หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2567

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) - ประชาธิปไตยไม่ประสี รู้จักตัว เห็นทั่วโลก

 ปชธไม่ประสี รู้จักตัว เห็นทั่วโลก - ป อ ปยุตฺโต (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์)

          https://youtu.be/_nO0OPBKHRU?si=Htpm98xU18ixFJG7


          ในยุโรปน่ะเค้าตั้งศาล เค้าเรียกว่า inquisition ขอแปลว่าศาลไต่สวนศรัทธา ศาล inquisition เนี่ยะ ศาสนจักรกับอาณาจักรร่วมกันตั้งขึ้น แล้วก็กำจัดคนที่ไม่เชื่อหรือสงสัย เค้าเรียกว่าละเมิดต่อพระศาสนา เช่นเกิดสงสัยในคัมภีร์ไบเบิ้ล สงสัยเรื่องพระผู้เป็นเจ้า  อย่างนายกาลิเลโอ1ที่ไปสอนว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ไม่ใช่โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลอะไรเนี่ยะ พอสอนยังงี้เท่านั้นก็โดนเลย โดนจับขึ้นศาล ละเมิดต่อพระศาสนา ละเมิดต่อพระคัมภีร์ กาลิเลโอก็สารภาพ ทำนองว่าฉันผิดไป แล้วก็เลยรอดจากการประหารชีวิต ถูกโทษ house arrest ถูกขังอยู่ในบ้านจนกระทั่งถึงแก่มรณกรรม กาลิเลโอก็เป็นตัวอย่าง.

          1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%AD_%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B5

แต่หลายคนถูกเผาทั้งเป็น โดยเฉพาะพวกแม่มดนี่ ตายกันไม่รู้กี่พันเลย โดยเผาทั้งเป็นนะ โจน ออฟ อาร์ค ก็ถูกเผาทั้งเป็น เคยได้ยินมั้ย โจน ออฟ อาร์ค2? นี่แหละ โทษอย่างเดียวกัน ขนาดมีโปรแตสแตนท์แยกออกมาแล้ว

2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8C%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81

โปรแตสแตนท์ก็เอาอีก ก็ลงโทษพวกคาธอลิค หรือพวกที่ไม่เชื่ออย่างตนรุนแรง ทีนี้พวกนี้มาอเมริกา ใครเป็นใหญ่ในเมืองไหน ก็จะบังคับพวกอื่นให้ต้องเชื่อต้องถือ ปฏิบัติตามหลักคำสอนแบบนิกายของตัวเอง ก็เป็นปัญหากันกระทั่งว่าตั้ง อเมริกา ประกาศเอกราชแล้ว จะเอานิกายไหนก็ทะเลาะกัน อันนี้เป็นเหตุหนึ่งที่เขาต้อง separation of Church and State แล้วไปอ่านคำของ เจฟเฟอร์สัน3 จะเห็นชัดว้า มันมีการพยายามที่ว่า นิกายหนึ่งหรือพวกนับถือนิกายหนึ่งนี่ จะไปบังคับพวกอื่นต้องนับถืออย่างตัวเอง เป็นการบังคับทางจิตใจอะไรเนี่ยะ ตาเจฟเฟอร์สันบอก ถ้าฉันอยู่ ชีวิตฉันยอมไม่ได้  ปมมันอยู่แม้ในความหมายที่ว่า หาเสรีภาพอะไรเนี่ยะ มันไม่ใช่ว่า มีขึ้นมาแบบ เสรีภาพอย่างที่เราเข้าใจหรอก เรื่องมันลุกซึ้ง ต้องไปอ่านกันให้หมด.   

          3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%AA_%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99

          เอาละ นี่เป็นภูมิหลังต่างๆ ทีนี้เรามาดูของเราบ้าง ท่านจะเห็นว่ามันคนละทิศคนละทางไปเลย อย่างที่บอกแล้วเนี่ยะ พระของเราเนี่ยะ เวลาจะมาบวชก็คือต้องสละ สละบ้านเรือน สละทรัพย์สมบัติ สละฐานะตำแหน่ง โดยเฉพาะการเมืองนี่ ละหมดเลย กฎหมายไทยยังเอาประเพณีนี้มาใช้ มาบัญญัติไว้อีกว่า พระไม่มีสิทธิแม้แต่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ถูกมั้ย? เนี่ยะ ประเทศไหนเค้ามีล่ะ? ก็ตัวเองคนไทย น่าจะรู้ประเพณีนี้ ทำไมเราจึงบัญญัติกฎหมายว่า พระไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง. ประเทศทางมุสลิมทางคริสต์น่ะ ไปบัญญัติเค้าได้ที่ไหนล่ะ เค้าเอาตาย เนี่ยะ เราก็ไม่เข้าใจ ก่อนที่คุณจะมาคิดเรื่องศาสนาประจำชาติเนี่ยะ คุณต้องเข้าใจเรื่องนี้ก่อน แล้วมองให้ชัดว่า อะไรต่ออะไรมันเป็นยังไง ด้วยเหตุผลยังไง แล้วจึงจะคิดถูกทาง.

เอ้า ทีนี้มาดูลึกลงไป ประเพณีความสัมพันธ์ ระว่างพระกับพระศาสนา ก็ยกตัวอย่างง่ายๆ ท่านจะมองเห็นชัดขึ้นมาเลย ผมก็เล่าเรื่องสมเด็จพระนารยณ์มหาราช4 ซึ่งเป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่ ได้เป็นมหาราช แล้วก็ทรงอุปถัมภ์คุ้มครองพุทธศาสนามาก ถึงกับว่าพระเจ้าหลุยส์ ที่๑๔ 5ได้มีพระราชศาสน์มาเชิญให้ทรงเปลี่ยนไปนับถือ

4https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A

5https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_14_%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%AA

ศาสนาคริสต์โรมันคาธอลิค ก็ได้ทรงตอบอย่างที่ว่าไปแล้วนะ ที่เคยยกมาให้ฟัง บอกว่า ท่านใช้คำว่าอะไรว่า โลกนี้ สรรพสิ่งทั้งมนุษย์ มั้งสิงสาราสัตว์อะไรทั้งหลายเนี่ยะ จะเป็นยังไงก็แล้วแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้เป็นไป ถ้าหากว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องการให้องค์พระนารยณ์มหาราช เป็นผู้นับถือคาธอลิคเมื่อใด พระองค์ก็ทรงบันดาลให้เป็นเอง มันกงการอะไรของพระเจ้าหลุยส์ ที่๑๔ จะต้องมา เค้าเรียกว่า สู่รู้กับเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า แต่ว่าพระองค์ไม่ได้ใช้คำแรงยังงี้นะ แต่เป็นวิธีตอบที่ฉลาด พระศาสนาของคุณถืออย่างนี้ ฉันก็ตอบไปอย่างงี้ ก็อะไรต่ออะไรมันแล้วแต่พระผู้เป็นเจ้าบันดาล ก็ถ้าพระผู้เป็นเจ้าต้องการให้ฉันเป็นคาธอลิค พระผู้เป็นเจ้าก็บันดาลแล้ว ก็ตอนนี้แสดงว่าพระองค์ยังไม่ต้องการ จึงปล่อยอยู่อย่างนี้ แล้วพระองค์ต้องการวันไหน พระองค์บันดาลเองแหละ ก็เลยพรพะเจ้าหลุยส์ไม่รู้จะว่ายังไง เรื่องก็เป็นแบบเนี่ยะ.

