หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (21)

 

บรรพที่ สอง

มวดดิบ

 

 

 เมื่อพระบิดาของข้า, จักรพรรดิ ปาดิชาห์, ได้ยินเรื่องการสิ้นชีวิตของ

    ดยุค ลีโต และลักษณะอาการของมัน, พระบิดาได้โกรธเกรี้ยวยิ่งในแบบที่เรา

    ไม่เคยได้เห็นมาก่อน. ท่านกล่าวโทษว่าพระมารดาของข้าและพวกแนบแน่นได้

    บีบบังคับให้ท่านต้องแต่งตั้งพวก เบเน เกสเสอริต ที่บนบัลลังก์. ท่านกล่าวโทษ

    ว่าพวกกิลด์ และเจ้าปีศาจเฒ่าบารอน. ท่านกล่าวโทษทุกคนที่อยู่ในสายตา,

     ไม่ยกเว้นกระทั่งข้า, เพราะท่านบอกว่า ข้าเป็นแม่มดเหมือนคนอื่นๆ. และเมื่อ

    ข้าได้หาทางปลอบประโลมท่าน, บอกไปว่ามันได้ถูกกระทำเช่นนั้นไปตามกฎเก่าแก่

    ของการธำรงรักษา-ตนเอง ต่อสิ่งที่กระทั่งผู้ปกครองยุคโบราณส่วนมากให้ความยึด

    ถือสวามิภักดิ์, ท่านยิ้มเยาะให้กับข้าและถามว่าถ้าข้าคิดว่าท่านเป็นผู้ที่อ่อนแอหรือ.

ข้าเข้าใจแล้วในตอนนั้นว่าเขาได้ถูกปลุกเร้าให้ตื่นขึ้นต่ออารมณ์โทสะนี้ไม่ใช่เพราะ

ด้วยความกังวลมากไปในเรื่องการตายของ ดยุค แต่ก็ด้วยอะไรที่การตายนั้นบอกนัย

ถึงการจงรักภักดีทั้งหมด. เมื่อข้าได้มองย้อนกลับไปยังมัน, ข้าคิดว่าอาจได้เป็นการรู้

ล่วงหน้าบางอย่างในพระบิดาของข้า, ด้วยเช่นกัน, เพราะมันชัดเจนว่าสายโลหิตของ

เขาและของ มวดดิบ แบ่งปันบรรพบุรุษร่วมกัน.

       --- “ในราชวังของพระบิดาข้า,” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

 

       “บัดนี้ ฮาร์คอนเนน จะฆ่า ฮาร์คอนเนน,” พอล กระซิบ.

       เขาได้ตื่นขึ้นสั้นๆก่อนที่จะมืดค่ำ, ลุกขึ้นนั่งในกระโจมปิดผนึกและมืดมิด. เมื่อเขาพูด, เขาได้ยินเสียงขยับตัวไม่ชัดเจนนักของมารดาของเขาที่เธอนอนพิงอยู่กับผนังกระโจมฝั่งตรงข้าม.

พอล เหลือบดูเครื่องตรวจจับระยะประชิดบนพื้นนั้น, ศึกษาหน้าปัดส่องสว่างในความดำมืดด้วยหลอดฟอสฟอรัส.

“จะกลางคืนในไม่ช้านี้แล้ว,” มารดาของเขาพูด. “ทำไมลูกไม่ยกม่านกระโจมขึ้นล่ะ?”

พอล ตระหนักในตอนนั้นว่าการหายใจของเธอได้แตกต่างไปจากเมื่อครู่, ว่าเธอได้นอนเงียบอยู่ในความมืดจนกระทั่งชัดเจนว่าเขาได้ตื่นขึ้นมาแล้ว.

“ยกม่านขึ้นก็ไม่ช่วยอะไรได้,” เขาพูด. “ได้มีพายุมาก่อนแล้ว. กระโจมได้ถูกปกคลุมด้วยทราย. ข้าจะขุดให้เราออกไปได้ในเร็วนี้.”

“ไม่สัญญานอะไรจาก ดันแคน หรือ?”

“ไม่เลย.”

พอล ถูอย่างไม่รู้สึกตัวที่แหวนตราดยุคบนนิ้วหัวแม่มือของเขา, และความโกรธทันทีทันใดต่อทุกสรรพสิ่งของดาวเคราะห์นี้ที่ได้ช่วยฆ่าบิดาของเขาทำให้เขาเริ่มตัวสั่นระริก.

