หน้าเว็บ

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2564

พัชระบูรณ์ สมนึก - พุทธศาสนา กับ อฑวิตะ เวฑานตะ - อะไรคือความแตกต่าง? (2)

 2) จากบทเทศน์ธรรม “พุทธศาสนา กับ อฑวิตะ เวฑานตะ - อะไรคือความแตกต่าง?” ของท่าน สวามี ตถัตมานันฑะ (Swami Tadatmananda)

From “Buddhism vs Advaita Vedanta—What's the Difference?”

         https://youtu.be/Wq2eukYfRoA

“...สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาล มีนับไม่ถ้วน รวมแล้วมี รูป กับ นาม สองอย่างเท่านั้น นามเดิม ก็คือความว่างของจักรวาล เข้าคู่กัน เป็นเหตุเกิด ตัวอวิชชา--เกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูป ที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกัน เป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา---ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเกิดกาลเวลาขึ้น คือ รูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ ต้องมีนาม--ความว่าง--คั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้”

เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุ--สสารมีชีวิต และไม่มีชีวิต---จึงต้องเปลี่ยนแปลง เป็นไตรลักษณ์ เกิด ดับ สืบต่อทุกขณะจิต ไม่มีวันหยุดนิ่ง ให้คงทนเป็นปัจจุบันเช่นนั้นได้...”

-          หลงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม.

 

สวามี ตถัตมานันฑะ (Swami Tadatmananda) 13 ตุลาคม 2002

         ฉันได้รับคำร้องขอทั้งหลายมากมาย(many requests)ให้อภิปราย(to discuss)ถึงความแตกต่างระหว่างศาสนาพุทธ(Buddhism)และ อฑวิตะ เวฑานตะ(Advaita Vedanta).

         จนถึงทุกวันนี้, ฉันได้ไม่เต็มใจที่จะเริ่มต้นในหัวข้อ(I’ve been reluctant to take up this topic)นี้มาตลอด, เพราะว่าฉันไม่ต้องการจะทำความเห็นเชิงลบทั้งหลายใดๆ(to make any negative comments)เกี่ยวกับคำสอนของผู้อื่นทั้งหลายค้นพบว่าเป็นประโยชน์ช่วยเหลือผู้คน(about teachings that others find helpful).

         ฉันชอบที่จะสนับสนุนพวกเขา(encourage them)ที่จะโอบกอดอย่างเต็มที่(fully embrace)วิถีทางจิตวิญญาณที่น่าเชื่อถือ(any authentic spiritual path)ที่พวกเขารู้สึกสนใจ(feel drawn)ที่จะเจริญรอยตาม(to follow).

         พุทธศาสนา(Buddhism)และ อฑวิตะ เวฑานตะ(Advaita Vendanta) เป็นศาสนจารีตที่มีพลังอย่างเต็มเปี่ยม(a powerful, ancient traditions), เต็มไปด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ทั้งหลายที่สำคัญ(full of important insights)และการแนะนำชี้ทาง(guidance).

         แต่ฉันได้หมกหมุ่นจดจ่ออยู่กับ อฑวิตะ เวฑานตะ(I’ve been immersed in Advaita Vedanta)มาสี่ทศวรรษ(four decades)ถึงในตอนนี้, และนั่นได้ปรับแต่งรูปร่างอย่างแน่ชัดให้กับทัศนคติส่วนตนของฉัน(shaped my personal perspective).

         ด้วยผลลัพธ์นั้น(as a result), ความเห็นทั้งหลายของฉัน(my comments)บนหัวข้อนี้(on this topic)บางทีจะไม่เป็นประโยชน์ช่วยเหลือแต่อย่างใดเลย(won’t be helpful at all)สำหรับผู้ที่ได้ดึงดูดต่อ(those drawn to)มรรควิถีของศาสนาพุทธ(the path of Buddhism).

กระนั้น, สำหรับผู้สนใจ(drawn)ใน อฑวิตะ เวฑันตะ(Advaita Vedanta), หัวข้อนี้(this topic)สามารถเป็นสิ่งช่วยเหลือเกื้อกูลอย่างยิ่ง(extremely helpful).

เราสามารถเรียนรู้ได้อย่างมากผ่านการเปรียบเทียบและความผิดแผกกัน(comparison and contrast).