ทีนี้เวลาก็ผ่านมาจนกระทั่งถึงตอนจะสิ้นรัชกาล พระนารมยณ์มหาราชก็ทรงประชวรหนัก ตอนนั้นผู้บัญชาการกิจการของประเทศ ก็คือเจ้าพระยาวิชาเยนทร์6 ซึ่งเป็นคนชาติกรีก แต่ว่าได้ติดต่อกับฝรั่งเศสมาก พวก

          6https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%8A%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C_(%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99_%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99)

คนไทยพวกขุนนางตอนนั้นก็ระแวงว่า เจ้าพระยาวิชาเยนทร์นี้จะมีแผนกับฝรั่งเศสรู้กัน ถ้าสมเด็จพระนารยณ์สิ้นปั้บ เดี๋ยวจะต้องมีการเปลี่ยนเมืองไทยไปเข้าเป็นของฝรั่งเศส อะไรต่ออะไรจะเปลี่ยนหมด พระเพทราชาก็นำกองทหารมาล้อมวัง พร้อมด้วยพระเจ้าเสือ ก็รอเวลาที่สมเด็จพระนารายณ์จะสวรรคตเท่านั้นเอง ก็เข้ายึดอำนาจ นี้สมเด็จพระนารยณ์มหาราชก็ทรงพิโรธมาก แต่ว่าไม่มีพระกำลังที่จะทำอะไรได้ แต่ทรงห่วงใยอำมาตย์ข้าราชบริพารผู้ใหญ่ ว่าเมื่อพระองค์สวรรคตไปแล้ว อำมาตย์ข้าราชบริพารเหล่านั้นจะต้องถูกประหารชีวิต ใช่มั้ย? เป็นธรรมดาเลย พอเปลี่ยนแผ่นดินใหม่นี่ พวกข้าราชการผู้ใหญ่ก็มีหวังถูกประหารชีวิต จะทำยังไง? นี่ล่ะท่านจะเห็นประเพณีความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับบ้านเมืองแบบไทยเรานะ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็ทรงสั่งราชบุรุษไปนิมนต์สมเด็จพระสังฆราชมา ก็คงจะตรัสอธิบายไปเรียบร้อยแล้ว อำมาตย์หรือว่าราชบุรุษผู้นั้นก็ไปกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช ว่าสมเด็จพระนารยณ์มหาราชทรงนิมนต์พระองค์ พร้อมด้วยพระสงฆ์มาที่วัง สมเด็จพระสังฆราชก็นำพระสงฆ์จำนวนหนึ่งมายังวัง พอมาถึงวังสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็กล่าวคำถวายวัง แก่สมเด็จพระสังฆราชพร้อมทั้งคณะสงฆ์ ถวายวังให้เป็นสิทธิแก่คณะสงฆ์ เป็นของพระศาสนา เสร็จแล้วสมเด็จพระสังฆราชก็นำพระสงฆ์ทำพิธีผูกสีมา เอาวังเป็นโบสถ์ พอผูกสีมาเสร็จ เอ้า อำมาตย์คนไหนจะมีภัย ก็มาบวชกัน บวชเสร็จแล้วสมเด็จพระสังฆราชก็นำพระใหม่เหล่าเนี้ยะ เดินกลับวัด ทหารที่ล้อมวังไม่กล้าทำอะไร ทำอะไรไม่ได้ ก็เป็นประเพณีกันอยู่ว่า ข้าราชการแม้แต่เจ้า ผู้ใดไปแล้วก็พ้นราชภัย พ้นภัยบ้านเมือง บ้านเมืองไม่เข้าไปยุ่ง .

แต่ในทำนองเดียวกัน เมื่อท่านไปบวชแล้วเนี่ยะ ท่านก็ไม่ยุ่งกับบ้านเมืองเหมือนกัน ของเรามันเป็นยังงี้  ของเรามันseparation of Church and State ในขณะที่เป็นศาสนาประจำชาติ ของเขาเป็นศาสนาประจำชาติก็คือการที่ต้องเข้ามานัวเนียนุงนัง แย่งอำนาจกัน เค้าเลยต้อง separation of Church and State แยกออกไปเสีย จะได้ไม่ยุ่งกัน แยกเพราะโกรธกัน ของฝรั่งน่ะเค้าแยกเพราะโกรธกัน เรียกว่าเป็น negative separation of Church and State ให้เข้าใจอันนี้ เป็นnegative ของเขามันโกรธกัน แยกเพราะโกรธ ของเราเป็น positive separation of Church and State เป็นการแยกแบบpositive แบบสร้างสรรค์ เข้าใจนะ คือดีกันอยู่ แยกกันในตัว ไม่ยุ่งกัน นี้ประเพณีของเรา เนี่ยะต้องเข้าใจอันนี้ก่อน มันคนละแบบกันเลย.

เอ้า เป็นอันว่าสมเด็จพระสังฆราช ก็บวชข้าราชบริพารอำมาตย์เหล่านั้นแล้วพากลับวัดเป็นพระใหม่ไปแล้ว ก็หมดปัญหาไป พ้นราชภัย พอสมเด็จพระนารายณ์มหาราชสวรรคต สมเด็จพระเพทราชาพร้อมทั้งพระเจ้าเสือก็ยึดอำนาจ แล้วก็ประหารชีวิตเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ แล้วก็เอาท่านผู้หญิงของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ สมัยนั้นเรียกอะไรไม่รู้ ไปเป็นครัว ไม่ถึงกับฆ่า อะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ แล้วก็ขับไล่ฝรั่งเศส ออกไปจากประเทศ ทหารฝรั่งเศสก็หมด แล้วก็ปิดประเทศ ๒๐๐ ปี นี่แหละการปิดประเทศของไทยเรา วันนั้นผมเล่าให้ฟังแล้วนี่ ประเทศไทยนั้นปิดประเทศเพื่อพร้อมกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นปิดประเทศเพราะว่าไปล่วงรู้แผนการของโปร์ตุเกศ ว่าส่งบาทหลวงและพวกพ่อค้ามานี่ นำทางที่จะเข้ายึดประเทศเป็นอาณานิคม ญี่ปุ่นก็เลยขับไล่ฝรั่งโปร์ตุเกศออกหมด ปิดประเทศแล้วก็เลยไปเบียดเบียนชาวคริสต์ด้วย เพราะโกรธมากที่ว่า ฉันเคยเปิดโอกาสให้เต็มที่ ช่วยเหลือมาดีๆ แกจะจัดการกับฉัน คิดไม่ซื่อ ฉันเลยเอาซะก่อน นะ ก็ปิดประเทศ ๒๐๐ ปี แล้วก็ญี่ปุ่นก็มาเปิดตอนที่นายพลเปอร์รี่เอาเรือไปบังคับให้เปิด แล้วประเทศไทยก็มาเปิดประเทศตอนรัชกาลที่ ๔ เมื่อขุนนางอังกฤษมาเป็นตัวแทนทำสนธิสัญญาบาวริ่ง ในทางการค้าขาย ไทยก็เปิดประเทศเกือบพร้อมกับญี่ปุ่น ใกล้ๆกัน ปิดประเทศเปิดประเทศใกล้ๆกันกับญี่ปุ่น.

สาระสำคัญในตอนนี้ ตัวประเด็นก็คือ ต้องการเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง รัฐกับพระศาสนาของเราเนี่ยะ ไม่ยุ่งกัน แยกกันแต่ว่าเกื้อกูลกัน เกื้อหนุนในการที่ว่า จุดหมายสำคัญก็คือ ทำไงจะสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ประชาชน รัฐก็ทำงานด้านปกครองไป พระสงฆ์ก็ทำงานในแง่ของประชาชน ในแง่การสั่งสอนให้การศึกษาไป คนละเรื่องคนละหน้าที่ แล้วมาหนุนกัน.

แล้วก็ให้อีกตัวอย่าง ตัวอย่างนี้ก็ชัด สมัยต่อจากสมเด็จพระนาราย์มหาราช มาอีกนานเลย ตอนนี้จะสิ้นกรุงศริยุธยา สิ้นยุคอยุธยา ก็คือกรุงจะแตก กรุงจะแตกก็ พ.ศ. ๒๓๑๐ สมัยพระเจ้าเอกทัศ สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมมรินทร์7 พระเจ้าเอกทัศนี่ก็เป็นโอรสของพระเจ้าบรมโกศ กษัตริย์สำคัญเหมือนกันนะ พระเจ้าบรมโกสก็มีโอรสสำคัญ ๒ พระองค์ คือพระเจ้าเอกทัศนี้กับขุนหลวงอุทุมพร ขุนหลวงอุทุมพรหรือเจ้าชายเดื่อ พระเจ้า

