อลัน วัตต์ - แค่ปล่อยวาง
Just Let Go - Alan Watts
https://youtu.be/3YddysvFr1s?si=MiX5LO7IZtt2YK98
(ผู้แปล
- คำว่า let(ting) go จะแปลว่า “ปล่อย-ไป”
ก็ดูยังไงๆอยู่. น่าจะไม่ตรงกับ-แนวความคิด-ที่ท่านอลัน วัตต์ หมายถึง. คือคำว่า
“วาง” นี้แปลว่า (กิริยา) 1. ตั้งลงไป, ทอดลงไป 2. กำหนดขึ้น, ตั้งขึ้น.
ที่ไม่ใช่การ “ปล่อย” ไปเฉยๆ. “ปล่อย”แปลว่า(กิริยา) ทำให้ออกจากสิ่งที่ติดอยู่,
ปลดออก. คือถ้า-ปล่อยไป-เฉยๆ ก็จะเหมือนกับ-ปล่อยทิ้ง. ดังนั้น
จึงขอใช้คำว่า-ศิลปะของการปล่อยวาง-ในที่นี้.)
วันนี้ผมยืนต่อหน้าพวกคุณเพื่อที่จะเสาะค้น/วินิจฉัยแนวความคิดหนึ่งซึ่งได้ครอบครอวพลังอำนาจอันกว้างขวาง,
กระนั้นบ่อยครั้งก็ยังหลบเลี่ยงการยึดกุมของเรา. ศิลปะของการปล่อยวาง(the
Art of Letting Go).
เพราะว่า, คุณเห็นไหม, การได้ปลีกแยกไปไม่เกี่ยวข้อง/อุเบกขา/สันโดษจากโลก(to be detached from the world)ในความหมายที่ ชาวพุทธทั้งหลายหรือชาวเต๋าทั้งหลายและชาวฮินดูทั้งหลาย มักจะพูดถึงเสมอในเรื่อง การแยกออก/ วางเฉย/ อุเบกขานั้น(in the sense of that Buddhists and Daoists and Hindus will always talk about Detachment), ไม่ได้หมายความที่จะเป็นการไม่มีส่วนร่วม(does not mean to be non-participative).
คุณสามารถมีชีวิตกามารมณ์อย่างรุ่มรวยและเต็มเปี่ยมมากยิ่งได้(you
can have a sexual life, very rich and very full),
และกระนั้นก็ยังตลอดเวลาได้ปลีกแยก/ อุเบกขา(and yet all the
time be detached).
ด้วยการนั้น,
ผมไม่ได้หมายความว่าคุณแค่ผ่านมันไปอย่างตามกลไก
และความคิดทั้งหลายของคุณอยู่ที่อื่น(by that I don’t mean that you
just go through it mechanically and your thoughts elsewhere).
ผมหมายถึงการมีส่วนร่วมอย่างสมบูรณ์ แต่ยังคงปลีกแยก/อุเบกขา(I
mean a complete participation but still detached).
และความแตกต่างของทั้งสองเจตคติท่าทีนี้ก็คือ(and
the difference of the two attitudes is), ในมือหนึ่ง,
มีหนทางของการเป็นอยู่ที่ช่างกระตือรือร้นกระวนกระวายเกี่ยวกับความพึงพอใจทางกายภาพเหลือเกิน(on
the one hand, there is a way of being so anxious about physical pleasure). ช่างหวาดกลัวเสียเหลือเกินว่าคุณจะไม่ทำมันได้
จนคุณกุมมันไว้อย่างแรงแน่นเกินไป(so afraid that you won’t make it
that you grab it too hard). ที่คุณ,
คุณจำเป็นต้องได้สิ่งนั้นมา(that you just have to have that thing). และถ้าคุณทำเช่นนั้น คุณก็ได้ทำลายมันไปอย่างสมบูรณ์สิ้น(and
if you do that you destroy it completely). และเช่นนั้นเอง(and therefore), หลังจากทุกๆการพยายามที่จะได้มันแล้ว คุณรู้สึกผิดหวัง(after
every attempt to get it you feel disappointed). คุณรู้สึกว่างเปล่า(you
feel empty). คุณรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างได้สูญเสียไป(you
feel something was lost). และแล้วเช่นนั้นเอง,
คุณก็ต้องการมันอีกครั้ง(and then therefore you want it again).
