มัวกลัวว่าถ้าอยากจะเป็นตัณหา ก็เลยไม่พัฒนาไปไหน โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
https://youtu.be/VKZjTwvbJuI?si=3Os6S8U4oc7kp_aH
...นี้อีกตัวอย่างหนึ่ง
อันนี้ต้องฝากทำใหม่ ต้องชัด ต้องช่วยสังคมไทยและช่วยในชีวิตของท่านเองด้วย
ก็คือเรื่อง คือเราสอนกันมาเนี่ยะ
ชาวพุทธไทย ก็ บอกให้ละตัณหา ตัณหานี้ไม่เอา ละตัณหา แต่พระท่านไม่ได้ให้รอละตัณหา
ไปรอละตัณหาอยู่ทำไม มันมีสิ่งที่จะต้องทำ สิ่งที่ต้องทำที่สำคัญ ไปรอละตัณหา
แล้วทำอะไร เอ้อ สิ่งที่ต้องทำนี่แหละสำคัญ
ไอ้สิ่งที่ต้องทำที่มันคู่ตรงข้ามกับตัณหาเนี่ยะ เราหลงลืมทิ้ง
สังคมไทยจะไปไม่รอดถ้าไม่ปลุกอันนี้ขึ้นมา.
แม้แต่ชีวิตก็เหมือนกัน ตัวนี้คืออะไร?
เนี่ยะ จะต้องชัดทุกองค์ อย่างน้อยต้องชัดตัวนี้.
คำนี้ก็ไม่ได้ยากอะไร คือคำว่า ฉันทะ.
แต่คนไทยก็อาจจะนึกว่า เอ้อ มอบฉันทะให้นะ
ที่ประชุมจะว่ายังไงก็ลงมติไป ฉันมอบฉันทะให้แล้ว อันนี้ก็ความหมายหนึ่ง. ฉันทะ
พอบางคนได้เรียนอิทธิบาทก็พอจะรู้หน่อย ฉันทะ-ความพอใจ.
ทีนี้แค่นั้นไม่พอ ต้องรู้รากเหง้ารู้ต้นตอที่ไปที่มา
จะยกตัวอย่างให้นิดหนึ่งพอจะได้เห็นความหมาย เช่นว่า เอ้อ เรานึกถึงวัด
วัดนี้มีพระ มีบรรยากาศน่าเลื่อมใสศรัทธา มีพระที่มีความรู้มีปัญญา
เราน่าจะไปฟังท่านอะไรต่างๆเหล่าเนี้ยะ เกิดศรัทธาขึ้นมาละ นี่เรียกว่าศรัทธา
ศรัทธานี้เป็นตัวเริ่มให้ ในกรณีนี้ ศรัทธาเริ่มให้แล้ว พอศรัทธาเชื่อ เออ เออ
ไปนี้ดีนะ ก็อยากไปเอาละสิ อยากไปเพราะจะไปฟัง จะได้ฟังก็คือต้องไป.
ที่นี้อยากไปฟัง อยากไปฟังนี่คือ ฉันทะ เกิดแล้ว.
เป็นตัวเริ่มต้นการกระทำ ถ้าไม่มีฉันทะ การกระทำ
แต่ในทีนี้หมายถึงการกระทำที่ดี มันเริ่มไม่ได้ ฉันทะเนี่ยะ
เป็นตัวศัพท์พื้นที่สุดของคำว่า “ความพอใจ ความปรารถนา ความอยาก ความต้องการ”.
เป็นตัวกลางนะ เป็นตัวเริ่ม เป็นตัวพื้นฐาน ความต้องการ ความพอใจ ความปรารถนา.
ทีนี้ พอใจใฝ่ปรารถนานี่ มันดีก็ร้ายก็ได้ ฝ่ายปรารถนาร้าย ที่ไม่ดี
ที่จะเป็นโทษต่อใฝ่ ก็ ท่านเรียกว่าตัณหาฉันทะ ชื่อเต็มมันว่าอย่างงั้น ฉันทะนี่เป็นตัวกลาง
เป็นชื่อพื้นเดิม ความอยากความปรารถนาพอใจเนี่ยะ. ทีนี้พอเป็นอยากฝ่ายไม่ดีก็เติมตัณหาเข้าไป
ก็เป็นตัณหาฉันทะ. หรือเรียกอีกอย่างว่า อกุศลฉันทะ ก็ได้ อกุศลฉันทะก็คือตัณหาฉันทะ
ทีนี้ เวลาเรียกอย่างนี้มันยาวก็เลยตัดเรียกตัณหาตัวเดียวพอ. เอาละนะ
ให้รู้ว่าตัณหา ก็คือตัณหาฉันทะ.
