ทินา เทอร์เนอร์: พุทธศาสนาช่วยชีวิตของฉันอย่างไร
Tina Turner: How
Buddhism Saved My Life
https://youtu.be/clh5rNebugc?si=AaaoEL1So4PQ3QNE
“เมื่อตอนที่พุทธศาสนาถูกนำมาเสนอต่อฉัน ฉันกำลังอยู่ในหลักใหญ่ของโลกแห่งความ เครียดเค้น. (When Buddhism was offered to me, I was in a major world of stress.)”
ลองจินตนาการถึงการอยู่บนจุดสูงสุดของความมีชื่อเสียงโด่งดัง
แต่เบื้องหลังฉากทั้งหลายนั้น ชีวิตของคุณกำลังแตกสลาย.
นั่นคืออะไรที่ได้บังเกิดขึ้นอย่างชัดเจนกับ ทินา เทอร์เนอร์ (Imagine
being at the height of Fame but behind the scenes your life is falling apart. That’s exactly what happened to Tina Turner.)
หลังจากหลายปีของการอดทนต่อความกดขี่หมิ่นหยาม, เครียดเค้น และดิ้นรนต่อสู้ด้วยตนเอง,
เธอได้พบกับเส้นทางชีวิตซึ่งไม่ได้คาดหวัง, พุทธศาสนา. (After enduring years of abuse,
stress and personal struggle, she found an expected Lifeline, Buddhism.)
การฝึกฝนทางจิตวิญญาณนี้ได้พลิกหมุนชีวิตเธอไปอีกด้านได้อย่างไร
ในวิดีโอวันนี้, เราจะมองลึกลงไปที่การฝึกปฏิบัติโบราณนี้ช่วยให้ทินาบำบัดรักษา,
สร้างชีวิตของเธอขึ้นมาใหม่และที่สุดพบสันติ ได้อย่างไร. (How
did this spiritual practice turn her life around in
today’s video, we’ll take a deep look at how this ancient practice helped Tina
heal, rebuild her life and ultimately find peace.) ดังนั้น,
ให้แน่ใจว่าติดอยู่กับเราไปจนจบนะ. (So, make sure to stick around
until the end.)
ชีวิตและอาชีพเริ่มแรก
ของ ทินา เทอร์เนอร์
ชีวิตเริ่มแรกในอาชีพของ ทินา
เทอร์เนอร์, เกิดในชื่อ แอนนา เม บุลล็อค ที่นัตบุช เทนเนสสี,
26
พฤศจิกายน 1939. ทินา เทอร์เนอร์ มีการเลี้ยงดูที่ยุ่งยาก, ทินา
เกิดขึ้นมาในหมู่บ้านเล็กๆและไปผ่านวัยเด็กที่ยุ่งยาก. เธอถูกเลี้ยงดูขึ้นมาในตอนแรกโดยย่าของเธอ
เมื่อพ่อแม่ของเธอได้หย่าร้างกันเมื่อตอนที่เธอเป็นเด็กเล็ก. สัมผัสรู้สึกในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของทินาได้ถูกกระแทกกระทบด้วยการแยกไปจากพ่อแม่ของเธอ,
โดยเฉพาะแยกจากแม่ของเธอ. (Tina
Turner’s1 early life in career born Anna Mae Bullock
in Nutbush Tennessee on November 26th1939. Tina
Turner had a difficult upbringing, Tina was raised in a
Little
rural village and went through a different childhood. She was raised primarily
by her grandmother when her parents divorced when she was
a small child, Tina’s sense of security was greatly impacted by her past
parents’ separation, particularly her mother’s.)
