หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (22)

 

       พระบิดาของข้าครั้งหนึ่งบอกกับข้าว่าความเคารพนับถือนั้นสำหรับความสัจจริงที่ใกล้ชิดกับพื้นฐานของความมีคุณธรรมทั้งปวง. “บางอย่างไม่สามารถโผล่ออกมาจากการไม่มีอะไรได้,” ท่านพูด. นี่คือการคิดอย่างล้ำลึกถ้าเจ้าเข้าใจถึงความไม่เสถียรของ “ความสัจจริง” ที่สามารถเป็นได้.

---จาก “การสนทนา กับ มวดดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

 

       “ข้ามักจะภูมิใจในตัวข้าเองเสมอกับการมองเห็นสิ่งต่างๆในหนทางที่พวกมันเป็นจริง,” ธูเฟอร์ ฮาวัต พูด. “นั่นเป็นคำสาปแช่งของการเป็น เมนทาต. เจ้าไม่สามารถหยุดการวิเคราะห์ช้อมูของเจ้าได้.”

       ใบหน้าดุจหนังเก่าๆปรากฏสงบอยู่ในความสลัวก่อนรุ่งอรุณขณะที่เขาพูด. ริมฝีปากห้อยยื่นเปื้อนเลอะถูกดึงเข้าไปเป็นเส้นตงด้วยเส้นสายรัศมีจีบพับแผ่กระจายขึ้นไป.

       ชายชุดคลุมหนึ่งนั่งยองเงียบๆอยู่บนทรายตรงข้ามกับ ฮาวัต, ปรากฏอยู่ในอาการไม่เคลื่อนไหวใดไปกับคำพูดนั้น.

       อีกสองคนหมอบอยู่ใต้ก้อนหินที่ยื่นลอยเหนือที่มองดูเหมือนจมบนอ่างกว้าง, ตื้น. อรุณกำลังแผ่ขยายอยู่เหนือเส้นขอบโครงที่แตกกระจายของเชิงผาทั้งหลายข้ามอ่างทรายนั้นไป, สัมผัสทุกอย่างด้วยสีชมพู. มันเย็นอยู่ใต้ชะเงื้อมหินนั้น, ความเยือกเย็นแห้งๆและทิ่มแทงทิ้งไว้จากกลางคืนที่ผ่านไป. ได้มีสายลมอุ่นแค่ก่อนรุ่ง, แต่ตอนนี้มันกลับเย็น. ฮาวัต สามารถได้ยินฟันกระทบรัวกัน ที่ด้านหลังของเขาท่ามกลางทหารสองสามหมู่ที่ยังคงอยู่กับกองกำลังของเขา.

       ชายที่นั่งยองอยู่ตรงข้ามกับ ฮาวัต นั้นเป็นฟรีเมนผู้ที่ได้ข้ามแอ่งอ่างนี้มาหาในแสงแรกของแสงเงินแสงทอง, เคลื่อนไปอย่างรวดเร็วเหนือทราย, แฝงเข้าไปในนูนทรายทั้งหลาย, การเคลื่อนไหวของเขาแทบจะสังเกตไม่เห็น.

       ฟรีเมนนั้นยืดนิ้วหนึ่งออกไปที่พื้นทรายระว่างพวกเขา, วาดรูปหนึ่งขึ้นที่นั้น. มันดูคล้ายชามมีลูกศรล้นกระจายออกไปจากมัน. “มีหน่วยลาดตระเวนฮาร์คอนเนนอยู่มากมาย,” เขาพูด. เขายกนิ้วของเขาขึ้น, ชี้ขึ้นไปข้ามเชิงาเหล่านั้นที่ ฮาวัต และคนของเขาได้เคลื่อนลงมา.

       ฮาวัต พยักหน้ารับ.

       หน่วยลาดตระเวนมากมาย. ใช่.

       แต่ยังคงที่เขาไม่รู้ว่าอะไรที่ฟรีเมนนี้ต้องการและนี้ปวดร้าวใจ. การได้ฝึกฝนเมนทาตมาถูกคาดว่าจะให้พลังแก่ชายผู้นั้นที่จะเห็นแรงะกระตุ้นภายในทั้งหลาย.

       นี้เป็นคืนที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของ ฮาวัต. เขาได้อยู่ที่ ทสิมโป, หมู่บ้านกองโจร, ด่านหน้ากันชนสำหรับก่อนเข้าถึงตัวนครหลวง, คาร์ธัจ, เมื่อรายงานทั้งหลายของการบุกโจมนั้นเริ่มต้นมาถึง. ในตอนแรก, เขาคิดว่า: มันเป็นการลอบจู่โจม. พวกฮาร์คอนเนนส์กำลังทดสอบ.

       แต่รายงานนั้นตามติดมาด้วยรายงาน---เร็วขึ้นและเร็วขึ้น.

       ทหารสองกองพลลงสู่พื้นที่ คาร์ธัจ.

       ห้ากองพล---ห้าสิบกองร้อย!---กำลังบุกโจมตีฐานหลักของ ดยุค ที่ อาร์ราคีน.

       หนึ่งกองพล ที่ อรสันท์.

       สองกองรบที่ สปลินเทอริ์ด ร็อค.

       แล้วรายงานทั้งหลายนั้น็เริ่มเพิ่มเติมรายละเอียดมากขึ้น—มี ซาร์เดาการ์ ของ จักรพรรดิ อยู่ในท่ามกลางพวกบุกโจมตี---เป็นไปได้ว่าราวสองกองพลของพวกมัน. และมันได้กลายเป็นชัดกระจ่างว่าพวกผู้บุกรุกรานนั้นรู้อย่างชัดเจนถึงน้ำหนักของสรรพอาวุธว่าควรจะจัดไปยังที่ไหน. ชัดเจน! สุดยอด ข่าวกรอง.

       ความโกรธจนตื่นผวาสุดขีดได้พอกพูนจนกระทั่งมันได้คุกคามต่อการทำงานอันราบรื่นของความสามารถทั้งหลายเยี่ยงเมนทาตของเขา. ขนาดของการบุกโจมตีกระแทกจิตใจของเขาเหมือนโดนทุบทางร่างกาย.

       ตอนนี้, หลบซ่อนอยู่ใต้เศษหินในทะเลทราย, เขาพยักหน้าให้กับตนเอง, ดึงเสื้อเครื่องแบบที่ฉีกวิ่นและถูกกรีดห้อยให้พันรอบตัวของเขาราวกับว่าเป็นเครื่องรางคุ้มครองจากเงาเย็นเหล่านั้น.

       ขนาดของการบุกโจมตีนั้น.

