หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (45-จบ)

 

 

เขาเป็นนักรบและผู้มีเวทย์, ยักษ์และนักบุญ, จิ้งจอกและผู้ไร้เดียงสา, ผู้เอาใจสตรี, ผู้หยาบคายก้าวร้าว, น้อยกว่าเทพ, มากกว่ามนุษย์. ไม่มีซึ่งการวัดใดได้ต่อแรงกระตุ้นผลักดันของมวดดิบด้วยมาตรฐานทั้งหลายทั่วไปใดๆ. ในชั่วขณะชัยชนะของเขา, เขามองเห็นความตายที่ได้เตรียมไว้แล้วสำหรับเขา, กระนั้นก็ยังที่เขายอมรับต่อการทรยศกักหลังนั้น. ท่านสามารถพูดได้หรือไม่ว่าเขาทำเช่นนี้ออกมาจากสำนึกแห่งความเที่ยงธรรม? เที่ยงธรรมของใคร, งั้นหรือ? จำไว้ว่า, เราพูดกันในตอนนี้ถึงมวดดิบผู้ซึ่งสั่งเภรีแห่งการศึกที่ทำจากผิวหนังของศัตรูของเขา, มวดดิบผู้ปฏิเสธพันธสัญญาแห่งความเป็นดยุคทั้งหลายในอดีตที่ผ่านมาด้วยเพียงหนึ่งการโบกของมือตน, พูดแค่: ข้าคือ ควิสาตซ์ ฮาเดรัค.อนั่นคือเหตุผลเพียงพอแล้ว.”

            ---จาก “การตื่นขึ้น ของ อาร์ราคิส” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

เป็นคฤหาสน์ของผู้ว่าการอาร์ราคีน, ทำเนียบราชสำนักเดิมที่อะไทรดิสได้อาศัยอยู่เป็นครั้งแรกบนดูน, ที่พวกเขาได้ต้อนรับดูแลพอล-มวดดิบในเย็นวันแห่งชัยชนะของเขานั้น. อาคารนั้นยืนตระหง่านดังที่แร็บบานได้บูรณะซ่อมแซมมัน, ราวกับไม่ได้ถูกแตะต้องโดยการสู้รบอะไรถึงแม้ว่าจะได้ถูกปล้มชิงบ้างจากผู้คนชาวเมือง. การตกแต่งบางอย่างในโถงใหญ่ได้ล้มล้างออกไปหรือไม่ก็แตกเสียหาย.

พอลก้าวยาวๆผ่านทะลุทางเข้าหลักไปกับเกอร์นีย์ ฮัลเล็คและสติลจาร์หนึ่งก้าวทางด้านหลัง. หน่วยคุ้มกันของพวกเขาคลี่กระจายเป็นรูปพัดออกเมื่อเข้ามาในมหาท้องพระโรง, ตรวจความเรียบร้อยของสถานที่นั้นและเก็บกวาดพื้นที่สำหรับมวดดิบ. หนึ่งหมู่เริ่มต้นสืบสวนว่าไม่มีกับดักเล่ห์ร้ายได้ถูกซ่อนแอบซ่อนวางฝังเอาไว้ที่นี่.

“ข้าจำได้ถึงวันที่เรามาที่นี่ครั้งแรกกับบิดาของท่าน,” เกอร์นีย์พูด. เขาชำเลืองมองไปรอบๆที่คานทั้งหลายและช่องหน้าต่าง, สูงทั้งหลาย. “ข้าไม่ชอบสถานที่นี้ในตอนนั้นและยิ่งน้อยลงไปอีกในตอนนี้. หนึ่งในถ้ำคูหาของเราน่าจะเป็นที่ปลอดภัยกว่า.”

“พูดได้เหมือนฟรีเมนตัวจริง,” สติลจาร์พูด, และเขาสังเกตได้ถึงรอยยิ้มเยือกเย็นที่คำพูดของเขานำมาให้กับริมฝีปากของมวดดิบ. “ท่านจะทบทวนพิจารณาอีกครั้งไหม, มวดดิบ?”

“สถานที่นี่คือสัญลักษณ์,” พอลพูด. “แร็บบานอาศัยในที่นี้. โดยการอาศัยที่สถานที่นี้ข้าปิดผนึกชัยชนะของข้าสำหรับผู้คนทั้งหมดที่จะได้เข้าใจ. อย่าแตะต้องอะไร. แค่ให้แน่ใจว่าไม่มีของผู้คนหรือของเล่นของฮาร์คอนเนนยังมีอยู่.”

“ตามท่านบัญชา,” สติลจาร์พูด, และความฝืนนั้นหนะกหน่วงอยู่ในน้ำเสียงของเขาขณะที่หันไปทำตาม.

พลสื่อสารเร่วรีบเข้ามาในห้องด้วยอุปกรณ์ของพวกเขา, เริ่มต้นติดตั้งพวกมันใกล้กับเตาผิงไฟขนาดใหญ่โตนั้น. ยามรักษาการณ์ฟรีเมนที่เสริมเพิ่มขึ้นกับฟีเดย์คินที่รอดชีวิตเข้าประจำตำแหน่งรายรอบห้อง. มีเสียงพึมพำในหมู่พวกนั้น, พุ่งสายตามองกันเป็นส่วนใหญ่ด้วยความระแวงสงสัย. นี่ได้เป็นการเนิ่นนานเกินไปแล้วของสถานที่นีซึ่งตกอยู่ในกำมือศัตรูสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับได้กับการปรากฏตัวเข้ามาในมันอย่างไม่เป็นทางการ.

เกอร์นีย์, ให้ผู้คุ้มกันดูแลนำมารดาของข้าและชานิมายังที่นี่,” พอลพูด. “ชานิรู้แล้วหรือยังเกี่ยวกับลูกชายของเรา?”

“ข่าวได้ถูกส่งออกไปแล้ว, ฝบาท.”

“บรรดาผู้สร้างทั้งหลายได้ถูกนำออกไปจากแอ่งลุ่มนี้หรือยัง?”

“เรียบร้อยแล้ว, ฝบาท. พายุนั้นได้เกือบหมดสิ้นแล้ว.”

“ขอบเขตของความเสียหายจากพายุเป็นเช่นไรบ้าง?” พอลถาม.

“ในแนวเส้นทางตรง---บนสนามบินให้ยานลงสู่พื้นและพาดผ่านลานโกดังเก็บเครื่องเทศของที่ราบ---เสียหายเป็นบริเวณกว้าง,” เกอร์นีย์พูด. “มากจากการสู้รบเท่าๆกับพายุนั้น.”

“ไม่มีอะไรที่เงินจะซ่อมแซมไม่ได้, ข้าสันนิษฐาน,” พอลพูด.

“นอกเสียจากกับชีวิตทั้งหลาย, ฝบาท,” เกอร์นีย์พูด, และมีน้ำเสียงของการตำหนิในเสียงของเขาราวกับจะพูดว่า: “เมื่อไหร่หรือที่อะไทรดิสเป็นกังวลอย่างแรกเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายแทนที่จะเป็นผู้คนที่ถูกเดิมพันไว้?”

แต่พอลสามารถได้แต่เพียงเพ่งสมาธิของเขาบนดวงตาภายในและช่องว่างทั้งหลายที่เห็นได้ต่อเขาในกำแพง-เวลาที่ยังคงทอดวางพาดข้ามเส้นทางของเขาอยู่. ผ่านทะลุในแต่ละช่องนั้นคือ จิฮาด(jihad)ที่โกรธเกรี้ยวลงออกไปตามระเบียงทางเดินทั้งหลายของอนาคต.

เขาถอนหายใจ, ข้ามโถงนั้น, มองเห็นเก้าอี้วางชิดผนัง. เก้าอี้ที่ครั้งหนึ่งเคยยืนตั้งในโถงจัดเลี้ยงอาหารและอาจจะกระทั่งได้เคยรองรับร่างของบิดาของเขา. ที่ชั่วขณะนั้น, กระนั้น, มันก็เป็นเพียงวัตถุหนึ่งที่ใช้พักวางความอ่อนล้าของเขาและปกปิดมันจากทหารทั้งหลาย. เขานั่งลง, ดึงเสื้อคลุมรอบขาของเขา, ปล่อยคลายชุดสติลล์สูทที่คอของตน.

จักรพรรดิยังคงซุกรูอยู่ในเรือยานของเขาที่ยังคงจอดอยู่นั้น,” เกอร์นีย์พูด.

“ในตอนนี้, กักเขาไว้ที่นั่นล่ะ,” พอลพูด. “พวกเขาหาเจอพวกฮาร์คอนเนนส์หรือยัง?”

“พวเขายังคงไล่ตรวจดูคนที่ตายกันอยู่.”

“มีคำตอบอะไรมาจากยานเรือทั้งหลายที่ข้างบนนั้นบ้าง?” เขาพยักเพยิดคางของตนขึ้นไปยังเพดาน.

         “ยังไม่มีคำตอบ, ขอรับ, ฝบาท.”

         พอลถอนหายใจ, เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ของเขา. ทันทีนั้น, เขาพูด: “นำเชลยซาร์เดาการ์คนหนึ่งมาให้ข้า. เราต้องส่งข่าวสารไปยังจักรพรรดิ. มันถึงเวลาที่ต้องถกเถียงเงื่อนไขทั้งหลายกันได้แล้ว.”

         “ขอรับ, ฝบาท.”

         เกอร์นีย์หันร่างออกไป, ทิ้งสัญญาณมือยังหนึ่งในฟีเดย์คินผู้ที่ยืนตำแหน่งรักษาการณ์ใกล้ที่สุดข้างพอล.

         เกอร์นีย์,” พอลกระซิบ. “ตั้งแต่เราได้กลับมาร่วมกันอีกข้ายังไม่ได้ยินท่านสร้างคำกวีวาทะให้กับเหตุการณ์นี้เลย.” เขาหัน, เห็นเกอร์นีย์กล้ำกลืน, เห็นรอยยิ้มในทันทีที่กรามของชายนั้น.

         “ตามที่ท่านปรารถนา, ฝบาท,” เกอร์นีย์พูด. เขากระแอมในลำคอของตนให้โล่ง, เสียงแหบพร่า: “และชัยชนะวันนั้นได้หันเข้ามาในความโศกาของทุกผู้คน: เพราะผู้คนเหล่านั้นได้ยินพาพูดกันว่าวันนั้นราชาของตนได้เศร้าโศกาต่อการจากลาไปแห่งบุตรชาย.”

         พอลหลับตาของตนลง, บังคับความเศร้าใจให้ออกไปจากจิตของเขา, ปล่อยมันให้รอคอยอย่างที่ครั้งหนึ่งเขาได้รอคอยที่จะคร่ำครวญอาลัยให้กับบิดาของเขา. ตอนนี้, เขาให้ความคิดของเขาทั้งหลายไปเหนือการค้นพบทั้งหลายที่สะสมกันมาในวันนี้---อนาคตทั้งหลายที่ผสมปนเปและปัจจุบันที่ถูกซ่อนของอาเลียภายในสัมปชัญญะของเขา.

         ในทั้งหมดของการใช้ทั้งหลายแห่งกาล-ทัศน์(time-vision), นี้เป็นสิ่งแปลกประหลาดที่สุด. “ข้าได้แนบหน้าอกฝ่าอนาคตเพื่อวางคำพูดทั้งหลายของข้าไว้ในที่ซึ่งเจ้าเท่านั้นสามารถจะได้ยินพวกมัน,” อาเลียได้พูดไว้. “แม้ว่าเจ้าก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้, พี่ชายของข้า. ข้าพบมันเป็นการเล่นที่น่าสนใจ. และ.....โอ้, ใช่---ข้าได้ฆ่าท่านตาทวดของเราไปแล้ว, เฒ่าวิกลจริตบารอนผู้นั้น. เขาเจ็บปวดแค่เพียงเล็กน้อยมาก.”

         เงียบงัน. กาล สำนึกของเขาได้เห็นเธอถอนออกไป.

         มวดดิบ.”

         พอลเปิดตาของตนขึ้นและเห็นใบหน้ารกเคราดำของสติลจาร์อยู่เหนือเขา, ดวงตามืดกำลังจ้องมาด้วยแสงแววการยุทธ.

         “ท่านพบร่างของบารอนเฒ่านั่นแล้ว,” พอลพูด.

         เสียงกั้นหายใจของบุคคลดัอยู่ร่างของสติลจาร์: “ท่านสามารถรู้ได้อย่างไร?” เขากระซิบ. “เราเพิ่งพบร่างนั้นในกองเสายักษ์ของโลหะที่จักรพรรดิได้สร้างเอาไว้นั่น.”

         พอลเพิกเฉยต่อคำถามนั้น, มองเห็นเกอร์นีย์กลับเข้ามาพร้อมด้วยสองฟรีเมนที่ช่วยกันหิ้วเชลยซาร์เดาการ์มาด้วยหนึ่งราย.

         “นี่เป็นหนึ่งในพวกมัน, ฝบาท,” เกอร์นีย์พูด. เขาส่งสัญญาณยามรักษาการณ์ให้ยึดหยุดตัวเชลยนั้นลงห้าก้าวตรงหน้าของพอล.

         ดวงตาของซาร์เดาการ์นั้น, พอลสังเกตเห็น, แบกเอาไว้ด้วยแววแสดงออกมาของความตื่นตกใจ. ร้อยช้ำสีห้าเหยียดผ่านสันจมูกของเขาไปยังมุมข้างหนึ่งของปาก. เขามีผมบลอนด์, รูปลักษณะมีเล่ห์กลแบบวรรณะศักดินา, ท่าทางที่ดูเหมือนพ้องกันกับตำแหน่งยศในหมู่ซาร์เดาการ์, กระนั้นก็ยังไม่มีเครื่องประดับยศบนเครื่องแบบที่ฉีกขาดรุ่งริ่งของเขานอกจากกระดุมทองคำทั้งหลายที่มีตราเครื่องหมายจักรพรรดิและเกลียวถักประดับที่กางเกงสกปรกขาดฉีกของเขา.

         “ข้าคิดว่ารายนี้เป็นเจ้าหน้าที่สัญญาบัตร, ฝบาท,” เกอร์นีย์พูด.

         พอลพยักหน้า, พูด: “ข้าคือ ดยุค พอล อะไทรดิส. เจ้าเข้าใจนั่นใช่ไหม, ทหาร?”

ซาร์เดาการ์นั้นจ้องมองเขาไม่เคลื่อนไหว.

“พูดสิ,” พอลบอก, “หรือจักรพรรดิของเจ้าอาจตายได้.”

ชายนั้นกระพริบตา, กลืนน้ำลาย.

“ข้าเป็นใคร?” พอลบัญชาถาม.

“ท่านคือ ดยุค พอล อะไทรดิส,” ชายนั้นพูดเสียงแหบ.

เขาดำเหมือนยอมจำนนเกินไปต่อพอล, แต่แล้วซาร์เดาการ์นั้นก็ไม่เคยได้ถูกเตรียมตัวมาสำหรับเหตุบังเกิดเยี่ยงนี้เช่นในวันนี้. พวกเขาไม่เคยได้รู้ถึงอะไรอื่นนอกจากชัยชนะที่ซึ่ง, พอลได้ตระนัก, สามารถเป็นความอ่อนแออยู่ในตัวของมันเอง. เขาวางความคิดนั้นไปทางด้านข้างเพื่อพิจารณาภายหลังในโครงงานการฝึกฝนของเขาเอง.

