2567.09.21 ไขปัญหาธรรม โดย พระอาจารย์ชยสาโร
https://youtu.be/Dw1ye3ke1w8?si=o8eiHC7Yo3sIj77_
คำถาม: ปฏิมะ...ปฏิบัติมาซักพัก เห็นตัวเอง เห็นกิเลส เห็นอารมณ์มากขึ้น จะรู้สึกคิดมากกว่าคนอื่นๆ บางทีพยายามไม่มีอารมณ์จนเกิดเครียด อะ...เกิดเก็บกด เก็บกด กิเลสเยอะ เห็นแล้วบางทีก็ไม่รู้จะจัดการตรงไหนก่อน อยากได้คำแนะนำค่ะอาจารย์.
คำตอบ:
let’s อ่า... เรามีคำเทคนิค ว่า โยนิโสมนสิการ1
โยนิโสมนสิการท่านได้แปลว่า คิดแยบคาย อันที่จริงมันจะมี อ่า อีกนัยหนึ่ง
คือการ frame การตั้งกรอบความคิดไว้ดี คือกรอบความคิด มันจะเป็นตัวกำหนดความคิดพอสมควร
และทุกครั้งที่เรามองอะไรๆ เราเกี่ยวข้องกับอะไรน่ะ เรามองผ่านกรอบ มีframe เช่นการมีสติ อย่างหนึ่งก็คือ ให้สติสำนึกรู้ว่า
กำลังมองผ่านframeอะไร.
ยกตัวอย่าง เรื่องการเจอปัญหา อุปสรรค
คนอื่นมองตัวเองว่าเป็นคนแย่ เป็นคนไม่เอาไหน คนไม่...ไม่เก่ง สู้เพื่อนไม่ได้ อันนี้คือกรอบความคิด.
อีกคนหนึ่งมองตัวเอง ว่าเป็นคนใจสู้ เป็นคนต้องชนะ เป็นคนสนุกกับการแก้ปัญหา
อันนี้ก็คือมุมมองตัวเอง identityตัวเอง.
สองคนนี้เจอปัญหาเดียวกัน
คนแรกเนี่ยะ แย่ไปเลย เอาอีกแล้ว เหมือนทุกครั้ง กำลังจะทำอะไรดีๆมันก็ต้องเจออย่างนี้อยู่ทุกครั้ง
why me หนอน่าสงสาร. อีกคนหนึ่งก็สู้ เอ้อ เจออุปสรรคแล้ว ถึงเวลาจะได้ชนะให้ได้
ฉะนั้นกรอบความคิด มีผลต่อจิตใจเรามาก ว่าเราจะทุกข์จะสุข จะได้กำไรจะขาดทุน
มันไม่ได้อยู่ที่ตัวปัญหา มันอยู่ที่การยอม...รับปัญหา.
ส่วนตัวความคิด
คือโยนิโสอีกนัยหนึ่ง เราก็แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
ประเภทหนึ่งที่หลวงพ่อสมเด็จเรียกว่า คิดแบบเร้ากุศล เช่นจิตใจของเรา
เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท เราก็คิดไปในทางแผ่เมตตา ในความดีของเขา
ในโทษของความโกรธ อานิสงส์ของความไม่โกรธ คือคิดไปในทางให้กิเลสลดน้อยลง ความที่เป็นบุญเป็นกุศลเกิดขึ้นได้
อันนี้คือความคิด ที่มุ่งที่จะลดอกุศล และการเพิ่มกุศล เป็นโยนิโสมนสิการกระแสหนึ่ง.
กระแสอันที่
2 คือการพิจารณา ความที่จะพิจารณาเรื่อง ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา เรื่องความไม่แน่ไม่นอน
คือเป็นคว่ามคิดที่มุ่งตรงต่อความจริงของชีวิต.
ฉะนั้น โยนิโสมนสิการจึงเป็น
แบ่งออกเป็น...เป็น 3 คือ ตัวความคิด จะเป็นไปในทางที่หวังผลต่อกิเลส
ทำให้กิเลสลดน้อยลง สิ่งดีเพิ่มมากขึ้น หรือจะเป็นการพิจารณาตรง ต่อความจริงของชีวิต
แล้วอีกนัยหนึ่ง คือกรอบความคิด.
ทีนี้ ผู้ที่ถามปัญหาข้อแรกวันนี้
นี่ก็บอกว่าก็เห็นกิเลส เห็นอารมณ์มากขึ้น เห็นตัวเองมากขึ้น จนรู้สึกคิดมากกว่าคนอื่น
อ่า ก็นี่ก็คงไม่รู้หรอก ใครจะมีความคิดมากกว่าใคร เน๊าะ สันนิษฐานเอา อาจจะคิดว่าไม่น่าจะมากกว่าเราได้
อ่า พยายามไม่มีอารมณ์ อันนี้ ตรงนี้ต้องชี้ ผิด คิดผิด
เราจะไปห้ามไม่มีอารมณ์ได้ยังไง มันก็กลายเป็นวิภาวะตัณหา เป็น อโยนิโสมนสิการ
พยายามคิดเก็บกดไม่ให้คิด ก็แน่นอนแล้วก็จะเก็บกดและเครียด.
ในการที่ดูตัวเอง เห็นกิเลสมากขึ้น
ทีนี้เกิด อโยนิโสมนสิการ ไม่ได้เกิดโยนิโสมนสิการ อู้-ทำไมกิเลสเราเยอะแยะเลย
ไม่รู้จะแก้ตรงไหนก่อน ท้อแท้ แต่ถ้าเรามีโยนิโสมนสิการเราก็
ที่แล้วเราก็รู้ว่ามีงานที่ต้องทำเยอะ เราต้องให้ความสำคัญกับงานนี้มากขึ้น
ประมาทไม่ได้ อายุเราเหลืออยู่มากน้อยแค่ไหน งานที่ต้องทำก็เยอะ
คือข้อมูลอันเดียวกัน คือเห็นกิเลสตัวเอง แต่ถ้าจับด้วยอโยนิโสมนสิการ
การเห็นความจริงทำให้จิตใจเครียดและเศร้าหมอง แต่มองเปลี่ยนกรอบเปลี่ยนมุมมอง
เปลี่ยนความคิด นั่นว่าก็เป็นกำลังในการปฏิบัติ ก็อยากให้รวมเป็นกำลังใจ.
คำถาม: ขอเรียนถามว่า จะนำธรรมะมาประยุกต์ใช้ในการหา life
purpose หรือตอบคำถามว่า ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร? อย่างไร?
คำตอบ: คือมันไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า
life, มันเหมือนกับถามว่า หายใจเข้านี่มีpurposeอะไร? สิ่งที่เรารู้ได้คือ กาย เวทยา คือสัญญา คือสังขาร
คือวิญญาณ นี่คือสิ่งที่เป็นชีวิตจริง เรื่องจริง แต่เราไม่ต้องมองว่า
lifeต้องมีpurpose แต่ว่าเราสามารถให้purposeกับlifeแล้วได้ เราควรจะให้purposeกับlife ไม่ใช่ว่าต้องแสวงหาpurposeของlife ในทางพุทธศาสนาเราสรุปสั้นๆง่ายๆว่า ทำอะไรด้วยคุณงามความดีเพื่ออะไร?
เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ.