7https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C

เอกทัศเนี่ยะเป็นพี่ แล้วขุนหลวงอุทุมพรเป็นน้อง ตอนที่พระเจ้าบรมโกศสวรรคต ทรงปรารถนาให้เจ้าฟ้าอุทุมพรเนี่ยะ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็ทรงเห็นแล้วว่าอะไรเป็นอะไร แล้วตอนนั้นพระเจ้าเอกทัศไปบวชอยู่ ขุนหลวงอุทุมพรก็เลยได้เป็นกษัตริย์ ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองแผ่นดินจริงๆ พอขึ้นครองแผ่นดินไปได้สักประเดี๋ยวหนึ่ง พระเจ้าเอกทัศคงอยากเป็นพระเจ้าแผ่นดิน สีกออกมา พอสึกออกมาก็คงแสดงท่าแสดงทาง ขุนหลวงอุทุมพรท่านเป็นคนรักสันติ ก็รู้ว่าพี่ชายอยกาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็เลยสละราชสมบัติ แล้วตัวเองก็ไปบวช นี่ล่ะกลับกันนะ พี่ชายมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินน้องชายไปบวช ทีนี้พระเจ้าเอกทัศคงจะรบไม่เป็นหรือไม่เก่งอะไรไม่รู้ ต่อมาก็มีศึกเหนือใต้อะไรอะไรก็ไม่รู้ข้างนอก พระเจ้าเอกทัศก็ทำไงล่ะ รบสู้เค้าไม่ได้แน่ ก็เรียกร้องให้ขุนหลวงอุทุมพรเนี่ยะ สึกมาช่วยการแผ่นดิน ขุนหลวงอุทุมพรก็เลยสึกออกมา มารบ รบจนชนะ ข้าศึกกลับไป พอข้าศึกกลับไป พระเจ้าเอกทัศแสดงท่าระแวงน้องอีกละ เอ้อ เดี๋ยวมันจะยึดอำนาจเรา หรือกบถ ขุนหลวงอุทุมพรก็เลยรู้ว่าพี่นี่ระแวงเรา อย่าอยู่เลย ก็ลาไปบวชอีก ต่อมาข้าศึกมาอีก เอ้า ก็เรียกหาอุทุมพรอีก อุทุมพรสึกมารบ พอข้าศึกกลับไป ระแวงอีก อุทุมพรก็บวชอีก เนี่ยะ อย่างเนี้ยะ ก็บวชแล้วก็แล้วไป ใช่มั้ย? คนบวชแล้วก็ไม่ยุ่ง ฉะนั้นฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่มายุ่งท่านเหมือนกัน ท่านบวชก็อยู่ของท่านไป เนี่ยะ จนกระทั่งตอนกรุงศรีอยุธยาแตก ก็คือพม่ามา จนกระทั่งชาวบ้านเค้าเห็นว่าไม่ไหวแน่ ก็รบเร้าให้ขุนหลวงอุทุมพรสึก ถึงกะในนั้นเขียนเล่าบอกว่าชาวบ้านเนี่ยะ ตักบาตรกับพระ ขุนหลวงอุทุมพรเนี่ยะ เขียนใส่บาตร ขอให้ท่านลาสิกขามาช่วยบ้านเมืองเถิด จะแย่แล้ว ตอนนั้นเรื่องมันคงยาวล่ะ แล้วขุนหลวงอุทุมพรไม่สึก ในที่สุดกรุงก็แตกอย่างที่รู้ว่า พม่าก็เผาเมืองหมด พระเจ้าเอกทัศก็ไปสวรรคตในสุมทุมพุ่มไม้ตอนที่หนีไป จนกระทั่งว่า รู้จากพม่าว่าเอาฝัง พระเจ้าตากก็ไปขุดเอามา ทำพิธี เค้าเรียกว่าอะไรนะ? ก็ทำพิธีเรียกว่าทำพิธีเผาอ่ะแหละ ส่วนขุนหลวงอุทุมพรท่านเป็นพระก็ถูกจับไปด้วย พม่าก็เอาไปเมืองพม่า แล้วพระเจ้ามังระก็บังคับให้ท่านสึก แล้วท่านก็เลยต้องสึก แล้วไปตั้งตำหนักอยู่ริมแม่น้ำหนึ่ง แล้วในที่สุดก็สิ้นพระชนม์ เนี่ยะ ชะตากรรมประเทศไทย ขุนหลวงอุทุมพรท่านต้องถือว่าท่านดีมากนะ ท่านก็เลยรับเคราะห์ไปด้วย.

แต่ว่าสาระในเรื่องนี้ ท่านต้องเห็นประเพณีความสัมพันธ์ ระหว่างรัฐกับพระศาสนา ไม่ยุ่งกันน่ะ อย่างสมเด็จโตเมื่อตอนที่ ในหลวงรัชกาล ๔ ท่านทรงพิโรธขับไล่สมเด็จโตออกจากแผ่นดินไทย สมเด็จโตทำไงรู้มั้ย? สมเด็จโตท่านก็ไปอยู่ในโบสถ์ ท่านบอกว่า ก็ เอ้า พระเจ้าแผ่นดินถวายพระศาสนาแล้วนะ ที่ดินสร้างโบสถ์เนี่ยะ เรียกว่า วิสุงคามสีมา8 ไงล่ะ แยกจากบ้านเมืองไปแล้ว แล้วท่านก็ถือสิทธิว่านี่เป็นของพระศาสนา ท่านมีสิทธิอยู่ได้ ท่านก้ไปอยู่ในโบสถ์ ไม่ออกไปไหน พ้นภัยพระเจ้าแผ่นดินแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็มาทำอะไรท่านไม่ได้ จนกระทั่ง

8https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%B2

ว่าในหลวงรัชกาลที่ ๔ พระราชทานอภัยโทษ สมเด็จโตก็ออกจากโบสถ์ ก็เรื่องก็เป็นยังเงี้ยะ ก็เป็นเรื่องขำๆ คือของไทยมันกลายเป็นเรื่องขำๆสนุกๆ มันไม่มีเรื่องที่จะไปต่อล้อต่อเถียงเบียดเบียนกัน ไอ้อย่างนี้เราจะต้องรู้เรื่อง ให้เห็นว่ามันต่างกัน มันคนละแบบ.

          ส่วนของศาสนาอิสลามนั้น มันหลักการของศาสนาเลยว่า ศาสนานั้นเป็นผู้กำหนดการดำเนินชีวิตและสังคม เพราะเช่นนั้นทุกอย่างก็อยู่ในเรื่องของศาสนาหมด การเมืองๆอยู่ในนี้หมด เพราะฉะนั้น ไม่มีนักบวช แต่ก่อนก็กาหลิบที่เป็นประมุข เป็นแม่ทัพ กาหลิบก็คือพระเจ้าแผ่นดิน ใช่มั้ย? กาหลิบคือใคร? ก็คือผู้สืบต่อจากองค์พระศาสดาพระมะหะหมัด และกาหลิบก็เป็นประมุขของประเทศ ผู้ปกครองประเทศ เป็นแม่ทัพ บัญชาการทุกอย่าง ก็เป็นเรื่องของกิจการบ้านเมือง เศรษฐกิจสังคม ทางอะไรก็แล้วแต่ อยู่ในเรื่องศาสนาหมด เพราะฉะนั้นจึงมีรัฐที่เรียกว่าสาธารณรัฐอิสลาม ถึงกับเอาพระคัมภีร์กุระอ่าน เป็นรัฐธรรมนูญได้ แล้วก็แม้แต่มีศาสนาอิสลามประจำชาติ ก็อาจจะมีการเอากฎของศาสนาอิสลาม กฎทางศาสนาไปเป็นกฎหมายบ้านเมือง กฎหมายศาสนาเค้าเรียกชารีอะห์ ก็จะบังคับใช้ในทางบ้านเมืองทั้งประเทศ ไปเลย อย่างเวลานี้ก็มีปัญหา ได้ยินข่าวใหม่ๆ คืออย่างมาเลเซียเนี่ยะ ซึ่งก็เอาศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ไม่ถึงกับเป็นรัฐอิสลาม แต่ว่าเค้าใช้กฎหมายชารีอะห์อยู่ อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง แล้วก็เคยมีการแยกกฎหมายชารีอะห์นี้ใช้ปกครองเฉพาะมุสลิม แต่คนที่ถือศาสนาอื่นก็ไม่บังคับ แล้วตอนนี้เค้ากำลังขยาย นี่เป็นข่าวใหม่  แต่คนที่ถือศาสนาอื่นก็ไม่บังคับ แล้วตอนนี้เค้ากำลังขยาย นี่เป็นข่าวใหม่ ว่าจะขายกฎหมายชารีอะห์ ได้ไปบังคับคนศาสนาอื่นด้วย เอาละสิทีนี้ ก็เกิดปัญหา เนี่ยะ กำลังเป็นข่าวใหม่ ซึ่งคนไทยก็ควรศึกษา เพราะว่าอันนี้เค้ากฎหมายของศาสนาไปเป็นกฎหมายของรัฐ.