ความว่างเปล่าไร้เรียกร้องใดของคำพูดเธอช่วยฟื้นคืนบางอย่างของความสงบของเขา. จิตใจของเขาเพ่งอยู่กับพายุนั้นดุจเดียวกับที่เขาได้เห็นมันเริ่มต้นผ่านปลายสุดที่โปร่งใสของกระโจมทะเฃทรายนี้---เหล่าหยดทรายเย็นๆไหลผ่านข้ามแอ่งนี้ไป, แล้วทำร่องคูและลากหางให้กับท้องฟ้า. เขาได้เงยขึ้นยังยอดแหลมของหิน, เห็นมันเปลี่ยนรูปทรงอยู่ภายใต้การถูกระเบิดใส่, กลายเป็นลิ่มสีเนยเช็ดดาร์เตี้ยๆ. ทรายทำปล่องกรวยเข้าไปในแอ่งอ่างของพวกมันทำเงาทาบท้องฟ้าอย่างรีบเร่งเลอะเปรอะ, แล้วก็ทำให้ด่างเปื้อนกับแสงสว่างทั้งหมดเมื่อกระโจมได้ถูกปกคลุม.

คันโครงของกระโจมได้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อพวกมันยอมรับน้ำหนักกดลงมานั้น---ความเงียบแตกพังไปโดยแค่คำรามหรี่เลือนเสียงฟืดฟาดจากเครื่องสูบอากาศพ่นทรายผ่านรูท่อหายใจของพวกนั้นจากผิวพื้น.

“ลองเครื่องรับอีกครั้งสิ,” เจสสิกา พูด.

“ไม่มีประโยชน์,” เขาบอก.

เขาพบท่อน้ำของชุสติลล์สูทของเขาในคลิปของมันที่คอของเขา, ดูดกลืนน้ำอุ่นเข้าในปากของเขา, และเขาคิดว่านี่คือที่เขาได้เริ่มต้นแท้จริงกับการมีชีวิตอยู่เยี่ยงอาร์ราคีนแล้ว---อาศัยอยู่ด้วยความชื้นที่เอาคืนกลับมาอีกจากลมหายใจและร่างกายของตัวของเขาเอง. มันเป็นน้ำที่ราบเรียบและไร้รส, แต่มันละมุนกับลำคอของเขา.

เจสสิกา ได้ยิน พอล กำลังดื่ม, รู้สึกได้ถึงความมันลื่นของชุดสติลล์สูทของเธอเองแนบแน่นอยู่กับร่างของเธอ, แต่เธอปฏิเสธที่จะยอมรับความกระหายของเธอ. การจะยอมรับมันจะต้องการการตื่นขึ้นเต็มที่เข้าไปในความจำเป็นทั้งหลายอันน่าตระหนกของ อาร์ราคิส ที่พวกเขาต้องพิทักษ์ป้องกันกระทั่งร่องรอยปลีกย่อยทั้งหลายของความชื้น, การกักตุนกระทั่งสองสามหยาดหยดนั้นในกระเป๋าดักเก็บทั้งหลายของกระโจม, เดียดฉันท์ต่อการหายใจทิ้งไปในอากาศเปิดโล่ง.

ง่ายมากกว่าเหลือเกินที่จะเร่ลอยถอยลงไปสู่การนอนหลับ.

แต่มีความฝันหนึ่งในการนอนทุกวันนี้, และเธอหนาวสั่นกับความทรงจำของมัน. เธอได้ยึดเอามือในความฝันซุกอยู่ภายใต้ทรายไหลเลื่อนที่แห่งหนซึ่งมีชื่อได้ถูกเขียนเอาไว้: ดยุค ลีโต อะไทรดิส. ชื่อนั้นได้พร่ามัวด้วยทรายและเธอได้ปัดดป่ายมันออกเพื่อกู้คืนมัน, แต่อักษรตัวแรกก็ถูกเติมลงมาอีกก่อนที่ตัวสุดท้ายจะได้เริ่ม.

ทรายที่จะไม่หยุด.

ฝันของเธอกลายเป็นการคร่ำครวญ: ดังและดังยิ่งขึ้น. การคร่ำครวญที่น่าขัน---ส่วนหนึ่งของจิตใจของเธอได้ตระหนักรู้ถึงเสียงนั้นว่าเป็นเสียงของเธอเองดุจเด็กตัวจิ๋วคนหนึ่ง, เล็กยิ่งกว่าทารก. ผู้หญิงคนหนึ่งเห็นไม่ชัดนักในความทรงจำกำลังจากไป.

