บรรพที่ หนึ่ง
ดูน
ตอนเริ่มต้นนั้นเป็นเวลาสำหรับการเอาใจใส่อย่างละเอียดอ่อนมากที่สุดว่าการสมดุลย์ทั้งหลายนั้นถูกต้อง. สิ่งนี้บรรดาภคนีแห่ง เบเน เกสเสอริต ต่างรู้กันดี. การเริ่มต้นที่จะศึกษาของคุณในเรื่องชีวิตของ
มวด’ดิบ, นั้น,
พึงระมัดระวังว่าอย่างแรกคุณต้องวางตำแหน่งของเขาที่ในเวลาของเขา: กำเนิดในปีที่ 57 แห่งจักรพรรดิปาดิชาห์, ชาดดัมที่สี่.
และระมัดระวังเป็นพิเศษมากที่สุดว่าคุณได้กำหนดตำแหน่ง มวด’ดิบ
ในสถานที่ของเขา: ดาวเคราะห์อาร์ราคิส.
อย่าได้ถูกลวงหลอกด้วยความจริงที่ว่าเขาถือกำเนิดบนดาว คาลาดาน
และอาศัยสิบห้าปีแรกของเขาที่นั่น. อาร์ราคิส, ดาวเคราะห์ที่รู้จักกันในนามว่า
ดูน, คือสถานที่ของเขาชั่วนิรันดร์.
- จาก “คู่มือ มวด’ดิบ” โดย
เจ้าหญิงอีร์อูลาน
ในสัปดาห์ก่อนการเดินทางของพวกเขาไปยัง
อาร์ราคิส, เมื่อบรรดาความเร่งด่วนสุดท้ายได้มาถึงจุดตื่นตระหนกอันทนทานมิได้,
และแม่มดชราก็มาเพื่อเยี่ยมเยียนมารดาของเด็กชายผู้นั้น, พอล.
เป็นค่ำคืนอบอุ่นที่ในปราสาทคาลาดาน,
และเสาโบราณศิลาที่ได้รับใช้ตระกูลอะไทรดิสเป็นบ้านมายี่สิบหกชั่วรุ่นค้ำหนุนความรู้สึกเหงื่อเย็นชุ่มที่มันได้มาก่อนการเปลี่ยนแปลงนสภาพอากาศ.
หญิงชรานั้นถูกปล่อยให้เข้ามาข้างในทางประตูด้านข้างลงมาตามช่องทางเดินหลังคาโค้งผ่านห้องของ
พอล และเธอถูกอนุญาตให้แอบมองเข้าไปดูเขาชั่วขณะหนึ่งยังที่ที่เขานอนอยู่บนเตียง.
ด้วยแสงกึ่งหนึ่งของโคมแขวนลอย,
สลัวและห้อยอยู่ใกล้พื้นห้อง,
เด็กชายตื่นขึ้นมาสามารถมองเห็นร่างสตรีใหญ่โตอยู่ที่ประตูห้องของเขา,
ยืนล้ำหน้ามารดาของเขามาหนึ่งก้าว. หญิงชราคือเงาแม่มด—ผมเหมือนใยแมงมุมถักทอ,
คลุมดำมืดรอบร่าง, ดวงตาแวววาวดุจอัญมณี.
“เขาไม่เล็กสำหรับวัยของเขาในตอนนี้หรือ,
เจสสิกา?” หญิงชราถาม. น้ำเสียงของเธอแหบแห้งและแหลมเสียดเหมือนพิณบาลิเซ็ทที่ไม่ได้ตั้งเสียง.
มารดาของ
พอล ตอบในน้ำเสียงคอนทาลโต้นุ่มของเธอ: “ชนอะไทรดิสเป็นที่รู้กันว่าเริ่มต้นช้าในการเติบโตของพวกเขา,ค่ะ,
คุณแม่อธิการ....”
“ดังเช่นที่ฉันก็ได้ยินมา,
ดังที่ฉันก็ได้ยินมา,” หญิงชราเอ่ยแหบแห้ง. “กระนั้นเขาก็ถึงสิบห้าแล้วนะ.”
“ใช่ค่ะ. คุณแม่อธิการ.”
