หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2563

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (1)

 

 

บรรพที่ หนึ่ง

ดูน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

    ตอนเริ่มต้นนั้นเป็นเวลาสำหรับการเอาใจใส่อย่างละเอียดอ่อนมากที่สุดว่าการสมดุลย์ทั้งหลายนั้นถูกต้อง. สิ่งนี้บรรดาภคนีแห่ง เบเน เกสเสอริต ต่างรู้กันดี.  การเริ่มต้นที่จะศึกษาของคุณในเรื่องชีวิตของ มวดดิบ, นั้น, พึงระมัดระวังว่าอย่างแรกคุณต้องวางตำแหน่งของเขาที่ในเวลาของเขา: กำเนิดในปีที่ 57 แห่งจักรพรรดิปาดิชาห์, ชาดดัมที่สี่. และระมัดระวังเป็นพิเศษมากที่สุดว่าคุณได้กำหนดตำแหน่ง มวดดิบ ในสถานที่ของเขา: ดาวเคราะห์อาร์ราคิส. อย่าได้ถูกลวงหลอกด้วยความจริงที่ว่าเขาถือกำเนิดบนดาว คาลาดาน และอาศัยสิบห้าปีแรกของเขาที่นั่น. อาร์ราคิส, ดาวเคราะห์ที่รู้จักกันในนามว่า ดูน, คือสถานที่ของเขาชั่วนิรันดร์.

- จาก “คู่มือ มวดดิบ” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

 

       ในสัปดาห์ก่อนการเดินทางของพวกเขาไปยัง อาร์ราคิส, เมื่อบรรดาความเร่งด่วนสุดท้ายได้มาถึงจุดตื่นตระหนกอันทนทานมิได้, และแม่มดชราก็มาเพื่อเยี่ยมเยียนมารดาของเด็กชายผู้นั้น, พอล.

       เป็นค่ำคืนอบอุ่นที่ในปราสาทคาลาดาน, และเสาโบราณศิลาที่ได้รับใช้ตระกูลอะไทรดิสเป็นบ้านมายี่สิบหกชั่วรุ่นค้ำหนุนความรู้สึกเหงื่อเย็นชุ่มที่มันได้มาก่อนการเปลี่ยนแปลงนสภาพอากาศ.

       หญิงชรานั้นถูกปล่อยให้เข้ามาข้างในทางประตูด้านข้างลงมาตามช่องทางเดินหลังคาโค้งผ่านห้องของ พอล และเธอถูกอนุญาตให้แอบมองเข้าไปดูเขาชั่วขณะหนึ่งยังที่ที่เขานอนอยู่บนเตียง.

       ด้วยแสงกึ่งหนึ่งของโคมแขวนลอย, สลัวและห้อยอยู่ใกล้พื้นห้อง, เด็กชายตื่นขึ้นมาสามารถมองเห็นร่างสตรีใหญ่โตอยู่ที่ประตูห้องของเขา, ยืนล้ำหน้ามารดาของเขามาหนึ่งก้าว. หญิงชราคือเงาแม่มด—ผมเหมือนใยแมงมุมถักทอ, คลุมดำมืดรอบร่าง, ดวงตาแวววาวดุจอัญมณี.

       “เขาไม่เล็กสำหรับวัยของเขาในตอนนี้หรือ, เจสสิกา?” หญิงชราถาม. น้ำเสียงของเธอแหบแห้งและแหลมเสียดเหมือนพิณบาลิเซ็ทที่ไม่ได้ตั้งเสียง.

       มารดาของ พอล ตอบในน้ำเสียงคอนทาลโต้นุ่มของเธอ: “ชนอะไทรดิสเป็นที่รู้กันว่าเริ่มต้นช้าในการเติบโตของพวกเขา,ค่ะ, คุณแม่อธิการ....”

       “ดังเช่นที่ฉันก็ได้ยินมา, ดังที่ฉันก็ได้ยินมา,” หญิงชราเอ่ยแหบแห้ง. “กระนั้นเขาก็ถึงสิบห้าแล้วนะ.”

       “ใช่ค่ะ. คุณแม่อธิการ.”

       “เขาตื่นและฟังเราอยู่,” หยิงชราบอก. “จิ้งจอกน้อยเจ้าเล่ห์.” เธอหัวเราะหึหะ. “แต่ราชนิกุลจำเป็นต้องมึความเจ้าเล่ห์. และถ้าเขาคือ ควิสาทซ์ ฮาเดรัค จริง...เอาละ...”

       ภายใต้เงาสลัวแห่งเตียงของเขา, พอล บังคับดวงตาของเขาให้เผยอลืมเพียงเล็กน้อย. รูปไข่นกสองใบเจิดจรัส---ดวงตาของหญิงชรานั้น---ดูเหมือนจะแผ่ขยายออกและเรืองโชติช่วง

เมื่อพวกมันจ้องเข้ามาในดวงตาของเขา.

       “หลับให้สบายเถิด, จิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์,” หญิงชราพูด. “พรุ่งนี้เจ้าจำเป้นต้องใช้สารัตถประโยชน์ทั้งหมดของเจ้าในการพบกับ ก็อม จาบบาร์ ของข้า.”

       และเธอก้จากไป, ดันร่างมารดาของเขาออกไป, ปิดประตูลงด้วยเสียงดังทึบ.

       พอล นอนตื่นอยู่อย่างสงสัยใจ: อะไรคือ ก็อม จาบบาร์ รึ?

       ในบรรดาเรื่องกังวลทั้งหมดในเวลาของการเปลี่ยนแปลงนี้, หญิงชราเป็นสิ่งแปลกที่สุดที่เขาได้เห็น.

       และวิธีที่นางเรียกชื่อมารดาของเขา เจสสิกา เหมือนเด็กสาวใช้คนสามัญแทนที่จะเป็นตามตำแหน่งของเธอ---ท่านผู้หญิงเบเน เกสเสอริต, สนมของดยุคและมารดาของรัชทายาท.

       ก็อม จาบบาร์ เป็นอะไรบางอย่างของ อาร์ราคิส ที่ฉันต้องรู้ก่อนที่เราจะไปยังที่นั่นหรือ? เขาสงสัย.

       เขาเอ่ยปากในคำแปลกประหลาดเหล่านั้นของเธอ: ก็อม จาบบาร์...ควิสาทซ์ ฮาเดอรัค.

       มีอะไรมากมายเหลือเกินที่ต้องเรียนรู้. อาร์ราคิส คงจะเป็นสถานที่ที่แตกต่างไปจาก คาลาดาน เหลือเกิน จนจิตใจของ พอล วนเวียนอยู่กับความรู้ใหม่ๆ. อาร์ราคิส—ดูน—ดาวเคราะห์ทะเลทราย.