เนี่ยะ
ประโยคนี้สุดยอดเลย เรา...เราใช้ชีวิตเพื่อประโยชน์ แล้วประโยชน์คืออะไร? แค่คำนี้ก็ลึกซึ้งมาก
อะไรคือประโยชน์? อะไรซึ่งไม่ใช่ประโยชน์? และความสุข อะไรคือความสุข? เพื่อประโยชน์และความสุขของข้าพเจ้าทั้งหลาย
ไม่ใช่ข้าพเจ้าคนเดียว ข้าพเจ้าทั้งหลาย ของเราด้วย ของคนอื่นด้วย ตลอดกาลนาน
และไม่ใช่ในระยะสั้น ในระยะยาวแบบ sustainable ฉะนั้นเราก็ให้ชีวิตมีความหมาย
ให้ชีวิต มี...มีpurposeได้ ด้วยการตั้งใจสร้างประโยชน์
สร้างความสุข กับข้าพเจ้าทั้งหลาย ข้าพเจ้าด้วยคนอื่นด้วย ก็มีจิตสาธารณะ
จิตอาสาด้วย แบบsustainable ตลอดกาลนาน. อันนี้ก็เป็นหลักการง่ายๆ ที่พอจะทำเข็มทิศเอาไว้.
คำถาม:
บางทีชอบทำประโยชน์ช่วยคนอื่น จนลืมดูแลตัวเอง และใช้...และขี้เกียจทำงาน
เป็นเพราะอะไร? อาจารย์มีข้อแนะนำให้จัดการให้ดี ให้จนbalance ได้มากขึ้น.
คำตอบ:
อาตมาชอบเล่าเรื่องอาจารย์ ไอคิโด2 มีใครรู้ว่า ไอคิโดคืออะไรมั้ย?
เป็นวิชาป้องกันตัวของญี่ปุ่น เป็นวิชาอ่าวิชาป้องกันตัวที่แบบ อืม สงบที่สุด จะเรียกว่าเป็นเอียงพุทธมากที่สุด
มีความก้าวร้าวน้อยที่สุด เรียกว่า อคิโด
มีลูกศิษย์อุทาน ออกมาว่าท่านอาจารย์ อยู่กับท่านอาจารย์มา หลายปีแล้ว
ไม่เคยเห็นท่านอาจารย์ เสีนยความทรงตัวแม้แต่ครั้งเดียวเลย อัศจรรย์เน๊าะ
อาจารย์ก็ตอบว่า ที่จริงอาจารย์ก็เสียความทรงตัวบ่อย แต่ก็เมื่อเสียความทรงบ่อยก็ตั้งความทรงตัวขึ้นมาใหม่เร็วมาก
จนลูกศิษย์มองไม่เห็น.
2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%94
ดังนั้นอาจารย์จะมีปัญหาคำถามเรื่องbalanceทุกวันนี้ เจอคำนี้ไม่รู้ ยิ่งจะเป็นชาวตะวันตก ทำไมอันนี้จะbalanceกับอันนี่ยังไง? บ้าเรื่องbalance ซึ่งอยากจะให้ข้อคิดก็คือ ไม่ใช่ว่าเราจะหาbalance แล้วก็รักษาbalanceนั้นไว้ นี่ก็เรียกว่าจบปัญหา? คือbalanceมัน มันdynamic มันก็ต้องเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เพราะเหตุปัจจัย สิ่งแวดล้อม ตัวเรา
มันเปลี่ยนตลอดเวลา ฉะนั้นอย่าไปหวังเลยว่าจะเจอbalance แต่ว่าเมื่อเสียความทรงตัว
หรือเสียbalance ให้รู้สึก ตั้งต้นขึ้นมาใหม่ตั้งต้นขึ้นมาเร็ว.
แต่ในเรื่องคนนี้
พูดเมื่อกี้นี้ ว่าต้องsustainable ระยะยาว ในบางคนที่คิดจะช่วยคนอื่น
แต่ไม่รู้จักดูแลตัวเอง ก็เสียสละจนเกินกำลัง แล้วก็burn out
เรียกว่าหมดสภาพไป ก็กลายเป็นว่าทำประโยชน์ส่วนรวมน้อย แต่ถ้าเราต้องการจะทำประโยชน์ส่วนรวมระยะยาว
มันก็สอดคล้องมันตรงกับการดูแลตัวเอง รู้จักว่าตัวเองต้องการพักผ่อน
และอย่าไปคิดว่า การพักผ่อน การปฏิบัติธรรมหรือการทำอะไร คือตวามเห็นแก่ตัว.
ความ...ที่จริงถ้าใช้คำว่าเห็นแก่ตัว ก็ไม่ว่า เห็นแก่ตัวอันนี้ไม่เป็นปัญหานะ
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือเห็นแก่กิเลส และเห็นแก่ตัวกิเลส แต่เห็นแก่ตัวชีวิตที่ว่านี้
ทุกคนควรจะเห็นแก่ตัวชีวิต แต่เห็นแก่ตัวที่ไม่ดี คือเห็นแก่ตัวกิเลส ทำตามพลังของกิเลส
ฉะนั้นก็ฝึกสติให้รู้ตัว รู้กาย รู้ใจตัวเอง จนรู้เวลาที่ควรจะพักผ่อน
เวลาไหนที่พร้อมจะงาน ก็มีการฝืนบ้าง เพราะการประเมินความพอดี
และการประเมินว่าเท่าไหร่จึงพอดี นี้เราไว้ใจไม่ได้ ก็ต้องฝืนนิดหน่อย เพื่อจะดูว่าหลอกลวงตัวเองบ้างหรือเปล่า
บางเราก็ทำได้มากกว่าที่คิด.
เพราะฉะนั้นไอ้...ไปช่วยคนอื่นจนลืมดูตัวเอง
จะทำยังไง? ก็อย่าลืมตัวน่ะ คำตอบสั้นๆง่ายๆ อย่าลืมตัวเอง ดูพร้อมกัน.
คำถาม:
ข้าพเจ้ามีนิสัย ขี้หงุดหงิดง่าย ซึ่งเป็นนิสัยที่ข้าพเจ้าพยายามแก้ไข บางอย่างไม่ถึงความโกรธ
แต่เมื่อได้รับคำถามที่ไม่พอใจ ข้าพเจ้าจะตอบกลับด้วยความหงุดหงิดทันที
หรือแสดงสีหน้า อาการ ข้าพเจ้าพยายามปฏิบัติ พยายามมีสติ
แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถทันอารมณ์หงุดหงิดมิได้เลย ต่างจากความโกรธที่ยังพอมีอาการให้สังเกตได้บ้าง
ข้าพเจ้าควรฝึกเช่นไร?
คำตอบ: อ่า ก็การที่เห็นเป็นปัญหา
สำนึกในปัญหา อยากจะแก้ปัญหา อันนี้ก็เป็นนิมิตรหมายที่...ที่ดี
ถ้ามี...มีสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ มีความตั้งอกตั้งใจอย่างนี้ มันก็คงจะได้
แต่ว่าต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่ใช่ว่าปุ๊บปั้บจะเปลี่ยนนิสัยตัวเองได้ง่าย
ต้องใจเย็น.
ทีนี้ที่ อ้า อาตมาอธิบายในหลายข้อคือแนะนำ ให้ตั้งสติที่กาย
ตั้งสติที่ความรู้สึกในกาย เพราะอาการทางจิต ก็ล้วนแต่มีอาการทางกายเป็นคู่
เกิดพร้อมกัน และบางทีอาการของกายเกิดก่อน อาการของจิตยังไม่ปรากฏชัด
ถ้าเราสังเกตตัวเอง สังเกตกระบวนการ pattern ที่เกิดขึ้นในจิต
เราก็จับได้ว่า พอมันเริ่มเข้ากระบวนการแล้ว เราก็รู้ตัว และก็จัดการได้ให้ดี.