“เขาตื่นและฟังเราอยู่,”
หยิงชราบอก. “จิ้งจอกน้อยเจ้าเล่ห์.” เธอหัวเราะหึหะ. “แต่ราชนิกุลจำเป็นต้องมึความเจ้าเล่ห์.
และถ้าเขาคือ ควิสาทซ์ ฮาเดรัค จริง...เอาละ...”
ภายใต้เงาสลัวแห่งเตียงของเขา,
พอล บังคับดวงตาของเขาให้เผยอลืมเพียงเล็กน้อย.
รูปไข่นกสองใบเจิดจรัส---ดวงตาของหญิงชรานั้น---ดูเหมือนจะแผ่ขยายออกและเรืองโชติช่วง
เมื่อพวกมันจ้องเข้ามาในดวงตาของเขา.
“หลับให้สบายเถิด,
จิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์,” หญิงชราพูด.
“พรุ่งนี้เจ้าจำเป้นต้องใช้สารัตถประโยชน์ทั้งหมดของเจ้าในการพบกับ ก็อม จาบบาร์
ของข้า.”
และเธอก้จากไป,
ดันร่างมารดาของเขาออกไป, ปิดประตูลงด้วยเสียงดังทึบ.
พอล
นอนตื่นอยู่อย่างสงสัยใจ: อะไรคือ ก็อม จาบบาร์ รึ?
ในบรรดาเรื่องกังวลทั้งหมดในเวลาของการเปลี่ยนแปลงนี้,
หญิงชราเป็นสิ่งแปลกที่สุดที่เขาได้เห็น.
และวิธีที่นางเรียกชื่อมารดาของเขา
เจสสิกา เหมือนเด็กสาวใช้คนสามัญแทนที่จะเป็นตามตำแหน่งของเธอ---ท่านผู้หญิงเบเน
เกสเสอริต, สนมของดยุคและมารดาของรัชทายาท.
ก็อม จาบบาร์
เป็นอะไรบางอย่างของ อาร์ราคิส ที่ฉันต้องรู้ก่อนที่เราจะไปยังที่นั่นหรือ? เขาสงสัย.
เขาเอ่ยปากในคำแปลกประหลาดเหล่านั้นของเธอ: ก็อม
จาบบาร์...ควิสาทซ์ ฮาเดอรัค.
มีอะไรมากมายเหลือเกินที่ต้องเรียนรู้.
อาร์ราคิส คงจะเป็นสถานที่ที่แตกต่างไปจาก คาลาดาน เหลือเกิน จนจิตใจของ พอล
วนเวียนอยู่กับความรู้ใหม่ๆ. อาร์ราคิส—ดูน—ดาวเคราะห์ทะเลทราย.
ธูเฟอร์
ฮาวัท, บรมครูแห่งการสังหารของบิดาของเขา, ได้อธิบายถึงมันไว้ว่า: ศัตรูจวบจนตายของพวกเขา,
ตระกูลฮาร์คอนเนนส์, ได้อยู่บน อาร์ราคิส มาแปดสิบปี, ครอบครองดาวเคราะห์นี้ในระบอบกึ่ง-ศักดินาภายใต้
บริษัท โชอัม สัญญาในการทำเหมืองเครื่องเทศคนชรา, เมลานจิ์.
ตอนนี้ตระกูลฮาร์คอนเนนส์ได้ออกไปเพื่อถูกแทนที่โดยราชสำนักแห่งอะไทรดิสในศักดินาสมบูรณ์—ชัยชนะที่ปรากฏชัดสำหรับ
ดยุค เลโท. กระนั้น, ฮาวัท ได้บอกว่า, การปรากฏนี้บรรจุไว้ด้วยภัยอันตรายถึงตายเป็นที่สุด,
เพราะ ดยุคเลโท เป็นที่โด่งดังในหมู่มหาราชสำนักแห่ง แลนด์สราอาด.
“ชายที่โด่งดังมักจะปลุกเร้าความริษยาแห่งความเป็นอิทธิพล,”
ฮาวัท ได้พูดไว้.
อาร์ราคิส—ดูน—ดาวเคราะห์ทะเลทราย.