       ธูเฟอร์ ฮาวัท, บรมครูแห่งการสังหารของบิดาของเขา, ได้อธิบายถึงมันไว้ว่า: ศัตรูจวบจนตายของพวกเขา, ตระกูลฮาร์คอนเนนส์, ได้อยู่บน อาร์ราคิส มาแปดสิบปี, ครอบครองดาวเคราะห์นี้ในระบอบกึ่ง-ศักดินาภายใต้ บริษัท โชอัม สัญญาในการทำเหมืองเครื่องเทศคนชรา, เมลานจิ์. ตอนนี้ตระกูลฮาร์คอนเนนส์ได้ออกไปเพื่อถูกแทนที่โดยราชสำนักแห่งอะไทรดิสในศักดินาสมบูรณ์—ชัยชนะที่ปรากฏชัดสำหรับ ดยุค เลโท. กระนั้น, ฮาวัท ได้บอกว่า, การปรากฏนี้บรรจุไว้ด้วยภัยอันตรายถึงตายเป็นที่สุด, เพราะ ดยุคเลโท เป็นที่โด่งดังในหมู่มหาราชสำนักแห่ง แลนด์สราอาด.

       “ชายที่โด่งดังมักจะปลุกเร้าความริษยาแห่งความเป็นอิทธิพล,” ฮาวัท ได้พูดไว้.

       อาร์ราคิส—ดูน—ดาวเคราะห์ทะเลทราย.

       พอล หลับใหลสู่ความฝันของถ้ำอาร์ราคีน, ผู้คนเงียบงันรายล้อมรอบตัวเขาเคลื่อนไหวไปในแสงสลัวของลูกทรงกลมเรืองแสง. มันนิ่งสงบที่นั่นและเหมือนดั่งเป็นวิหารขณะที่เขาฟังเสียงแผ่วเบา---เสียงน้ำหยด-ติ้ก-ติ้ก. แม้กระทั่งขณะที่เขาอยู่ในความฝัน, พอล รู้ว่าเขาจะจำมันได้เมื่อตอนที่ตื่นขึ้น. เขามักจะจำได้ถึงความฝันที่คาดการณ์พยากรณ์เอาไว้.

       ความฝันเลือนหายไป.

       พอล ตื่นขึ้นที่จะรู้สึกว่าตนเองอยู่ในความอบอุ่นของเตียงของเขา—กำลังคิด...กำลังคิด. โลกแห่งคาลาดานนี้, ปราศจากเพื่อนเล่นหรือสหายในวัยเดียวกันกับเขา, บางทีไม่ควรได้รับความโศกเศร้าในการอำลา. ดร.หยู, ครูของเขา, ได้พูดเป็นนัยว่าระบบแบ่งชั้นวรรณะไม่ได้ปกป้องรุนแรงนักที่บน อาร์ราคิส. ดาวเคราะห์นั้นให้ที่กำบังแก่ผู้คนที่อาศัยตามขอบริมขอบทะเลทรายโดยปราศจาก คาอิ หรือ บาชาร์ ที่จะบัญชาการพวกเขา: ผู้คนเร่ร่อนตามทะเลทรายถูกเรียกว่าชน เฟรเมน, ไม่ได้รับการบันทึกเป็นประชากรใดๆของ สำมะโนแห่งจักรวรรดิ.

       อาร์ราคิส—ดูน—ดาวเคราะห์ทะเลทราย.

       พอล รู้สึกถึงแรงเครียดของตนเอง, ตัดสินใจที่จะฝึกฝนหนึ่งในบทเรียนเรื่อง จิต-กาย ที่มารดาของเขาได้สอนเขาไว้. หายใจอย่างเร็วสามครั้งกระตุ้นการตอบสนอง: เขาตกลงไปสู่ภาวะลอยฟ่องในความตระหนักรู้...เพ่งสมาธิที่สติสัมปชัญญะ...ที่จะได้รับรู้โดยการเลือก...เลือดอิ่มเอิบและเลื่อนไหลท่วมท้นไปเต็มเกินทุกภาคส่วน...คนเราจะไม่อาจได้มาซึ่ง อิสรภาพ-อาหาร-ปลอดภัย ด้วยสัญชาตญานตามลำพัง...การตระหนักรู้ของสัตว์ไม่ใช่ขยายออกเลยไปชั่วขณะที่ได้ถูกให้มาหรือไม่เช่นความคิดที่ว่าเหยื่อของมันอาจจะกลายเป็นสูญพันธุ์...สัตว์ทำลายและไม่ได้ผลิตสร้าง...สัตว์พึงพอใจที่ยังคงอยู่ใกล้กับระดับความรู้สึกต่อการสัมผัสทั้งหลายและหลีกเลี่ยงผัสสะของการหยั่งรู้...มนุษย์ต้องการตารางพื้นหลังผ่านที่ซึ่งจะเห็นจักรวาลของเขา...เพ่งจิตสำนึกโดยการเลือก, รูปทรงเหล่านี้เป็นตารางของเจ้า...บูรณภาพทั้งร่างตามติดเลือด-ประสาทที่ไหลตามการตื่นรู้ลึกที่สุดของซึ่งเซลล์ต้องการ...สิ่งทั้งหมด/เซลล์ทั้งหลาย/เป็นอนัตตา...ดิ้นรนเพื่อความยืนยงภายใน...

       ท่วมท้นแล้วและท่วมท้นและท่วมท้วนภายในการลอยล่องของความตื่นรู้ของ พอล ที่บทเรียนได้ม้วนผ่านไป.

       เมื่ออรุณรุ่งแตะที่ม่านหน้าต่างห้องของ พอลด้วยแสงสว่างสีเหลือง, เขารู้สึกถึงมันได้ผ่านหนังตาที่ยังปิดสนิท, เปิดพวกมันออก, ได้ยินในยามนั้นในเสียงวุ่นวายและกระวีกระวาดในปราสาท, ได้เห็นลำแสงรูปแบบที่คุ้นเคยของเพานห้องของเขา.

       ประตูโถงเปิดออกและมารดาของเขามองผ่านเข้ามา, ผมเหมือนสีบรอนซ์เทารวบมัดเอาไว้ด้วยริบบิ้นสีดำที่มงกุฏ, ใบหน้ารูปไข่ของเธอไม่แสดงอารมณ์ใดและดวงตาสีเขียวของเธอจ้องมองมาอย่างเคร่งขรึม.

       “ลูกตื่นแล้วสินะ,” เธอพูด. “ลูกหลับดีไหม?”

       “ครับ.”

