พระบิดาของข้าครั้งหนึ่งบอกกับข้าว่าความเคารพนับถือนั้นสำหรับความสัจจริงที่ใกล้ชิดกับพื้นฐานของความมีคุณธรรมทั้งปวง.
“บางอย่างไม่สามารถโผล่ออกมาจากการไม่มีอะไรได้,” ท่านพูด.
นี่คือการคิดอย่างล้ำลึกถ้าเจ้าเข้าใจถึงความไม่เสถียรของ “ความสัจจริง”
ที่สามารถเป็นได้.
---จาก “การสนทนา กับ มวด’ดิบ” โดย
เจ้าหญิง อีร์อูลาน
“ข้ามักจะภูมิใจในตัวข้าเองเสมอกับการมองเห็นสิ่งต่างๆในหนทางที่พวกมันเป็นจริง,”
ธูเฟอร์ ฮาวัต พูด. “นั่นเป็นคำสาปแช่งของการเป็น เมนทาต.
เจ้าไม่สามารถหยุดการวิเคราะห์ช้อมูของเจ้าได้.”
ใบหน้าดุจหนังเก่าๆปรากฏสงบอยู่ในความสลัวก่อนรุ่งอรุณขณะที่เขาพูด.
ริมฝีปากห้อยยื่นเปื้อนเลอะถูกดึงเข้าไปเป็นเส้นตงด้วยเส้นสายรัศมีจีบพับแผ่กระจายขึ้นไป.
ชายชุดคลุมหนึ่งนั่งยองเงียบๆอยู่บนทรายตรงข้ามกับ ฮาวัต,
ปรากฏอยู่ในอาการไม่เคลื่อนไหวใดไปกับคำพูดนั้น.
อีกสองคนหมอบอยู่ใต้ก้อนหินที่ยื่นลอยเหนือที่มองดูเหมือนจมบนอ่างกว้าง,
ตื้น.
อรุณกำลังแผ่ขยายอยู่เหนือเส้นขอบโครงที่แตกกระจายของเชิงผาทั้งหลายข้ามอ่างทรายนั้นไป,
สัมผัสทุกอย่างด้วยสีชมพู. มันเย็นอยู่ใต้ชะเงื้อมหินนั้น,
ความเยือกเย็นแห้งๆและทิ่มแทงทิ้งไว้จากกลางคืนที่ผ่านไป.
ได้มีสายลมอุ่นแค่ก่อนรุ่ง, แต่ตอนนี้มันกลับเย็น. ฮาวัต สามารถได้ยินฟันกระทบรัวกัน
ที่ด้านหลังของเขาท่ามกลางทหารสองสามหมู่ที่ยังคงอยู่กับกองกำลังของเขา.
ชายที่นั่งยองอยู่ตรงข้ามกับ ฮาวัต
นั้นเป็นฟรีเมนผู้ที่ได้ข้ามแอ่งอ่างนี้มาหาในแสงแรกของแสงเงินแสงทอง,
เคลื่อนไปอย่างรวดเร็วเหนือทราย, แฝงเข้าไปในนูนทรายทั้งหลาย,
การเคลื่อนไหวของเขาแทบจะสังเกตไม่เห็น.
ฟรีเมนนั้นยืดนิ้วหนึ่งออกไปที่พื้นทรายระว่างพวกเขา,
วาดรูปหนึ่งขึ้นที่นั้น. มันดูคล้ายชามมีลูกศรล้นกระจายออกไปจากมัน.
“มีหน่วยลาดตระเวนฮาร์คอนเนนอยู่มากมาย,” เขาพูด. เขายกนิ้วของเขาขึ้น, ชี้ขึ้นไปข้ามเชิงาเหล่านั้นที่
ฮาวัต และคนของเขาได้เคลื่อนลงมา.
ฮาวัต พยักหน้ารับ.
หน่วยลาดตระเวนมากมาย. ใช่.
แต่ยังคงที่เขาไม่รู้ว่าอะไรที่ฟรีเมนนี้ต้องการและนี้ปวดร้าวใจ.
การได้ฝึกฝนเมนทาตมาถูกคาดว่าจะให้พลังแก่ชายผู้นั้นที่จะเห็นแรงะกระตุ้นภายในทั้งหลาย.
นี้เป็นคืนที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของ ฮาวัต. เขาได้อยู่ที่ ทสิมโป,
หมู่บ้านกองโจร, ด่านหน้ากันชนสำหรับก่อนเข้าถึงตัวนครหลวง, คาร์ธัจ, เมื่อรายงานทั้งหลายของการบุกโจมนั้นเริ่มต้นมาถึง.
ในตอนแรก, เขาคิดว่า: มันเป็นการลอบจู่โจม. พวกฮาร์คอนเนนส์กำลังทดสอบ.
แต่รายงานนั้นตามติดมาด้วยรายงาน---เร็วขึ้นและเร็วขึ้น.
ทหารสองกองพลลงสู่พื้นที่ คาร์ธัจ.
ห้ากองพล---ห้าสิบกองร้อย!---กำลังบุกโจมตีฐานหลักของ ดยุค ที่ อาร์ราคีน.
หนึ่งกองพล ที่ อรสันท์.
สองกองรบที่ สปลินเทอริ์ด ร็อค.
แล้วรายงานทั้งหลายนั้น็เริ่มเพิ่มเติมรายละเอียดมากขึ้น—มี ซาร์เดาการ์
ของ จักรพรรดิ
อยู่ในท่ามกลางพวกบุกโจมตี---เป็นไปได้ว่าราวสองกองพลของพวกมัน.
และมันได้กลายเป็นชัดกระจ่างว่าพวกผู้บุกรุกรานนั้นรู้อย่างชัดเจนถึงน้ำหนักของสรรพอาวุธว่าควรจะจัดไปยังที่ไหน.
ชัดเจน! สุดยอด ข่าวกรอง.
ความโกรธจนตื่นผวาสุดขีดได้พอกพูนจนกระทั่งมันได้คุกคามต่อการทำงานอันราบรื่นของความสามารถทั้งหลายเยี่ยงเมนทาตของเขา.
ขนาดของการบุกโจมตีกระแทกจิตใจของเขาเหมือนโดนทุบทางร่างกาย.
ตอนนี้, หลบซ่อนอยู่ใต้เศษหินในทะเลทราย,
เขาพยักหน้าให้กับตนเอง,
ดึงเสื้อเครื่องแบบที่ฉีกวิ่นและถูกกรีดห้อยให้พันรอบตัวของเขาราวกับว่าเป็นเครื่องรางคุ้มครองจากเงาเย็นเหล่านั้น.
ขนาดของการบุกโจมตีนั้น.
เขาได้คาดไว้อยู่เสมอว่าศัตรูของพวกเขาจะจ้างการขนส่งด้วยยานในบางโอกาสพิเศษจาก
กิลด์ สำหรับการตรวจสอบการจู่โจมทั้งหลาย.
นั่นเป็นอุบายธรรมดาในการทำสงครามระหว่าง ราชสำนัก-ต่อ-ราชสำนัก.