ทีนี้ไอ้ฉันทะที่มัน
ฝ่ายต้องการพอใจปรารถนาอันที่มันดีล่ะ เนี่ยะ อย่างเมื่อกี้บอกว่า อยากจะไปฟังธรรมละ
นี่คืออยากดี. อยากอย่างงี้เป็นฉันทะก็เรียก กุศลฉันทะ
หรือเรียกว่า ธรรมฉันทะ ก็ได้. แต่เพราะไอ้ฉันทะตัวเนี้ยะ มันเป็นฉันทะที่จะมีการกระทำ มันอยากทำ
เพราะฉะนั้นท่านจึงมีชื่อพิเศษเรียกว่ากัตตุกัมยตาฉันทะ1
ฉันทะคือความปรารถนาจะทำ.
1 https://book.watnyanaves.net/dictionary/display/149
ไอ้ตัณหานี่ อยากปรารถนา อยากจะได้มาเป็นของตัว
อยากเสพ อยากจะบริโภค อยากจะบำรุงบำเรอ อยากจะให้ลิ้นอร่อย
อยากจะได้จมูกหอมอะไรทั้งนั้นแหละ มันไม่ได้ต้องการจะทำ
นอกจากจะจำใจมีเงื่อนไข ถ้าแกไม่ทำแล้วแกอด ที่จริงแกอยากจะลิ้มรสอร่อยเท่านั้นเอง
ถ้ามีแล้วแกไม่ทำละ แกก็หยิบขึ้นมาลิ้ม ฉะนั้นไอ้เจ้าตัณหาฉันทะ นั้นไม่มีความอยากทำหรอก
ทำก็จำใจ ทำแล้วเป็นทุกข์. ตัณหาเนี่ยะ มันอยากจะเสพอยากจะบำรุงบำเรออะไรตะไร
นี่เป็นตัณหา ทีนี้เจ้าฉันทะมันอยากทำ ทำไอ้ที่มันดีๆ สิ่งที่ดี
ทำไมมันจึงอยากทำที่ดี? เพราะฉันทะตัวนี้มันแปลว่า
ถ้าแปลให้เต็มนะ ก็แปลว่า ความพอใจปรารถนา จะทำอะไรที่ดีๆ หรือทำให้มันดี
นี่อันนี้เรียกว่าฉันทะ. จะทำอะไรที่ดีๆ เช่น อยากจะไปฟังธรรม
ก็มีศรัทธาแล้วนี่ อยากจะทำก็คือ ไป๊ ไปฟังธรรม อยากฟังธรรมแล้วดีทั้งนั้น
อันนี้ต้องทำทั้งนั้น.
ทีนี้ อะไรที่มันยังไม่ดี อยากทำให้มันดี ก็เป็นฉันทะ
เอาละ นี่ว่าลบ้อมรอบไปกก่อน.
ทีนี้ไปถึงเนื้อตัวแท้ๆ เอาละทีนี้ทำความเข้าใจให้ชัด ยกตัวอย่างก่อน
เคยยกตัวอย่างบ่อย เช่นว่าโยมเข้ามาในวัดเนี่ยะ วัดหลายวัดก็มีต้นไม้เยอะๆ
ต้นไม้นั้นก็สงบ ร่มรื่น แล้วก็ไม่มีใครมาทำอันตรายก็มีกระรอกกระแต
ทีนี้ไอ้เจ้ากระรอกกระแต มันก็กระโดดโลดเต้น วิ่งไปวิ่งมา เอ้อ มันก็น่าดู ทีนี้คน
2 คนเข้ามา คนหนึ่งก็บอกว่า เอ้อ ไอ้กระรอกตัวนี้มันสวยดี มันอ้วนซะด้วย
ถ้าเราได้เป็นกับข้าวมื้อเย็นนี้ ลงหม้อข้าวลงหม้อต้ม อร่อยแน่ นี่นี่ นี่อยากได้แล้วใช่มั้ย?