       เขาศึกษาร่างสูงของเธอ, เห็นประกายของความตึงเครียดในบ่าของเธอยามที่เธอเลือกเสื้อผ้าให้กับเขาจากราวแขวนในตู้. ผู้อื่นอาจจะพลาดไม่สังเกตเห็นได้ในความตึงเครียดนี้, แต่เธอได้ฝึกฝนเขามาใน  วิถีของ เบเน เกสเสอริท---ในการสังเกตรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ. เธอได้หันมา, ถือแจ็คเก็ตกึ่งทางการสำหรับเขา. มันมีตรายอดเหยี่ยวอาไทรเดส อยู่เหนือกระเป๋าหน้าอก.

       “เร็วเข้าและแต่งตัวเถิด,” เธอบอก. “ท่านแม่อธิการกำลังรอคอยอยู่.”

       “ผมฝันถึงเธอครั้งหนึ่ง, “พอล บอก. “เธอเป็นใครรึ?”

       “ท่านเป็นครูของแม่ที่โรงเรียนเบเน เกสเสอริท. ตอนนี้, เธอเป็น สัจวจนกรของจักรพรรดิ. และ พอล....” เธอลังเล. “ลูกต้องบอกเธอเกี่ยวกับความฝันของลูก.”

       “ผมจะบอก. เธอคอเหตุผลที่เราได้ อาร์ระคิส หรือ?

       “เราไม่ได้ ได้ อาร์ระคิส.” เจสสิกา ปัดฝุ่นละอองออกจากขากางเกงทั้งสองข้าง, แขวนมันกับเสื้อแจ็คเก็ตไว้บนขาตั้งเครื่องแต่งกายข้างเตียงของเขา. “อย่าให้ท่านแม่อธิการต้องคอยล่ะ.”

       พอล ลุกขึ้นนั่ง, กอดเข่าของเขา. “อะไรคือ กอม จับบาร์ หรือครับ?

       อีกครั้ง, การฝึกฝนที่เธอได้ให้แก่เขามาได้เปิดเผยเธอในการลังเลที่เกือบมองไม่เห็นได้., การทรยศของประสาทที่เขารู้สึกได้ว่าคือความกลัว.

       เจสสิกา เดินข้ามห้องไปยังหน้าต่าง, เหวี่ยงเปิดม่านบังออกกว้าง, จ้องมองข้ามแม่น้ำที่ปลูกสวนผลไม้เลาะเรียงไกลออกไปสู่ภูเขาสยูบิ. “ลูกจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ...กอม จับบาร์ ในเร็วไวนี้อย่างเพียงพอแน่.”

       เขาได้ยินความกลัวอยู่ในน้ำเสียงของเธอและสงสัยในมัน.

       เจสสิกา พูดโดยปราศจากการหันกลับมา. “ท่านแม่อธิการ กำลังรอคอยอยู่ในห้องยามเช้าของแม่. ได้โปรดรีบด้วย.”

      

       แม่อธิการ ไกอัส เฮเลน โมฮิอัม นั่งอยู่ที่ในเก้าอี้ปูพรมผืนมองดูมารดาและบุตรชายเข้ามา. หน้าต่างทั้งหลายบนแต่ละด้านของนางปรากฏให้เห็นภาพของคุ้งโค้งด้านทิศใต้ของแม่น้ำและทุ่งเกษตรเขียวขจีของทรัพย์สินครอบครองของตระกูลอารืไทรดิส, แต่แม่อธิการเมินเฉยต่อทิวทัศน์นั้น. เธอรู้สึกได้ถึงอายุของตนเมื่อเช้านี้, มากกว่าความฉุนเฉียวเล็กน้อย. นางโทษว่าเป็นเพราะการเดินทางในอวกาศและการสมาคมกับสมาคมการอวกาศ สเปซ กิลด์ ที่น่ารังเกียจและวิธีลับทั้งหลายของมัน. แต่ที่นี่คือภารกิจที่ต้องการความใส่ใจเป็นการส่วนตัวจาก เบเน เกสเสอริท – ด้วย-การเห็น. แม้กระทั่งสัจวจนกรขององค์จักรพรรดิปาดิชาห์ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงความรับผิดชอบนี้ได้เมื่อหน้าที่เรียกหามาถึง.

       เวรเลยยัยเจสสิกานั่น! แม่อธิการ คิด. ถ้าเพียงแค่หล่อนจะให้กำเนิดแก่เราเป็นเด็กผู้หญิงตามที่หล่อนได้รับคำสั่งให้ทำเท่านั้นเอง!

       เจสสิกา หยุดลงสามก้าวจากเก้าอี้นั้น, ย่อลงถอนสายบัวเล็กน้อย, กรีดมือซ้ายอย่างนุ่มนวลไปตามเส้นสายของกระโปรงเธอ. พอล ให้การคำนับสั้นๆตามที่ปรมาจารย์เต้นรำของเขาได้สอนมา—อันที่ใช้ในการ “เมื่อสงสัยในสถานะของอีกคน.”

       ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยในการทักทายของ พอล ไม่ได้สูญพ้นไปกับแม่อธิการ. เธอบอก; “เขาเป็นคนช่างระแวดระวังนะ, เจสสิกา.”

       มือของ เจสสิกา ไปที่ไหล่ของ พอล, กุมแน่นอยู่ตรงนั้น. จากการเต้นของหัวใจ, ชีพจรความกลัวผ่านมายังฝ่ามือของเธอ. และแล้วเธอก็ได้ตนเองกลับมาอยู่ในการควบคุม. “ดังที่เขาได้ถูกสอนมาค่ะ, คุณแม่อธิการ.”

       แม่หวาดกลัวอะไรรึ? พอล สงสัย.

       หญิงชราศึกษา พอล ด้วยผัสสะแวบหนึ่ง; ใบหน้ารูปไข่เหมือนของ เจสสิกา, แต่กระดุกแข็งแรง...ผม; ดำ-ดำยิ่งแต่มีเส้นแซมสีน้ำตาลของตาทวดทางมารดาผู้ที่มิอาจบ่งบอกนามได้, และที่บางผอมเรียวนั่น, จมูกที่เชิดวางปึ่งนั่น; เข้ากันกับรูปทรงของดวงตาสีเขียวที่จ้องเขม็ง: เหมือน ดยุคเฒ่า, ปู่ทวดด้านบิดาผู้ที่วายชนม์ไปแล้ว.

       บัดนี้, มีชายคนหนึ่งผู้ชื่นชมในอำนาจของ บราวูรา---กระทั่งในความตาย, แม่อธิการคิด.

