หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2567

พระอาจารย์ชยสาโร - แม่นอีหลี

 2567.09.20 แม่นอีหลี โดย พระอาจารย์ชยสาโร

          https://youtu.be/nlyG3QhHMgo?si=VhEjJwpPI5xWa_99



          นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

          นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

          นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

          พุทธัง ธัมมัง สังฆัง อะนุตระรัง ปัจจัย นะมะสา

          .....พูด จนปฏิเสธ ฟังเป็นเหตุเป็นผล มากกว่าพูดจาปลวก อย่างว่าคนว่าไม่เชื่อ เรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะเป็นคนสมัยใหม่ ถ้าเชื่อก็เป็นงมงาย ไม่เชื่อก็ไม่งมงาย

          แต่ถ้าเราหยุด คิดทบทวนว่า ในเชื่อกับไม่เชื่อนี่ มันก็เดียวกัน ซะว่ามีเอ กะ บี ยังเงี้ยะ แล้วก็ไม่เชื่อ เอ  อืมม คนนี้มีเหตุมีผล ไม่เชื่อเอ แต่ว่าซ่อนอยู่ในความไม่เชื่อเอ ก็คือ เชื่อบี เพราะมีเอกับบี.

          เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เชื่อ คนสมัยนี้ไม่เชื่อหรอก เวียนว่ายตายเกิด ก็แสดงว่าเชื่อว่า การเวียนว่ายตายเกิดไม่มี ด้วยหลักฐานอะไร มีเหตุผลอะไรถึงไม่เชื่อ สิ่งที่คนรุ่นนี้เชื่อที่สุดในโลกนี้ก็คือ จินตนาการตัวเอง แล้วบอกว่าทำไมไม่เชื่อในเวียนว่ายตายเกิด ก็หลับตาพยายามนึกภาพ นึกภาพไม่ออก ว่างั้น สรุปแล้วว่าไม่น่าจะมี. แล้วว่าเราเอาจินตนาการตัวเองเป็นที่พึ่ง ว่าเป็นตัวตัดสิน ว่าสิ่งไหนนึกภาพได้ สิ่งนั้นน่าจะมีจริง สิ่งไหนนึกภาพไม่ได้ สิ่งนั้นไม่น่าจะเป็นจริง โอ เรียกว่า ให้น้ำหนักให้เกียรติกับจินตนาการตัวเองมาก.

ทุกวันนี้คนจะชอบออกมาปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิด เพราะการประกาศตน (manifestation - ผู้ถอดความ) ว่า เป็นคนไม่มีศาสนา ถือว่าครู ถือว่าเท่ แต่ว่าจะไม่มีศาสนา แปลว่าอะไร? การมีศาสนาเป็นยังไง? ไม่มีศาสนาเป็นอย่างไร? มันต่างกันยังไง? ลองอธิบายดู ก็เมื่ออธิบายไม่ได้ ก็จะเอาเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ไม่เชื่อในเวียนว่ายตายเกิด.

ทีนี้ในศาสนาที่จะ ในศาสนาในตระกูลตะวันออกกลาง การมีศาสนาหรือไม่มีศาสนากำหนดด้วยความเชื่อในคัมภีร์ นั้นถ้าเราบอกว่าไม่เชื่อในคำสอนในคัมภีร์ ก็กลายเป็นคนไม่มีศาสนา นี้อาจจะเหมาะอาจจะถูกต้อง สำหรับศาสนาในตระกูลนั้น แต่พุทธศาสนาไม่ได้อยู่ในตระกูลตะวันออกกลาง พุทธศาสนาตระกูลอินเดีย และพุทธศาสนาไม่บังคับให้ต้องเชื่อในคัมภีร์ ตรงกับข้ามกับเวลาวางใจ อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อในคัมภีร์ คำว่าปลงใจเชื่อ นี่สำคัญที่คำว่าปลงใจ ปลงใจก็หมายถึงว่า เชื่อแบบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทุกวันนี้สำนวนคนสมัยใหม่ก็ต้องพูด ๑๑๐ เปอร์เซ็นต์ ฉันไม้เข้าใจสำนวนนี้เลย เชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์คือปลงใจเชื่อ.

ใน กาลามสูตร1 พระองค์ก็ตรัสไว้อย่างนี้ ชาวกาลามะบอกว่า งง มีเจ้าลัทธิ เจ้า...มีศาสดามา ผ่านมาเรื่อย ๆ

1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3

แต่ละคนมาอยู่ใต้ต้นไม้หน้าบ้าน แสดงลัทธิ แสดงธรรมะ ในลัทธิของท่าน แต่ละคนฟังแล้วน่าเชื่อถือมาก พูดเก่ง พูดน่าฟัง ปัญหาก็คือ สิ่งที่แต่ละคนพูด ไม่ตรงกัน ก็เลยเกิดความสงสัยว่า จะเชื่อใครได้ แล้วจะมีหลักตัดสินอย่างไรว่า คนนี้น่าเชื่อถือ คนนี้ไม่น่าเชื่อถือ พุทธองค์ตรัสอย่างหนึ่งน่าสนใจ พุทธองค์ว่า กาลามะ สงสัยในสิ่งที่ควรสงสัย คือใน ในศาสนาที่เน้นความเชื่อ ศัตรู สิ่งที่คนกลัวที่สุดก็คือ ความสงสัย ยังไงก็อย่าให้สงสัย สงสัยเป็นบาป แต่พระพุทธเจ้าท่านแยกแยะระหว่าง สงสัยในสิ่งที่ควรสงสัย กับสงสัยในสิ่งที่ไม่ต้องสงสัย การสงสัยในสิ่งที่ควรสงสัย นี้ก็คือ การสำนึกว่าเราไม่มีความรู้พอ ไม่มีข้อมูลพอที่จะตัดสินในเรื่องนี้.