       เขาได้คาดไว้อยู่เสมอว่าศัตรูของพวกเขาจะจ้างการขนส่งด้วยยานในบางโอกาสพิเศษจาก กิลด์ สำหรับการตรวจสอบการจู่โจมทั้งหลาย. นั่นเป็นอุบายธรรมดาในการทำสงครามระหว่าง ราชสำนัก-ต่อ-ราชสำนัก. ยานขนส่งลงสู่พื้นและบินขึ้นบน อาร์ราคีน อย่างสม่ำเสมอเพื่อลำเลียงเครื่องเทศนั้นเพื่อ ราชสำนัก อะไทรดิส. ฮาวัต ได้เตรียมการระวังล่วงหน้าต่อการสุ่มลอบโจมตีโดยปลอมแปลงเป็นยานลำเลียงเครื่องเทศทั้งหลาย. สำหรับการบุกโจมตีเต็มที่พวกเขาได้คาดไว้ว่าไม่น่าจะเกินไปกว่าสิบกองพัน.

       แต่มีมากกว่าสองพันยานที่ลงมายัง อาร์ราคิส จากการนับครั้งสุดท้าย---ไม่ใช่แค่ยานลำเลียงขนส่ง, แต่เป็นเรือพิฆาต, ยานสอดแนม, ยานควบคุมสังเกตการณ์, ยานบดทะลวง, ยานลำเลียงพล, ยานทิ้งสัมภาระ.....

       มากกว่าหนึ่งร้อยกองพัน - สิบกองพล!

       รายได้ทั้งปวงจากเครื่องเทศของ อาร์ราคิส สักห้าสิบปีได้ที่อาจจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายของการเสี่ยงภัยเยี่ยงนี้.

       มันอาจจะ.

       ข้าได้ประเมินค่าต่ำไปในอะไรที่เจ้า บารอน ได้ตั้งใจที่จะทุ่มเทให้กับการบุกโจมตีเรา, ฮาวัต คิด. ข้าได้ล้มเหลวต่อท่านดยุคของข้า.

       แล้วก็มีเรื่องของผู้ที่ทรยศนั้น.

       ข้าต้องมีชีวิตอยู่ให้นานพอเพื่อที่จะได้เห็นหล่อนถูกฆ่าด้วยมือเค้น! เขาคิด. ข้าน่าจะได้ฆ่านังแม่มด เบเน เกสเสอริต นี้ไปเสียเมื่อตอนที่ข้าได้มีโอกาส. ม่ต้องคาดเดาใดในจิตใจของเขาว่าใครคือผู้ที่ทรยศต่อพวกเขา---ท่านผู้หญิง เจสสิกา. เธอลงตัวได้พอดีกับบรรดาข้อเท็จจริงทั้งหมดที่มี.

       “คนของเจ้า เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค และกองกำลังบางส่วนของเขานั้นปลอดภัยโดยเพื่อนผู้ลักลอบค้าของเถื่อนทั้งหลายของเรา,” ฟรีเมน นั้นพูด.

       “ดี.”

       งั้น เกอร์นีย์ ก็จะออกไปจากดาวเคราะห์นรกนี้ได้. เราไม่ได้ไปทั้งหมดได้.

       ฮาวัต ชำเลืองมองกลับไปที่คนของเขาที่สุมกองกันอยู่. เขาได้เริ่มต้นกลางคืนนั้นด้วยแค่ผ่านมากับสามร้อยคนจากที่ดีที่สุดของเขา. จากพวกนั้น, กระทั่งยังคงเหลืออยู่แค่ยี่สิบและครึ่งหนึ่งของพวกนี้ได้รับบาดเจ็บ. บางคนของพวกเขานอนหลับในตอนนี้, กำลังยืนอยู่, พิงร่างกับก้อนหิน, แผ่เหยียดอยู่กับพื้นทรายใต้ชะเง่อนหินนั้น. ยานธ็อปเปอร์สุดท้ายของพวกเขา, ลำที่ถูกใช้ในแบบภาคพื้นดินเพื่อบรรทุกคนบาดเจ็บ, ได้ถูกกำจัดทิ้งไปก่อนรุ่งสาง. พวกเขาได้ตัดมันออกด้วยปืนเลเซอร์แล้วซ่อนชิ้นส่วนทั้งหลายไว้, แล้วพวกเขาก็ลุยลงมายังที่กำบังซ่อนที่ชายขอบแอ่งอ่างนี้.

       ฮาวัต มีแค่ความคิดหยาบๆในเรื่องตำแหน่งที่ตั้งของพวกเขา---ราวสักสองร้อยกิโลเมตรทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ อาร์ราคีน. เส้นทางเดินทางหลักทั้งหลายระหว่างกำแพงโล่ กับชุมชนสิฐคามทั้งหลาย, อยู่ที่ไหนสักแห่งทางทิศใต้ของพวกเขา.

       ฟรีเมนที่อยู่ตรงข้ามกับ ฮาวัตเหวี่ยงหมวกคลุมของเขาออกกลับหลังไปและหมวกสติลล์สูทที่จะเผยให้เห็นผมและเคราสีทราย. ผมนั้นถูกหวีเรียบกลับหลังจากหน้าผากที่เรียวนูนสูง. เขามีดวงตาสีฟ้าสุดที่มิอาจอ่านได้ของการบริโภคจำกัดเครื่องเทศ. เคราและหนวดเป็นรอยเปื้อนที่ด้านหนึ่งของปาก, ผมของเขาถักสานกันตรงนั้นด้วยแรงกดดันของท่อดักจับวนกลับเป็นวงจากที่อุดจมูกของเขา.

       ชายนั้นถอดที่อุดจมูกออก, ปรับแต่งมันใหม่. เขาถูกที่แผลเป็นข้างจมูกของเขา.

       “ถ้าเจ้าข้ามอ่างนี่ในคืนนี้,” ฟรีเมน พูด, “เจ้าต้องไม่ใช้โล่ห์พลังทั้งหลายนั่น. มีรอยแตกที่กำแพง...”เขาหันส้นเท้าของตน, ชี้ไปทางทิศใต้. “...นั่น, และมันเป็นทะเลทรายเปิดโล่งลงไปหาลมพัดทรายหวน. โล่ห์พลังจะดึงดูดความสนใจกับ.....” เขาลังเล. “...หนอนทราย. พวกนั้นไม่บ่อยนักจะมาที่แถวนี้, แต่โล่ห์พลังจะนำมาหนึ่งทุกครั้ง.”

       เขาพูดว่า หนอนทราย, ฮาวัต คิด. เขากำลังจะพูดบางอย่างอื่น. อะไร? และอะไรที่เขาต้องการจากเรา?

       ฮาวัต ถอนหายใจ.

       เขาไม่สามารถหวนนึกถึงสภาพก่อนหน้าที่เหยื่อนหนักเช่นนี้มาก่อนได้. มันเป็นความล้าของกล้ามเนื้อที่ยาเม็ดพลังงานทังหลายไม่สามารถจะบรรเทาให้ได้.

       พวกซาร์เดาการ์ห่าเวรนั่น!