       “การสอนนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง,” เธอพูด, “ส่วนปรุงประกอบพื้นฐานเป็นอีกอันหนึ่ง.  เราจะได้เห็นกัน.”  ดวงตาชราพุ่งเหลือบมองอย่างแรงกล้าไปที่ เจสสิกา.  “ปล่อยเราไว้.  ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าฝึกฝนสมาธิแห่งสันตินี้.”

       เจสสิกา เอามือของเธอออกจากไหล่ของ พอล. “ท่านแม่อธิการ, ข้า ---“

       “เจสสิกา, เจ้ารู้ว่ามันต้องเรียบร้อย.”

       พอล เงยหน้าขึ้นมองมารดาของเขา, ประหลาดใจ.

       เจสสิกา หยัดร่างขึ้น. “ค่ะ...แน่นอน.”

       พอล มองกลับไปที่แม่อธิการ. ความสุภาพและความตื่นกลัวอย่างชัดแจ้งของมารดาของเขาที่มีต่อหญิงชราผู้นี้เป็นเหตุให้ระมัดระวัง.  กระนั้นเขาก็รู้สึกโกรธอย่างเข้าใจได้ชัดที่ความหวาดกลัวนั้นซึ่งเขาสัมผัสรังสีที่ออกมาจากมารดาของเขาได้.

       “พอล...” เจสสิกาสูดหายใจลึก. “...การทดสอบที่ลูกจะได้รับนี้...มันสำคัญต่อแม่มาก.”

       “ทดสอบรึ?” เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ.

       “จำเอาไว้ว่าลูกเป็นบุตรชายของ ดยุค,” เจสสิกา บอก. เธอหันและก้าวย่างออกไปจากห้องในท่ามกลางเสียงแซ่ส่ายของกระโปรง. ประตูถูกปิดลงอย่างหนักแน่นตามหลังเธอ.

       พอล หันหน้ามายังหญิงชรา, ดึงรั้งความโกรธให้เข้าที่.  “ผู้ใดยังจะบอกอนุญาตให้ท่านผู้หญิงเจสสิกาออกไปราวกับว่าเธอเป็นหญิงรับใช้ได้หรือ?”

       รอยยิ้มวาบขึ้นที่มุมปากยับย่นของหญิงชรา. “ท่านผู้หญิงเจสสิกานั้น เคยเป็นสาวรับใช้ของข้า, พ่อหนุ่ม, มาสิบสี่ปีที่โรงเรียน.” เธอพยักหน้า. “และเป็นอย่างดีคนหนึ่ง, ด้วย.  ทีนี้, เจ้าเข้ามานี่สิ.”

       คำสั่งนั้นหวดบัญชาออกมาที่เขา. พอล พบว่าตนเองเชื่อฟังไปก่อนที่เขาจะสามารถคิดถึงเรื่องนี้ได้. การใช้วจนะกับฉัน, เขาคิด. เขาหยุดที่เธอชี้บอก, ยืนอยู่ข้างเข่าของเธอ.

       “เห็นนี่ไหม?” เธอถาม. จากม้วนชุดคลุมของเธอ, เธอยกก้อนลูกบาศก์โลหะสีเขียวราวสิบห้าเซนติเมตรในแต่ละด้านขึ้นมา. เธอพลิกมันและ พอล เห็นด้านหนึ่งเปิดออก—ดำและน่ากลัวอย่างพิกล.  ไม่มีแสงแทงสอดเข้าไปได้ในความมืดที่เปิดอยู่นั้น.

       “เอามือขวาของเจ้าเข้าไปในกล่องนี้,” เธอบอก.

       ความกลัวยิงผ่าน พอล. เขาเริ่มถอยหนี, แต่หญิงชราพูด; “นี่คือวิธีที่เจ้าเชื่อฟังตามที่มารดาของเจ้าบอกหรือ?”

       เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงตาเจิดจรัสดุวิหคนั้น.

       อย่างช้าๆ, รู้สึกถึงแรงบีบบังคับพันธะและไม่สามารถยับยั้งพวกมันได้, พอล เอามือของเขาเข้าไปในกล่อง. เขารู้สึกในทีแรกสัมผัสถึงความเยือกเย็นเมื่อความดำมืดนั้นปิดลงรอบมือของเขา, แล้วเป็นโลหะเรียบลื่นกระทบนิ้วมือของเขาและแทงเบาๆราวกับมือของเขาได้ง่วงงุนหลับใหล.

       ท่าทีดุจสัตว์ร้ายเติมเต็มในรูปพรรณที่ปรากฏของหญิงชรา. เธอยกมือขวาของเธอขึ้นออกไปจากกล่องและวางมือของเธอใกล้ชิดกับลำคอของ พอล. เขาเห็นประกายวาบของโลหะที่นั่นและเริ่มที่จะหันไปหา.

       “หยุด!” เธอตวาดเสียงแหลม.

       ใช้วจนะอีกแล้ว! เขาเหวี่ยงความสนใจของตนกลับมาที่ใบหน้าของเธอ.

       “ที่ฉันถืออยู่ที่คอของเจ้าคือ ก็อม จาบบาร์,” เธอบอก. “ก็อม จาบบาร์, ศัตรูเหนือชั้น. มันเป็นเข็มด้วยหยดของยาพิษมีอยู่บนปลายของมัน. อ้ะ-อ้า! อย่าดึงหนีไม่เช่นนั้นเจ้าจะรู้สึกได้ถึงยาพิษนั้น.”

       พอล พยายามจะกลืนน้ำลายลงไปในลำคอที่แห้งผาก.  เขาไม่สามารถเพ่งความสนใจของเขาไปจากใบหน้ายับย่นนั้น, ดวงตาที่แวววาว, เหงือกซีดที่ห่อหุ้มฟันโลหะสีเงินที่เป็นประกายวาบยามที่เธอพูด.

       “บุตรของดยุ๊ค ต้อง รู้เกี่ยวกับยาพิษ,” เธอพูด. “มันเป็นวิถีของยุคสมัยเรา, เอ๋? มัสกี้, ถูกใช้เป็นยาพิษในเครื่องดื่มของเจ้า. ออมัส, ถูกใช้ในอาหารของเจ้า.  อันที่รวดเร็วและอันที่ช้าและอันที่อยู่ระหว่างนั้น. นี่เป็นอันใหม่สำหรับเจ้า: ก็อม จาบบาร์. มันฆ่าแต่พวกสัตว์.”

       ความหยิ่งเข้ามาอยู่เหนือความกลัวของ พอล.  “เจ้ากล้าเอ่ยนัยยะว่าบุตรของดยุ๊คคือสัตว์หรือ?” เขาสั่งถาม.