“ข้ามีข่าวสารให้เจ้านำไปมอบต่อจักรพรรดิ,” พอลพูด. และเขาแสดงถ้อยคำของเขาในสูตรโบราณ: “ข้าฯ, ดยุคแห่งมหาราชสำนัก, ราชนิกูลในจักรพรรดิ, ให้คำพูดของข้าฯแห่งพันธะภายใต้มหาประชาคม. หากว่าองค์จักรพรรดิและผู้คนของพระองค์วางอาวุธของพวกเขาและมาพบต่อข้าที่นี้ข้าจะคุ้มครองชีวิตพวกเขาด้วยตัวข้าเอง.” พอลยื่นมือของเขาขึ้นด้วยธำมรงค์แห่งดยุคเพื่อที่ซาร์เดาการ์นั้นได้เห็น. “ข้าสาบานมันด้วยสิ่งนี้.”

ชายนั้นเลียริมฝีปากของตนด้วยลิ้นของเขา, ชำเลืองมองเกอร์นีย์.

“ใช่,” พอลพูด. “ใครเล่านอกเสียจากอะไทรดิสที่สามารถบัญชาความจงรักภักดีแห่งเกอร์นีย์ ฮัลเล็ค.”

“ข้าจะนำข่าวสารนั้นไป,” ซาร์เดาการ์นั้นพูด.

“นำเขาไปยังกองบัญชาการตอนหน้าของเราและส่งเขาเข้าไปข้างใน,” พอลพูด.

“ขอรับ, ฝบาท,” เกอร์นีย์ส่งสัญญาณยามรักษาการณ์ให้ทำตามคำสั่ง, เดินนำพวกเขาออกไป.

พอลหันมายังสติลจาร์.

ชานิและมารดาของท่านได้มาถึงแล้ว,” สตลจาร์พูด. “ชานิได้ขอร้องหลายคราที่จะอยู่ตามลำพังกับความโศกาของเธอ. แม่อธิการได้หาเวลาชั่วขณะในห้องแปลกประหลาด; ข้าไม่รู้ว่าทำไม.”

“มารดาของข้าได้ป่วยไข้กับการโหยหาพิภพที่เธออาจไม่เคยได้เห็นอีก,” พอลพูด. “ที่ซึ่งน้ำหล่นลงมาจากท้องฟ้าและต้นไม้ทั้งหลายเจริญเติบโตหนาแน่นเหลือเกินจนท่านไม่สามารถที่จะเดินผ่านพวกมันไปได้.”

“น้ำจากท้องฟ้า,” สติลจาร์กระซิบ.

ในทันทีนั้น, พอลมองเห็นว่าสติลจาร์ได้กลายรูปอย่างไรจากฟรีเมนนาอิบ(naib* - ผู้นำของสิฐคาม)ไปเป็นทาสแห่งไลสาน อัล-กาอิบ, ภาชนะรองรับสำหรับความกลัวเกรงและความเชื่อ

         * https://dune.fandom.com/wiki/Naib

ฟัง. มันเป็นการลดตัวลงของชายนี้, และพอลรู้สึกถึงสายลม-ผีของจิฮาดในมัน.

         ข้าได้เห็นเพื่อนผู้หนึ่งกลายเป็นผู้กราบไหว้บูชา, เขาคิด.

         ในการโจมตีพรวดพราดของความเปล่าเปลี่ยว, พอลชำเลืองมองไปรอบๆห้องนั้น, สังเกตเห็นยามรักษาการณ์ของเขาสมบูรณ์ถูกต้องและพร้อมตรวจทานได้เป็นอย่างไรในการอยู่ต่อหน้าเขา. เขาสัมผัสรู้ถึงความแข่งขันประชันกันอย่างประณีต, ภาคภูมิใจในหมู่พวกเขา---แต่ละคนหวังที่จะถูกได้รับการสังเกตเห็นจากมวดดิบ.

         มวดดิบ จากผู้ที่พรทั้งหลายไหลหลั่งมาให้, เขาคิด, และมันเป็นความคิดที่ขื่นขมที่สุดแห่งชีวิตของเขา. พวกเขาสัมผัสรู้ว่าข้าต้องขึ้นยึดบัลลังก์นั้น, เขาคิด. แต่พวกเขาไม่สามารถรู้ได้ว่าข้าทำมันไปเพื่อป้องกันการเกิด จิฮาด(jihad) นั้น.

         สติลจาร์กระแอมในลำคอของตน, พูด:แร็บบาน, ด้วยเช่นกัน, ได้ตายแล้ว.”

         พอลพยักหน้า.

         ยามรักษาการณ์ทางขวามือทันทีนั้นก็ตวัดร่างไปทางด้านข้าง, ยืนระวังตรงไปยังช่องทางเดินให้กับเจสสิกา. เธอสวมอะบาสีดำและเดินด้วยนัยยะเลื่อนลากเท้ากับทราย, แต่พอลสังเกตเห็นได้ว่าตำหนักวังนี้ได้คืนฟื้นต่อเธออย่างไรในบางอย่างของอะไรที่เธอได้ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในที่นี้--- สนมของผู้ครองตำแหน่งดยุค. การปรากฏของเธอนำมาซึ่งบางอย่างของความแน่วแน่เก่าแก่เดิมของมันออกมา.

         เจสสิกายุดตรงหน้าของพอล, มองลงมาดูเขา. เธอมองเห็นความอ่อนล้าของเขาและว่าเขาได้ซ่อนมันไว้อย่างไร, แต่ไม่พบซึ่งความเมตตาสงสารใดต่อเขาเลย. มันเป็นดังราวกับว่าเธอได้แต่งแต้มความไร้ซึ่งสามารถของอารมณ์แสดงออกใดต่อบุตรชายของเธอ.

         เจสสิกาได้เข้ามาในมหาท้องพระโรงกังขาในใจว่าทำไมสถานที่นี้ปฏิเสธที่จะปรับตัวมันเองอย่างผาสุกให้พอดีเข้ากับในยังความทรงจำทั้งหลายของเธอ. มันยังคงเป็นห้องต่างถิ่น, ดังราวกับว่าเธอไม่เคยได้เดินเข้ามาในที่นี้, ไม่เคยเดินในที่นี้กับลีโตผู้เป็นที่รักของเธอ, ไม่เคยได้เผชิญหน้าดันแคน ไอดาโฮที่เมามายที่นี่---ไม่เคย, ไม่เคย, ไม่เคย.

         น่าจะเป็นคำ-เครียดดึงโดยตรง, ตรงข้ามกับ อะดับ(adab – มรรยาท), ความทรงจำที่กำลังเรียกร้อง, เธอคิด. น่าจะเป็นคำหนึ่งสำหรับความทรงจำทั้งหลายที่ปฏิเสธตัวมันเอง.

         อาเลียอยู่ที่ไหน?” เธอถาม.

         “ออกไปทำอะไรที่เด็กฟรีเมนที่ดีควรจะทำในเวลาเยี่ยงนี้,” พอลพูด. “เธอกำลังฆ่าศัตรูที่บาดเจ็บและทำเครื่องหมายร่างของพวกนั้นสำหรับหน่วยกู้คืน-น้ำ.”

         พอล!

         “ท่านต้องเข้าใจว่าเธอทำเช่นนี้ออกมาจากความเมตตากรุณา,” เขาพูด. “มันแปลกหรือที่เราเข้าใจผิดอย่างไรในความเป็นหนึ่งเดียวที่ซ่อนเร้นแห่งความกรุณาและความโหดร้าย?”

         เจสสิกาจ้องมองที่บุตรชายของตน, ตื่นตระหนกโดยความเปลี่ยนแปลงไปอย่างลึกล้ำในตัวเขา. เป็นการตายของลูกชายของเขาหรือที่ทำเช่นนี้? เธอสงสัยในใจ. และเธอพูด: “พวกทหารบอกนิทานแปลกประหลาดทั้งหลายเกี่ยวกับเจ้า, พอล. พวกเขาพูดว่าเจ้ามีพลังอำนาจทั้งหมดตามตำนาน---ไม่มีอะไรสามารถถูกหลบซ่อนไปจากลูกได้, ว่าเจ้าเห็นในที่ซึ่งคนอื่นไม่สามารถเห็นได้.”

         เบเน เกสเสอริต ควรจะถามไถ่ในเรื่องตำนานหรือ?” เขาถาม.

         “ข้าได้มีส่วนร่วมในอะไรก็ตามที่เจ้าเป็น,” เธอยอมรับ, “แต่เจ้าต้องไม่คาดหวังว่าข้าจะ---”

         “ท่านจะชอบเช่นไรในการที่มีชีวิตหลายพันล้านอยู่เหนือหลายพันล้านของชีวิตทั้งหลายล่ะ?” พอลถาม. “มีการถักทอแห่งตำนานสำหรับท่าน! คิดถึงบรรดาประสบการณ์รับรู้ทั้งหมดเหล่านั้นสิ, ปัญญาที่พวกนั้นนำมาให้. แต่ปัญญานั้นบรรเทายับยั้งความรัก, ไม่ใช่หรือ? และมันวางรูปทรงใหม่ให้กับความเกลียดชัง. ท่านสามารถบอกอย่างไรได้ว่าอะไรคือไร้ความปราณีจนกว่าท่านจะได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งกับความลึกของทั้งความโหดเหี้ยมและความกรุณา? ท่านควรจะหวาดกลัวต่อข้า, ท่านแม่. ข้าคือ ควิทสาตซ์ ฮาเดรัค.”

         เจสสิกาพยายามที่จะกล้ำกลืนอยู่ในลำคอที่แห้งผาก.  ทันทีนั้น, เธอพูด: “ครั้งหนึ่งเจ้าได้ปฏิเสธต่อข้าในการเป็น ควิทสาตซ์ ฮาเดรัค.”

         พอลส่ายศีรษะของเขา. “ข้าสามารถปฏิเสธในอะไรไม่ได้อีกต่อปแล้ว.” เขามองขึ้นเข้าไปในดวงตาของเธอ. “จักรพรรดินั้นและผู้คนของเขากำลังมายังที่นี่ในตอนนี้. พวกเขาถูกประกาศตัวในไม่กี่ขณะนี้. มายืนข้างข้า. ข้าปรารถนาที่จะได้ภาพทัศน์ที่กระจ่างของพวกเขา. อนาคตของข้าจะอยู่ในท่ามกลางพวกเขา.”

         พอล!” เธอเสียงดังแหลม. “อย่าทำความผิดพลาดที่บิดาขงเจ้าได้ทำไป!

         “เธอเป็นเจ้าหญิง,” พอลพูด. “เธอคือกุญแจของข้าไปสู่บัลลังก์, และคือทั้งหมดที่เธอจะได้เป็น. ผิดพลาดรึ? ท่านคิดเพราะว่าข้าเป็นอะไรที่ท่านสร้างขึ้นมาซึ่งข้าไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความจำเป็นในการล้างแค้นหรือ?”

         “แม้กระทั่งต่อผู้บริสุทธิ์หรือ?” เธอถาม, และเธอคิด: เขาต้องไม่ทำผิดพลาดที่ข้าได้ทำไป.

         “ไม่มีผู้บริสุทธิ์กันอีกต่อไปแล้ว,” พอลพูด.

         “บอกนั้นกับชานิเถิด,” เจสสิกาพูด, และมองไปยังช่องทางเดินจากด้านหลังของทำเนียบวัง.

         ชานิเดินเข้ามายังมหาท้องพระโรงนั้น, เดินอยู่ระหว่างองครักษ์ฟรีเมนดังราวกับว่าไม่ทันระแวดระวังว่ามีพวกเขาอยู่ด้วย. ผ้าคลุมศีรษะและหมวกสติลล์สูทของเธอถูกเหวี่ยงไปไว้ทางด้านหลัง, หน้ากากปิดใบหน้าถูกรัดว้ที่ด้านข้าง. เธอเดินด้วยอาการโซเซป้อแป้ขณะที่เธอข้ามห้องนั้นมายืนอยู่ข้างเจสสิกา.

         พอลมองเห็นคราบน้ำตาบนแก้มของเธอ---เธอให้น้ำต่อผู้ตาย. เขารู้สึกแว่บหนึ่งของความเศร้ากระแทกผ่านทะลุตัวเขาไป, แต่มันเป็นดังราวกับว่าเขาสามารถได้แต่เพียงรู้สึกถึงสิ่งนั้นผ่านการปรากฏของชานิ.

         “เขาได้ตายแล้ว, ที่รัก,” ชานิพูด. “ลูกของเราได้ตายแล้ว.”

         รั้งตนเองเอาไว้อยู่ภายใต้การควบคุมแข็งทื่อ, พอลลุกขึ้นยืนบนเท้าของตน. เขาเอื้อมออกไป, สัมผัสที่แก้มของชานิ, รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นของน้ำตาเธอ. “เขาไม่สามารถถูกแทนที่ได้,” พอลพูด, “แต่จะไม่มีลูกชายอื่นใดอีก. เป็นอูซุลที่สัญญานี้.” อย่างนุ่มนวล, เขาเคลื่อนเธอไปทางด้านข้าง, ส่งสัญญาณต่อสติลจาร์.

         มวดดิบ,” สติลจาร์พูด.

         “พวกเขามาจากยานเรือ, จักรพรรดิและผู้คนของเขา,” พอลพูด. “ข้าจะยืนอยู่ที่นี่. นำเชลยทั้งหลายมารวมกันในที่ว่างตรงศูนย์กลางของห้องนี้. พวกเขาจะถูกให้อยู่ในระยะห่างสิบเมตรจากข้าจนกว่าข้าจะบัญชาเป็นอย่างอื่น.”

         “ตามท่านบัญชา, มวดดิบ.”

         ขณะที่สติลจาร์หันออกไปทำตามคำสั่ง, พอลได้ยินเสียงพึมพัมตื่นตระหนกของยามรักษาการณ์ฟรีเมนทั้งหลาย: “เห็นมั๊ย? ท่านรู้! ไม่มีใครได้บอกกับท่าน, แต่ท่านรู้!

         คณะบุคคลสำคัญของจักรพรรดิคงสามารถถูกได้ยินการเข้ามาถึงแล้วในตอนนี้, ซาร์เดาการ์ของพระองค์ฮัมเพลงสวนสนามหนึ่งของพวกตนเพื่อรักษาวิญญาณของพวกตนให้ฮึกเหิมไว้. แล้วก็มีเสียงพึมพำทั้งหลายที่ปากทางเข้าและเกอร์นีย์ ฮัลเล็คได้ผ่านทะลุพวกยามรักษาการณ์เข้ามา, ข้ามมาเพื่อหารือกับสติลจาร์, แล้วเคลื่อนมายังด้านข้างของพอล, แววแปลกประหลาดปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา.

         ข้าจะสูญเสียเกอร์นีย์ไป, ด้วยเช่นกันหรือ? พอลกังขาใจ. วิธีที่ข้าได้เสียสติลจาร์ไป---เสียเพื่อนหนึ่งไปเพื่อได้ผู้สวามิภักดิ์สักการะมา?

         “พวกเขาม่ยอมวางอาวุธ,” เกอร์นีย์พูด. “ข้าได้ทำให้แน่ใจนั่นด้วยตนเอง.” เขาชำเลืองมองไปรอบห้อง, มองเห็นการเตรียมการทั้งหลายของพอล. “ฟียด์-เราธา ฮาร์คอนเนน อยู่ในหมู่พวกเขาด้วย. ใหข้าตัดเขาออกมาไหม?”

         “ปล่อยเขาไว้.”

         “มีบางผู้คนของกิลด์, ด้วย, เรียกร้องสิทธิพิเศษเฉพาะ, ข่มขู่เรื่องการสั่งห้ามค้าขายต่ออาร์ราคิส. ข้าบอกพวกเขาว่าจะได้เรียนข่าวนี้ต่อท่าน.”

         “ปล่อยพวกเขาข่มขู่ไป,”

         พอล!เจสสิกาฟึ่ดฟั่ดอยู่ข้างหลังของเขา. “เขากำลังพูดถึงกิลด์อยู่นะ.”