แล้วเมื่อเราไม่มีความรู้พอ ไม่มีข้อมูลพอ แล้วจะวางใจยังไง กับสิ่งเหล่านี้ พุทธองค์จึงให้หลักต่างๆ ซึ่งคนสมัยใหม่จะแปลออกมาว่า พระพุทธเจ้า พุทธศาสนาสอนว่าไม่ต้องเชื่อ ไม่ต้องเชื่อคัมภีร์ ไม่ต้องเชื่อเหตุผล ไม่ต้องครูบาอาจารย์ ไม่ต้องเชื่ออะไรทั้งสิ้น เชื่อตัวเอง อย่างนี้เป็น new age มันต้องเชื่อตัวเอง เชื่อใจตัวเอง แต่พุทธองค์ไม่ได้สอนยังงั้น พุทธองค์ก็กล่าวถึงสิ่งที่น่าเชื่อถือ ครูบาอาจารย์ก็น่าเชื่อถือ คำสอนของพระตถาคตน่าเชื่อถือมาก คำสอนในคัมภีร์ในพุทธศาสนาน่าเชื่อถือ แล้วความหมายของพระพุทธเจ้าคือ ถึงแม้ว่าได้ข้ออ้างอิงที่น่าเชื่อถือ น่าเชื่อถือถึงที่สุด เช่นพุทธวจนะ น่ะ อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ อย่าเพิ่งเชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เอาไว้ เอาไว้เพื่อไม่แน่ไม่นอนนิดหน่อย นี่คือท่าทีต่อพุทธศาสนา ต่อความเชื่อ เชื่อได้เชื่ออย่างมีเหตุมีผล แต่อย่าให้ถึงขั้นปลงใจเชื่อ เพราะต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ยอมรับว่า ยังไม่รู้ยังไม่เห็นเป็นประสบการณ์ตรง.

ฉะนั้น ในเรื่องนี้จริงหรือไม่จริง ก็ไม่รู้  แต่คิดว่าไม่...คิดว่าไม่ใช่เพราะอะไร? เพราะไม่เคยเจออย่างนี้มาก่อน เพราะนึกภาพไม่ออก แต่ถ้าอย่างนั้น เราถือได้เลยว่า สิ่งที่เป็นจริงก็เฉพาะสิ่งที่เราเคยเจอในชีวิตของเราในอดีต เป็นไปไม่ได้หรือที่จะมีสิ่งที่เราไม่เคยรู้ ไม่เคยเจอ ไม่เคยคิดมาก่อน แต่มีจริง มันก็น่าจะมีนะ แล้วเป็นไปไม่ได้หรือที่จะมีสิ่งที่นึกภาพไม่ออก แต่ก็มีจริง การเล่าก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน คิดว่าไม่น่า ไม่น่าจะมี อ้า เหตุผลก็คือ ไม่มีอะไรในประจบการณ์ตรงในชีวิตนี้ ที่จะให้เชื่อว่ามี ไม่สามารถ อ้า นึกภาพไม่ออก ก็เป็น...ก็เป็นเหตุผลสนับสนุนความเชื่อว่า ไม่มี แต่เราก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน.

ที่ในเรื่องต่างๆ ที่เราไม่รู้ไม่เห็น มันก็จะมีประเภทที่เหลือวิสัยที่จะรู้จะเห็นได้, ใช่มั้ย? อย่างเช่นเหตุการณ์ในอดีต เช่นว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ถึงจะมุ่งมั่นต่อการปฏิบัติมากน้อยแค่ไหน ก็คงไม่สามารถพิสูจน์ได้เป็นประสบการณ์ตรงว่า อะไรเกิดขึ้นที่ประเทศอินเดีย สองพันกว่าปีที่แล้ว ถึงแม้ว่า เราเกิดอย่างระลึกชาติได้ ปรากฏว่าในวันนั้น เราเป็นไส้เดือนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ เราก็เห็นด้วยตาของไส้เดือนก็ไม่รู้เลยว่า เกิดอะไรขึ้น เพราะส่วนมากก็จะเกิดอยู่ภายในพระทัยของพระพุทธเจ้า คือเกิดวิชาสาม เกิดความระลึกชาติได้ เกิดการรู้ความเกิดแก่เจ็บตายของสัตว์ทั้งหลายในวัฏสงสาร พิสูจน์การเวียนว่ายตายเกิด ตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึง อ้า ถึงตี ๒ ตี ๒ แล้วจึงนำไปสู่การอาสาวขยญาณ คือญาณที่ทำให้ตรัสรู้ ทั้งหมดนี้ก็เกิดภายในจิตใจของพระพุทธเจ้า ถึงจะอยู่ตรงนั้น ถึงจะเป็นอยู่ ถึงเป็นยุงไปกัดพระพุทธเจ้าในขณะที่ท่านนั่งใต้ต้นโพธิ เดี๋ยวเป็นบุญหรือเป็นบาป ก็น่าคิดเหมือนกันนะ แต่ยุงก็คงไม่รู้.