ทินา ได้ย้ายมาอยู่ยังเซนต์
หลุยส์กับแม่ของเธอภายหลังจากที่ย่าของเธอเสียชีวิตจากไป
แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้ดีขึ้น. ทินา ได้ค้นพบว่าเธอได้ถูกดึงไปหาดนตรีในฺเซนต์
หลุยส์. เธอเริ่มต้นเล่นในบาร์ท้องถิ่นทั้งหลาย เมื่อเธออายุแค่ 16 ปี. มันเป็นที่นั้นเองซึ่งเธอได้พบกับ
ไอค์ เทอร์เนอร์, นักร้องเพลงที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดี
ผู้มีผลกระทบลึกซึ้งกับชีวิตของเธอ. (Tina relocated to St. Louis to
live with her mother after her grandmother passed away but their relationship
didn’t improve. Tina discovered that she was drawn to music in St. Louis. She
started playing in local bars when she barely 16 years old. It was there that
she met Ike Turner, a well-known singer who would have a profound impact on her
life.)
ทินา เริ่มต้นอาชีพของเธอเป็นนักร้องแบ็คอัพ/ลูกคู่ให้กับวงของไอค์,
ชื่อ ราชาแห่งริธึ่ม แต่ในไม่ช้าได้ใส่ชื่อเธอเป็นนักร้องนำ
และเปลี่ยนชื่อของเธอเป็น ทินา เทอร์เนอร์ เมื่อพลังเสียงของเธอสร้างให้เธอโดดเด่นขึ้น.
แผ่นเสียงชุด ดิ ไอค์ แอนด์ ทินา เทอร์เนอร์ รีวิว ไลฟ์ที่ไอค์ปและทินาได้สถาปนาขึ้นด้วยกันพุ่งขึ้นสู่ความมีชื่อเสียงโดดเด่น
เป็นวงดนตรีที่รู้จักชื่นชอบกันแพร่หลายวงหนึ่งของยุคปี 1960 และ 1970, แฟนๆได้หลงใหลด้วยน้ำเสียงอันน่าทึ่งของทินา
และการนำเสนอบนเวทีอันน่าสนใจระหว่างการแสดง ด้วยจังหวะและการแสดงอันตื่นตาตรึงใจของพวกเขา.
(Tina
began her career as a backing vocalist for Ike’s band, The King of rhythm but
soon named her the lead singer and changed her stage name to Tina Turner when
her strong voice distinguished her. The Ike and Tina Turner revue Live which
Ike and Tina established together rose to prominence as one of the most popular
musical groups of the 1960s and 1970s fans were enthralled by Tina’s amazing
voice and compelling stage presence during their upbeat and remarkable
performances.)
ในท่ามกลางความสำเร็จทั้งหลาย, พวกเขาบันทึกแผ่นเสียงคือชุด ริเวอร์
ดีพ แอนด เมาเท่นท์ ไฮจ์ และ พราวด์ แมรี,
แต่ได้มีเรื่องราวมืดมนไปไกลมากขึ้นภายใต้ผลสำเร็จทั้งหลาย เป็นการเพิ่มขึ้นให้กับการถูกปกครอง,
ไอค์ ได้เป็นผู้ประพฤติตนเลวร้ายด้วยเช่นกัน ทั้งทางกายและทางจิตใจ. (Among
the successes, they recorded were River Deep and Mountain High, and Proud Mary,
but there was a far darker tale hidden underneath the achievements in addition
to being domineering, Ike also mistreated people physically and
psychologically.)
“และฉันได้ให้สัญญาไว้ว่าจะไม่ไปจากเขา
และฉันก็อยู่ด้วยจริงๆเพราะคำสัญญานั่น, แต่แล้วมันก็มาถึงจุดที่มันกลายเป็นเลวร้ายมากๆ,
มากๆจริงๆ...” (“And I promised him that I would never leave him and I
actually stayed because of that promise, but then it got to the point where it
became really bad, really bad…”)
เลิกล้มต่อความอดทนอดกลั้นมาหลายปี,
ความรู้สึกที่เหมือนติดคุกโดยอำนาจปกครองและครอบงำของไอค์ ซึ่งตามมาจนเธอได้แสดงความเชื่อของเธอออกมา
ว่าเธอไม่มีทางหนีรอด. แต่ในปี 1976 หลังจากหลายปีของความทุกข์ ทินาได้ตัดสินใจอย่างกล้าหาญที่จพะไปจากไอค์
ด้วยการไม่มีอะไรเหลือให้นอกจากตัวตนบนเวทีของเธอ. เธอหนีออกจากบ้านของเธอ์
อาชีพการงานของเธอ และเงินของเธอ, นี่เป็นสัญญาณการเริ่มต้นกระบวนการอันยืดเยื้อยากลำบากที่จะฟื้นสร้างชีวิตของเธอขึ้นมาใหม่.