         “ข้ากำลังจะถอนเขี้ยวพวกมันอยู่ในไม่ช้านี้,” พอลพูด.

         และเขาคิดในครานั้นเกี่ยวกับพวกกิลด์---กองกำลังที่ได้สิทธิพิเศษมายาวนานจนกระทั่งได้กลายเป็นตัวปรสิต, ไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ได้อย่างเป็นอิสระแห่งชีวิตอยู่บนสิ่งซึ่งมันกินเนอาหาร. พวกมันไม่เคยได้กล้าที่จะกุมดาบ---และบัดนี้พวกมันก็ยังไม่สามารถกุมมันได้. พวกมันอาจได้ยึดเอาอาร์ราคิสเมื่อพวกมันได้ตระหนักว่าความผิดพลาดของพิเศษเฉพาะนั้นกับเมลานจ์(mélange - สารเครื่องเทศ)ยาเสพติดปฏิชีวนะต่อสัมปชัญญะสำหรับการนำร่องในอวกาศของพวกตน. พวกมันสามารถทำเช่นนี้ได้, มีชีวิตอยู่กับวันรุ่งโรจน์ของพวกมันและตายไป. แทนที่เช่นนั้น, พวกมันได้ดำรงอยู่จากขณะหนึ่งไปยังขณะหนึ่ง, หวังว่าทะเลทั้งหลายในที่พวกมันได้ว่ายอยู่อาจจะผลิตสร้างเจ้าภาพรายใหม่เมื่อรายที่แก่ชราได้ตายลงไป.

         ผู้นำร่องกิลด์ทั้งหลาย, ได้ของกำนัลด้วยการมองเห็นล่วงหน้าที่ถูกจำกัด, ได้ทำการตัดสินใจสำคัญถึงตาย: พวกมันได้เลือกแต่เส้นทางที่เปิดโล่ง, ปลอดภัยได้เสมอที่กระทั่งนำลงเข้าไปในสภาวะวิกฤติ.

         ปล่อยพวกมันมองดูอย่างใกล้ชิดต่อเจ้าภาพใหม่ของพวกมัน, พอลคิด.

         “มีด้วยเช่นกันเป็นแม่อธิการเบเน เกสเสอริตผู้ที่บอกว่าเธอเป็นสหายของมารดาท่าน,” เกอร์นีย์พูด.

         “มารดาของข้าไม่มีสหายใดของเบเน เกสเสอริต.”

         อีกครั้ง, เกอร์นีย์ชำเลืองไปรอบมหาท้องพระโรง, แล้วก้มลงใกล้กับหูของพอล, “ธูเฟอร์ ฮาวัตก็อยู่ในกลุ่มของพวกนั้นด้วย, ฝบาท. ข้าไม่มีโอกาสที่จะพบกับเขาได้ตามลำพัง, แต่เขาใช้สัญญาณมือเก่าแก่ที่บอกว่าเขาได้ทำงานอยู่กับพวกฮาร์คอนเนนส์, คิดว่าท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว. บอกว่าเขาถูกทิ้งให้เหลืออยู่ในท่ามกลางพวกมัน.”

         “เจ้าทิ้งธูเฟอร์ไว้ในหมู่กลุ่มพวก.....”

         “เขาต้องการทำเช่นนั้น.....และข้าก็คิดว่ามันดีที่สุด. ถ้า.....มีอะไรบางอย่างผิดปกติ, เขาอยู่ในที่ที่เราสามารถควบคุมเขาได้. ถ้าไม่---เราก็มีหูคอยฟังอยู่ในอีกฝ่าย.”

         พอลคิดต่อจากนั้นไปถึงภาพที่เห็นล่วงหน้าเข้าไปในความเป็นไปได้ทั้งหลายของชั่วขณะนี้---และเส้น-เวลาอันหนึ่งที่ซึ่งธูเฟอร์ถือเข็มยาพิษที่จักรพรรดิบัญชาให้เขาเอามาใช้กับต่อ “ผู้ทะลึ่งพรวดขึ้นมาเป็นดยุคนี้”.

         ยามรักษาการณ์ทางเข้าก้าวออกไปทางด้านข้าง, ทำแนวแถวช่องทางเดินสั้นๆของซุ้มหอก. แล้วก็มีเสียงพึมพัมเสียดสีของเสื้อผ้าทั้งหลายเข้ามา, เสียงตบเท้าไล่ทรายที่ได้ไหลสาดเข้ามาในทำเนียบราชสำนักนี้.

         จักรพรรดิ ปาดิชาห์ ชัดดัม ที่ 4 เดินนำผู้คนเข้ามาในโถง. หมวกเกราะเบอร์เส็จของเขาได้สูญหายไปและผมสีแดงของเขาตั้งชันออกมาในทุกทิศทาง. แขนเสื้อด้านซ้ายของเครื่องแบบของเขาได้ฉีกขาดออกเป็นริ้วไปตามซับใน.  เขาไร้ซึ่งเข็มขัดและปราศจากอาวุธทั้งหลาย, แต่การปรากฏตัวของเขาก็เคลื่อนที่ไปกับเขาเหมือนมีฟองโล่ห์พลังระยิบระยับที่คอยปกปักษ์เขาในพื้นที่โล่ง.

         พลฟรีเมนผู้หนึ่งลดหอกลงขวางเส้นทางของเขา, หยุดตัวเขาไว้ในที่ซึ่งพอลได้สั่งการไว้. คนอื่นๆสุมคั่งกันอยู่ด้านหลัง, ภาพปะติดปะต่อของสีสัน, ของความงุ่มง่ามและใบหน้าที่จ้องมองมา.

         พอลกวาดสายตาของตนผ่านกลุ่มคนเหล่านั้น, เห็นพวกผู้หญิงที่ซ่อนอาการของการร้องไห้, เห็นพวกมหาดเล็กที่ได้มาเพื่อจะได้รื่นรมย์นั่งอัฒจันทร์ยิ่งใหญ่ชมชัยชนะของซาร์เดาการ์และในตอนนี้กลับยืนสำลักหายใจเงียบงันกับการพ่ายแพ้. พอลเห็นดวงตาสุกใสดุจนกของแม่อธิการ ไกอัส เฮเลน โมฮิยัม อยู่ภายใต้หมวกคลุมศีรษะสีดำ, และด้านข้างเธอคือร่างเรียวแอบซ่อนปลอมตนของ ฟียด์-เราธา ฮาร์คอนเนน.

         มีใบหน้าหนึ่งที่กาลเวลาทรยศต่อข้า, พอลคิด.

         เขามองเลยฟียด์-เราธาไปในครานั้น, ถูกดึงดูดใจด้วยการเคลื่อนไหว, มองเห็นว่ามีใบหน้าเรียว, ดุจพังพอนที่เขาไม่เคยประสบพบมาก่อน---ไม่ใช่ในกาลหรือนอกออกไปจากมัน. มันเป็นใบหน้าใบหน้าที่เขารู้สึกว่าเขาควรจะรู้และความรู้สึกนั้นนำมาซึ่งเครื่องหมายของความกลัว.

         ทำไมข้าถึงกลัวชายผู้นั้น? เขาแปลกใจสงสัย.

         เขาเอนไปหามารดาของเขา, กระซิบ: “ชายคนนั้นทางด้านซ้ายมือของแม่อธิการ, ท่าทีชั่วร้าย---นั่นคือใครหรือ?”

         เจสสิกามอง, จดจำได้ในใบหน้าจากเอกสารบันทึกทั้งหลายของดยุค. “เคานท์ เฟนริง,” เธอพูด. “ผู้ที่อยู่ที่นี่ทันทีหนึ่งก่อนที่เราจะมาถึง. เชื้อสายขันที.....และนักฆ่า.”

         เด็กวิ่งรับใช้ของจักรพรรดิ, พอลคิด. และความคิดนั้นเป็นความตื่นตกใจกระแทกโครมเข้าข้ามผ่านจิตสำนึกของเขาเพราะเขาได้เห็นจักรพรรดิในกลุ่มสมาคมทั้งหลายนับไม่ถ้วนแผ่กระจายผ่านไปทั่วอนาคตที่เป็นไปได้ทั้งหลาย---แต่ไม่แม้แต่ครั้งเดียวที่มีเคานท์ เฟนริงปรากฏอยู่ภายในภาพทัศน์ล่วงหน้าเหล่านั้น.

         มันบังเกิดต่อพอลครานั้นว่าเขาได้เห็นร่างที่ตายของตนเองไปตามโยงใยของเวลาที่เอื้อมไปถึงนับไม่ถ้วน, แต่ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียวที่เขาได้เห็นชั่วขณะการตายของตนนั้น.

         ข้าได้ถูกปฏิเสธการมองผาดเห็นชายผู้นี้เพราะเขาคือผู้ที่ฆ่าข้าหรือ? พอลกังขาใจ.

         ความคิดนั้นส่งความเจ็บแปลบของการถูกสั่งห้ามทะลุผ่านเขา. เขาบังคับความสนใจของตนออกไปจากเฟนริง, มองในตอนนี้ที่ซาร์เดาการ์ซึ่งยังเหลืออยู่ทั้งทหารและเจ้าหน้าที่, ความขื่นขมและความสิ้นหวังบนใบหน้าของพวกนั้น. ที่นี่และที่นั่นในหมู่พวกนั้น, ใบหน้าทั้งหลายจับความสนใจของพอลโดยสรุป: เจ้าหน้าที่ทั้งหลายของซาร์เดาร์กำลังตรวจตราประเมินการเตรียมพร้อมทั้งหลายภายในห้องนี้, วางแผนและวางเค้าโครงกระนั้นสำหรับหนทางที่จะผลิกผันความพ่ายแพ้ไปเป็นชัยชนะ.

         ความสนใจของพอลมาถึงในที่สุดยังผู้หญิงผมบลอนด์ร่างสูง, ดวงตา-สีเขียว, ใบหน้าของความงามเยี่ยงราชนิกูล, เลิศล้ำในความสง่าสูงศักดิ์ของมัน, ไร้การแตะต้องของน้ำตา, ไร้การพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์สิ้น. พอลรู้ถึงเธอ---เจ้าหญิงราชธิดา, เบเน เกสเสอริต---ที่ถูกฝึกฝนมา, ใบหน้าที่กาลทัศน์ได้แสดงต่อเขาในหลายรูปลักษณ์: อีร์อูลาน.

         นี่คือกุญแจของข้า, เขาคิด.

         แล้วเขาเนการเคลื่อนไหวขึ้นในกลุ่มสุมผู้คนนั้น, ใบหน้าหนึ่งและร่างโผล่พรวดออกมา---ธูเฟอร์ ฮาวัต, ชายมากแผลตะเข็บเฒ่าด้วยรอยเปื้อนคล้ำเข้มที่ริมฝีปาก, ไหล่ก้อนคุ้มค่อม, ท่าทางเปราะบางในอายุเกี่ยวกับตัวเขา.

         “นั่นไงธูเฟอร์ ฮาวัต, พอลพูด. “ปล่อยเขาให้ยืนเป็นอิสระเถิด, เกอร์นีย์.”

         “ฝบาท,” เกอร์นีย์พูด.

         “ปล่อยเขาให้ยืนอิสระ,” พอลพูดซ้ำ.

         เกอร์นีย์พยักหน้ารับ.

         ฮาวัตเดินลากขามาข้างหน้าขณะที่หอกของฟรีเมนได้ยกขึ้นและลดลงกลับตามหลังเขา. ดวงตาต้อคู่นั้นหรี่มองยังพอล, ประเมิน, เสาะหา.

         พอลไปข้างหน้าหนึ่งก้าว, สัมผัสรู้ถึงความตึงเครียด, รอคอยการเคลื่อนไหวของจักรพรรดิและผู้คนของเขา.

         สายตาจ้องของฮาวัตแทงผ่านพอล, และชายเฒ่าพูด:ท่านหญิง เจสสิกา, ข้าได้แต่เรียนรู้ในวันนี้ว่าข้านั้นได้ทำผิดต่อท่านอย่างไรในความคิดของข้า. ท่านไม่จำเป็นต้องให้อภัยเลย.”

         พอลรอคอย, แต่มารดาของเขายังคงนิ่งเงียบ.

         ธูเฟอร์, เพื่อนเก่า,” พอลพูด, “ดังที่เจ้าสามารถเห็นได้, หลังของข้าไม่ได้หันไปยังประตูใด.”

         “จักรวาลนั้นเต็มไปด้วยประตูทั้งหลาย,” ฮาวัตพูด.

         “ข้าเป็นลูกชายของบิดาข้าหรือไม่?” พอลถาม.

         “เหมือนมากยิ่งกว่ากับปู่ทวดของท่าน,” ฮาวัตพูดแหบพร่า. “ท่านมีกิริยาของเขาและแววตาของเขาในดวงตาของท่าน.”

         “กระนั้นก็ยังเป็นลูกชายของบิดาข้า,” พอลพูด. “เพราะข้าพูดต่อเจ้า, ธูเฟอร์, ว่าในจ่ายใก้ต่อเจ้าหลายปีของการรับใช้ต่อครอบครัวข้าทานอาจในตอนนี้ถามสิ่งใดก็ได้กับข้าตามที่ท่านปรารถนา. สิ่งใดทั้งหมด. ท่านต้องการชีวิตข้าในตอนนี้หรือ, ธูเฟอร์? มันเป็นของท่าน.” พอลก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว, มือทั้งสองอยู่ที่ข้างกายของเขา, มองเห็นการมองอย่างตื่นระวังเติบโตขึ้นในดวงตาของธูเฟอร์.

         เขาตระหนักแล้วว่าข้ารู้ถึงการทรยศนั้น, พอลคิด.

         ขึ้นระดับสูงขึ้นในเสียงของเขาเพื่อพาไปในกึ่ง-กระซิบเพื่อหูของฮาวัตเพียงคนเดียว, พอลพูด: “ข้าหมายถึงเรื่องนี้, ธูเฟอร์. ถ้าท่านจะแทงข้า, ทำมันเลยเดี๋ยวนี้.”

         “ข้าได้แต่ต้องการที่จะยืนเบื้องหน้าท่านอีกสักครั้ง, ดยุคของข้า,” ฮาวัตพูด. และพอล กลายเป็นระแวดระวังเป็นครั้งแรกของความพยายามที่ชายเฒ่านี้ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร่วงลงไป. พอลเอื้อมมือออกไป,พยุงฮาวัตที่บ่านั้น, รู้สึกถึงกล้ามเนื้อกระตุกสั่นรัวอยู่ใต้มือของตน.

         “มีความเจ็บปวดหรือ, เพื่อนยาก?” พอลถาม.

         “มีความเจ็บปวดอยู่, ดยุคของข้า,” ฮาวัตยอมรับ, “แต่ความพึงใจนั้นยิ่งใหญ่กว่า.” เขากึ่งหันร่างไปในอ้อมแขนของพอล, ยืดมือซ้ายของตนออก, ฝ่ามือหงายขึ้น, ไปยังจักรพรรดิ, เปิดให้เห็นถึงเข็มเล็กนิดซ่อนอยู่ในอุ้งนิ้วนั้น. “เห็นไหม, ฝ่าบาท?” เขาตะโกนเรียก, “เห็นเข็มของผู้ทรยศของพระองค์ไหม? พระองค์คิดว่าข้าผู้ได้ถวายชีวิตของข้าเพื่อรับใช้ต่ออะไทรดิสจะใช้งานพวกมันในตอนนี้หรือ?”

