มวด’ดิบ สามารถได้แท้จริง,
ที่จะเห็น อนาคต, แต่เจ้าต้องเข้าใจถึงข้อจำกัดทั้งหลายของพลังอำนาจนี้.
การคิดเป็นภาพเห็น. เจ้ามีดวงตา, กระนั้นก็ไม่ได้สามารถเห็นโดยปราศจากแสงสว่าง. ถ้าเจ้าอยู่บนพื้นของหุบเขาหนึ่ง,
เจ้าไม่สามารถมองเห็นเลยโพ้นหุบเขาของเจ้าไปได้. เพียงเช่นนั้น, มวด’ดิบ ไม่ได้สามารถเลือกได้เสมอที่จะมองข้ามภูมิประเทศลี้ลับนั้น.
ท่านบอกกับพวกเราว่า คำพยากรณ์ที่คลุมเครือเพียงหนึ่งเดียว,
บางทีทางเลือกของหนึ่งคำพูดเหนือคำอื่น, ก็สามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ทั้งปวงของอนาคตได้.
ท่านบอกกับเราว่า “ทัศนภาพของเวลานั้นกว้างใหญ่, แต่เมื่อเจ้าผ่านทะลุมันไป,
เวลาจะกลายมาเป็นประตูแคบ.” และอยู่เสมอ,
ที่ท่านได้ต่อสู้กับความยั่วยวนใจที่จะเลือก อย่างที่กระจ่างชัด, แนวทางปลอดภัย,
เตือนว่า “มรรคานั้นนำลงไปท้ายสุดสู่ความชะงักงัน.”
---จาก “การตื่นขึ้นของ อาร์ราคิส” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน
ขณะที่ยานออมนิธ็อปเปอร์ทั้งหลายไถลโฉบออกไปจากราตรีเหนือพวกเขา,
พอล กุมแขนของมารดาตน, กำชับ: “อย่าขยับ!”
แล้วเขาก็เห็นยานอากาศนำฝูงในแสงจันทร์,
วิธีที่ปีกทั้งหลายของมันห่อตัวเพื่อหยุดและลงจอด,
การกระชากมืออย่างไม่ระวังที่แผงควบคุม.
“เป็น ไอดาโฮ,” เขาพ่นลมหายใจออกมา.
ยานอากาศนั้นและเพื่อนร่วมงานของมันปักหลักลงเข้ามาในแอ่งอ่างนี้เหมือนขบวนนกมาสู่รัง.
ไอดาโฮ ออกมาจากยาน’ธ็อปเปอร์ของตนและวิ่งเข้ามาหาพวกเขาก่อนที่ฝุ่นจะหายฟุ้งกระจายร่วงลงมาหมด.
สองร่างในเสื้อคลุมฟรีเมนติดตามเขามา. พอล จำได้หนึ่งคน:
ร่างสูง, เคราสีทรายนั้นคือ คายนิ์ส.
“ทางนี้!” คายนิ์ส เรียกและเขาเบนหันไปทางซ้ายมือ.
ด้านหลัง คายนิ์ส,
ฟรีเมนคนอื่นๆกำลังโยนผ้าปิดคลุมยาน’ธ็อปเปอร์ทั้งหลายของพวกเขา.
ยานอากาศนั้นกลายเป็นแนวสันของนูนทรายไป.
ไอดาโฮ ลื่นไถลมาหยุดตรงหน้าของ พอล, วัทยาหัตถ์. “ฝ่าบาท,
พวกฟรีเมนได้มีที่กำบังชั่วคราวแห่งหนึ่งอยู่ใกล้กับที่ที่เรา---”
“แล้วเรื่องที่ข้างหลังนั่นล่ะ?”
พอล ชี้ไปยังความรุนแรงเหนือเชิงผาไกลออกไปนั้น---พลุพ่นไฟและลำแสงสีม่วงของปืนเลซในทะเลทราย.
ยิ้มที่หาได้ยากสัมผัสที่ใบหน้ากลมมน, เยือกเย็นของ ไอดาโฮ.
“ฝ่าบาท.....ขอรับ, ข้าทิ้งให้พวกมันได้แปลกใจไว้เล็กน้อย---”
แสงสีขาวสะท้อนจ้าเต็มทะเลทราย---สว่างดุจดวงอาทิตย์,
กัดแกะเงาของพวกเขาลงบนพื้นหินของเพิงหิ้งชะง่อนผา. ในการเคลื่อนไหววูบเดียว,
ไอดาโฮ ได้แขนของ พอล ไว้ในมือข้างหนึ่ง, ไหล่ของ เจสสิกา ในอีกมือ,
ลากจูงพวกเขาลงจากเพิงหิ้งชะง่อนผานั้นลงสู่แอ่งทะเลทราย.
พวกเขานอนกางแขนขาเหยียดอยู่ด้วยกันในทรายนั้นขณะที่เสียงคำรามลั่นของการระเบิดดุจฟ้าผ่าลงเหนือพวกเขา.
คลื่นสั่นสะท้านของมันเขย่าเศษชิ้นของตะพักหินที่เขาลงมาจากตรงนั้นหลุดร่วงออก.
ไอดาโฮ ลุกขึ้นนั่ง, ปัดทรายออกจากร่าง.
“ไม่ใช่ระเบิดปรมาณูของครอบครัว!” เจสสกา พูด. “ฉันคิดว่า---”
“ท่านฝังโล่ห์พลังย้อนกลับที่นั้น,” พอล พูด.
“ใหญ่อันหนึ่งที่เปิดเต็มกำลังเลยล่ะ,” ดาโฮ พูด.
“ลำแสงปืนเลซไปแตะต้องมันและก็......”เขายักไหล่.
“ระเบิดของการหลอมรวมตัวของอนุภาคย่อย,” เจสสิกา พูด.
“นั่นเป็นอาวุธที่อันตรายมาก.”
“ไม่ใช่อาวุธ, ท่านหญิง, การป้องกันตัว.
พวกสวะนั้นจะคิดเป็นสองเท่าก่อนที่จะใช้ปืนเลซกับอะไรในครั้งอื่นต่อไป.”
ฟรีเมนจากยาน’ธ็อปเปอร์หยุดลงเหนือพวกเขา. หนึ่งนั้นเรียกมาในเสียงต่ำเบา: “เราควรไปยังที่กำบังได้แล้ว, สหาย.”
พอล ลุกขึ้นยืนขณะที่ ไอดาโฮ ช่วยพยุง เจสสิกา ขึ้นมา.
“การระเบิดนั่นจะดึงดูดความสนใจเป็นส่วนใหญ่, ฝ่าบาท.”
ไอดาโฮ พูด.
ฝ่าบาท, พอล คิด.
คำนั้นช่างฟังดูแปลกเมื่อเอ่ยตรงมายังเขา. ฝ่าบาท
ได้เป็นคำที่ได้เอ่ยต่อบิดาของเขามาเสมอ.
เขารู้สึกว่าตนเองสัมผัสอย่างสั้นๆด้วยพลังญาณทั้งหลายแห่งการรู้ล่วงหน้าของเขา,
เห็นตัวของเขาติดเชื้อโดยจิตสำนึกกระแสพลุ่งพล่านที่ได้ขับเคลื่อนเอกภพมนุษย์สู่กลียุค.
ภาพทัศน์นั้นทิ้งให้เขาสั่นเทา, และเขายอมให้ ไอดาโฮ
ที่จะนำเขาไปตามขอบริมของแอ่งอ่างยังก้อนหินที่โผล่ขึ้นมา. ฟรีเมนตรงนั้นกำลังเปิดทางลงไปสู่ทะเลทรายด้วยเครื่องมืออัดทรายแน่นของพวกเขา.