       ด้วยความขื่นขมของการตำหนิโทษตนเอง, เขาได้เผชิญหน้ากับความคิดเรื่องผู้บ้าคลั่ง-ทหารและการทรยศของจักรวรรดิที่พวกนั้นแสดงให้เห็น. การประเมินค่าแบบ เมนทาต ของเขาเองในข้อมูลบอกกับเขาถึงโอกาสเล็กน้อยอย่างไรที่เขาได้ได้มีที่จะเสนอหลักฐานของการทรยศนี้ต่อ วุฒิสภา แห่ง ลานสราอาด ที่ความยุติธรรมอาจถูกจบมันลงได้.

       “เจ้าปรารถนาที่จะไปยังพวกลักลอบค้าของเถื่อนหรือ?” ฟรีเมนนั้นถาม.

       “มันเป็นไปได้ไหม?”

       “หนทางนั้นยาวไกล.”

       ฟรีเมน ไม่ชอบพูดคำว่า ไม่,” ไอดาโฮ เคยบอกเขาครั้งหนึ่ง.

       ฮาวัต พูด: “เจ้ายังไม่ได้บอกกับข้าว่าผู้คนของเจ้าสามารถช่วยผู้บาดเจ็บของข้าได้หรือไม่.”

       “พวกเขาบาดเจ็บ.”

       คำตอบห่าเหวเหมือนเดิมทุกครั้ง!

       “เรารู้แล้วว่าพวกนี้บาดเจ็บ!” ฮาวัต ตะคอก. “นั่นไม่ใช่เป็น---”

       “สันติ, เพื่อน,” ฟรีเมน เตือน. “ผู้บาดเจ็บของท่านพูดว่าอะไร? มีในพวกนั้นหรือไม่ผู้สามารถมองเห็นความจำเป็นแห่งน้ำของเผ่าเจ้า?”

       “เราไม่ได้พูดกันถึงเรื่องน้ำ,” ฮาวัต พูด. “เรา---”

       “ข้าสามารถเข้าใจได้ถึงความไม่เต็มใจของเจ้า, “ ฟรีเมนนั้นบอก. “พวกเขาเป็นเพื่อนของเจ้า, คนในเผ่าของเจ้า. เจ้ามีน้ำไหม?”

       “ไม่เพียงพอ.”

       ฟรีเมนนั้นชี้มาที่เสื้อเครื่องแบบของ ฮาวัต, ผิวหนังเปิดเผยอยู่ภายใต้มัน. “เจ้า ติด-อยู่ใน-สิฐคาม, ปราศจากสูทของเจ้า. เจ้าต้องทำการตัดสินน้ำ, เพื่อน.”

       “เราจ้างเจ้าให้ช่วยได้ไหม?”

       ฟรีเมนนั้นยักไหล่. “เจ้าไม่มีน้ำ.” เขาชำเลืองไปที่กลุ่มด้านหลังของ ฮาวัต. “มากอีกเท่าไหร่ที่ผู้บาดเจ็บของเจ้าที่เจ้าจะใช้ไปได้?”

       ฮาวัต รู้สึกเงียบงัน, จ้องมองชายผู้นั้น. เขาสามารถเห็นเยี่ยง เมนทาต ว่าการสื่อสารของพวกเขานั้นทับซ้อนคลื่นสัญญาณกัน. เสียง-คำพูด ไม่ได้อยู่ในภาวะเชื่อมต่อขึ้นในที่นี้ตามอาการปกติทั่วไป.

       “ข้าคือ ธูเฟอร์ ฮาวัต,” เขาพูด. “ข้าสามารถพูดในนามท่านดยุค. ข้าจะทำสัญญาพันธกิจชดใช้ได้เลยในตอนนี้สำหรับการช่วยเหลือของเจ้า, การสงวนกองกำลังของข้านานพอแค่ที่จะฆ่าคนทรยศนั้นผู้คิดว่าตัวเธอโพ้นเลยการล้างแค้น.”

       “เจ้าปรารถนาการเข้าข้างของเราในความอาฆาตแค้นหรือ?”

       “ความอาฆาตแค้นนั่นข้าจะจัดการด้วยตนเอง. ข้าปรารถนาที่จะเป็นอิสระจากความรับผิดชอบสำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บของข้าที่ข้าอาจได้รับจากมัน.”

       ฟรีเมนนั้น ใบหน้าบึ้งตึง. “เจ้าสามารถถูกรับผิดชอบสำหรับผู้บาดเจ็บได้รึ? พวกเขาคือการรับผิดชอบต่อตัวพวกเขาเอง. น้ำนั่นคือประเด็น, ธูเฟอร์ ฮาวัต. เจ้าจะให้ข้ารับการตัดสินใจนั่นไปจากเจ้าหรือ?”

       ชายนั้นเอามือจับอาวุธที่ปิดบังอยู่ใต้เสื้อคลุมของเขา.

       ฮาวัต เครียดขึงขึ้น, สงสัย: มีการซ้อนกลหักหลังที่นี่รึ?

       “เจ้ากลัวอะไร?” ฟรีเมนนั้นถามสั่ง.

       คนพวกนี้กับความเถรตรงบ้าบอของพวกมัน! ฮาวัต พูดอย่างระมัดระวัง. “มีราคาตั้งไว้ให้กับหัวของข้า.”

       “อา-ห-ห-ห.” ฟรีเมนนั้น เคลื่อนมือกลับจากอาวุธของเขา. “เจ้าคิดว่าเรามีความชั่วช้าไบแซนไทนิ์. เจ้าไม่รู้จักพวกเรา. พวกฮาร์คอนเนนส์ ไม่มีน้ำเพียงพอที่จะซื้อเด็กเล็กที่สุดในหมู่เราหรอก.”

       แต่พวกเขาได้มีสินบนของค่าโดยสารเรือกิลด์สำหรับมากกว่าสองพันยานรบ, ฮาวัต คิด. และขนาดของสินบนนั้นยังคงทำให้เขางวยงง.

       “เราทั้งคู่รบกับพวกฮาร์คอนเนนส์,” ฮาวัต พูด. “เราไม่ควรแบ่งปันปัญหาและหนทางของการพบกันในเรื่องการสู้รบหรือ?”

       “เรากำลังแบ่งปัน,” ฟรีเมนพูด. “ข้าได้เห็นเจ้าสู้รบกับพวกฮาร์คอนเนนส์. เจ้าเก่ง. ได้มีหลายครั้งที่ข้าได้ชื่นชมอาวุธของเจ้าเคียงข้างข้า.”

       “บอกว่ามาว่าที่ไหนที่อาวุธของข้าอาจช่วยเหลือเจ้า,” ฮาวัต พูด.

       “ใครรู้?” ฟรีเมนนั้นถาม. “มีกองกำลังพวกฮาร์คอนเนนส์อยู่ทุกแห่งหน. แต่เจ้ายังคงไม่ได้ตัดสินน้ำหรือเอามันให้กับผู้บาดเจ็บของเจ้า.”

       ข้าต้องระมัดระวัง, ฮาวัต บอกกับตนเอง. มีสิ่งหนึ่งที่นี่ที่ไม่เข้าใจ.

       เขาพูด: “เจ้าจะแสดงให้ข้าเห็นวิธีของเจ้าได้ไหม, วิถีของ อาร์ราคีน?