งั้นเรา พุทธศาสนา เราจึงไม่กลัวความไม่แน่นอน ไม่ใช่ว่าจะต้องให้รู้ว่า ตกลงว่า ใช่ หรือไม่ใช่ จะเอายังไง? คนเราก็จะเป็นยังงี้ เรียกว่าใจร้อน ก็จะมีความรำคาญ ก็มีความรังเกียจความไม่แน่นอน อยากเชื่ออะไรสักอย่าง อยากได้คำตอบอะไรสักอย่าง แล้วพระพุทธเจ้าบอกยังตอบไม่ได้ ยังสรุปไม่ได้ รู้ไม่ได้ ทีนี้บางสิ่งบางอย่าง ถึงจะปฏิบัติดี สุดท้ายนี้ก็พิสูจน์ไม่ได้ แต่ว่าสิ่งที่เป็นหัวใจ ของพุทธศาสนา อยู่ในวิสัย ที่จะพิสูจน์ได้ นี้ก็คือเอกลักษณ์ คือความพิเศษของพุทธศาสนา.

ถ้าใน...ในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีมากมายก่ายกองใน...ในคัมภีร์บอก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ มีตั้งแต่พื้น ๆ ทีนี้เมื่อเราเกิดศรัทธา เกิดความไว้ใจ ในพระมหาปัญญาธิคุณ มหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าก่อน พุทธองค์ก็ตัดในสิ่งที่เราทำได้และควรทำ เราก็ลองทำตามที่พุทธองค์ สั่งสอนไว้ และพุทธองค์นั้นกล่าวไว้ด้วย อย่างเช่น อานิสงส์ของทาน อานิสงส์ของศีล เรื่องนี้เอา...เอาตั้งแต่เรื่องนี้ก่อน ว่าจริง การให้ทาน กับการรักษาศีล ๒ ข้อนี้ก็ทำให้สิ่งที่สมัยใหม่เค้าเรียกว่า selfish theme  selfish bank หนึ่งก็จาก การให้ทาน เพราะการกระทำ เป็นการยืนยัน ทุกครั้งที่เราทำอะไร เราก็มีการยืนยัน อย่างเช่นถ้าเราให้ ทุกครั้งที่เราให้ เราก็ยืนยันว่าเราเป้นคนให้ เราเป็นคนมีสิ่งที่จะให้ เป็นคนให้ได้ ฉะนั้น identity ของเรา อันนี้...ในโลกสมมติ identity ของเราขึ้นอยู่การกระทำ ฉะนั้นถ้าเราเป็นคนให้ ความเศร้าความสะลดใจว่า เป็นคนไม่มีอะไร ไม่มีดี ไม่มีอะไรน่ะ มันก็ไม่เกิด เพราะเรารู้ว่าเราเป็นคนให้ทุกวัน.

อาตมามาอยู่เมืองไทย ปีแรกๆ วันป่านานาชาติ วัดหนองป่าพงน่ะ บ้านบุ่งหวาย นี่กันดาร ยากจน บิณฑบาต นี่ไม่มีกับข้าว ถ้าได้กับข้าวก็ดีใจ ส่วนมากชาวบ้านใส่มาใส่ด้วยข้าวอย่างเดียว ข้าวเหนียว จะมีข้าวสักก้อนหนึ่งน่ะ แล้วก็จะ ยาแม่ออกก็ตจะดูว่า วันนี้พระมากี่รูป? ๔ รูปก็แบ่งก้อนข้าวออกเป็น ๔ ก้อน ใส่ทีละก้อน เค้ามีความสุขมากเลย เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการให้ ข้าพเจ้ามีสิ่งที่จะให้ ข้าพเจ้าเป็นคนให้ มีความสุข มีความภูมิใจในชีวิตตัวเอง มีส่วนในการบำรุงพระศาสนา แต่เมื่อมีพลัง เมื่อ...มันเป็นสิ่งที่ทำให้สุขภาพจิตมีความสุขในชีวิต ในความภาคภูมิใจในชีวิต เกิดขึ้นแค่ด้วยข้าวเหนียว ๑ ก้อน เท่านั้นเอง นั่นก็เป็นวัฒนธรรมที่งดงามมาก แล้วคนก็เลยไม่รู้สึกว่า รู้ว่าจน สมัยก่อนนี้เงินสดไม่มี บัญชีธนาคารไม่ต้องกล่าวถึง ไม่มีใครรู้จกรู้จักหรอก แต่เขามีข้าวมีอาหารพอกิน มีที่ดิน.

ทีนี้ ข้อที่สอง ศีล ผู้ที่อยู่ในศีล ก็ผู้ที่ฉลาด ในการบริหารกายวาจา เป็นผู้ที่ตั้งขอบเขตการกระทำ ของตัวเอง แล้วสามารถอยู่ใน อ่า อยู่ในขอบเขตนั้นได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อเราผ่านเหตุการณ์ที่ มีการกดดันให้ละเมิดเราไม่ละเมิด มีการชักชวนมีการยั่วยุให้ละเมิด เราไม่ละเมิด อยู่ในศีลได้  ๕ ข้อไม่เสีย ความเคารพนับถือตัวเองก็เกิดขึ้น ความเป็นเพื่อนกับตัวเองเกิดขึ้น รักษาการรักษาศีลคือ การให้ความปลอดภัย ให้ความสบายใจ กับคนรอบข้าง มีผลดีต่อ บรรยากาศในความเป็นอยู่ สมรรถภาพในครอบครัว.