จุดหมายแน่นอนวัตถุประสงค์ของศาสนาอิสลาม ก็จะเป็นอย่างนั้น ถึงกับเป็นเหตุให้รบกันระหว่างประเทศเดียวกัน ระหว่างคนมุสลิมด้วยกันอย่างที่ผมเคยเล่าแล้ว อาเจะห์ในอินโดนีเซีย พวกอาเจะห์นี้ต้องการสถาปนารัฐอิสลาม ใช้กฎหมายอิสลาม แต่ว่ารัฐบาลกลางอินโดนีเซียไม่ต้องการ ยังต้องการประชาธิปไตยแบบเปิดกว้าง ที่ใช้กฎหมายแบบสมัยใหม่ก็ถึงกับรบีราฆ่าฟันกัน แล้วก็ถ้า แรงอย่างที่ว่า ก็ต้องมีการกำหนดต้องเชื่อถือปฏิบัติ อย่างที่อเมริกา และยุโรปเคยพบมาแล้ว.

ทีนี้ ของเรามันตรงกันข้าม เอาในแง่จะกำหนดให้ต้องเชื่อถือปฏิบัติยังเงี้ยะ ของเรามันสุดโต่งตรงข้ามเลย เพราะเราให้เสรีภาพ ทีนี้ถ้าเราไม่มีไอ้ความเข้มแข็งในใจ ในการที่จะพยายามสอนพัฒนาคนเนี่ยะ มันไม่ไหว ของเรานี่ ทั้งๆที่พระพุทธศาสนาเนี่ยะ เป็นส่วนใหญ่มาเปิดเสรีภาพจนกระทั่งว่า พุทธศาสนาเองนั่นจะหาย พุทธศาสนานั้น นี่หลักการแทบจะเรียกได้ว่า ตรงกันข้ามกับไสยศาสตร์ แล้วเราก็ให้เสรีภาพที่ไสยศาสตร์เป็นต้น จะอยู่ยังไงก็ได้ ใช่มั้ย? ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกัน ถ้าเป็นในยุโรปก็ต้องเผาทั้งเป็น เช่นแม่มด ใช่มั้ย? เค้าเผาทั้งเป็นเลย ไม่เอาไว้ แต่ของเราก็คือว่า เราเปิดโอกาสเต็มที่ ฉันก็สอนของฉันไป คุณก็ทำของคุณไป เราก็เพียงแต่สอนประชาชน ไปนับถืองมงายอะไรก็ว่าไป ก็ว่ากันไปทางสติปัญญาที่คำสอน พัฒนามนุษย์ ให้การศึกษา ซึ่งมีสิทธิที่ควรจะทำยังงั้น เวลาพูดมันก็พูกันได้เต็มที่ มันถึงจะเป็นประชาธิปไตย ถ้าจะพูดเพื่อประโยชน์แก่เขา ให้ความรู้ให้การศึกษาก็ต้องพูดได้เต็มที่สิ ว่าไอ้การนับถือยังงี้มันไม่ถูก มันเสียหาย เป็นโทษกับชีวิตสังคมยังไงก็ว่าไป.

ทีนี้ พระเองเมื่ออ่อน ไม่มีอำนาจไปทำ อะไร แล้วก็ไม่มีหลักการที่จะไปแทรกแซง ไสยศาสตร์นั่นแหละ กลับมีอำนาจครอบงำ จนกระทั่งเวลานี้พุทธศาสนาเนี่ยะ แทบจะถูกไสยศาสตร์ครอบงำเลย ถูกมั้ย? ประเทศไทยขณะเนี้ยะ ไสยศาสตร์เด่นกว่าพุทธศาสนาอีก หลักการพุทธศาสนานี่แทบจะหายเลย นี่ก็คือเสรีภาพแบบพุทธ. ที่ออกจะเลยเถิดไปหน่อย ถ้าเป็นฝรั่งมันบังคับเลย คุณต้องเชื่องอย่างงี้ ต้องปฏิบัติอย่างนี้ ของเรามันไม่มี มันกลายเป็นว่าเปิดโอกาสจนกระทั่งว่าตัวเองจะตาย ตัวเองจะหมด พุทธศาสนาเนี่ยะ ย่อบแย่บจนจะไม่มีเหลือแล้ว เหลือแต่ไสยศาสตร์ เดี๋ยวคนรู้จักอะไร พุทธศาสนา ลองไปทราบสิครับชาวบ้าน ก็รู้จักแต่ไสยศาสตร์ รู้จักแต่เทวดา ใช่มั้ย? ก็หมดอ่ะสิ เนี่ยะ มันตรงกันข้าม.

เพราะฉะนั้นอะไรต่ออะไรพวกเนี้ยะไม่เข้าใจ คือพุทธศาสนามันไม่มีทางจะไปบังคับใคร หลักการมันไม่อำนวยให้ทำอยู่แล้ว ทีนี้เป็นแต่เพียงว่า เราจะต้องรู้จักพัฒนาคนของเรา และก็ให้ไม่ประมาท มีความเข้มแข็ง อยู่ในหลักการ โดยเฉพาะพระสงฆ์เนี่ยะ จะได้มาให้การศึกษาประชาชนให้ถูกต้อง ซึ่งมันก็เป็นหลักการของประชาธิปไตย จะต้องพัฒนามนุษย์อย่างนั้น ถ้าในแง่นี้แล้ว ประชาธิปไตยกับพุทธศาสนา ก็จะมาเกื้อหนุนซึ่งกันและกันได้ ทีนี้ถ้าหากทางฝ่ายบ้านเมืองไม่เข้าใจ มันจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา? ก็จัดการไม่ถูก เพราะมองไม่ออก ไปมองว่า เอ้อ ศาสนากับรัฐ ถ้าเป็นศาสนาประจำชาติ มันจะเป็นอย่างยุโรปอย่างนั้นอะไรนี้ นะ.

ทีนี้ก็จะจัดการปฏิบัติไม่ถูก ฝ่ายพระนี่ท่านเคว้งคว้างอยู่ อ่า อย่างปัจจุบันเนี่ยะ ในแง่หนึ่งท่านก็ไม่มีสิทธิไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง นี้เป็นไปตามประเพณี ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาในประเทศไทย ที่นับถือพุทธศาสนา แล้วรัฐก็ไม่เหลียวแลอีก ในที่สุดพระจำนวนหนึ่งก็จะเกิดปฏิกิริยาในใจ ก็จะแสวงหาอำนาจการเมือง ซึ่งได้ยินแล้วนี่ ตอนนี้ก็จะมีพระจำนวนหนึ่งที่ว่า ทำไงจะต้องให้พระมีสิทธิเลือกตั้ง? ทีนี้ยิ่งรัฐไม่เข้าใจอีก ต่อไปพระเหล่าเนี้ยะ ท่านก็จะต้องหาทางว่า ฉันต้องมีสิทธิการเมือง ไม่งั้นถูกมันรังแก ไอ้รัฐประเทศนี้มันเอาเราแน่ ใช่มั้ย? ท่านก็จะมองว่า ท่านจะต้องหาทางมีสิทธิรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิก จะได้มีสิทธิมีเสียงในการเมืองบ้าง หลักการของศาสนา ประเพณี เสียหมดเลย ฝ่ายรัฐก็ต้องยุ่งกับปัญหา  เรื่องพระสงฆ์ที่มาทำการในด้านนี้ ฝ่ายพระเองก็ต้องมายุ่งกับในเรื่องที่มันนอกเรื่องของตัวเอง แล้วเรื่องมันจะยิ่งสับสนนุงนัง และรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะไอ้ความไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ทีนี้ ถ้ารู้เรื่อง เข้าใจแล้วเนี่ยะ มาพูดจากันซะ แล้วมาจัดให้มันถูก จะเอายังไง ในที่นี้ไม่ได้ตัดสิน หรือออกความเห็นทั้งนั้น ยังไม่ได้พูดว่าควรจะเอาพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ หรือไม่ ในรัฐธรรมนูญ ยังไม่ได้พูด แต่ว่า อยากให้ทุกท่านทำการด้วยความรู้ความเข้าใจ แล้วมันจะมีทางออกที่มันดีงาม ถ้าไม่เป็น มันก็ต้องไม่เป็นอย่างดีงาม ด้วยความรู้อย่างถูกต้อง ถ้าเป็นก็ต้องเป็นให้ได้ประโยชน์ ถ้าเป็นไม่ได้ประโยชน์ ก็คือว่าเป็นไปแล้วกลายให้ตกอยู่ในความประมาท เพราะว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าหลักการพระศาสนาอยู่ไหน พอเป็นศาสนาประจำชาติเข้า พุทธศาสนาคืออะไร? คือไสยศาสตร์ แล้วไม่ยิ่งแย่หรือ? อะไรก็ไม่รู้เนี่ยะ ตกลงว่ามันมาจากความไม่รู้.      