ยานขนส่งลงสู่พื้นและบินขึ้นบน อาร์ราคีน
อย่างสม่ำเสมอเพื่อลำเลียงเครื่องเทศนั้นเพื่อ ราชสำนัก อะไทรดิส. ฮาวัต
ได้เตรียมการระวังล่วงหน้าต่อการสุ่มลอบโจมตีโดยปลอมแปลงเป็นยานลำเลียงเครื่องเทศทั้งหลาย.
สำหรับการบุกโจมตีเต็มที่พวกเขาได้คาดไว้ว่าไม่น่าจะเกินไปกว่าสิบกองพัน.
แต่มีมากกว่าสองพันยานที่ลงมายัง อาร์ราคิส
จากการนับครั้งสุดท้าย---ไม่ใช่แค่ยานลำเลียงขนส่ง, แต่เป็นเรือพิฆาต, ยานสอดแนม, ยานควบคุมสังเกตการณ์,
ยานบดทะลวง, ยานลำเลียงพล, ยานทิ้งสัมภาระ.....
มากกว่าหนึ่งร้อยกองพัน - สิบกองพล!
รายได้ทั้งปวงจากเครื่องเทศของ อาร์ราคิส
สักห้าสิบปีได้ที่อาจจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายของการเสี่ยงภัยเยี่ยงนี้.
มันอาจจะ.
ข้าได้ประเมินค่าต่ำไปในอะไรที่เจ้า บารอน
ได้ตั้งใจที่จะทุ่มเทให้กับการบุกโจมตีเรา, ฮาวัต คิด. ข้าได้ล้มเหลวต่อท่านดยุคของข้า.
แล้วก็มีเรื่องของผู้ที่ทรยศนั้น.
ข้าต้องมีชีวิตอยู่ให้นานพอเพื่อที่จะได้เห็นหล่อนถูกฆ่าด้วยมือเค้น! เขาคิด. ข้าน่าจะได้ฆ่านังแม่มด
เบเน เกสเสอริต นี้ไปเสียเมื่อตอนที่ข้าได้มีโอกาส. ม่ต้องคาดเดาใดในจิตใจของเขาว่าใครคือผู้ที่ทรยศต่อพวกเขา---ท่านผู้หญิง
เจสสิกา. เธอลงตัวได้พอดีกับบรรดาข้อเท็จจริงทั้งหมดที่มี.
“คนของเจ้า เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค
และกองกำลังบางส่วนของเขานั้นปลอดภัยโดยเพื่อนผู้ลักลอบค้าของเถื่อนทั้งหลายของเรา,”
ฟรีเมน นั้นพูด.
“ดี.”
งั้น เกอร์นีย์ ก็จะออกไปจากดาวเคราะห์นรกนี้ได้.
เราไม่ได้ไปทั้งหมดได้.
ฮาวัต ชำเลืองมองกลับไปที่คนของเขาที่สุมกองกันอยู่.
เขาได้เริ่มต้นกลางคืนนั้นด้วยแค่ผ่านมากับสามร้อยคนจากที่ดีที่สุดของเขา.
จากพวกนั้น, กระทั่งยังคงเหลืออยู่แค่ยี่สิบและครึ่งหนึ่งของพวกนี้ได้รับบาดเจ็บ.
บางคนของพวกเขานอนหลับในตอนนี้, กำลังยืนอยู่, พิงร่างกับก้อนหิน,
แผ่เหยียดอยู่กับพื้นทรายใต้ชะเง่อนหินนั้น. ยาน’ธ็อปเปอร์สุดท้ายของพวกเขา,
ลำที่ถูกใช้ในแบบภาคพื้นดินเพื่อบรรทุกคนบาดเจ็บ, ได้ถูกกำจัดทิ้งไปก่อนรุ่งสาง.
พวกเขาได้ตัดมันออกด้วยปืนเลเซอร์แล้วซ่อนชิ้นส่วนทั้งหลายไว้,
แล้วพวกเขาก็ลุยลงมายังที่กำบังซ่อนที่ชายขอบแอ่งอ่างนี้.
ฮาวัต มีแค่ความคิดหยาบๆในเรื่องตำแหน่งที่ตั้งของพวกเขา---ราวสักสองร้อยกิโลเมตรทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ
อาร์ราคีน. เส้นทางเดินทางหลักทั้งหลายระหว่างกำแพงโล่ กับชุมชนสิฐคามทั้งหลาย,
อยู่ที่ไหนสักแห่งทางทิศใต้ของพวกเขา.
ฟรีเมนที่อยู่ตรงข้ามกับ ฮาวัตเหวี่ยงหมวกคลุมของเขาออกกลับหลังไปและหมวกสติลล์สูทที่จะเผยให้เห็นผมและเคราสีทราย.
ผมนั้นถูกหวีเรียบกลับหลังจากหน้าผากที่เรียวนูนสูง.
เขามีดวงตาสีฟ้าสุดที่มิอาจอ่านได้ของการบริโภคจำกัดเครื่องเทศ.
เคราและหนวดเป็นรอยเปื้อนที่ด้านหนึ่งของปาก, ผมของเขาถักสานกันตรงนั้นด้วยแรงกดดันของท่อดักจับวนกลับเป็นวงจากที่อุดจมูกของเขา.
ชายนั้นถอดที่อุดจมูกออก, ปรับแต่งมันใหม่.
เขาถูกที่แผลเป็นข้างจมูกของเขา.
“ถ้าเจ้าข้ามอ่างนี่ในคืนนี้,” ฟรีเมน พูด, “เจ้าต้องไม่ใช้โล่ห์พลังทั้งหลายนั่น.
มีรอยแตกที่กำแพง...”เขาหันส้นเท้าของตน, ชี้ไปทางทิศใต้. “...นั่น,
และมันเป็นทะเลทรายเปิดโล่งลงไปหาลมพัดทรายหวน. โล่ห์พลังจะดึงดูดความสนใจกับ.....”
เขาลังเล. “...หนอนทราย. พวกนั้นไม่บ่อยนักจะมาที่แถวนี้, แต่โล่ห์พลังจะนำมาหนึ่งทุกครั้ง.”
เขาพูดว่า หนอนทราย, ฮาวัต คิด. เขากำลังจะพูดบางอย่างอื่น.
อะไร? และอะไรที่เขาต้องการจากเรา?
ฮาวัต ถอนหายใจ.
เขาไม่สามารถหวนนึกถึงสภาพก่อนหน้าที่เหยื่อนหนักเช่นนี้มาก่อนได้.
มันเป็นความล้าของกล้ามเนื้อที่ยาเม็ดพลังงานทังหลายไม่สามารถจะบรรเทาให้ได้.
พวกซาร์เดาการ์ห่าเวรนั่น!
ด้วยความขื่นขมของการตำหนิโทษตนเอง,
เขาได้เผชิญหน้ากับความคิดเรื่องผู้บ้าคลั่ง-ทหารและการทรยศของจักรวรรดิที่พวกนั้นแสดงให้เห็น.