       “คิดเยี่ยง-คนแปลกถิ่น,” ฟรีเมนพูด, และมีความเยาะหยันอยู่ในน้ำเสียงนั้น. เขาชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือข้ามยอดเชิงผานั้นไป. “เราได้เฝ้าดูเจ้าข้ามทะเลทรายมาเมื่อคืนนี้.” เขาลดแขนของตนต่ำลง. “เจ้าคอยให้กองกำลังของท่านอยู่แต่บนผืนผิวหน้า-ไถลเลื่อนของนูนทรายทั้งหลาย. เลว. ไม่มีชุดสติลล์สูท, ไม่มีน้ำ. เจ้าอยู่ได้ไม่นานถึงที่สุดหรอก.”

       “วิถีทั้งหลายของ อาร์ราคิส ไม่ได้มาง่ายๆ,” ฮาวัต พูด.

       “เป็นความสัจ. แต่เราได้ได้ฆ่าพวกฮาร์คอนเนนส์.”

       “เจ้าทำอย่างไรกับคนบาดเจ็บของตนเองล่ะ?” ฮาวัต เรียกร้อง.

       “คนเราไม่รู้หรอกหรือว่าเมื่อไรที่เขามีค่าที่จะรักษาไว้?” ฟรีเมนถาม. “ผู้บาดเจ็บของเจ้ารู้ว่าเจ้าไม่มีน้ำ.” เขาเอียงหัวของเขา, มองขึ้นไปด้านข้างที่ ฮาวัต. “นี่ชัดแจ้งถึงเวลาสำหรับการตัดสินน้ำ. ทั้งผู้บาดเจ็บและผู้ไม่บาดเจ็บต้องมองไปยังอนาคตของเผ่า.”

       อนาคตของเผ่า, ฮาวัต คิด. เผ่าของ อะไทรดิส. มีความหมายสัมผัสได้ในนั้น. เขาบังคับตนเองให้ถามในสิ่งที่เขาได้หลีกเลี่ยงมาตลอด.

       “เจ้าได้ยินคำพูดถึงท่านดยุค หรือบุตรชายของเขาบ้างไหม?”

       ดวงตาสีอ่านที่ไม่สามารถอ่านออกได้นั้นจ้องขึ้นมายังดวงตาของ ฮาวัต. “คำพูด?”

       “ชะตากรรมของพวกเขา!” ฮาวัต ตะวาด.

       “ชะตากรรมนั้นเหมือนกันสำหรับทุกคน,” ฟฟรีเมนพูด. “ดยุคของเจ้า,มันได้พูดกันว่า, ได้พบชะตากรรมของเขาแล้ว. สำหรับ ไลซาน อัล-กาอิบ, บุตรชายของเขา, นั่นอยู่ในหัตถ์ของเลียต. เลียต ไม่ได้พูด.”

       ข้ารู้คำตอบนั้นได้โดยไม่ต้องถาม, ฮาวัต คิด.

       เขาชำเลืองกลับไปยังคนของเขา. พวกเขาตื่นขึ้นมากันหมดแล้วในตอนนี้. พวกนั้นได้ยิน. พวกนั้นกำลังจ้องข้ามทะเลทรายออกไป, ความตระหนักรู้อยู่ในการแสดงออกเหล่านั้นของพวกเขา: ไม่มีการกลับไปยัง คาลาดาน สำหรับพวกเขา, และในตอนนี้ อาร์ราคิส ก็ได้สูญเสียไปแล้ว.

       ฮาวัต หันกลับมาหา ฟรีเมน. “เจ้าได้ข่าวของ ดันแคน ไอดาโฮ ไหม?”

       “เขาอยู่ในมหาทำเนียบเมื่อโล่พลังปลดลง,” ฟรีเมนพูด. “นี่ที่ข้าได้ยินมา.....ไม่มีอีก.”

       เธอปลดโ,ห์พลังนั้นลงและปล่อยให้พวกฮาร์คอนเนนส์เข้ามา, เขาคิด. ข้าเป็นคนหนึ่งผู้นั่งหันหลังให้กับประตู. หล่อนทำเช่นนีได้อย่างไรในเมื่อมันหมายถึงการหันมาเล่นงานลูกชายของตนเอง? แต่.....ใครจะรู้ได้ว่าพวกแม่มดเบเน เกสเสอริตคิดอะไรรึ.....ถ้าเจ้าสามารถเรียกนั่นได้ว่าเป็น การคิด?

       ฮาวัต พยายามที่จะกล้ำกลืนในลำคอที่แห้งผาก. “เจ้าได้ยินข่าวของเด็กชายนั่นเมื่อไหร่?”

       “เรารู้เล็กน้อยถึงการเกิดอะไรขึ้นใน อาร์ราคีน,” ฟรีเมนนั้นพูด. เขายักไหล่. “ใครจะรู้ล่ะ?”

       “เจ้ามีหลายหนทางที่จะค้นหาได้?”

       “บางที.” ฟรีเมน ถูกที่แผลเป็นข้างจมูกของตน. “บอกข้าสิ, ธูเฟอร์ ฮาวัต, เจ้ามีความรูของอาวุธใหญ่ทั้งหลายที่พวกฮาร์คอนเนนส์ได้ใช้อยู่ไหม?”

       กองปืนใหญ่, ฮาวัต คิดอย่างขมขื่น. ใครจะสามารถเดาถึงได้ว่าพวกมันจะใช้กองทหารปืนใญ่ในยุคของโล่พลังเหล่านี้?

       “เจ้าหมายถึงกองปืนใหญ่ที่พวกมนใช้เพื่อกักขังผู้คนของเราไว้ในถ้ำพวกนั้น,” เขาพูด. “ข้า...รู้ในหลักโดยทฤษฎีของอาวุธยิงระเบิดพวกนั้น.”

       “คนใดที่ล่าถอยเข้าไปในถ้ำท มีทางเปิดเพียงหนึ่งเดียวก็สมควรที่จะตาย,” ฟรีเมนนั้นพูด.

       “ทำไมเจ้าถึงถามถึงเรื่องอาวุธพวกนี้ล่ะ?”

       เลียต ปรารถนามัน.”

       นั่นคืออะไรที่เขาต้องการจากเรารึ? ฮาวัต กังขาใจ. เขาพูด: “เจ้าได้มายังที่นี่เพื่อเสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับปืนใหญ่พวกนั้นหรือ?”

       เลียต ปรารถนาที่จะเห็นหนึ่งในอาวุธพวกนั้นด้วยตนเอง.”

       “งั้นเจ้าควรจะไปเอามาสักหนึ่ง,” ฮาวัต หยันเยาะ.

       “ใช่,” ฟรีเมนนั้นบอก. “เราเอามาหนึ่งแล้ว. เราเอามันซ่อนไว้ในที่ สติลจาร์ จะได้ศึกษามันเพื่อ เลียต และในที่ที่ เลียต สามารถดูมันได้ด้วยตนเองเมื่อท่านปรารถนา. แต่ข้ายังสงสัยอยู่ว่าท่านจะต้องการหรือไม่; อาวุธนั่นไม่ใช่อันที่ดีมากนัก. ออกแบบได้น่าสังเวชสำหรับ อาร์ราคีส.”

