักเก็บทั้งหลายของกระโจม,
เดียดฉันท์ต่อการหายใจทิ้งไปในอากาศเปิดโล่ง.
ง่ายมากกว่าเหลือเกินที่จะเร่ลอยถอยลงไปสู่การนอนหลับ.
แต่มีความฝันหนึ่งในการนอนทุกวันนี้,
และเธอหนาวสั่นกับความทรงจำของมัน.
เธอได้ยึดเอามือในความฝันซุกอยู่ภายใต้ทรายไหลเลื่อนที่แห่งหนซึ่งมีชื่อได้ถูกเขียนเอาไว้: ดยุค ลีโต
อะไทรดิส. ชื่อนั้นได้พร่ามัวด้วยทรายและเธอได้ปัดดป่ายมันออกเพื่อกู้คืนมัน,
แต่อักษรตัวแรกก็ถูกเติมลงมาอีกก่อนที่ตัวสุดท้ายจะได้เริ่ม.
ทรายที่จะไม่หยุด.
ฝันของเธอกลายเป็นการคร่ำครวญ:
ดังและดังยิ่งขึ้น.
การคร่ำครวญที่น่าขัน---ส่วนหนึ่งของจิตใจของเธอได้ตระหนักรู้ถึงเสียงนั้นว่าเป็นเสียงของเธอเองดุจเด็กตัวจิ๋วคนหนึ่ง,
เล็กยิ่งกว่าทารก. ผู้หญิงคนหนึ่งเห็นไม่ชัดนักในความทรงจำกำลังจากไป.
ทารดาที่ไม่รู้จักของฉัน,
เธอคิด.
เบเน เกสเสอริต ผู้ให้กำเนิดฉันและให้ฉันแก่ เหล่าภคิณี
เพราะนั่นคืออะไร ที่เธอได้รับบัญชาให้กระทำ. แม่ดีใจหรือเปล่านะที่ได้ขจัดตัวเองจากลูกคนหนึ่งของ
ฮาร์คอนเนน?
“ที่ที่จะตีพวกเขาได้นั้นอยู่ในเครื่องเทศ,”
พอล พูด.
เขาสามารถคิดถึงการโจมตีในเวลาเช่นนี้ได้อย่างไรหรือ?
เธอถามตนเอง.
“ดาวเคราะห์ทั้งหมดเต็มไปด้วยเครื่องเทศ,”
เธอพูด. “ลูกสามารถโจมตีพวกเขาที่นั่นได้อย่างไรหรือ?”
เธอได้ยินเขาขยับตัว,
เสียงของเป้หีบห่อของของพวกเขากำลังถูกลากข้ามพื้นกระโจม.
“มันเป็นพลังของทะเลและพลังของอากาศที่บน
คาลาดาน,” เขาพูด. “ที่นี่มันคือ พลังของทะเลทราย.
พวกฟรีเมนคือกุญแจไขนั้น.”
เสียงของเขามาจากบริเวณใกล้ปากช่องรูดเปิดปิดของกระโจม.
การฝึกฝน เบเน เกสเสอริตของเธอสัมผัสรู้ในน้ำเสียงของเขานั้นคือความขื่นขมที่รอการแก้ไขมายังเธอ.
ตลอดชีวิตของเขาได้ถูกฝึกฝนมาให้เกลียดชังพวกฮาร์คอนเนนส์,
เธอคิด.
ตอนนี้, เขาพบว่าเขาก็เป็น ฮาร์คอนเนน.....เพราะว่าฉัน.
ช่างน้อยนิดเหลือเกินที่เขารู้จักฉัน! ฉันเป็นผู้หญิงของ ดยุค เพียงคนเดียวเท่านั้นง
ฉันยอมรับชีวิตของเขาและคุณธรรมของเขากระทั่งที่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อคำสั่ง เบเน
เกสเสอริต ของฉัน.
แถบเรืองแสงของกระโจม่องสว่างขึ้นใต้มือของ
พอล, เติมพื้นที่รูปโดมด้วยแสงรัศมีสีเขียว. พอล หมอบก้มอยู่ที่ช่องรูดนั้น,
ชุดสติลล์สูทของเขาถูกปรับแต่งสำหรับทะเลทรายเปิดโล่ง---หน้าผากถูกครอบปิด,
เครื่องกรองที่ปากเข้าอยู่ในที่, ที่อุดจมูกปรับเข้าที่.
มีเพียงดวงตาสี้มืดเข้มของเขาที่มองเห็นได้: แถบแคบของใบหน้าที่หันมาครั้งหนึ่งยังเธอแล้วหันจากไป.
“ป้องกันตัวเองสำหรับที่โล่ง,”
เขาพูด, และน้ำเสียงของเขานั้นพร่ามัวอยู่เบื้องหลังเครื่องกรองนั้น.
เจสสิกา
ดึงเครื่องกรองพาดปากของเธอ, เริ่มปรับแต่งหมวกคลุมของเธอขณะที่เธอมองดู พอล
ฉีกผนึกปิดของกระโจม.