(Put
up with the abuse for years, feeling imprisoned by Ike’s manipulation and
dominance subsequently she expressed her belief that she had no Escape Route.
But in the 1976 after years of suffering Tina bravely decided to leave Ike with
nothing left but her stage identity. She fled her house her career and her money,
this signaling the start of an arduous and protracted process to reconstruct
her life.)
การค้นพบ พุทธศาสนา(Discovering Buddhism)
ทินา มีเวลายุ่งยากลำบากกับการเคลื่อนไปต่อจากไอค์, เธอต้องการอย่างสุดเลวร้ายทในเงิน,
ที่จะใช้จ่ายตามอารมณ์รู้สึก
และพบว่ามันยากลำบากที่จะเริ่มต้นอีกครั้งในอาชีพของเธอ.
เธอไม่ได้แสดงบนเวทีขนาดใหญ่อีกเลยเหมือนที่เธอมีมากับไอค์, แทนที่ได้ทำเช่นนั้น,
เธอได้แค่แสดงออกรายการโทรทัศน์และคลับตามท้องถิ่นทั้งหลาย. ทินาได้เรียนรู้ครั้งแรกเกี่ยวกับพุทธนิกายนิชิเร็ง
ในช่วงเวลามืดมิดนี้จากเพื่อนสนิทคนหนึ่ง. (Tina had a difficult time
moving on from Ike, she was in dire need of money, emotionally spent and
finding it difficult to restart her career. She didn’t perform on the large
stages like she had with Ike, instead she did TV shows and local clubs. Tina
first learned about Nichiren Buddhism2at this
dark time from a close friend.)
2 https://en.wikipedia.org/wiki/Nichiren_Buddhism
“...และแล้วใครบางคนก็มาบอกว่า ทำไมเธอไม่ลองกับการสวดมนตร์ดูล่ะ, การสวดมนตร์จะช่วยเธอให้เคลื่อนย้ายอุปสรรคทั้งหลายออกไป...” (“…And then someone came why don’t you try it chanting, the chanting will help you to remove obstacles.)
ทินา
ลังเลในตอนแรก. เธอไม่แน่ใจเกี่ยวกับว่าการสวดมนตร์อาจจะให้ผลกำไรเธอ และไม่ได้รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับพุทธศาสนา,
อย่างไรก็ตาม, ทินาก็ลองทำมันและได้เริ่มต้นท่องมนตร์ นัม มโยโฮ เร็งเก
เกียว3, ที่แปลว่า “การอุทิศภักดีต่อ กฎอันลี้ลับของเหตุและผลจากเหตุ.”
มนตรานี้เป็นหัวใจสำคัญของพุทธนิกายนิชิเร็ง, แสดงถึงความคิดว่าเราแต่ละคน
มีความสามารถในการที่จะเปลี่ยนผันสถานการณ์ของเรา
และนำสิ่งที่ดีทั้งหลายมาสู่ชีวิตได้. (Tina was hesitant at first. She
was unsure about how chanting may benefit her and didn’t know much about
Buddhism, however Tina gave it a shot and started reciting the Mantra Nam-Myoho-Renge-Kyo,
which translates to “Devotion to the Mystic Law of Cause and Effect.” This
Mantra is essential to Nichiren Buddhism, expresses the idea that each of us
have the ability to alter our situation and bring about good things in life.)
ทินา
มองเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเธอ เมื่อเธอได้เริ่มต้นสวดมนตร์ทุกวัน.
เธอไม่เคยได้รู้สึกถึงสันติภายในและเพ่งจับอยู่ที่สิ่งใดได้เช่นนี้
เหมือนที่เธอทำได้หลังจากการเริ่มต้นฝึกปฏิบัติ. การเปลี่ยนร่างของ ทินาไม่ได้บังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว,
เธอค่อยๆเริ่มต้นรู้สึกทีละนิดถึงความแข็งแกร่งขึ้นและมีพลังบรรจุมากขึ้นในชีวิตของเธอ.