“ขอข้ารับแบกเป้ห่อของให้ท่านเถิด, ฝ่าบาท?” ไอดาโฮ พูด.
“มันไม่หนักอะไรหรอก, ดันแคน.” พอล บอก.
“ท่านไม่มีโล่ห์พลังป้องกันร่าง,” ไอดาโฮ พูด.
“ท่านต้องการของข้าไหม?” เขาชำเลืองมองไปที่เชิงผาระยะไกล.
“ไม่เชิงนักว่าจะมีเรื่องกิจกรรมใช้ปืนเลซอะไรกันอีก.”
“เก็บโล่พลังของเจ้าเอาไว้ต่อไปเถิด, ดันแคน.
แขนขวาของท่านก็เป็นโล่ห์ให้กับข้าได้เพียงพอแล้ว.”
เจสสิกา มองเห็นวิธีที่คำยกย่องนั้นส่งผล, ว่า ไอดาโฮ
เคลื่อนเข้ามาใกล้ พอล อย่างไร, และเธอคิด: ช่างเป็นความจัดเจนเหลือเกินที่บุตรชายของฉันได้ใช้กับผู้คนของเขา.
พวกฟรีเมนเคลื่อนย้ายก้อนหินอุดซึ่งเปิดเส้นทางลงเข้าไปสู่ชั้นใต้ดินอันซับซ้อนตามธรรมชาติของทะเลทราย.
ที่ปกปิดอำพรางตัวนั้นประกอบขึ้นสำหรับทางเปิดเข้าออก.
“ทางนี้,” หนึ่งในพวกฟรีเมนบอก,
และเขานำพวกเขาลงไปตามขั้นหินเข้าไปสู่ความมืด.
ด้านหลังของพวกเขา, ที่ปกปิดนั้นเปื้อนปิดแสงจันทร์ไป.
แสงเรืองเขียวริบหรี่มีชีวิตขึ้นมาทางด้านหน้า, เผยให้เห็นขั้นบันไดและกำแพงหิน,
หัวมุมเลี้ยวไปทางซ้ายมือ. ฟรีเมนในชุดคลุมอยู่รายรอบพวกเขาไปหมดในตอนนี้,
ผลักดันลงไปยังเบื้องล่าง. พวกเขาอ้อมหัวมุม, พบทางเดินลาดเอียงลงไปข้างล่างอีกอัน.
มันเปิดเข้าไปสู่โถงถ้ำหยาบๆอันหนึ่ง.
คายนิ์ส ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา,
ผ้าจับบาคลุมศีรษะหวี่ยงกลับไปทางด้านหลัง. ลำคอชุดสติลล์สูทของเขาระยิบระยับอยู่ในแสเรืองสีเขียวนั้น.
ผมยาวของเขาและเคราดูยุ่งเหยิง. ดวงตาสีฟ้าที่ปราศจากสีขาวเลยคือความมืดเข้มอยู่ใต้คิ้วดกหนา.
ในชั่วขณะของการประสบซึ่งกัน, คายนิ์ส กังขาใจในตนเอง: ทำไมข้าถึงช่วยคนพวกนี้?
มันเป็นสิ่งอันตรายมากที่สุดที่ข้าได้เคยกระทำ.
มันสามารถถึงวาระแก่ได้ไปกับพวกเขา.
แล้วเขาก็มองอย่างเต็มที่ยัง พอล, เห็นว่าเด็กชายนี้ผู้ที่ได้รับเอาบทบาทหน้าที่ของความเป็นชายหาญกล้า,
สวมหน้ากากปิดบังความโศกเศร้า,
ระงับยับยั้ยทั้งหมดยกเว้นตำแหน่งแห่งหนที่ตอนนี้ต้องถูกรับภาระผิดชอบ---ราชศักดิ์แห่งดยุค.
และ คายนิ์ส ตระหนักในชั่วขณะนั้นว่าราชศักดิ์แห่งดยุคนั้นยังดำรงอยู่และเป็นเอกสิทธิ์เพราะเด็กหนุ่มผู้นี้---และนี่ไม่ใช่สิ่งที่จะรับเอาไปได้อย่างเบาแรง.
เจสสิกา เหลือบมองอีกครั้งไปรอบๆห้องโถงนั้น,
บันทึกจดจำมันลงบนประสาทสัมผัสของเธอในหนทางของ เบเน เกสเสอริต---ห้องทดลองหนึ่ง, สถานที่รัฐการเต็มไปด้วยมุมและเหลี่ยมในกิริยาอาการของโบราณกาล.
“นี่เป็นหนึ่งใน สถานีทดลองนิเวศวิทยาของจักรวรรดิ
ที่บิดาของข้าต้องการให้เป็นฐานทั้งหลายของการก้าวไปข้างหน้า,” พอล พูด.
บิดาของเขาต้องการเช่นนั้น! คายนิ์ส คิด.
และอีกครังที่ คายนิ์ส กังขาใจกับตนเอง. นี่ข้าโง่เขลาที่ได้ช่วยผู้หลบหนีเหล่านี้หรือ?
ทำไมข้ากำลังทำมันล่ะ? มันช่างง่ายดายมากที่จะจับกุมพวกเขาในตอนนี้,
เพื่อซื้อความไว้วางใจจากฮาร์คอนเนนด้วยตัวพวกนี้.
พอล ทำตามตัวอย่างของมารดาตน, รวบรวมทั้งหมดของห้องนี้, มองเห็นม้านั่งทำงานยาวไปตลอดด้านหนึ่ง,
ผนังที่ราบเรียบของก้อนหิน. เครื่องมือวางเรียงเป็นแถวอยู่บนม้านั่งนั้น---หน้าปัดเรืองแสง,
แผ่นลวดประกับทั้งหลายด้วยแก้วเป่าโผลออกมาจากพวกนั้น.
กลิ่นโอโซนฟุ้งไปทั่วสถานที่.
บางคนของฟรีเมนเคลื่อนไปรอบๆในมุมที่ปิดไว้ของห้องโถงและมีเสียงใหม่เริ่มดังขึ้นที่นั้น---เครื่องจักรสำลัก,
เสียงร้องหวีดเบาๆของสายพานหมุนและมัลติไดร้ฟกำเนิดไฟฟ้าทั้งหลาย.
พอล มองไปที่ปลายสุดของห้อง,
เห็นกรงทั้งหลายที่มีสัตว์ตัวเล็กๆอยู่ในนั้นกองซ้อนอยู่ติดผนัง.
ท่านจำได้ถึงสถานที่นี้อย่างถูกต้อง,” คายนิอ์ส พูด.
“ท่านจะใช้สถานที่นี้สำหรับอะไรได้หรือ, พอล อะไทรดิส.”
“เพื่อทำให้ดาวเคราะห์นี้เหมาะสำหรับมนุษย์ทั้งหลาย,” พอล พูด.
บางทีนั่นแหละที่ทำไมข้าถึงได้ช่วยพวกเขา, คายนิ์ส คิด.
เสียงเครื่องจักรทันทีนั้นก็ฮัมจากไปสู่ความเงียบงัน.
เข้ามาในช่องว่างนี้คือเสียงร้องจี๊ดจ๊าดบางเบาของสัตว์จากในกรงเหล่านั้น.
มันถูกตัดออกอย่างกระทันหันราวกับความกระดากอาย.
พอล หันความสนใจของเขากลับมาที่กรงทั้งหลายนั้น,
เห็นสัตว์เหล่านั้นเป็นค้างคาวปีกสีน้ำตาล.