       “เอาเป็นว่าฉันบอกนัยยะว่าเจ้าอาจจะเป็นมนุษย์,” เธอพูด. “นิ่งไว้! ฉันเตือนเจ้าว่าอย่าได้พยายามกระตุกมันหนีออกมา. ฉันแก่แล้ว, แต่มือของฉันสามารถขับเข็มนี้เข้าไปในลำคอของเจ้าก่อนที่เจ้าจะหลบหนีฉันไปได้แน่.”

       “เจ้าเป็นใคร?” เขากระซิบถาม. “เจ้าลวงล่อมารดาของข้าให้ปล่อยข้าไว้ตามลำพังกับเจ้าได้อย่างไร? เจ้ามาจากพวกฮาร์คอนเนนส์หรือ?”

       “พวกฮาร์คอนเนนส์รึ? พระเจ้าอวยพรเราเถิด, ไม่! ทีนี้, เงียบซะ.” นิ้วมือแห้งเหี่ยวสัมผัสต้นคอของเขาและเขายังคงมีแรงกระตุ้นอย่างไม่ตั้งใจที่จะกระโจนหนีออกมา.

       “ดี, “ เธอพูด. “เจ้าผ่านการทดสอบอันดับแรก. ทีนี้, นี่คือหนทางที่เหลือของมัน: ถ้าเจ้าถอนมือออกจากกล่องเจ้าก็ตาย. นี่เป็นเพียงกฏเดียวเท่านั้น. เอามือของเจ้าไว้ในกล่องและก็มีชีวิต. ดึงมันออกมาและก็ตาย.”

       พอล สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อหยุดการสั่นเทาของเขา.  “ถ้าข้าร้องเรียกออกมาก็จะมีคนรับใช้เข้ามาจัดการเจ้าในไม่กี่วินาทีและ เจ้าก็จะตาย.”

       “คนรับใช้พวกนั้นจะไม่ผ่านมารดาของเจ้าที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกประตูนั่นมาได้แน่. พึ่งพาอยู่กับมันเถิด. มารดาของเจ้าได้รอดชีวิตจากการทดลองนี้. ตอนนี้เป็นตาของเจ้าแล้ว. จงมีเกียรติ. เรามักจะจัดให้บริการนี้แก่เด็กผู้ชาย.”

       ความสนใจใคร่รู้ลดทอนความกลัวของ พอล ลงสู่ระดับที่สามารถจัดการได้. เขาได้ยินความสัจในน้ำเสียงของหญิงชรานี้, ไม่ปฏิเสธถึงมัน. ถ้ามารดาของเขาได้ยืนเฝ้าอยู่ที่ข้างนอกนั่น...ถ้านี่เป็นการทดสอบจริง...และไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม, เรารู้ดีว่าเขาได้ถุกติดเข้ามาในมันไปแล้ว, ติดกับด้วยมือที่อยู่ต้นคอของเขา: ก็อม จาบบาร์. เขาหวนนึกไปถึงการตอบสนองจาก ลิตานี่ ต่อ ความกลัว ดังที่มารดาของเขาได้สอนเขาออกมาจากพิธีกรรมของ เบเน เกสเสริท.

       “ฉันต้องไม่กลัว. ความกลัวเป็นฆาตกรต่อจิตใจ. ความกลัว คือความตายเล็กๆที่นำการทำลายสูงสุดมาสู่. ฉันต้องเผชิญหน้ากับความกลีวของฉัน. ฉันจะอนุญาตมันให้ท่วมท้นและผ่านร่างของฉันไป. และเมื่อมันได้ผ่านไปแล้วฉันจะหันดวงตาภายในไปหาเพื่อมองหนทางของมัน. ที่ซึ่งความกลัวได้ผ่านไปจะไม่มีอะไร. คงเหลืออยู่แต่ฉันเท่านั้น.”

       เขารู้สึกความสงบได้หลับคืนมา, พูดขึ้นว่า: “ทำมันต่อไปสิ, หญิงเฒ่า.”

       “หญิงเฒ่า!” เธอตวาด. “เจ้ากล้าหาญมาก, และนั่นไม่อาจปฏิเสธได้. เอาละ, เราจะได้เห็นกัน, พิจ่ะค่ะ.” เธอก้มลงมาใกล้, ลดเสียงลงเกือบจะเป็นกระซิบ. “เจ้าจะรู้สึกเจ็บปวดในมือนี้ภายในกล่อง. เจ็บปวด. แต่! ดึงมือออกมาและข้าจะแตะต้องลำคอของเจ้าด้วย ก็อม จาบบาร์ ของข้า—ความตายนั้นช่างเฉียบพลันเหลือเกินมันเหมือนกับขวานตัดคอคนจามร่วงหล่นลงมา. ดึงมือของเจ้าออกมาและ ก็อม จาบบาร์ จัดการเจ้า, เข้าใจไหม?”

       “อะไรอยู่ข้างในกล่องหรือ?”

       “ความเจ็บปวด.”

       เขารู้สึกถึงความซาบซ่านเพิ่มขึ้นในมือของเขา, กดริมฝีปากของเขาเข้าหากันแน่นขึ้น. นี่เป็นการทดสอบได้อย่างไรกัน? เขาสงสัย. ความซาบซ่านได้กลายเป็นความคัน.

       หญิงชราพูดขึ้น: “เจ้าเคยได้ยินถึงพวกสัตว์กำลังเคี้ยวกัดขาของมันเพื่อหนีจากกับดักไหม? มีกลเม็ดแบบสัตว์เช่นนั้น. มนุษย์จะยังอยู่ในกับดัก, ทนทานต่อความเจ็บปวด, แสร้งทำเป็นตายที่เขาอาจจะได้ฆ่าผู้วางกับดักและย้ายการกำจัดไปยังพวกของเขา.”

       ความคันได้กลายเป็นการไหม้อย่างอ่อนจาง. “ทำไมเจ้าถึงทำเรื่องนี้?” เขาถามสั่ง.

       “เพื่อตัดสินว่าเจ้าเป็นมนุษย์. จงเงียบเถิด.”

       พอล กำมือข้างซ้ายของเขาเป็นหมัดเมื่อความรู้สึกไหม้เผาเพิ่มขึ้นที่มืออีกข้างหนึ่ง. มันกลืนกินอย่างช้าๆ: ความร้อนเหนือความร้อนเหนือความร้อน...เหนือความร้อน. เขารู้สึกเล็บมือที่เป็นอิสระของเขากัดเนื้ออุ้งมือนั้น.  เขาพยายามที่จะงอหงิกนิ้วมือของมือที่ถูกเผาไหม้ แต่ไม่สามารถขยับพวกมันได้.

       “มันไหม้,” เขากระซิบ.

       “เงียบ.”