ตัวอย่างเช่น, ฉันเข้าใจในวัฒนธรรมอเมริกัน(American culture)อย่างชัดเจนและแจ่มแจ้ง(clearly and distinctly)ก็แต่เพียงภายหลังจากอาศัยอยู่ในประเทศอินเดียระยะหนึ่ง(for a while), เพราะว่าฉันไม่รู้จักวัฒนธรรมอื่นใดในตอนนั้น.

ในหนทางเดียวกัน(in the same way), การสอนทั้งหลายของ อฑวิตะ เวฑานตะ สามารถเป็นที่เข้าใจได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น(be understood much more clearly)และแจ่มแจ้ง(and distinctly)โดยการเปรียบเทียบคำสอนเหล่านั้นกับพุทธศาสนา(comparing them with Buddhism).

อะไรที่พระพุทธเจ้า(Buddha)สอนนั้นคล้ายกันในหลายหนทาง(many ways)กับคำสอนทั้งหลายของบรรดาฤษี*-ผู้รู้ในพระเวท(the teachings of rishis), ปราชญ์สมัยโบราณทั้งหลาย(ancient sages)ผู้เรียบเรียงคัมภีร์ฮินดูยุคเริ่มแรกสุดทั้งหลาย(the earliest Hindu scriptures).

นั่นแทบไม่น่าแปลกใจเลยว่า, ในเมื่อตัวพระพุทธเจ้าเอง(Buddha himself)ถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวฮินดู(was raised in a Hindu family)ได้เรียนจากอาจารย์ฮินดูทั้งหลาย(Hindu teachers).

แต่, ขณะเรื่องราวดำเนินไป(as the story goes), หลังจากหลายปีของการฝึกฝนปฏิบัติทางจิตวิญญาณอย่างเอาจริงจัง(intense spiritual practice), ท่านก็ล้มเหลวที่จะได้รับการรู้แจ้ง(failed to gain enlightenment).

แล้ววันหนึ่ง, ท่านนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้หนึ่ง(at the foot of a tree), ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะทำสมาธิเข้าฌาน(resolve to meditate)ที่นั้นจนกว่าท่านจะบรรลุการรู้แจ้ง(until he became enlightened).

ต่อมาภายหลัง, พระพุทธเจ้า(Buddha)ได้สอนสาวกทั้งหลายของท่าน(his disciples)ถึงการเข้าใจอย่างถ่องแท้ทั้งหลายอันลึกซึ้งที่ท่านได้ในการทำสมาธิเข้าฌาน(the profound insights he gained in meditation), และบรรดาคำสอนเหล่านั้นได้วิวัฒนะไปสู่ศาสนจารีต(evolved into the tradition)ที่เราในตอนนี้เรียกว่า พุทธศาสนา(Buddhism).

ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาฮินดูกับศาสนาพุทธ(Hinduism and Buddhism)นั้นค่อนข้างจะซับซ้อนอยู่เล็กน้อย(is a bit complicated).

หลายฮินดูชนพิจารณาว่าพระพุทธเจ้า(many Hindus look upon Buddha)เป็นผู้ปฏิรูปศาสนา(a religious reformer), นักคิดอิสระ(a free-thinker)ผู้ปฏิเสธลัทธิพิธีกรรมที่เกินเลยไปของลัทธิฮินดูในกาลสมัยนั้น(who rejected Hinduism’s excessive ritualism of that time), และประคองตั้งตัวให้มันขึ้นมาด้วยคำสอนใหม่ทั้งหลาย(reinvigorated it with new teachings).

บางคัมภีร์ฮินดู(some Hindu scripture)กระทั่งยอมรับว่า พระพุทธเจ้า(Buddha)เป็นอวตารหนึ่ง(as an avatara), เป็นร่างจุติใหม่ที่เก้าขององค์วิษณุ(the ninth incarnation of Lord Vishnu).

ในอีกด้านหนึ่ง(on the other hand), นักวิชาการทั้งหลาย(scholars)ปฏิเสธทัศนะที่ว่า พุทธเจ้า เป็นนักปฏิรูปฮินดูชน(a Hindu reformer).

ทำไม?