เธอได้ค้นพบบางอย่างที่ให้สันติแก่เธอ, บางอย่างที่ช่วยให้เธอจัดการกับความท้าทายทั้งหลายที่เธอประสบอยู่.
(Tina
saw a change in her life when she started chanting every day. She had never
felt such inner peace and focus as she did after starting the practice. The
Tina’s metamorphosis didn’t happen quickly, she gradually began to feel stronger
and more in charge of her life. She had found something that gave her peace,
something that helped her deal with the challenges she was.)
“ นัม มโยโฮ เร็งเก เกียว ให้ความแข็งแกร่งและความรู้แก่ฉัน
ในการที่จะไปข้างหน้าและผ่านช่วงเวลานี้ในชีวิตฉันได้อย่างไร. และเช่นเดียวกัน,ให้ฉันก็ไปต่อ,
ได้ไปสู่ที่หนึ่งในตัวของฉัน นั่นช่วยให้ฉันตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง,
ช่วยให้ฉันอยู่ในชีวิตที่สันติสุขและความสุขมากยิ่งขึ้น. (“Nam Myoho Renge
Kyo gives me the strength to and the knowledge to, how to go forward and pass
this time in my life. And also, I moved on to, getting to that place inside of
me that helps me make right decisions, helps me live a more peaceful and happy
life.)
พุทธศาสนาเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตของทินา, ให้เธอซึ่งความกล้าหาญที่จะไปข้างหน้า. การสวดมนตร์ตามที่เธอบอก, ให้ความประทับใจแก่เธอซึ่ง เธอไม่ได้โดดเดี่ยวและซึ่งพลังอำนาจที่สูงขึ้น, ได้นำเธอผ่านชั่วขณะทั้งหลายอันยุ่งยากลำบาก. (Buddhism took on a significant role in Tina’s life, giving her the courage to go forward. Chanting according to her, gave her the impression that she wasn’t alone and that a higher power, was leading her through difficult moments.)
ทินา
เริ่มต้นกู้ฟื้นคืนสำนึกในคุณค่าของตัวเอง ที่ได้ถูกนำไปจากเธอกว่าหลายปีของความถูกกดข่มหมิ่นหยาม
ผ่านการฝึกปฏิบัตินี้. (Tina began to restore her sense of
self-worth which has been taken from her over the years of abuse through the
practice.)
การรื้อฟื้นสร้างชีวิตและอาชีพของเธอขึ้นใหม่ (Rebuilding Her Life And Career)
ทินาค่อยๆสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในการงานของเธอ
ด้วยการใช้ความแข็งแกร่งอดทนที่เธอได้มาจากการฝึกปฏิบัติทางจิตวิญญาณของเธอ.
มันได้เป็นการท้าทายในตอนแรก, เธอได้เคลื่อนออกไปจากแสงไฟสาดต้องนั้นและหยุดปรากฏในที่ผู้คนชุมนุมกันมากๆทั้งหลาย.
ทินาไม่ยืนกรานใดเลยในความพยายามที่จะทวงคืนความสำเร็จที่เธอได้สูญเสียไป,
เธอออกแสดงไปในทุกที่ใดก็ตามที่เธอสามารถทำได้. มีอุปสรรคทั้งหลายจำนวนมากที่จะเอาชนะข้ามไป
และมันก็ไม่ได้ง่ายดาย. การปล่อยอัมบั้มเดี่ยวของเธอออกมาชื่อ “Private
Dancer” ในปี 1984, เป็นฝ่าทะลวงหลักของเธอ,
จุดพลิกผันอันสำคัญยิ่งในอาชีพของทินาก็คืออัลบั้มแผ่นนี้. (Tina
gradually started to reconstruct her job using the fortitude she acquired from
her spiritual practice. It was challenging at first, she had moved out of the
spotlight and stopped appearing on major venues. Tina persisted nonetheless in
effort to reclaim the success she had lost, she put on shows wherever she
could. There were numerous obstacles to overcome and it wasn’t simple. The
release of her solo album ‘Private Dancer’ in 1984, was her major breakthrough,
a significant turning point in Tina’s career was this album.)