ทีนี้อ้า...ในวิธีที่ใช้เฉพาะ
เฉพาะหน้า ก่อนอื่น...ก่อนตอบ ก็ฝึกนิสัยใหม่ ให้พูดอะไรต่ออะไร
กลืน(น้ำลาย)ก่อนตอบ หยุดรู้สึกซักหนึ่งวินาที แล้วทำไมล่ะ? ก็ แค่นี้นะ พอตั้งสติได้ หายใจ...สูดลมหายใจ
หายใจปกติมั้ย? หายใจเข้าหายใจออก ฉะนั้นก็...แต่เรื่องของเรื่อง ไม่ว่าโกรธ
ไม่ว่าหงุดหงิด มันก็เป็นเพราะ ไม่ยอมรับความจริง ที่กำลังปรากฏอยู่ต่อหน้า
และคิดว่ามันควรจะเป็นอย่างอื่น เพราะไม่อยากให้เรื่องเป็นอย่างนี้ ซึ่งการพิจารณาบ่อยๆ
ให้เห็นชัดได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันก็เกิดเพราะมีเหตุมีปัจจัยให้เกิดขึ้น.
ฉะนั้นเมื่อเราเป็น...มันถูกต้องตามเหตุตามปัจจัย
ว่าทำไมเค้าถึงต้องถามยังงี้? ตอบไม่รู้กี่ครั้งแล้ว อื้ม อ้าว ก็แปลว่า
เค้ายังไม่เข้าใจสิ หรือเค้าลืม หรือเราสื่อสารกับเค้าไม่ดี ที่จริงทุกครั้งนี่
ที่ลูกน้องทำอะไรไม่...ไม่ถูกใจ ไม่ตตรงต่อ มันต้องโทษตัวเองบ้าง
เพราะว่าเราเป็นผู้ที่ไม่สามารถสอนเค้า ให้ถึงใจเค้าได้ ไม่ใช่ความผิดของเค้าคนเดียว
แต่เราก็จะคิดอย่างนั้น เราก็จะเข้าข้างตัวเองว่าเค้าผิด เราบอกเค้าชัดๆ
บอกเค้าหลายครั้งแล้ว เค้าก็บอกว่า ครับๆๆๆ แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม นี่
ก็ปแสดงว่าเค้าไม่เข้าใจจริง แล้วเรา เราก็ต้องทบทวนการสื่อสารของ เราที่
เปลี่ยนการพูดของเรา.
แต่ทั้งนี้ถ้าจะแก้ที่เหตุ
มันอยู่ที่วิภาวะตัณหา อยู่ที่เราละไม่ได้ว่า เจอสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ
แต่เราจะอยู่ในโลกไหน ที่มีแต่คนทำสิ่งที่เราถูกใจ? เราพอใจ ที่ถูกใจเรา
มันเป็นไปไม่ได้ เอ่อ ถึงจะอยู่ในสวรรค์ คง...คงจะยังมีปัญหาอยู่ ทำมั้ยเอาดอกไม้ยังงี้มาทำพวงมาลัย?
รู้ว่าไม่ชอบสีนี้...หุหุ.
คำถาม:
ในการเดินจงกรมเมื่อวาน เป็นช่วงที่จิตใจฟุ้งซ่านมาก เนื่องจาก อ๋อ กลัวเหยียบมด มดก็กลัวคนเหยียบ
แล้วตะขาบ มีมั้ย? ตะขาบ...จึงเกิดไม่สามารถกำหนดลมหายใจได้
มีสิ่งเกี่ยวคือการภาวนาไม่ให้โดนกัด หรือไปเหยียบเค้า
ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น จึงขอกราบเรียนปรึกษาท่านพระอาจารย์
เรื่องของความกลัวในจิตใจของเรา เรา เราจะขจัดความกลัวและสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาด
เพื่อเป็นหลักธรรมในการดำเนินชีวิตต่อไป.
คำตอบ:
อ่า คือก่อนอื่นต้องพูดอีกทีว่า ไม่แนะนำให้ดูลมหายใจ ระหว่างการเดิน
ดูความรู้สึกในกายบ้าง ดูความรู้สึกในฝ่าเท้า ในคำบริกรรม แต่จังหวะของการหายใจ
จังหวะการเดิน ไม่ค่อยจะถูกกัน ไม่ถึงกับห้ามเด็ดขาด แต่ให้ทราบว่า ปกติเราจะไม่ทำ.
ฉะนั้นในการ การภาวนาก็คือการทำความเพียร ความเพียรมี ๔ อย่าง
เพียร ๑.
คือป้องกันไม่ให้กิเลสที่ยังไม่เกิดในใน เกิดขึ้นได้ ๒.
เมื่อกิเลสเกิดขึ้นก็เพียรปล่อยวาง ๓. ปลูกฝังคุณธรรมที่ยังไม่มีในใจ ให้ปรากฏ ๔.
ก็พัฒนาคุณธรรม สิ่งดีที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญงดงาม เช่นการทำความเพียรตามหลักนี้เรียกว่า
สัมมาวายามะ ในอริยมรรค มีองค์ ๘ แล้วเป็นโครงสร้างการปฏิบัติ
ทั้งในเวลา อยู่ใน อ้า ทำในรูปแบบการนั่งสมาธิ เดินจงกรม และในชีวิตประจำวัน ฉะนั้นเราก็เดิน
ก็มีสิ่งท้าทาย สิ่งที่จะชวนให้เราทุกข์ได้ เราต้องเพิ่มความระวังที่เท้า
คือไม่จำเป็น คือไม่ได้บังคับว่าต้องเครียด ใช่มั้ย? ก็เป็น
เป็นโอกาสที่จะระมัดระวังมากขึ้น ก็เราก็ integrate บูรณาการในการปฏิบัติ
รู้ว่า...ต้องเดินในลักษณะแบบว่าไม่เหยียบมด.
เรื่องกิ้งกือ กิ้งกือนี่ มันช้ามากมีโอกาสจะเหยียบน้อยมาก ตะขาบก็ไม่เห็นมี
ก็...ไม่น่าจะมี อ่า นั่นเป็นความคิดปรุงแต่งมากกว่า
ซึ่งเราคิดปรุงแต่งเกี่ยวกับมด เกี่ยวกับสัตว์เล็กสัตว์น้อย แล้วเราก็คิดปรุงแต่งเรื่องอื่น
ปรุงแต่งก็ปรุงแต่ง วิตกกังวลก็วิตกกังวล เป็นอาการของจิต ซึ่งในระหว่างเราภาวนามีหน้าที่ดูแลจิตใจ
ดูแลให้จิตอยู่ในอารมณ์กัมมัฏฐาน ในลักษณะที่ความคิดปรุงแต่งไม่ครอบงำจิตเค้าได้.
ในเรื่องของความ...อ่า...อารมณ์ เช่นความคิดกลัว คิดวิตกกังวลอะไรต่างๆ
มันมี ๒ หน้า หน้าหนึ่ง เนรื้อหาที่คิด สองก็คือ กระบวนการคิด ในวิธีปฏิบัติก็คือพลิก
แทนที่จะหมกหมุ่นกับเนื้อหาที่คิด เช่น โอ้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็เหยียบ
แล้วก็มันกัด แล้วถ้ากัดเรามันจะเป็นยังไง มีพิษมั้ย? จะเจ็บมากมั้ย?