อยาก เนี่ยะ อยาก มันพอใจเหมือนกัน พอใจเจ้าตัวกระรอกเนี่ยะ แล้วก็อยากได้เจ้ากระรอก.
ทีนี้อีกคนหนึ่ง มาเห็นเจ้ากระรอกนี่ เอ้อ เขา
รูปร่างเขาสวยงามคล่องแคล่วปราดเปรียว วิ่งสวยงาม กระโดดโลดเต้น
แหมทำให้บรรยากาศวัดนี่รื่นรมย์ สวยงาม ขอให้เจ้ากระรอกตัวเนี่ยะ
มีสุขภาพดีแข็งแรงต่อไปนะ แล้วก็คล่องแคล่วปราดเปรียวอย่างงี้
ช่วยให้วัดนี้ได้รื่นรมย์มีความเป็นรมณีย์ สดชื่นสวยงามต่อไป.
อย่างนี้ 2 อันเนี่ยะ อันที่หนึ่ง อยากได้กระรอกนั้นมาลงหม้อแกง
ต้มกิน นี้เรียกว่าตัณหา
ทีนี้ไอ้เจ้าพอใจอยาก ปรารถนาให้เจ้ากระรอกตัวนั้น
แข็งแรงสมบูรณ์สวยงาม กระโดดโลดเต้นให้มันน่าดูอย่างงี้ต่อไป อย่าวงนี้เรียกว่าฉันทะ.
แล้วโยมนี่ไป เดินไปในทุ่งในสวนหนึ่ง มีต้นไม้เยอะ
ต้นไม้นั้นก็สวยงาม คนหนึ่งก็ เอ้อ ไอ้ต้นไม้นี้ดีนี่ ถ้าเราเอาตัดเอาไปขายได้หลายสตางค์
อย่างนี้ก็อยากได้ใช่มั้ย? นี้ก็ตัณหาละ นี่อยากแบบตัณหา.
ทีนี้อีกคนหนึ่ง โอ้นี่ สวนนี้ มีต้นไม้ยังงี้ ทำให้สวยงาม แหมขอให้ เนี้ยะ
ไม้ในนี้งดงามยิ่งขึ้นไป ทำให้บรรยากาศร่มรื่น สดชื่น เป็นรมณีย์สถาน
ถ้าเรามีโอกาส เราจะมาช่วย เราจะมารดน้ำให้ เราจะมาช่วยตัดแต่งให้ต้นไม้นี้ งามสวยยิ่งขึ้น
อย่างงี้เรียกว่าฉันทะ.
เอาละนะ โยมแยกให้ถูก.
ลักษณะอย่างหนึ่งของตัณหากับฉันทะ คือมันต่างกัน คือตัณหามันจะตัวตนขึ้นมา
อยากจะได้ อยากจะเอา ให้ตัวได้เสพ ได้บำรุงบำเรอตัว มีตัวตนขึ้นมา
ตัณหาเนี่ยะ อยากเพื่อตัวเอง ใช่มั้ย? อยากได้ อยากเอามาบำรุงบำเรอตัวเอง.
ทีนี้ไอ้ฉันทะ ท่านบอก มันอยากเพื่อสภาวะของสิ่งนั้นๆเอง
เห็นอะไร? เห็นพื้นนี้ อยากพื้นนี้สะอาดเรียบร้อยหมด
ก็คือความดีงามเพื่อสภาวะของพื้น ไปเห็นถนนก็อยากให้ถนนสะอาด
หมดจดเรียบร้อย ไม่ขรุขระ ถ้ามันมีหลุมมีตุ่มมีอะไร ทำให้คนเป็นอันตราย
ก็นึกถึงคนอีก อยากให้คนเค้ามีสุขภาพดี เค้าอยู่ดี ต้องไปช่วยเค้าแก้ไข
หลุมนี้ไปปรับแก้ไปเติม ไปเอาอะไรใส่ให้มันเต็ม อย่างงี้ก็คือทำให้มันดี
แล้วทำมุ่งสภาวะที่ดีงามของสิ่งนั้นๆ.