เพลงที่ได้ถูกใจผู้ฟังโด่งดังเช่น “ความรักต้องมายุ่งอะไรกับมันด้วย” ที่ทำให้เธอได้ขึ้นถึงอันดับหนึ่งของเพลงเดี่ยง/ซิงเกิ้ล, ซึ่งอยู่ในกลุ่มเพลงทั้งหลายนั้น. ทินาถูกดันให้กลับออกไปในสายตาของสาธารณะอีกครั้งด้วยเพลงนี้ ที่ยังได้รับรางวัลแกรมมี่มากมายด้วยเช่นกัน, รวมทั้งอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปี. อัลบั้มแผ่นนี้ขายได้หลายล้านแผ่นทั่วโลก และทำให้ที่ทางของความเป็นศิลปินเดี่ยวของทินาแข็งแกร่ง. (Hits like ‘What’s love gotto do with it’ which earn her first number one single, where among them. Tina was thrust back into the public eye by the song which also won several Grammy awards including record of the year. The album sold millions of copies worldwide and solidified Tina’s place as a solo artist.)
“ฉันจะบอกคุณบางอย่างที่ฉันได้เรียนรู้, มนตร์คาถาและความกลมกลืนสามารถ ...สามารถเปลี่ยนความเป็นลบให้กลายเป็นความเป็นบวกได้. และนั่นคือที่ฉันได้เปลี่ยนแปลงมันอย่างไรผ่านความรัก, และผ่านการทำสิ่งทั้งหลายผ่านไปได้นั้นไม่ใช่จากพลังอำนาจ แต่แค่จากความรัก.” (“I tell you something I learned, charm and harmony can…can change the negative into the positive. And that’s how I changed it through love, and through getting things done not from power but just from love.”)
เมื่อทินาในตอนแรกที่ได้เริ่มต้นที่จะประสบรับรู้ชื่อเสียงโด่งดันในทันทีทันใดมากที่สุดในอุตสาหกรรมดนตรีนี้นั้น,
ได้เชื่อกันว่าอาชีพการงานของเธอได้สิ้นสุดลงแค่นี้แล้วเมื่อเธออายุอยู่ในวัย 40.
อย่างไรก็ตาม ทินา ได้หักล้างทุกคน, เธอเอาแต่นำความสำเร็จของเธอออกมาไม่หยุดทั้งอัลบั้มเพลงและการออกแสดงไปทั่วโลก,
ขายบัตรหมดเกลี้ยงไปทุกสังเวียนเวทีไม่ว่าที่ใดก็ตามที่เธอได้ไป. ผู้ติดตามหลายล้านคนทั่วโลกได้รับแรงดาลใจจากความดื้อดึงต่อสู้และแก้ไขปัญหาของเธอ.
(When
Tina first started to experience this sudden fame most in the music industry,
believed her career was finished when she was in her 40s. However Tina
disproved everyone, she kept putting out successful albums and touring the
globe, selling out arenas wherever she went. Millions of followers worldwide
were inspired by her tenacity and resolve.)
การฝึกฝนปฏิบัติทางจิตวิญญาณของทินายังคงเป็นเสาหลักของการรองรับค้ำจุนแม้ว่าอาชีพการงานของเธอจะพุ่งโลดไปแล้ว.
แทนที่ความวุ่นวายอลหม่านรายรอบเธอ, พุทธศาสนาได้เสนอให้เธอ ซึ่งวิธีการที่จะค้นพบรื้อฟื้นสันติภายใน
และการมุ่งสนใจต่อเหตุสาระที่แท้จริง. ทินาบ่อยครั้งได้อ้างว่าการสวดมนตร์ของเธอนั้นจัดาให้เธอได้มาซึ่งความกล้าและความเพียรพยายามที่จะดำเนินต่อไป
ในระหว่างช่วงเวลาความลำบากยุ่งยากทั้งหลายนั้น. Tina’s
spiritual practice remained a pillar of support even as her career took off.