ทารดาที่ไม่รู้จักของฉัน, เธอคิด. เบเน เกสเสอริต ผู้ให้กำเนิดฉันและให้ฉันแก่ เหล่าภคิณี เพราะนั่นคืออะไร ที่เธอได้รับบัญชาให้กระทำ. แม่ดีใจหรือเปล่านะที่ได้ขจัดตัวเองจากลูกคนหนึ่งของ ฮาร์คอนเนน?

“ที่ที่จะตีพวกเขาได้นั้นอยู่ในเครื่องเทศ,” พอล พูด.

เขาสามารถคิดถึงการโจมตีในเวลาเช่นนี้ได้อย่างไรหรือ? เธอถามตนเอง.

“ดาวเคราะห์ทั้งหมดเต็มไปด้วยเครื่องเทศ,” เธอพูด. “ลูกสามารถโจมตีพวกเขาที่นั่นได้อย่างไรหรือ?”

เธอได้ยินเขาขยับตัว, เสียงของเป้หีบห่อของของพวกเขากำลังถูกลากข้ามพื้นกระโจม.

“มันเป็นพลังของทะเลและพลังของอากาศที่บน คาลาดาน,” เขาพูด. “ที่นี่มันคือ พลังของทะเลทราย. พวกฟรีเมนคือกุญแจไขนั้น.”

เสียงของเขามาจากบริเวณใกล้ปากช่องรูดเปิดปิดของกระโจม. การฝึกฝน เบเน เกสเสอริตของเธอสัมผัสรู้ในน้ำเสียงของเขานั้นคือความขื่นขมที่รอการแก้ไขมายังเธอ.

ตลอดชีวิตของเขาได้ถูกฝึกฝนมาให้เกลียดชังพวกฮาร์คอนเนนส์, เธอคิด. ตอนนี้, เขาพบว่าเขาก็เป็น ฮาร์คอนเนน.....เพราะว่าฉัน. ช่างน้อยนิดเหลือเกินที่เขารู้จักฉัน! ฉันเป็นผู้หญิงของ ดยุค เพียงคนเดียวเท่านั้นง ฉันยอมรับชีวิตของเขาและคุณธรรมของเขากระทั่งที่จะเป็นปฏิปักษ์ต่อคำสั่ง เบเน เกสเสอริต ของฉัน.

แถบเรืองแสงของกระโจม่องสว่างขึ้นใต้มือของ พอล, เติมพื้นที่รูปโดมด้วยแสงรัศมีสีเขียว. พอล หมอบก้มอยู่ที่ช่องรูดนั้น, ชุดสติลล์สูทของเขาถูกปรับแต่งสำหรับทะเลทรายเปิดโล่ง---หน้าผากถูกครอบปิด, เครื่องกรองที่ปากเข้าอยู่ในที่, ที่อุดจมูกปรับเข้าที่. มีเพียงดวงตาสี้มืดเข้มของเขาที่มองเห็นได้: แถบแคบของใบหน้าที่หันมาครั้งหนึ่งยังเธอแล้วหันจากไป.

“ป้องกันตัวเองสำหรับที่โล่ง,” เขาพูด, และน้ำเสียงของเขานั้นพร่ามัวอยู่เบื้องหลังเครื่องกรองนั้น.

เจสสิกา ดึงเครื่องกรองพาดปากของเธอ, เริ่มปรับแต่งหมวกคลุมของเธอขณะที่เธอมองดู พอล ฉีกผนึกปิดของกระโจม.

ทรายส่งเสียงครูดขูดขณะที่เขาเกปิดช่องรูดนั้นและส่งเสียงฟู่พร่ามัวของเม็ดทรายทั้งหลายที่วิ่งเข้ามาใสนกระโจมก่อนที่เขาจะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของมันไว้ได้ด้วยเครื่องอัดแน่นประจุไฟฟ้าสถิต. ความร้อนเติบโตขึ้นในกำแพงทรายขณะที่เครื่องนั้นจัดเรียงเม็ดทรายทั้งหลายนั้นให้ใหม่. เขามุดตัวเองรอดออกไปและหูองเธอตามติดความคืบหน้าของเขาไปตามพื้นผิวนั้น.

เราจะค้นพบอะไรที่นั่นหรือ? เธอสงสัยในใจ. กองทหารทั้งหลายของฮาร์คอนเนนและซาร์เดาการ์, พวกนั้นคืออันตรายที่เราสามารถคาดหวังได้. แต่อะไรของอันตรายทั้งหลายที่เราไม่รู้ล่ะ?