คุณต้องคอยทำซ้ำทำซ้ำทำซ้ำอยู่เรื่อย
ๆไปเพราะว่าคุณไม่มีวันไปถึงจริงๆที่นั้น(you keep repeating,
repeating, repeating, repeating because you never really got there). และมันเป็นสิ่งนี้เองที่คือการทำให้วิตกกังวล(that
is the hang up). นั่นคืออะไรที่ได้หมายถึง/เจตนาโดยการผูกติด/อุปาทานกับโลกนี้ในสัมผัสรู้สึกชั่วร้าย(that
is what is meant by attachment to this world in an evil sense).
แต่บนมืออีกด้านหนึ่ง(but on the other hand),
ความพึงพอใจในความเต็มเปี่ยมของมันเอง
ก็ไม่สามารถถูกประสบรับรู้ได้ถ้าผู้ใดกำลังกุมจับมันอยู่(pleasure in
its fullness cannot be experienced when one is grasping it). ผมรู้จักเด็กหญิงเล็กคนหนึ่ง
ที่มีใครบางคนให้กระต่ายบันนีเธอตัวหนึ่ง(to whom someone gave a bunny
rabbit), เธอมีความสุขมากกับกระต่ายบันนีนั้น
และหวาดกลัวอย่างมากที่จะสูญเสียมันกระทั่งเธอเอามันกลับบ้านไปในรถยนต์(she
so delight with a bunny rabbit and so afraid of losing it that take it home in
the car). เธอกอดรัดมันจนตายด้วยความรัก(she squeezed
it to death with love). และพ่อแม่มากมายทำเช่นนั้นกับลูกๆของพวกเขา(and
lots of parents do that to their children),
และคู่รักมากมายทำมันซึ่งกันและกัน(and
lots of spouses do it to each other). พวกเขากอดรัดแรงแน่นไว้มากเกินไป(they
hold on too hard).
และแล้วก็เอาชีวิตนั้นไปจากสิ่งที่อนิจจังงดงามบอบบางที่ชีวิตเป็นนี้(an
so take the life out of this transient beautifully fragile thing that life is). เพื่อจะได้มัน(to have it).
เพื่อที่จะได้ชีวิต(to
have life), และที่จะได้ความพึงใจของมัน คุณต้องในเวลาเดียวกัน
ปล่อยวางมันไป(and to have its pleasure you must at the same time let
go of it).
และแล้วคุณก็จะสามารถรู้สึกอิสระอย่างสมบูรณ์ได้(and
then you can feel perfectly free), ที่จะมีความพึงใจนั้นในหนทางเลียปาก,
อยางกล้าหาญ, คิกคัก, โลกียวิสัย (to have that pleasure in the most
gutsy, rolicking, earthy, lip-licking way),
การเป็นอยู่ทั้งปวงของผู้หนึ่งผู้ใดทั้งหลาย ยึดครองโดยอะไรชนิดที่เป็นระลอกคลื่น,
กระเพื่อม, กระตุก(ones whole being take over by a kind of undulated,
convulsive ripple),
ที่เหมือนอย่างยิ่งกับจังหวะชีพจรแห่งชีวิตในตัวมันเอง (which is like
the very pulse of life itself).
นี้สามารถบังเกิดได้แต่เพียง
ถ้าคุณปล่อยวาง เท่านั้น(this can happen only if you let go).
ถ้าคุณกำลังตั้งใจจะได้ถูกละทิ้ง(if you are willing to be abandoned), มันน่าขบขันที่คำว่า ละทิ้ง เราพูดถึงกับผู้คนที่เร่ร่อนเสเพล ว่าได้ถูกละทิ้ง(it’s funny that word abandon we speak of people who are dissolute as being abandoned).
แต่เราก็สามารถใช้คำว่า “ละทิ้ง/ทอดทิ้ง”
ด้วยเช่นกัน เป็นเช่นคุณลักษณะของนักบุญ(we can also use
“abandoned” as the characteristic of a saint ). คัมภีร์ทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่โดยบาทหลวงเยซูอิต,
ที่เรียกว่า(a great spiritual book by a Jesuit 1father is
called) “การละทิ้งสู่ เทวาลิขิต(abandoned
to Divine Providence2)”.