เครื่องป้อนอาหารอัตโนมัติยื่นออกมาจากด้านผนังตรงข้ามกับกรงพวกนั้น.
ฟรีเมนคนหนึ่งโผล่ออกมาจากพื้นที่ซ่อนหลบของโถง, พูดกับ คายนิ์ส: “เลียต,
อุปกรณ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสนามกำลังไม่ทำงาน.
ข้าไม่สามารถที่จะหน้ากากเราจากเครื่องตรวจหาระยะใกล้ได้.”
“เจ้าซ่อมมันได้ไหม?” คายนิ์ส ถาม.
“ไม่ได้อย่างรวดเร็วนัก. ชิ้นส่วน.....” ชายนั้นยักไหล่.
ใช่,” คายนิ์ส พูด.
“งั้นเราก็จะทำโดยปราศจากเครื่องจักรกล.
ไปเอาเครื่องปั๊มอากาศด้วยมือออกไปที่ผิวพื้น.”
“ทันทีเลย,” ชายนั้นรีบออกไป.
คายนิ์ส หันลับมายัง พอล. “ท่านให้คำตอบที่ดี.”
เจสสิกา หมายเหตุลงไว้ถึงน้ำเสียงรัวต่ำเรียบง่ายของชายนี้.
มันเป็นน้ำเสียงเยี่ยงราชนิกูล, ที่คุ้นเคยกับการสั่งบัญชา.
และเธอได้ไม่พลาดที่จะอ้างอิงถึงว่าเขาคือ เลียต. เลียต เป็น อัตตะที่สอง(ตัวตายตัวแทน
- ผู้แปล), อีกใบหน้าหนึ่งของนักนิเวศพิภพวิทยาผู้อ่อนน้อม.
“เราซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งสำหรับการช่วยเหลือของท่าน, ดอกเตอร์
คายนิ์ส,” เธอพูด.
“อืม-ม-ม, เราจะได้เห็นกัน,” คายนิ์ส พูด.
เขาพยักหน้าให้กับหนึ่งในคนของเขา. “กาแฟเครื่องเทศในที่เขตส่วนของข้า, ชามีร์.”
“ในทันที, เลียต,” ชายนั้นพูด.
คายนิ์ส ชี้ทางไปยังช่องเปิดซุ้มโค้งในด้านหนึ่งของผนังของโถง.
“ถ้าท่านจะกรุณา?”
เจสสิกา ยอมให้ตนเองทำพยักหน้ารับเยี่ยงราชินีก่อนยอมรับสิ่งนั้น.
เธอเห็น พอล สัญญาณมือต่อ ไอดาโฮ, บอกให้เขาตั้งยามรักษาการณ์ในที่นี้.
ช่องทางเดินนั้น, สองก้าวลึก, เปิดทะลุผ่านประตูหนักบานหนึ่งเข้าไปสู่ทีทำงานสี่เหลี่ยมจตุรัสสว่างอยู่ด้วยหลายโคมกลมเรืองแสงทองคำ.
เจสสิกา ผ่านมือของเธอข้ามประตูขณะที่เธอเข้าไป,
สะดุ้งใจต่อการระบุพบว่ามันเป็นชีวโลหะพลาสตีล(plasteel*).
*
https://dune.fandom.com/wiki/Plasteel
พอล เดินสามก้าวเข้าไปในห้องนั้น,
ทิ้งเป้ของของเขาลงยังพื้นห้อง. เขาได้ยินเสียงประตูปิดตามหลังของเขา,
ศึกษาสถานที่นี้---ราวแปดเมตรในแต่ละด้าน, กำแพงทั้งหลายของหินธรรมชาติ, สีแกงเผ็ด,
แยกแบ่งด้วยตู้โลหะเก็บเอกสารเรียงรายอยู่ที่ด้านขวามือของพวกเขา.
โต๊ะต่ำตัวหนึ่งผิวหน้ากระจกสีนมยิงเต็มของฟองสีเหลืองวางกินที่อยู่กลางห้อง. เก้าอี้ลอยแขวนสี่ตัวรอบวงอยู่รอบโต๊ะนั้น.
คายนิ์ส เคลื่อนอ้อม พอล, กุมเก้าอี้ไว้ให้ เจสสิกา. เธอนั่งลง,
สังเกตได้ว่าถึงวิธีที่บุตรชายของเธอตรวจสอบห้องนี้.
พอล ยังคงยืนอยู่เพื่อกะพริบสายตาอีกครั้ง.
มีความผิดปกติบางเบาหนึ่งในกระแสอากาศของห้องนี้บอกเขาว่ามีทางออกลับหนึ่งที่ตรงด้านหลังตู้เก็บเอกสารเหล่านั้น.
“ท่านจะนั่งก่อนไหม, พอล อะไทรดิส?” คายนิ์ส ถาม.
ช่างหลีกเลี่ยงอย่างระมัดระวังในยศศักดิ์ของข้า, พอล คิด.
แต่เขายอมรับเก้าอี้นั้น, ยังคงนิ่งเงียบในขณะที่ คายนิ์ส นั่งลง.
“ท่านรู้สึกว่า อาร์ราคิส น่าจะสามารถเป็นสวรรค์ได้,” คายนิ์ส
พูด. “กระนั้น, อย่างที่ท่านเห็น, จักรวรรดิ ได้ส่งมาให้ที่นี่แต่เพียงพวกมือเหี้ยมโหดแฮ็ทเช็ตเมน*ที่ฝึกมา,
การเสาะหาของมันคือ เครื่องเทศ!”
* https://en.wikipedia.org/wiki/Hatchet_man
พอล ยกนิ้วหัวแม่มือของเขาที่มีแหวนตราประทับของดยุคขึ้น.
“ท่านเห็นแหวนนี้?”
“ใช่.”
“ท่านรู้ถึงความสำคัญของมันหรือไม่?”
เจสสิกา หันควับมาจ้องมองบุตรชายของเธอ.
“บิดาของท่านนอนตายอยู่ในซากปรักพังของ อาร์ราคีน,” คายนิ์ส พูด.
“ท่านโดยเทคนิคแล้วคือ ดยุค.”
“ข้าคือทหารผู้หนึ่งของจักรวรรดิ,” พอล พูด. “โดยเทคนิคแล้ว
คือ พวกมือโหดเหี้ยมแฮ็ทเช็ตแมนคนหนึ่ง.”
คายนิ์ส ใบหน้ามืดคล้ำ. “แม้กระทั่งด้วยซาร์เดาการ์ของจักรพรรดิกำลังยืนอยู่เหนือร่างของบิดาท่านน่ะหรือ?”
“พวกซาร์เดาการ์นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง, ตามกฎหมายที่มาแห่งอำนาจราชศักดิ์ของข้าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง,”
พอล พูด.
“อาร์ราคิส
มีหนทางของตนเองของการตัดสินตกลงใจว่าใครผู้สวมใส่เสื้อคลุมของอำนาจราชศักดิ์นั้น,”
คายนิ์ส พูด.
และ เจสสิกา, หันกลับมายังเขา, คิด: มีเหล็กกล้าอยู่ในตัวของชายผู้นี้ที่ไม่มีใครได้ยั่วยุอารมณ์นั้นออกมาได้.....และเราจำเป็นต้องการได้เหล็กกล้า.
พอล กำลังทำสิ่งอันตราย.
พอล พูด: พวกซาร์เดาการ์ บน อาร์ราคิส คือบรรทัดวัดว่าองค์จักรพรรดิที่รักของเรานั้นหวาดกลัวบิดาของข้ามากขนาดไหน.