       “เจ้า.....เอามันมาได้หนึ่งรึ?” ฮาวัต ถาม.

       “มันเป็นการต่อสู้ที่ดี,” ฟรีเมนนั้นพูด. “เราเสียไปแค่สองคนและทำน้ำหกจากมากกว่าหนึ่งร้อยของพวกมัน.”

       มีพวกซาร์เดาการ์อยู่ที่ทุกปืนนั่น, ฮาวัต คิด. พวกทะเลทรายบ้าคนนี้พูดอย่างไม่สนใจถึงการสูญเสียไปแค่สองคนกับพวกซาร์เดาการ์!

       “เราจะไม่เสียสองรายนั่นเลยนอกเสียจากว่าสำหรับพวกคนอื่นที่สู้รบอยู่เคียงข้างพวกฮาร์คอนเนนส์,” ฟรีเมนนั้นบอก. “บางคนของพวกนั้นเป็นนักรบที่ดี.”

       หนึ่งในคนของ ฮาวัต เดินโขยกเขยกมาข้างหน้า, ก้มมองฟรีเมนที่กำลังนั่งยองอยู่. “เจ้ากำลังพูดถึง ซาร์เดาการ์รึ?”

       “เขากำลังพูดถึงพวกซาร์เดาการ์,” ฮาวัต บอก.

       “ซาร์เดาการ์!” ฟรีเมนพูด, และมีปรากฏเป็นความยินดีในน้ำเสียงของเขา. “อา-ห-ห์, นั่นเองสินะที่พวกมันเป็น! นี่เป็นค่ำคืนที่ดีแท้จริงๆ. ซาเดาการ์. กองพลไหนรึ? เจ้ารู้ไหม?”

       “เรา.....ไม่รู้,” ฮาวัต พูด.

       “ซาร์เดาการ์,” ฟรีเมนรำพึง. “กระนั้นพวกมันก็สวมเครื่องแต่งกายของฮาร์คอนเนนส์. นั่นไปไม่แปลกหรอกรึ?”

       จักรพรรดิ ไม่ปรารถนาให้มันถูกรู้กันว่าเขากำลังสู้รบกับ หมาราชสำนัก,” ฮาวัต บอก.

       “แต่เจ้ารู้ว่าพวกมันคือซารเดาการ์.”

       “ข้าเป็นใครล่ะ?” ฮาวัต ถามอย่างขื่นขม.

       “เจ้าคือ ธูเฟอร์ ฮาวัต,” ชายนั้นพูดถึง สาระ-แห่ง-ความเป็นจริง. “เอาละ, เราจะได้เรียนรู้มันทันเวลา. เราได้ส่งสามรายของพวกมันที่จับกุมได้ไปถูกสอบปากคำโดยคนของ เลียต.”

       ผู้ช่วยของ ฮาวัต พูดอย่างช้าๆ, ไม่เชื่อในทุกคำพูดนั้น: “เจ้า....จับกุม ซาเดาการ์ ได้รึ?”

       “แค่สามรายของพวกมัน,” ฟรีเมนพูด. “พวกมันต่อสู้ได้ดี.”

       ถ้าแค่เรามีเวลาที่จะเชื่อมต่อกับฟรีเมนพวกนี้, ฮาวัต คิด. มันเป็นความคร่ำครวญเปรี้ยวฝาดอยู่ในจิตใจของเขา. ถ้าเพียงแค่เราสามารถได้ฝึกฝนพวกเขาและติดอาวุธพวกเขา. มหามารดาเถิด, จะเป็นกองกำลังเช่นไรกันล่ะนี่ที่เราได้มี!

       “บางทีเจ้าล่าช้าไปเพราะว่าเป็นห่วงใน ไลสาน อัล-กาอิบ,” ฟรีเมนพูด. “ถ้าเขาคือ ไลสาน อัล-กาอิบ ที่แท้จริง, อันตรายใดก็ไม่สามารถแตะต้องเขาได้. อย่าได้ใช้เวลาไปคิดถึงสาระสำคัญนั้นที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์.”

       “ข้ารับใช้ต่อ.....ไลสาน อัน-กาอิบ,” ฮาวัต พูด. “สวัสดิภาพของเขาคือภาระของข้า. ข้าได้ปฏิญาณตนเองให้กับสิ่งนี้แล้ว.”

       “เจ้าปฏิญาณให้กับน้ำของเขาหรือ?”

       ฮาวัต เหลือบไปยังผู้ช่วยของเขา, ผู้ที่ยังคงจ้องมองฟรีเมนนั้นอยู่, หันความสนใจของเขากลับมายังร่างที่นั่งยองอยู่. “ให้กับน้ำของเขา, ใช่.”

       “เจ้าปรารถนาจะหลับไปยัง อาร์ราคีน, เพื่อจัดวางแห่งหนน้ำของเขารึ?”

       “เพื่อ.....ใช่, เพื่อจัดวางแห่งหนน้ำของเขา.”

       “ทำไมเจ้าไม่พูดเสียแต่แรกว่ามันเป็นเหตุเรื่องน้ำ?” ฟรีเมนนั้นยืนขึ้น, จัดตำแหน่งที่อุดจมูกของเขาให้แน่นเข้าที่.

       ฮาวัต ทำท่าทางด้วยศีรษะของเขายังผู้ช่วยให้กลับไปหาคนอื่นๆ ด้วยการยักไหล่อย่างเหนื่อยอ่อน, ชายนั้นยอมรับคำสั่ง. ฮาวัต ได้ยินการสนทนาในเสียงต่ำเบาดังขึ้นมาในหมู่ทหารนั้น.

       ฟรีเมนพูด: “มีหนทางอยู่เสมอกับน้ำ.”

       ด้านหลังของ ฮาวัต, ทหารคนหนึ่งสบถ. ผู้ช่วยของ ฮาวัต ร้องเรียก: “ท่านธูเฟอร์! อาร์กี้ เพิ่งตาย.”

       ฟรีเมนเอากำปั้นหนึ่งไปยังหูของเขา. “พันธการแห่งน้ำ! เป็นลางบอก!” เขาจ้องมอง ฮาวัต. “เรามีสถานที่แห่งหนึ่งใกล้ๆนี้ สำหรับการรับน้ำนั้น. ให้ข้าเรียกคนของข้ามาไหม?”

       ผู้ช่วยนั้นกลับมาข้าง ฮาวัต, พูด: “ท่านธูเฟอร์, ทหารสองรายทิ้งภรรยาไว้ใน อาร์ราคีน. พวกเขา.....เอ้อ, ท่านทราบดีว่าเป็นอย่างไรในเวลาเช่นนี้.”

       ฟรีเมนนั้นยังคงเอากำปั้นอยู่ที่หูของเขา. “มันเป็นพันธการแห่งน้ำไหม, ธูเฟอร์ ฮาวัต?” เขาถามเรียกร้อง.