2 https://en.wikipedia.org/wiki/Divine_providence
มีผู้คนที่เป็นเช่นนั้น
ผู้ไม่ได้เป็นห่วงกังวลใจใด(there are people like that who just aren’t
hung up). พวกเขาเป็นผู้ยากจนในจิตวิญญาณ(they
are poor in poor spirit), นั่นคือที่จะพูดว่า
พวกเขาในความเป็นจิตวิญญาณนั้นย่ำแย่ยากจนในสัมผัสรู้สึกที่พวกเขาไม่ได้เกาะเกี่ยวไว้กับทรัพย์สมบัติใดๆ(that
is to say that they in spirituality are poor in the sense they don’t cling on to
any property). พวกเขาไม่ได้แบกหามภาระทั้งหลายไปทั่ว(they
don’t carry burdens around), พวกเขาเป็นอิสระ(they’re
free).
เอาละ,
แค่แยกแยะแบบนั้นเอง, ยากจนทางจิตวิญญาณ(just that sort of,
spiritual poverty). ที่การปล่อยวางนั่น เป็นค่อนข้างเป็นสำคัญจำเป็น(that
let go-ness is quite essential), ในการเพลิดเพลินเจริญใจในความพึงใจประเภทใดทั้งหมด(for
the enjoyment of any kind of pleasure at all).
แล้ว, ความวิตกกังวลของพุทธะตอนวัยหนุ่ม, ปัญหาที่พระองค์ต้องการจะคลี่คลาย, ก็คือ ความทุกข์ของมนุษย์(the concern of Buddha as a young man, the problem he wanted to solve, was the problem of human suffering). และแล้วพระองค์ก็บัญญัติคำสอนของพระองค์ในหนทางที่ง่ายมากที่จะจดจำ(and so he formulated his teaching in a very easy way to remember). คัมภีร์ทั้งหลายของชาวพุทธทั้งหลายทั้งหมดเหล่านั้นเต็มไปด้วยอะไรที่คุณอาจจะเรียกว่ากลอุบายทั้งหลายเพื่อช่วยในการจำ, ลำดับสิ่งทั้งหลายในหนทางที่พวกนั้นง่ายที่จะจดจำ(all those Buddhist scriptures are fill of what you might call mnemonic tricks, numbering things in such a way that they ‘re easy to remember).
และแล้วพระองค์ก็ได้แสดงเจตจำนง,
พระองค์ได้รวบรวมสรุปคำสอนของพระองค์ขึ้นในรูปของอะไรที่ถูกเรียกว่า อริยสัจ 4(and
so he purposed, he summed up his teaching in the form of what are called the
four noble truths).
และข้อแรก, ที่เพราะว่ามันเป็นความเป็นห่วงกังวลหลักของพระองค์ คือความสัจจริงเกี่ยวกับ ทุกข์(which because it was his main concern was the truth about Dukha). ทุกข์(Dukha), คือ ความเจ็บปวด(suffering). สิ่งต่อไปที่ตามขึ้นมา(the next thing that comes up).
ข้อที่สองของอริยสัจ
4(the second of the Noble Truths),
คือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์, ความเจ็บปวด(is about the cause of
suffering). และสิ่งนี้ในภาษาสันสกฤตเรียกว่า ทริษณะ
2 https://en.wikipedia.org/wiki/Trishna_(Vedic_thought)
(and this in Sanskrit is called “Trishna”2). ทริษณะ, เกี่ยวข้องกับคำของเราได้ว่า “กระหาย(thirst)”. มันบ่อยมากที่จะถูกแปลว่า “กิเลส”, นั่นก็ใช้ได้(it’s very often translated ‘desire’, that will do).บางทีดีกว่าก็คือ “ความอยาก”, ความหลงยึด, ความละโมบ(better perhaps is ‘craving’, clinging, grasping). แม้กระทั่งที่จะใช้คำเชิงจิตวิทยาสมัยใหม่ของเราก็ได้ว่า “ความปิดกั้น”(even to use our psychological word ‘blocking’). เมื่อ, ตัวอย่างเช่น ใครบางคนได้
ถูกปิดกั้น แล้วสองจิตสองใจและลังเล และไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี(when for example somebody is blocked and dithers and hesitates and doesn’t know what to do), เขาก็อยู่ในการยึดแน่นที่สุด-อุปาทาน-ตามความหมายของชาวพุทธ(he is in the strictest Buddhist sense attached). เขาได้ถูกทำให้ติดหยุดอยู่(he’s stuck).