เข้าใจแล้วนะ? ฉันทะ ความพอใจใฝ่ปรารถนา
เพื่อสภาวะของสิ่งนั้นๆเอง นี่ไม่เกี่ยวกับตัวเราเลย ใช่มั้ย? เราไปเห็นอะไร
แม้แต่แขนเนี่ยะ ก็เป็นสภาวะอย่างหนึ่ง เราอยากให้แขนเนี่ยะ มันสมบูรณ์ แข็งแรง
แม้จะเป็นของตัวเองนะ มันก็เป็นฉันทะ แต่ถ้าเราอยาก เอ้ย อยากให้สวยแบบตาคนนั้น
อะไรอย่างงี้ อย่างงี้ก็เป็นตัณหาไป ใช่มั้ย? ถ้าอยากเพื่อให้ร่างกายของเราดี
แข็งแรง ก็เป็นสภาวะของมัน ความที่ใฝ่ปรารถนาให้เพื่อสภาวะของสิ่งนั้นๆ
ที่จะดีงามสมบูรณ์ของมัน อย่างนี้เรียกว่าฉันทะ. แต่ความอยากเพื่อจะ
นั่นแหละ เพื่อตัวตน เพื่อจะได้มาบำรุงบำเรอเสพอะไรต่ออะไรขึ้นมามิด พอจะตัณหาเกอิด
มันจะมีตัวตนขึ้น เอาทันที ถ้าฉันทะมันไม่มี.
เพราะฉะนั้น ขอให้คิดดู ถ้าฉันทะมีกันมากๆเนี่ยะ
ชีวิตก็จะเจริญงอกงาม จะทำงานอะไรมันต้องทำให้มันดี มันไม่คิด
ลืมไปเลยเรื่องผลตอบแทนอะไรต่ออะไร ไอ้นั่นเป็นสังคมที่ดีเค้าก็จะจัดสรรเองว่า
เอ้อ คนทำงานเค้าต้องอยู่ต้องอาศัย เครื่องเลี้ยงชีพก็จัดให้เค้าอยู่ได้ยังไง
จะอยู่ได้ดียังไงก็จัดเข้าไป แต่ว่าตัวคนทำนั้น ถ้าทำได้ตามคติของพุทธศาสนา
ก็คือ เค้าจะตั้งใจทำสิ่งที่เค้าทำนั้น ให้มันดีของมัน ดีที่สุด เต็มที่ของมัน
ดีแล้วก็ดียิ่งๆขึ้นไป.
เพราะฉะนั้น ฉันทะเนี่ยะ พระพุทธเจ้าบอกว่า ฉันทะ มูละกาสัพเพ
ธัมมา ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นจุดเริ่มต้น
ถ้าไม่มีฉันทะแล้วไม่ไป เนี่ยะ ในตัวอย่างในพระไตรปิฎกยังมีเลย.
พระพุทธเจ้ายกตัวอย่างกับพระอานนท์ บอกว่าจะไปโน่น เช่นอย่างที่ว่าเมื่อกี้
ไปฟังธรรม บอกว่า จะไปฟังธรรม ก็ต้องทำให้สำเร็จ แล้วฉันทะก็จะหมดไปเอง.
เนี่ยะ หลักปฏิบัติต่อฉันทะและตัณหา.
ปฏิบัติต่อตัณหานั้นอย่างหนึ่ง ปฏิบัติต่อฉันทะอย่างหนึ่ง
ทั้ง ๆที่มันเป็นความอยาก.
ฉันทะ ละด้วยการทำให้สำเร็จ
ท่านบอกไว้อย่างนี้นะ. พอทำให้สำเร็จแล้ว มันก็ละเอง ใช่มั้ย?
เพราะว่ามันหมดหน้าที่แล้ว ไอ้ฉันทะมันก็เลิกด พอฉันทะ เราอยากไปฟังธรรมที่วัด
แล้วก็ไปสิ พอไปถึงแล้ว ฉันทะมันก็จบ ละได้ ละด้วยการทำมันสำเร็จ
นี่เรียกว่า หลักของการละฉันทะ.
ส่วนตันหานั้น
เมื่อไหร่มันเกิดขึ้นก็ไม่ต้องเอามันตอนนั้น ก็จบ. นี่เรียกว่า หลักของการละตัณหา
กับ ฉันทะ.