       จิตใจของ ฮาวัต กำลังวิ่งแข่ง. เขาสัมผัสได้ในตอนนี้ถึงทิศทางของคำพูดของฟรีเมน, แต่หวาดกลัวต่อปฏิกิริยาของทหารที่เหนื่อยอ่อนใต้ชะง่อนหินนั้นเมื่อพวกนั้นได้เข้าใจถึงมัน.

       “พันธการแห่งน้ำ,” ฮาวัต พูด.

       “ขอให้เผ่าของเราได้ร่วมด้วยเถิด,” ฟรีเมนนั้นพูด, และเขาลดกำปั้นของตนลง.

       ราวกับว่านั่นเป็นสัญญาณ, สี่คนไถลและทิ้งตัวลงมาจากก้อนหินทั้งหลายที่อยู่เหนือพวกเขา. พวกเขาพุ่งกลับไปยังใต้ชะง่อนหิน, พลิกร่างคนตายลงในเสื้อคลุมปล่อยหลวม, ยกเขาขึ้นและเริ่มวิ่งพร้อมกับร่างนั้นไปตามกำแพงหินผายังด้านขวามือ. ละอองฝุ่นพ่นลอยขึ้นรอบเท้าของพวกเขาที่วิ่งอยู่นั้น.

       มันจบสิ้นลงก่อนที่ ทหารของ ฮาวัต ที่กำลังเหนื่อยล้าจะทันรวบรวมสติปัญญาได้. กลุ่มนั้นพร้อมทั้งร่างนั้นที่กำลังห้อยอยู่เหมือนถุงแป้งในเสื้อคลุมที่พันเอาไว้ได้หายไปจากหัวมุมของเชิงผาหิน.

       หนึ่งในทหารของ ฮาวัต ตะโกน: “พวกมันกำลังเอาตัว อาร์กี้ ไปที่ไหน? เขาต---”

       “พวกนั้นกำลังเอาเขาไป....ฝังเขา,” ฮาวัต พูด.

       “ฟรีเมนไม่ฝังคนตายของพวกมัน!” ชายนั้นตะโกน. “ท่านอย่าได้มาทำลูกเล่นกับเรา, ธูเฟอร์. เรารู้ดีว่าพวกมันทำอะไร. อาร์กี้ เป็นหนึ่งใน---”

       “สวรรค์เป็นที่แน่นอนสำหรับผู้ที่ได้ตายในการรับใช้ต่อ ไลสาน อัล-กาอิบ,” ฟรีเมนพูด. “ถ้าเป็น ไลสาน อัล กา-อิบ ที่เจ้ารับใช้, ดังที่เจ้าได้พูดมัน, ทำไมถึงครวญคร่ำอาลัยขึ้นมาหรือ? ความทรงจำของผู้ที่ตายในรูปแบบนี้จะมีชีวิตอยู่ตราบนานเท่าที่ความทรงจำของคนจะยืนยง.”

       แต่คนของ ฮาวัต ก้าวเข้ามา, ท่าทางโกรธเกรี้ยวอยู่บนใบหน้า. หนึ่งนั้นกุมปืนเลซ. เขาเริ่มที่จะชักมันออกมา.

       “หยุดอยู่ตรงที่เจ้ายืนนั่น!” ฮาวัต ตวาด. เขาต่อสู้กดข่มความป่วยไข้เหนื่อยล้าที่เกาะกุมกล้ามเนื้ออยู่นั้นลงไป. “คนเหลานี้เคารพผู้ตายของเรา. ประเพณีทั้งหลายแตกต่างออกไป, แต่ความหมายนั้นเหมือนกัน.”

       “พวกมันกำลังจะละลาย อาร์กี้ เพื่อเอาน้ำของเขา,” ชายกุมปืนเลซนั้นขู่คำราม.

       “นั่นเป็นว่าคนของเจ้าปรารถนาจะเข้าร่วมในพิธีกรรมหรือ?” ฟรีเมนถาม.

       เขากระทั่งมองไม่เห็นปัญหานี้, ฮาวัต คิด. ความตรงทื่อซื่อของฟรีเมนนี้เป็นเยี่ยงการต่อสู้.

       “พวกเขาเป็นกังวลในเรื่องการให้ความเคารพนับถือต่อสหาย,” ฮาวัต พูด.

       “เราจะปฏิบัติต่อสหายของเจ้าด้วยความเคารพนับถือเดียวกันกับที่เราปฏิบัติต่อคนของเราเอง,” ฟรีเมนพูด. “นี่คือพันธการน้ำ. เรารู้ถึงพิธีกรรมทั้งหลาย. เนื้อของคนนั้นคือของตัวเขาเอง. น้ำทั้งหลายเป็นของเผ่า.”

       ฮาวัต พูดอย่างเร็วขณะที่ทหารที่ถือปืนเดินหน้าเข้ามาอีกหนึ่งก้าว. “เจ้าตอนนี้จะช่วยผู้บาดเจ็บของเราเลยไหม?”

       “คนใดต้องไม่ถามในพันธการ,” ฟรีเมนพูด. “เราจะทำเพื่อเจ้าในอะไรที่เผ่าทำเพื่อของตน. อย่างแรก, เราต้องเอาพวกเจ้าทั้งหมดสวมชุดสูทแล้วตรวจดูถึงความจำเป็นทั้งหลาย.”

       ทหารกับปืนเลซนั้นลังเล.

       ผู้ช่วยของ ฮาวัต พูด: “เรากำลังซื้อความช่วยเหลือด้วยน้ำของ อาร์กี้ รึ?”

       “ไม่ใช่การซื้อ,” ฮาวัต พูด. “เราได้เข้าร่วมกับผู้คนเหล่านี้.”

       “ประเพณีต่างกันออกไป,” หนึ่งในทหารของพวกเขาพึมพำ.

       ฮาวัต เริ่มผ่อนคลายลง.

       “แล้วพวกเขาจะช่วยเราได้คืน อาร์ราคีน หรือ?”

       “เราจะฆ่าพวกฮาร์คอนเนนส์,” ฟรีเมนนั้นบอก. ขายิ้ม. “และซาร์เดาการ์.” เขาก้าวถอยหลังไป, ป้องมือทั้งคู่เข้าที่ข้างหูของเขาและเอียงศีรษะของเขาไปข้างหลัง, ฟัง. ทันทีนั้น, เขาลดมือของตนลง, พูด: “มียานอากาศลำหนึ่งกำลังมา. ปิดบังตัวของเจ้าที่ใต้ก้อนหินแล้วอย่าเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น.”

       กับท่าทางส่งสัญญาณของ ฮาวัต, คนของเขายอมรับเชื่อฟัง.

       ฟรีเมน ลากแขนของ ฮาวัต, กดเขากลับไปกับคนอื่นๆ. “เราจะต่อสู้เมื่อถึงเวลาต่อสู้.” ชายนั้นพูด. เขาเอื้อมมือเข้าไปในเสื้อคลุม, ดึงเอากรงเล็กๆใบหนึ่งออกมา, ดึงสัตว์ตัวหนึ่งขึ้นมาจากมัน.