Despite the tumult around her, Buddhism had offered her a method to rediscover inner
peace and concentrated on what really mattered. Tina frequently claimed that
chanting provided her the courage and perseverance to carry on during difficult
times.)
“มนตราปาฏิหารย์” และความหมายของมัน (The ‘Miracle Mantra’ And Its Meaning)
การสวดมนตร์ “นัม
มโยโฮ เร็งเก เกียว” เป็นหนึ่งในการฝึกปฏิบัติทางจิตวิญญาณที่สำคัญมากที่สุดของทินา.
มนตร์นี้ทำให้ปรากฏในตัวตนขึ้นของความเชื่ออันแรงกล้าใน กฎแห่งเหตุและผล,
เช่นเดียวกับสมรรถนะสำหรับการเติบโตส่วนตน กับแต่ละปัจเจกบุคคล,
มันเป็นมากยิ่งกว่าแค่ชุดสะสมคำพูดทั้งหลายอันหนึ่ง. คำแปลของ “นัม มโยโฮ เร็งเก เกียว” ก็คือ
“การอุทิศสักการะต่อกฎอันลี้ลับของพระสูตรดอกบัว/สัทธรรมปุณฑริกสูตร”,
ที่เป็นคำสอนทางศาสนาพุทธเน้นถึงคุณค่าของ พลังอำนาจที่เชื่อมต่อถึงกันและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ของชีวิต.
(Chanting
the Mantra ‘Num Myoho Renge Kyo’ was one of Tina Turner’s most significant
spiritual practices. This Mantra embodies a strong believe in the Law of Cause
and Effect, as well as the capacity for personal growth on
each individual, it is more than just a collection of words. Translation of ‘Num
Myoho Renge Kyo’ is ‘Devotion to the Mystic Law of the Lotus Sutra’4, which
is a Buddhist Teaching emphasizing the value of life’s interconnectedness and
transformative power.)
4 https://en.wikipedia.org/wiki/Lotus_Sutra
“...มนตร์นี้คือทั้งหมดที่เป็นกฎอันลี้ลับของจักรวาล
ซึ่งทำให้คุณเป็นที่สามารถจะเป็นที่จะสำแดงปรากฏสิ่งทั้งหลายที่คุณต้องการในชีวิตของตนได้.”
(“…The
Mantra is all that is the mystical law of the universe making you being to be
able to manifest the things you want in your life.”)
การสวดมนตร์วลี5นี้,
ได้ยินยอมให้ทินาเข้าไปสู่ความแข็งแกร่งและเชาวน์ปัญญาข้างในของตัวเธอเอง. เธอ
5 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B5
เธอบ่อยครั้งมักจะเปรียบเทียบการฝึกปฏิบัตินี้กับการปฏิบัติสมาธิ,
บอกว่ามันช่วยให้เธอเพ่งจับอยู่บนความการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกขณะที่ยังความสงบในจิตใจของเธออยู่.
เธอรู้สึกได้ถึงพลังงานการเปลี่ยนแปลงจากในแง่ลบไปเป็นแง่บวกตราบนานเท่าที่เธอได้สวดมนตร์.
(Chanting
this phrase, is allowed Tina to access her own inner strength and intelligence.
She frequently compared the practice to meditation, saying it helped her focus on
making positive changes while yet calming her mind. She felt her energy change
from negativity to positivity the longer she chanted.)
ทินายังสามารถที่จะคว้ากุมอะไรที่เธอสามารถเปลี่ยนผันสถานการณ์ของเธอได้ด้วยการใช้มนตร์นี้.
เธอทำงานอย่างวกระตือรือร้นที่จะสร้างสรรค์อนาคตที่ดียิ่งขึ้น ด้วยการกระทำและความคิดทั้งหลายของเธอ
มากไปกว่าการตั้งความปรารถนาถึงมันอย่างเดียว. ทินาอ้างว่าการสวดมนตร์นั้นช่วยในการที่เธอพิจารณาตัดสินใจทั้งหลาย
ซึ่งเป็นความจริงแท้และเสนอมให้เธอซึ่งความกระจ่างชัด. (Tina was
also able to grasp that she could alter her situation with the use of the
Mantra. She actively worked to create a better future by her actions and
thought rather than merely wishing for it. Tina claimed that chanting helped
her make judgments that were authentic to herself and offered her clarity.)