ถ้าเจ็บมากเราจะแย่จะไม่ไหว อาจจะต้องกลับบ้าน แล้วจะกลับไปก่อน จะขึ้นรถใครไป รึจะอายเค้า...หุหุหุ
คิดมาก แต่ถ้าเรา พอเราเริ่มคิดมันระงับความคิดก็ยาก ดังนั้นก็พลิกมาดูที่กระบวนการ
ความคิดนี่เป็นสิ่งที่มีเกิดมีดับ เป็นอาการของจิต.
ดังนั้นเราปฏิบัติต่อความกลัว ความกังวล ด้วยพยายามพลิกมุมมอง จากเนื้อหาที่คิด
มาที่กระบวนการคิด ให้เห็นการเกิดดับ เดี๋ยวก็ยังอีกหลายสิบคำถาม เยอะนะ
ต้องขอผ่าน.
คำถาม:
คุณแม่ได้รับการผ่าตัดจากการเป็นมะเร็งปอด ครั้งที่ ๑ เมื่อมีอาการสุด...อ่า
เมื่อมีอาการทรุด ท่านบอกว่า ยังไม่อยากตายตอนนี้ เราในฐานะลูกควรโต้ตอบ
หรือปลอบอย่างไรคะ?
คำตอบ: คือคำพูดของคน
มันก็จะมีเนื้อหาที่พูด แล้วก็มีน้ำเสียง แล้วก็มีอารมณ์ที่อยู่เบื้องหลัง
ดังนั้นในการฟังเป็น เราก็ต้องจับทั้งสิ่งที่พูด น้ำเสียง อารมณ์ กิริยา ท่าทาง body
language อะไรต่างๆ เพื่อเราจะได้ตอบถูก สิ่งที่...อ่า...ไม่ควรพูดก็คือปฏิเสธความรู้สึก
ไปปลอบใจว่า ไม่ต้อง...ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ตายแน่หรอก หาย หาย หาย ไม่ตายหรอก
ไม่ต้องไปคิด อ่า ปลอบใจอย่างเนี๊ยะ อาตมาบอกว่าไม่ค่อยดี เราก็ปลอบใจแบบยอมรับในความกลัว
คือ ถ้าเป็นมะเร็ง ไม่ว่าขั้นไหนนะ ทุกคนก็ต้องกลัวเน๊าะ เราก็กลัวตายทุกคน ทุกคนก็กลัวตาย
ลูกก็กลัวตาย ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ใน-เพราะเราให้ผู้ที่กำลังเป็นทุกข์
ระบายออกมา แล้วมีการตอบรับว่าเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ ไม่วิจารณ์ ไม่บอกว่าโง่ บอกว่าไม่ใช่
เสร็จแล้วนี่ก็เป็นฐาน ที่เราจะคุยต่อ ว่าแต่เท่าที่ทราบว่า เป็นขั้นที่ ๑ น่ะ
ทุกวันนี้หมอเค้าเก่งมาก ยาเค้าเค้าเก่งมาก มีโอกาสหายมาก แล้วก็ปลอบใจไปตามประสา
แต่ก่อนที่จะปลอบใจ ด้วยเหตุด้วยผล เราก็ต้องตอบอารมณ์ก่อน ตอบอารมณ์ก่อน จึงให้ตอบเนื้อหาที่พูด
อันนี้ก็เป็นหลักการ.
คำถาม: ลูกอายุเก้าขวบ
ถามว่า ผีมีจริงมั้ย? ควรตอบอย่างไรดี?
คำตอบ: ก็...บอก โลกนี้มีสิ่งที่ สิ่งมีชีวิตที่เห็น อย่างมนุษย์ สัตว์เดียรัจฉาน
นก แล้วก็มีสิ่งตามองไม่เห็น ทีนี้ พระพุทธองค์ ก็ตรัสไว้ว่า
เราอยู่ในโลกที่มีมนุษย์ด้วย...มนุษย์กับอมนุษย์ด้วยกัน
สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการฝึกจิตให้ ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำร้าย ไม่พูดร้าย
มีเมตตา และพุทธองค์ซึ่งค้นพบความจริง รู้ความจริง ก็ได้เปิดเผยว่า
ผู้มีเมตตาอยู่ในใจ เป็นที่รักของมนุษย์ และเป็นที่รักของอมนุษย์.
ฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะมีอมนุษย์ ถึงแม้ว่าจะเป็นผี
ผีไม่เคยเป็นอันตรายกับใคร ผีไม่เคยทำร้ายใครหรอก
ยิ่งกว่านั้นถ้าหากว่า เราเป็นผู้มีเมตตา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มีชีวิต
ทั้งตาเห็น ตามองไม่เห็น ก็จะมองเราเป็นมิตร มองเราเป็นเพื่อน มองแล้วว่าเราน่ารัก
เราไปที่ไหนก็ปลอดภัย. ฉะนั้นเรา...สิ่งที่ทำให้คน มนุษย์เราเป็นทุกข์ ไม่ใช่ผี
สิ่งที่ทำให้เรามนุษย์เป็นทุกข์คือ ความกลัวผี ผีไม่เป็นปัญหา กลัวเป็นปัญหา
แต่เราก็ต้องฝึกให้ชนะความกลัว.
ทีนี้เวลาเราดูหนัง
ดูเค้า...เค้า เค้าทำหนังยังไง เค้าต้องการยังไง เค้าต้องการให้ผู้ชมกลัว ใช่มั้ย?
อันนี้เรียกว่าเป็น นโยบายคนทำหนัง เค้าต้องการให้เรากลัวผี ซึ่งเหมือนกับเป็นการใส่ร้ายป้ายสีผี
แล้วก็เป็นบาปกรรมพอสมควรนะ ทำให้มนุษย์มีความคิดไม่ดีกับผี ซึ่งผีอยู่เฉยๆ
ไม่เคยทำอะไร เค้าก็คงสงสัยว่า เอ๊ะ ทำไมมนุษย์มันชอบไปว่าเรา อย่างนี้
ไม่เห็นเราเคยทำอะไรเค้า มนุษย์นี้ไม่ค่อยยุติธรรมเน๊าะ อาจจะไม่ต้องเล่าทั้งหมดนะ ให้ลูกฟัง ก็แล้วแต่
แต่ที่สำคัญก็คือไม่ต้องปฏิเสธ แล้วก็บอกว่า เราก็ไม่รู้นะ คนที่เคยเห็นผีจริงๆนี้น้อยมาก
แต่พุทธองค์เคยตรัสถึงอมนุษย์ แล้วบอกว่า อ่า คนไหนที่เจริญด้วยเมตตา ไปไหนปลอดภัย
ถึงจะมีอมนุษย์ ก็ยังถือว่าเป็นมิตรเป็นเพื่อน เค้าไม่ได้มาทำร้ายเรา.
คำถาม:
พี่น้องจำเป็นต้องรักกันหรือไม่? เราควรสอนลูกให้รักกันด้วยวิธีใดคะ?