       ฮาวัต จำค้างคาวตัวเล็กจิ๋วนั่นได้. ค้างคาวนั้นหันหัวของมันมาและ ฮาวัต มองเห็นดวงตาสีฟ้า-ใน-สีฟ้าของมัน.

       ฟรีเมนลูบไล้ค้างคาวนั้น, ปลอบโยนมัน, ร้องเพลงเบาให้มัน. เขาก้มตัวลงเหนือหัวของสัตว์นั้น, ยอมหยดน้ำลายให้ร่วงลงจากลิ้นของเขาเข้าไปในปากที่แหงนขึ้นมาของค้างคาว. ค้างคาวนั้นเหยียดกางปีกของมันออก, แต่ยังคงอยู่บนมืออ้ากางอยู่ของฟรีเมน. ชายนั้นดึงเอาหลอดท่อจิ๋วออกมา, ถือมันข้างหัวของค้างคาวและพูดลงไปในหลอดท่อนั้น; แล้ว, ยกสัตว์ตัวนั้นสูงขึ้น, เขาเหวี่ยงมันขึ้นไป.

       ค้างคาวสะบัดปีกโฉบออกไปยังข้างเชิงผาและหายลับไปจากสายตา.

       ฟรีเมนพับกรงนั้น, ยัดมันกลับเข้าไปใต้เสื้อคลุม. อีกครั้ง, เขาก้มศีรษะของตนลง, กำลังฟัง: “พวกมันบินวนอยู่บริเวณพื้นที่สูง,” เขาพูด. “ผู้ใดก็สงสัยว่าพวกมันเสาะหาอะไรอยู่ที่ข้างบนนั่น.”

       “มันเป็นที่รู้กันว่าเราล่าถอยมายังทิศทางนี้,” ฮาวัต พูด.

       “ผู้ใดไม่ควรจะสมมติเลยว่าผู้ใดนั้นคือเป้าหมายเดียวของการล่า,” ฟรีเมนนั้นพูด. “คอยดูอีกด้านหนึ่งของแอ่งอ่างนี้. เจ้าจะเห็นสิ่งหนึ่ง.”

       เวลาผ่านไป.

       บางคนของ ฮาวัต กระสับกระส่าย, พูดกระซิบกัน.

       “จงอยู่เงียบๆดุจสัตว์ทั้งหลายที่ตื่นกลัว,” ฟรีเมนขู่ฟ่อด.

       ฮาวัต มองเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างใกล้เชิงผาฝั่งตรงข้าม---การพร่ามัวตรงนี้นิดตรงโน้นหน่อยของสีน้ำตาลเกรียมบนสีน้ำตาล.

       “เพื่อนตัวน้อยของข้าเอาสาส์นไปกับตัวเองด้วย,” ฟรีเมนพูด. “เขาเป็นผู้นำสาส์นที่ดี---ทั้งกลางวันหรือกลางคืน. ข้าจะไม่เป็นสุขเลยที่จะสูญเสียเขานั้นไป.”

       การเคลื่อนไหวข้ามแอ่งอ่างนี้จางหายไปแล้ว. บนการแผ่นขยายออกไปสี่ถึงห้ากิโลเมตรของทรายที่ไม่มีอะไรคงเหลืออยู่นอกจากความร้อนระอุที่กดดันเติบโตขึ้นของกลางวัน---เหล่าเสาพร่ามัวของอากาศที่ลอยตัวขึ้น.

       “อยู่ให้เงียบมากที่สุดในตอนนี้,” ฟรีเมนกระซิบบอก.

       แถวร่างเคลื่อนไหวเชื่องช้าโผล่ออกมาจากรอยแยกของเชิงผาด้านตรงข้าม, มุ่งตรงข้ามแอ่งอ่างนี้มา. กับ ฮาวัต, พวกเขาปรากฏที่จะเป็นฟรีเมน, แต่ดูชัดแจ้งว่าเป็นกลุ่มพิกลผิดแผกไป. เขานับได้หกคนที่กำลังลุยหนักฝ่าเหนือนูนทรายมา.

       เสียง “ธว้อก-ธว้อก”ของปีกยานออมไนธ็อปเปอร์ฟังดูอยู่สูงไปทางดานขวาด้านหลังกลุ่มของ ฮาวัต. ยานบินนั้นมาอยู่เหนือกำแพงเชิงผาเหนือพวกเขา---ยานธ็อปเปอร์ของอะไทรดิสพร้อมด้วยสีสันชุดรบของพวกฮาร์คอนเนนกระจายเปรอะอยู่บนมัน. ยานธ็อปเปอร์โฉบตรงไปยังหมู่คนที่กำลังข้ามแอ่อ่างอยู่นั้น.

       กลุ่มคนนั้นหยุดลงบนยอดนูนทราย, โบกมือ.

       ยานธ็อปเปอร์บินวนเมื่ออยู่เหนือพวกนั้นเป็นวงกลมแน่น, กลับมาลงจอดฝุ่นฟุ้งคลุมตรงหน้าของพวกฟรีเมน. ห้าทหารรวมฝูงออกมาจากยานธ็อปเปอร์และ ฮาวัต มองเห็นแสงแวววาวพร่าไล่ละอองฝุ่นของโล่ห์พลังนั้นและ, ในการเคลื่อนไหวของพวกมัน, การก้าวย่างวางอำนาจของ ซาร์เดาการ์.

       “อาไอหห์! พวกมันใช้โล่พลังงี่เง่าพวกนั้น,” ฟรีเมนข้าง ฮาวัต ส่งเสียงฟ่อไม่พอใจ. เขาชำเลืองกลับไปที่กำแพงเปิดด้านทิศใต้ของแอ่งอ่าง.

       “พวกมันเป็น ซาณ์เดาการ์,” ฮาวัต กระซิบ.

       “ดี.”

       เหล่าซาร์เดาการ์เข้าไปหากลุ่มที่คอยอยู่ของฟรีเมนในลักษณะโอบปิดครึ่งวงกลม. ดวงอาทิตย์สะท้อนแวบวับบนใบดาบที่กุมเตรียมพร้อม. พวกฟรีเมนยืนอยู่ในลักษณะกลุ่มอัดแน่น, ปรากฏอาการเมินเฉย.

       ทันทีนั้น, ทรายที่รอบล้อมทั้งสองกลุ่มนั้นก็โผล่ผุดฟรีเมนออกมา. พวกเขาอยู่ที่ยานออมนิ

-ธ็อปเปอร์, แล้วก็ในนั้น. ที่ซึ่งทั้งสองกลุ่มได้เจอกันนั้นอยู่ที่ยอดของนูนทราย, เมฆฝุ่นบดบังส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไวที่หฤโหดนั้น.

       ในไม่ช้า, ฝุ่นรวมตกลงมา. มีเพียงฟรีเมนเท่านั้นที่กำลังยืนอยู่.