เมืองไทยเนี่ยะ เวลานี้ต้องคุยกันมากนะ เราเป็นชาวพุทธกันมาจนป่านนี้แล้วยังเนี่ยะ
แยกไม่ออกระหว่างตัณหากับฉันทะ อยู่ ๆก็บอกให้ละตัณหา อย่าไปอยาก ชาวพุทธนี่ อยากอะไรไม่ได้ คิดเป็นตัณหาไปหมด.
เมืองไทยสังคมไทยมันจะแย่
เพราะคนไทยชาวพุทธเนี่ยะ ไม่รู้จัก ไม่รู้จักฉันทะ แยกความอยากความต้องการไม่เป็น
เนี่ยะ เสียหายไปเท่าไหร่แล้ว.
ชีวิตก็เหมือนกัน ถ้าจะมัวไปรอละตัณหาอยู่ ให้เร่งทำฉันทะซะ นะ อะไรที่มันดีตั้งจุดมุ่งหมาย แล้วก็ฉันทะก็มา เริ่มไปเลย จำให้แม่น ฉันทะ มูลการ สัพเพ
ธัมมา ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล ต้นดเค้า แต่ทั้งฝ่ายดีฝ่ายร้ายนะ ฉันทะฝ่ายร้ายก็ ถ้ามูลการ สัพเพ ธัมมา ก็คือฝ่ายตัณหาเป็นตัวต้น
เป็นตัวเริ่มต้นให้ มีอวิชชาเป็นตัว...เป็นตัวเอื้อ ปัจจัยของตัณหาก็คืออวิชชา
ความไม่รู้ไม่เข้าใจว่าอะไรมันดีมันร้าย ประโยชน์ ไม่ใช่ประโยชน์
มันก็ให้โอกาสต่อความรู้สึก ตัณหาเป็นเรื่องของความรู้สึก ที่เกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจ
ชีวิต ความจริง อะไรจริงแท้ อะไรเนี่ยะ ก็ อวิชชาก็เป็นตัวเอื้อ เป็นปัจจัยแก่ตัณหา
ตัณหาก็เกิดขึ้นมา เป็นตัวต้นทางของฝ่ายร้าย.
ทีนี้ ฉันทะ มูลการ สัพเพ ธัมมา ก็ ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล
ของฝ่ายดี ก็ฉันทะที่เรียกว่า กุศลฉันทะ ธรรมฉันทะ กัตตุธัมยตาฉันทะ
เนี่ยะ เป็นฝ่ายดีก็มีวิชชา มีปัญญาเป็นมูลปัจจัย เพราะเรารู้นี่
อันนี้มันดี อันนี้มีประโยชน์ อย่างนี้จึงจะเหมาะสมที่จะทำให้มีความเจริญ เมืองไทยจะเจริญ
ควรจะต้องมีอย่างงี้ ปัญญามันรู้แล้ว พอปัญญามันรู้ ว่าอันนี้มันดี มันเป็นประโยชน์
โอ้ มันก็อยากทำ ใช่มั้ย? อยากทำให้มันดี ไอ้ปัญญามันก็เป็นตัวปัจจัยให้แก่ฉันทะ.
อวิชชาเป็นปัจจัยให้แก่ตัณหา. ปัญญาเป็นปัจจัยให้แก่ฉันทะ.
ทีนี้เราจะให้ประเทศชาติ หรือแม้แต่ชีวิตของดเราเจริญ
เราก็ต้องคู่ไปสิ ปัญญาพัฒนาไป แล้วก็ พอปัญญาพัฒนาไป อย่าไปทิ้งฉันทะ
มันก็ตจะรู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นประโยชน์ อะไรควรจะทำ ปัญญามันบอกแล้วก็เจ้าฉันทะจับเอาเลย
อยากจะทำ อยากจะทำให้มันดีให้สมบูรณ์ให้สำเร็จ อย่างนี้ก็ไปได้
ชีวิตก็ไปได้ดี ชุมชนก็ไปดี สังคมก็ไปดี.
ก็เคยบอกแล้ว บอก...ท่านให้หลักไว้ แม้แต่เมตตา กรุณา
มุทิตา อุเบกขา เนี่ยะ มันมาจากฉันทะ ตัวแกนของเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาก็ฉันทะทั้งนั้น
อยาก-ให้ดี ถ้าเจอคน ก็อยากให้เค้าดี ก็คือ อยาก-เพื่อสภาวะของเขา
สภาวะที่ดีของเขาก็คือ เป็นคนร่างกายดี สุขภาพดี มีแข็งแรงมีความสุขอะไรเนี่ยะ.