การประเมินค่าแบบ เมนทาต
ของเขาเองในข้อมูลบอกกับเขาถึงโอกาสเล็กน้อยอย่างไรที่เขาได้ได้มีที่จะเสนอหลักฐานของการทรยศนี้ต่อ
วุฒิสภา แห่ง ลานสราอาด ที่ความยุติธรรมอาจถูกจบมันลงได้.
“เจ้าปรารถนาที่จะไปยังพวกลักลอบค้าของเถื่อนหรือ?”
ฟรีเมนนั้นถาม.
“มันเป็นไปได้ไหม?”
“หนทางนั้นยาวไกล.”
“ฟรีเมน ไม่ชอบพูดคำว่า ไม่,” ไอดาโฮ
เคยบอกเขาครั้งหนึ่ง.
ฮาวัต พูด:
“เจ้ายังไม่ได้บอกกับข้าว่าผู้คนของเจ้าสามารถช่วยผู้บาดเจ็บของข้าได้หรือไม่.”
“พวกเขาบาดเจ็บ.”
คำตอบห่าเหวเหมือนเดิมทุกครั้ง!
“เรารู้แล้วว่าพวกนี้บาดเจ็บ!” ฮาวัต ตะคอก. “นั่นไม่ใช่เป็น---”
“สันติ, เพื่อน,” ฟรีเมน เตือน. “ผู้บาดเจ็บของท่านพูดว่าอะไร?
มีในพวกนั้นหรือไม่ผู้สามารถมองเห็นความจำเป็นแห่งน้ำของเผ่าเจ้า?”
“เราไม่ได้พูดกันถึงเรื่องน้ำ,” ฮาวัต พูด. “เรา---”
“ข้าสามารถเข้าใจได้ถึงความไม่เต็มใจของเจ้า, “ ฟรีเมนนั้นบอก.
“พวกเขาเป็นเพื่อนของเจ้า, คนในเผ่าของเจ้า. เจ้ามีน้ำไหม?”
“ไม่เพียงพอ.”
ฟรีเมนนั้นชี้มาที่เสื้อเครื่องแบบของ ฮาวัต,
ผิวหนังเปิดเผยอยู่ภายใต้มัน. “เจ้า ติด-อยู่ใน-สิฐคาม, ปราศจากสูทของเจ้า. เจ้าต้องทำการตัดสินน้ำ,
เพื่อน.”
“เราจ้างเจ้าให้ช่วยได้ไหม?”
ฟรีเมนนั้นยักไหล่. “เจ้าไม่มีน้ำ.” เขาชำเลืองไปที่กลุ่มด้านหลังของ
ฮาวัต. “มากอีกเท่าไหร่ที่ผู้บาดเจ็บของเจ้าที่เจ้าจะใช้ไปได้?”
ฮาวัต รู้สึกเงียบงัน, จ้องมองชายผู้นั้น. เขาสามารถเห็นเยี่ยง
เมนทาต ว่าการสื่อสารของพวกเขานั้นทับซ้อนคลื่นสัญญาณกัน. เสียง-คำพูด
ไม่ได้อยู่ในภาวะเชื่อมต่อขึ้นในที่นี้ตามอาการปกติทั่วไป.
“ข้าคือ ธูเฟอร์ ฮาวัต,” เขาพูด. “ข้าสามารถพูดในนามท่านดยุค.
ข้าจะทำสัญญาพันธกิจชดใช้ได้เลยในตอนนี้สำหรับการช่วยเหลือของเจ้า,
การสงวนกองกำลังของข้านานพอแค่ที่จะฆ่าคนทรยศนั้นผู้คิดว่าตัวเธอโพ้นเลยการล้างแค้น.”
“เจ้าปรารถนาการเข้าข้างของเราในความอาฆาตแค้นหรือ?”
“ความอาฆาตแค้นนั่นข้าจะจัดการด้วยตนเอง.
ข้าปรารถนาที่จะเป็นอิสระจากความรับผิดชอบสำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บของข้าที่ข้าอาจได้รับจากมัน.”
ฟรีเมนนั้น ใบหน้าบึ้งตึง.
“เจ้าสามารถถูกรับผิดชอบสำหรับผู้บาดเจ็บได้รึ? พวกเขาคือการรับผิดชอบต่อตัวพวกเขาเอง.
น้ำนั่นคือประเด็น, ธูเฟอร์ ฮาวัต. เจ้าจะให้ข้ารับการตัดสินใจนั่นไปจากเจ้าหรือ?”
ชายนั้นเอามือจับอาวุธที่ปิดบังอยู่ใต้เสื้อคลุมของเขา.
ฮาวัต เครียดขึงขึ้น, สงสัย: มีการซ้อนกลหักหลังที่นี่รึ?
“เจ้ากลัวอะไร?” ฟรีเมนนั้นถามสั่ง.
คนพวกนี้กับความเถรตรงบ้าบอของพวกมัน! ฮาวัต
พูดอย่างระมัดระวัง. “มีราคาตั้งไว้ให้กับหัวของข้า.”
“อา-ห-ห-ห.” ฟรีเมนนั้น เคลื่อนมือกลับจากอาวุธของเขา.
“เจ้าคิดว่าเรามีความชั่วช้าไบแซนไทนิ์. เจ้าไม่รู้จักพวกเรา.
พวกฮาร์คอนเนนส์ ไม่มีน้ำเพียงพอที่จะซื้อเด็กเล็กที่สุดในหมู่เราหรอก.”
แต่พวกเขาได้มีสินบนของค่าโดยสารเรือกิลด์สำหรับมากกว่าสองพันยานรบ,
ฮาวัต คิด. และขนาดของสินบนนั้นยังคงทำให้เขางวยงง.
“เราทั้งคู่รบกับพวกฮาร์คอนเนนส์,” ฮาวัต พูด. “เราไม่ควรแบ่งปันปัญหาและหนทางของการพบกันในเรื่องการสู้รบหรือ?”
“เรากำลังแบ่งปัน,” ฟรีเมนพูด.
“ข้าได้เห็นเจ้าสู้รบกับพวกฮาร์คอนเนนส์. เจ้าเก่ง.
ได้มีหลายครั้งที่ข้าได้ชื่นชมอาวุธของเจ้าเคียงข้างข้า.”
“บอกว่ามาว่าที่ไหนที่อาวุธของข้าอาจช่วยเหลือเจ้า,” ฮาวัต พูด.
“ใครรู้?” ฟรีเมนนั้นถาม.
“มีกองกำลังพวกฮาร์คอนเนนส์อยู่ทุกแห่งหน. แต่เจ้ายังคงไม่ได้ตัดสินน้ำหรือเอามันให้กับผู้บาดเจ็บของเจ้า.”
ข้าต้องระมัดระวัง,
ฮาวัต บอกกับตนเอง. มีสิ่งหนึ่งที่นี่ที่ไม่เข้าใจ.
เขาพูด:
“เจ้าจะแสดงให้ข้าเห็นวิธีของเจ้าได้ไหม, วิถีของ อาร์ราคีน?