         พอลร่างเซไปเมื่อชายเฒ่านั้นทรุดลงในอ้อมแขนของเขา, รู้สึกถึงความตายที่นั้น, กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกอย่างเต็มที่. อย่างนิ่มนวล, พอลลดร่างของธูเฟอร์ ฮาวัตลงยังพื้นห้อง, หยัดกายขึ้นและส่งสัญญาณให้ทหารรักษาการณ์ได้เข้ามาแบกร่างนั้นออกไป.

         ความเงียบงันยึดครองทั่วโถงท้องพระโรงขณะที่คำบัญชาของเขาได้รับการเชื่อฟัง.

         ท่าทีของการรอคอยความตายครองอยู่บนใบหน้าของจักรพรรดิในตอนนี้. ดวงตาที่ไม่เคยได้ยอมรับต่อความหวาดกลัวก็ต้องยอมรับมันในที่สุด.

         ฝ่าบาท,” พอลพูด, และสังเกตเห็นอาการกระตุกของความสนใจอย่างแปลกใจในร่างสูงของเจ้าหญิง ราชนิกูล. คำพูดนั้นได้เอ่ยออกมาด้วยถูกควบคุมไร้ทำนองเยี่ยงเบเน เกสอริต, นำพาไปในมันทุกเงาของความเหยียดหยามและหมิ่นแคลนที่พอลจะสามารถใส่มันลงไปในนั้นได้.

         เบเน เกสเสอริต ได้ฝึกฝนมาอย่างแท้จริง, พอลคิด.

         จักรพรรดิกระแอมในลำคอของตน, ตรัส: “บางทีญาติที่เคารพของข้าเชื่อว่าเขาทำในสิ่งทั้งหลายทั้งหมดในวิธีของเขาเองกันในตอนนี้. ไม่มีอะไรสามารถเป็นได้กับญาติที่ห่างไกลยิ่งกว่าจากความจริง. เจ้าได้ละเมิดร้ายแรงต่อมหาประชาคม, ใช้ระเบิดปรมาณูทั้งหลายต่อ---”

         “ข้าได้ใช้ระเบิดปรมาณูต่อรูปลักษณ์ธรรมชาติของทะเลทรายนี้,” พอลพูด. “มันขวางทางของข้าและข้าก็เร่งรีบที่จะเข้ามาหาท่าน, ฝ่าบาท, เพื่อถามหาคำอธิบายของท่านสำหรับบางกิจกรรมทั้งหลายอันแปลกประหลาดของท่านนี้.”

         “มียานเรือรบขบวนใหญ่ของมหาราชสำนักในอวกาศเหนืออาร์ราคิสในตอนนี้,” จักรพรรดิพูด. “ข้าได้แต่จะพูดว่าเพียงคำเดียวนั้นและพวกเขาก็จะ---”

         “โอ้, ใช่,” พอลพูด. “ข้าเกือบจะลืมไปเกี่ยวกับพวกนั้น.” เขาค้นหาผ่านไปทั่วคณะติดตามของจักรพรรดิจนกระทั่งเขาเห็นใบหน้าของสองเจ้าหน้าที่กิลด์นั้น, พูดไปทางด้านข้างยังเกอร์นีย์. “นั่นคือเจ้าหน้าที่ของกิลด์หรือ, เกอร์นีย์, สองคนที่อ้วนคนหนึ่งแต่งกายในชุดสีเทายืนอยู่ตรงโน้น?”

         “ขอรับ, ฝบาท.”

         “เจ้าทั้งสอง,” พอลพูด, ชี้ไปหา. ก้าวออกมาข้างนอกจากตรงนั้นทันทีนี้และส่งข่าวสารทั้งหลายที่จะให้กองยานเรือเหล่านั้นเดินทางกลับไปบ้าน. หลังจากนี้แล้ว, เจ้าต้องขออนุญาตจากข้าก่อนที่จะ---”

         กิลด์ไม่รับคำสั่งใดจากเจ้า!” คนร่างสูงกว่าของทั้งสองคำราม. เขาและคู่หูของเขาถูกผลักดันเข้าไปหาแนวกั้นของพลหอกทั้งหลาย, ที่ยกชูหอกขึ้นตามสัญญาณพยักหน้าจากพอล. ชายทั้งสองก้าวออกมาและชายร่างสูงกว่ายกแขนขึ้นมาหาระดับของพอล, พูด: “เจ้าอาจจะดีมากที่อยู่ภายใต้การขนส่งสินค้าของเจ้าสำหรับ---”

         “ถ้าข้าได้ยินคำไร้สาระอีกไม่ว่าจากผู้ใดในพวกเจ้า,” พอลพูด. “ข้าจะให้คำสั่งที่จะทำลายผลผลิตเครื่องเทศทั้งหมดบนอาร์ราคิส.....ไปตลอดกาล.”

         “เจ้าบ้าไปแล้วรึ?” กิลด์คนร่างสูงกว่าตวาดถาม. เขาร่วงถอยกลับไปครึ่งก้าว.

         “เจ้ายอมรับสินะว่าข้ามีอำนาจที่จะทำสิ่งนี้ได้, งั้น?” พอลถาม.

         คนของกิลด์นั้นดูเหมือนจะจ้องเข้าไปในอวกาศชั่วขณะ, แล้ว: “ใช่. ท่านสามารถทำมันได้, แต่ท่านต้องไม่ทำ.”

         “อา-ห-ห,” พอลพูดและพยักหน้าให้กับตนเอง. “ผู้นำร่องของกิลด์, เจ้าทั้งสองสินะ, เอ๋?”

         “ใช่!

         ชายร่างเตี้ยกว่าของทั้งคู่พูด: “ท่านก็ทำให้ตนเองตาบอดไปด้วย, เช่นกัน, และทำให้พวกเราทั้งหมดตายลงอย่างช้าๆ. ท่านมีความคิดใดหรือไม่ว่ามันหมายถึงการสูญขาดไปซึ่งน้ำเครื่องเทศกลั่นที่ครั้งหนึ่งท่านได้เสพย์ติดมันไปแล้ว?”

         “ดวงตาที่มองหาเส้นทางปลอดภัยได้ถูกปิดลงไปตลอดกาล,” พอลพูด. “กิลด์ก็คือพวกพิการ. มนุษย์ทั้งหลายกลายเป็นกลุ่มเล็กๆทั้งหลายบนดาวเคราะห์ของตนเองแยกจากกัน. เจ้ารู้ไหม, ข้าสามารอาจจะทำสิ่งนี้ออกมาจากทั้งๆบริสุทธิ์ใจหวังดี.....หรือไม่ออกมาจากความเบื่อหน่ายอย่างที่สุด.”

         “ขอเราจงได้พูดเรื่องนี้ให้จบอย่างเป็นการส่วนตัวกันเถิด,” ชายกิลด์ร่างสูงพูด. “ข้าแน่ใจว่าเราสามารถไปถึงความประนีประนอมบางอย่างกันได้ว่า---”

         “ส่งข่าวไปยังผู้คนของเจ้าเหนืออาร์ราคิส,” พอลพูด. “ข้าเริ่มเบื่อหน่ายกับการโต้เถียงนี้แล้ว. ถ้ากองเรือยานเหนือเรานั้นไม่ไปโดยเร็วก็จะไม่มีความจำเป็นใดในการพูดคุยกันอีก.” เขาพยักหน้าไปทางพลสื่อสารทั้งหลายของเขาที่ด้านหนึ่งของโถงท้องพระโรง. “เจ้าอาจใช้เครื่องมือของเรานั่นได้.”

         “อย่างแรกเราต้องถกกันในเรื่องนี้ก่อน,” ชายกิลด์ร่างสูงพูด. “เราไม่สามารถแค่---”

         “ทำมันซะ!พอลตวาด. “อำนาจที่จะทำลายสิ่งหนึ่งนั้นย่อมควบคุมอย่างสัมบูรณ์สิ้นเหนือมัน. เจ้าได้ยอมรับแล้วว่าข้ามีอำนาจนั้น. เราไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพื่อถกเถียงหรือต่อรองหรือประนีประนอม. เจ้าจะยอมรับเชื่อฟังคำสั่งทั้งหลายของข้าหรือไม่ก็ทุกข์ทรมานกับผลลัพธ์นั้นในทันทีนี้.

         “เขาหมายเอาเช่นนั้น,” ชายกิลด์ร่างเตี้ยพูด. และพอลเห็นความหวาดกลัวเกาะกุมพวกเขา.

         อย่างช้าๆทั้งสองคนนั้นเดินข้ามโถงไปยังอุปกรณ์สื่อสารของฟรีเมนเหล่านั้น.

         “พวกเขาจะเชื่อฟังไหม?” เกอร์นีย์ถาม.

         “พวกเขามีแค่ภาพทัศน์แคบๆของกาละเวลา,” พอลพูด. “พวกเขาสามารถมองเห็นข้างหน้าได้เป็นกำแพงว่างเปล่าที่ทำขึ้นจากผลลัพธ์ของการไม่ยอมรับเชื่อฟัง. ทุกผู้นำร่องของกิลด์บนยานเรือทุกลำเหนือพวกเราสามารถมองไปข้างหน้ายังกำแพงเดียวกันนั้น. พวกเขาจะเชื่อฟัง.”

         พอลหันกลับมามองยังจักรพรรดิ, พูด: “เมื่อพวกเขาอนุญาตให้ท่านได้ปีนบัลลังก์ของบิดาท่าน, มันเป็นเพียงแค่บนการรับประกันว่าท่านจะรักษาเครื่องเทศให้หลั่งไหลต่อไปได้. ท่านได้สร้างความล้มเหลวกับพวกเขา, ฝ่าบาท. ท่านรู้ไหมว่าถึงผลลัพธ์ของมัน?”

         “ไม่มีใครที่ได้อนุญาตให้ข้าได้---”

         “หยุดเล่นบทคนโง่เถิด,” พอลตวาด. “พวกกิลด์เป็นเหมือนหมู่บ้านข้างแม่น้ำ. พวกเขาจำเป็นต้องการน้ำ, แต่สามารถได้แต่เพียงตักเอามาดื่มได้แค่ที่พวกเขาต้องการ. พวกเขาไม่สามารถสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำและควบคุมมันได้เพราะว่านั่นสร้างความสนใจทั้งหลายให้เพ่งมาสู่กับที่ที่พวกเขาเอาไป, มันนำมาซึ่งการพังทลายไปในท้ายสุด. เครื่องเทศนั้นไหล, นั่นคือแม่น้ำของพวกเขา, และข้าได้สร้างเขื่อนขึ้นมา. แต่เขื่อนของข้านั้นเป็นเยี่ยงที่ท่านไม่สามารถทำลายมันลงได้โดยปราศจากการทำลายแม่น้ำไปด้วย.”

         จักรพรรดิปัดมือหนึ่งผ่านผมสีแดงของเขา, ชำเลืองมองยังด้านหลังของสองชายกิลด์นั้น.

         “แม้กระทั่งเบเน เกสเสอริต ผู้สอบสัจวจนะของท่านก็กำลังตัวสั่น,” พอลพูด. “มียาพิษอื่นอีกที่แม่อธิการทั้งหลายสามารถใช้กับกลเม็ดเล่ห์ร้ายของพวกเขา, แต่เมื่อใดที่พวกเขาได้ใช้นำ เครื่องเทศกลั่นนั้นแล้ว, สิ่งอื่นใดๆก็ใช้งานไม่ได้อีกต่อไป.”

         หญิงชรานั้นดึงเสื้อคลุมไร้รูปทรงสีดำทั้งหลายนั้นรอบร่างของเธอ, ดันตัวไปข้างหน้าออกมาจากกลุ่มคนเพื่อยืนที่แนวกั้นของหอกทั้งหลาย.

         แม่อธิการ ไกอัส เฮเลน โมฮิยัม,” พอลพูด. “มันได้นานมาแล้วตั้งแต่ที่คาลาดาน, ไม่ใช่หรือ?”

         เธอมองผ่านเขาไปที่มารดาของเขา, พูด: “ไง, เจสสิกา, ข้าเห็นว่าลูกชายของเจ้าเป็นผู้นั้นจริงแท้. เพราะนั่นเจ้าสามารถถูกให้อภัยได้แม้กระทั่งความน่าขยะแขยงของลูกสาวเจ้า.”

         พอลยังคงไว้ซึ่งความเย็นชา, ทิ่มแทงความโกรธ, พูด: “เจ้าไม่เคยมีสิทธิหรือเหตุอันใดที่จะมาให้อภัยต่อมารดาของข้าในสิ่งใดทั้งนั้น.”

         หญิงชรายึดดวงตาตาติดอยู่กับเขา.

         “พยายามใช้กลเม็ดกับข้าเถิด, แม่มดเฒ่า,” พอลพูด. “ก็อม จับบาร์ของเจ้าอยู่ที่ไหนหรือ? พยายามมองเข้าไปในที่แห่งนั้นที่ซึ่งเจ้าไม่หาญกล้าจะมองดู! เจ้าจะพบข้ากำลังจ้องมองออกมายังเจ้า!

         หญิงชรานั้นทิ้งสายตาจ้องต่ำลง.

         “เจ้าไม่มีสิ่งใดจะพูดหรือ?” พอลบัญชาสั่ง.

         “ข้ายินดีต้อนรับเจ้ายังตำแหน่งชนชั้นทั้งหลายของมนุษย์,” เธอพึมพำ. “อย่าทำลายมันนั่นไปเสีย.”

         พอลขึ้นเสียงของตน: “ดูเธอไว้สิ, สหายทั้งหลาย! นี่คือ เบเน เกสเสอริต แม่อธิการ, ขันติในเหตุแห่งขันติ. เธอสามารถรอคอยกับภคินีทั้งหลายของเธอ---เก้าสิบรุ่นอายุเพื่อการผสมปนรวมของเชื้อพันธุ์และสภาพแวดล้อมทั้งหลายเพื่อผลิตสร้างผู้หนึ่งในโครงร่างของพวกตนได้ต้องการ. ดูเธอไว้สิ! เธอรู้ในตอนนี้แล้วว่าเก้าสิบชั่วรุ่นที่ได้ผลิตสร้างผู้นั้น. นี่ไงล่ะข้า.....แต่.....ข้า.....จะ.....ไม่มีวัน.....ทำ.....ตามบัญชา....ของเธอ!

         เจสสิกา!” หญิงชรากรีดร้อง. “ทำเขาเงียบ!

         “ทำให้เขาเงียบด้วยตนเองสิ,” เจสสิกาพูด.

         พอลเหลือบมองหญิงชรานั้น. “สำหรับส่วนของเจ้าในทังหมดนี้ข้าควรจะดีใจกับการให้เจ้าถูกบีบคอฆ่า,” เขาพูด. “เจ้าไม่สามารถป้องกันมันได้!” เขาตวาดใส่ในขณะที่เธอตัวแข็งทื่อในความโกรธ. “แต่ข้าคิดว่ามันจะเป็นการลงทัณฑ์ที่ดีกว่าที่ให้เจ้าใช้ชีวิตหมดไปหลายปีของเจ้าโดยไม่มีวันสามารถที่จะแตะต้องข้าหรือโน้มน้าวข้าได้แม้แต่สิ่งเดียวที่โรงร่างฝันของเจ้าปรารถนา.”

         เจสสิกา, เจ้าได้ทำอะไรลงไป?” หญิงชรานั้นถามสั่ง.

         “ข้าให้เจ้าเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น,” พอลพูด. “เจ้าได้เห็นส่วนหนึ่งของอะไรที่ชาติพันธุ์จำเป็นต้องการ, แต่ช่างน่าสงสารยิ่งนักที่เจ้าได้เห็นมัน. เจ้าคิดที่จะควบคุมสายพันธุ์มนุษยชาติและผสมปนภายในที่คัดเลือกเพียงน้อยนิดตามแผนแม่บทของเจ้า! ช่างน้อยนิดอย่างไรนักที่เจ้าได้เข้าใจต่ออะไรที่--”

         “เจ้าต้องไม่พูดถึงสิ่งเหล่านี้!” หญิงชราขู่ฟ่อ.