บัดนี้, ข้า จะให้เหตุผลทั้งหลายแก่ ปาดิชาห์ จักรพรรดิ ในการหวาดกลัวต่อ---”
“เจ้าหนุ่ม,” คายนิ์ส พูด, “มีหลายสิ่งที่เจ้าไม่ได้---”
“ท่านจะต้องกล่าวต่อข้าว่า ฝ่าบาท หรือ ใต้เท้า,” พอล พูด.
นุ่มนวลหน่อย, เจสสิกา คิด.
คายนิ์ส จ้องมองที่ พอล, และ เจสสิกา
สังเกตเห็นวูบหนึ่งของความยกย่องในใบหน้าของ นักนิเวศพิภพวิทยา, สัมผัสของอารมณ์ขันที่นั้น.
“ฝ่าบาท,” คายนิ์ส พูด.
“ข้าเป็นความอึดอัดใจต่อองค์จักรพรรดิ,” พอล พูด.
“ข้าเป็นความอึดอัดใจต่อบรรดาผู้จะแบ่งสรรปันส่วน อาร์ราคิส ในการแย่งชิงของพวกเขา.
ขณะที่ข้ายังมีชีวิตอยู่,
ข้าจะดำเนินการต่อไปเยี่ยงตัวอึดอัดใจดั่งข้าได้ติดอยู่ที่คอหอยและทำสำลักให้พวกมันได้ตายสิ้น!”
“คำพูด,” คายนิ์ส พูด.
พอล จ้องมองเขา. อย่างทันทีทันใด, พอล พูด: “ท่านมีตำนานของ
ไลซาน อัล กา-อิบ อยู่ที่นี่, วจนะกร จาก นอกพิภพ,
ผู้ที่จะนำชนฟรีเมน ไปสู่สวรรค์. คนของท่านมี---”
“อภิไสยนิยม!” คายนิ์ส พูด.
“บางที,” พอล เห็นด้วย. “กระนั้นบางทีก็ไม่. อภิไสยนิยมบางครั้งมีรากทั้งหลายอันประหลาดและกิ่งก้านที่แปลกประหลาดกว่า.”
“ท่านมีแผนการหนึ่ง,” คายนิ์ส พูด.
“ส่งนี้เป็นที่แจ้งชัดมาก.....ฝ่าบาท.”
“ฟรีเมนของท่านจะสามารถจัดหาหลักฐานเชิงบวกให้ข้าได้หรือไม่ว่าพวกซาร์เดาการ์อยู่ที่นี่ในเครื่องแบบของฮาร์คอนเนนหรือไม่?”
“น่าจะเป็นเช่นนั้นได้.”
“จักรพรรดิจะนำ ฮาร์คอนเนน กลับคืนมามีอำนาจที่นี่,” พอล
พูด. “บางทีกระทั่ง บีสต์ แร็บบัน(Beast
Rabban*- ฉายาของหลานคนโตของ บารอน ฮาร์คอนเนน “กลอสสู แร็บบัน
ฮาร์คอนเนน”/ ฟรีเมนเรียกเขาว่า เจ้าสัตว์ร้าย, มูดีร์ นาห์ยา). ปล่อยเขา. เมื่อใดที่เขาได้เข้ามาเกี่ยว
* https://dune.fandom.com/wiki/Glossu_Rabban_Harkonnen
ข้องด้วยตนเองเกินเลยจากการหนีพ้นความผิดของเขา,
ปล่อยให้จักรพรรดิได้เผชิญหน้ากับความเป็นไปได้แห่ง พระราชบัญญัติการกระทำผิดต่อตำแหน่ง(Bill of Particulars*)ที่กำหนดวางไว้โดย ลานด์สราอาด(Landsraad**).
ปล่อยให้เขาไปให้คำตอบที่นั่น---”
*
https://legal-dictionary.thefreedictionary.com/Bill+of+Particulars
** https://dune.fandom.com/wiki/Landsraad
“พอล!” เจสสิกา พูด.
“ขอให้ สภาสูงแห่งลานด์สราอาด ยอมรับคำร้องคดีของท่านเถิด,”
คายนิ์ส พูด, “คงมีผลอกมาได้แค่หนึ่งเดียว: สงครามเปิดเผยระหว่าง จักรวรรดิ กับ มหาราชสำนักทั้งหลาย.”
“กลียุค,” เจสสิกา พูด.
“แต่ข้าจะยื่นคดีของข้าต่อองค์จักรพรรดิ,” พอล พูด
“และให้ทางเลือกไปสู่กลียุคต่อเขา.”
เจสสิกา พูดในน้ำเสียงแห้งผาก: “ขู่กรรโชกหรือ?”
“หนึ่งในเครื่องมือของรัฐประศาสนศาสตร์(statecraft – ศิลปะในการดำเนินกิจการบ้านเมือง), ดังที่ท่านเคยบอกไว้ด้วยตนเอง,” พอล พูด, และ เจสสิกา
ได้ยินความขื่นขมในน้ำเสียงของเขา. “จักรพรรดิไม่มีราชโอรส,
มีเพียงราชธิดา.”
“ลูกเล็งถึงราชบัลลังก์รึ?” เจสสิกา พูด.
“จักรพรรดิจะไม่เสี่ยงให้จักรวรรดิแตกกระจายไปโดยสงครามรวมยอดนี้,”
พอล พูด. “ดาวเคราะห์ทั้งหลายถูกทำลาย,
ไร้ระเบียบกติกาไปทุกหนแห่ง---เขาจะไม่เสี่ยงกับเช่นนั้น.”
“นี่เป็นการเสี่ยงพนันแบบสิ้นหวังในเจตจำนงของท่านนี้,” คายนิ์ส
พูด.
“อะไรที่ สภาสูงแห่งลานด์สราอาด หวาดกลัวมากที่สุดล่ะ?”
พอล ถาม. “พวกเขาหวาดกลัวอะไรที่บังเกิดขึ้น ณ ที่นี่มากที่สุดในตอนนี้บน
อาร์ราคิส---พวกซาร์เดาการ์ เลือกพวกเขาออกไปทีละคน. นั่นคือทำไม เป็น ลานด์สราอาด.
นี้คือกาวยึดของ มหาสภาราชย์. มีเพียงในการเป็นสหพันธรัฐกันเท่านั้นที่จะต่อสู้ทัดเทียมกองกำลังจักรวรรดิได้.”
“แต่พวกเขา---”
“นี้คืออะไรที่พวกเขาหวาดกลัว,” พอล พูด. “อาร์ราคิส
จะกลายมาเป็นการชุมนุมกันร้องไห้. แต่ละพวกเขาจะเห็นตนเองในเยี่ยงบิดาของข้า—ตัดออกจากฝูงและถูกเข่นฆ่า.”
คายนิ์ส พูดกับ เจสสิกา: “แผนการของเขาจะได้ผลไหม?”
“ข้าไม่ใช่ เมนทาต,” เจสสิกา พูด.
“แต่ท่านเป็น เบเน เกสเสอริต.”
เธอยิงสายตาตรวจสอบไปที่เขา, พูด:
“แผนการของเขามีหลายจุดดีและหลายจุดไม่ดี.....ดังเช่นแผนการใดๆที่ขั้นตอนนี้.
แผนการหนึ่งนั้นพึ่งพาอยู่กับการจัดการมากเท่าๆกับที่มันขึ้นอยู่กับแนวความคิด.”
“กฎ คือสุดยอดวิทยาศาสตร์,” พอล อ้างอิง.