คำตอบ: คือเราจะไปสอนให้คนมีความรู้สึกต่อกันอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไม่ได้ จะไปบังคับความรู้สึกไม่ได้ แต่...แต่เราก็เริ่มที่ศีล
อย่างน้อยที่สุดมันก็ไม่ควรเบียดเบียนกัน ไม่ควรจะเบียดเบียนด้วยกาย ด้วยวาจา ควรจะฝึกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดต่อกันและกัน
ฉะนั้นไม่ต้องฝึกให้รักกัน แต่ฝึกให้เป็นมิตรต่อกัน เริ่มด้วยศีล
ไม่...ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย ถ้าพฤติ...จิตใจเค้ามีผลต่อพฤติกรรม
หรืออย่างเช่นเรามีเมตตาอยู่ในใจ มีความรักอยู่ในใจก็คงไม่ได้ทำร้าย ไม่ได้พูดร้าย
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเราถึงจะมีความรู้สึกไม่ดีบ้าง แต่ถ้าเราฝึกอย่างสม่ำเสมอ
ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย ความรู้สึกจะเปลี่ยน ความรักจะเกิดขึ้น อย่างยกง่ายๆว่า ของถือ...รักษาศีลข้อแรก
แม้แต่มด แม้แต่ตะขาบ แม้แต่อะไร ไม่ฆ่าเป็นอันขาด ยุงก็ไม่ฆ่า แค่นี้นะ
ไม่ต้องแผ่เมตตาพิเศษ ด้วยจากความระวัง ด้วยความเคารพ ด้วยความไม่เบียดเบียน
ความรู้สึกต่อสัตว์เหล่านี้จะเปลี่ยน เมใตตามันก็จะเกิดเองนะ ไม่ตั้งใจ เพราะศีล.
ศีลก็ทำให้เกิดความรักได้
เหมือนรักก็ทำให้เกิดความรู้สึกได้ มันจะเป็น two ways ในเมื่อคนนี้ที่เราต้องการจะรักกัน
แล้วจะไปสั่งให้รักกัน ไม่รู้จะต้องทำอะไร ถึงจะรัก จะรักกัน ไม่รู้แนวทางปฏิบัติเป็นยังไง
แต่สิ่งที่ practical มาก ที่ทำได้ก็คือ ไม่ทำร้าย
ไม่พูดร้ายเราเป็นพี่น้องกัน.
คำถาม: มีเทคนิคที่จะทำให้เห็นว่า
ความคิดไม่ใช่ของเรามั้ยคะ? ทั้ง ๆที่รู้แต่บางครั้ง ยังรู้สึกละอาย
ไม่สบายใจในความคิดที่ไม่ดี ที่ผุดขึ้นมา.
คำตอบ:
โอ้นี้ก็ชัดเจนมาก ก็ที่ ที่อย่างนี้น่ะที่ว่า ผุดขึ้นมา เอาแค่นี้มา นั่งสมาธิ
เราก็ไม่อยากจะคิดเลย ใช่มั้ย? ถ้าไม่คิดเลย โอ้ จะดีมากนะในสมาธิ แต่มันก็คิดจนได้
เพราะว่ามันไม่ใช่เราเป็นผู้คิด ทั้งคิดทั้งเราคิดทั้ง ๆที่ไม่ต้องการคิด
เพราะความคิดเป็นเรื่องธรรมดา ทีนี้เราเมื่อมันเกิดโดยไม่บอกอะไรล่วงหน้า แล้วมาคิด
คิดได้ทุกอย่าง ไม่มี ไม่มีอะไรที่จิต สมองเราคิดไม่ได้นะ ซึ่งจะเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง
หรือเป็นเรื่องหยาบคายอนาจาร นี้คิด คิดได้หมดทุกอย่างแล้วไม่ต้องรับผิดชอบหรอก
ที่จะรับผิดชอบก็คือเรายินดีในความคิดนั้นมั้ย? เราคิดต่อมั้ย?
เนี่ยะตรงนี้ที่จะเป็นบาปกรรม แต่ถ้าเป็นแค่ความคิดที่ผุดขึ้นมา นี่เป็นกรรมเก่า
คิดไม่ดีคิดอะไรขึ้นมานี่เป็นกรรมเก่า.
เทคนิคอย่างหนึ่ง ที่อย่างหนึ่งก็...ก็คือว่า
เรามีน้องคนหนึ่ง ค่อนข้างจะคึกคะนอง เป็นคนนิสัยไม่สู้จะดีเท่าไหร่ คนนี้ชื่อว่าบุคลิก
เวลามี มีความคิดไม่ดีผุดขึ้นมา โห บุคลิกคิดไม่ดีอีกแล้ว บุคลิกอย่าไปคิดอย่างนั้น
ก็ถือว่าเป็นเรื่องของบุคลิกเค้า ทุกอย่าง โอ้ย คิดได้ยังไง?
สมมติว่าเป็นเพื่อน เพื่อนรัก แต่เพื่อนรักเกิดทุกข์ บางในคบเพื่อนที่เรารักที่สุด
ที่มีบุญคุณมากที่สุด พอเราได้ยินเสียงไม่ดีของเขา จะมีความยินดีผุดขึ้นมา โอ้โห
เห็นมั้ย? เป็นไปได้ยังไง? บุคลิก โอ้ยบุคลิก เป็นอย่างนี้เน๊าะ บุคลิก
ก็เป็นเรื่องบุคลิกเค้า.
คือไม่ได้หมายความว่า เราเป็นคนแย่ เป็นธรรมชาติของสมอง
เป็นธรรมชาติของบุคลิก เป็น...เป็นกรรมเก่า ทั้งหมดนี้ อ่า
ถ้าหากว่าเราไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่รับมาเป็นเรื่องของเราก็จบไป
แล้วสิ่งที่ไม่ดีนะ ถ้าไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นไว้
ไม่พยายามเก็บกด ไม่พยายามไล่ออกจากสมอง สักแต่ว่ารับรู้ รับทราบ มันจะค่อยๆหายไป
แต่ทุกครั้ง ความคิดที่ไม่ดี ผุดขึ้นมาทำให้เราแบบ ว่าตัวเอง เศร้า อาย เขิน เอ่อ
มองตัวเองในแง่ร้ายเป็นต้น นี่คือการเติมเชื้อของมัน แน่นอนปแล้วก็จะกลับมาใหม่ เพราะเราก็เติมเชื้อของมันแล้ว.
แต่ก็
เอ้อ แปลกดีเน๊าะ อู๊ บุคลิกเป็นได้ถึงขนาดนี้ เราก็เฉยๆ มันก็จะหาย
ค่อยๆหายไป.
คำถาม: คุณพ่ออายุแปดสิบกว่าแล้ว
มีความกลัวตาย กลัวตายมาก ไม่ยอมไปเยียวยา ที่ป่วยใกล้เสียชีวิตก็
ไม่อยากเห็นสภาพคนใกล้ตาย มีวิธีไหนที่จะช่วยให้เค้ายอมรับ การ แก่เจ็บตาย จะได้ไม่ต้องมาทรมาน
ทุรนทุราย ตอนที่ป่วยหนักแล้ว มีมั้ยคะ?