นี้ก็คำสอนแบบพื้นฐานพุทธศาสนา เรื่องทาน เรื่องศีล อานิสงส์ของทาน อานิสงส์ของศีล แล้วก็ดูไม่ยากเลย ดูครอบครัว ในหมู่บ้าน ดูครอบครัวรอบตน ครอบครัวมีปัญหา ครอบครัวไม่มีปัญหา เรื่องศีลทั้งนั้น เรื่องการเบียดเบียนด้วยกายด้วยวาจา ก็ไม่เบียดเบียนด้วยกายด้วยวาจา แต่เมื่อเราลองทำในเรื่องทาน เรื่องศีล ความไว้ใจที่เป็นเป็นเดิมพัน เป็นของๆเดิมน่ะ มันก็เพิ่มมากขึ้น เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ซึ่งเป็นเรื่องของชีวิตจริง ของมนุษย์ ไม่ใช่ลี้ลับอะไร ไม่ใช่ว่าต้องไปเชื่อใน...เป็นปรัชญา เป็นอภิปรัชญา มันเป็นการบอกว่า ทำอย่างนี้ก็มีผลอย่างนี้ แล้วทำอย่างนี้ก็มีผลอย่างนี้ เอ้อ มันก็ practical มาก แล้วก็ลองเอามาทำ เอ้อ มันก็ใช่ มันก็ใช่ เอ้อ พระพุทธเจ้าท่านสอนของจริงเน๊าะ เอ้อ ใช่เลย ถ้า...ถ้าทางอีสานก็ แม่นอีหลี นี่นะ เอ้อ มันใช่ มันใช่เลย มันศรัทธา มันก็เกิดขึ้น อ้า เกิดขึ้น มันก็เพิ่มพูน เพราะความพยายามพิสูจน์สิ่งที่เราเชื่อ ไม่ใช่เชื่อในสิ่งที่เหลือวิสัย จะพิสูจน์ว่า จริงหรือไม่จริง เพราะความเชื่ออย่างนั้น มันเป็นทางตัน เชื่อมั้ย? ก็มีทางเลือก ๒ ทางก็ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ แต่พุทธศาสนาก็ สิ่งที่ให้เชื่อก็เป็นเรื่องชีวิตจริง เหมือนกับเป็นสมมุติฐานมากกว่า แล้วความ...เรารับไว้เหมือนนักวิทยาศาสตร์เอาสมมุติฐาน เอาไปพิสูจน์ ว่าใช่หรือเปล่า?

ฉะนั้น ความเชื่อ เค้าเพิ่มขึ้นด้วยความไว้ใจ ซึ่งเป็นจากการพิสูจน์ สิ่งที่พุทธองค์สอน ฉะนั้นเวลาผ่านไป เราก็พิสูจน์อะไรเพิ่มมากขึ้นๆๆๆ ศรัทธาก็มั่นคง เมื่อเราเจอคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องสิ่งที่เรายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ เราก็มีความพร้อม ที่จะเชื่อไว้ก่อน ใช่มั้ย? ไม่ใช่ปลงใจเชื่อ แต่เชื่อไว้ก่อน ด้วยเหตุผลว่า ที่พระพุทธเจ้าสอน ที่เราพิสูจน์ได้ มีหลายข้อมาก แล้วไม่เคยผิดหวังเลย แม้แต่ข้อเดียว เราจึงสรุปแล้วว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือที่สุด ดังที่เราเคยรู้มา เมื่อเราทำตามที่พระพุทธเจ้าสอน มันก็เหมือนที่ท่านบอกหมดทุกอย่าง.

ฉะนั้นจผมมาถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งยอมรับว่ามัน มัน...ปัจจุบันนี้เราไม่สามารถพิสูจน์ได้เลย และไม่รู้ว่าจะพิสูจน์ได้ เพราะว่าแม้แต่ในหมู่ชาวพุทธผู้ที่เกิดญาณระลึกชาติได้ ก็น้อยมาก หนำซ้ำก็เป็นจำนวนหนึ่งที่เราไว้ใจพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง แล้วเป็นผู้สอนสิ่งที่แบบ แหม ไม่เคยคิดมาก่อน แต่ใช่เลย อื้ม ใช่จริงๆ ในเมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอริยสาวกจำนวนมากมาย พูดเสียงเดียวกัน ยืนยันเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด อาตมาว่า ความเชื่อในการเวียนว่ายตายเกิด ฉลาดกว่าเชื่อว่าไม่มี เพราะถ้าเชื่อว่า การเวียนว่ายตายเกิดไม่มี เหมือนกับเป็นการปฏิเสธ ปัญญาของพระพุทธเจ้า มันจะกลายเป็นว่า เอาแต่เรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องการฝึกจิต เรื่องการละอกุศล การบำเพ็ญกุศล เรื่องการวิเคราะห์โลก เรื่องการ...ทั้งหมดนี้ อ่า เกิดจากจิตใจของผู้ที่หลงอยู่ในเรื่อง อะไรที่ไม่จริง เลยมาศรัทธาในพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง.