(...ในความคิดเห็นผม - ประเทศเราควรจะมี องค์กรดูแลพุทธศาสนาเป็นแบบ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ**...เช่นเดียวกับ "คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน" (กสม.) หรือ ผู้ตรวจการแผ่นดิน...เป็น "คณะกรรมการพุทธศาสนาแห่งชาติ"...แทน-สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ...ที่เป็นหน่วยงานราชการ ระดับกรม...ที่อยู่ในการบริหารเชิงระบบราชการ - เป็นแค่ เลขาธิการฯของ มหาเถรสมาคม...ทั้งนี้ มหาเถรสมาคม - เป็นพระสงฆ์...บางเรื่อง/บางกรณี-เป็นเรื่อง ทางโลกียะ/หรือ เกี่ยวพันกับบัญญัติในพระธรรมวินัย...ไม่อาจดำเนินการเองได้...และ สำนักฯพุทธ ก็ไม่มีอำนาจในตนเอง...น่าจะมี board หรือคณะบุคคล-ที่มาจากการสรรหา-ผ่านวุฒิสภา...เปิดกว้างในบุคคลนอกระบบราชการเข้ามาบริหารจัดการ-ส่งเสริม/ควบคุม-พุทธศาสนา...น่าจะดีกว่าในลักษณะปัจจุบัน...เน๊าะครับ - ผู้ถอดความ)

          **https://web.parliament.go.th/assets/portals/1/files/006_%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B0.pdf

          เพราะฉะนั้นสำคัญมากในเรื่องเนี้ยะ แต่ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดที่สุด ก็คือผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญจะต้องรู้ วันนี้พูดโดยสรุป โดยประเพณีมีความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพุทธศาสนา แล้วก็โยงไปหาหลักการบ้างนิดหน่อย อย่างศาสนาอิสลามนี่ก็ไม่ต้องพูดถึงละ หลักความจริงขององค์พระศาสดาผู้ตั้งศาสนาเราก็รู้กันอยู่แล้ว. นอกจากเผยแผ่พระศาสนาแล้ว ภาระอย่างหนึ่งของท่านก็คือการรวมเผ่าต่างๆ พวกเผ่าอาหรับ ซาอุดิอาระเบีย ตอนนั้นก็เรียกง่ายว่า อาระเบีย อาระเบียก็มีพวกเผ่าเล็กเผ่าน้อยมากมาย ท่านก็ต้องรวมเผ่า มีการรบราฆ่าฟันยกทัพกันไปต่างๆ แม้แต่แค่ไปตั้งตัวท่านในเมืองมาดีนะห์ ก็ต้องทำการรบราฆ่าฟัน ทางในเมืองนั้นเอง ทางในเมืองก็พวกในเมืองด้วยกัน จนกระทั่งพวกเผ่าต่างๆพวกยิวพวกเยิว พวกยิวก็หลายเผ่า จนกระทั่งหมด ท่านก็เป็นเจ้าเมือง แล้วท่านก็ต้องมาจัดการกับเมกกะอีก แล้วรวมอาระเบียได้แล้ว ท่านก็ต้องเผยแผ่พระศาสนา เพื่อนำความรู้ความเข้าใจคำสอนเผยแพร่ต่อไป พร้อมทั้งการปกครองตามแนวของพระศาสนา เพราะศาสนามีความหมายทั้งชีวิตและสังคมทั้งหมด ที่ว่ามีกฎของพระศาสนาอยู่แล้วทั้งชีวิตและบ้านเมือง และคำว่าเผยแผ่ศาสนาของ คริสต์ ของอิสลาม ของพุทธ ถ้าไปวิเคราะห์แล้ว ความหมายจะเหมือนกันได้ยังไง ใช่มั้ย?

          คำว่าเผยแผ่ศาสนาของพุทธ ก็คือเผยแผ่คำสอน ว่า เอ้อ อย่างนี้ดีอย่างนี้ไม่ดีนะ ความจริงเป็นอย่างนี้นะ ให้ใช้ความคิดพิจารณาเอา ก็ศึกษากันดู ทีนี้เผยแผ่ศาสนาในความหมายของศาสนาที่ถือ เรื่องของการที่ต้องปกครองบ้านเมือง อย่างงี้ๆอะไรเนี่ยะ อ้าว ก็ต้องเผยแผ่การปกครองไปด้วยสิถ้างั้น ใช่มั้ย? มันก็เป็นธรรมดา ก็พูดกันตรงๆสิ ก็มันเป็นความรู้ ถ้าพูดผิดก็บอกกันว่า เอ้อ พูดไม่ถูก น่ะ ก็แก้ไขกัน ก็มันก็อยู่กันด้วยยังงี้ มนุษย์มันต้องพูดกันได้ แล้วพูดความจริงได้ อย่าไปกลัวความรู้ อย่าไปเกลียดความรู้ แล้วก็อย่าไปรังแกกันเพราะความรู้ อย่าไปรังแกกันข่มเหงกันเพราะความจริง และอันนี้เป็นหลักประชาธิปไตย นี่ประเทศไทยเดี๋ยวนี้ไม่กล้า กลัวความรู้ ถ้าหนักเข้าก็จะเกลียดความรู้ ก็จะอันตรายมาถึงตัวเอง อ้า นิมนต์นะ มีอะไรจะถาม?

          (ผู้ถาม - กราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้อ่านข่าวในเรื่องที่จะนำศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ก็มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป แล้วก็ขณะนี้ก็มีเหตุการณ์อื่นด้วย ซึ่งมันอาจจะเกี่ยวพันในเรื่องของการเมือง เรื่องของปัญหาในภาคใต้ แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งหลายอย่าง ก็อยากจะกราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า ในเรื่องการที่จะเอาปัญหาเนี้ยะ หรือข้อถกเถียงเนี้ยะ มากตัดสินการที่จะเอาศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ในขณะเนี้ยะ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมหรือเปล่า ถูกกาลเทศะหรือเปล่า หรือว่ามันอาจจะทำให้คนเข้าใจผิดพลาด ซึ่งอาจจะโยงไปถึงเรื่องการเมืองการอะไรต่อไป มันอาจมีความคลาดเคลื่อนจนเกิดปัญหาในภายภาคหลังต่อไป หรือว่าเราควรจะวางท่าทีในสิ่งเหล่านี้ยังไง? จะให้คำแนะนำแก่ผู้ถกเถียงกันขัดแย้งกันอยู่ ...)