คำตอบ:
เอ่อ
ก็อายุแปดสิบแล้วนี่นะ ยากเหมือนกันเน๊าะ เค้าก็คงเมื่อ เมื่อกี้ก็ได้พูดเหมือนกันว่าอย่าไปปฏิเสธความรู้สึกว่า
ไม่ต้องกลัว ก็ต้องยอมรับความจริงนะพ่อ พระพุทธเจ้าสอน คือคำสอนนี่
ถ้าเค้ายังไม่พร้อม ยังไม่ต้องสอน แต่พยายามในเรื่องความรู้สึก ในความกลัว
และถ้าเราอยู่แบบยอม...ไม่ปฏิเสธ ไม่เถียง อยู่เป็นมิตร และนานๆเข้า เราก็อาจจะเปิดเผยความรู้สึกของเรากันได้
แล้วเราพูดถึงเรื่องความกลัวของเรา หรือว่าเรากลัวความพลัดพราก ก็กลัวว่า
วันใดวันหนึ่ง พ่อต้องจากเรา ก็ค่อยหาแนวทางที่ และค่อยๆขยับเข้าไป ขยับเข้าไป คุยในเรื่องความตาย.
และการ เอ่อ บางคนนี่จะเหมือนกับเป็นโรคจิตเลย มีโยมคนหนึ่งเค้าเป็นชาวอังกฤษ
เค้าเกษียณ เค้าเคยทำงานที่กรุงเทพ แล้วก็เกิดศรัทธาในพุทธศาสนา มีช่วงหนึ่งที่ขึ้นมาพักปฏิบัติที่วัดเป็นระยะๆ
เพราะเกษียณไปแล้ว ก็ไปสร้างบ้านที่บ้านบุหวาย แล้วก็เข้าวัดทุกวัน
แล้วก็ปฏิบัติธรรม ตั้งอกตั้งใจ แต่เค้าสุขภาพไม่ค่อยจะดี แล้วก็เกิดป่วย
แล้วก็ขับรถ ไปกรุงเทพ จะไปรักษาที่โรงพยาบาล มาถึงชานเมืองแถวรังสิตอะไร
เริ่มจะมีเลือดออกจากทวารหนักอย่างมาก แล้วก็มีเรียกรถพยาบาล ทีนี้เลือดของเขา ก็เป็นเลือดพิเศษที่คนไม่ค่อยเป็น
หนึ่งในพันหนึ่งในหมื่นคน ก็ต้องประกาศทางวิทยุกระจายเสียง ใครมีเลือดแบบนี้ ก็
ก็ขอเชิญบริจาคช่วยชีวิตของคนอังกฤษคนนี้ สุดท้ายก็ได้ เค้ารอดมาได้.
ทีนี้ อาตมาไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล ที่กรุงเทพ แล้วก็แปลกใจว่า
เมื่อเค้าผ่านพ้นวิกฤติอย่างนี้ เกือบตาย แทนที่เค้าอยากจะฟังธรรมมาก
อยากจะปฏิบัติธรรมมากๆขึ้น อืม กลับกลายว่า ไม่เอาเลย จากที่ก่อนหน้านั้นชอบปฏิบัติธรรม
อาตมาก็...เค้า เค้าเปิดทีวีอยู่ เดิมก็เป็นนักธุรกิจ เค้าเปิดทีวี เปิดไอ้ช่อง
Bloomberg ที่มีรตัวเลข ตัวหุ้นวิ่งข้างล่าง เค้าไม่ได้สนใจที่อาตมา
อุตส่าห์เดินทางจากอุบลไปให้กำลังใจ ให้ธรรมะกับคนเกือบตาย เค้าก็จะมองที่หุ้น
หุ้นไหนขึ้นหุ้นไหนลง เค้าเป็นอย่างนั้นแล้วจากนั้นจนตายเลย เก็บกด คือ
คือเค้าทนไม่ได้ในเรื่องความตาย เพราะมันถึงจริงๆแล้วเค้าก็ต้องหาdestruction ก็เลยเอาเรื่องBloomberg เรื่องหุ้น มันเป็น...อาตมาก็รู้สึกสลดสังเวชมาก
แต่ว่าไม่มีวันลืม.
คือ
ถ้าคนเรานีกลัว นี่มันจะไปเก็บกด แบบไม่มีใครช่วยได้เลย แต่ถ้าเราอยู่ด้วยกัน
ในบ้านเดียวกัน ให้ความรัก ดูแลเอาใจใส่ แล้วก็ให้เวลาเปลี่ยนแปลงไปก็ไม่แน่ไม่นอนนะ
ตอนนี้ก็ยังอยู่ในขั้นที่ต่อสู้ แต่อาจจะมีถึงครั้งหนึ่งที่
เริ่มจะยอมรับซึ่งตอนนั้นเราก็ต้องพร้อมที่จะ ให้กำลังใจให้ข้อคิด
แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น.
คำถาม: เมื่อเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้
เรารู้ว่าพูดไปจะไม่ดี แต่เราก็พูดไป เราควรวางใจและทำยังไงคะ?
คำตอบ:
ก็อย่าเพิ่งพูดสิ คือ...คือที่ผ่านมาแล้วคุมอารมณ์ไม่ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า
มันต้องเป็นยังงั้นตลอดไป เราก็ต้องพิจารณาให้เห็นโทษ เห็นทุกข์ให้เกิดความละอาย
เกิดความละอายเกิดความกลัว ในบาปกรรม นี่ก็จะเป็นพลัง พลังหิริโอตัปปะ ถ้าเราทบทวนที่เราเคยสร้างปัญหากับคนรอบข้าง
บางทีคนแบบ...บาดหมางไปเลยขาดสัมพันธ์ไปเลย เพราะอารมณ์โกรธของเรา
กี่ครั้งที่เราทำอะไรพูดอะไรให้เราเดือดร้อน เสียใจเหลือเกิน คือเราอย่าไปเก็บกด หยิบขึ้นมาคิดบ่อยๆ
นั้นจะเป็นพลังควบคุมอารมณ์.
นอกจากนั้นการทำสมาธิ
การฝึกจิตในรูปแบบบ่อยๆ ก็คือมีสติในการที่ป้องกันไม่ให้จิตใจหลุดไป
หรือจิตใจหลุดไปแล้ว ดึงกลับมาได้เร็วขึ้นง่ายขึ้น ฉะนั้นการปฏิบัติธรรม
เรื่องที่จะพูด ซ้ำจากเมื่อวานนี้ว่า หนึ่งเรื่องพฤติกรรมก็มีเจตนางดเว้น จากการแสดงออกทางกาย
ทางวาจา โดยมีหิริโอตัปปะอุดหนุน สองการฝึกคุณธรรมที่เป็นปฏิปักษ์โดยตรงกับอารมณ์โกรธ
เช่น สติ ความอดทน เมตตา และสาม โยนิโสมนสิการ
การคิดการพิจารณา โดยเฉพาะในโทษของความโกรธ อานิสงส์ของความไม่โกรธ เป็นต้น.
คำถาม:
เรื่องในอดีตเป็นเรื่องที่ชอบซ้ำทางใจออกมาให้นึกเรื่อย ๆ เราควรจะทำยังไงคะ?
คำตอบ: ก็เป็นกรรมเก่านะ
ความจำเก่าๆก็เป็นกรรมเก่า ก็เหมือนกรรมเก่าทั่วไป
ถ้าเราทำตามเราก็ปรุงแต่งตาม มันก็เติมเชื้อของมัน แล้วก็เป็นการสร้างกรรมใหม่เสริมกรรมเก่า
แต่ถ้ากรรมเก่าเกิดขึ้นก็รู้ สักแต่ว่ากรรมเก่าคือความจำ ที่เป็นechoของเก่า ผุดขึ้นมาเรารับรู้รับทราบ ไม่สนใจมันไม่ยินดีกับมัน
ไม่ยินร้ายกับมัน อ๋อ เรื่องของมันเอง มันก็ค่อยๆหายไป. ฉะนั้นไอ้ที่มันไม่หายเพราะเราเติมเชื้อของมันบ่อยๆ.