คือเรามีความมั่นใจ มีความไว้ใจ ในมหาปัญญาธิคุณ มหากรุณาธิคุณ ซึ่งมั่นคงได้ถึงขั้นนี้ เพราะเรามีชีวิตที่พยายามทำตามที่ท่านสอน และพยายามพิสูจน์ สิ่งที่ท่านสอน แล้วก็ทุกสิ่งที่พิสูจน์ได้จริงหมด. ฉะนั้นในการปฏิเสธ ว่าความเวียนว่ายตายเกิดไม่มี เพียงเพราะว่า คิกไม่ออก ไม่น่า...ไม่น่าเป็นไปได้ ก็ถือว้าเป็นความคิดที่เชื่อมั่นในตัวเอง มากไปหน่อย แต่คำสอนพระพุทธเจ้ามีไว้มันเป็นยารักษาโรค ที่เราต้องทาน หรือเป็นเครื่องมือ พัฒนาชีวิต ที่เราต้องเอาไปใช้ แล้วเราก็มีข้อสังเกต ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ ดังเช่นว่า การแยกแยะระหว่าง ของจริงกับของไม่จริง บางสิ่งบางอย่างยังไม่จริงแต่เผินๆดูเหมือนจริงมากๆ แต่บางสิ่งบางอย่างจริงแต่ เริ่มแรกก็ดูไม่เหมือน ไม่น่าจะเป็นจริงได้ ซึ่งข้อสังเกตก็คือ สิ่งไหนนี่ ถ้าเป็นจริงนะ ถ้าเราฝึกจิต เราฝึกจิตให้ผลจากนิวรณ์ ให้มีสติ มีสัมปชัญญะ รู้ตัว อยู่ในปัจจุบัน ถ้าจิตใจของเรา มีคุณสมบัติเช่นนี้ สิ่งที่จะยิ่งดูยิ่งพิจารณา ยิ่งชัด. แต่สิ่งที่ไม่จริง ยิ่งดูยิ่งพิจารณา ไม่ชัด ยิ่งไม่ชัดเลย.

เมื่อ...เมื่อร้อยกว่าปี ร้อยกว่าปีได้มีการฟื้นฟูพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา ในการฟื้นฟูนั้นจะมีการต่อต้านศาสนาคริสต์ในศรีลังกา เพราะเป็นเรื่องธรรมดาว่า ประเทศมหาอำนาจและประเทศที่ล่าอาณานิคม ไม่ว่าอังกฤษ ไม่ว่าฝรั่งเศส ไม่ว่าโปร์ตุเกศ ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมือง ใน...อย่างศรีลังกานี่ดู ดูประวัติศาสตร์ของศรีลังกาเนี่ยะ รุนแรงที่สุดโดยโปร์ตุเกศ เข้าไปแล้วไปบังคับคนเปลี่ยนศาสนา ไม่เปลี่ยนก็มีฆ่าเลย แล้วจะผลต้องทุกวันนี้ชาวศรีลังกา สังเกตว่านามสกุลจะเป็นโปร์ตุเกศเสีย บังคับถึงกับเปลี่ยนชื่อให้เป็นชื่อโปร์ตุเกศ ทำลายวัฒนธรรม ทำลายศาสนาดั้งเดิมของชาวสิงหล คือศาสนาพุทธ พวกโปร์ตุเกศหมดสมัย โปร์ตุเกศเป็นคาธิลิค อ้า ฮอลแลนด์เข้ามา ฮอลแลนด์เข้ามาอยู่ คือชาวพุทธก็ต้องหนีเข้ามากลางประเทศ แถวแอนดี แต่ถ้าอยู่รอบๆอยู่ติดทะเลนั้นจะเป็นของ...ของฮอลแลนด์ ฮอลแลนด์ก็เป็นโปรเตสแตนต์ โปรเตสแตนต์กับคาธอลิคนี่เป็นศัตรูกันอย่างมาก ก็เลยต้องพยายามแย่ง ก็นอกจากการพยายามบังคับให้ชาวพุทธเปลี่ยนไปโปรเตสแตนต์แล้ว ก็พยายามให้คาธอลิคเป็นโปรเตสแตนต์ไปด้วย เลยวุ่นวาย พุทธศาสนาเกือบจะหายจากศรีลังกา ที่ไม่หายเพราะเมืองไทยนี่แหละช่วย แต่อังกฤษนี่จะใช้วิธีไม่รุนแรง แต่ใช้วิธีทางอ้อมว่าถ้าอยากจะได้เงิน อยากจะได้งานดี แล้วต้องไปโรงเรียนอังกฤษ แต่ถ้าเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ จะได้เปรียบในการประกอบอาชีพ เพราะเป็นการให้สินบนทางอ้อม ทีนี้มันก็...เมื่อร้อยห้าสิบปีที่แล้ว ก็มีการฟื้นฟูพุทธศาสนา แล้วผู้ที่...ผู้นำของชาวพุทธในศรีลังกาในสมัยนั้น อาจจะเป็นกลุ่มฝรั่ง กลุ่มชาวต่างชาติ เรียกว่า Theosophist  ซึ่งจะมีผู้หญิงแปลกๆคนหนึ่งชื่อ มาดามปะวัสสกี้ อ้า แล้วก็มีทหารเป็นพันเอกอเมริกันชื่อ โอ ค็อต มามีส่วนร่วม.