          คือมันเป็นความประจวบ จะเรียกว่าบังเอิญก็แล้วแต่ เกิดมาร่างรัฐธรรมนูญเอาตอนที่สถานการณ์บ้านเมืองเป็นยังงี้ มันก็กลายเป็นว่า พวกที่จะเรียกร้องให้ร่าง ให้บรรจุข้อความนี้ ก็เลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าก็ร่างเสร็จแล้ว จะว่าไปยังไงล่ะ? ใช่มั้ย? มันมีโอกาสอยู่ตอนนี้ เขาก็เลยไปเรียกร้องตอนนี้ แต่ทีนี้ว่า ถ้าพูดไปในแง่สถานการณ์บ้านเมืองทั่วไป ถ้าโดยเปรียบเทียบ แน่ล่ะ มันก็ดีสู้ตอนสงบไม่ได้ ตอนนี้มันมีปัญหาอื่นซึ่งอย่างน้อยอาจจะ ถือโอกาสเอาจุดนั้น มาโยงเข้ากับเรื่องนี้ แล้วก็เอาเป็นตัวกระตุ้นเป็นต้น มันก็เลยยิ่งเกิดปัญหาได้ แต่ทีนี้ว่า ไม่ว่าจะยังไงเนี่ยะ เราก็หลบไม่ได้น่ะ คือเราต้องยอมรับความจริงว่า สถานการณ์มันก็เป็นยังงี้ มันก็เป็นของมัน ตามเหตุปัจจัย แล้วไอ้การร่างรัฐธรรมนูญมันก็เกิดมีขึ้นตอนนี้ เราก็เลือกไม่ได้ มันก็มีอย่างนี้ขึ้นมา เราไม่ได้เข้าไปร่วม เขาก็ต้องเอา เราก็เลยต้องบอกว่า ขอให้ทำด้วยความรู้ ถ้าทุกฝ่ายรับฟังการหาความรู้แล้วเนี่ยะ การพิจารณามันจะดีขึ้น แล้วมันก็จะไปช่วยกัน ไปอ้างไปอธิบายกับพวกที่เข้ามาโต้แย้งมาขัดอะไรได้ แล้วพาให้พวกนั้นๆปฏิบัติตัวให้ถูกด้วย ท่านพวกที่ค้านเองก็จะได้มีแง่พิจารณา มองปัญหาให้มันถูก จะได้ไม่มาเอาแต่โกรธกัน.

          ถ้าว่าไปในแง่หนึ่งน่ะ อันนี้พูดเป็นภายในนะ คือถ้าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติเนี่ยะ กลับเป็นประโยชน์กับศาสนาอื่นๆ ก็สบายเลยสิ เหมือนสมัยก่อนเนี้ยะ เคยมีนักเคลื่อนไหวแบบสมัยใหม่เนี่ยะ พูดออกมามั่ง เกลี่ยดมามั่ง แสดงความไม่พอใจคณะสงฆ์ ว่าในเมืองไทยนี่ พุทธศาสนากลายเป็นพวกที่ เหมือนกับว่า อยู่ใต้อำนาจรัฐ ต้องคอยตามใจรัฐ ไม่เหมือนอย่างฝรั่ง เนี่ยะ ท่านเหล่านี้กลับไปชอบ ชอบจริงมั้ย? ลองเป็นอย่างฝรั่งหรือไม่ชอบ เนี่ยะ ไปพูดแบบเนี้ยะ คล้ายๆกับเห็นว่าทางบาทหลวงศาสนจักรเค้าไม่ยอมต่อบ้านเมือง ใช่มั้ย? เค้าจะค้านเต็มที่เลย การเมืองการอะไร เค้าเข้ามายุ่งเต็มที่ ท่านพวกนี้น่ะ เป็นคนสมัยใหม่ ต้องบอกว่าเนี่ยะ ดูสิ คณะสงฆ์ไทยเราเนี่ยะ บ้านเมืองจะเอายังไงก็ปล่อย ไม่มีเสียงเลย ไม่ดูอย่างฝรั่งอย่างยุโรปเค้า บาทหลวงเค้านี่ต้องออกมาค้านบ้านเมือง ทำอะไรไม่ถูก คล้ายๆจะชอบแบบนั้น ลองเป็นอย่างนั้นจริงสิ ตายเลยนะ เนี่ยะลองคิดดูสิ ตัวเองก็ไม่พูดให้ตลอดสาย ให้พวกเราด้วยกันรู้.

ทีนี้ ของเราเองก็ต้องไม่ประมาท ถ้าพระเราย่อหย่อนไป ก็กลายเป็นว่า ไปเอาอกเอาใจบ้านเมือง ที่ผ่านนี้บางทีมันก็เลยเถิดเหมือนกัน คณะสงฆ์เราเหมือนกับว่า ไม่มีกำลังของตัวเอง ก็เลยคอยตามใจบ้านเมือง เหมือนไปอยู่คล้ายๆใต้อำนาจ ไปซะ ทีนี้การเป็นศาสนาประจำชาติก็อย่างที่ว่าแหละ ถ้าไปโยงกับประเพณีความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพระศาสนาเนี่ยะ ถ้าเราไม่รู้หลักของตัวเอง ไม่จับหลัก ไม่ตั้งมั่นอยู่ในหลักที่ดีเนี่ยะ ก็มีทางเพลี่ยงพล้ำได้ จะไปอยู่ใต้อำนาจของรัฐไป แต่ว่าถ้าจัดให้พอดี มันก็ได้ประโยชน์ เหมือนอย่างเรื่องพระนเรศวรมหาราช เรื่องพระนารายณ์มหาราชนี้ก็เป็นประโยชน์ ใช่มั้ย? แล้วอย่างเรื่อวพระนเรศวรมหาราช ก็เวลาบ้านเมืองเกิดวิกฤติ ทางพระก็เข้าไปช่วย แต่ช่วยในทางสันติ เวลาทางพระ คณะสงฆ์เกิดปัญหา จะเรียกว่าวิกฤติ ทางบ้านเมืองก็มาช่วย เอายกตัวอย่างสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตอนนั้นบ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ บ้านเมืองก็อุปถัมภ์ทางพระสงฆ์ดี บวชกันมาก คนบวชด้วยมุ่งอามิส อยากจะเป็นอยู่เลี้ยงชีวิตอะไรก็เข้ามา ทีนี้ สมเด็จพระนารมยณ์มหาราช ก็เลยทรงทราบปัญหานี้ ก็คงจะได้รับความขอร้องว่า ร่วมมือกับคณะสงฆ์แก้ไขปัญหา พระองค์ก็จัดสอบ จัดสอบพระ แบบเดียวกับสมัยคล้ายๆพระเจ้าอโศก คือคล้ายๆว่า บ้านเมืองก็ต้องรับผิดชอบ ว่าคนของตัวที่ไม่ดีเนี่ยะ เข้ามาบวชทำลายคณะสงฆ์ต้องเอาออกไป ก็เลยเข้ามาสอบว่าคนไหนไม่ได้ตั้งใจบวช คือไม่เล่าเรียนศึกษา ไม่มีความรู้ทางวินัยก็ให้สึกไปซะ พระนารายณ์มหาราชก็จัดสอบพระ ก็ทำหน้าที่ของบ้านเมืองว่า ทำไมปล่อยให้คนของตัวเองเข้ามาทำลายพระศาสนา ถ้าคนเขาตั้งใจบวช แสดงว่าเขาเป็นคนของพระศาสนาจริง แต่เขาไม่ตั้งใจบวช เขาเข้ามาด้วยเจตนาไม่ดี ก็เป็นคนของรัฐที่เข้ามาทำลายพระศาสนา บ้านเมืองก็ต้องมีหน้าที่เข้ามาเอาออกไป.

