หน้าเว็บ

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2567

คุรุเทพ – นี้จะช่วยคุณจาก อุปาทาน อันทำให้เจ็บปวดทั้งหลาย

คุรุเทพ – นี้จะช่วยคุณจาก อุปาทาน อันทำให้เจ็บปวดทั้งหลาย

This Will Save You From Hurtful Attachments! | Gurudev

         https://youtu.be/vtU6WAiX01c?si=U8YV0j8lYyqeWLZM

- อุปทาน(attachment)จาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)/ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)/ พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

[214]อุปาทาน 4 (ความยึดมั่น, ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส, ความยึดติดอันเนื่องมาแต่ตัณหา ผูกพันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง - attachment; clinging; assuming)
       1. กามุปาทาน (ความยึดมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ - clinging to sensuality)
       2. ทิฏฐุปาทาน (ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ - clinging to views)
       3. สีลัพพตุปาทาน (ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่ากระทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบัติตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล - clinging to mere rule and ritual)
       4. อัตตวาทุปาทาน (ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญหมายอยู่ในภายในว่า มีตัวตน ที่จะได้ จะเป็น จะมี จะสูญสลาย ถูกบีบคั้นทำลายหรือเป็นเจ้าของ เป็นนายบังคับบัญชาสิ่งต่างๆ ได้ ไม่มองเห็นสภาวะของสิ่งทั้งปวงอันรวมทั้งตัวตนว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ประชุมประกอบกันเข้า เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหลายที่มาสัมพันธ์กันล้วนๆ - clinging to the ego-belief)

 

คุรุเทพ:   ทำไมพวกคุณต้องการที่จะปลีกตัวแยกออกไป/สันโดษ?(why you want to detach?) บอกฉันซิ ว่าทำไมคุณถึงกำลังดิ้นรนที่จะปลีกตัวแยกออกไป/สันโดษ? (tell me, why you are struggling to detach?)

ก็แค่มียึดติด/มีอุปาทาน(just be attached)?

ก็เพราะว่าอุปาทานให้ความเจ็บปวดแก่คุณ(because attachment give you pain)?

ทำไมคุณอยากที่จะได้ปลีกแยกออกไปจากลูกและหลานๆของคุณ?(why you want to be detached from your children and grandchildren?)

ทำไมคุณถึงต้องการที่จะปลีกแยกออกไป?(why you want to detach?) อุปาทานกำลังให้ความเจ็บปวดแก่คุณนั่นคือทำไมคุณต้องการที่จะ(attachment is giving pain that’s why you want to detach, right?) เห็นมั้ย? ความรักของคุณเป็น ถ้ามันเป็นสิ่งไร้เงื่อนไขมันก็จะไม่ให้คว่ามเจ็บปวดแก่คุณ(see, your love is if, it is unconditional it will not give you pain).

แต่ถ้าความรักของคุณเป็นว่า โอ้ ฉันรักลูกของฉัน ให้พวกเขาได้อยู่กับฉันตลอดเวลาเถิด(but if your love is oh I love my child, let them be with me all the time) โอ้ ฉันต้องการที่จะเห็นพวกเขาทุกวัน หรือว่า พวกเขาควรฟังฉัน.

คุณคาดหวังว่าจะได้สิ่งใดตอบแทนกลับมา, นั่นเองที่จะให้ความเจ็บปวดแก่คุณ(you expect any return from them, that will give you pain).

นี่นะ, คุณรักลูกๆของคุณเหมือนที่คุณรักเด็กๆคนอื่นไหม?(do you love your kids like you love other kids?) ทำไมไม่ล่ะ?(why not?) มองยังงี้สักชั่วครู่นะ, ก็นี่คือลูกของฉัน, ลูกชายของฉัน, ลูกชายของพี่ฉัน หรือลูกชายของเพื่อนบ้านฉัน(so this is my child, my son, my brother’s son or my neighbor’s son ), พวกเขาทั้งหมดเหมือนกัน(they’re all same), คุณสามารถยึดติดตนเองกับทุกคนเช่นนั้นได้ไหม?(can you attach yourself to everybody like that?)