ทรายส่งเสียงครูดขูดขณะที่เขาเกปิดช่องรูดนั้นและส่งเสียงฟู่พร่ามัวของเม็ดทรายทั้งหลายที่วิ่งเข้ามาใสนกระโจมก่อนที่เขาจะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของมันไว้ได้ด้วยเครื่องอัดแน่นประจุไฟฟ้าสถิต.
ความร้อนเติบโตขึ้นในกำแพงทรายขณะที่เครื่องนั้นจัดเรียงเม็ดทรายทั้งหลายนั้นให้ใหม่.
เขามุดตัวเองรอดออกไปและหูองเธอตามติดความคืบหน้าของเขาไปตามพื้นผิวนั้น.
เราจะค้นพบอะไรที่นั่นหรือ? เธอสงสัยในใจ. กองทหารทั้งหลายของฮาร์คอนเนนและซาร์เดาการ์,
พวกนั้นคืออันตรายที่เราสามารถคาดหวังได้.
แต่อะไรของอันตรายทั้งหลายที่เราไม่รู้ล่ะ?
เธอคิดถึงเครื่องอัดแน่นนั้นและอุปกรณ์แปลกๆในเป้ห่อของนั้น.
แต่ละเครื่องมือพวกนี้ทันใดนั้นก็ยืนอยู่ในจิตใจของเธอดุจป้ายบ่งบอกถึงอันตรายอันลึกลับทั้งหลาย.
แล้วเธอรู้สึกถึงสายลมร้อนจากพื้นผิวทรายสัมผัสที่แก้มของเธอที่พวกมันเปิดเผยอยู่เหนือเครื่องกรองนั้น.
“ส่งเป้ของมาให้ที,”
มันเป็นเสียงของ พอล, ต่ำและระวัดระวัง.
เธอเคลื่อนไปเพื่อเชื่อฟัง,
ได้ยินเสียงเหยือกน้ำส่งเสียงขลุกๆขณะที่เธอตักผลักเป้ของนั้นข้ามพื้นไป. เธอมองหาขึ้นไปข้างบน,
เน พอล เป็นกรอบร่างบังดวงดาว.
“นี่,”
เขาพูดและเอื้อมลงมา, ดึงเป้ของขึ้นไปบนพื้นผิว.
ตอนนี้เธอเห็นเพียงวงกลมของวงดาวทั้งหลายง
พวกนั้นเหมือนกับปลายแหลมสว่างของอาวุธทั้งหลายที่เล็งลงมายังเธอ.
โปรยปรายของดาวตกข้ามผ่านไปในแผ่นฟ้าราตรีของเธอ.
ดาวตกที่กับเธอแล้วดูเหมือนสัญญาณเตือน, เหมือนลายพาดกลอนของเสือ,
เหมือนแผ่นป้ายหินหลุมศพเปล่งแสงทำให้เลือดของเธอแข็งตัว.
และเธอรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบของราคาค่าหัวของพวกเขา.
“ขึ้นมาเร็วเข้า,” พอล
บอก. “ข้าต้องการพับกระโจมลง.”
โปรยปรายของทรายจากพื้นผิวปัดป่ายมือซ้ายของเธอ.
ทรายมากเท่าไรนะที่มือนี้จะกุมเอาไว้ได้? เธอถามตนเอง.
“ให้ข้าช่วยแม่ไหม?” พอล
ถาม.
“ไม่.”
เธอกลำกืนในลำคอที่แห้งผาก,
เลื่อนตัวรอดเข้าไปในรูนั้น, รู้สึกทรายที่ถูกอัดแน่นด้วยประจุไฟฟ้าสถิตไหลผ่านใต้มือของเธอ.
พอล เอื้อมลงมา, จับแขนเธอ. เธอยืนเคียงเขาบนแผ่นแบนเรียบของทะเลทรายในแสงดาว,
จ้องไปรอบๆ. มรายเกือบจะปริ่มท่วมขอบแองของพวกเขาเดิมนี้,
ทิ้งไว้แต่เพียงปลายริมปากริบหรี่ของก้อนหินที่รายล้อม.
เธอตรวจตราวามมืดที่ไกลออกไปด้วยประสาทสัมผัสที่ได้ฝึกฝนมา.
เสียงของสัตวตัวเล็ก.
นก.
เสียงหล่นร่วงตกของทรายที่หลุดออกและเสียงเบาบางของสิ่งมีชีวิตภายใสมัน.
พอล ล้มพับกระโจมของพวกเขา,
กู้คืนมันขึ้นมาจากหลุมช่องนั้น.
แสงดาวขับไล่แทนที่เพียงพอกับราตรีที่จะโจมตีแต่ละเงาด้วยการคุกคาม.
เธอมองดูแผ่นแปะทั้งหลายของความดำมืดนั้น.
ดำ
คือการจำได้เยี่ยงตาบอด, เธอคิด.
เจ้าฟังหากลุ่มเสียง, เพื่อหาเสียงร้องทั้งหลายของเหล่าผู้ตามล่าบรรพบุรุษทั้งหลายของเจ้าในอดีตที่เก่าแก่เหลือเกินเพียงแค่เท่าที่เซลล์ที่ดึกดำบรรพ์มากที่สุดของเจ้าจะจำได้.