อ้าว ทีนี้มาอีกกรณีหนึ่ง พระนเรศวรมหาราช ในกรณียุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรมหาราชตอนนั้น รบกับพม่า ทางโอรสของพระเจ้านันทบุเรง ก็เป็นหัวหน้ายกทัพมา มาตีกรุงศรีอยุทธยา ทีนี้พระนเรศวรทรงยกทัพไป พอดีว่าช้างทรงตกมัน ก็วิ่งเข้าไปเข้าไปแล้วก็ พวกกองทัพพวกแม่ทัพทั้งหลายตามไม่ทัน ก็เลยมีแต่พระองค์กับพระเอกาทศรถ สองพระองค์เท่านั้นเข้าไปอยู่ท่ามกลางกองทัพพม่า ทำไงล่ะ พม่าก็ได้โอกาสเท่านั้นล่ะ พอฝุ่นจางลงก็เห็นเจ้าชายของพม่า พระมหาอุราชาโอรสของพระเจ้าแผ่นดินพม่าเนี่ยะ ประทับทรงช้างอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วทหารล้อมเต็มหมดเลย พระองค์มีแต่พระองค์เองกับพระเอกาทศรถ ทำยังไงล่ะ โอ ถ้าเป็นคนที่ขลาดหน่อยก็แย่เลยใช่มั้ย? นี้พระองค์นี่ทรงกล้าหาญ แล้วมีปฏิภาณดี ก็เลยใช้ยุทธวิธีที่ว่า อีกฝ่ายไม่สามารถเลี่ยงได้ บอกว่า เจ้าพี่จะทรงช้างนิ่งอยู่ทำไม เรามากระทำยุทธหัตถี กัน ให้เป็นเกียรติยศไปชั่วฟ้าดิน อะไรทำนองนี้ ผมจำคำไม่ได้ เจ้าองค์นั้นท่านก็เลี่ยงไม่ได้สิใช่มั้ย? ท้าแบบนี้ ก็เลยต้องรบด้วยวิธียุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรก็ทรงชนะ เป็นอันว่า เจ้าพม่าก็สิ้นพระชนม์ แล้วทัพพม่าก็แตกไป ทีนี้สมเด็จพระนเรศวรก็ทรงกลับมา ทีนี้มีกฎมณเฑียรบาลว่า พวกแม่ทัพอะไรต่างๆเนี่ยะ ต้องตามเสด็จให้ทัน ในการรบ ถ้ามิเช่นนั้นจะต้องถูกประหารชีวิต  พอการศึกสงบแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องพิจารณาความตามกฎมณเฑียรบาล แม่ทัพใหญ่ทั้งนั้นเลยจะต้องถูกประหารหมด แล้วกำลังของประเทศจะไปไหนละทีนี้ เรื่องก็ร้อนไปถึงสมเด็จพระพนรัต ซึ่งเรียกว่าเป็นประมุขของพระสงฆ์ ท่านก็เห็นเรื่องของประเทศชาติแผ่นดิน ว่าทำไงจะให้ประเทศนี่ มั่นคงอยู่ได้ ก็เลยมา มาแล้วท่านก็ถวายพระพร เวลาพูดกับพระเจ้าแผ่นดิน พระใช้คำว่า ถวายพระพร ท่านใช้วิธีพูดที่ดี เพื่อจะขอพระราชทานอภัยโทษ ให้แก่แม่ทัพนายกองทั้งหลาย ท่านก็ใช้วิธีพูดอ้อมมา ยกอุปมาอุปไมยว่าพระพุทธเจ้า ซึ่งเป้นที่นับถือร่วมกันของชาวพุทธทั้งหมด สมเด็จพระนเรศวรลงจากฟ้า พระมหากษัตริย์ประชาชนก็นับถือพระพุทธเจ้าทั้งนั้น พระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสวรู้เนี่ยะ ตอนที่ตรัสรู้ประทับอยู่ใต้ต้นโพธิองค์เดียว ตอนแรกน่ะ ตามตำนานอรรถกถาก็เขียนบอกว่า พวกเทวดาทั้งหลายจนถึงพระพรหมทั้งหลายเนี่ยะ พากันมาห้อมล้อมเต็มไปหมดเลย ตอนนั้นเรียกว่า ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็มืดฟ้ามัวดินเลยนะ เทวดามาเฝ้ากันเต็มไปหมดเลย ทีนี้ต่อมาพระยามารมา พอพระยามารมานี่ พวกเทวดาจนถึงพระพรหมนี้ก็นะ มานี่มีอำนาจเหลือเกิน พระพรหมเทวดาทั้งหลายนี่ โกยแน่บหมดเลย ก็เหาะหนีไปหมดเลย ก็ไม่เหลือใคร เหลือแต่มารกับพระพุทธเจ้าแหละ เนี่นะพระพุทธเจ้าก็ต้องผจญมารพระองค์เดียว ก็เหมือนว่าถูกพวกเทวดาพระพรหมอะไรทิ้งหมด ท่านก็อุปมาบอกเนี่ยะ พระพุทธเจ้าได้ทรงผจญมารด้วยพระองค์เดียวเนี่ยะ ได้ตรัสรู้เนี่ยะ จึงได้เป็นเกียรติยศ เป็นคว่ามสำเร็จยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า สำเร็จพระโพธิญาณบรรลุผลที่ประสงค์เนี่ยะ ด้วยความสามารถของพระองค์โดยมีความเพียรพยายามอยู่ในความโดดเดี่ยว เป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ ตลอดไป นี้ฉันใด การที่พระองค์ได้ไปอยู่ในท่ามกลางกองทัพข้าศึกพระองค์เดียว เหมือนกับถูกทอดทิ้งน่ะ แต่ที่จริงไม่ได้เจตนา เหมือนกับมีเหตุจะให้เป็นยังงั้น เหมือนจะมีเหตุให้เป็นไป จะต้องให้พระองค์เนี่ยะ ปรากฏพระเกียรติยศอย่างนั้น ทำให้พระองค์ได้กระทำยุทธหัตถี เป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ ตลอดไปชั่วฟ้าดิน อะไรทำนองนี้นะ ผมจำคำไม่ได้ ด้วยคำถวายพระพรของสมเด็จพระพนรัตนี่แหละ หนึ่งก็ทำให้พระทัยชองสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงปลาบปลื้มปีติด้วย พอพระทัย ในแง่หนึ่งก็เหมือนเป็นเหตุผลพอในตัว ที่จะมาช่วยแม่ทัพนายกองเหล่านั้น แม่ทัพนายกองนั้นก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยมีเค้าเรียกอะไร? ทัณฑ์บนใช่มั้ย? ว่า เอ้า แม่ทัพท่านนี้ต้องไปตีเมืองนั้น แม่ทัพท่านนี้ต้องไปตีเมืองนั้นให้สำเร็จ แต่ว่าโทษเฉพาะหน้านี้เป็นอันพ้นไปได้.

ยี้ก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่งของประเพณี ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพระศาสนา คือพระนี่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองในเรื่องของสันติเท่านั้น เรื่องความดีงามน่ะ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแทรกแซงกิจการบ้านเมือง ลืมไปแล้วท่านถามอะไรเนี่ยะ ถามอะไรนะเมื่อกี้น่ะ?

(ผู้ถาม – ถามว่าการที่จะเอาศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติในขณะนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมหรือเปล่าครับ?)

อ๋อๆ ช่วงเวลานี้ เหมือนกับว่าสถานการณ์เป็นอย่างนี้แล้ว เราไปบังคับไม่ได้ เรียกร้องเอาไม่ได้ ก็ทำยังไงจะดีที่สุดในสถานการณ์ที่เป็นอย่างนี้ ก็คือ ต้องให้ความรู้ความเข้าใจ ซึ่งจะได้ประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย หรือทุกฝ่าย ฝ่ายที่เรียกร้องก็ได้ประโยชน์ ปฏิบัติถูกต้อง ฝ่ายที่ทำหน้าที่ซึ่งยังไม่รู้จะเอายังไงดี หรือแม้แต่ค้าน ก็จะได้รู้เข้าใจ แล้วก็วางตัวได้ถูกต้อง เห็นทางปฏิบัติหรือผู้ที่อยู่ข้างนอกออกไปนั้น ต้องการที่จะต่อต้านเลย ไม่ใช่แค่คัดค้าน ก็จะได้เข้าใจแล้วก็เห็นลู่เห็นทางเห็นแนว ความเป็นไป แม้แต่ที่เป็นประโยชน์แก่ตน เหมือนอย่างที่ว่า มันกลายเป็นประโยชน์ เพราะในประเพณีความสัมพันธ์ ระหว่างพุทธศาสนากับบ้านเมืองในอดีตของเราเนี่ยะ มันเป็นมาอย่างนี้ มันก้กลายเป็นประโยชน์แก่ศาสนาอื่นด้วย เหมือนอย่างในสมัยพระนารยณ์มหาราชเนี่ยะ บาทหลวงเค้ามาเผยแพร่ศาสนาอย่างเสรีเลย ใช่มั้ย? สมเด็จพระนารายณ์มหาราชน่ะ ไปพระราชทานสถานที่ให้ตั้งโบสถ์ได้ สร้างโบสถ์ เมืองไทยเราเคยหวงที่ไหนล่ะ? มาในสมัยรัตนโกสินทร์ก็เหมือนกัน ก็ไม่มีการหวง พระราชทานสถานที่ให้ตั้งโบสถ์ พระก็ไม่เข้าไปยุ่ง แล้วก็บาทหลวงนั่นเองล่ะ เขียนไว้ บันทึกตั้งแต่สมัยอยุธยา สมัยพระนารายณ์ยังอยู่ เค้าเขียนไว้เลย บาทหลวงถึงจะมากับสังฆราชคาธอลิค เค้าใช้คำในบันทึกประวัติศาสตร์นั้น มีพงศาวดารว่าเป็นสังฆราช โดยใช้คำนี้ ว่าไม่มีที่ไหนอีกในโลก ที่ราษฎรจะมีเสรีภาพในทางศาสนาเหมือนประเทศสยาม เนี่ยะ ฝรั่งของบาทหลวงเขียนเลย ไม่มีที่ไหนในโลก ที่ประชาชนหรือชาวบ้าน เค้าใช้คำว่าอะไรก็ไม่รุ๊ หรือราษฎรหรืออะไรเนี่ยะ มีเสรีภาพในทางศาสนา เหมือนเมืองสยาม ก็เป็นยังเงี้ยะ มันเป็นเรื่องธรรมดาของประเทศไทย แล้วก็เมื่อกกี้ว่าจะพูตัวอย่างซักตัวอย่าง นึกไม่ออกเสียอีกแล้ว สมองมันชักเลือนไปหมดแล้ว คือมันมีแต่ตัวอย่างให้เห็นว่า เอื้อเฟื้อกันน่ะ ทำอะไรต่ออะไรทำตามสบาย  คนไทยปัจจุบันเนี่ยะ แม้แต่ประวัติศาสตร์ของตัวก็ไม่ค่อยรู้ ก็เป็นจุดอ่อนอันหนึ่ง ก็ทำให้ไม่รู้เรา แล้วเขาก็ไม่รู้ด้วย เที่ยวอ้างกันเรื่อย ต้องรู้เขารู้เรา แล้วเสร็จแล้วเอาจริงๆทั้งเราและเขา ไม่รู้ทั้งนั้น แล้วมาอ้าวกันทำไม อ้างกันนัก รู้เขารู้เรา ไม่รู้ซักเรื่องนึง ไอ้เรื่องต่างๆเนี่ยะ เยอะไปหมด นะ ตัวอย่างมากมาย เล่าไปก็มีออกมา บางทีนึกไปได้แล้ว พูดไปมันเลือนหายไปอีก ตอนนี้สมองมันชักไม่ไหวแล้ว ตอบได้รึยัง? ที่ว่าเมื่อกี้น่ะ ตอบได้แล้วล่ะนะ.