ทีนี้ก็ ไอ้เจ้าฉันทะที่มันอยากให้มันมีสภาวะที่ดี มันก็ออกมา หนึ่งเมตตา
อยาก-ให้เขามีความสุข. แล้วก็นี่ ถ้าเขาทุกข์ เดือดร้อน ตกต่ำอยู่ ก็อยาก-จะทำให้เขาพ้นทุกข์
อ้า ฉันทะมันก็ออกที่กรุณา. แล้วก็ เขาทำดีได้สำเร็จ ก็อยาก-จะให้เขาดียิ่งขึ้นไป
ก็เป็นมุทิตา. แล้วก็ อุเบกขา อยากเหมือนกัน เนี่ยะ คนไม่รู้
อุเบกขานี่ว่าเฉย ว่าไม่อยาก อุเบกขาก็อยาก ตัวอยากสำคัญเลย อยาก-ให้เขาไม่ทำอะไรผิดพลาด.
ท่านอธิบายไว้ชัดเลย เช่นบอกว่า ฉันทะนี่เป็นตัวต้น
เค้าเรียกว่าเป็นอาทิ เป็นตัวต้นของเมตตากรุณามุทอิตาอุเบกขา โดยเฉพาะข้ออุเบกขา อยาก-ให้เขาไม่ทำอะไรผิดพลาด เช่น พ่อแม่. พ่อแม่อยากให้ลูกไม่ทำอะไรผิดพลาด จึงได้ต้อง
ควบคุมดูแลหรือว่าการไม่ให้เค้าทำ ใช่มั้ย?ไม่ใช่ตามใจซะหมด ถ้ามีแต่เมตตา ตามใจ ลูกจะได้มีความสุข ทำอันนั้นทำอันนี้
กลายเป็นเหลวไหล เสียหายกับชีวิตของเขาเอง หรือเสียหายแก่สังคมก็แล้วแต่ ก็ตามใจ
ยังงั้นเมตตาเสียแล้ว เมตตาก็ประกอบด้วยความโมหะ ความไม่รู้.
ทีนี้ ต้องมีฉันทะตัวอุเบกขา. ฉันทะที่อยากให้เขาไม่ทำอะไรผิดพลาด
อยากไม่ให้เขาทำอะไรเสียหาย อยากให้เขาตั้งอยู่ในความถูกต้อง อยากให้เข่าทำสิ่งที่ถูกต้อง อยากให้เขาทำสิ่งที่ดีงาม.
นี้คือตัวฉันทะที่เป็นต้นทางของอุเบกขา. แล้วอุเบกขาจึงหยุด ใช่มั้ย? แต่ก่อนนี้มัน อยากให้เขามีความสุขก็ตามใจ ปล่อยเขา พออุเบกขาบอกว่า เอ้ ถ้าเขาทำยังงี้แล้วมันเสีย ใช่มั้ย? เสียหายกับตัวเข้าเองด้วย
อุเบกขา-หยุดเลย. อุเบกขา-หยุดแล้ว ทีนี้ปัญญาก็มา อุเบกขาก็คือตัวตั้งหลัก
ตั้งท่าที วางที เฉยดูมั่ง วางทีเตรียมการกระทำ ไม่ใช่ เฉยไม่รู้ดเรื่อง
ท่านเรียกว่า อัญญาณุเบกขา
เฉยโง่ พระพุทธเจ้าไม่ให้ทำ เฉยโง่-ไม่เอา
เฉยมีปัญญาก็คือ เฉยตั้งหลัก พอตั้งหลักทีนี้ปัญญาก็ทำงาน เพราะฉันทะของอุเบกขาก็คือ บอกว่า อยากให้เขาตั้งอยู่ในความถูกต้อง
อยากให้ตั้งอยู่ในธรรม.
อย่างผู้พิพากษาต้องมีอุเบกขา อยาก-ให้ทุกคนตั้งอยู่ในความถูกต้อง ไม่ทำอะไรผิดพลาด.