“คิดเยี่ยง-คนแปลกถิ่น,” ฟรีเมนพูด,
และมีความเยาะหยันอยู่ในน้ำเสียงนั้น.
เขาชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือข้ามยอดเชิงผานั้นไป.
“เราได้เฝ้าดูเจ้าข้ามทะเลทรายมาเมื่อคืนนี้.” เขาลดแขนของตนต่ำลง.
“เจ้าคอยให้กองกำลังของท่านอยู่แต่บนผืนผิวหน้า-ไถลเลื่อนของนูนทรายทั้งหลาย. เลว.
ไม่มีชุดสติลล์สูท, ไม่มีน้ำ. เจ้าอยู่ได้ไม่นานถึงที่สุดหรอก.”
“วิถีทั้งหลายของ อาร์ราคิส ไม่ได้มาง่ายๆ,” ฮาวัต พูด.
“เป็นความสัจ. แต่เราได้ได้ฆ่าพวกฮาร์คอนเนนส์.”
“เจ้าทำอย่างไรกับคนบาดเจ็บของตนเองล่ะ?” ฮาวัต เรียกร้อง.
“คนเราไม่รู้หรอกหรือว่าเมื่อไรที่เขามีค่าที่จะรักษาไว้?”
ฟรีเมนถาม. “ผู้บาดเจ็บของเจ้ารู้ว่าเจ้าไม่มีน้ำ.” เขาเอียงหัวของเขา,
มองขึ้นไปด้านข้างที่ ฮาวัต. “นี่ชัดแจ้งถึงเวลาสำหรับการตัดสินน้ำ. ทั้งผู้บาดเจ็บและผู้ไม่บาดเจ็บต้องมองไปยังอนาคตของเผ่า.”
อนาคตของเผ่า, ฮาวัต คิด. เผ่าของ อะไทรดิส.
มีความหมายสัมผัสได้ในนั้น. เขาบังคับตนเองให้ถามในสิ่งที่เขาได้หลีกเลี่ยงมาตลอด.
“เจ้าได้ยินคำพูดถึงท่านดยุค หรือบุตรชายของเขาบ้างไหม?”
ดวงตาสีอ่านที่ไม่สามารถอ่านออกได้นั้นจ้องขึ้นมายังดวงตาของ
ฮาวัต. “คำพูด?”
“ชะตากรรมของพวกเขา!” ฮาวัต ตะวาด.
“ชะตากรรมนั้นเหมือนกันสำหรับทุกคน,” ฟฟรีเมนพูด.
“ดยุคของเจ้า,มันได้พูดกันว่า, ได้พบชะตากรรมของเขาแล้ว. สำหรับ ไลซาน
อัล-กาอิบ, บุตรชายของเขา, นั่นอยู่ในหัตถ์ของเลียต. เลียต
ไม่ได้พูด.”
ข้ารู้คำตอบนั้นได้โดยไม่ต้องถาม, ฮาวัต คิด.
เขาชำเลืองกลับไปยังคนของเขา.
พวกเขาตื่นขึ้นมากันหมดแล้วในตอนนี้. พวกนั้นได้ยิน.
พวกนั้นกำลังจ้องข้ามทะเลทรายออกไป, ความตระหนักรู้อยู่ในการแสดงออกเหล่านั้นของพวกเขา:
ไม่มีการกลับไปยัง คาลาดาน สำหรับพวกเขา, และในตอนนี้ อาร์ราคิส
ก็ได้สูญเสียไปแล้ว.
ฮาวัต หันกลับมาหา ฟรีเมน. “เจ้าได้ข่าวของ ดันแคน
ไอดาโฮ ไหม?”
“เขาอยู่ในมหาทำเนียบเมื่อโล่พลังปลดลง,” ฟรีเมนพูด. “นี่ที่ข้าได้ยินมา.....ไม่มีอีก.”
เธอปลดโ,ห์พลังนั้นลงและปล่อยให้พวกฮาร์คอนเนนส์เข้ามา, เขาคิด.
ข้าเป็นคนหนึ่งผู้นั่งหันหลังให้กับประตู. หล่อนทำเช่นนีได้อย่างไรในเมื่อมันหมายถึงการหันมาเล่นงานลูกชายของตนเอง?
แต่.....ใครจะรู้ได้ว่าพวกแม่มดเบเน เกสเสอริตคิดอะไรรึ.....ถ้าเจ้าสามารถเรียกนั่นได้ว่าเป็น
การคิด?
ฮาวัต พยายามที่จะกล้ำกลืนในลำคอที่แห้งผาก.
“เจ้าได้ยินข่าวของเด็กชายนั่นเมื่อไหร่?”
“เรารู้เล็กน้อยถึงการเกิดอะไรขึ้นใน อาร์ราคีน,” ฟรีเมนนั้นพูด.
เขายักไหล่. “ใครจะรู้ล่ะ?”
“เจ้ามีหลายหนทางที่จะค้นหาได้?”
“บางที.” ฟรีเมน ถูกที่แผลเป็นข้างจมูกของตน. “บอกข้าสิ, ธูเฟอร์
ฮาวัต, เจ้ามีความรูของอาวุธใหญ่ทั้งหลายที่พวกฮาร์คอนเนนส์ได้ใช้อยู่ไหม?”
กองปืนใหญ่, ฮาวัต คิดอย่างขมขื่น. ใครจะสามารถเดาถึงได้ว่าพวกมันจะใช้กองทหารปืนใญ่ในยุคของโล่พลังเหล่านี้?
“เจ้าหมายถึงกองปืนใหญ่ที่พวกมนใช้เพื่อกักขังผู้คนของเราไว้ในถ้ำพวกนั้น,”
เขาพูด. “ข้า...รู้ในหลักโดยทฤษฎีของอาวุธยิงระเบิดพวกนั้น.”
“คนใดที่ล่าถอยเข้าไปในถ้ำท
มีทางเปิดเพียงหนึ่งเดียวก็สมควรที่จะตาย,” ฟรีเมนนั้นพูด.
“ทำไมเจ้าถึงถามถึงเรื่องอาวุธพวกนี้ล่ะ?”
“เลียต ปรารถนามัน.”
นั่นคืออะไรที่เขาต้องการจากเรารึ? ฮาวัต กังขาใจ. เขาพูด: “เจ้าได้มายังที่นี่เพื่อเสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับปืนใหญ่พวกนั้นหรือ?”
“เลียต ปรารถนาที่จะเห็นหนึ่งในอาวุธพวกนั้นด้วยตนเอง.”
“งั้นเจ้าควรจะไปเอามาสักหนึ่ง,” ฮาวัต หยันเยาะ.
“ใช่,” ฟรีเมนนั้นบอก. “เราเอามาหนึ่งแล้ว.
เราเอามันซ่อนไว้ในที่ สติลจาร์ จะได้ศึกษามันเพื่อ เลียต
และในที่ที่ เลียต สามารถดูมันได้ด้วยตนเองเมื่อท่านปรารถนา.
