...จากหนังสือ "จิตที่ฝึกดีแล้ว - การตรึกในความจริง ความรัก และความสุข" The Transformed Mind: Reflections on truths, love and happiness" โดย องค์ทะไลลามะ/ผู้แปล เพ็ญนภา หงษ์ทอง...หน้า ๑๘๘ - ๑๙๑...
· ใครเป็นผู้ค้นพบความว่าง
ข้าพเจ้าคิดว่าต้องมีใครสักคนในที่นี้จะค้นพบความว่าง
พวกเราก้าวเข้ามาเพื่อจะค้นพบสิ่งนี้หากลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังในชีวิตประจำวัน
โดยเฉพาะในเวลาที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่ก่อให้เกิดอารมณ์รุนแรงเช่นการยึด หรือความเกลียด
หรือในภาวะที่ต้องเผชิญกับอัตตาตัวตนอย่างแรงกล้า ณ ขณะนั้น หากเราลงมือสำรวจ
วิเคราะห์ และตรวจสอบความหวาดหวั่นในจิต
และอารมณืที่ปรากฏขึ้นในจิตอย่างถี่ถ้วนและละเอียดลออ
เราจะพบว่าในเวลานั้นสิ่งนั้นดูรุนแรงและมีอำนาจยิ่งนัก สิ่งนั้นจะดูเป็นจริงเป็นจังเป็นเอกเทศในตัวเอง
เช่น เมื่อเราเกลียดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สิ่งนั้นจะมีแต่ด้านลบเต็มร้อยเปอร์เซนต์
แต่นั่นเป็นความรู้สึกที่เกินจริง เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นลบร้อยเปอร์เซนต์ เพียงแต่
ณ ขณะนั้นด้วยสภาพจิตของเรา สิ่งนั้นดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ช่วงเวลานั้นเป็นโอกาสดีที่สุดและเป็นเวลาเหมาะสมที่สุดในการวิเคราะห์ธรรมชาติที่แท้จริงของการปรากฏของมัน
เมื่อนั้นเราจะเห็นความว่างด้วยตรรกะที่เป็นเหตุและผล
และพิสูจน์และค้นพบว่าสิ่งต่างๆล้วนเป็นเพียงสิ่งสัมพัทธ์ ตัวอย่างเช่นเมื่อวิเคราะห์สาเหตุของปรากฏการณ์ใดปรากฏการณ์หนึ่ง
โดยใช้เหตุผลทำนอง “การตัดด้วยวัชระ” หลังจากนั้นจึงวิเคราะห์อก่นสารของปรากฏการณ์นั้นว่ามันดำรงอยู่โดดๆหรือหลายส่วนประกอบกัน
และวิเคราะห์ผลกระทบของปรากฏการณ์นั้น ว่ามันดำรงอยู่จริงหรือไม่
และสุดท้ายวิเคราะห์ตรรกะที่เป็นเหตุเป็นผลของธรรมชาติที่พึ่งพิงกันหรือปฏิจจสมุปบาท
ดังนั้นหากเราใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนระมัดระวัง เราจะรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างอย่างแน่นอน
แม้การตระหนักรู้อย่างเต็มที่จะเป็นเรื่องยากก็ตาม
การตระหนักในความว่างเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด
เพราะเมื่อเราพยายามวิเคราะห์ธรรมชาติที่แท้จริงของปรากฏการณ์ใดๆ
เราจะพบว่าธรรมชาติที่แท้จริงของมันคือความว่าง หรือการปราศจากตัวตนที่แท้จริง
เราสามารถมองว่า ความว่างคือการดำรงอยู่อย่างแท้จริงได้ การตระหนักรู้ความว่างในความว่างเป็นสิ่งสำคัญ
เพราะความว่างโดยตัวมันเองไม่มีการดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ
แต่มันยังขึ้นอยู่กับปัจจัยบางอย่าง เช่น
หากเรามองไปที่ปรากฏการณ์หนึ่งและธณรมชาติของมันอย่างเผินๆ