นักปฏิรูปคริสตชนผู้ยิ่งใหญ่(the great Christian reformer), มาร์ติน ลูเธอร์(Martin Luther), ยอมรับอย่างเต็มที่ในต้นตำรับของคัมภีร์ไบเบิ้ล(fully accepted the authority of the Bible), แต่พระพุทธเจ้า(Buddha)ปฏิเสธอย่างสมบูรณ์สิ้น(completely rejected)ต่อต้นตำรับของคัมภีร์ฮินดูทั้งหมด(the authority of all Hindu scriptures).

ด้วยเหตุผลนี้, พระพุทธเจ้า(Buddha)จึงถูกพิจารณาโดยทั่วไป(is generally considered)ว่าเป็นผู้สถาปนาของศาสนาใหม่(to be the founder of a new religion), มีรากในศาสนาฮินดู(rooted in Hinduism), แต่แยกอย่างชัดเจนจากมัน(distinct from it).

ก่อนที่จะไปต่อไกลอีกใดๆ(before going any further), สำหรับทั้งสองศาสนานี้, เราต้องจำแนกแยกแยะ(distinguish)ความเชื่อทั้งหลาย(the belief)ที่พวกเขาบอกสอนกัน(they impart)จากการสอนทางจิตวิญญาณทั้งหลาย(the spiritual teachings)ที่พวกเขายังมีอยู่ด้วยเช่นกัน(they also contain).

เหมือนกันกับศาสนาทั้งหมด(like all religions), ศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธบอกสอน(impart)หลากหลายในเรื่องความเชื่อทั้งหลาย(various beliefs), ความเชื่อทั้งหลายเกี่ยวกับการเกิดใหม่(beliefs about reincarnation), เกี่ยวกับสวรรค์และนรก(about heaven and hell), เกี่ยวกับเอกภพที่ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างไร(about how the universe was created), และอื่นๆ.

แต่ทั้งสองศาสนาก็ยังประกอบด้วยเช่นกันในคำสอนทั้งหลายด้านจิตวิญญาณอันลึกซึ้ง(also contain profound spiritual teachings), คำสอนทั้งหลาย(teachings)ที่แสดงบอกถึง(convey), ไม่ว่าจะความเชื่อเป็นเช่นไร(no matters of belief), แต่ก็เป็นชนิดพิเศษของความรู้(a special kind of knowledge)หรือ ปัญญาญาณ(wisdom)ที่สามารถช่วยให้คุณเป็นอิสระ(that can help free you)จากบรรดาความทุกข์ทางโลกทั้งหมด(from worldly suffering).

ในจารีตของฮินดูชน, คำสอนเหล่านั้นถูกพบอยู่ในคัมภีร์อุปนิษัท(Upanishads), คัมภีร์ทั้งหลายที่ อฑวิตะ เวฑานตะ(Advaita Vedanta)ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐาน(is based).

ในจารีตของพุทธศาสนิกชน(the Buddhist tradition), คำสอนเหล่านั้นถูกพบอยู่ในพระสูตรทั้งหลาย(the sutras), ตำราทั้งหลาย(texts)ที่ประกอบด้วยคำตรัสสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า(the discourses of Buddha)และสาวกทั้งหลายของท่าน(his disciples), และยังในตำราทั้งหลายในภายหลังด้วยเช่นกัน(also in later texts)อยู่บนพื้นฐานของพระสูตรเหล่านั้น(based on those sutras).

รากฐานแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น(the foundation of Buddha’s teachings)คืออริยสัจสี่ของท่าน(his four noble truths).

อย่างแรกคือ ความสัจจริง(the truth)แห่ง ทุกข์(duhkha), ความไม่สบายกายไม่สบายใจ(suffering).

อย่างที่สองคือ ความสัจจริง(the truth)ที่ว่า ความทุกข์นั้น(that suffering)ได้มีสาเหตุจำเพาะ(specific causes – สมุทัย)ดังเช่น ความอยาก(craving – กามตัณหา), ความไม่อยาก(aversion - วิภวตัณหา), และความไม่รู้(ignorance - อวิชชา).

อย่างที่สามคือ ความสัจจริง(the truth)ที่ความทุกข์(suffering)สามารถถูกเคลื่อนย้าย(can be removed)โดยการกำจัดซึ่งสาเหตุจำเพาะทั้งหลายชองมันนั้น(by eliminating its specific causes - นิโรธ).