ถ้าคุณทำเช่นนั้นได้ ความเจ็บปวดของคุณก็จะน้อยลง(if you do that your pain will be less).

คุณยืดขยายอุปาทาน/ความยึดติดของคุณออกไป(you expand your attachment). คุณรักทุกคน(you love everybody). คุณรักมามากกว่า 40 ปี 50 ปีของชีวิตคุณ, คุณใช้เวลาไปในจำกัดครอบครัวของคุณ(you love more 40 years 50 years of your life you spend in your limited family). เธอคือลูกชายของฉัน(my son), ลูกสาวของฉัน(my daughter), หลานสาวของฉัน(my granddaughter), ลูกสะใภ้ของฉัน(my daughter-in-law), หลานๆทั้งหลาย(grandkids), โลกของคุณย่อหดลงมาเป็นมากเพียงแค่นั้น(your world shrunk only that much).

เมื่อโลกของคุณถูกหดย่อลงมา มันจะมักให้ความเจ็บปวดแก่คุณเสมอบปวดแก่คุณเสมอสมอ(when your world is shrunk it will always give you pain). มันไม่ใช่ความรักมากเกินไป เพราะว่าเราไม่ได้กำลังยืดขยายการเอาใจใส่ของเรา(it’s not too much love because we are not expanding our attention).

คุณต้องรัก, คุณไม่ทำไม่ได้, คุณไม่สามารถทำได้นอกจากรักลูกๆของคุณ, คุณมีความรัก แลละไม่มีแม่คนไหนสามารถรักลูกๆขแองพวกเขา หรือหลานๆของพวกเขาได้น้อยลงไปกว่ามัน(you must love you cannot you cannot but love your children, you are love and no mother can love their children less or grandchildren any less it’s).    

อย่าพยายามที่จะบรรเทาลดความรักของคุณลงไปเลย(don’t try to lessen your love at all), มันเป็นการออกแรงที่ไร้ประโยชน์(it’s futile exercise). แต่ถ้าคุณสามารถยืดขยายที่คุณรักลูกๆของคุณมากเท่าไหร่นั่นได้(but if you can expand that how much you love your children), คุณรักลูกๆของเจธานี – น้องสะใภ้ ของคุณด้วยใช่ไหม? นั่นคืออะไรที่เราไม่เคยคิดถึงมัน(that we never think about it). อันที่จริงแล้ว(actually), เมื่อคุณจำเป็นต้องการ, คือผู้คนแปลกหน้าทั้งหลายที่จะมาหาเพื่อช่วยเหลือคุณ(when you need, who are strangers will come to your help).

หลายครั้ง, คุณก็รู้, ที่ในอินเดีย, พ่อแม่ทั้งหลายอยู่ที่นั่น, ลูกๆทั้งหลายของพวกเขาอยู่ที่นี่, แต่เมื่อพวกเขาอยู่ในความต้องการอย่างยิ่งของการช่วยเหลือบางอย่าง, ใครบางคนที่ไม่ใช่ญาติของพวกเขาได้มาและช่วยเหลือพวกเขา(when they’re in dire need of some help, someone who is not their relative, they come and help them). สิ่งนี้บังเกิดขึ้นตลอดเวลา. ไม่มีความขาดแคลนความรัก หรือความรู้สึกว่าเป็นญาติมิตรเชื่อมโยงอะไรในพวกเขา(there is no dearth of love or feeling on connectivity with them). เมื่อพวกเขาจำเป็นต้องการอะไรบางอย่าง แต่คุณมาอยู่ในที่นี้, พวกเขาอยู่ที่นั่น, ใครกันล่ะที่ช่วยเหลือพวกเขาได้?(when they need something, you are here, they are there, who would help them?) ผู้ช่วยเหลือพวกเขา(their helper), เพื่อนบ้านของพวกเขา(their neighbor), พวกเขาจะมาช่วยเหลือพวกเขา(they will come to their help). นั่นคือทำไมที่ฉันพูดว่า, คุณรู้, ของเราในระบบยุคโบราณนี้เป็นได้งดงามยิ่งนัก(that why I say, you know, our in the ancient time system, this is very nice done).