แต่ข้ายังสงสัยอยู่ว่าท่านจะต้องการหรือไม่; อาวุธนั่นไม่ใช่อันที่ดีมากนัก. ออกแบบได้น่าสังเวชสำหรับ อาร์ราคีส.”
“เจ้า.....เอามันมาได้หนึ่งรึ?” ฮาวัต ถาม.
“มันเป็นการต่อสู้ที่ดี,” ฟรีเมนนั้นพูด.
“เราเสียไปแค่สองคนและทำน้ำหกจากมากกว่าหนึ่งร้อยของพวกมัน.”
มีพวกซาร์เดาการ์อยู่ที่ทุกปืนนั่น, ฮาวัต คิด. พวกทะเลทรายบ้าคนนี้พูดอย่างไม่สนใจถึงการสูญเสียไปแค่สองคนกับพวกซาร์เดาการ์!
“เราจะไม่เสียสองรายนั่นเลยนอกเสียจากว่าสำหรับพวกคนอื่นที่สู้รบอยู่เคียงข้างพวกฮาร์คอนเนนส์,”
ฟรีเมนนั้นบอก. “บางคนของพวกนั้นเป็นนักรบที่ดี.”
หนึ่งในคนของ ฮาวัต เดินโขยกเขยกมาข้างหน้า,
ก้มมองฟรีเมนที่กำลังนั่งยองอยู่. “เจ้ากำลังพูดถึง ซาร์เดาการ์รึ?”
“เขากำลังพูดถึงพวกซาร์เดาการ์,” ฮาวัต บอก.
“ซาร์เดาการ์!” ฟรีเมนพูด, และมีปรากฏเป็นความยินดีในน้ำเสียงของเขา. “อา-ห-ห์, นั่นเองสินะที่พวกมันเป็น! นี่เป็นค่ำคืนที่ดีแท้จริงๆ. ซาเดาการ์. กองพลไหนรึ? เจ้ารู้ไหม?”
“เรา.....ไม่รู้,” ฮาวัต พูด.
“ซาร์เดาการ์,” ฟรีเมนรำพึง.
“กระนั้นพวกมันก็สวมเครื่องแต่งกายของฮาร์คอนเนนส์. นั่นไปไม่แปลกหรอกรึ?”
“จักรพรรดิ ไม่ปรารถนาให้มันถูกรู้กันว่าเขากำลังสู้รบกับ
หมาราชสำนัก,” ฮาวัต บอก.
“แต่เจ้ารู้ว่าพวกมันคือซารเดาการ์.”
“ข้าเป็นใครล่ะ?” ฮาวัต ถามอย่างขื่นขม.
“เจ้าคือ ธูเฟอร์ ฮาวัต,” ชายนั้นพูดถึง สาระ-แห่ง-ความเป็นจริง.
“เอาละ, เราจะได้เรียนรู้มันทันเวลา. เราได้ส่งสามรายของพวกมันที่จับกุมได้ไปถูกสอบปากคำโดยคนของ
เลียต.”
ผู้ช่วยของ ฮาวัต พูดอย่างช้าๆ, ไม่เชื่อในทุกคำพูดนั้น: “เจ้า....จับกุม
ซาเดาการ์ ได้รึ?”
“แค่สามรายของพวกมัน,” ฟรีเมนพูด. “พวกมันต่อสู้ได้ดี.”
ถ้าแค่เรามีเวลาที่จะเชื่อมต่อกับฟรีเมนพวกนี้, ฮาวัต
คิด. มันเป็นความคร่ำครวญเปรี้ยวฝาดอยู่ในจิตใจของเขา. ถ้าเพียงแค่เราสามารถได้ฝึกฝนพวกเขาและติดอาวุธพวกเขา.
มหามารดาเถิด, จะเป็นกองกำลังเช่นไรกันล่ะนี่ที่เราได้มี!
“บางทีเจ้าล่าช้าไปเพราะว่าเป็นห่วงใน ไลสาน อัล-กาอิบ,”
ฟรีเมนพูด. “ถ้าเขาคือ ไลสาน อัล-กาอิบ ที่แท้จริง,
อันตรายใดก็ไม่สามารถแตะต้องเขาได้.
อย่าได้ใช้เวลาไปคิดถึงสาระสำคัญนั้นที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์.”
“ข้ารับใช้ต่อ.....ไลสาน อัน-กาอิบ,” ฮาวัต พูด. “สวัสดิภาพของเขาคือภาระของข้า.
ข้าได้ปฏิญาณตนเองให้กับสิ่งนี้แล้ว.”
“เจ้าปฏิญาณให้กับน้ำของเขาหรือ?”
ฮาวัต เหลือบไปยังผู้ช่วยของเขา,
ผู้ที่ยังคงจ้องมองฟรีเมนนั้นอยู่, หันความสนใจของเขากลับมายังร่างที่นั่งยองอยู่.
“ให้กับน้ำของเขา, ใช่.”
“เจ้าปรารถนาจะหลับไปยัง อาร์ราคีน, เพื่อจัดวางแห่งหนน้ำของเขารึ?”
“เพื่อ.....ใช่, เพื่อจัดวางแห่งหนน้ำของเขา.”
“ทำไมเจ้าไม่พูดเสียแต่แรกว่ามันเป็นเหตุเรื่องน้ำ?”
ฟรีเมนนั้นยืนขึ้น, จัดตำแหน่งที่อุดจมูกของเขาให้แน่นเข้าที่.
ฮาวัต ทำท่าทางด้วยศีรษะของเขายังผู้ช่วยให้กลับไปหาคนอื่นๆ
ด้วยการยักไหล่อย่างเหนื่อยอ่อน, ชายนั้นยอมรับคำสั่ง. ฮาวัต
ได้ยินการสนทนาในเสียงต่ำเบาดังขึ้นมาในหมู่ทหารนั้น.
ฟรีเมนพูด: “มีหนทางอยู่เสมอกับน้ำ.”
ด้านหลังของ ฮาวัต, ทหารคนหนึ่งสบถ. ผู้ช่วยของ ฮาวัต ร้องเรียก: “ท่านธูเฟอร์! อาร์กี้ เพิ่งตาย.”
ฟรีเมนเอากำปั้นหนึ่งไปยังหูของเขา. “พันธการแห่งน้ำ! เป็นลางบอก!” เขาจ้องมอง ฮาวัต. “เรามีสถานที่แห่งหนึ่งใกล้ๆนี้ สำหรับการรับน้ำนั้น.
ให้ข้าเรียกคนของข้ามาไหม?”
ผู้ช่วยนั้นกลับมาข้าง ฮาวัต, พูด: “ท่านธูเฟอร์,
ทหารสองรายทิ้งภรรยาไว้ใน อาร์ราคีน. พวกเขา.....เอ้อ, ท่านทราบดีว่าเป็นอย่างไรในเวลาเช่นนี้.”
ฟรีเมนนั้นยังคงเอากำปั้นอยู่ที่หูของเขา. “มันเป็นพันธการแห่งน้ำไหม,
ธูเฟอร์ ฮาวัต?” เขาถามเรียกร้อง.