แต่ทีนี้อีกเรื่องหนึ่งสิ ผมลืมไปนึกไม่ออก เป็นตัวอย่างที่ดี ว่า เอ้อ ถ้าคนไทยได้เรียนรู้เข้าใจจำเรื่องเหล่านี้ได้แล้วก็ เราจะมองตัวเองถูก มองสถานการณ์ถูก คิดได้ถูกทางว่าเราควร จะทำเรื่องนี้อย่างไร คนมันไม่มีข้อมูลความรู้ มันมองไม่ออกเลยนะ คิดอะไรไม่ได้เลยมันมืดไปหมดล่ะ ก็คิดได้แต่ความรู้สึก ความรู้สึกชอบใจไม่ชอบใจ ข้าจะเอายังไง เอาตามที่ชอบ ไอ้ที่ข้าไม่ชอบก็ไม่เอา ก็ได้แค่เนี้ยะ แล้วประชาธิปไตยก็ไปไม่รอด ก็เลยบอกว่าเนี่ยะ เรื่องปัญหาพุทธศาสนา จะเป็นศาสนาประจำชาติมั้ย? มันเป็นตัวอย่างทดสอบประชาธิปไตยประเทศไทยเลยล่ะ ว่าคนไทยนี้ทำอะไรตามหลักการของประชาธิปไตยมั้ย? คิด ตัดสินใจ ด้วยความรู้ รึเปล่า? เดี๋ยวนี้มีแต่เรื่องความเห็น คือเราไปเคยกับการที่ว่า เอ้อ ให้แสดงประชามติ แสดงความคิดเห็น คือขั้นตอนก่อนแสดงความคิดเห็น ก็คือว่า ขั้นหาความรู้ ไม่เอา ไปเอาขั้นแสดงความเห็น ประชาธิปไตยมันก็ขาด ลอยไป มันลอยเลย ลอยเคว้งคว้าง เพราะฐานมันหาย มันไม่ใช่มารออยู่แค่ แสดงความเห็น ก่อนที่จะออกมาเป็นความเห็นเนี่ยะ ต้องมาเป็นตอนๆ ฐานต้องมี ไอ้นี่ฐานการหาความรู้ มันไม่มี มันก็มีความเห็นลอยไปลอยมา ประชาธิปไตยก็เคว้งคว้างเลื่อนลอย อย่างนี้ก็นต้องพัฒนาประชาธิปไตยกันให้หนักหน่อย ต้องพูกันให้มากเรื่องเนี้ยะ จะว่าเรารุนแรงก็ไม่ใช่ ก็ต้องพูดกัน.

บาทหลวงที่เขียนว่าเมืองไทย มีเสรีภาพมากที่สุด ไม่เคยเห็นที่ไหนในโลก บาทหลวงฌ็องเดอรูว์ เอ้า ทีนี้มีนายพลฝรั่งเศสคนหนึ่งนะ นายพลฝรั่งเศสคนหนึ่งมารับราชการกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อ้า นายพลฟอร์บัง ท่านผู้นี้ต่อมาก็กลับไปอยู่ฝรั่งเศส ก่อนที่จะเกิดการยึดอำนาจ นายพลผู้นี้ก็ไปเล่าเรื่องประเทศไทยให้ ทางบาทหลวงผู้ใหญ่ฟังมั่ง ทางเจ้านายขุนนางฟังมั่ง เค้าก็บันทึกไว้นะ เค้ามาเล่าไว้ดีนะ เขียนบอกว่า คนไทยเนี่ยะ เวลาบาทหลวงไป สอนศาสนาไปเผยแพร่ก็ฟังกัน อย่างดีเลย ก็ได้ฟังผู้ใหญ่เล่านิทาน นี่นายพลฟอร์บังไปเล่าไว้ที่ประเทศฝรั่งเศส ก็คือเห็นสภาพเมืองไทยในสมัยนั้น ก็เหมือนสมัยเนี้ยะ คือ ไม่ถือสา ไม่มีการกีดกั้นกันเลย จะมาสอนศาสนาก็มาสอนไป แต่เขาไม่สอนอย่างเดียว เค้าด่าเราด้วย เราไม่ด่า อย่างศาสนาคริสต์สมัยก่อนหน้านี้นะ ก่อนที่เขามีวาติกัน ทูน่ะ บาทหลวงขึ้นยืนที่สนามหลวง พูดไปก็ด่าพระ ด่าพุทธศาสนาไป ชาวไทยก็ไม่ว่าอะไรด่ากันก็ด่าไป ทีนี้ตอนหลังมา ตอนวาติกัน ทู รู้จักวาติกัน ทูมั้ย? เทียบกับเราเค้าใช้คำว่า สังคายนา แต่ที่จริงไม่ใช่สังคายนา ก็เป็นการประชุมใหญ่ของวาติกัน ครั้งที่ ๒ ค.ศ. ๑๙๖๐ กว่า ก็เลยเปลี่ยนนโยบายของคริสต์ศาสนาใหม่ ว่าไม่ให้ใช้วิธีที่ไปโจมตี ให้ใช้วิธีกลมกลืนอ่ะนะ เริ่มมาตั้งแต่ปี ๑๙๖๐ กว่าๆ ตอนหลังๆนี้ก็จะประสานกัน มามีมิตรไมตรีกันไม่ว่ากัน อันนี้เราก็ต้องรู้ว่าทำไมเปลี่ยนไป ก็เป็นนโยบายมาจากวาติกัน ก็ในระยะเดียวกันนั้นก็ ทางโปรแตสแตนท์ ซึ่งมีการปกครองของตนเอง ก็มีแนวนโยบายคล้ายๆกันเนี่ยะ เค้าเรียกวิธี dialogue9 เปลี่ยนจากวิธี

9 https://en.wikipedia.org/wiki/Dialogue

เก่าไปโจมตี มาเป็นวิธี dialogue ก็ไปสนทนาปราศรัยให้เป็นวิธีแบบ assimilation(การดูดซัม-ผู้ถอดความ) กลมกลืนเป็นเข้ากัน เรื่องอย่างเงี้ยะ ถ้าคนไทยไม่รู้ พระควรจะรู้นะ พระรู้ไว้ก่อนจะดีที่สุด เอาละ มีอะไรมั้ยครับ? ไม่มีก็เอาเท่านี้นะ ไว้ๆค่อยต่อกันใหม่.

          https://youtu.be/_nO0OPBKHRU?si=QD0FU6P1V9V03TZX

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น