และอย่างที่สี่คือ มรรควิถี(the path)และการฝึกฝนปฏิบัติทั้งหลาย(practices)โดยวิธีนั้น(by which)คุณสามารถกำจัดสาเหตุเหล่านั้น(those causes)และกลายเป็น(become)อิสระจากความทุกข์(free from suffering).

อริยสัจสี่เหล่านี้(these four noble truths)เป็นค่อนข้างคล้ายคลึงกับ(is quite similar to)คำสอนศูนย์กลางของเวฑันตะ(Vedanta’s central teaching)ที่ว่าความทุกข์(suffering)คือผลลัพธ์จาก ความอยาก(craving - กามตัณหา)และ ความไม่อยาก(aversion - วิภวตัณหา), ซึ่งเป็นตัวพวกเขาเอง(which are themselves)คือผลลัพธ์ของอวิชชา - ความไม่รู้(the result of ignorance).

โดยการเคลื่อนย้ายอวิชชา - ความไม่รู้นั้น(by removing that ignorance)ผ่านการสอนทั้งหลายของเวฑานตะ(Vedanta), คุณสามารถทำอิสระให้กับตัวคุณเองจากความทุกข์(can free yourself from suffering).

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปถึงรายละเอียดทั้งหลาย(get into the details)ของไม่ว่าจากจารีตใดทั้งสองนี้(of either tradition here), นอกจากหนึ่งประเด็นหลัก(one main issue)ที่ทั้งพวกเขาทั้งสองชี้บอกไว้(they both address)คือ ปัญหาของ การหลงผิดในตัวตน(the problem of false identification), ที่หมายถึง(which means), การแยกแยะตัวคุณเองอย่างผิดๆกับร่างกายและจิตใจของคุณ(wrongly identify yourself with your body and mind).

ร่างกายของคุณคือสสารวัตถุ(your body is a material object)ที่อย่างสม่ำเสมอกำลังเสื่อมสลาย(that’s constantly decaying)และทำให้มีการเจ็บป่วยทางกายภาพ(subject to physical pain).

จิตของคุณเป็นสิ่งละเอียดหรือไม่ใช่สสารวัตถุ(your mind is subtle or non-material object)ที่มีข้อเสียบกพร่องมากมายและทำให้มีการเจ็บป่วยทางอารมณ์ความรู้สึก(subject to emotional pain)และความไม่สบายใจ(discomfort).

ตราบนานเท่าที่คุณมีกายและจิต(have a body and mind), ความเจ็บป่วยทางกายภาพ(physical pain)และความไม่สบายเชิงอารมณ์ความรู้สึก(emotional discomfort)ดูเหมือนจะไม่สามารถหลบหนีพ้นได้(inescapable).

ทั้งพระสูตรทั้งหลายของพุทธศาสนิกชนและคัมภีร์เวฑานตะทั้งหลาย(both Buddhist sutras and Vedantic scriptures)สอนว่าความเจ็บป่วยเชิงกายภาพนั้น(physical pain)เป็นของร่างกายของคุณ(belongs to your body)และความไม่สบายใจเชิงอารมณ์ความรู้สึกนั้นก็เป็นของจิตใจของคุณนั่นเอง(emotional discomfort belongs to your minds).

ไม่มีอะไรทั้งสองอย่างเหล่านี้ที่เป็นของคุณอย่างแท้จริงเลย(neither of these truly belongs to you).

ทำไมถึงไม่?

เพราะว่าคุณไม่ใช่การรวมตัวกันของกระดูกทั้งหลาย(not a collection of bones), กล้ามเนื้อทั้งหลาย(muscles), และอวัยวะทั้งหลาย(organs)ที่มีท่อเล็กจิ๋วอยู่ข้างใน(tiny tubes inside).

และไม่ใช่ความยุ่งเหยิงซับซ้อนของความคิดชั่วขณะเดียวทั้งหลาย(a complicated tangle of fleeting thoughts)และอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดทั้งหลาย(ever-changing emotions).

กายร่าง(the body)ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ของคุณในตอนนี้และจิต(the mind)ภายในมันก็คือวัตถุทั้งหลาย(are objects); พวกเขาคือ สิ่งทั้งหลาย(things).

พวกเขาไม่ใช่คุณ, เพราะว่าคุณไม่ใช่ สิ่ง(not a thing).