จิตใจของ ฮาวัต กำลังวิ่งแข่ง.
เขาสัมผัสได้ในตอนนี้ถึงทิศทางของคำพูดของฟรีเมน,
แต่หวาดกลัวต่อปฏิกิริยาของทหารที่เหนื่อยอ่อนใต้ชะง่อนหินนั้นเมื่อพวกนั้นได้เข้าใจถึงมัน.
“พันธการแห่งน้ำ,” ฮาวัต พูด.
“ขอให้เผ่าของเราได้ร่วมด้วยเถิด,” ฟรีเมนนั้นพูด,
และเขาลดกำปั้นของตนลง.
ราวกับว่านั่นเป็นสัญญาณ,
สี่คนไถลและทิ้งตัวลงมาจากก้อนหินทั้งหลายที่อยู่เหนือพวกเขา. พวกเขาพุ่งกลับไปยังใต้ชะง่อนหิน,
พลิกร่างคนตายลงในเสื้อคลุมปล่อยหลวม,
ยกเขาขึ้นและเริ่มวิ่งพร้อมกับร่างนั้นไปตามกำแพงหินผายังด้านขวามือ.
ละอองฝุ่นพ่นลอยขึ้นรอบเท้าของพวกเขาที่วิ่งอยู่นั้น.
มันจบสิ้นลงก่อนที่ ทหารของ ฮาวัต
ที่กำลังเหนื่อยล้าจะทันรวบรวมสติปัญญาได้. กลุ่มนั้นพร้อมทั้งร่างนั้นที่กำลังห้อยอยู่เหมือนถุงแป้งในเสื้อคลุมที่พันเอาไว้ได้หายไปจากหัวมุมของเชิงผาหิน.
หนึ่งในทหารของ ฮาวัต ตะโกน: “พวกมันกำลังเอาตัว อาร์กี้
ไปที่ไหน? เขาต---”
“พวกนั้นกำลังเอาเขาไป....ฝังเขา,” ฮาวัต พูด.
“ฟรีเมนไม่ฝังคนตายของพวกมัน!” ชายนั้นตะโกน.
“ท่านอย่าได้มาทำลูกเล่นกับเรา, ธูเฟอร์. เรารู้ดีว่าพวกมันทำอะไร. อาร์กี้
เป็นหนึ่งใน---”
“สวรรค์เป็นที่แน่นอนสำหรับผู้ที่ได้ตายในการรับใช้ต่อ ไลสาน
อัล-กาอิบ,” ฟรีเมนพูด. “ถ้าเป็น ไลสาน อัล กา-อิบ ที่เจ้ารับใช้,
ดังที่เจ้าได้พูดมัน, ทำไมถึงครวญคร่ำอาลัยขึ้นมาหรือ? ความทรงจำของผู้ที่ตายในรูปแบบนี้จะมีชีวิตอยู่ตราบนานเท่าที่ความทรงจำของคนจะยืนยง.”
แต่คนของ ฮาวัต ก้าวเข้ามา, ท่าทางโกรธเกรี้ยวอยู่บนใบหน้า.
หนึ่งนั้นกุมปืนเลซ. เขาเริ่มที่จะชักมันออกมา.
“หยุดอยู่ตรงที่เจ้ายืนนั่น!” ฮาวัต ตวาด.
เขาต่อสู้กดข่มความป่วยไข้เหนื่อยล้าที่เกาะกุมกล้ามเนื้ออยู่นั้นลงไป.
“คนเหลานี้เคารพผู้ตายของเรา. ประเพณีทั้งหลายแตกต่างออกไป,
แต่ความหมายนั้นเหมือนกัน.”
“พวกมันกำลังจะละลาย อาร์กี้ เพื่อเอาน้ำของเขา,” ชายกุมปืนเลซนั้นขู่คำราม.
“นั่นเป็นว่าคนของเจ้าปรารถนาจะเข้าร่วมในพิธีกรรมหรือ?”
ฟรีเมนถาม.
เขากระทั่งมองไม่เห็นปัญหานี้, ฮาวัต คิด.
ความตรงทื่อซื่อของฟรีเมนนี้เป็นเยี่ยงการต่อสู้.
“พวกเขาเป็นกังวลในเรื่องการให้ความเคารพนับถือต่อสหาย,” ฮาวัต
พูด.
“เราจะปฏิบัติต่อสหายของเจ้าด้วยความเคารพนับถือเดียวกันกับที่เราปฏิบัติต่อคนของเราเอง,”
ฟรีเมนพูด. “นี่คือพันธการน้ำ. เรารู้ถึงพิธีกรรมทั้งหลาย.
เนื้อของคนนั้นคือของตัวเขาเอง. น้ำทั้งหลายเป็นของเผ่า.”
ฮาวัต พูดอย่างเร็วขณะที่ทหารที่ถือปืนเดินหน้าเข้ามาอีกหนึ่งก้าว.
“เจ้าตอนนี้จะช่วยผู้บาดเจ็บของเราเลยไหม?”
“คนใดต้องไม่ถามในพันธการ,” ฟรีเมนพูด.
“เราจะทำเพื่อเจ้าในอะไรที่เผ่าทำเพื่อของตน. อย่างแรก,
เราต้องเอาพวกเจ้าทั้งหมดสวมชุดสูทแล้วตรวจดูถึงความจำเป็นทั้งหลาย.”
ทหารกับปืนเลซนั้นลังเล.
ผู้ช่วยของ ฮาวัต พูด: “เรากำลังซื้อความช่วยเหลือด้วยน้ำของ อาร์กี้ รึ?”
“ไม่ใช่การซื้อ,” ฮาวัต พูด.
“เราได้เข้าร่วมกับผู้คนเหล่านี้.”
“ประเพณีต่างกันออกไป,” หนึ่งในทหารของพวกเขาพึมพำ.
ฮาวัต เริ่มผ่อนคลายลง.
“แล้วพวกเขาจะช่วยเราได้คืน อาร์ราคีน หรือ?”
“เราจะฆ่าพวกฮาร์คอนเนนส์,” ฟรีเมนนั้นบอก. ขายิ้ม.
“และซาร์เดาการ์.” เขาก้าวถอยหลังไป,
ป้องมือทั้งคู่เข้าที่ข้างหูของเขาและเอียงศีรษะของเขาไปข้างหลัง, ฟัง. ทันทีนั้น,
เขาลดมือของตนลง, พูด: “มียานอากาศลำหนึ่งกำลังมา.
ปิดบังตัวของเจ้าที่ใต้ก้อนหินแล้วอย่าเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น.”
กับท่าทางส่งสัญญาณของ ฮาวัต, คนของเขายอมรับเชื่อฟัง.
ฟรีเมน ลากแขนของ ฮาวัต, กดเขากลับไปกับคนอื่นๆ. “เราจะต่อสู้เมื่อถึงเวลาต่อสู้.”
ชายนั้นพูด. เขาเอื้อมมือเข้าไปในเสื้อคลุม, ดึงเอากรงเล็กๆใบหนึ่งออกมา,
ดึงสัตว์ตัวหนึ่งขึ้นมาจากมัน.