คำถาม: คงตอบไม่หมดเน๊าะ กราบนมัสการอาจารย์ นั่งสมาธิจนได้สภาวะว่างจะรู้สึกยังไงคะ?
อยากให้พระอาจารย์บรรยายให้ฟัง.
คำตอบ:
ไม่ต้องสนใจคำนี้มาก อ้า ถ้าเทียบปรัชญาหรือว่าของมหายาน กับคำสอนในพระไตรปิฎก
เกณฑ์ความแตกต่างในมหายาน ความว่างกลายเป็นสภาวะ สภาวะว่าง
แต่ถ้าในทางเถรวาทเรา ของเราใช้คำว่า ว่างจาก แล้วก็ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น
ว่างจากกิเลสตัวนั้น กิเลสตัวนี้ ซึ่งคำว่าว่าง
ในสายเรานี้ก็คือไม่มี ไม่มีสิ่งนั้น ไม่มีสิ่งนี้ อย่างretreat ปีนี้ว่างจากอาจารย์ไฝ เพราะว่าอาจารย์ไฝแขนหักมาไม่ได้ เราก็เลยว่างจากอาจารย์ไฝ
ก็เป็นแค่ ก็ไม่มีอาจารย์ไฝ ว่างจากอาจารย์น้อย
อาจารย์น้อยไปจำพรรษาเชียงใหม่.
เพราะฉะนั้นสภาวะที่จะได้บรรยาย
มันเป็นการบอกว่า สิ่งนั้นไม่ปรากฏ สิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น เท่านั้นเอง.
คำถาม:
บางคนนั่งสมาธิแล้วตัวแกว่ง ตัวโยก ตัวจะยังอยู่ในสมาธิ
มันเกิดขึ้น อะไรล่ะคะ?
คำตอบ: ส่วนมากก็เป็นเรื่องของลมปราณ
ก็เป็นเรื่องของสรีระร่างกาย ก็ไม่เป็นอะไรที่ อ่า น่าเป็นห่วง นอกจากว่าเป็นคนชอบเมารถ
ซึ่งถ้าโยกไปโยกมาจะเกิดภาวะไม่สบาย แต่โดยปกติแล้วไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็น boy ก็แนะนำให้ทำโยคะมากขึ้น ทำชี่กงมากขึ้น ก็จะเป็นเรื่องของพลังในร่างกาย
มันมีติดขัดอะไรบางอย่าง ไม่เป็นไรหรอก.
คำถาม: ฌานสูงๆ
นี่เป็นยังไงหรือคะ? เช่นนั่งสมาธิจนระลึกอดีตชาติได้ ยากเล่าให้พระอาจารย์เล่าประสบการณ์mystical หะหะหะ...ลึกลับประหลาด จากการนั่งสมาธิให้ฟัง...
คำตอบ: อาจารย์ก็ไม่เล่าหรอก
แต่จะอ่านหนังสือเอา หนังสือแบบนี้ก็เยอะ การฝึกจิตก็คือการทำให้จิตละเอียดขึ้นละเอียดขึ้น
สิ่งหยาบก็ ก็ค่อยๆลดน้อยลง แล้วในระดับหนึ่ง สิ่งที่คงค้างละเอียดกลายเป็นของหยาบไปด้วยจิตสูงขึ้น.
เพราะเช่นนั้นในฌานก็...อย่างใน...ปีติและสุข ปีติและสุขได้เกิดขึ้นจากสมาธิถือว่าดี
เพราะจิตมันละเอียดขึ้น แต่พอจิตเข้าสู่ฌาน สู่สมาธิ อีกทีน่ะ...ชาติ...ปีติและสุข
จะรู้สึกว่าหยาบ จิตใจก็ปล่อยๆ ก็เหลือแต่อุเบกขา
ถ้าคนถามอย่างนี้ สมัยก่อนนี้ หลวงปู่ชาไล่ออกจากสำนักนะ ท่านบอกว่า ถามอะไรใน
ถามทำไม ? เรื่องที่ตัวเองยังทำไม่ถึง ให้ถามแต่เรื่องที่กำลังปรากฏในตัวเราดีกว่า
ฉะนั้นถึงจะอาจารย์จะเล่าเรื่องอะไรสูงๆนี้ ก็ได้แค่นั้น แค่ความทรงจำบางอย่าง และมันอยู่ที่เราตั้งใจทำมากกว่า
ไอ้เรื่องได้ ฌาน สมาธิ ได้จะได้ญาณต่างๆ การระลึกชาติ เป็นต้นนี้
ไม่แน่ไม่นอน น้อย และมันไม่ใช่ว่าไปด้วยกัน.
อย่างอืทธิปาฏิหาริย์ทั้งหลายเนี่ยะ
พระสารีบุตรท่านสุดยอด ร฿ปฌาน อรูปฌานอะไรในทุกๆขั้นเนี่ยะ จิตตวิมุตติทุกขั้น
แต่ท่านไม่มีรอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เลย เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลาสนทนากัน
ก็เหมือนกับ ล้อเลียนกัน มีครั้งหนึ่งพระสารีบุตรนั่งสมาธิ สมาธิท่านแน่วแน่มาก
เป็นฌานสูงๆ mystical มาก แล้วมียักษ์ตัวหนึ่ง
เข้ามานี้ ตีหัวพระสารีบุตร พระสารีบุตรท่านก็นั่งต่อ พอออกจากสมาธิ
พระโมคคัลลานี่ เอ๊ะ เพื่อน เมื่อกี้รู้สึกยังงั้ย? ก็ไม่รู้สึก รู้สึกปวดหัวนิดๆ
พระโมคคัลลาก็ชื่นชมเพื่อน โอ้ ทำไมเก่งมาก มียักษ์ตัวใหญ่มาตีหัวก็ยังไม่รู้สึกอะไรเลย
แต่พระสารีบุตรก็กลับชื่นชมพระโมคคัลลา โอ๊ พระโมคคัลลานี้เก่งมาก
พวกยักษ์พวกอมมนุษย์ เห็นหมดเลยเนี่ยะ ผมนี่ไม่เคยเห็นเลย.
อันนี้ก็เป็นตัวอย่างของความเป็นเพื่อน
ของพระสารีบุตร โมคคัลลา ที่น่ารัก และก็เป็นการยืนยันว่า ถึงจะได้สมาธิในชั้นสูง
ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดญาณ เกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ รู้วาระจิตอะไรนี่
เป็นบางท่าน เป็นบางรูปเท่านั้น มันเป็นเรื่องบารมีเก่า.
คำถาม: เนี่ยะ
อืม ตอบคนไหนดี.....คู่หมั้นเป็นคนที่โกหก เป็นนิสัยค่ะ small lie/ big lie/ white lie หนูเคยพยายาม พูดปรับความเข้าใจเรื่องนี้
ให้เค้าสบายใจที่จะพูดความจริง แต่เค้าก็ยังคงพูดเรื่องโกหก
ทั้งกับหนูและกับคนรอบตัวอยู่เรื่อย บางเรื่องหนูพอจะมองข้ามได้
แต่หลายๆครั้งการโกหกของเขา ทำให้หนูไว้ใจเค้าน้อยลง หนูควรจะทำยังไงดีคะ อาจารย์?