         “เงียบ!พอลคำราม. คำนั้นดูเหมือนเอาแก่นชีวิตไปขณะที่มันบิดคั้นทะลุผ่านไปในอากาศระหว่างพวกเขาภายใต้การควบคุมของพอล.

         หญิงชราม้วนกลับเข้าไปในแขนของเหล่าผู้ที่อยู่ด้านหลังของเธอ, ใบหน้าว่างเปล่าด้วยความตื่นตกใจที่พลังอำนาจซึ่งเขาได้จับกุมสภาพจิตของเธอด้วยมัน. “เจสสิกา,” เธอกระซิบ, “เจสสิกา.”

         “ข้าจำก็อม จับบาร์ของเจ้าได้,” พอลพูด. “เจ้าก็จำของข้าได้. ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้ด้วยเพียงคำพูดเดียว.”

         ฟรีเมนที่รายรอบโถงท้องพระโรงนั้นเหลือบมองกันและกันอย่างล่วงรู้เรื่องนี้ดี. ตำนานไม่ได้กล่าวไว้หรอกหรือ:และคำพูดของเขาจะพาความตายชั่วนิรันดร์มาสู่เหล่าผู้ที่ยืนต่อต้านซึ่งความชอบธรรม.”

         พอลหันความสนใจของเขาไปยังเจ้าหญิงราชธิดาร่างสูงนั้นที่กำลังยืนอยู่ด้านข้างบิดาจักรพรรดิของเธอ. รักษาสายตาของเขาเพ่งจับอยู่ที่เธอ, เขาพูด:ฝ่าบาท, เราทั้งคู่รู้ดีถึงหนทางออกไปจากความยุ่งยากนี้.”

         จักรพรรดิชำเลืองมองที่ธิดาของตน, กลับมาที่พอล. “เจ้ากล้ารึ? เจ้า! คนเร่ร่อนที่ไร้ชาติตระกูล, ไร้หัวนอนปลายเท้าจาก---”

         “ท่านได้ยอมรับข้าไปแล้วว่าข้าเป็นใคร,” พอลพูด. “เครือญาติแห่งราชศักดิ์, ท่านพูด. หยุดเรื่องไร้สาระนี้กันเถิด.”

         “ข้าคือผู้ปกครองแห่งเจ้า,” จักรพรรดิพูด.

         พอลชำเลืองมองไปที่ชายแห่งกิลด์ที่กำลังยืนอยู่ในตอนนี้ที่เครื่องมือสื่อสารและหันมาเผชิญหน้ากับเขา. หนึ่งในพวกนั้นพยักหน้า.

         “ข้าบีบบังคับได้,” พอลพูด.

         “เจ้าจะไม่กล้าหรอก!จักรพรรดิพูดเสียงแหบแห้ง.

         พอลแทบไม่จ้องมองเขา.

         เจ้าหญิง ราชธิดาวางมือของเธอลงที่แขนของบิดา. “ท่านพ่อ,” เธอพูด, และเสียงของเธอนั้นดุจใยไหม, ปลอบโยน.

         “อย่ามาใช้กลเม็ดเล่ห์ของเจ้ากับข้า,” จักรพรรดิพูด. เขามองที่เธอ. “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้, ลูกสาว. เรามีทรัพยากรทั้งหลายอื่นที่---”

         “แต่นี่คือชายที่เหมาะที่จะเป็นบุตรของท่าน,” เธอพูด.

         หญิงชราแม่อธิการ, ภาวะจิตของเธอกลับคืนมาปกติ, บังคับตัวเธอเข้าไปด้านข้างของจักรพรรดิ, เอนร่างเข้าไปใกล้กับพระกรรณของเขาและกระซิบ.

         “เธออ้อนวอนขอในเรื่องของเจ้า,” เจสสิกาพูด.

         พอลที่ยังคงมองต่อไปที่เจ้าหญิงผมสีทองนั้น. เลี่ยงไปยังมารดาของเขา, เขาพูด:นั่นคืออีร์อูลาน, คนโตที่สุด, ไม่ใช่หรือ?”

         ชานิเคลื่อนมาที่อีกด้านหนึ่งของพอล, พูด: “ท่านต้องการให้ข้าออกไปก่อนไหม, มวดดิบ?”

         เขาเหลือบมองที่เธอ. “ออกไป? เจ้าจะไม่มีวันอีกครั้งที่ได้ออกไปจากข้างกายของข้า.”

         “ไม่มีอะไรเป็นพันธะระหว่างเราแล้ว,” ชานิพูด.

         พอลก้มลงมองเธอในชั่วขณะหนึ่งอย่างเงียบงัน, แล้ว: “พูดเพียงความสัจจริงกับข้า, สีฮายะของข้า.” ขณะที่เธอเริ่มจะตอบ, เขาทำให้เธอเงียบลงด้วยการแตะนิ้วหนึ่งของตนที่ริมฝีปากของเธอ. “นั่นซึ่งได้ผูกพันเราไว้ไม่สามารถปลดคลายมันออกได้หรอก,” เขาพูด. “ตอนนี้, คอยเฝ้าดูเหตุการณ์เหล่านี้ให้ดีเพราะข้าหวังที่จะเห็นห้องนี้ภายหลังผ่านปัญญาของเจ้า.”

         จักรพรรดิและผู้สอบสัจวจนะของเขากำลังดำเนินต่อไปกับการกระซิบถกเถียงกันอย่างร้อนแรง.

         พอลพูดยังมารดาของตน: “เธอเตือนเขาให้นึกถึงว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงในการที่จะจัดวางเบเน เกสเสอริต บนบัลลังก์, และอีร์อูลานคือหนึ่งในผู้ที่พวกเขาเตรียมการเอาไว้เพื่อการนั้น.”

         “นั่นเป็นแผนการของพวกเขาหรือ?” เจสสิกาถาม.

         “มันยังไม่ชัดแจ้งอีกหรือ?” พอลถาม.

         “ข้าเห็นสัญญาณทั้งหลายนั้น!เจสสิกาเหน็บสะบัด. “คำถามของข้านั้นหมายความที่จะเตือนเจ้าว่าเจ้าควรที่จะไม่พยายามที่จะสั่งสอนข้าในแก่นสารเรื่องราวเหล่านี้ในสิ่งซึ่งข้าเป็นผู้สอนเจ้ามาเอง.”

         พอลเหลือบมองดูเธอ, จับได้ถึงรอยยิ้มเย็นชาบนริมฝีปากของเธอ.

         เกอร์นีย์ ฮัลเล็คเอนไปในระหว่างพวกเขาทั้งสอง, พูด: “ข้าขอเตือนจำท่าน, ฝบาท, ว่ามีฮาร์คอนเนนอยู่ผู้หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น.” เขาพยักหน้าไปยังฟียด์-เราธาผมดำที่ดันตนเองอยู่กับแนวหอกกั้นทางด้านซ้ายมือ. “ผู้ที่กำลังมองตาหรี่เอียงที่นั่นทางซ้ายมือ. ใบหน้าชั่วร้ายเท่าที่ข้าได้เคยพูดไว้. ท่านสัญญาต่อข้าครั้งหนึ่งว่า---”

         “ขอบคุณ, เกอร์นีย์,” พอลพูด.

         “มันเป็นรัชทายาท-บารอน.....บารอนแล้วในตอนนี้ที่ชายเฒ่านั้นได้ตายไปแล้ว,” เกอร์นีย์พูด. “เขาจะทำอะไรที่ข้าได้---”

         “ท่านรับมือกับเขาได้ไหม, เกอร์นีย์?”

         “ฝบาทล้อเล่นแล้ว!

         “ข้อถกเถียงตกลงระหว่างจักรพรรดิและแม่มดของเขาได้นานมาพอแล้ว, ท่านคิดเช่นนั้นไหม, ท่านแม่?”

         เธอพยักหน้ารับ. “จริงแท้เลย.”

         พอลยกเสียงของเขาขึ้น, เรียกออกไปยังจักรพรรดิ. “ฝ่าบาท, มีฮาร์คอนเนนอยู่ในหมู่ของท่านหรือไม่?”

         การหมิ่นแคลนเยี่ยงราชศักดิ์เผยตัวมันเองออกในวิธีที่จักรพรรดิหันร่างกลับมามองพอล. “ข้าเชื่อว่าคณะผู้ติดตามของข้าได้ถูกจัดวางอยู่ภายใต้การคุ้มครองของคำพูดเยี่ยงดยุคราชศักดิ์ของเจ้า.”

         “คำถามของข้าเพื่อข้อมูลเพียงเท่านั้น,” พอลพูด. “ข้าปรารถนาที่จะรู้ถ้าฮาร์คอนเนนอยู่อย่างเป็นทางการในคณะของท่านหรือว่าฮาร์คอนเนนนั้นเพียงแค่หลบซุกซ่อนอยู่ด้านหลังในกลยุทธของผู้ขลาดเขลา.”

         ยิ้มของจักรพรรดิบอกถึงกำลังคำนวณประเมิน. “ผู้ใดที่ยอมรับร่วมเข้าในบริษัทจักรวรรดิคือสมาชิกแห่งคณะผู้ติดตามของข้า.”

         “ท่านได้คำรับรองจากดยุค,” พอลพูด, “แต่มวดดิบนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง. เขาอาจจะไม่จดจำคำจัดความของท่านถึงอะไรคือการสถาปนาคณะติดตาม. สหายของข้าเกอร์นีย์ ฮัลเล็คปรารถนาที่จะฆ่าฮาร์คอนเนนสักคนหนึ่ง. ถ้าเขา---”

         กานลี!(kanly* - การต่อสู้ด้วยอาฆาตในหมู่ราชศักดิ์) ฟียด์-เราธาตะโกน. เขาดันตัวเข้ากับแนวหอกกั้น. “บิดาของเจ้าตั้งชื่อนี้ว่าล้างอาฆาต(vedetta), อะไทรดิส. เจ้าเรียกข้าว่าขี้ขลาดขณะที่เจ้าซ่อนอยู่ในท่ามกลางผู้หญิงของเจ้าและเสนอที่จะส่งทาสรับใช้มาใส่ข้า!

         หญิงชราผู้สอบสัจวจนะกระซิบบางอย่างที่ดุดันเข้าใส่พระกรรณขององค์จักรพรรดิ, แต่เขาผลักเธอไปทางด้านข้าง, พูด: กานลี, ใช่ไหม? มีกฎที่เข้มงวดสำหรับการต่อสู้เช่นนี้.”

         พอล, หยุดเรื่องนี้นะ,” เจสสิกาพูด.

         “ฝบาท,” เกอร์นีย์พูด. “ท่านสัญญาต่อข้าว่าวันหนึ่งที่ข้าจะได้ต่อกรกับฮาร์คอนเนนส์.”

         “ท่านได้วันนั้นของท่านไปแล้วกับพวกมัน,” พอลพูดและเขารู้สึกถึงการปลดปล่อยหลากสีสันเข้ามาครอบงำอารมณ์ของเขา. เขาเลื่อนเสื้อคลุมและหมวกคลุมออกไปจากไหล่ของตน, ยื่นส่งพวกมันไปยังมารดาของเขาพร้อมทั้งเข็มขัดและมีดกริชของตน, เริ่มต้นแกะสายรัดของสติลล์สูทของเขาออก. เขาสัมผัสรู้ได้ในตอนนี้ว่าจักรวาลนั้นเพ่งจับลงมาบนชั่วขณะนี้.

         “ไม่มีความจำเป็นในเรื่องนี้,” เจสสิกาพูด. “มีหนทางง่ายกว่าอีกมากมาย, พอล.”

         พอลก้าวออกจากสติลล์สูทของเขา, ดึงมีดกรชออกมาจากฝักของมันในมือของมารดาของตน. “ข้ารู้,” เขาพูด. “ยาพิษ, มือสังหาร, ทั้งหมดในวิธีเก่าแก่คุ้นเคยทั้งหลาย.”

         “ท่านสัญญาจะให้ฮาร์คอนเนนกับข้า!เกอร์นีย์ขู่ฟ่อด, และพอลสังเกตได้ถึงความโกรธในใบหน้าของชายนั้น, วิธีที่แผลเป็นเส้นหมึก-เถาองุ่นยืนเด่นออกมามืดคล้ำและนูนโปน. “ท่านเป็นหนี้นี้ต่อข้า, ฝบาท!

         “ท่านเจ็บปวดกับพวกมันมากไปกว่าข้าหรือ?” พอลถาม.

         “น้องสาวของข้า,” เกอร์นีย์พูดแหบพร่า. “หลายปีของข้าในหลุมนรกทาส---”

         “บิดาของข้า,” พอลพูด. “เพื่อนและสหายรักทั้งหลายของข้า, ธูเฟอร์ ฮาวัตและดันแคน ไอดาโฮ, หลายปีของข้า ที่หลบหนี้ลี้ภัยปราศจากซึ่งยศตำแหน่งและสิ่งบรรเทาช่วย.....และหนึ่งสิ่งยิ่งกว่านั้น: ตอนนี้มันคือแกนลี(kanly)และเจ้าก็รู้เป็นอย่างดีเท่าๆกับข้าถึงกฎทั้งหลายนั้นที่ต้องธำรงไว้.”

         ไหล่ของฮัลเล็คห่อเหี่ยวลง. “ฝบาท, ถ้าเจ้าหมูนั้น.....มันไม่ดีอะไรไปกว่าสัตว์เถื่อนที่ท่านเขี่ยเท้ามันออกไปได้ด้วยเท้าของท่านและเปื้อนเปรอะรองเท้าของท่านเปล่าไปเพราะมันโสโครก. เรียกตัวเพชฌฆาตมาเถอะ, ถ้าท่านต้องทำ, หรือปล่อยให้ข้าทำมันเอง, แต่อย่าเสนอตัวเองให้กับ--”

         มวดดิบไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนี้,” ชานิพูด.

         เขาเหลือบมองเธอ, เห็นความกลัวต่อเขาในดวงตาของเธอ. “แต่ดยุค พอล จำเป็น,” เขาพูด.

         “นี่มันคือสัตว์ฮาร์คอนเนน!เกอร์นีย์เสียงแหบแห้ง.

         พอลลังเลอยู่บนจุดของการเปิดเผยถึงบรรพบุรุษเชื้อสายฮาร์คอนเนนของตัวเขาเอง, หยุดมันลงด้วยสายตาคมกริบจากมารดาของเขา, พูดแค่เพียง, “แต่สิ่งนี้มีรูปร่างของมนุษย์, เกอร์นีย์, และสมควรได้รับให้ชดใช้หนี้เยี่ยงมนุษย์.”

         เกอร์นีย์พูด: “ถ้าเขาเป็นมากเยี่ยง---”

         “โปรดไปยืนทางด้านข้าง,” พอลพูด. เขาเดาะมีดกริชในมือ, ดันเกอร์นีย์ไปทางด้านข้างอย่างนุ่มนวล.

         เกอร์นีย์!เจสสิกาพูด. เธอแตะที่แขนของเกอร์นีย์. “เขาเหมือนปู่ทวดของเขาในอารมณ์เช่นนี้. อย่าก่อกวนเขาเลย. มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ท่านสามารถทำเพื่อเขาได้ในตอนนี้.” และเธอคิด: มหามารดาเถิด! ช่างใจดำยิ่งนัก.