“เช่นนี้ที่มันมันอ่านได้ที่เหนือประตูของจักรพรรดิ. ข้ามีเจตจำนงที่จะแสดงให้เขาเห็นถึง
กฎ.”
“และข้าก็ไม่แน่ใจว่าข้าสามารถไว้วางใจผู้ที่คิดแผนการนี้ขึ้นมาได้,”
คายนิ์ส พูด. “อาร์ราคิส มีแผนการของตนเองที่เรา---”
“จากบังลังก์นั้น,” พอล พูด, “ข้าสามารถทำสวรรค์แห่ง อาร์ราคิส
ดเวยแค่การโบกมือ. นี่เป็นเหรียญรางวัลที่ข้าเสนอสำหรับการสนับสนุนของท่าน.”
คายนิ์ส ตัวแข็งทื่อ. “ความจงรักภักดีของข้าไม่ได้มีไว้ขาย, ฝ่าบาท.”
พอล จ้องมองข้ามโต๊ะไปยังเขา,
พบกับสายตาเย็นชาของดวงตาสีฟ้าในสีฟ้าคู่นั้น, ศึกษาใบหน้าปรกเครา,
ปรากฏซึ่งอำนาจของบัญชาการ. รอยยิ้มอย่างแข็งกร้าวสัมผัสที่ริมฝีปากของ พอล
และเขาบอก: “พูดได้ดี. ข้าขออภัย.”
คายนิ์ส พบกับการจ้องมองของ พอลและ, ทันทีนั้น, พูด: “ไม่มี
ฮาร์คอนเนน เคยได้ยอมรับความบกพร่อง. บางทีท่านไม่เหมือนพวกนั้น, อะไทรดิส .”
“มันคงจะเป็นความผิดพลาดในการศึกษาเล่าเรียนของพวกเขา.”
พอล พูด. “ท่านพูดว่าท่านไม่ได้มีไว้ขาย,
แต่ข้าเชื่อว่าข้ามีเหรียญรางวัลที่ท่านจะยอมรับได้. ข้าเสนอความจงรักภักดีของ ข้า ต่อท่าน.....อย่างสมบูรณ์สุด.”
ลูกชายของข้ามีความจริงใจเยี่ยงอะไทรดิส, เจสสิกา คิด. เขามีเกียรติอันซื่อตรง,
ยิ่งใหญ่---และพลังอำนาจอะไรล่ะที่แท้จริงเช่นนี้.
เธอมองเห็นว่าคำพูดของ พอล ได้สั่นสะเทือน คายนิ์ส.
“นี่เป็นสิ่งไร้สาระ,” คายนิ์ส พูด.
“ท่านเป็นแค่เด็กชายและ---”
“ข้าคือ ดยุค,” พอล พูด. “ข้าเป็น อะไทรดิส. ไม่มี อะไทรดิส
ได้เคยทำลายพันธะสัญญาใด.”
คายนิ์ส กลืนน้ำลาย.
“เมื่อข้าพูดว่าอย่างสมบูรณ์สุด,” พอล พูด,
“ข้าหมายถึงไม่มีการสงวนสำรองเอาไว้. ข้าจะให้ชีวิตของข้าเพื่อท่าน.”
“ฝ่าบาท!” คายนิ์ส พูด, และคำนี้ก็ถูกฉีกมาจากเขา, แต่ เจสสิกา
เห็นว่าเขาในตอนนี้พูดต่อเด็กชายแห่งอายุสิบห้า, แต่ไม่ใช่ต่อชายคนหนึ่ง,
ต่อผู้เหนือกว่า. ตอนนี้ คายนิ์ส หมายใจตามที่พูดนั้น.
ในชั่วขณะนี้เขาได้มอบชีวิตของเขาต่อ พอล, เธอคิด. อะไทรดิส
สามารถสำเร็จผลสิ่งนี้ได้รวดเร็วมากเหลือเกิน, ง่ายดายมากได้อย่างไร?
“ข้ารู้ว่าท่านหมายความถึงสิ่งนี้แน่,” คายนิ์ส พูด.
“กระนั้นพวกฮาร์คอน---”
ประตูด้านหลังของ พอล ถูกเหวี่ยงเปิดดังขึ้น. เขาหมุนร่างไปเพื่อได้เห็นความรุนแรงที่ม้วนเข้ามา---ตะโกน,
เสียงกระแทกกันของโลหะ, ภาพใบหน้าเคลือบสีผึ้งบูดบึ้งกำลังอยู่ในช่องทางเดิน.
ด้วยมารดาอยู่ข้างกายของเขา, พอล กระโจนเข้าหาประตู, เห็น ไอดาโฮ
ยืนขวางช่องทางนั้นอยู่, เบ้าตาเลือดแดงของเขาตรงนั้นเห็นได้ผ่านโล่พลังพร่ามัว,
มือกางเล็บเลยเขาออกไป, เหล็กโค้งฟันตัดลงมาอย่างไร้ประโยชน์ที่โล่พลังนั้น.
มีปากปะทุไฟสีส้มของเครื่องยิงสลบโต้กลับโดยโล่ห์พลัง. ดาบของไอดาโฮผ่านทะลุมันไปทังหมด,
ควับ-ควับ, เลือดหยดลงมาจากพวกมัน.
แล้ว คายนิ์ส ก็มาอยู่ที่ข้าง พอล และพวกเขาทุ่มน้ำหนักของพวกเขาดันประตูเอาไว้.
พอล ได้เหลือบมอง ไอดาโฮ หนึ่งครั้งสุดท้ายที่กำลังยืนต้านต่อฝูงเครื่องแบบฮาร์คอนเนน---การกระตุกของเขา,
ควบคุมร่างซวนเซไปมา, ผมสีดำดุจแพะมีดอกดวงผลิบานความตายอยู่ในมัน.
แล้วประตูก็ถูกปิดลงและมีเสียงคลิ๊กขณะที่ คายนิ์ส ใส่สลักประตูทั้งหลายนั้น.
“ดูเหมือนข้าจะได้ตัดสินใจแล้ว,” คายนิ์ส พูด.
“ใครบางคนได้ตรวจจับเครื่องจักรของท่านได้ก่อนที่มันจะปิดมันลง,”
พอล พูด. เขาดึงมารดาของตนออกมากประตู, พบความสิ้นหวังในดวงตาของเธอ.
“ข้าน่าจะสงสัยถึงเรื่องเดือดร้อนได้เมื่อกาแฟนั่นล้มเหลวที่จะมาถึง,”
คายนิ์ส พูด.
“ท่านปิดกลอนรูออกจากที่นี่ไว้,” พอล พูด. “เราจะใช้มันไหม?”
คายนิ์ส สูดหายใจลึก, พูด:
“ประตูนี้น่าจะต้านทานได้อย่างน้อยยี่สิบนาทีต่อทั้งหมดนั่นยกเว้นปืนเลซ.”
“พวกมันจะไม่ใช้ปืนเลซเพราะกลัวว่าเราจะได้เปิดโล่พลังไว้ทางด้านนี้,”
พอล พูด.
“พวกนั้นคือ ซาร์เดาการ์ ในเครื่องแบบฮาร์คอนเนน,” เจสสิกา
กระซิบ.
พวกเขาสามารถได้ยินเสียงกำลังทุบประตูแล้วในตอนนี้,
ตีเป็นจังหวะ.
คายนิ์ส ชี้ไปที่ตู้เก็บเอกสารที่รวมอยู่ติดผนังด้านขวามือ, พูด: “ทางนี้,”
เขาข้ามไปที่ตู้เอกสารแรก, เปิดลิ้นชักหนึ่ง, ปรับแต่งมือจับภายในมัน.