สิ่งนั้นดูเกมือนจะมีพลังอำนาจมากกว่าความว่างของปรากฏการณ์นั้นๆเอง เพราะเราไม่สามารถอธิบายบางสิ่งดังเช่นความว่างได้โดยไม่เชื่อมโยงกับปรากฏการณ์นั้นๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความว่างคือคุณสมบัติหรือแง่มุมเฉพาะของปรากฏการณ์หนึ่งๆ
คุณสมบัติใดๆก็ตามจะต้องขึ้นกับพื้นฐานบางอย่าง ดังนั้น สุญญะ จึงกลายเป็นหนึ่งของบางสิ่งบางอย่าง
คือคุณสมบัติของบางสิ่งบางอย่าง
การรับรู้ก็อยู่ในธรรมชาติของความว่างเช่นกัน
ด้วยเหตุผลง่ายๆ ความว่าง
หมายถึงการขาดหายไของการดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระหรือการดำรงอยู่ด้วยตนเอง
ศัพท์สันสกฤตว่า ประตีตยสมุตปาท(ปฏิจจสมุปบาท) หมายถึง “การเกิดอันเนื่องมาจากเหตุปัจจัย”
“เนื่องมาจากเหตุปัจจัย”เพราะมันอิงอาศัยปัจจัยอื่น ไม่ใช่ธรรมชาติที่สมบูรณ์ “เกิดขึ้น”
หมายถึงการเกิดที่เนื่องด้วยปัจจัยอื่น ในทางหนึ่งก็เหมือนเลขศูนย์
หากไม่มีจำนวนศูนย์เราก็จะไม่สามารถนับเลขได้ เพราะสิ่งต่างมีความสัมพันธ์กัน “ว่าง”ในที่นี้จึงหมายถึง
“เหมือนบางสิ่งที่ว่าง” ดังนั้นหากธรรมชาติพื้นฐานของมันคือบางสิ่งบางอย่าง
มันก็สามารถเป็นทุกสิ่งทุกอย่างได้
ซึ่งนั่นนำไปสู่การขาดหายไปของธรรมชาติที่สมบูรณ์
โดยทั่วไปเมื่อเรากล่าวถึงสิ่งที่เป็นจริงทางโลก
นั่นไม่ได้เป็นเพราะมันไม่เป็นจริงด้วยเหตุผลของการตระหนักรู้ทางปัญญา
แต่เป็นเพราะมันไม่เป็นจริงในทางโลก
เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรู้สึกของความไม่จริงและความไม่เป็นจริงของสมมติสัจจ์
หากเราสนใจพิจารณา เราจะเห็นความสัมพันธ์ที่ชัดเจน เช่นในชีวิตประจำวัน
การรับรู้ความทุกข์และสุขของเราจะขึ้นอยู่กับเจตคติของเราเป็นอย่างมาก
กระนั้นก็ตามเมื่อเราตระหนักในความจริงทั้งระดับสมมติและระดับปรมัตถ์
จะทำให้เราลดการคิดที่เกินความจริงไป
การตระหนักรู้ในสัจจะทั้งสองประการยังช่วยทำให้จิตเรามีความมั่นคงได้มาก
เราเพียงแค่ยอมรับดีและเลวจากการตระหนักรู้ในธรรมชาติที่ลึกซึ้ง
หากเราสามารถเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของสมมติสัจจ์และปรมัตถสัจจ์
เราจะสามารถเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์ภายนอกได้ด้วยมุมมองที่มีดุลยภาพ อย่างไรก็ดี
ก่อนที่จะเข้าใจธรรมชาติอันแท้จริงของสัจจะทั้งสองประการ
เราก็มีแนวโน้มที่จะมองปรากฏการณ์นั้นๆอย่างเกินความเป็นจริง
จิตของเรารวมอยู่เป็นหนึ่งเดียวอย่างน้อยมันก็ปรากฏให้เห็นในลักษณะนั้น
แต่ในความเป็นจริง จิตมีหลายประเภท จิตของมนุษย์เป็นสิ่งซับซ้อนอย่างยิ่ง ดังนั้น
การจะบรรลุสันติภาวะในใจ การฝึกปฏิบัติหรือวิธีการทางศาสนาพุทธที่แท้จริงจะช่วยลดความวุ่นวายทางจิต
และเพิ่มพูนความสุขและสันติภาวะให้เกิดขึ้นในจิต
การบรรลุสันติและลดความเครียดทำได้หลายวิธี
ความรู้ในสัจจะสองประการเป็นหนึ่งในนั้น กล่าวโดยทั่วไป
การปฏิบัติธรรมเปรียบได้ดั่งสิ่งที่ช่วยรักษาเสถียรภาพ
และสันติสุขก็เป็นเช่นเดียวกัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น