         จักรพรรดิกำลังศึกษาฟีย์-เราธา, มองเห็นไหลใหญ่หนัก, กล้ามเนื้อหนา. เขาหันไปมองยังพอล---เกลียวแส้ปมแน่นของวัยหนุ่ม, ไม่ดังเช่นแห้งสนิทเหมือนชนท้องถิ่นอาร์ราคีนทั้งหลาย, แต่ด้วยซี่โครงที่นั่นให้นับได้, และเบ้าลึกในสีข้างทั้งหลายจนเป็นระลอกคลื่นและรวบเอากล้ามเนื้อทั้งหลายที่สามารถมีได้ไปตามนั้นอยู่ใต้ผิวหนัง.

         เจสสิกาเอนเข้าไปใกล้พอล, ขึ้นระดับเสียงของเธอเพื่อหุของเขาเพียงผู้เดียว. “หนึ่งสิ่ง, ลูกชาย. บางครั้งบุคคลอันตรายผู้หนึ่งนั้นถูกเตรียมพร้อมมาโดยเบเน เกสเสอริต, คำพูดหนึ่งได้ถูกฝังเข้าไปในจิตนอนพักที่ลึกที่สุดโดยใช้วิธีเก่าแก่ทั้งหลายอันเจ็บปวดอย่างพึงใจ. เสียง-คำพูดนั้นส่วนใหญ่ใช้ถี่บ่อยในอูโรชนอร์(Uroshnor* - คำที่ไม่มีความหมายใช้ในการสะกดจิตสั่งให้ผู้นั้นกระทำการที่กำหนดไว้เมื่อได้ยิน) ถ้าเจ้าผู้นี้ได้ถูกจัดเตรียมมา, ดังที่ข้าสงสัยคาดไว้ยิ่งนัก, คำนั้นดังในโสต

         * https://www.glossaria.net/en/dune/uroshnor

ของเขาเมื่อใดก็จะจัดกล้ามเนื้อของเขาให้อ่อนปวกเปียกลง---”

         “ข้าไม่ต้องการได้เปรียบพิเศษใดกับรายนี้,” พอลพูด. “ก้าวหลบออกไปจากเส้นทางของข้าเถิด.”

         เกอร์นีย์พูดกับเธอ: “ทำไมเขาถึงกำลังทำสิ่งนี้? เขาคิดจะเอาตนเองไปถูกฆ่าและได้รับสัมฤทธิผลด้วยการตายอย่างทรมานหรือ? คำสอนลัทธิศาสน์เพ้อเจ้อฟรีเมนนี้, คืออะไรที่เป็นเมฆหมอกนั่นมาบดบังเหตุผลเอากับเขาแล้วหรือ?”

         เจสสิกาซ่อนใบหน้าของเธอในมืองของตน, กำลังตระหนักได้ว่าเธอไม่ได้รู้อย่างเต็มเปี่ยมเลยในทำไมพอลเลือกเอาเส้นทางนี้. เธอสามารถรู้สึกถึงความตายในห้องท้องพระโณงนี้และรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่พอลได้สามารถทำในสิ่งเยี่ยงนี้ขณะที่เกอร์นีย์ถามแนะ. ทุกความสามารถปราดเปรื่องภายในตัวเธอเพ่งจับอยู่กับความจำเป็นที่จะปกป้องบุตรชายของเธอ, แต่ไม่มีอะไรเลยที่เธอจะทำได้.

         “นี้เป็นคำสอนลัทธิศาสน์นั่นหรือ?” เกอร์นีย์รบเร้า.

         “เงียบไว้เถิด,” เจสสิกากระซิบ. “แล้วสวดมนตร์.”

         ใบหน้างขององค์จักรพรรดิถูกสัมผัสไว้ด้วยรอยยิ้มในฉับพลัน. “ถ้าฟียด์-เราธา ฮาร์คอนเนน.....ของคณะติดตามข้า....ช่างปรารถนาอย่างเหลือเกินแล้ว,” เขาพูด. “ข้าก็ขอปลดเปลื้องเขาจากการควบคุมไว้ทั้งหมดและให้อิสรภาพต่อเขาที่จะเลือกเส้นทางของเขาเองในเรื่องนี้.” จักรพรรดิโบกมือไปยังยามรักษาการณ์ฟีเดย์คินของพอล. “หนึ่งในพวกไพร่ของเจ้ามีเข็มขัดและดาบสั้นของข้า. ถ้าฟียด์-เราธาปรารถนามัน, เขาอาจจะเจอกับเจ้าด้วยดาบของของข้าในมือของเขา.”

         “ข้าปรารถนามัน,” ฟียด์-เราธาพูด, และพอลเห็นความยินดีปรีดาบนใบหน้าของชายนั้น.

         เขามั่นใจในตนเองมากเกินไป, พอลคิด. มีข้อได้เปรียบตามธรรมชาติที่ข้ายอมรับได้.

         “เอาดาบของจักรพรรดิมา,” พอลพูด, และเฝ้าดูขณะที่คำบัญชาของเขได้รับการทำตาม. “วางมันไว้บนพื้นตรงนั้น.” เขาชี้ไปที่หนึ่งด้วยเท้าของตน. “กวาดพวกไพร่ของจักรพรรดิเหล่านั้นไปที่ยังกำแพงและปล่อยให้ฮาร์คอนเนนยืนโล่ง.”

         เสียงเสียดสีของเสื้อคลุม, เท้าเดินลาก, คำสั่งเสียงต่ำและเสียงร้องประท้วงปนเปไปกันอยู่ในผู้ชุมนุมตามบัญชาของพอล. ชายของกิลด์ยังคงยืนอยู่ใกล้กับเครื่องมือสื่อสาร. พวกเขาขมวดคิ้วนิ่วหน้ายังพอลอย่างัลงเลชัดแจ้ง.

         พวกเขาไม่คุ้นเคยกับการเห็นอนาคตนั้น, พอลคิด. ในกาละและเทศะนี้พวกเขาตาบอด.....แม้กระทั่งข้า. และเขาลองลม-กาละ, สัมผัสรู้ถึงความยุ่งเหยิง, พายุอนุกรมเชื่อมต่อที่ในตอนนี้เพ่งจับอยู่บนชั่วขณะสถานที่หนึ่ง. แม้กระทั่งช่องว่างจางเบาทั้งหลายก็ถูกปิดในตอนนี้. นี่คือจิฮัด(jihad)ที่ยังไม่กำเนิด, เขารู้ดี. นี่คือจิตสำนึกเผ่าพันธุ์ที่เขาได้รู้จักครั้งหนึ่งเป็นเช่นเจตจำนงอันน่าสะพรึงกลัวของเขาเอง. นี่คือเหตุผลเพียงพอสำหรับ ควิทสาตซ์ ฮาเดรัค หรือ ไลสาน อัล-กาอิบ หรือกระทั่งโครงร่างอย่างตะกุกตะกักทั้งหลายของเบเน เกสเสอริต. เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ทั้งหลายได้รู้สึกการหยุดพักตัวของตัวมันเอง, สัมผัสรู้ตัวมันเองได้เริ่มเก่าค้างเหม็นหืนและรู้ในตอนนี้แค่เพียงความจำเป็นที่ต้องประสบรับรู้ความยุ่งเหยิงสับสนซึ่งในเชื้อพันธุ์จะปนเปและทำให้ส่วนผสมนั้นแข็งแรงที่จะอยู่รอดได้. มนุษย์ทั้งหมดได้มีชีวิตอยู่ดุจชีวอินทรีย์เชิงเดี่ยวไร้จิตสำนึกในชั่วขณะนี้, การประสบรับรู้ถึงชนิดประเภทแห่งกามเพศอันร้อนระอุที่สามารถข้ามทับเหนือกำแพงกั้นขวางใด.

         และพอลมองเห็นถึงความพยายามใดที่ไร้ประโยชน์อย่างไรของเขาในการที่จะเปลี่ยนแปลงชิ้นเล็กที่สุดของเรื่องนี้. เขาได้คิดที่จะต้านจิฮาด(jihad)ภายในตัวเอง, แต่จิฮาด(jihad)นั้นก็จะเป็น. กองทหารทั้งหลายของเขาจะโกรธเกรี้ยวออกไปจากจากอาร์ราคิสแม้กระทั่งโดยปราศจากเขา. พวกเขาจำเป็นต้องการเพียงตำนานนั้นที่เขาได้กลายไปเป็นมันแล้ว. เขาได้แสดงให้พวกเขาเห็นไปแล้วถึงวิถีนั้น, ให้พวกเขาถึงอำนาจบังคับบัญชาเป็นนายเหนือกระทั่งต่อพวกกิลด์ซึ่งต้องมีเครื่องเทศจึงจะดำรงอยู่ต่อไปได้.

         สัมผัสรู้ถึงความล้มเหลวแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา, และเขามองผ่านทะลุมันพบว่าฟียด์-เราธา ฮาร์คอนเนน ได้ดึงชุดเครื่องแบบรุ่งริ่งของตนออกจากร่างไป, ฉีกมันลงไปเป็นผ้าแกนรัดเอวเพื่อการต่อสู้เป็นหลัก.

         นี่เป็นจุดสุดยอดของเรื่อง, พอลคิด. จากนี้ไป, อนาคตจะเปิดออก, เมฆหมอกทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งอยู่กับอะไรของชัยชนะ. และถ้าข้าตายที่นี่, พวกเขาก็จะพูดกันว่าข้าได้สักการะตนเองที่วิญญาณของข้าจะได้นำพวกเขาไป. และถ้าข้ามีชีวิตอยู่, พวกเขาก็จะพูดว่าม่มีอะไรสามารถต่อต้านมวดดิบได้.

         อะไทรดิสพร้อมแล้วหรือไม่?” ฟียด์-เราธาถามเรียก, ใช้คำพูดของพิธีกานลีโบราณ.

         พอลเลือกที่จะตอบเขาด้วยวิถีของฟรีเมน: “ขอให้มีดของบิ่นหักและแตกกระจาย!” เขาชี้ไปที่ดาบของจักรพรรดิบนพื้นห้อง, บ่งบอกให้ว่าฟียด์-เราธาควรเดินหน้าและหยิบมันขึ้นมา.

         รักษาความสนใของเขาอยู่กับพอล, ฟียด์-เราธาหยิบมีดนั้นขึ้นมา, ชั่งความสมดุลของมันในชั่วขณะหนึ่งในมือของตนเพื่อให้ได้ความรู้สึกต่อมัน. ความตื่นเต้นมุดขุดเข้ามาในตัวเขา. นี่เป็นการต่อสู้หนึ่งที่เขาได้ฝันเกี่ยวกับมัน---ชายต่อชาย, ทักษะต่อทักษะด้วยไร้เกราะโล่ห์พลังทั้งหลายเข้ามาสอดแทรกขวาง. เขาสามารถเห็นวิธีที่อำนาจเปิดอยู่ตรงหน้าของเขาเพราะจักรพรรดิแน่นอนเลยว่าจะให้รางวัลต่อใครก็ตามที่ได้ฆ่าเจ้าดยุคตัวการยุ่งยากนี้. รางวัลนั้นอาจจะกระทั่งเป็นธิดาหยิ่งยะโสและแบ่งปันส่วนของบัลลังก์นั้น. และเจ้าดยุคบ้านนอกคอกนานี้, นักผจญภัยเร่ร่อนของพิภพล้าหลังนี้ไม่อาจเป็นได้ซึ่งคู่ปะทะฝีมือกับฮาร์คอนเนนที่ถูกฝึกฝนมาในทุกอุปกรณ์กลไกและทุกเล่ห์ทรยศหักหลังจากการประมือสู้ในลายพันสนามสังเวียน. และเจ้าบ้านนอกนี้ไม่มีหนทางใดของการรู้ว่าเขาได้เผชิญหน้าอาวุธที่ยิ่งไปกว่ามีดหนึ่งที่เห็นนี้.

         เราจงมาดูกันว่าเจ้าผ่านการพิสูจน์ด้วยยาพิษนี้หรือไม่! ฟียด์-เราธาคิด. เขาทำวันทยาวุธต่อพอลด้วยมีดดาบของจักรพรรดินั้น, พูด: “พบกับมรณาของเจ้าเถิด, ไอ้โง่.”

         “เราจะสู้กันได้หรือยัง, ญาติ?” พอลถาม. และตีน-แมวไปข้างหน้า, ดวงตาจับอยู่ที่มีดดาบซึ่งรอคอยอยู่นั้น, ร่างของเขาคู้ลงต่ำด้วยมีดกริชขาวน้ำนมของตนเองชี้ออกไปราวกับว่าเป็นส่วนยืดขยายไปของแขนของเขา.

         พวกเขาเคลื่อนที่เป็นวงกลมซึ่งกันและกัน, เท้าเปลือยลากไล้ไปบนพื้นห้อง, เฝ้าดูด้วยดวงตาทั้งคู่เน้นจ้องเพื่อหาช่องเปิดอันน้อยนิดที่สุด.

         “เจ้าช่างเต้นรำได้งดงามมาก,” ฟียด์-เราธาพูด.

         เขาเป็นคนช่างพูด, พอลคิด. มีจุดอ่อนอีกอันหนึ่ง. เขาจะเริ่มหงุดหงิดกับการอยู่ในความเงียบ.

         “เจ้าได้สารภาพบาปแล้วหรือ?” ฟียด์-เราธาถาม.

         ยังคง, พอลเดินเป็นวงอย่างเงียบงัน.

         และหญิงเฒ่าแม่อธิการ, เฝ้าดูการต่อสู้นั้นจากการดันกันของผู้ติดตามจักรพรรดิทั้งหลาย, รู้สึกตัวเธอสั่นเทา. อะไทรดิสหนุ่มนี้ได้เรียกเจ้าฮาร์คอนเนนนั้นว่าเป็นญาติ. มันไม่เพียงแต่หมายความว่าเขาได้รู้ถึงต้นตระกูลบรรพบุรุษที่พวกเขาทั้งสองมีร่วมกัน, ง่ายที่จะเข้าใจเพราะเขาคือ ควิทสาตซ์ ฮาเดรัค. แต่คำพูดนี้บีบบังคับให้เธอต้องเพ่งสมาธิอยู่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นเหตุในเธอต้องมายังที่นี้.

         นี่สามารถเป็นมหาวินาศหายนะอันใหญ่หลวงสำหรับโครงร่างแนวทางคัดผสมสายพันธุ์ของเบเน เกสเสอริต.

         เธอได้เห็นบางอย่างของอะไรที่พอลได้เห็นที่นี่, ว่าฟียด์-เราธาอาจฆ่าเขาได้แต่มิใช่ผู้ได้ชัยชนะ. อีกความคิดหนึ่ง, ด้วยกระนั้น, เกือบท่วมท้นเหนือเธอ. ผลผลิดสองปลายสุดของโครงงานอันแสนยาวนานและสิ้นเปลืองนี้ได้เผชิญหน้าซึ่งกันและกันในการต่อสู้ถึงมรณาที่อาจเกิดแก่พวกเขาได้อย่างง่ายดายกับพวกเขาทั้งคู่. ถ้าทั้งคู่ตายในที่นี้นั่นก็จะทิ้งไว้ให้ก็แต่เพียงลูกสาวนอกสมรสของฟียด์-เราธา, ที่ยังคงเป็นทารก, ที่ไม่อาจรู้ได้, ตัวประกอบที่ไม่อาจประเมินวัดได้, และอาเลีย, ตัวประหลาดนั่น.

         “บางทีเจ้ามีเพียงแค่พิธีกรรมนอกรีตที่นี่,” ฟียด์-เราธาพูด. “เจ้าจะชอบที่ผู้สอบสัจวจนะขององค์จักรพรรดิจะได้จัดเตรียมให้กับวิญญาณของเจ้าสำหรับการเดินทางของมันไหมล่ะ?”