โสตมอง. นาสิกมอง.
อย่างปัจจุบัน, พอล
ยืนข้างเธอ, พูด: “ดันแคน บอกกับข้าว่าถ้าเขาถูกจับตัว,
เขาจะทนรั้งปิดบัง....ได้นานแค่นี้. เราต้องไปจากที่นี่ในตอนนี้กันแล้ว.” เขาสะพายเป้ของ,
ข้ามไปยังริมขอบปากตื้นของแอ่งนี้,
ปีนขึ้นไปยังตระพักยื่นของหินที่มองลงไปยังทะเลทรายเปิดโ,งเบื้องล่างได้.
เจสสิกา
ตามขึ้นไปอย่างอัตโนมัติ,
สังเกตได้ว่าตอนนี้เธอกำลังมีชีวิตอยู่ในวงโคจรของบุตรชายของเธอ.
สำหรับตอนนี้คือความโศกาอาลัยของฉันหนักหน่วงยิ่งกว่าทรายทั้งหลายของเหล่าทะเลนี้, เธอคิด. โลกนี้ได้ว่างเปล่าข้าไปทั้งหมดนอกจากเจตจำนงเก่าแก่ที่สุด:
ชีวิตของพรุ่งนี้. ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อ
ดยุคหนุ่มของฉันและลูกสาวที่ยังไม่กำเนิดนี้.
เธอรู้สึกว่าทรายลากดึงเท้าของเธอขณะที่เธอปีนไปยังข้าง
พอล.
เขามองทางทิศเหนือข้ามเส้นของเหบ่าหินไป,
กำลังศึกษาสันผาลาดชันในระยะไกลนั้น.
โครงร่างของหินที่ห่างไปไกลนั้นเหมือเรือรบโบราณของเหล่าทะเลเป็นเส้นขอบด้วยดวงดาวทั้งหลาย.
เสียงสะบัดเฟียวฟ้าวของมันที่ยกตัวขึ้นบนคลื่นที่มองไม่เห็นด้วยหลายพยางค์ของเสาอากาศบูมเมอแรง,
ปล่องควันโค้งงอกลับ, นูนขึ้นเป็นรูปทรงตัวไพที่ทิ่มไปข้างหน้ายังท้ายเรือ.
แสงบาดตาเจิดจ้าสีส้มระเบิดอยู่เหนือภาพเงานั้นและเส้นของสีม่วงพริ้งเพริดตัดลงมายังแสงบาดตานั้น.
อีกเส้นของสีม่วง!
และอีกแสงเจิดจ้าสีส้มพุ่งไปข้างหน้า.
มันเหมือนยุทธนาวีโบราณ,
ลูกกระสุนปืนยิงเข้าใส่อันต้องจดจำ,
และภาพทั้งหลายที่ยึดยั้งให้พวกเขาต้องจ้องมอง.
“แกนทั้งหลายของไฟ,” พอล
กระซิบ.
วงแหวนของดวงตาสีแดงลอยขึ้นมาเหนือหินห่างไกลนั้น.
เส้นทั้งหลายของสีม่วงถักร้อยท้องฟ้า.
“เจ็ตแฟลริ์ และปืนเลซ,”
เจสสิกา พูด.
ดวงจันทร์แดง-ฝุ่นแรกของ
อาร์ราคิส
ลอยขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้าทางด้านซ้ายมือของพวกเขาและพวกเขาเห็นรอยทางของพายุอยู่ที่นั่น---เส้นริบบิ้นหนึ่งของความเคลื่อนที่เหนือทะเลทราย.
“มันต้องเป็นยาน’ธ็อปเปอร์ของพวกฮาร์คอนเนนกำลังตามล่าเราอยู่,”
พอล พูด.
วิธีที่พวกมันกำลังตัดทะเลทรายขึ้นมา.....มันราวกับว่าพวกมันทำให้แน่ชัดว่าพวกมันได้กระทืบไล่ขับอะไรที่อยู่ที่นั้นออกมา.....วิธีที่ท่านกระทืบรังของพวกแมลง.”
“หรือรังของ อะไทรดิส,”
เจสสิกา พูด.
“เราต้องเสาะหาที่กำบัง,”
พอล พูด. “เราจะมุ่งหน้าไปทางใต้และคอยอยู่ในแนวหินพวกนี้เอาไว้.
ถ้าพวกมันจับเราได้ในที่โ,ง.....” เขาหันไป, ปรับแต่งเป้ที่ไหล่ทั้งสองของเขา.
“พวกมันกำลังฆ่าอะไรก็ตามที่เคลื่อนที่.”
เขาก้าวหนึ่งไปตามตระพักยื่นนั้นและ,
ในทันทีนั้น, ได้ยินเสียงแซ่ดต่ำๆจากการโฉบของยานอากาศ, เห็นรูปทรงมืดทึบของยาน’ธ็อปเปอร์ทั้งหลายอยู่เหนือพวกเขา.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น