ที่จะเล่าก็คือ นโยบายของการฟื้นฟูพุทธศาสนา การให้กำลังใจชาวพุทธ คือการ...การประกาศว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งวิทยาศาสตร์ ศาสนาคริสต์งมงาย อันนี้คือนโยบายในการเผยแผ่ ซึ่งก็มี อ่า ได้ผลดี พอสมควร มีการโต้วาทีกันระหว่างพระในพุทธศาสนากับบาทหลวงของที่โคลัมโบ คนไปฟังเป็นพันเป็นหมื่น ต่อมาก็มีการถ่ายทอดกับพิมพ์เป็นหนังสือ ซึ่งทุกวันนี้ก็หาได้ แต่ผลอย่างหนึ่งที่กลายเป็นปัญหาระยะยาว คือการ...การเน้นในความเป็นวิทยาศาสตร์ของพุทธศาสนา แล้วก็ทำให้การมองพุทธศาสนาคับแคบไป คือสิ่งใดที่ไม่เข้ากรอบของวิทยาศาสตร์ ในรูปแบบที่คนเข้า...เข้าใจ ในสมัยนั้น คือนับถือในสมัยนั้น ค่อยๆตามไป ก็ไม่ได้...ก็กลายเป็นพุทธศาสนาที่ไม่สมบูรณ์ เน้นในเรื่องเหตุเรื่องผล มากเกินไป ต่อมาก็เป็นเรื่องธรรมดาไป.

ในเมืองไทยตั้งแต่อาตมามาใหม่ๆก็เหมือนกัน ก็อยากยกย่องพุทธศาสนา พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ เหมือนกับเป็นการยกย่องพุทธศาสนา แต่ในขณะเดียวกัน อาตมาว่าเป็นการดูถูกพุทธศาสนามากกว่า เหมือนกับว่าวิทยาศาสตร์อยู่ข้างบนเนี่ยะ เอ้อ นับถือพุทธศาสนาได้นะ พุทธศาสนาดี เพราะมันคล้ายกับวิทยาศาสตร์ ก็เหมือนกับว่าสิ่งที่สูงสุดคือวิทยาศาสตร์  พุทธศาสนาน่านับถือเพราะมันคล้ายกับวิทยาศาสตร์.

แล้วที่จริง วิทยาศาสตร์ก็คือการแสวงหา...อันนี้สรุปง่ายๆ คือ อาจจะง่ายเกินไป แต่เอา...เอาแค่นี้ก่อนว่า วิทยาศาสตร์คือเป็นเรื่องของการแสวงหา ความจริงในโลก ส่วนที่วัด(measure)ได้ คือวิทยาศาสตร์จะขึ้นอยู่กับการวัด(measurement) ดังนั้นทฤษฎีของวิทยาศาสตร์ก็เปลี่ยนตลอดเวลา เพราะอะไร? เพราะมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสิ่งที่วัดได้ ก็เพิ่มมากขึ้น ความละเอียดในการวัด ก็เพิ่มขึ้น ข้อมูลก็เพิ่มมากขึ้น แล้วก้ตรองปรับทฤษฎี ตามข้อมูลที่เพิ่มขึ้นตามมาเรื่อย ๆ.

แต่ในเมื่อวิทยาศาสตร์เป็นที่ยอมรับนับถือ ของคนสมัยนี้โดยเฉพาะเพราะอิทธิพลของเทตโนโลยี เหมือนกับเทคโนโลยีเป็นตัวพิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ของวิทยาศาสตร์ กลายเป็นว่าสิ่งไหนที่ไม่ได้อยู่ในกรอบของวิทยาศาสตร์ สอิ่งนั้นงมงาย สิ่งไหนที่ไม่มีตัวเลขกำกับ เป็นเรื่อง subjective (อัตวิสัย/จิตวิสัย/ส่วนตัว – ผู้ถอดความ) แล้วเป็นเรื่องงมงาย.

ดังนั้น ลองหยุดคิดสักพักหนึ่ง แล้วเรา...ในชีวิตจริงของเรานะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร? อย่างเช่นความรัก และแล้วพิสูจน์ได้ไหม ความรักมีจริงมั้ย? พิสูจน์ได้ยังไง?  อย่างเช่นแม่รักลูก ไอ้ความรักของแม่นี่กี่หน่วย? มันวัดได้ไหม? อารมณ์ทั้งหลาย สิ่งที่เป็นนามธรรมทั้งหลาย มันก็ไม่มีตัวเลขกำกับ แต่เมื่อเราให้ความสำคัญกับสิ่งที่วัดได้มากเกินไป สิ่งที่เป็นนามธรรม ปฏิเสธไป และถูกประณามว่าเป็นความงมงาย ทีนี้ความหมายของคำว่า “งมงาย” ในที่นี้ก็คือ ไม่มีตัวเลขกำกับ ไม่สามารถให้คนอื่นเห็นได้ แต่ชีวิตจริงของมนุษย์ มันก็มีทั้ง...มี ๒ มิติ และ ๒ ด้าน สิ่งที่วัดได้ ที่มีตัวเลขกำกับได้ และสิ่งที่ไม่มี...