กระนั้น, คุณก็ยึดถือตัวตนของตัวคุณเองอย่างเป็นที่สุด(totally identify yourself)ด้วยสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น(with those things).

และในฐานะผลลัพธ์(result), คุณเป็นทุกข์(you suffer), เพราะว่าปัญหาทั้งหลายนั้น(the problems)ที่เป็นของร่างกายและจิตใจของคุณจริงๆ(truly belong to your body and mind)อย่างไม่เหมาะสม(mistakenly)กลายมาเป็นปัญหาทั้งหลายของคุณ(become your problems).

มาถึงจุดนี้(up to this point), คำสอนทั้งหลาย(the teachings)ของพระพุทธเจ้าและฤษีโบราณทั้งหลาย(Buddha and the ancient rishis)ก็คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก(are very much alike).

ทั้งสองต่างช่วยคุณกำจัดการหลงผิด(ยึดถือ - ผู้แปล)ในตัวตน(eliminate false identification)กับร่างกายและจิตใจของคุณ(with your body and mind)และทำอิสระให้กับคุณจากความทุกข์(free you from suffering).

แต่การไปต่อข้างหน้านั้น(but going forward), วิถีของพวกเข้า(their paths)เริ่มต้นที่จะแยกจากกัน(begin to diverge).

พระพุทธเจ้าสอนว่าปัจเจกบุคคล(individual person)นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าขันธ์ทั้งห้า(an aggregate of five factors) - รูป(body), เวทนา(sensations), สัญญา(emotions), สังขาร(thoughts), และวิญญาณ(consciousness).*

* https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C

พระพุทธเจ้า(Buddha)ไม่ยอมรับ(not accept)การมีตัวตนของจิตสำนึก(the existence of a conscious being) หรือตัวตนภายใน(inner self)ที่เป็นอิสระจากขันธ์ทั้งห้า(that’s independent from the aggregate of five parts).

ท่านสอนหลักการที่มีลักษณะเฉพาะของท่าน(his distinctive doctrine)ในเรื่องการไม่มีตัวตนนี้(of no-self), เรียกว่า อนัตตา(anatta)ในภาษาบาลีของท่าน(his Bali), หรือ อนัตมะ(anatma)ในภาษาสันสกฤต(Sanskrit).

เวฑานตะ(Vedanda), ในอีกด้านหนึ่ง(on the other hand), ยอมรับการมีอยู่ของอาตมะ(atma - อาตมา/อัตตา), ความเป็นจริง(the true)ของตัวตนภายใน(inner self).

อาตมะ(atma)คือ จิตสำนึก(consciousness - วิญญาณขันธ์) หรือ ความตระหนักรู้(awareness)ที่เป็นธรรมชาติเนื้อแท้ของคุณ(your essential nature), จิตสำนึกนั้น(the consciousness)โดยซึ่งคุณตรวจสังเกตความคิดและอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลาย(observe thoughts and emotions)ในฐานที่พวกเขาจะมีขึ้นมาในจิตใจของคุณ(arise in your mind).

เมื่อคุณล้มเหลว(fail)ที่จะจดจำ(recognize)ธรรมชาติที่แท้จริงของคุณ(your true nature)ที่คืออาตมะ(atma), คุณก็หลงผิดในตัวตนของคุณ(you falsely identify yourself)กับร่างกายและจิตใจของคุณ(with your body and mind)และกลายเป็นไปขึ้นอยู่กับความทุกข์(become subject to suffering).

นั่นคือทำไม อฑวิตะ เวฑานตะ(advaita Vedanta)เน้นถึง(emphasizes)ความสำคัญของการรู้-ตนเอง(self-knowledge), อาตมะ วิทยา(atma vidya).

ความแตกต่างใหญ่อีกอย่างหนึ่งระหว่างพุทธศาสนา(Buddhism)กับเวฑานตะ(Vedanta)ก็คือ พวกเขามีความคิดเข้าใจ(conceive)อย่างไรในเป้าหมายสูงสุดของชีวิตเชิงจิตวิญญาณ(how they conceive the ultimate goal of spiritual life).

ศาสนาพุทธเรียกเป้าหมายนี้ว่า นิพพาน(nirvana), และ เวฑานตะ(Vedanta)เรียกว่า โมกษะ(moksha).