ฮาวัต จำค้างคาวตัวเล็กจิ๋วนั่นได้.
ค้างคาวนั้นหันหัวของมันมาและ ฮาวัต มองเห็นดวงตาสีฟ้า-ใน-สีฟ้าของมัน.
ฟรีเมนลูบไล้ค้างคาวนั้น, ปลอบโยนมัน, ร้องเพลงเบาให้มัน.
เขาก้มตัวลงเหนือหัวของสัตว์นั้น,
ยอมหยดน้ำลายให้ร่วงลงจากลิ้นของเขาเข้าไปในปากที่แหงนขึ้นมาของค้างคาว. ค้างคาวนั้นเหยียดกางปีกของมันออก,
แต่ยังคงอยู่บนมืออ้ากางอยู่ของฟรีเมน. ชายนั้นดึงเอาหลอดท่อจิ๋วออกมา,
ถือมันข้างหัวของค้างคาวและพูดลงไปในหลอดท่อนั้น; แล้ว, ยกสัตว์ตัวนั้นสูงขึ้น,
เขาเหวี่ยงมันขึ้นไป.
ค้างคาวสะบัดปีกโฉบออกไปยังข้างเชิงผาและหายลับไปจากสายตา.
ฟรีเมนพับกรงนั้น, ยัดมันกลับเข้าไปใต้เสื้อคลุม. อีกครั้ง,
เขาก้มศีรษะของตนลง, กำลังฟัง: “พวกมันบินวนอยู่บริเวณพื้นที่สูง,” เขาพูด.
“ผู้ใดก็สงสัยว่าพวกมันเสาะหาอะไรอยู่ที่ข้างบนนั่น.”
“มันเป็นที่รู้กันว่าเราล่าถอยมายังทิศทางนี้,” ฮาวัต พูด.
“ผู้ใดไม่ควรจะสมมติเลยว่าผู้ใดนั้นคือเป้าหมายเดียวของการล่า,”
ฟรีเมนนั้นพูด. “คอยดูอีกด้านหนึ่งของแอ่งอ่างนี้. เจ้าจะเห็นสิ่งหนึ่ง.”
เวลาผ่านไป.
บางคนของ ฮาวัต กระสับกระส่าย, พูดกระซิบกัน.
“จงอยู่เงียบๆดุจสัตว์ทั้งหลายที่ตื่นกลัว,” ฟรีเมนขู่ฟ่อด.
ฮาวัต
มองเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างใกล้เชิงผาฝั่งตรงข้าม---การพร่ามัวตรงนี้นิดตรงโน้นหน่อยของสีน้ำตาลเกรียมบนสีน้ำตาล.
“เพื่อนตัวน้อยของข้าเอาสาส์นไปกับตัวเองด้วย,” ฟรีเมนพูด.
“เขาเป็นผู้นำสาส์นที่ดี---ทั้งกลางวันหรือกลางคืน.
ข้าจะไม่เป็นสุขเลยที่จะสูญเสียเขานั้นไป.”
การเคลื่อนไหวข้ามแอ่งอ่างนี้จางหายไปแล้ว.
บนการแผ่นขยายออกไปสี่ถึงห้ากิโลเมตรของทรายที่ไม่มีอะไรคงเหลืออยู่นอกจากความร้อนระอุที่กดดันเติบโตขึ้นของกลางวัน---เหล่าเสาพร่ามัวของอากาศที่ลอยตัวขึ้น.
“อยู่ให้เงียบมากที่สุดในตอนนี้,” ฟรีเมนกระซิบบอก.
แถวร่างเคลื่อนไหวเชื่องช้าโผล่ออกมาจากรอยแยกของเชิงผาด้านตรงข้าม,
มุ่งตรงข้ามแอ่งอ่างนี้มา. กับ ฮาวัต, พวกเขาปรากฏที่จะเป็นฟรีเมน, แต่ดูชัดแจ้งว่าเป็นกลุ่มพิกลผิดแผกไป.
เขานับได้หกคนที่กำลังลุยหนักฝ่าเหนือนูนทรายมา.
เสียง “ธว้อก-ธว้อก”ของปีกยานออมไนธ็อปเปอร์ฟังดูอยู่สูงไปทางดานขวาด้านหลังกลุ่มของ
ฮาวัต. ยานบินนั้นมาอยู่เหนือกำแพงเชิงผาเหนือพวกเขา---ยาน’ธ็อปเปอร์ของอะไทรดิสพร้อมด้วยสีสันชุดรบของพวกฮาร์คอนเนนกระจายเปรอะอยู่บนมัน.
ยาน’ธ็อปเปอร์โฉบตรงไปยังหมู่คนที่กำลังข้ามแอ่อ่างอยู่นั้น.
กลุ่มคนนั้นหยุดลงบนยอดนูนทราย, โบกมือ.
ยาน’ธ็อปเปอร์บินวนเมื่ออยู่เหนือพวกนั้นเป็นวงกลมแน่น,
กลับมาลงจอดฝุ่นฟุ้งคลุมตรงหน้าของพวกฟรีเมน. ห้าทหารรวมฝูงออกมาจากยาน’ธ็อปเปอร์และ ฮาวัต มองเห็นแสงแวววาวพร่าไล่ละอองฝุ่นของโล่ห์พลังนั้นและ,
ในการเคลื่อนไหวของพวกมัน, การก้าวย่างวางอำนาจของ ซาร์เดาการ์.
“อาไอหห์! พวกมันใช้โล่พลังงี่เง่าพวกนั้น,” ฟรีเมนข้าง ฮาวัต ส่งเสียงฟ่อไม่พอใจ.
เขาชำเลืองกลับไปที่กำแพงเปิดด้านทิศใต้ของแอ่งอ่าง.
“พวกมันเป็น ซาณ์เดาการ์,” ฮาวัต กระซิบ.
“ดี.”
เหล่าซาร์เดาการ์เข้าไปหากลุ่มที่คอยอยู่ของฟรีเมนในลักษณะโอบปิดครึ่งวงกลม.
ดวงอาทิตย์สะท้อนแวบวับบนใบดาบที่กุมเตรียมพร้อม. พวกฟรีเมนยืนอยู่ในลักษณะกลุ่มอัดแน่น,
ปรากฏอาการเมินเฉย.
ทันทีนั้น,
ทรายที่รอบล้อมทั้งสองกลุ่มนั้นก็โผล่ผุดฟรีเมนออกมา.
พวกเขาอยู่ที่ยานออมนิ
-ธ็อปเปอร์, แล้วก็ในนั้น.
ที่ซึ่งทั้งสองกลุ่มได้เจอกันนั้นอยู่ที่ยอดของนูนทราย, เมฆฝุ่นบดบังส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไวที่หฤโหดนั้น.
ในไม่ช้า, ฝุ่นรวมตกลงมา. มีเพียงฟรีเมนเท่านั้นที่กำลังยืนอยู่.