       ความเจ็บปวดเต้นตุ๊บๆขึ้นมาตามท้องแขนของเขา. เหงื่อผุดออกมาบนหน้าผากของเขา. ทุกเส้นใยได้กรีดร้องออกมาให้ดึงมือนั้นออกมาจากจากหลุมเผาไหม้...แต่...ก็อม จาบบาร์. โดยไม่ต้องหันศีรษะของเขาไป, เขาพยายามที่จะเคลื่อนดวงตาของเขาเพื่อมองเข็มมหาภัยนั่นที่ข้างลำคอของเขา.  เขารู้สึกได้ว่าเขาได้กำลังหายใจหอบเร็ว, จึงพยายามที่จะผ่อนลมหายใจของเขาให้ช้าลงและไม่สามารถทำได้.

       เจ็บปวด!

       โลกของเขาว่างแปล่าจากทุกสิ่งนอกเหนือไปจากว่ามือได้ฝังลงไปในความปวดร้าวแสนสาหัส, ใบหน้าโบราณนั้นห่างไปไม่กี่นิ้วกำลังจ้องมาที่เขา.

       ริมฝีปากของเขาช่างแห้งผากจนยากที่เขาจะแยกมันออกได้.

       การเผาไหม้นั้น! การเผาไหม้นั้น!

       เขาคิดว่าเขาสามารถรู้สึกว่าผิวหนังกำลังม้วนงอดำบนมือที่ปวดร้าวสาหัสนั้น, เนื้อกำลังกรอบเกรียมและหลุดร่วงไปจขนกระทั่งเหลือแต่เถ้าถ่านกระดูกคงเหลืออยู่.

       มันได้หยุดลง!

       ราวกับสวิทช์ได้ปิดมันลง, ความเจ็บปวดหยุด.

       พอล รู้สึกแขนขวาของเขาสั่นเทา, รู้สึกเหงื่ออาบท่วมร่างของเขา.

       “พอแล้ว” หญิงชราพร่ำบ่น. “คุลล์ วาฮัด! ไม่มีเด็กผู้หญิงเคยอดทนต่อนั่นได้มากขนาดนี้. ฉันต้องอยากให้เจ้านั้น้ลมเหลว.” เธอเอนกายกลับไป, ดึงถอน ก็อม จาบบาร์ จากข้างลำคอของเขาออกไป. “เอามือของเจ้าออกจากกล่องได้แล้ว, มนุษย์หนุ่มน้อย, แล้วดูมันสิ.”

       เขาต่อสู้ความสั่นเทาด้วยเจ็บปวดให้ลดลง, จ้องลงไปยังช่องมืดไร้แสงที่ซึ่งมือของเขาดูเหมือนว่ามันยังคงมีความปรารถนาของมันเอง. ความทรงจำถึงการเจ็บปวดอาศัยอยู่ในทุกการเคลื่อนไหว. เหตุผลบอกกับเขาว่าเขาน่าจะดึงเจ้าก้อนเถ้าดำไหม้นั่นออกมาจากกล่อง.

       “ทำมัน!” เธอตวาด.

       เขากระตุกดึงมือของเขาจากกล่อง, จ้องมองมันอย่างประหลาดใจ.  ไม่มีมีสักรอยเดียว.  ไม่มีเครื่องหมายของความปวดร้าวใดบนเนื้อหนัง.  เขายกมือของตนขึ้นมา, พลิกหันมัน, งอเกร็งรู้สึกนิ้วพวกนั้น.

       “ความเจ็บปวดโดยการชักนำของประสาท, “เธอบอก. “ไม่สามารถโอบล้อมสร้างความพิการแก่ศักยภาพทั้งหลายของมนุษย์ได้.  มีพวกผู้ให้ความสวยงามกับความลับของกล่องนี้, ด้วยเช่นกัน.” เธอสอดมันเก็บเข้าไปชุดคลุมพับของเธอ.

       “แต่ความเจ็บปวดนั่น---“  เขาพูด.

       “ความเจ็บปวด” เธอเหน็บ.  “มนุษย์สามารถอยู่เหนือประสาทใดในร่างของตนได้.”

       พอล รู้สึกมือซ้ายของเขากำลังปวด, จึงคลายนิ้วที่กำแน่นนั้นออก, มองดูสี่รอยเลือดที่ซึ่งนิ้วของเขาที่ซึ่งเล็บได้จิกลงไปในฝ่ามือของเขา. เขาทิ้งมือนั้นลงที่ข้างกายของตน, มองดูยังหญิงชรา. “ท่านทำเช่นนี้กับมารดาของข้าครั้งหนึ่งรึ?”

       “เคยร่อนทรายผ่านตะแกรงบ้างไหม?” เธอถาม.

       สัมผัสสะบัดฟาดมาของคำถามของเธอนั้นทำให้จิตใจของเขาสะดุ้งสุดขีดเข้าไปในควงามตระหนักรู้ที่สูงขึ้นกว่า: ทรายผ่านตะแกรงร่อน. เขาพยักรับ.

       “เรา เบเน เกสเสอริต ร่อนตะแกรงผู้คนเพื่อค้นหาพวกมนุษย์.”

       เขายกมือขวาของเขาขึ้น, ตั้งใจมุ่งในความทรงจำของความเจ็บปวด.  “และนั่นคือทั้งหมดที่มันเป็นรึ---แค่ความเจ็บปวด?

       “ฉันได้สังเกตเห็นเจ้าในความเจ็บปวด, พ่อหนุ่ม.  ความเจ็บปวดเป็นแค่แกนของการทดสอบ.  มารดาของเจ้าคงได้บอกแก่เจ้าถึงวิถีของเราแห่งการสังเกต.  ฉันเห็นร่องรอยของการสอนของนางในตัวเจ้า.  การทดสอบของเราเป็นภาวะวิกฤติและการสังเกตเห็น.”

       เขาได้การยืนยันในน้ำเสียงของเธอ, พูดว่า: “มันความสัจจริง!

       เธอจ้องมองเขา.  เขาสัมผัสได้ถึงความสัจจริง! เขาคือผู้นั้นได้ไหม? เขาจะเป็นผู้นั้นได้จริงๆหรือ?  เธอระงับความตื่นเต้นนี้, ตระหนักเตือนตนเอง: “ความหวังบดบังการสังเกตเห็น.”

       “เจ้ารู้ดีเมื่อผู้คนเชื่ออะไรที่พวกเขาพูด,” เธอบอก.

       “ข้ารู้.”