ผนังทั้งหมดของตู้เก็บเอกสารเหวี่ยงเปิดออกเผยให้เห็นปากสีดำของอุโมงค์หนึ่ง.
“ประตูนี้ก็เป็นพลาสตีลด้วยเช่นกัน,” คายนิ์ส พูด.
“ท่านได้เตรียมพร้อมเอาไว้,” เจสสิกา พูด.
“เรามีชีวิตอยู่ภายใต้พวกฮาร์คอนเนนส์มาแปดสิบปี,” คายนิ์ส พูด.
เขาต้อนพวกเขาเข้าไปในความมืดนั้น, แล้วปิดประตู.
ในความดำมืดฉับพลันนั้น, เจสสิกา
เห็นลูกศรเรืองแสงบนพื้นข้างหน้าของเธอ.
เสียงของ คายนิ์ส มาจากทางด้านหลังพวกเขา: “เราจะแยกกันที่นี่.
กำแพงนี้แข็งแกร่งกว่า. มันจะยืนหยัดอยู่ได้อย่างน้อยที่สุดราวหนึ่งชั่วโมง.
ตามลูกศรเหมือนอันที่บนพื้นนั้นไป.
พวกมันจะถูกกำจัดไปเมื่อโดยการเดินผ่านไปของท่าน.
พวกมันจะนำทุผ่านวงกฎยังทางออกอีกด้านหนึ่งที่ข้าได้เก็บซ่อนยาน’ธ็อปเปอร์เอาไว้. มีพายุผ่านทะเลทรายคืนนี้.
ความหวังเดียวของท่านคือต้องวิ่งหาพายุนั้น, พุ่งเข้าไปหาส่วนยอดบนของมัน, ขี่ไปกับมัน.
คนของข้าได้ทำเช่นนี้ในการขโมยยาน’ธ็อปเปอร์เหล่านั้น.
ถ้าท่านอยู่สูงในพายุท่านก็จะรอดชีวิต.”
“แล้วท่านล่ะ?” พอล ถาม.
“ข้าจะพยายามหนีไปอีกทางหนึ่ง. ถ้าข้าถูกจับตัวได้.....เอาละ,
ข้าคือยังคงเป็นนักนิเวศพิภพวิทยาของจักรวรรดิ.
ข้าสามารถพูดได้ว่าข้าคือนักโทษของท่าน.”
วิ่งหนีเหมือนเหล่าคนขลาด, พอล คิด. แต่อย่างไรอื่นอีกหรือที่ข้าสามารถมีชีวิตอยู่เพื่อล้างแค้นให้กับพ่อของข้า?
เขาหันไปเผชิญหน้ากับประตูนั้น.
เจสสา ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของเขา, พูด: “ดันแคน
ตายแล้ว, พอล. ลูกเห็นแผลนั่น. ลูกไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้.”
“ข้าจะชดใช้หนี้เต็มนั้นให้กับพวกเขาทั้งหมดในสักวันหนึ่ง,” พอล
พูด.
“ไม่ได้เลย, นอกเสียจากว่าท่านจะรีไปในตอนนี้,” คายนิ์ส บอก.
พอล รู้สึกถึงมือชายผู้นี้บนไหล่ของเขา.
“เราจะพบกันได้ที่ไนหรือ, คายนิ์ส?” พอล ถาม.
“ข้าจะส่งฟรีเมนออกค้นหาพวกท่าน. เส้นทางของพายุจะรู้กันอยู่.
ตอนนี้รีบเข้า, และ มหามารดา จงประทานความเร็วและโชคต่อท่าน.”
พวกเขาได้ยินเขาเดินจากไป, เสียงป่ายปีนไปในความดำมืด.
เจสสิกา ควานพบมือของ พอล, ดึงเขาเบาๆ. “เราต้องไม่แยกกันนะ,”
เธอพูด.
“ใช่.”
เขาตามเธอข้ามลูกศรแรก, มองเห็นมันกลับไปดำมืดขณะที่พวกเขาแตะต้องมัน.
อีกลูกศรหนึ่งกวักเรียกอยู่ข้างหน้า.
พวกเขาข้ามผ่านมัน, เห็นมันกำจัดตัวเอง,
เห็นอีกลูกศรอยู่ข้างหน้า.
พวกเขากำลังวิ่งไปในตอนนี้.
แผนการในแผนการในแผนการในแผนการ, เจสสิกา คิด. เราได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของแผนการทั้งหลายของใครบางคนอื่นได้อย่างไรในตอนนี้หรือ?
ลูกศรเหล่านั้นนำพวกเขาอ้อมทางเลี้ยวไปเหล่านั้น, ผ่านทางเปิดด้านข้างทั้งหลายแค่เพียงสัมผัสได้หรี่เลือนในแสงสว่างบางเบานั้น.
ทาของพวกเขาลาดเอียงลงไปในบางครั้ง, แล้วก็ลาดขึ้น, ขึ้นสูงไปอีก.
พวกเขามาถึงในที่สุดที่ขั้นบันได, เวียนวงที่มุมหนึ่งและนำไปสั้นๆด้วยผนังเรืองแสงด้วยมือจับปรากฏให้เห็นในศูนย์กลางของมัน.
พอล กดที่มือจับนั้น.
ผนังนั้นเหวี่ยงออกไปจากพวกเขา. แสงสว่างปะทุเผยให้เห็นก้อนหินถากตัดเป็นถ้ำโพรงมียาน’ธ็อปเปอร์จอดนั่งอยู่ตรงศูนย์กลางของมัน.
ผนังเรียบสีเทามเครื่องหมายประตูบนมันปรากฏเลือนรางเลยยานอากาศนั้นไป.
“คายนิ์ส ไปทางไหนหรือ?” เจสสิกา ถาม.
“เขาทำอะไรที่หัวหน้ากองโจรที่ดีควรจะทำ,” พอล พูด.
“เขาแยกไปจากเราเป็นสองพวกและจัดแจงให้เขาไม่ต้องเปิดเผยได้ว่าเราอยู่ที่ไหนถ้าเขาถูกจับกุม.
เขาไม่รู้เลยจริงๆแล้วในตอนนี้.”
พอล ดึงเธอเข้าไปในห้อง,
สังเกตได้ว่าเท้าของพวกเขาเตะฝุ่นที่พื้นขึ้นมาอย่างไร.
“ไม่เคยมีใครอยู่ที่นี่มานานแล้ว,” เขาพูด.
“เขาดูเหมือนจะมั่นใจว่าฟรีเมนจะสามารถหาพวกเราเจอได้,” เธอพูด.
“ลูกก็ได้แบ่งปันความมั่นใจนั้น.”
พอล ปล่อยมือของเธอ, ข้ามไปที่ประตูด้านซ้ายของยานออมนิธ็อปเปอร์,
เปิดมันออก. และทำให้มันใจว่าเป้ของยังอยู่ที่หลังของเขา.
“ยานนี้ถูกกำบังไว้อย่างดีละเอียด,” เขาพูด. “แผงควบคุมมีรีโมทควบคุมประตู,
ควบคุมแสงสว่าง. แปดสิบปีภายใต้พวกฮาร์คอนเนนส์สอนพวกเขาให้ถี่ถ้วนรอบคอบ.
เจสสิกา เอนพิงกับยานอีกทางด้านหนึ่ง, สูดลมหายใจเข้าของเธอ.
“พวกฮาร์คอนเนนส์จะมีกองกำลังตรวจค้นเหนือพื้นที่นี้,” เธอพูด.