มาถึง 50 ปีของอายุคุณ ที่คุณเพ่งใจใส่อยู่แต่ครอบครัวของคุณ, นั่นไม่เป็นไร(up to 50 years of your age, you focus only your family, that’s okay). แต่ภายหลังจากนั้น, คุณไปสู่ วนปรัสถ์(but afterwards you go to Vanaprastha1 - वानप्रस्थ ), หมายถึงว่า คุณยืดขยายการเป็น”ฉัน”ของคุณ ออกไปสู่ผู้อื่นด้วยเช่นกัน(means you expand your ‘I’ness to other, also).

1 https://en.wikipedia.org/wiki/V%C4%81naprastha

         คุณมองเห็นสิ่งที่ฉันกำลังพูดไหม?(do you see what I’m saying?) จำนวนความรักที่คุณมีกับหลานๆของคุณ, คุณสามารถมีความรักนั่นให้กับ 100 เด็กๆอื่นได้ไหม?(amount of love you have for your grandchildren, can you have that love for 100 other children?). คุณสามารถได้.

         เด็กๆของคุณไม่ใช่ใบหน้าของพวกเขา, ไม่ใช่ร่างกายของพวกเขา แต่พวกนั้นคือพลังงาน(your children are not their faces their bodies but they are energy). คุณได้ติดอยู่กับหลอดไฟทั้งหลายนั้น, คุณไม่ได้คิดถึงไฟฟ้านั้น จนกว่าความสนใจของเราไปที่ไฟฟ้านั้น(you are stuck in the bulbs, you are not thinking about the electricity unless our attention goes to the electricity). เราไม่สามารถมีวันเป็นอิสระจากความทุกข์ของชีวิต(we can never be free from misery of life).

         อีกตัวอย่างหนึ่งที่ฉันจะบอกกับคุณ, ห้องนี้ทั้งหมดเป็นไม้, อะไรคือไม้?(this room is all wood, what is wood?) หลังคาเป็นไม้, นี่คือไม้, และประตูนั่น, เพดานนั่น, โต๊ะเก้าอี้และพื้น มันทั้งหมดเป็นไม้(it’s all wood). นี้คือทรรศนะเชิงกลไกควอนตัม(this is quantum mechanical vision). เมื่อมันมาสู่ชีวิต, ทั้งหมดนี้คือชีวิต(when it comes to life, this is all life).

         เมื่อเราไม่ได้มีความสนใจในด้านกลศาสตร์หรือกลไกควอนตัมนี้ในชีวิตของเรา, เราก็เป็นทุกข์ได้(when we don’t have this physics or quantum mechanic attention in our life, we will be miserable).

มีอยู่สองแผนกของความรู้(there are two divisions of knowledge).

หนึ่งนั้นคือ วยาวาหริก สัตยะ(Vyavaharik Satya2 - ความจริงสัมพัทธ์), นั่นคือวิชาเคมี

2https://www.quora.com/What-is-Pratibhasik-Satya-Vyavaharik-Satya-Parmarthik-Satya