พยายามให้เค้าพูดความจริง ไม่พูดเท็จ ทำยังไง หากเราปล่อยวาง ทำไม่รู้ไม่ชี้ เลิก.
คำตอบ:
อ่า เรื่อง...ต้องยอมรับว่านิสัยโกหกเนี่ยะ หลายคนนี้มันเกิดตั้งแต่เด็กเล็กเลย
มันเป็นนิสัยที่แก้ยาก ถ้า...ถ้าเด็กอยู่ในครอบครัวที่ไม่ปลอดภัย และบางทีเด็กก็ติดโกหกเพื่อเอาตัวรอด
มันจะทำให้รู้สึกมั่นคงปลอดภัย คือแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่บางทีก็ต้องเห็นอกเห็นใจเค้า
ว่าเป็นนิสัยที่...ว่าตั้งใจนะ เพราะว่านิสัยมันเป็นเองตั้งแต่เล็กเลย ยังไงก็ตามก็เป็นสิ่งที่ปรับได้
แต่ต้องใช้เวลา มันอยู่ที่...สำคัญคือเค้าเองรู้สึกเป็นมลทิน รู้สึกเป็นปัญหามั้ย?
เค้าอยากจะแก้ไขตัวเองในเรื่องนี้มั้ย? เค้าก็ยอมรับ แต่ อ่า โทษที่สำคัญก็อย่างที่ผู้ถาม
ก็ถ้าคนโกหกแล้วไว้ใจไม่ได้ แล้วเราก็เครียด ใช่มั้ย? ว่า ว่า ทุกครั้ง มันจริงหรือไม่จริง
ใช่มั้ย?
คือการที่เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
จะเป็นคู่ครอง จะเป็นครอบครัว หรือในชุมชนน่ะ อ่า สิ่งที่จะเป็นเครื่องรับประกันความสุข
ความสบายใจ คือความไว้วางใจซ่งกันละกัน ถ้าเราไว้วางใจกันไม่ได้ มันสุขได้ยาก
และปัญหามันก็ต้องเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็คงอยู่ที่ผู้ถาม
จะต้องไปตัดสินว่า...แต่ขอให้ทราบว่า ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ไปโกหกจะไม่ใช่เรื่องสำคัญเสมอไป แต่การที่เราไว้ใจคำพูดของคนใกล้ชิด
มันจะเป็นปัญหามากในอนาคต งั้นถ้า...มันจะอยู่ที่ว่า
คนนี้เค้ายอมรับและก็อยากปรับปรุงแก้ไขตัวเองมีความจริงใจ มีหิริโอตัปปะในเรื่อง
นี้ มากน้อยแค่ไหน เพราะกิเลสนี้มันจะมี ๒ ชั้น มันคือจะมีกิเลสตัวหนึ่ง
แล้วก็มีทิฐิมานะ ที่จะแบบ...เป็นข้ออ้าง หรือเหตุผลสนับสนุน
อย่างดูเรื่องการดื่มเหล้าใช่มั้ย การดื่มเหล้าก็อย่างหนึ่ง แต่คนจะต้องหา เอ๊
ฉันอ่านในหนังสือพิมพ์จากเมืองนอกว่า ดื่มเหล้าไสวน์วันละแก้ว
ช่วยให้คสวามดันโลหิตอะไร โอ้ เนี่ยะ จำไว้แม่นเลย อะไรที่มันเป็นเหตุผลสนับสนุนการทำสิ่งที่อยากทำ
พอต่อมาก็มีบทความหนังสือพิมพ์ว่า ไอ้ที่ ที่ว่ากินไวน์ อ่า เหล้าไวน์วันละแก้ว
ช่วยโรคหัวใจ ไม่จริง...ไม่ใช่ ไม่มีใครอ่าน ไม่มีใครจำได้.
ฉะนั้น กิเลสก็ระดับหนึ่ง
แต่ว่าพออยู่กับกิเลส พอใจกับกิเลส คอยหาเหตุผลมาสนับสนุนกิเลสตรงนี้
ที่รู้สึกว่าผิด อันนี้อันตราย เพราะฉะนั้นถ้าคนนี้เค้า เค้าเป็นถึงขั้นนี้ ว่ามีเหตุผลอ้างอิง
มีว่า ไม่เป็นปัญหาอะไร ทำไมไปคิดมากอย่างเนี๊ยะ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าระแวง
เป็นสิ่งที่น่าอันตราย.
ถ้าเป็นคู่หมั้น
แล้วก็คิดว่าแต่งงานก็มีลูกยังไง แล้วจะเลี้ยงลูกยัง จะเป็น...เลี้ยงลูกให้เป็นคนโกหก
หรือเป็นคนพูดความจริง?
คำถาม:
คำสุดท้ายแล้วเนี่ยะ ในบทธรรมคำสอนมงคลสูตร ทางแห่งความเจริญนั้น มีหนึ่งข้อ
เกี่ยวกับการมีเพื่อน มิตรสหายที่ดี คำถาม ทำยังไงถึงมีเพื่อนที่ดี
และจริงใจกับเราคะ? คือเราต้องปรับนิสัยเรา หรือการมีเพื่อนที่ดีนั้น เป็นอะไรที่เกี่ยวกับการทำบุญร่วมกันจากชาติก่อนอย่างเดียวคะ?
ขอพระอาจารย์แนะนำ.
คำตอบ: คงไม่...คือกลับมา
๒ ข้อที่เป็นหลักใหญ่ ศีลเสมอกัน ทิฏฐิเสมอกัน อันนี้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล
พุทธองค์ก็ตรัสในเรื่องนี้ คนจะอยู่ด้วยกันอย่างสมานสามัคคี อย่างรักกัน ไม่ว่าผู้ครองเรือน
ไม่ว่าพระสงฆ์ ๒ ข้อเนี่ยะ ศีลเสมอกัน ถ้าเป็นกรณีของโยมนี้ต้อง ศีล
๕ เสมอกัน ถ้าศีลไม่เสมอกัน ฝ่ายหนึ่งก็รักษา
ฝ่ายหนึ่งไม่รักษาในที่สุดแล้วมันก็ต้องมีปัญหา อย่างน้อยก็จะไม่สนิทกัน ข้อที่สอง
คือทิฏฐิ เสมอกัน นี่ก็คือเรื่องของเป้าหมายชีวิต และความเข้าใจว่า อะไรดี อะไรไม่ดี
อะไรควรอะไรไม่ควร อะไรเหมาะสมอะไรไม่เหมาะสม นี้ต้องสอดคล้องกัน พอสมควร value ต้องสอดคล้องกัน ฉะนั้นเพท่อนที่ดีมีอยู่
แต่หาเพื่อนที่ อ่า มีศีลเสมอกัน ทิฏฐิเสมอกัน ที่สำคัญ เราเองก็พยายามเป็นเพื่อนที่ดี
ถ้าเราเป็นเพื่อนที่ดี ก็หวังว่าก็จะดึงดูด คนที่คิดเหมือนกัน
ก็อยากเป็นเพื่อนที่ดีบ้าง ที่เกี่ยวกับการทำบุญร่วมกันจากชาติก่อน เราก็ไม่มีทางรู้ได้นะ
เป็นได้ แต่จะไม่ใช่เสมอไป.
จบ....ในวันนี้.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น