ทีนี้ เมื่อวิทยาศาสตร์อยู่กับสิ่งที่กำกับได้ ก็นำไปสู่ความเชื่ออย่างหนึ่ง แล้วเป็นความเชื่อเท่านั้นว่า นามธรรมเป็นจิตใจ เป็นผลข้างเคียงของการทำงานของสมอง ซึ่งเราอ่านบทความที่ไหน มันก็จะ...มันแฝงอยู่ใน ในบทความว่า มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น แล้วก็มา ที่จริง...ที่จริงแล้วในขณะนั้น มันก็เป็นเรื่องของการ...การหลั่งของสารนั้นสารนี้ และขอฮอร์โมนนั้นฮอร์โมนนี้ หมายถึงว่า จริงๆแล้ว มีฮอร์โมน อารมณ์ก็เป็นผลปรากฏของฮอร์โมน หรือของสารเคมี อย่างนี้คือความเชื่อ แล้วพิสูจน์ได้ยังไงว่า ชีวิต อ้า สิ่งที่จริง สิ่งที่เป็นจริง คือวัตถุ สิ่งที่เป็นนามธรรม ผลข้างเคียงของวัตถุ นี้ก็เป็นความคิดที่เป็นปรัชญา เป็นความเชื่อ หรือว่ามันคล้ายกับเป็นศาสนาไปเลย แล้วดูการ...การลงทุนในการค้นคว้า เรื่องสมองในสิบยี่สิบปีที่ผ่านมา ไม่รู้กี่พันล้านกี่หมื่นล้านดอลลาร์ ที่จะหาความสัมพันธ์ระหว่างสมองกับจิตใจ ก็ยังไม่ค่อยได้ผลอะไร คำว่าวิญญาณconsciousness คืออะไร? นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของเค้าเก่งที่สุดนะ ก็ยังยอมรับว่าไม่มีคำตอบ ตอนนี้วิญญาณคืออะไร? Consciousness คืออะไร? ตอนนี้มี ๑๒๐ กว่าทฤษฎี หึหึ เค้าไม่รู้.

ดังนั้นแล้วเวลาเรากล่าวถึงวิทยาศาสตร์ อ๋อ นี่วิทยาศาสตร์นี้เป็นเหตุเป็นผล แล้ววิทยาศาสตร์เท่าที่เราสัมผัสทั่วๆไป เป็นลักษณะของศาสนามากพอสมควร ในบางสิ่งบางอย่างที่ยืนยันว่า วิทยาศาสตร์พูดอย่างนั้นพูดอย่างนี้ อ้า นั้นไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่สิ่งที่เราสรุปได้ตามได้บ้างก็คือ ในการจัดการค้นคว้า ในสิบปีที่ผ่านมา ก็คือการฝึกจิต มีผลต่อทั้งโครงสร้างของสมอง และ function (การทำหน้าที่ - ผู้ถอดความ) ของสมอง สมองก็มีผลต่อจิต จิตก็มีผลต่อสมอง หรือว่ามีความสัมพันธ์.

ดังนั้นอาตมาก็ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ แต่มีประโยคเดียวที่ฝังไว้ในสมองตั้งแต่ในสมัยก่อน นั่นก็ correlation ไม่ใช่ cousality2 ก็คือการที่จะเห็น ๒ สิ่งเกิดพร้อมกัน ว่าสิ่งหนึ่งเกิดและอีกสิ่งหนึ่งเกิดหลังจากนั้น ไม่ใช่ว่าสิ่งนั้นเป็น

2 https://en.wikipedia.org/wiki/Causality

เหตุเป็นผลกัน เรื่องนี้ก็มีตัวอย่าง คนหนึ่งนั่งพักผ่อนในสนามหญ้าหลังบ้าน อันนี้มันมีกำแพง กำแพงนี้มีรู มีช่องว่าง ฝั่งนู้นนี่เป็นถนน มีแมวตัวหนึ่งเดินกลับไปกลับมา ผู้ที่นั่งเก้าอี้นี่ ก็ไม่รู้จักแมว ไม่รู้จักแมวคืออะไร มองที่รู เห็นหัวของแมว อีกหนึ่งวินาทีก็เห็นหางของแมว ต่อมาก็เห็นหัวของแมวเห็นหางของแมว อยู่ไปอยู่มาก็สรุปว่า หัวเป็นเหตุให้เกิดหาง เพราะเห็นหัวเมื่อไหร่ แป้บเดียวก็เห็นหาง เพราะไม่เห็นทั้งหมด บ้างก็มีการสรุปอย่างนี้เป็นวิทยาศาสตร์ ว่าเป็นเหตุให้เกิดหาง อันนี้เค้าเรียกว่าเป็น fallacy (ความเข้าใจผิด - ผู้ถอดความ) เป็น logical fallacy ที่เกิดขึ้น ในการที่...แล้วถามว่า อะไรคือกลไกที่ทำให้สิ่งที่เป็นวัตถุ ทำให้เกิดวิญญาณได้? ทำให้เกิดความรู้สึก subjective ได้? ไม้มีคำตอบ. ไม่สามารถพูดได้.

          ในการที่เข้าใจว่า ผู้ชายผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์กัน วิญญาณเกิดขึ้นได้จากวัตถุ ขออภัย มีสเปิร์มมีไข่ ร่วมกัน วิญญาณเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นได้ยังไง? ทำไมวัตถุอย่างนี้ ทำให้จิตใจเกิดขึ้นนามธรรมเกิดขึ้นได้อย่างไร? ไม่มีใครสามารถตอบได้ ในทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าซึ่งมีญาณรู้ ท่านบอกว่าผู้หญิงจะตั้งครรภ์ ต้องมี ๓ ส่วนประกอบ มี ๓ มีสเปิร์ม มีไข่ และผู้ที่จะเกิด มันต้องมีวิญญาณ เรียกว่า คันธัพพะ3ผู้ที่จะเกิด ถ้าสเปิร์มไข่เนี่ยะปกติ แต่ไม่มีผู้ที่จะเกิด กับคู่นั้น มันก็ไม่ตั้งครรภ์.