       ความสอดประสานของทักษะถุกยืนยันด้วยการทดสอบซ้ำนี้อยู่ในน้ำเสียงของเขา.  เธอได้ยินพวกมัน, และว่า: “บางทีเจ้าคือ ควิทซาตซ์ ฮาเดอรัค.  นั่งลงสิ, น้องชายน้อย, นี่ที่เท้าของฉัน.”

       “ข้าชอบที่จะยืนมากกว่า.”

       “มารดาของเจ้าเคยนั่งที่เท้าของข้าครั้งหนึ่ง.”

       “ข้าไม่ใช่แม่ของข้า.”

       “เจ้าชังเรานิดหน่อยสินะ, เอ๋?” เธอมองไปยังประตู, ร้องเรียกออกมา: “เจสสิกา!

       ประตูเหกวี่ยงเปิดออกและ เจสสิกา ยืนอยู่ที่นั่นจ้องมองตาเขม็งเข้ามายังในห้อง.  ความเขม็งตึงค่อยผ่อนลงไปเมื่อเธอเห็น พอล.  เธอจัดการให้รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นมาจนได้.

       “เจสสิกา, เจ้าเคยหยุดชังข้าบ้างไหม?” หญิงชราถาม.

       “ข้าทั้งเกลียดและรักท่าน,” เจสสิกา พูด.  “ความชัง---นั่นมาจากความเจ็บปวดที่ฉันไม่มีวันลืมเลือนได้.  ความรัก---นั่น...”

       “แค่ความสัจจริงพื้นฐาน,” หญิงชราพูด, แต่น้ำเสียงของเธอนั้นนุ่มนวล.  “เธออาจเข้ามาได้แล้วตอนนี้, แต่ยังคงเงียบเอาไว้นะ.  ปิดประตูนั่นและคอยดูอย่าให้ใครสักคนเข้ามาแทรกขัดเรา.”

       เจสสิกา ก้าวเข้ามาข้างในห้อง, ปิดประตูและยืนโดยหันหลังไว้กับมัน.  ลูกชายของฉันมีชีวิตอยู่, เธอคิด.  ลูกชายของฉันยังมีชีวิตอยู่และเป็น...มนุษย์.  ฉันรู้ว่าเขาเป็น...แต่...เขามีชีวิตอยู่.  ทีนี้, ฉันสามารถอยู่ต่อไปได้แล้ว.  ประตูรู้สึกแข็งกระด้างและเป็นจริงกับสัมผัสขอิงแผ่นหลังเธอ.  ทุกอย่างในห้องนี้ฉับพลันทันใดและโถมเข้าใส่ผัสสะของเธอ.

       ลูกชายของฉันมีชีวิตอยู่.

       พอล มองยังมารดาของเขา.  เธอพูดความสัจจริง.  เขาอยากจะหลบออกไปตามลำพังและตรึกตรองถึงประสบการณ์นี้, แต่รู้ดีว่าเขาไม่อาจจากไปจนกว่าเขาจะได้รับอนุญาต.  หญิงชราได้มีอำนาจอยู่เหนือเขาแล้ว.  พวกเขาได้พูดความสัจจริง.  มารดาของเขาได้แบกรับผ่านการทดลองนี้มาแล้ว.  ต้องมีเจตจำนงร้ายกาจอยู่ในมัน.....ความเจ็บปวดและความกลัวได้เป็นเรื่องร้ายกาจ.  เขาเข้าใจถึงเจตจำนงอันร้ายกาจนั้น. พวกเขาได้ฝ่าฟันต่อเดิมพันทั้งหมด.  พวกเขาคือความจำเป็นของตนเอง.  พอล รู้สึกว่าเขาได้ติดเชื้อกับเจตจำนงอันร้ายกาจนั้น.  เขายังไม่ได้รู้ว่าเจตจำนงอันร้ายกาจนี้คืออะไร.

       “สักวันหนึ่ง, เจ้าหนุ่ม,” หญิงชราพูด, “เจ้า, เช่นกัน, บางทีอาจจะต้องยืนอยู่ข้างนอกประตูเหมือนเช่นนั้น. มันเป็นมาตรฐานการวัดของการกระทำ.”

       พอล ก้มลงมองดูมือข้างที่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด, แล้วเงยขึ้นมอง แม่อธิการ.  น้ำเสียงของนางในตอนนั้นได้มีอะไรที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆในประสบการณ์ของเขา.  คำพูดเหล่านั้นเป็นโครงร่างภายนอกอยู่ในความปราดเปรื่อง.  มีริมขอบของพวกมัน.  เขารู้สึกว่าคำถามใดก็ตามที่เขาอาจถามนางไปก็จะนำคำตอบที่สามารถยกเขาออกไปจากโลกของกายเนื้อนี้เข้าไปสู่อะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่า.

       “ทำไมท่านถึงต้องทดสอบหาพวกมนุษย์หรือ?” เขาถาม.

       “เพื่อปลดปล่อยเจ้าเป็นอิสระ.”

       “อิสระ?”

       “ครั้งหนึ่งคนเราหันความคิดของเขาไปใคร่ครวญอยู่แต่เครื่องจักรโดยหวังว่าสิ่งนี้จะทำให้พวกเขาเป็นอิสระ.  แต่นั่นเพียงแค่อนุญาตให้ผู้คนอื่นที่มีเครื่องจักรได้กลายเป็นทาสของพวกเขาไป.”

       “สูเจ้าจักต้องไม่สร้างเครื่องจักรขึ้นมาให้คล้ายคลึงจิตใจของคน.” พอล พูดยกอ้าง.

       “ตรงตาม บัตเติลเรียน จิฮาด และ คัมภีร์ไบเบิ้ล โอเรนจิ์ คาธอลิค,” เธอพูด.  “แต่อะไรล่ะที่ อ.ค. ไบเบิ้ล ควรจะได้บอกไว้คือ : สู้เจ้าจักต้องไม่สร้างเครื่องจักรที่ลอกเลียนจิตใจมนุษย์ขึ้นมา. เจ้าได้ศึกษา เมนทาต ที่ได้จัดแจงไว้ให้เจ้าหรือเปล่าล่ะ?”

       “ข้าได้ศึกษา กับ ธูเฟอร์ ฮาวัต.”

       “มหาปฏิวัติ ได้เอาที่ค้ำพยุงไป,” เธอพูด.  “มันบังคับจิตของ มนุษย์ ให้พัฒนาขึ้น.  โรงเรียนทั้งหลายได้เริ่มต้นที่จะฝึกฝนบรรดาความสามารถพิเศษของ มนุษย์.”

       “เช่นโรงเรียน เบเน เกสเสอริต รึ?”