เธอคิดถึงเครื่องอัดแน่นนั้นและอุปกรณ์แปลกๆในเป้ห่อของนั้น. แต่ละเครื่องมือพวกนี้ทันใดนั้นก็ยืนอยู่ในจิตใจของเธอดุจป้ายบ่งบอกถึงอันตรายอันลึกลับทั้งหลาย.

แล้วเธอรู้สึกถึงสายลมร้อนจากพื้นผิวทรายสัมผัสที่แก้มของเธอที่พวกมันเปิดเผยอยู่เหนือเครื่องกรองนั้น.

“ส่งเป้ของมาให้ที,” มันเป็นเสียงของ พอล, ต่ำและระวัดระวัง.

เธอเคลื่อนไปเพื่อเชื่อฟัง, ได้ยินเสียงเหยือกน้ำส่งเสียงขลุกๆขณะที่เธอตักผลักเป้ของนั้นข้ามพื้นไป. เธอมองหาขึ้นไปข้างบน, เน พอล เป็นกรอบร่างบังดวงดาว.

“นี่,” เขาพูดและเอื้อมลงมา, ดึงเป้ของขึ้นไปบนพื้นผิว.

ตอนนี้เธอเห็นเพียงวงกลมของวงดาวทั้งหลายง พวกนั้นเหมือนกับปลายแหลมสว่างของอาวุธทั้งหลายที่เล็งลงมายังเธอ. โปรยปรายของดาวตกข้ามผ่านไปในแผ่นฟ้าราตรีของเธอ. ดาวตกที่กับเธอแล้วดูเหมือนสัญญาณเตือน, เหมือนลายพาดกลอนของเสือ, เหมือนแผ่นป้ายหินหลุมศพเปล่งแสงทำให้เลือดของเธอแข็งตัว. และเธอรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบของราคาค่าหัวของพวกเขา.

“ขึ้นมาเร็วเข้า,” พอล บอก. “ข้าต้องการพับกระโจมลง.”

โปรยปรายของทรายจากพื้นผิวปัดป่ายมือซ้ายของเธอ. ทรายมากเท่าไรนะที่มือนี้จะกุมเอาไว้ได้? เธอถามตนเอง.

“ให้ข้าช่วยแม่ไหม?” พอล ถาม.

“ไม่.”

เธอกลำกืนในลำคอที่แห้งผาก, เลื่อนตัวรอดเข้าไปในรูนั้น, รู้สึกทรายที่ถูกอัดแน่นด้วยประจุไฟฟ้าสถิตไหลผ่านใต้มือของเธอ. พอล เอื้อมลงมา, จับแขนเธอ. เธอยืนเคียงเขาบนแผ่นแบนเรียบของทะเลทรายในแสงดาว, จ้องไปรอบๆ. มรายเกือบจะปริ่มท่วมขอบแองของพวกเขาเดิมนี้, ทิ้งไว้แต่เพียงปลายริมปากริบหรี่ของก้อนหินที่รายล้อม. เธอตรวจตราวามมืดที่ไกลออกไปด้วยประสาทสัมผัสที่ได้ฝึกฝนมา.

เสียงของสัตวตัวเล็ก.

นก.

เสียงหล่นร่วงตกของทรายที่หลุดออกและเสียงเบาบางของสิ่งมีชีวิตภายใสมัน.

พอล ล้มพับกระโจมของพวกเขา, กู้คืนมันขึ้นมาจากหลุมช่องนั้น.

แสงดาวขับไล่แทนที่เพียงพอกับราตรีที่จะโจมตีแต่ละเงาด้วยการคุกคาม. เธอมองดูแผ่นแปะทั้งหลายของความดำมืดนั้น.

ดำ คือการจำได้เยี่ยงตาบอด, เธอคิด. เจ้าฟังหากลุ่มเสียง, เพื่อหาเสียงร้องทั้งหลายของเหล่าผู้ตามล่าบรรพบุรุษทั้งหลายของเจ้าในอดีตที่เก่าแก่เหลือเกินเพียงแค่เท่าที่เซลล์ที่ดึกดำบรรพ์มากที่สุดของเจ้าจะจำได้. โสตมอง. นาสิกมอง.

อย่างปัจจุบัน, พอล ยืนข้างเธอ, พูด: “ดันแคน บอกกับข้าว่าถ้าเขาถูกจับตัว, เขาจะทนรั้งปิดบัง....ได้นานแค่นี้. เราต้องไปจากที่นี่ในตอนนี้กันแล้ว.” เขาสะพายเป้ของ, ข้ามไปยังริมขอบปากตื้นของแอ่งนี้, ปีนขึ้นไปยังตระพักยื่นของหินที่มองลงไปยังทะเลทรายเปิดโ,งเบื้องล่างได้.