“พวกมันทิ้งไว้แค่สามคนในยาน’ธ็อปเปอร์ของพวกมัน,” ฟรีเมนข้างตัว
ฮาวัต พูด. “นั่นเป็นโชคดี. ข้าไม่เชื่อว่าเราต้องพังทำลายยานนั้นในการยึดมัน.”
ด้านหลัง ฮาวัต, หนึ่งในคนของเขากระซิบ:
“พวกนั้นเป็นซาร์เดาการ์!”
“เจ้าสังเกตเห็นไหมว่าเขาต่อสู้ได้ดีอย่างไร?” ฟรีเมนนั้นถาม.
ฮาวัต สูดหายใจลึก. เขาได้กลิ่นฝุ่นไหม้อยู่รอบตัวเขา,
รู้สึกถึงความร้อนระอุ, ความแห้ง. ในน้ำเสียงเพื่อเข้ากันกับความแห้งผากนั้น,
เขาพูด: “ใช่, พวกเขาต่อสู้ได้ดี, จริงๆ.”
ยาน’ธ็อปเปอร์ที่ถูกยึดได้ก็บินขึ้นด้วยการเอียงถลาแกว่งกระพือของปีกทั้งหลาย,
ทำมุมขึ้นไปยังทางทิศใต้ในอาการชัน, พับปีกไต่ขึ้นไป.
งั้นพวกฟรีเมนเหบ่านี้สามารถควบคุมยาน’ธ็อปเปอร์ได้,
ด้วยเช่นกัน,
ฮาวัต คิด.
บนนูนทรายไกลไปนั้น, ฟรีเมนคนหฯงโบกผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีเขียว: ครั้งหนึ่ง...สองครั้ง.
“มาอีกมาก!” ฟรีเมนข้างตัว ฮาวัต ตะโกน. “เตรียมให้พร้อม.
ข้าหวังว่าจะได้เราออกไปกันโดยปราศจากความยุ่งยากมากกว่านี้.”
ความยุ่งยาก! ฮาวัต คิด.
เขาเห็นยาน’ธ็อปเปอร์อีกสองลำโฉบจากระดับสูงในทิศตะวันตกลงมาหาพื้นที่ของทรายอย่างทันทีไม่เห็นฟรีเมนได้แล้ว.
มีแค่แปดรอยด่างเปรอะของสีฟ้า---ร่างของเหล่าซาร์เดาการ์ในเครื่องแบบฮาร์คอนเนนส์---ยังคงอยู่ที่ฉากของเหตุรุนแรงนั้น.
ยาน’ธ็อปเปอร์อีกลำร่อนไถลเข้ามาเหนือกำแพงเชิงพาที่อยู่เหนือ ฮาวัต.
เขาดึงลมหายใจสั้นเร็วทันทีที่เห็นมัน---ยานลำเลียงพลขนาดใหญ่.
มันบิยอย่างเชื่องช้า, แผ่กางปีกด้วยอาการบรรทุกหนัก---เหมือนนกยักษ์กลับมาสู่รัง.
ในระยะห่างออกไป,
ลำนิ้วสีม่วงของลำแสงของปืนเลซวาบขึ้นจากหนึ่งในยาน’ธ็อปเปอร์ที่กำลังดำดิ่งลงมา.
มันเฆี่ยนเป็นแนวข้ามผืนทราย, พวยพุ่งขึ้นเป็นทางหางเหยียดยาวของฝุ่นทราย.
ยานลำเลียงพลปักหลักไปหารอยด่างสีฟ้าของร่างเหล่านั้น.
ปีกทั้งหลายของมันคลานอย่างเชื่องช้าออกไปสู่เต็มเอื้อม,
เริ่มอาการห่อตัวสำหรับการหยุดยานลงอย่างเร็ว.
ความสนใจของ ฮาวัต
จับจ้องอยู่ที่แสงวาบของดวงอาทิตย์บนโลหะทางด้านทิศใต้, ยาน’ธ็อปเปอร์ลำหนึ่งร่วงลงมาด้วยอาการพุ่งดำดิ่งเต็มกำลัง,
ปีกพับหุบแบนราบอยู่ข้างลำตัวของยาน,
ไอพ่นของมันเป็นดุจพลุไฟตัดกับสีเทาเงินมืดของท้องฟ้า.
มันพุ่งไปข้างหน้าเหมือลูกธนูเข้าใส่ยานลำเลียงพลที่ไม่มีโล่ห์พลังเพราะว่ากิจกรรมการยิงปืนเลซรอบตัวมันนั้น.
ตรงเข้าไปสู่ยานลำเลียงพลนั้นที่ยาน’ธ็อปเปอร์พุ่งใส่.
เปลวเพลิงคำรามสะเทือนไปทั่วแอ่งอ่าง.
เหล่าก้อนหินสั่นเซทรุดจากกำแพงเชิงผารอบๆทั้งหมด.
ไอน้ำร้อนหนึ่งของสีแดง-ส้มจาการยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าของเม็ดทรายที่ซึ่งยานลำเลีงพลและสหาย’ธ็อปเปอร์ของมันได้เคยอยู่---ทุกอย่างตรงนั้นติดไฟเปลวลุกโชน.
มันเป็นพวกฟรีเมนผู้ที่ยึดยาน’ธ็อปเปอร์นั้น, ฮาวัต คิด. เขาตั้งใจที่จะเสียสละตนเองเพื่อจัดการยานลำเลียงพลนั้น,
มหามารดาเถิด! พวกฟรีเมนนี้คืออะไรกันหรือ?
“การแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผล,” ฟรีเมนที่ข้างตัว ฮาวัต พูด.
“น่าจะมีราวสามร้อยทหารในยานลำเลียงนั่น. ตอนนี,
เราต้องจัดการน้ำของพวกมันและทำแผนที่จะยึดยานบินลำอื่นอีก.”
เขาเริ่มที่จะก้าวออกไปจากใต้เงาชะง่อนหินของพวกเขาที่ปกปิดให้อยู่.
ฝนห่าหนึ่งของเครื่องแบบสีฟ้าโปรยลงมาเหนือกำแพงเชิงผาตรงหน้าของพวกเขา,
ร่วงลงมาในอาการช้าแขวนลอย-ต่ำ. ในวาบทันทีนั้น, ฮาวัต
มีเวลาที่จะเห็นว่าพวกมันคือซาร์เดาการ์, ใบหน้ากร้าวเยือกเย็นอยู่ในอาการระห่ำรบ,
ว่าพวกมันไม่มีโล่พลังและแต่ละคนถือมีดในมือหนึ่ง, ปืนยิงสลบในอีกมือ.
มีดหนึ่งขว้างมาปักสหายฟรีเมนของ ฮาวัต เข้าที่คอหอย,
เหวี่ยงกระแทกเขากลับไปด้านหลัง, ร่างบิดหมุนหน้าคว่ำลงไป. ฮาวัต
มีเวลาเพียงแค่ที่จะดึงมีดของเขาเองขึ้นมาก่อนที่ความดำมืดของปืนสลบวิ่งโค้งมาปะทะเขา.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น