         พอลยิ้ม, วนเป็นวงกลมไปทางขวามือ, ตื่นตัว, ความคิดดำมืดทั้งหลายของเขาถูกกดข่มไว้โดยความจำเป็นทั้งหลายของชั่วขณะนี้.

         ฟียด์-เราธากระโจน, แสร้งโจมตีด้วยมือขวา, แต่ด้วยมีดดาบสลับอย่างพร่าเลือนไปยังมือซ้ายของเขา.

         พอลหลบเลี่ยงไปอย่าง่ายดาย, สังเกตเห็นได้ว่าการหน่วงช้าตามสภาวะใช้โล่ห์พลังมีอยู่ในการแทงเข้ามาของฟียด์-เราธา. กระนั้นก็ยัง, มันไม่ใช่สภาวะของโล่ห์พลังขนาดใหญ่เหมือนบางอันที่พอลได้เคยเห็น, และเขาสัมผัสรู้ได้ว่าฟียด์-เราธาได้เคยต่อสู้เช่นนี้มาก่อนกับคู่ต่อสู้ทั้งหลายที่ไม่มีโล่ห์พลัง.

         อะไทรดิสจะเอาแต่วิ่งหนีหรือว่าจะยืนแล้วต่อสู้กันหรือ?” ฟียด์-เราธาถาม.

         พอลยังคงเดินเป็นวงกลมอย่างเงียบงันต่อไป, คำพูดของไอดาโฮกลับมาหายังเขา, คำทั้งหลายของการฝึกฝนจากพื้นห้องฝึกปฏิบัติการนานล่วงมาแล้วบนพิภพคาลาดาน: ใช้ชั่วขณะแรกทั้งหลายไปในการศึกษา. เจ้าอาจพลาดกับโอกาสมากมายสำหรับชัยชนะอันรวดเร็วในวิธีนี้, แต่ชั่วขณะของการศึกษานั้นเป็นสิ่งรับประกันของวามสำเร็จ. ใช้เวลาของเจ้าและทำให้แน่ใจ.

         “บางทีเจ้าคิดว่าการเต้นรำนี้ยืดชีวิตของเจ้าให้นานขึ้นสองสามนาที,” ฟียด์-เราธาพูด. “เชิญตามสบายเถิด.” เขาหยุดเคลื่อนที่เป็นสงกลม, หยัดร่างขึ้น.

         พอลได้เห็นมาเพียงพอแล้วสำหรับการคำนวณประเมินแรก. ฟียด์-เราธานำไปทางด้านข้างซ้ายมือ, เปิดแสดงสะโพกด้านขวาราวกับว่าผ้าแกนคาดเอวสำหรับการต่อสู้นั้นสามารถป้องกันบริเวณทั้งหมดนั้นของมัน. มันเป็นการกระทำของผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมากับโล่ห์พลังลับการมีมีดอยู่ทั้งสองมือ.

         หรือ.....และพอลลังเลใจ....ผ้าคาดเอวนั้นเป็นอะไรยิ่งกว่าอย่างที่เห็น.

         ฮาร์คอนเนนนั้นปรากฏออกมาอย่างมั่นใจเกินไปกับชายผู้ที่ในวันนี้คือผู้นำกองกำลังทั้งหลายแห่งชัยชนะต่อกองทหารซาร์เดาการ์ทั้งหลาย.

         ฟียด์-เราธาสังเกตเห็นการลังเลนั้น, พูด: “ทำไมต้องยืดยาวต่อไปกับสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกล่ะ? เจ้าแค่กันข้าไว้จากการได้ดำเนินการใช้สิทธิครอบครองของข้ากับลูกกลมเต็มไปด้วยฝุ่นนี้ให้ช้าไปเท่านั้นเอง.”

         มันเป็นที่ดีดยิงลูกดอก, พอลคิด, มันเป็นเล่ห์โกงอันหนึ่ง. ที่คาดพันรอบเอวนี้ไม่แสดงอาการแปรปรวนอะไรออกมาให้เห็น.

         “ทำไมเจ้าไม่พูดอะไร?” ฟียด-เราธาร้องสั่ง.

         พอลยังคงดำเนินไปเป็นวงกลมตรวจสอบของเขานั้นต่อไป, ยินยอมให้ตนเองส่งยิ้มเยือกเย็นให้กับน้ำเสียงขุ่นข้องอยู่ในเสียงพูโของฟียด์-เราธา, เป็นหลักฐานถึงแรงกดดันของความเงียบกำลังก่อสร้างขึ้นอยู่.

         “เจ้ายิ้ม, เอ๋?” ฟียด์-เราธาถาม. และเขากระโจนเข้าใส่ในระหว่างประโยคพูดนั้น.

         ด้วยการคาดว่าจะมีความหน่วงช้าเล็กน้อยบ้าง, พอลเกือบพลาดที่จะหลบเลี่ยงมีดที่เหวี่ยงฟันลงมานั้น, รู้สึกถึงปลายของมันข่วนแขนซ้ายของเขา. เขาสงบความเจ็บปวดทันทีที่ตรงนั้นลงไป, จิตใจของเขาท่วมไปด้วยการตระหนักรู้ว่าการหน่วงช้าในก่อนหน้านี้ได้เป็นกลลวง---อุบายของอุบาย. นี่เป็นยิ่งกว่าคู่ต่อสู้ใดที่เขาได้คาดเอาไว้. น่าจะมีกลอุบายทั้งหลายในอุบายทั้งหลายภายในอุบายเหล่านั้น.

         ธูเฟอร์ ฮาวัตของเจ้าเองนั่นแหละที่ได้สอนข้าในบางทักษะทั้งหลายนี้ของข้า,” ฟียด์-เราธาพูด. “เขาให้เลือดแรกต่อข้า. แย่เกินไปที่ชายเฒ่านั้นไม่ได้มีชีวิตที่จะเห็นมัน.”

         และพอลหวนจำได้ที่ไอดาโฮครั้งหนึ่งได้พูดไว้: “จงคาดไว้แต่เพียงอะไรที่บังเกิดในการต่อสู้. วิธีนั้นเจ้าจะไม่มีวันแปลกใจต่ออะไร.”

         อีกครั้งทั้งคู่เดินวนเป็นวงกลมต่อกัน, คู้ร่าง, ระมัดระวังตน.

         พอลมองเห็นการกลับมาของความหยิ่งทะนงในตัวคู่ต่อสู้ของเขา, แปลกใจไปกับมัน. รอยข่วนนี้สำคัญมากยิ่งต่อชายผู้นี้นักหรือ? นอกเสียจากว่ามันมีพิษอยู่บนมีดดาบนั้น! แต่มันเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? คนของเขาเองได้จัดการยึดกุมอาวุธ, ตรวจสอบมันแล้วก่อนส่งผ่านมันมา. พวกเขาได้รับการฝึกมาอย่างดีเกินกว่าจะพลาดในสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเหมือนการนั้น.

         “หยิงนั่นที่เจ้าได้พูดคุยด้วยตรงโน้น,” ฟียด์-เราธาพูด. “คนร่างเล็กนั่น. หล่อนเป็นอะไรพิเศษต่อเจ้ารึ? สัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งสินะ? หล่อนจะรับรองกับความสนใจอย่างพิเศษของข้าได้ไหม?”

         พอลยังคงนิ่งเงียบ, ตรวจสอบบาดแผลด้วยประสาทสัมผัสข้างในของเขา, ตรวจดูเลือดจากบาดแผล, ค้นพบร่องรอยของยาสลบจากมีดดาบของจักรพรรดิ. เขาจัดวางแก้ไขระบบเผาผลาญและเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อของตนเองให้เข้ากับการคุกคามนี้และเปลี่ยนโมเลกุลทั้งหลายของยาสลบนั้น, แต่เขารู้สึกตื่นเต้นไปกับการแคลงใจนี้. พวกเขาได้จัดเตรียมให้วางยาสลบไว้บนมีดดาบนั้น. ยาสลบ. ไม่มีการแจ้งเตือนบอกเหตุจากเครื่องตรวจหายาพิษ, แต่แรงเพียงพอที่จะทำให้กล้ามเนื้อช้าลงเมื่อมันสัมผัส. ศัตรูทั้งหลายของเขาได้มีแผนการของพวกมันเองภายในแผนการทั้งหลาย, การทรยศทั้งหลายกองซ้อนอยู่ข้างในของพวกมันเอง.

         อีกครั้งฟียด์-เราธากระโจน, แทงลงมา.

         พอล, ยิ้มอย่างเยือกเย็นบนใบหน้า, ทำแสร้งด้วยความเชื่องช้าดุจราวกับว่ามีอาการจากยาสลบนั้นและในการหลบเลี่ยงทันทีท้ายสุดที่จะรับกับแขนที่ฟาดฟันลงมาด้วยปลาดมีดกริชคริชคไน้ฟ.

         ฟียด์-เราธามุดไปทางด้านข้างและออกมาและจากไป, มีดเปลี่ยนย้ายไปอยู่ในมือซ้ายของเขา, และการประเมินวัดของเขาว่ามีเพียงเล็กน้อยของความซีดเผือดของกรามเท่านั้นที่ทรยศให้ปรากฏความเจ็บปวดเหมือนโดนกรดในที่ที่พอลได้เฉือนเขา.

         ปล่อยให้เขารู้ด้วยชั่วขณะของการสงสัยของตนเองบ้าง, พอลคิด. เขาได้คาดสงสัยต่อยาพิษ.

         “ทรยศโกง!ฟียด์-เราธาตะโกน. “เขาใช้ยาพิษต่อข้า! ข้ารู้สึกจริงๆถึงยาพิษที่แขนของข้า!

         พอลทิ้งเสื้อคลุมความเงียบของเขาลง, พูด: “มีเพียงกรดเล็กน้อยเพื่อตอบโต้คืนต่อยาสลบบนมีดดาบของจักรพรรดินั่น.”

         ฟียด์-เราธารับเข้ากันกับรอยยิ้มเย็นชาของพอล, ยกมีดนั้นของเขาขึ้นในมือซ้ายเป็นการล้อเลียนวันทยาวุธ. ดวงตาของเขาจ้องมาด้วยโทสะอยู่เบื้องหลังมีดนั้น.

         พอลเปลี่ยนมีดกริชของเขาไปที่มือซ้ายของตน, รับเข้ากับคู่ต่อสู้ของเขา. อีกครั้ง, พวกเขาเดินวนวงกลม, ตรวจตรา.

         ฟียด์-เราธาเริ่มปิดล้อมที่ว่างระหว่างพวกเขา, เลาะขอบริมเข้ามาข้างใน, มีดถือสูง, โทสะแสดงตนเองออกมาในแวววาวของดวงตาและกรามที่เขม็ง. เขาเสแสร้งลวงไปทางด้านขวาและข้างใต้, และพวกเขาได้กดดันเข้าหากันต่อกัน, มือที่จับมีดถูกกุมกันไว้, เครียดขึง.

         พอล, อย่างระแวดระวังต่อสะโพกด้านขวาของฟียด์-เราธาที่ซึ่งเขาคาดสงสัยไว้ว่าจะมีที่ยิงลูกดอกอาบยาพิษ, บังคับให้หันไปทางขวามือ. เขาเกือบพลาดที่จะเห็นปลายเข็มแว่บออกมาจากใต้เข็มขัดเส้นนั้น. การขยับย้ายและยอมให้ในการเคลื่อนไหวของฟียด์-เราธาเตือนภัยให้กับเขา. เข็มเล็กจิ๋วนั้นพลาดเนื้อหนังของพอลอย่างเฉียดฉิว.

         อยู่ที่สะโพกด้านซ้าย!

         กลลวงในกลลวงภายในเล่ห์หลอก, พอลเตือนกับตนเอง. ใช้กล้ามเนื้อที่ได้ฝึกฝนมาโดยเบเน เกสสเอริต, เขาหย่อนอ่อนลงเพื่อที่จะจับรับแรงสะท้อนของฟียด์-เราธา, แต่ความจำเป็นของการหลบหลีกเข็มเล็กจิ๋วนั้นที่พุ่งมาจากสะโพกของคู่ต่อสู้ของเขาเหวี่ยงพอลใออกไปแค่เพียงพอที่เขาจะพลาดการหยัดเท้าของเขาและพบว่าตัวของเขาถูกเหวี่ยงอย่างแรงลงสู่พื้น, ฟียด์-เราธาอยู่ข้างบน.

         “เจ้าเห็นแล้วสินะว่ามันอยู่ที่สะโพกของข้า?” ฟียด์-เราธากระซิบ. “มรณะของเจ้าแล้ว, ไอ้โง่.” และเขาเริ่มต้นบิดตัวเองไปรอบ, บังคับเข็มอาบยาพิษนั้นใกล้และใกล้เข้ามา. “มันจะหยุดกล้ามเนื้อของเจ้าและมีดของข้าก็จะจบสิ้นเจ้า. จะไม่มีร่องรอยใดเหลืออยู่ที่จะตรวจพบได้!

         พอลเขม็งตึง, ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเงียบงันในจิตของเขา, เซลล์ที่ประทับตราบรรพบุรุษร้องสั่งให้เขาใช้คำพูดลับเพื่อที่จะทำให้ฟียด์-เราธาเชื่องช้าลง, เพื่อรักษาชีวิตตนเอง.

         “ข้าจะไม่พูดมัน!พอลหอบหายใจ.

         ฟียด์-เราธาอ้าปากจ้องมองเขา, ติดอยู่กับเศษชิ้นเล็กที่สุดของการลังเลนั้น. มันเพียงพอสำหรับพอลที่จะค้นพบจุดอ่อนแอของสมดุลย์ในหนึ่งของกล้ามเนื้อขาของคู่ต่อสู้ของตน, และตำแหน่งของพวกเขาได้พลิกกลับ. ฟียด์-เราธานอนตะแคงอยู่ข้างใต้ด้วยสะโพกด้านขวายกสูง, ไม่สามารถที่จะพลิกหันได้เพราะเข็มเล็กจิ๋วนั้นถูกกดอยู่กับพื้นห้องใต้ตัวของเขา.

         พอลบิดมือซ้ายของเขาออกเป็นอิสระ, ถูกช่วยโดยความลื่นของเลือดจากแขนของเขา, แทงทิ่มอย่างแรงเสยกรามของฟียด์-เราธา. ปลายมีดนั้นเลื่อนเข้าไปสู่สมอง. ฟียด์-เราธาร่างกระตุกขึ้นและอ่อนปวกเปียกกลับลงไป, ยังคงยึดร่างตะแคงอยู่บนสีข้างของตนโดยมีเข็มนั้นรองรับร่างอยู่ที่พื้นห้อง.

         สูดหายใจลึกเพื่อฟื้นคืนความสงบของเขา, พอลดันตนเองออกไปและลุกขึ้นยืนบนเท้าของตน. เขายืนอยู่เหนือร่างนั้น, มีดอยู่ในมือ, เงยดวงตาขึ้นด้วยความเชื่องช้าสุขุมเพื่อมองไปข้ามห้องโถงนั้นไปที่จักรพรรดิ.

         ฝ่าบาท,” พอลพูด, “กองกำลังของท่านลดลงไปอีกหนึ่งแล้ว. เราจะในตอนนี้หลั่งไหลลวงและเสแสร้งกันอีกไหม? เราในตอนนี้จะถกเถียงกันว่าอะไรต้องเป็นไหม? ธิดาของท่านสมรสต่อข้าและเส้นทางได้เปิดออกสำหรับอะไทรดิสที่จะนั่งบัลลังก์นั้น.”