แบบคลาสสิค(that is the classical chemistry). อย่างนี้นะ, เพชรและถ่านของคุณ มาจากวัสดุเดียวกัน(your diamond and charcoal are of the same material). คุณไม่สามารถห้อยถ่านที่หูของคุณ หรือเอามาสวมที่คอของคุณ, ถูกไหม?(you can’t hang charcoal in your ears or put on your neck, right?) ดังนั้น พวกเขาก็แตกต่างกันทั้งหมด(so they are all different). ดังนั้น, ถึงแม้ว่าคุณรักทุกคนเหมือนกัน, ความรักของคุณก็จะเป็นที่แตกต่างกันไป, วิธีที่คุณรักแม่ของคุณก็แตกต่างไปจากวิธีที่คุณรักหลานของคุณ(so though you love everybody the same, your love will be different the way you love your mother is different from the way you love your grandchildren). มันทั้งหมดนั้นแตกต่างกันในรสชาติทั้งหลายของความรัก(it’s all different flavors of love). ดังนั้น, นี้ก็คือความจริงด้วยเช่นกัน(this is also true).

         คุณเห็นมั้ย, พระเจ้าในทุกคน(God in everybody), เมื่อคุณมายังคุรุ คุณก้มลงไปสัมผัสเท้านั้น, แต่เมื่อคุณเห็นเด็กคนหนึ่ง พวกเขาคือพระเจ้าอยู่ที่นั้นด้วยเช่นกัน คุณไม่ได้ลงไปแตะเท้าของเด็กนั้น, เด็กนั้นจะถูกทำให้สับสน, งงงัน(when you come to  Guru you bow down touch the feet, but when you see a child they also God is there you don’t fall at the feet of a child), the child will get confused, baffled).

         ในชีวิตสองความรู้นี้เป็นสิ่งสำคัญ(in life these two knowledge is essential). หนึ่งนั้นคือ ความรู้เชิงวัตถุของความแตกต่างทั้งหลาย(one is the materialistic knowledge of differences). สิ่งนี้แตกต่างกันไปทั้งหมด(this is all different).

         และอีกด้านหนึ่ง(and another side), ความรู้สัมบูรณ์สุดของเวฑานตะ(the ultimate knowledge of Vedanta) ที่มันคือทั้งหมดหนึ่งชีวิต(that it is all one life).

         นี่นะ, ย่าของคุณรักคุณมากเหลือเกิน, เธออยู่ที่ไหนหรือ?(your grandmother loved you so much, where is she?) เธอได้จากไปแล้ว(she’s gone). ในจุดหนึ่งของเวลา, คุณได้ติดถูกยึดอยู่กับย่าของคุณหรือไม่?(in one point of time you were attached to your grandmother or not?) เย้, เธอจากไปแล้ว. ร่างกายของเธอจากไปแล้ว แต่จิตวิญญาณของเธออยู่ที่นั่น(but her spirit is there).

เช่นเดียวกันคุณก็จะจากไป(similarly you will be gone). ดังนั้นความยึดติด/อุปาทาน

ในเรื่องย่าของคุณ และแม่ของคุณ แล้วมันก็เปลี่ยนย้ายมาที่ลูกสาวของคุณ และหลานสาวของคุณ, คุณได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนย้ายของมันไหม?(so your attachment for your grandmother and the your mother then it shifted to your daughter and your granddaughter, have you noticed it shifting?)

         แต่ทั้งหมดนี้ก็เพราะว่าคุณคือจุดศูนย์กลางที่นี่(but all this is because you are the central point here). หลานสาวของฉัน(my granddaughter), แม่ของฉัน(my mother), เพื่อนของฉัน(my friend), แต่ใครคือ “ของฉัน” หรือ?(but who is ‘my’?)

         “ของฉัน”นั้นคือ พลังงานทั้งหมด(that ‘my’ is all energy), และด้วยนั่น ตัวมันคือ รัก(and that itself is love). จนกว่าและจนกระทั่งว่าเรารู้สิ่งนี้(unless and until we know this), ความทุกข์ก็ยังจะมาสู่ชีวิตของเราเรื่อย ๆในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง(misery will keep coming into our life in one or other form).

         https://youtu.be/vtU6WAiX01c?si=Un6zVUyQUBCW95zn 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น