นิพพาน(nirvana)ตามตัวหนังสือหมายความว่า ดับแล้ว(extinguished), เหมือนเปลวเทียน(a candle flame)ที่ถูกเป่าดับแล้ว(that’s blown out).

นิพพาน(nirvana)คือการทำให้ไฟดับ(the extinguishing)หรือ การสิ้นสุดของความทุกข์(cessation of suffering)ที่เกิดขึ้น(takes place)เมื่อมีความอยาก(when craving), ความไม่อยาก(aversion), และความไม่รู้(ignorance)ได้ถูกขจัดไป(are eliminated)โดยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า(by following Buddha’s teachings).

ผู้สอนชาวพุทธทั้งหลายในภายหลังต่อมา(later Buddhist teachers)อธิบายนิพพานเป็นเช่นการขจัดซึ่งสัมผัสรู้ที่ผิดของการมีตัวตน(อัตตา-ผู้แปล)(false sense of being)ของปัจเจกบุคคล(individual person).

สำหรับพวกเขา, นิพพาน(nirvana)คือการสิ้นสุดอย่างสมบูรณ์ของความมีตัวตน(the complete cessation of selfness), สถานะของไม่มีตัวตน(a state of no-self - อนัตตา).

คัมภีร์ทั้งหลายของเวฑานตะ(Vedanta)บางครั้งใช้คำว่า นิพพาน(nirvana), แต่เป็นธรรมดาสามัญกว่า(more commonly), โมกษะ(moksha)ได้ถูกใช้(is used).

โมกษะ(moksha)หมายถึง การปลดปล่อย(liberation)หรือ อิสรภาพ(freedom), อิสรภาพจากความทุกข์(freedom from suffering)ในชีวิตนี้(in this life), อิสรภาพจาก มีการเกิดใหม่(being reborn)เข้าไปสู่ชีวิตอื่นอีกของความเป็นทุกข์(another life of suffering).

แต่, คำวิจารณ์ทั้งหลายของบรรดานักวิชาการ(scholarly commentaries)นิยามโมกษะ(moksha), ไม่ใช่แต่เพียงคืออิสรภาพจากความทุกข์(as freedom from suffering), แต่ในสองวิธีมัดหนึ่งห่อรวมกัน(a two-fold way) – อัตยานตะ ทุกขะ นิพริตติ(atyanta duhkha nivritti - คลายความเศร้าโศกได้มากที่สุด), ซึ่งหมายความว่า การสิ้นสุดอย่างสมบูรณ์สิ้นของความทุกข์(complete cessation of suffering), และ นิรัตติศัย สุขะ อวาปติ(nirattishaya sukha avapti - ความสำเร็จสุขอันประเสริฐยิ่ง), การบรรลุผลของความสุขสุดยอด(the attainment of supreme bliss).

         ความประเสริฐสุขสุดยอด(the supreme bliss)ได้อธิบายในที่นี้ว่าคือ ไม่ใช่บางอย่างของ ประสบการณ์รับรู้เชิงจิตวิญญาณพิเศษ(some kind of extraordinary spiritual experience); มันที่จริงแล้วคือ ธรรมชาติที่แท้จริงของจิตสำนึกของคุณเอง(the true nature of your own consciousness).

ฤษีโบราณทั้งหลาย(the ancient rishis)ได้ค้นพบ(discovered)ว่า จิตสำนึก(consciousness)นั้นไม่มีการเกิด(unborn)และไม่มีการรังสรรค์(uncreated), ดังนั้นมันจึงเป็นนิรันดร(therefore it’s eternal).

จิตสำนึก(consciousness)นั้นไร้รูปร่าง(formless)และไร้ข้อจำกัด(limitless), ดังนั้นมันจึงกว้างใหญ่(vast), แผ่กระจายทั่วทั้งหมด(all-pervasive).

จิตสำนึก(consciousness)นั้นสมบูรณ์(is perfect), สมบูรณ์(complete), ไม่กระทบกระเทือนอย่างที่สุด(utterly unaffected)โดยความเดือดร้อนทางโลกทั้งหลาย(by worldly troubles), ดังนั้น, มันคือเป็นความสิ่งศักดิ์สิทธิ์(it’s divine).