         จักรพรรดิหันไป, มองยังเคานท์ เฟนริง. เคานท์นั้นพบกับการจ้องมองของเขา---ดวงตาสีเทาประสานกับสีเขียว. ความคิดนั้นได้ทอดนอนอย่างชัดแจ้งระหว่างพวกเขา, การสมาคมของพวกเขาอันแสนนานที่ความเข้าใจสามารถเป็นสัมฤทธิผลด้วยการจ้องมองหนึ่ง.

         ฆ่าเจ้าทะลึ่งนี้ให้กับข้า, จักรพรรดิกำลังพูด. เจ้าอะไทรดิสนี้หนุ่มและสติปัญญารอบรู้เต็มเปี่ยม, ใช่---แต่เขาก็ยังเหนื่อยล้าจากการพยายามนานและเขาไม่ได้เป็นคู่มือสำหรับเจ้า, จะอย่างไรก็ตาม. ตะโกนท้าเขาออกไปเลยในตอนนี้.....เจ้ารู้วิธีของมัน. ฆ่าเขาซะ.

         อย่างช้าๆ, เฟนริงเคลื่อนศีรษะของเขา, การหันอย่างยืดยาดเนิ่มนานจนกระทั่งเขาได้เผชิญหน้ากับพอล.

         “ทำมัน!จักรพรรดิขู่.

         เคานท์นั้นเพ่งจับที่พอล, มองเห็นด้วยดวงตาของเขาที่ท่านหญิง มาร์โกต์ได้ฝึกฝนให้มาในวิถีของเบเน เกสเสอริต, ตื่นรู้ถึงความลึกลับและสง่าผึ่งผายของหนุ่มอะไทรดิสนี้.

         ข้าสามารถฆ่าเขาได้, เฟนริงคิด---และเขารู้สิ่งนี้จากความสัจ.

         บางอย่างในความลึกอย่างลี้ลับของตนเองหยุดอยู่กับเคานท์ในครานั้น, และเขามองเห็นอย่างสั้นๆ, อย่างไม่เพียงพอ, ในข้อได้เปรียบที่เขากุมไว้เหนือพอล---วิธีที่จะซ่อนต่อคนหนุ่ม, ความนัยลับของบุคคลและแรงกระตุ้นที่ไม่มีสายตาใดสามารถแทงทะลุได้.

         พอล, ระแวดระวังได้ถึงบางอย่างของสิ่งนี้จากวิธีที่แก่นของกาละเดือดพล่าน, เข้าใจได้ในที่สุดว่าทำไมเขาไม่เคยได้เห็นเฟนริงไปตามใยถักทอของภาพทัศน์ล่วงหน้า. เฟนริงเป็นหนึ่งในสิ่งที่-อาจ-เป็น-ได้, ผู้เกือบจะเป็น ควิทสาตซ์ ฮาเดรัค, ใช้การไม่ได้โดยข้อบกพร่องตำหนิในรูปแบบทางพันธุกรรม---ต้นทางที่เป็นขันที, ความปราดเปรื่องของเขามุ่งเน้นเข้าไปแต่ความลับลมคมในและการตัดขาดจากโลกข้างใน. ความกรุณามหาศาลต่อท่านเคานท์นี้ไหลหลั่งผ่านตัวพอล, สัมผัสรู้อย่างแรกของความเป็นพี่น้องที่เขาได้เคยประสบรับรู้.

         เฟนริง, อ่านอารมณ์ของพอล, พูด, “ฝ่าบาท, ข้าต้องปฏิเสธ.”

         โทสะเข้าครอบงำ ชัดดัม ที่. เขาแหวกคณะผู้ติดตามออกมาสองก้าวสั้นๆ, ตวัดชกอย่างดุดันเข้าที่กรามของเฟนริง.

         เลือดฉีดพล่านเข้มคล้ำแผ่ซ่านขึ้นทั่วใบหน้าของท่านเคานท์. เขามองตรงยังจักรพรรดิ, พูดอย่างขาดความไตร่ตรองใดอีกกับการเน้นคำใด. “เราได้เป็นเพื่อนกันมา, ฝ่าบาท. อะไรที่ข้าทำในตอนนี้คือสิ่งที่ออกมาจากมิตรภาพ. ข้าจะลืมไปเสียว่าท่านได้ชกข้า.”

         พอลกระแอมในลำคอ, พูด: “เรากำลังพูโนอยู่ถึงบัลลังก์นั้น, ฝ่าบาท.”

         จักรพรรดิม้วนร่างกลับมา, จ้องมองพอล. “ข้านั่งบนบัลลังก์นั่น!” เขาเห่าคำราม.

         “ท่าจะได้มีบัลลังก์หนึ่งกับ ซาร์เดาการ์,” พอลพูด.

         “ข้าวางอาวุธของข้าลงและมายังที่นี่ตามคำพูดรับประกันของเจ้าทั้งหลายนั้น!จักรพรรดิตะโกน. “เจ้ากล้าข่มขู่---”

         “ตับบุคคลของท่านจะปลอดภัยในการมีอยู่ของข้า,” พอลพูด. “อะไทรดิสให้สัญญากับมัน. มวดดิบ, จะอย่างไรก็ตาม, ตัดสินลงโทษท่านไปยังดาวเคราะห์ราชทัณฑ์ของท่าน. แต่อย่าได้มีความหวาดกลัว, ฝ่าบาท. ข้าจะปลดคลายบังเหียนของที่นั้นด้วยอำนาจทั้งหลายทั้งหมดในการจัดส่งวางของข้า. มันจะกลายเป็นพิภพสวนร่มรื่น, เต็มไปด้วยสิ่งอ่อนโยนนุ่มนวลทั้งหลาย.”

         ในขณะที่การส่งออกที่ซ่อนเร้นในคำพูดทั้งหลายของพอลได้เติบโตขึ้นในจิตใจขององค์จักรพรรดิ, เขามองข้ามห้องโถงไปยังพอล. “ตอนนี้เราได้เห็นอะไรที่คือแรงกระตุ้นที่แท้จริงแล้วสินะ, “เขาเหน็บแนม.

         “จริงแท้เลย,”พอลพูด.

         “แล้วอะไรกับอาร์ราคิส?” จักรพรรดิถาม. “พิภพสวนร่มรื่นอีกอันหนึ่งที่เต็มไปด้วยสิ่งนุ่มนวลรึ?”

         ฟรีเมนมีพิภพแห่งมวดดิบ,” พอลพูด. “จะมีน้ำไหลหลั่งที่นี่เปิดโล่งต่อท้องฟ้าและโอเอซิสทั้งหลายที่เขียวขจีอุดมด้วยสิ่งดีๆ. แต่เรามีเครื่องเทศให้ต้องคิดถึง, ด้วยเช่นกัน. กระนั้น, ก็จะมีทะเลทรายเสมอบนอาร์ราคิส......และสายลมดุร้ายทั้งหลาย, และบททดสอบที่จะทำให้มนุษย์แข็งแกร่งขึ้น. เราฟรีเมนมีคำพูดกันอยู่ว่า: พระเจ้าได้รังสรรค์อาร์ราคิสมาเพื่อฝึกฝนความเชื่อศรัทธาที่เต็มเปี่ยม. ใครก็ไม่สามารถไปขดขืนแย้งต่อคำตรัสของพระเจ้าได้.”

         หญิงชราผู้สอบสัจวจนะ, แม่อธิการ ไกอัส เฮเลน โมฮิยัม, มีภาพทัศน์ของเธอเองกับความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในคำพูดทั้งหลายของพอลในตอนนี้. เธอแวบเห็นจิฮาดนั้นและพูด: “เจ้าไม่อาจปล่อยให้ผู้คนเหล่านี้ขึ้นไปบนเอกภพได้.”

         “เจ้าจะได้คิดย้อนกลับไปหาวิธีทั้งหลายที่นุ่มนวลของซาร์เดาการ์!พอลเหน็บคืน.

         “เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้,” เธอกระซิบ.

         “เจ้าคือผู้สอบสัจวนจนะ,” พอลพูด. “ทบทวนคำพูดทั้งหลายของเจ้าสิ.” เขาชำเลืองมองไปยังเจ้าหญิง ราชธิดา, กลับมาที่จักรพรรดิ. “ดีที่สุดที่ทำให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว, ฝ่าบาท.”

         จักรพรรดิหันสายตาจ้องเขม็งไปมองยังธิดาของตน. เธอแตะที่แขนของพระองค์, พูดอย่างปลอบโยน: “เพื่อการนี้ที่ข้าได้ถูกฝึกฝนมา, ท่านพ่อ.”

         เขาสูดหายใจลึก.

         “ท่านไม่สามารถอยู่กับปล่อยอยู่กับเรื่องนี้ได้.” หญิงชราผู้สอบสัจวจนะพึมพำ.

         จักรพรรดิยืดร่างขึ้น, ยืนร่างแข็งทื่อด้วยท่าทางของความทะนงตยที่จำได้. “ใครจะจะนำร่องให้แก่เจ้าหรือ, ราชญาติ?” เขาถาม.

         พอลหัน, มองเห็นมารดา, ดวงตาของเธอหรี่นักอึ้ง, ยืนอยู่ด้วยกับชานิในหน่วยทหารรักษาการณ์แห่งฟีเดย์คิน. เข้าเดินข้ามไปหาพวกเขา, ยืนมองลงมายังชานิ.

         “ข้ารู้ถึงเหตุผลนี้,” ชานิกระซิบ. “ถ้ามันต้องเป็น.....อูซุล.”

         พอล, ได้ยินน้ำตาซ่อนลับในเสียงของเธอ, แตะที่แก้มของเธอ. “สิฮายะของข้าไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น, เลย,” เขากระซิบ. เขาทิ้งแขนของตนลง, หันหน้าหามารดาของเขา. “ท่านจะเจรจาต่อรองแทนข้า, ท่านแม่, ด้วยชานิอยู่ด้วยข้างกายท่าน. เธอมีปัญญาและดวงตาที่เฉียบคม. และมันเป็นการพูดอันฉลาดที่ว่าไม่มีใครเจรจาต่อรองได้อดทนแข็งแกร่งกว่าฟรีเมน. เธอจะคอยมองผ่านทะลุดวงตาของความรักของเธอเพื่อข้าและด้วยความคิดของบุตรชายทั้งหลายของเธอที่จะมี, อะไรที่พวกเขาจะจำเป็นต้องการ. จงฟังเธอ.”

         เจสสิกาสัมผัสรู้ได้ถึงการคาดคิดคำนวณอย่างแข็งกร้าวในบุตรชายของเธอ, วางไหล่ลง. “อะไรคือคำแนะนำของลูกหรือ?” เธอถาม.

         “หุ้นส่วนทั้งหมดที่จักรพรรดิถือครองอยู่ในชอัม กัมปะนีในฐานะสินสมรส,”

         “ทั้งหมดหรือ?” เธอตื่นตกใจเกือบพูดไม่ออก.

         “เขาต้องถูกเปลื้องผ้า. ข้าจะต้องการตำแหน่งเอิร์ลและผู้อำนวยการแห่งโชอัมให้กับเกอร์นีย์ ฮัลเล็ค, และเขาในฐานะครองศักดินาแห่งคาลาดาน. จะมีบรรดาศักดิ์และอำนาจรองรับสำหรับคนของอะไทรดิสทุกคนที่รอดชีวิต, ไม่ยกเว้นแม้กระทั่งกองทหารที่ต่ำที่สุด.”

         “แล้วฟรีเมนล่ะ?” เจสสิกาถาม.

         ฟรีเมนคือของข้าดูแลเอง,” พอลพูด. “อะไรที่พวกเขาได้รับจะถูกให้โดย มวดดิบ. มันจะเริ่มต้นด้วย สติลจาร์ในฐานะผู้ว่าการเมืองบนอาร์ราคิส, แต่พวกนั้นสามารถรอไว้ก่อนได้.”

         “และสำหรับข้าล่ะ?” เจสสิกาถาม.

         “มีบางอย่าที่ท่านแม่ปรารถนาหรือ?”

         “บางทีเป็นคาลาดาน,” เธอพูด, มองไปยังเกอร์นีย์. “แม่ก็ไม่แน่ใจนัก. แม่ได้กลายเป็นฟรีเมนมากเกินไป.....และการเป็นแม่อธิการอีกด้วย. แม่ต้องการเวลาของสันติสุขและสงบเงียบที่จะใคร่ครวญอะไรบ้างแล้ว.”

         นั่นแม่จะได้รับ,” พอลพูด, “อะไรอื่นใดก็ตามที่เกอร์นีย์หรือข้าจะสามารถให้ท่านแม่ได้.”

         เจสสิกาพยักหน้า, รู้สึกชราและเหนื่อยล้าขึ้นมาในทันที. เธอมองยังชานิ. “และสำหรับสนมเอกแห่งราชศักดิ์?”

         “ไม่ราชศักดิ์ใดให้กับข้า,” ชานิกระซิบ. “ไม่เลยทั้งนั้น. ข้าขอร้องต่อท่าน.”

         พอลจ้องลงเข้าไปในดวงตาของเธอ, จำเธอข้นมาได้ในทันทีตอนที่เธอได้ยืนอยู่ครั้งหนึ่งกับลีโตน้อยในอ้อมแขนของเธอ, ลูกของพวกเขาที่ตอนนี้ได้ตายไปแล้วในความรุนแรงนี้. “ข้าสาบานต่อเจ้าในตอนนี้,” เขากระซิบ, “ว่าเจ้าจะไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งยศศักดิ์อะไร. ผู้หญิงที่ตรงโน้นนั้นจะเป็นภรรยาของข้าและเจ้าแต่เพียงเป็นสนมก็เพราะว่านี่คือสิ่งทางการเมืองและเราต้องเชื่อมต่อสันติภาพออกมาจากชั่วขณะนี้, เข้าเกณฑ์ร่วมในมา ราชสำนักแห่งลานสราอาด. เราต้องยอมรับเชื่อฟังรูปแบบเหล่านี้. กระนั้นเจ้าหญิงนั้นจะไม่มีอะไรของข้ามากไปกว่านามของข้า. ไม่มีลูกของข้าหรือก็ไม่มีซึ่งสัมผัสแตะต้องหรือก็ไม่มีความนุ่มนวลจากการเหลือบมอง, หรือก็ไม่มีความปรารถนาชั่วคราวใด.”

         “ท่านก็ได้พูดเช่นนั้นแล้วในตอนนี้,” ชานิพูด. เธอเหลือบไปมองเจ้าหญิงร่างสูงนั้น.

         “เจ้ารู้จักลูกชายของข้าน้อยเกินไปหรือ?” เจสสิกากระซิบ. “เห็นเจ้าหญิงนั่นยืนอยู่ตรงนั้นสิ, ช่างหยิ่งยโสและมั่นใจในตนเองนัก. พวกเขาพูดกันว่าเธอมีมารยาทั้งหลายของธรรมชาติการละคร. เราจมาหวังว่าเธอค้นพบสิ่งปลอบประโ,มใจในสิ่งทั้งหลายเช่นนี้กันเถิด; เธอจะได้มีอะไรอื่นบ้างสักเล็กน้อย.” เสียงหัวเราะอย่างขมขื่นหนีออกมาจากเจสสิกา.

         “คิดกับมันสิ. ชานิ: ว่าเจ้าหญิงนั้นจะได้นามนั้น, กระนั้นก็ยังที่เธอจะมีชีวิตอยู่ที่น้อยยิ่งกว่าสนมคนหนึ่ง---ไม่มีวันจะได้รับรู้ถึงความนุ่มนวลขากชายใดที่เธอต้องผูกพันอยู่ด้วย. ขณะที่เรา, ชานิ, เราผู้แบกรับนามว่าเป็นสนม---ประวัติศาสตร์จะเรียกพวกเราว่าคือภรรยา.”

 

(จบเล่ม - ดูน พิภพทราย)

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น