“พวกมันไม่โง่.” เธอพิจารณาทิศทางประสาทสัมผัสของเธอ, ชี้ไปทางขวามือ.
“พายุที่เราเห็นอยู่ทางนั้น.”
พอล พยักหน้า, ต่อสู้กับความลังเลอย่างกะทันหันที่จะเคลื่อนไหว.
เขารู้ถึงสาเหตุของมัน, แต่พบว่าไม่มีความช่วยอะไรได้ในเรื่องความรู้นั้น.
ที่ไหนสักแห่งในคืนนี้เขาได้ผ่านการตัดสินใจ-แก่นเรื่องเข้าไปในความไม่รู้อันลึก.
เขารู้ถึงพื้นที่-เวลาที่อยู่รอบล้อมพวก, แต่ ตอนนั้นและเมื่อตอนนี้ได้ดำรงอยู่ดังสถานที่แห่งความลี้ลับ.
มันเป็นขณะที่คิดซึ่งเขาได้เห็นตนเองจากระยะไกลพ้นจากสายตาเข้าไปในหุบเขาหนึ่ง.
ซึ่งมีเส้นทางนับไม่ถ้วนขึ้นออกไปจากหุบเขานั้น, บ้างอาจจะนำ พอล อะไทรดิส
กลับมาให้เห็น, แต่มากมายที่จะไม่.
“ยิ่งนานเท่าไหร่ที่เรารอคอยก็ยิ่งดีขึ้นที่พวกเขาจะเตรียมพร้อม,”
เจสสิกา พูด.
“ขึ้นไปในยานและรัดคาดตนเองไว้,” เขาพูด.
เขาร่วมกับเธอเข้ามาในยานออมนิธ็อปเปอร์นั้น,
ยังคงปล้ำฟัดอยู่กับความคิดว่านี้คือสมรภูมิบอด,
ไม่เห็นได้ในภาพทัศน์ล่วงหน้าใด. และเขาได้ตระหนักด้วยสัมผัสรู้ฉับพลันของความตื่นตระหนกว่าเขาได้ให้การพึ่งพามากขึ้นและมากขึ้นต่อความทรงจำล่วงหน้าและมันได้เป็นจุดอ่อนของเขาสำหรับความฉุกเฉินพิเศษนี้.
“ถ้าเจ้าเชื่อใจแต่เพียงดวงตาของเจ้า,
ประสาทสัมผัสอื่นของเจ้าก็จะอ่อนแอ.” มันเป็นสัจพจน์ของ เบเน เกสเสอริต.
เขาได้รับมันด้วยตนเองแล้วในตอนนี้, สัญญาว่าจะไม่มีอีกครั้งที่จะร่วงลงไปในกับดักนั้น.....ถ้าเขามีชีวิตผ่านนี้ไปได้.
พอดรัดเข็มขัดนิรภัยของตน,
มองเห็นมารดาของเขาปลอดภัยดีแล้ว, ก็ตรวจดูยานอากาศ.
ปีกทั้งหลายแผ่กาง-พักเต็มที่, ใบโลหะบอบบางที่สอดพับยืดออก. เขาแตะคันดึงรั้งกลับ,
เฝ้าดูปีกทั้งหลายหดสั้นเข้าเพื่อไอพ่นขับดันส่งให้ยกตัวขึ้นตามวิธี่ที่ เกอร์นีย์
ได้สอนเขามา. สวิทช์ติดเครื่องเคลื่อนที่อย่างง่ายดาย.
หน้าปัดบนแผงเครื่องมือมีชีวิตขึ้นขณะที่ฝักไอพ่นทั้งหลายถูกติดอาวุธ.
กังหันเทอร์ไบน์เริ่มต้นส่งเสียงฉึ่งต่ำๆ.
“พร้อมนะ?” เขาถาม.
“ใช่.”
เขาแตะที่ควบคุมระยะไกลสำหรับโคมไฟทั้งหลาย.
ความมืดห่มคลุมพวกเขา.
มือของเขาเป็นเงาหนึ่งอยู่บนแสงเรืองของหน้าปัดทั้งหลายขณะที่เขาปัดไปหาเครื่องควบคุมระยะไกลของประตู.
เสียงขูดลากดังข้างหน้าของพวกเขา. น้ำตกของทรายดังเฟี๊ยวฟ๊าวจากไปสู่ความเงียบ.
ลมฝุ่นโชยสัมผัสแก้มของ พอล. เขาปิดประตูของเขา, รู้สึกถึงแรงกดดันในทันทีนั้น.
แผ่นดวงดาวพรายพร่ามัวอยู่ในฝุ่นเข้ากรอบของมุมมืดปรากฏในที่ซึ่งเคยเป็นกำแพง-ประตู.
แสงดาวส่องให้เห็นโขดสันหินไกลโพ้น, ร่องรอยของริ้วทราย.
พอล กดสวิทช์ลำดับ-การทำงานที่เรืองแสงบนแผงของเขาลง.
ปีกทั้งหลายกระพือขึ้นและลง, เหวี่ยงโยนยาน’ธ็อปเปอร์ออกไปจากรังของมัน.
กำลังเครื่องกระตุกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากฝักไอพ่นขณะที่ปีกทั้งหลายจับแน่นเข้ากับอาการยกตัวขึ้น.
เจสสิกา ปล่อยให้มือของเธอวางขี่เบาๆบนแผงควบคุมคู่กัน,
รู้สึกถึงความมั่นใจของการเคลื่อนไหวทั้งหลายของบุตรชายของเธอ. เธอตื่นกลัว, กระนั้นก็เบิกบานใจ.
ตอนนี้, การฝึกฝนมาของ พอล คือความเดียวเท่านั้นของเรา, เธอคิด. ความเยาว์และความว่องไวของเขา.
พอล ป้อนพลังงานให้กับฝักไอพ่นเหล่านั้นขึ้นไปอีก. ยาน’ธ็อปเปอร์เอียงรับกำลัง,
ฝังพวกเขาจมลงไปกับที่นั่งของพวกเขาขณะที่กำแพงมืดยกขึ้นบังหมู่ดาวที่อยู่เหนือหัวขึ้นไป.
เขาให้ยานอากาศนี้ด้วยปีกเพิ่มขึ้นไปอีก, พลังงานขึ้นไปอีก.
มีการระเบิดอีกครั้งของยกตัวขึ้นด้วยปีกตีกระพือและพวกเขาก็ออกมาข้ามเหล่าก้อนหินนั้น,
มองเห็นเป็นนำแข็งสีเงินเยือกเย็นและโผล่ผุดเป็นแนวในแสงดาว. ดวงจันทร์ที่สองแดงดุจฝุ่นแสดงตนเองอยู่เหนือเส้นขอบฟเทางด้านขวามือของพวกเขา,
บอกแนวแถบร่องรอยของพายุนั้น.
มือของ พอล เต้นระบำอยู่เหนือแผงควบคุม. ปีกทั้งหลายดีดแรงเหมือนแมงเต่าทองอ้วน.
แรงจี(G-force – แรงดึงสวนกลับเมื่อหนีแรงโน้มถ่วง)ดึงพวกเขาที่เนื้อตัวขณะที่ยานอากาศตีวงแคบเลี้ยวขึ้น.
“มีพลุไฟไอพ่นที่ด้านหลังเรา!” เจสสิกา บอก.
“ข้าเห็นพวกมัน.”
เขาหวดคันบังคับพลังงานไปข้างหน้า.