มนตราปาฏิหารย์ของทินา
ได้กลายเป็นสายชูชีพในชั่วขณะทั้งหลายอันมืดมิดที่สุดของเธอ, ทินา จะท่องมนตร์นี้เพื่อช่วยให้เธอที่จะค้นพบศูนย์กลางและสมาธิของเธอ
ไม่ว่าเธอจะเผชิญหน้ากับความยุ่งยากลำบากทั้งหลายในชีวิตส่วนตัวของเธอ
หรือความเรียกร้องต้องการจากในงานของเธอ. เธอสามารถที่จะค้นพบความสงบนิ่งแทนที่จะเป็นความจลาจลวุ่นวายโดยการเกี่ยวข้องกัน
ด้วยเทคนิคนี้. (Tina’s Miracle Mantra became her Lifeline6 in her
darkest moments, Tina would recite the chant to help her
6
https://en.wikipedia.org/wiki/Lifeline_(safety)
to find
her center and concentration whether she was facing difficulties in her
personal life or the demand of her job. She was able to find calm despite the
chaos by engaging in this technique.)
ทินา
ได้ประยุกต์พุทธศาสนากับชีวิต)ประจำวันของเธออย่างไร (How Tina Applied
Buddhism To Her Daily Life)
“...ถ้าคุณทำมันนานพอ,
คุณจะกลายเป็นขึงเครีดน้อยลง...”(…if you do it long enough you
become less stressed.)
พุทธศาสนาไม่ได้เป็นอะไรบางอย่างที่ทินาได้ฝึกปฏิบัติเป็นครั้งคราว,
มันได้กลายเป็นคุณลักษณะประจำวันอันหนึ่งของเธอ. ทินาสร้างเวลาสำหรับการสวดมนตร์
ไม่ว่าตอนไหนก็ตามที่เธอสามารถจะทำได้ ไม่ว่าเธอกำลังเดินทางไปแสดงทัวร์หรืออยู่ที่บ้าน.
“นัม มโยโฮ เร็งเก เกียว” เป็นการสวดของเธอในตอนเช้า, การเริ่มต้นเชิงบวกในวันของเธอไม่ว่าอะไรได้รออยู่ข้างหน้า.
ทินาคิดว่าการปฏิบัติเป็นประจำสม่ำเสมอนี้เป็นสิ่งสำคัญจำเป็นที่จะคอยทำให้เธอสมดุลและมีสมาธิ,
แม้กระทั่งเมื่อชีวิตได้กลายเป็นมากเกินไปที่จะจัดการ. (Buddhism
is not something Tina practiced occasionally it became a regular feature of her
day. Tina makes time for chanting whenever she could whether she was traveling on
tour or at home ‘Num myoho Renge Kyo’ was her morning chant, a positive
beginning to her day no matter what was ahead. Tina thought that this regular
exercise was essential to keeping her equilibrium and concentration, even when
life became too much to handle.)
พุทธศาสนาเป็นวิถีชีวิตสำหรับทินา,
ไม่ใช่แค่การฝึกปฏิบัติสวดมนตร์, จากสัมพันธภาพของเธอไปสู่งานอาชีพของเธอ.
เธอผสมผสานรวมเอาหลักทั้งหลายของพุทธศาสนานิกายนิชิเร็งเขาไปในทุกรูปลักษณ์ของชีวิตเธอ.
เธอได้ค้นพบว่าจะปล่อยไปอย่างไรซึ่งความขมขื่นและความโกรธ เพื่อที่จะมุ่งเน้นไปที่ความกรุณาและกตัญญุตา.
(Buddhism
is the way of life for Tina, not merely a practice of chanting, from her
relationship to her job. She integrated the principles of Nishiren Buddhism
into every aspect of her life. She discovered how to let go of
bitterness and wrath in order to concentrate on compassion and thankfulness.)