แต่ พุทธะ ไม่สามารถถูกทำให้ติดหยุดอยู่ได้(but
Buddha can’t be stuck), พระองค์ไม่สามารถถูกทำให้เว้นวรรคได้(he
cannot be phased).พระองค์ไหลไปอยู่เสมอ(he always
flows), เหมือนดเช่นน้ำที่ไหลอยู่เสมอ(just as water
always flows). แม้ว่าคุณจะทำเขื่อนปิดกั้นมัน(even if
dam it), แม่น้ำนั้นก็แค่จะคอยยกตัวสูงขึ้นและสูงขึ้นและสูงขึ้นต่อไป
จนกระทั่งมันไหลท่วมข้ามเขื่อนนั้น(the river just keeps on getting higher and higher and higher until it
flows over the dam). มันไม่สามารถถูกหยุดยั้งได้(it’s
unstoppable).
ทีนี้พุทธะได้ตรัสไว้ว่า
แล้วทุกข์ก็มาจากทริษณะ/กิเลส(now Buddha said
then Dukha comes from Trishna). พวกคุณทั้งหมดเจ็บปวด
เพราะว่าพวกคุณเกาะติดอยู่กับโลก(you all suffer because you cling to
the world). คุณไม่ได้จดจำได้ว่า โลกนั้นเป็น อนิจจัง
และเป็น อนัตตา(you don’t recognized that the world is Anitya - अनित्य 3/impermanence and Anatta – अनात्मन् 4 /non-self).
3 https://en.wikipedia.org/wiki/Impermanence
4https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2
ดังนั้นแล้ว, จงพยายาม, ถ้าคุณสามารถทำได้, ไม่ที่จะยึดถือเกาะกุม(so
try if you can not to grasp).
เอาละ, คุณมองเห็นการตั้งปัญหาท่าทางทันทีนั้นขึ้นมาไหม?(well,
do you see that immediately poses a problem?)
เพราะว่าศิษย์ผู้ที่ได้เริ่มต้นบทอภิปรายเรื่องนี้กับพุทธะ,
แล้วทำความพยายามหลากหลายทั้งหลาย ที่จะละทิ้งความอยาก(because
the student who has started this dialogue with the Buddha, then makes various
efforts to give up desire), กับสิ่งที่เขาได้ค้นพบอย่างรวดเร็วยิ่งนั้น(upon
which he very rapidly discovers), คือ เขาได้กำลังอยากที่จะไม่อยาก(he
is desiring not to desire).
แล้วเขาก็นำนั่นกลับไปหาครูนั้น ผู้พูดว่า “ดี,
ดี, ดี” (and he takes that back to the teacher who says “well, well,
well”). เขาบอกว่า, “แน่นอนสิ, เธอกำลังอยากที่จะไม่อยาก
(of course, you are desiring not to desire), และ
นั่นแหละ, แน่นอนละ, มากเกินไป(and that’s, of course, excessive). ทั้งหมดที่ฉันต้องการให้เธอทำคือ ละทิ้งความอยากให้มากเท่าที่เท่าที่เธอสามารถทำได้(all
I want you to do is give up the desiring as much as you can).
อย่าไปต้องการที่จะไปโพ้นเลยจากจุดนั้น ที่เธอสามารถทำได้(don’t want to
go beyond the point of which you are capable).
และด้วยเหตุผลนี้เองที่ พุทธศาสนา
ถูกเรียกว่า ทางสายกลาง(and for this reason Buddhism is
called The Middle Way).
ไม่ใช่แต่เพียงเท่านั้นที่มันเป็นทางสายกลางระหว่างความสุดโต่งทั้งหลายของ
การถือสันโดษอย่างเคร่งครัด กับ การเสาะแสวงหาความสุข(not only is it the
middle way of the extremes of ascetic discipline and pleasure seeking), แต่มันก็ยังเป็นทางสายกลางด้วยเช่นกันในความหมายละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง(but
is also the middle way in a very subtle sense).
ใช่, อย่าอยากที่จะละทิ้งความอยากเกินไปกว่าที่คุณสามาถทำได้(don’t
desire to give up more desire than you can).
และถ้าคุณพบว่านั่นคือปัญหาหนึ่ง,
จงอย่าอยาก ที่จะได้ผลสำเร็จเต็มที่(and if you find that a
problem, don’t desire to be successful), ในการละทิ้งความอยากมากกว่าที่คุณสามารถทำได้(in
giving up more desire than you can).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น