            3 https://www.nkgen.com/448.htm

          เพราะฉะนั้นวิญญาณ เกิดจากอะไร? อะไรเป็นต้นเกิด? พุทธองค์ตอบ...ตรัสไว้ว่า ด้วยพระญาณฺของพุทธองค์ ซึ่งพุทธองค์ระลึกชาติได้ถึง ๙๑ กัลป์ ๑ กัลป์ก็เป็นไง คือท่านอธิบายว่ามีภูเขายาว ๑ โยชน์ ประมาณ ๑๒ กิโลกว่า กว้าง ๑ โยชน์ ๑๒ กิโล สูง ๑ โยชน์ ๑๒ กิโล ภูเขาหิน มีนกตัวหนึ่ง มีขนนกอยู่ในปาก ๑๐๐ ปีต่อครั้ง จะบินผ่านไปและขนนกก็จะกระทบกับผู้เขาหิน สักนานเท่าไหร่ นกจะทำให้ภูเขาหินสึกหรอจนหมด อันนี้คือ ๑ กัลป์ พระพุทธเจ้าระลึกชาตอิ ๙๑ กัลป์ และพุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า หาไม่ได้ จุดเริ่มต้นของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ของสิ่งมีชีวิต หาไม่เจอ ถามว่ามีที่ไหนมั้ย? ที่มีการสร้างอะไรขึ้นมาจากไม่มีอะไร? มีมั้ยที่ ไม่มีอะไรกลับไปเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างนาฬิกาเนี้ยะ ก็มีการผลิตนาฬิกาในโรงงาน ผลิตสิ่งที่เราเรียกว่า นาฬิกา แต่ที่จริงนาฬิกาก็ส่วนต่างๆเป็นโลหะ เป็นพลาสติคเป็นอะไรต่างๆ แล้วโลหะพลาสติคที่เป็นส่วนประกอบของนาฬิกามีมาตั้งแต่ อู้ ตั้งแต่บิ๊ก แบง(Big Bang) แต่ก่อน ก็บิ๊ก แบง ก็ไม่ใช่ว่าเกิดจาก ไม่มีอะไร บิ๊ก แบงก็มี ก่อนบิ๊ก แบงก็มี นั้นจุดเริ่มต้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราจะหาจุดเริ่มต้น วิญญาณของมนุษย์ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีอะไรสร้างขึ้นมา คือความเข้าใจว่า ต้องมีจุดเริ่มต้น อันนี้ก็เป็นแค่ความ...แนวความคิดหรือความเคยชิน ที่จะคิดของมนุษย์.

          ฉะนั้นเมื่อเราภาวนา เราก็ไม่อยู่กับโลกที่เป็นจริง ไม่ได้อยู่ในโลกแห่งการวัด โลกแห่งวัตถุ เราก็ไม่อยู่ แล้วที่ว่าเมื่อกี้นี้ว่า ของจริงก็ชัดขึ้นๆ ไม่จริงก็ค่อยๆหายไป อย่างเอาง่ายๆว่า เรานั่งหลับตาไม่กี่ลมหายใจ ความรู้สึกว่าเราเป็นคนชื่อนั้นชื่อนี้ มีประวัติอย่าวงนั้นอย่างนี้ หายไปเลย ความรู้สึกที่เป็นสมมติต่างๆ หายไป เค้าเป็นคนมีบุคลิกอย่างนั้นอย่างนี้ หายไป ก็มีสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นว่า เป็นเรา เป็นเรา เป็นจริงๆแล้ว หายไป เพียงเพราะเราตั้งสติ อยู่ในปัจจุบัน เพียงเพราะรู้ตัวอยู่ในปัจจุบัน แต่สิ่งที่ชัดขึ้น คืออะไร? รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ชัดขึ้นมากๆ ฉะนั้น ยิ่งชัดยิ่ง...จิตใจ...อ้า ยิ่งมีสติ รู้ตัว สิ่งที่เป็นสมมติทั้งหลาย ก็หายไป สิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่รู้ได้เป็นประสบการณ์ตรง ก็ปรากฏ มีกาย มีใจ.

          มาในโลกสมมติ เราทุกคนต้องอยู่ในโลกสมมติ แน่นอน แต่ถ้าเรารู้จักปแต่สมมติอย่างเดียว เราก็จะหลงจะคับแคบ แต่ถ้าเราอยู่ทั้ง ๒ มิติ มิติสมมติกับมิติสัจธรรม อยู่ด้วยกันสมมติเกิดจากสัจธรรม แล้วก็ดับไปอยู่ในสัจธรรม เวลาอยู่ในโลก เราก็ต้องทำหน้าที่ เราเป็นชายเป็นหญิง เป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่ เป็นน้องเป็นเจ้านายเป็นลูกน้อง เนี่ยะ ต้องทำตามหน้าที่ แต่เราก็ไม่เอาจริงเอาจังกับมัน ไม่ถึงกับปลงใจเชื่อ ว่าเราเป็นเช่นนั้นจริง เพราะเราได้สัมผัส มิติหนึ่ง ที่ไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ เป็นสัจธรรม คือกาย คือใจ นี้จะเป็นความรู้ที่เรา ค่อยๆศึกษาไป วันนี้ก็คงสมควรแก่เวลา เน๊าะ.

          เรื่องการไม่พูด รักษาไว้ให้ดีนะ ให้ตลอด ตลอดถึงเช้าวันอาทิตย์ จะได้ภูมิใจ อย่าให้มันหลุดเวลาที่เดินกลับไป เวลาอยู่ที่พัก ให้มีสติต่อเนื่อง อยู่กับตัวเอง ฝึกจิตให้สติมีกำลัง...

...สาธุ...  

 https://youtu.be/nlyG3QhHMgo?si=abTmrzbpoczjJE9y

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น