ทินาได้อ้างว่า
พุทธศาสนาได้ช่วยเหลือในการค้นพบการให้อภัย,
ทั้งต่อตัวเธอเองและผู้อื่น และบำบัดรักษาความเจ็บปวดของอดีต. (Tina
claimed that Buddhism assisted her in finding forgiveness, both for herself and
for others and healing past hurts.)
“...เอาละ,
นั่นคืออะไรที่การฝึกปฏิบัติทำกับฉัน, มันช่วยฉันไม่วิตกกังวลอะไรง่ายๆ. มันช่วยฉันในการที่จะจัดการกับสถานการณ์ทั้งหลายบนระดับของความแตกต่างกัน,
เพราะว่าฉันคิดแตกตต่างไปกับมัน. ฉันไม่ได้วิตกกังวลอย่างง่ายๆอีก, ใช่,
ฉันยังมีคึวามวิตกกังวลได้อยู่ เพราะว่าฉันเป็นแค่มนุษย์.” (“…well,
that’s what the practice does for me, it helps me not to be upset easily. It
helps me to deal with situations on a different level, because I think differently
about it. I don’t get upset as easily, yes, I still get upset because I’m only
human.”)
ในเวลาต่อมา, ทินาติดต่อสัมพันธ์กับผู้ที่ชื่นชมเธอทั้งหลายเกี่ยวกับเรื่องการฝึกปฏิบัติแบบพุทธศาสนาของเธอ
และกระทั่งได้เขียนหนังสือขึ้นมาในชื่อ “ความสุขกลายเป็นคุณ.” เธอบรรยายถึงว่าพุทธศาสนาให้สันติสุขและความปีติใจภายในเธออย่างไร.เธอได้กระตุ้นยุให้ผู้คนที่จะสืบค้นตรวจดูเทคนิคนี้และประสบรับรู้ด้วยตัวพวกเขาเอง,
แรงกระทบให้เปลี่ยนร่างจากการสวดมนตร์. ทินาได้ปฏิบัติตามต่อคำสอนทั้งหลายของพุทธศาสนา
และดำเนินต่อไปที่จะฝึกปฏิบัติมัน แม้ว่าหลังจากที่เธอได้แก่ชรามากขึ้นและลาจากเวที.
(Later
on, Tina communicated to her admirers about her Buddhist practice and even
wrote the book called “Happiness becomes You’. She describes how Buddhism gave
her inner peace and contentment. She urged people to investigate the technique
and experience for themselves, the chanting transformational impact. Tina
adhered to the teachings of Buddhism and continued to practice it even after she
became older and left the theater.)
ชีวิตของทินา
เทอร์เนอร์ สาธิตแสดงต่อเราว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นมักจะเป็นไปได้เสมอ
แม้กระทั่งกับการเผชิญหน้าต่ออุปสรรคทั้งหลายที่ยากจะผ่านพ้นไปได้ก็ตาม. พุทธศาสนาอาจจะจัดหาให้ซึ่งความแข็งแกร่งและความสงัดสงบแก่ใครก็ตามผู้ที่เสาะหามัน
เหมือนดังเช่นที่มันทำให้กับ ทินา.(The Life of Tina Turner
demonstrates to us that change is always possible even in the face of insurmountable
obstacles. Buddhism may provide strength and serenity to anybody who seeks it
as it did to Tina.)
ถ้าคุณชื่นชอบกับวิดีโอนี้,
ได้โปรดยกนอิ้วหัวแม่มือให้กับเราด้วยและอย่าลืมกดปุ่มติดตาม เพื่อเรื่องราวทั้งหลายอีกมากยิ่งขึ้น
ของความบันดาลใจ และจดจำไว้ว่าคุณมีพลังอำนาจที่จะเปลี่ยนรูปชีวิตของคุณจากภายใน.
พบคุณในวิดีโอหน้านะครับ. (If you enjoy this video, please give it
a thump up and don’t forget to subscribe for more stories of inspiration and remember
you have the power to transform your life from within. See you in the next
video.)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น