เจสสิกา ตามขึ้นไปอย่างอัตโนมัติ, สังเกตได้ว่าตอนนี้เธอกำลังมีชีวิตอยู่ในวงโคจรของบุตรชายของเธอ.

สำหรับตอนนี้คือความโศกาอาลัยของฉันหนักหน่วงยิ่งกว่าทรายทั้งหลายของเหล่าทะเลนี้, เธอคิด. โลกนี้ได้ว่างเปล่าข้าไปทั้งหมดนอกจากเจตจำนงเก่าแก่ที่สุด: ชีวิตของพรุ่งนี้. ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อ ดยุคหนุ่มของฉันและลูกสาวที่ยังไม่กำเนิดนี้.

เธอรู้สึกว่าทรายลากดึงเท้าของเธอขณะที่เธอปีนไปยังข้าง พอล.

เขามองทางทิศเหนือข้ามเส้นของเหบ่าหินไป, กำลังศึกษาสันผาลาดชันในระยะไกลนั้น.

โครงร่างของหินที่ห่างไปไกลนั้นเหมือเรือรบโบราณของเหล่าทะเลเป็นเส้นขอบด้วยดวงดาวทั้งหลาย. เสียงสะบัดเฟียวฟ้าวของมันที่ยกตัวขึ้นบนคลื่นที่มองไม่เห็นด้วยหลายพยางค์ของเสาอากาศบูมเมอแรง, ปล่องควันโค้งงอกลับ, นูนขึ้นเป็นรูปทรงตัวไพที่ทิ่มไปข้างหน้ายังท้ายเรือ.

แสงบาดตาเจิดจ้าสีส้มระเบิดอยู่เหนือภาพเงานั้นและเส้นของสีม่วงพริ้งเพริดตัดลงมายังแสงบาดตานั้น.

อีกเส้นของสีม่วง!

และอีกแสงเจิดจ้าสีส้มพุ่งไปข้างหน้า.

มันเหมือนยุทธนาวีโบราณ, ลูกกระสุนปืนยิงเข้าใส่อันต้องจดจำ, และภาพทั้งหลายที่ยึดยั้งให้พวกเขาต้องจ้องมอง.

“แกนทั้งหลายของไฟ,” พอล กระซิบ.

วงแหวนของดวงตาสีแดงลอยขึ้นมาเหนือหินห่างไกลนั้น. เส้นทั้งหลายของสีม่วงถักร้อยท้องฟ้า.

“เจ็ตแฟลริ์ และปืนเลซ,” เจสสิกา พูด.

ดวงจันทร์แดง-ฝุ่นแรกของ อาร์ราคิส ลอยขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้าทางด้านซ้ายมือของพวกเขาและพวกเขาเห็นรอยทางของพายุอยู่ที่นั่น---เส้นริบบิ้นหนึ่งของความเคลื่อนที่เหนือทะเลทราย.

“มันต้องเป็นยานธ็อปเปอร์ของพวกฮาร์คอนเนนกำลังตามล่าเราอยู่,” พอล พูด. วิธีที่พวกมันกำลังตัดทะเลทรายขึ้นมา.....มันราวกับว่าพวกมันทำให้แน่ชัดว่าพวกมันได้กระทืบไล่ขับอะไรที่อยู่ที่นั้นออกมา.....วิธีที่ท่านกระทืบรังของพวกแมลง.”

“หรือรังของ อะไทรดิส,” เจสสิกา พูด.

“เราต้องเสาะหาที่กำบัง,” พอล พูด. “เราจะมุ่งหน้าไปทางใต้และคอยอยู่ในแนวหินพวกนี้เอาไว้. ถ้าพวกมันจับเราได้ในที่โ,ง.....” เขาหันไป, ปรับแต่งเป้ที่ไหล่ทั้งสองของเขา. “พวกมันกำลังฆ่าอะไรก็ตามที่เคลื่อนที่.”

เขาก้าวหนึ่งไปตามตระพักยื่นนั้นและ, ในทันทีนั้น, ได้ยินเสียงแซ่ดต่ำๆจากการโฉบของยานอากาศ, เห็นรูปทรงมืดทึบของยานธ็อปเปอร์ทั้งหลายอยู่เหนือพวกเขา.

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น