ยาน’ธ็อปเปอร์กระโจนขึ้นเหมือนสัตว์ที่ตกใจกลัว,
กระตุกไปทางตะวันตกเฉียงใต้เข้าหาพายุนั้นและแนวโค้งมหึมาของทะเลทราย. ในระยะใกล้,
พอล มองห็นเงากระจัดกระจายทั้งหลายบอกถึงแนวสิ้นสุดของโขดหิน, ฐานใต้ดินอันสลับซับซ้อนที่จมอยู่ใต้นูนทรายนั้น.
โพ้นเลยเหยียดกางยืดยาวออกไปของเงารูปนิ้วจากแสงดวงจันทร์---นูนทรายเหล่านั้นลดเล็กลงไปหนึ่งไปสู่อีกหนึ่งอื่น.
บางอย่างสั่นสะเทือนยาน’ธ็อปเปอร์.
“กระสุนระเบิด!” เจสสิกา พูดกระหืดกระหอบ. “พวกมันกำลังใช้ขีปนาวุธบางอย่าง.”
เธอเห็นรอยยิ้มแสยะดุจสัตว์ร้ายบนใบหน้าของ พอล. “พวกมันดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงปืนเลซของพวกมัน.”
เขาพูด.
“แต่เราไม่มีโลห์!”
“พวกมันรู้นั่นหรือ?”
อีกครั้งที่ยาน’ธ็อปเปอร์สั่นเทา.
พอล บิดตัวเพื่อหันกลับไปมอง. “มีแค่หนึ่งในพวกมันที่ปรากฏว่าเร็วพอที่จะตามเรามาได้.”
เขาหันความสนใจกลับมายังเส้นทางของพวกเขา, เฝ้าดูกำพงพายุเติบโตสูงขึ้นในตรงหน้าของพวกเขาง
มันค่อยๆปรากฏใกล้เข้ามาดุจวัตถุทึบแข็ง.
“เครื่องปล่อยขีปนาวุธ, จรวด, สรรพาวุธโบราณทั้งหมด---นั่นคือหนึ่งสิ่งที่เราจะให้กับพวกฟรีเมน,”
พอล กระซิบ.
“พายุนั่น,” เจสสิกา พูด. “ลูกหันกลับไม่ดีกว่าหรือ?”
“แล้วเรือยานที่อยู่ข้างหลังเราล่ะ?”
“เขากำลังดึงขึ้น.”
“ตอนนี้ล่ะ!”
พอล ห่อปีกทั้งหลาย, เอียงอย่างแรงไปทางซ้ายเข้าไปในการเดือดพล่านอย่างช้าๆหลอกตาของกำแพงพายุ,
รู้สึกถึงแก้มของเขาถูกดึงรั้งด้วยแรงจี(G-force– แรงดึงสวนกลับเมื่อหนีแรงโน้มถ่วง).
พวกเขาดูเหมือนว่าจะแล่นไถลเข้าไปในหมอกอ้อยอิ่งของฝุ่นที่เติบโตหนาหนักขึ้นและหนักยิ่งขึ้นจนกระทั่งมันเปื้อนเปรอะบดบังทะเลทรายและดวงจันทร์ออกไป.
ยานอากาศกลายเป็นเสียงกระซิบยาว, เหยียดแนวราบของความมืดสว่างอยู่เพียงด้วยแสงเรืองเขียวของแผงหน้าปัดอุปกรณ์.
ผ่านในจิตใจของ เจสสิกา วาบขึ้นมาด้วยคำเตือนทั้งหมดเกี่ยวกับพายุเช่นนี้---ว่าพวกมันตัดโลหะได้เหมือนเนย,
กัดเซาะเนื้อหนังออกเหลือแต่กระดูกและกินกระดูกไปจนหมด. เธอรู้สึกการตีกระแทกของลมปะทะของผ้าห่มฝุ่นนั้น.
มันบิดพวกเขาขณะที่ พอล ต่อสู้กับเครื่องควบคุมทั้งหลาย. เธอเห็นเขาตัดพลังงาน,
รู้สึกยานgเหวี่ยงสะบัด. โลหะรายรอบตัวพวกเขาส่งเสียงซี๊ดซี๊ดและสั่นสะท้าน.
“ทราย!” เจสสิกา ตะโกน.
เธอมองเห็นการปฏิเสธส่ายศีรษะของเขาในแสงจากแผงหน้าปัด. “ทรายไม่มากนักที่ระดับสูงนี้.”
แต่เธอสามารถรู้สึกว่าพวกเขากำลังจมลึกลงไปอีกในวังวนใหญ่นี้.
พอล ส่งปีกทั้งหลายนั้นไปยังการสยายออกยาวเต็มที่, ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดด้วยแรงเครียดตึง.
เขาคงสายตาของตนติดแน่นบนเครื่องมือเหล่านั้น, เลื่อนไล่ไปตามสัญชาตญาณ,
ต่อสู้เพื่อรักษาระดับ.
เสียงในห้องโดยสารของพวกเขาลดลง.
ยาน’ธ็อปเปอร์เริ่มม้วนไปทางซ้าย. พอล เพ่งความสนใจบนลูกลมเรืองแสงภายในวงระดับความสูง,
ต่อสู้ให้ยานอากาซของเขากลับมาสู่ระดับการบิน.
เจสสิหา มีความรู้สึกน่าขนลุกว่าพวกเขากำลังยืนหยุดนิ่ง,
ว่าการเคื่อนไหวทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องภายนอก. สิ่งเลอะเลือนสีน้ำตาลเข้มไหลปะทะกับหน้าต่างทั้งหลาย,
เสียงซี๊ดๆรัวต่ำเตือนเธอถึงพลังทั้งหลายที่อยู่รายรอบพวกเขา.
ลมทั้งหลายพัดในความเร็วเจ็ดหรือแปดกิโลเมตรต่อชั่วโมง,
เธอคิด. อะดรีนาลินความกังวลทำความกระสับกระส่ายเข้าใส่เธอ. ข้าต้องไม่กลัว,
เธอบอกกับตัวเอง, เอ่ยปากท่องคำทั้งหลายของบทสวด เบเน เกสเสอริต. ความกลัวคือตัวฆ่าจิต.
อย่างช้าๆ, หลายปีอันยาวนานของการฝึกฝนก็มีชัยเหนือกว่า.
ความสงบกลับคืนมา.
“เราได้เสือตัวหนึ่งด้วยการจับไว้ที่หาง,” พอล กระซิบ. “เราไม่สามารถลงไปได้,
ไม่สามารถลงจอด.....และข้าไม่คิดว่าข้าจะยกตัวขึ้นจากสิ่งนี้ได้.
เราต้องขี่มันไปจนจบ.”
ความสงบไหลออกไปจากเธอ. เจสสิกา รู้สึกฟันของเธอกำลังกระทบกันรัว,
จึงกัดพวกมันไว้เข้าหากัน. แล้วเธอได้ยินเสียงของ พอล, ต่ำและถูกควบคุม, ท่องบทสวดนั้น.
“ความกลัวคือตัวฆ่าจิต.
ความกลัวคือมรณาเล็กน้อยที่นำมาซึ่งการลบล้างสูงสุด.
ข้าจะเผชิญหน้าความกลัวของข้า. ข้าจะยินยอมให้มันข้ามเหนือข้าและผ่านข้าไป.
และเมื่อมันได้จากผ่านข้าไปข้าก็จะหันไปเพื่อมองเส้นทางของความกลัวนั้น. ที่ซึ่งความกลัวได้จากไปที่นั้นจะไม่มีอะไรทั้งสิ้น.
เพียงแค่ข้าที่ยังคงอยู่.”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น