ในการที่จะค้นพบธรรมชาติของความสัจจริงและศักดิ์สิทธิ์(to discover the true, divine nature)ของจิตสำนึกของคุณเอง(your own consciousness)คือ โมกษะ(moksha).

ดังนั้น, โมกษะ(moksha)นี้มากไปกว่าการยุติอย่างสมบูรณ์ของความทุกข์(the complete cessation of suffering); มันยังเป็น การจำแนกออกของตัวตนที่ นิรันดร, ไร้จำกัด, ศักดิ์สิทธิ์ ของคุณเอง (the direct, personal recognition of your own eternal, limitless, divine self).

ด้วยทั้งหมดนี้ในจิตใจ(with all this in mind), เราสามารถพูดได้ว่าศาสนาพุทธ(Buddhism)และอฑวิตะ เวฑานตะ(Advaita Vedanta)ทั้งคู่เริ่มต้นออกมาในเท้าเดียวกัน(both start out on the same foot), พูดได้เช่นนั้น(so to speak).

พวกเขาทั้งคู่วินิจฉัย(both identify)รากของเหตุแห่งทุกข์นั้น(the root cause of suffering)ที่เป็นการหลงผิดในตัวตน(to be false identification)กับร่างกายและจิตใจของคุณ(your body and mind).

และพวกเขาทั้งคู่เสนอกรรมวิธีทั้งหลาย(offer methods)สำหรับการเคลื่อนย้าย(removing)หรือยับยั้ง(negating)การหลงผิดในตัวตนนั้น(that false identification).

แต่, นอกจากการยับยั้งนี้(in addition to negating), เวฑานตะ(Vedanta)ใช้ก้าวขั้นเพิ่มเติมขึ้น(takes an additional step)โดยยืนยันเชิงบวกธรรมชาติที่แท้จริงของคุณ(by positively asserting your true nature)ที่จะเป็น นิรันดร(eternal), ไร้ขีดจำกัด(limitless)ของจิตสำนึกของคุณ(consciousness).

พุทธศาสนา(Buddhism)และ อฑวิตะ เวฑานติ(Advaita Vedanta)อยู่ในความเห็นพ้องที่สมบูรณ์(in perfect agreement)เกี่ยวกับปัญหาของความทุกข์(the problem of suffering)และทางแก้ไขคลี่คลายของมัน(its solution), แต่พวกเขาได้มีความแตกต่างโดยทัศนคติทั้งหลายขั้นมูลฐาน(have radically different views)เกี่ยวกับการมีอยู่หรือการไม่มีอยู่(the existence or non-existence)ของ ตัวตนภายในที่แท้จริง(of a true inner self), อาตมะ(atma - อัตตา/อาตมา).

กระนั้น, ความจริง(the fact)ยังคงมีอยู่ว่า(remains), พวกเขาทั้งคู่แก้ไขคลี่คลายปัญหาของความทุกข์(they both solve the problem of suffering).

ดังนั้น, คุณไม่สามารถพูดได้จริงๆ(can’t really say)ว่าอันหนึ่งนั้นดีกว่าอีกอันหนึ่ง, เพราะว่าทั้งคู่ใช้การได้มีประโยชน์(they both work); พวกเขาทั้งคู่สามารถทำอิสระคุณจากความทุกข์(can free you from suffering).

นี้เป็นวีดิทัศน์ที่สิบสอง(the twelfth video)ในชุด(series)ที่ตอบคำถาม(answers questions)ที่ถูกเสนอมาโดยผู้ชมทั้งหลาย(submitted by viewers).

ถ้าคุณมีคำถามหนึ่งที่น่าจะเสนอเป็นเช่นหัวข้อที่ดี(a good topic)สำหรับวีดิทัศน์เหมือนเช่นอันนี้(like this one), กรุณาเถิดส่ง อี-เมล์(e-mail)มาให้ฉันตามที่อยู่นี้, และให้แน่ใจที่จะชี้ให้ชัดลงไปว่า “วิดิทัศน์ คำถาม(video question)” เป็นหัวข้อของอี-เมล์นั้น. (To: swamit@arshaboha.org, Subject: Video Question).

ฉันจะพยายามที่จะแสดงตอบคำถามของคุณในวิดิทัศน์อนาคต(in a future video).

https://youtu.be/Wq2eukYfRoA

        

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น