       เธอพยักหน้ารับ.  “เรามีสองผู้รอดชีวิตนำของโรงเรียนโบราณพวกนั้น: เบเน เกสเสอริต และ สมาคมอวกาศ – สเปซ กิลด์.  สมาคม, อย่างที่เราได้คิด, มุ่งเน้นไปเกือบทั้งหมดของคณิตศาสตร์บริสุทธิ์.  เบเน เกสเสอริต แสดงถึงสารัตถะอีกอันหนึ่ง.”

       “การเมือง,” เขาพูด.

       “คุลล์ วาฮาด!” หยิงชราพูด.  เธอส่งชำเลืองดุดันไปยัง เจสสิกา.

       “ข้าไม่ได้บอกแก่เขา, คุณแม่อธิการ,” เจสสิกา บอก.

       แม่อธิการหันความสนใจของนางกลับมายัง พอล.  “เจ้าได้เอ่ยเบาะแสที่พึงจดจำออกมา,” เธอบอก.  “การเมือง จริงแท้. โรงเรียนเบเน เกสเสอริต แรกเริ่มได้ถุกกำกับโดยเหล่าผู้ที่มองเห็นความจำเป็นของสายใยของความต่อเนื่องในกิจการของมนุษย์.  พวกเขาได้มองเห็นว่าไม่อาจจะมีความต่อเนื่องเช่นนั้นได้โดยปราศจากการแยกสายพันธุ์มนุษย์ออกมาจากสายพันธุ์ของสัตว์---เพื่อจุดประสงค์ของการคัดเลือกพันธุ์.”

       คำพูดของหยิงชราได้สูญเสียความแหลมคมพิเศษของพวกมันไปในทันทีสำหรับ พอล. เขาได้รู้สึกต่อต้านรุกเร้าขึ้นเป็นอะไรที่มารดาของเขาได้เรียกว่า สัญชาตญาณถึงความถูกต้อง ของเขา.  มันไม่ใช่ว่าแม่อธิการนี้โกหกต่อเขา.  เธอชัดเลยว่าเชื่อมั่นศรัทธาในอะไรที่เธอพูด.  มันเป็นอะไรบางอย่างที่ลึกลงไปกว่านั้น, อะไรบางอย่าง ผูกติดอยู่กับเจตจำนงอันร้ายกาจของเขา.

       เขาพูด: “แต่มารดาของข้าบอกกับข้าว่าหลายคนของ เบเน เกสเสอริต แห่งโรงเรียนเหล่านั้นไม่รู้ถึงบรรพบุรุษของตน.”

       “สายพันธุกรรมต่างอยู่ในบันทึกของเราเสมอ,” เธอบอก.  “แม่ของเจ้ารู้ดีว่าเธอเป็นที่สืบสกุลของเบเน เกสเสอริต หรือสายพันธุ์ของเธอเป็นที่ยอมรับในตัวมันเอง.”

       “งั้นแล้วทำไมเธอถึงไม่อาจรู้ได้ว่าใครคือพ่อแม่ของเธอล่ะ?”

       “บางคนรู้ได้.....หลายคนไม่.  เราอาจจะ, ตัวอย่างเช่น, ได้ต้องการที่จะคัดพันธุ์เธอไปสู่ญาติที่ใกล้ชิดเพื่อจัดตั้งปมเด่นในบางคุณลักษณะพันธุกรรม.  เรามีเหตุผลอยู่มากมาย.”

       อีกครั้ง, พอล รู้สึกต่อต้านรุกเร้าถึงความถูกต้อง. เขาพูด: “ท่านแบกรับเอาไว้กับตนเองมากไป.”

       แม่อธิการจ้องมองเขา, กังขาใจ: นี่ฉันได้ยินคำวิพากษ์ในน้ำเสียงของเขารึ? “เราแบกภาระหนักเอาไว้.” เธอูด.

       พอล รู้สึกว่าตนเองออกมายิ่งมากและมากขึ้นจากความตื่นตระหนกของการทดสอบนี้.  เขาปรับระดับการจ้องมองขึ้นเสมอกันกับนาง, และพูด: “ท่านบอกว่าข้าบางทีอาจจะเป็น.....ควิซาร์ต ฮาเดอรัค.  นั่นคืออะไร, มนุษย์ ก็อม จับบาร์ รึ?”

       “พอล,” เจสสิกา พูด.  “ลูกต้องไม่ใช้น้ำเสียงเช่นนั้นกับ---“

       “ข้าจะจัดการนี่เอง, เจสสิกา,” หญิงชราพูด.  “ตอนนี้, เจ้าหนุ่ม, เจ้ารู้ถึงเรื่องยา ผู้สัจจะวจนะ ไหม?”

       “ท่านใช้มันเพื่อเพิ่มความสามารถของท่านเพื่อตรวจหาความผิดพร่อง,” เขาบอก.  “มารดาของข้าบอกกับข้าเช่นนั้น.”

       “เจ้าเคยเห็น สภาวะสัจ จริงไหม?”

       เขาสั่นศีรษะของเขา.  “ไม่.”

       “ยานั้นอันตราย,” เธอพูด, “แต่มันให้สัจปัญญา.  เมื่อ ผู้สัจจะวจนะได้รับพรโดยยานั้น, เธอสามารถมองไปหลายที่ในความทรงจำของเธอ---ความทรงจำในกายของเธอ.  เรามองลงไปยังวิถีมากมายเหลือเกินของอดีต.....แต่เป็นแค่วิถีของอิสตรี.”  น้ำเสียงของเธอมีเจือปนความเศร้าปรากฏ.  “กระนั้น, ยังมีที่ที่ไม่เคยมี ผู้สัจจะวจนะ สามารถมองเห็นได้.  เราได้ถูกผลักไสโดยมัน, อย่างตื่นตระหนก.  มันถุกกล่าวเอาไว้ว่าบุรุษจะมาในวันหนึ่งและค้นพบโดยพรของยาด้วยตาในของเขา.  เขาจะมองไปยังที่ซึ่งเราไม่สามารถ---เข้าไปในอดีตทั้งหลายของทั้งอิสตรีและบุรุษ.”

       “ควิทซาร์ต ฮาเดอรัค ของท่านน่ะรึ?”

       “ใช่, ผู้ที่สามารถอยู่ไปในหลายสถานที่ในทันทีนั้น: ควิทซาร์ต ฮาเดอรัค.  บุรุษมากมายได้เคยลองยานี้...มากมายเหลือเกิน, แต่ไม่มีผู้ใดสำเร็จ.”

       “พวกเขาได้ลองและล้มเหลว, ทั้งหมดเลยน่ะหรือ?”

       “โอ้, ไม่.”  เธอสั่นศีรษะของเธอ.  “พวกเขาได้ลองและตายไปทั้งหมด.”

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น