       “พวกมันทิ้งไว้แค่สามคนในยานธ็อปเปอร์ของพวกมัน,” ฟรีเมนข้างตัว ฮาวัต พูด. “นั่นเป็นโชคดี. ข้าไม่เชื่อว่าเราต้องพังทำลายยานนั้นในการยึดมัน.”

       ด้านหลัง ฮาวัต, หนึ่งในคนของเขากระซิบ: “พวกนั้นเป็นซาร์เดาการ์!

       “เจ้าสังเกตเห็นไหมว่าเขาต่อสู้ได้ดีอย่างไร?” ฟรีเมนนั้นถาม.

       ฮาวัต สูดหายใจลึก. เขาได้กลิ่นฝุ่นไหม้อยู่รอบตัวเขา, รู้สึกถึงความร้อนระอุ, ความแห้ง. ในน้ำเสียงเพื่อเข้ากันกับความแห้งผากนั้น, เขาพูด: “ใช่, พวกเขาต่อสู้ได้ดี, จริงๆ.”

       ยานธ็อปเปอร์ที่ถูกยึดได้ก็บินขึ้นด้วยการเอียงถลาแกว่งกระพือของปีกทั้งหลาย, ทำมุมขึ้นไปยังทางทิศใต้ในอาการชัน, พับปีกไต่ขึ้นไป.

       งั้นพวกฟรีเมนเหบ่านี้สามารถควบคุมยานธ็อปเปอร์ได้, ด้วยเช่นกัน, ฮาวัต คิด.

       บนนูนทรายไกลไปนั้น, ฟรีเมนคนหฯงโบกผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีเขียว: ครั้งหนึ่ง...สองครั้ง.

       “มาอีกมาก!” ฟรีเมนข้างตัว ฮาวัต ตะโกน. “เตรียมให้พร้อม. ข้าหวังว่าจะได้เราออกไปกันโดยปราศจากความยุ่งยากมากกว่านี้.”

       ความยุ่งยาก! ฮาวัต คิด.

       เขาเห็นยานธ็อปเปอร์อีกสองลำโฉบจากระดับสูงในทิศตะวันตกลงมาหาพื้นที่ของทรายอย่างทันทีไม่เห็นฟรีเมนได้แล้ว. มีแค่แปดรอยด่างเปรอะของสีฟ้า---ร่างของเหล่าซาร์เดาการ์ในเครื่องแบบฮาร์คอนเนนส์---ยังคงอยู่ที่ฉากของเหตุรุนแรงนั้น.

       ยานธ็อปเปอร์อีกลำร่อนไถลเข้ามาเหนือกำแพงเชิงพาที่อยู่เหนือ ฮาวัต. เขาดึงลมหายใจสั้นเร็วทันทีที่เห็นมัน---ยานลำเลียงพลขนาดใหญ่. มันบิยอย่างเชื่องช้า, แผ่กางปีกด้วยอาการบรรทุกหนัก---เหมือนนกยักษ์กลับมาสู่รัง.

       ในระยะห่างออกไป, ลำนิ้วสีม่วงของลำแสงของปืนเลซวาบขึ้นจากหนึ่งในยานธ็อปเปอร์ที่กำลังดำดิ่งลงมา. มันเฆี่ยนเป็นแนวข้ามผืนทราย, พวยพุ่งขึ้นเป็นทางหางเหยียดยาวของฝุ่นทราย.

       ยานลำเลียงพลปักหลักไปหารอยด่างสีฟ้าของร่างเหล่านั้น. ปีกทั้งหลายของมันคลานอย่างเชื่องช้าออกไปสู่เต็มเอื้อม, เริ่มอาการห่อตัวสำหรับการหยุดยานลงอย่างเร็ว.

       ความสนใจของ ฮาวัต จับจ้องอยู่ที่แสงวาบของดวงอาทิตย์บนโลหะทางด้านทิศใต้, ยานธ็อปเปอร์ลำหนึ่งร่วงลงมาด้วยอาการพุ่งดำดิ่งเต็มกำลัง, ปีกพับหุบแบนราบอยู่ข้างลำตัวของยาน, ไอพ่นของมันเป็นดุจพลุไฟตัดกับสีเทาเงินมืดของท้องฟ้า. มันพุ่งไปข้างหน้าเหมือลูกธนูเข้าใส่ยานลำเลียงพลที่ไม่มีโล่ห์พลังเพราะว่ากิจกรรมการยิงปืนเลซรอบตัวมันนั้น. ตรงเข้าไปสู่ยานลำเลียงพลนั้นที่ยานธ็อปเปอร์พุ่งใส่.

       เปลวเพลิงคำรามสะเทือนไปทั่วแอ่งอ่าง. เหล่าก้อนหินสั่นเซทรุดจากกำแพงเชิงผารอบๆทั้งหมด. ไอน้ำร้อนหนึ่งของสีแดง-ส้มจาการยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าของเม็ดทรายที่ซึ่งยานลำเลีงพลและสหายธ็อปเปอร์ของมันได้เคยอยู่---ทุกอย่างตรงนั้นติดไฟเปลวลุกโชน.

       มันเป็นพวกฟรีเมนผู้ที่ยึดยานธ็อปเปอร์นั้น, ฮาวัต คิด. เขาตั้งใจที่จะเสียสละตนเองเพื่อจัดการยานลำเลียงพลนั้น, มหามารดาเถิด! พวกฟรีเมนนี้คืออะไรกันหรือ?

       “การแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผล,” ฟรีเมนที่ข้างตัว ฮาวัต พูด. “น่าจะมีราวสามร้อยทหารในยานลำเลียงนั่น. ตอนนี, เราต้องจัดการน้ำของพวกมันและทำแผนที่จะยึดยานบินลำอื่นอีก.” เขาเริ่มที่จะก้าวออกไปจากใต้เงาชะง่อนหินของพวกเขาที่ปกปิดให้อยู่.

       ฝนห่าหนึ่งของเครื่องแบบสีฟ้าโปรยลงมาเหนือกำแพงเชิงผาตรงหน้าของพวกเขา, ร่วงลงมาในอาการช้าแขวนลอย-ต่ำ. ในวาบทันทีนั้น, ฮาวัต มีเวลาที่จะเห็นว่าพวกมันคือซาร์เดาการ์, ใบหน้ากร้าวเยือกเย็นอยู่ในอาการระห่ำรบ, ว่าพวกมันไม่มีโล่พลังและแต่ละคนถือมีดในมือหนึ่ง, ปืนยิงสลบในอีกมือ.

       มีดหนึ่งขว้างมาปักสหายฟรีเมนของ ฮาวัต เข้าที่คอหอย, เหวี่ยงกระแทกเขากลับไปด้านหลัง, ร่างบิดหมุนหน้าคว่ำลงไป. ฮาวัต มีเวลาเพียงแค่ที่จะดึงมีดของเขาเองขึ้นมาก่อนที่ความดำมืดของปืนสลบวิ่งโค้งมาปะทะเขา.

      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น