เอาละทีนี้ปัญญาก็มาวินิจฉัย ว่า จะผิดจะถูกจะแก้ไขอย่างไร นี่ปัญญามา อุเบกขาต้องคู่กับปัญญาตลอดเวลา.
ส่วนไอ้เจ้าเมตตากรุณามุทิตานั้น บางทีไม่ได้ใช้ปัญญาหรอก.
เพราะฉะนั้น ถ้าสังคมไทย ไม่รู้จักอุเบกขา แย่แล้ว. เนี่ยะ จนเดี๋ยวนี้ยังไม่รู้จักเลย.
ฉันทะ ก็ไม่รู้จัก. ใช่มั้ย?
เรื่องอยู่กับปัจจุบันก็ไม่ชัด.
เพราะฉะนั้น
ศึกษาให้มันชัดเจนทุกอย่าง ข้อธรรมะเนี่ยะ ไม่งั้นเดี๋ยวพลาด แล้วเสียหาย.
วันนี้ก็ดเลยมาพูด
ไปซะเยอะเหมือนกัน ก็เอาละ นี้เป็นตัวอย่างของวิภัชชชวาท2 การรู้จักแยกแยะ อันนี้
เอ้อใช่ ในแง่นี้ ไม่ใช่ในแง่นั้น ถูกแง่นี้ อะไรยังงี้อ่ะนะ ต้องแยกแยะเป็น.
ก็เป็นอันว่า
เรื่องกาลเวลาก็เข้าใจไม่ยาก แต่เรื่องที่จะต้องเน้นก็คือเรื่องฉันทะ ไม่ว่าชีวิต
ชุมชน สังคมของเรา สังคมไทยประเทศไทยเนี่ยะ ต่อไปจะต้องปลูกฝัง พวกเด็กเยาวชนให้มีฉันทะให้ได้
แล้วไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าเด็กมีฉันทะแล้วเนี่ยะ เรื่องของอบายมุข
เรื่องของการเสเพล เรื่องของแม้แต่ระยะยาว ทุจริต อะไรต่ออะไรเนี่ยะ
มันเบาบางไปเอง มันอยู่ที่ ให้การศึกษาให้ถูกต้อง อะไร
ป่านนี้การศึกษายังไม่รู้จักฉันทะ เอ้อ ก็ได้แต่ให้ละตัณหา รอละตัณหาอะไรก็ไม่รู้.
เพราะฉะนั้นต้อง ถึงเวลาควรจะพูดกันย้ำกันซะที
นะ ขอให้ปลูกฝังฉันทะให้ได้ เริ่มตั้งแต่ตัวเองเป็นต้นไป แล้วมันมาเลย
ศรัทธาก็ เราก็เชื่อสิ่งที่ดีมีเหตุผล พุทธศาสนาบอกไว้ ศรัทธามีปัญญา
เพราะว่าศรัทธามันเชื่อสิ่วที่ดี มันก็ทำให้ฉันทะ อยากทำมันมาเลย อยากทำดี
มันก็สำเร็จ นั่นแหละ แล้วปัญญาก็คู่ไป มันก็จะบอก จะปรับแก้จะทำให้ก้าวหน้าต่อไปได้
นี่แหละทาวงที่จะสำเร็จด้วยดี
เพราะฉะนั้น
เราทำความเข้าใจเรื่องธรรมะให้มันถูก การศึกษาจะไปไม่ได้
ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ใช่มั้ย? สัมมาทิฏฐิ ความเข้าใจ ความรู้ ธรรมะ-ไม่รู้แล้วมันก็
เฉไฉไปหมด ถึงจะตุ้งใจทำยังไง มันก็ไม่ถูก.
วันนี้น่าจะพอ.
พูดเยอะแล้ว. ก็เอาละ อนุโมทนา ก็เลยเป็นตัวอย่างของเรื่อง วิภัชชวาท
ไม่รู้ตั้งใจพูดอะไรไว้อีก เอาแค่นี้ก็แล้วกัน ไหน เอาๆ สมองมันชักจะว้าๆและ ถ้าจะพูดกับพระใหม่ได้
ขอพูดน้อยหน่อยละ อ้างพระใหม่ ก็ถือว่าพูดไปแล้วนี่แหละนะ
https://youtu.be/VKZjTwvbJuI?si=iqL1m7CzGu0w7rhM
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น