พอล
หลับใหลสู่ความฝันของถ้ำอาร์ราคีน, ผู้คนเงียบงันรายล้อมรอบตัวเขาเคลื่อนไหวไปในแสงสลัวของลูกทรงกลมเรืองแสง.
มันนิ่งสงบที่นั่นและเหมือนดั่งเป็นวิหารขณะที่เขาฟังเสียงแผ่วเบา---เสียงน้ำหยด-ติ้ก-ติ้ก.
แม้กระทั่งขณะที่เขาอยู่ในความฝัน, พอล รู้ว่าเขาจะจำมันได้เมื่อตอนที่ตื่นขึ้น.
เขามักจะจำได้ถึงความฝันที่คาดการณ์พยากรณ์เอาไว้.
ความฝันเลือนหายไป.
พอล
ตื่นขึ้นที่จะรู้สึกว่าตนเองอยู่ในความอบอุ่นของเตียงของเขา—กำลังคิด...กำลังคิด.
โลกแห่งคาลาดานนี้, ปราศจากเพื่อนเล่นหรือสหายในวัยเดียวกันกับเขา,
บางทีไม่ควรได้รับความโศกเศร้าในการอำลา. ดร.หยู, ครูของเขา,
ได้พูดเป็นนัยว่าระบบแบ่งชั้นวรรณะไม่ได้ปกป้องรุนแรงนักที่บน อาร์ราคิส.
ดาวเคราะห์นั้นให้ที่กำบังแก่ผู้คนที่อาศัยตามขอบริมขอบทะเลทรายโดยปราศจาก คาอิ
หรือ บาชาร์ ที่จะบัญชาการพวกเขา: ผู้คนเร่ร่อนตามทะเลทรายถูกเรียกว่าชน เฟรเมน,
ไม่ได้รับการบันทึกเป็นประชากรใดๆของ สำมะโนแห่งจักรวรรดิ.
อาร์ราคิส—ดูน—ดาวเคราะห์ทะเลทราย.
พอล รู้สึกถึงแรงเครียดของตนเอง,
ตัดสินใจที่จะฝึกฝนหนึ่งในบทเรียนเรื่อง จิต-กาย ที่มารดาของเขาได้สอนเขาไว้.
หายใจอย่างเร็วสามครั้งกระตุ้นการตอบสนอง: เขาตกลงไปสู่ภาวะลอยฟ่องในความตระหนักรู้...เพ่งสมาธิที่สติสัมปชัญญะ...ที่จะได้รับรู้โดยการเลือก...เลือดอิ่มเอิบและเลื่อนไหลท่วมท้นไปเต็มเกินทุกภาคส่วน...คนเราจะไม่อาจได้มาซึ่ง
อิสรภาพ-อาหาร-ปลอดภัย ด้วยสัญชาตญานตามลำพัง...การตระหนักรู้ของสัตว์ไม่ใช่ขยายออกเลยไปชั่วขณะที่ได้ถูกให้มาหรือไม่เช่นความคิดที่ว่าเหยื่อของมันอาจจะกลายเป็นสูญพันธุ์...สัตว์ทำลายและไม่ได้ผลิตสร้าง...สัตว์พึงพอใจที่ยังคงอยู่ใกล้กับระดับความรู้สึกต่อการสัมผัสทั้งหลายและหลีกเลี่ยงผัสสะของการหยั่งรู้...มนุษย์ต้องการตารางพื้นหลังผ่านที่ซึ่งจะเห็นจักรวาลของเขา...เพ่งจิตสำนึกโดยการเลือก,
รูปทรงเหล่านี้เป็นตารางของเจ้า...บูรณภาพทั้งร่างตามติดเลือด-ประสาทที่ไหลตามการตื่นรู้ลึกที่สุดของซึ่งเซลล์ต้องการ...สิ่งทั้งหมด/เซลล์ทั้งหลาย/เป็นอนัตตา...ดิ้นรนเพื่อความยืนยงภายใน...
ท่วมท้นแล้วและท่วมท้นและท่วมท้วนภายในการลอยล่องของความตื่นรู้ของ
พอล ที่บทเรียนได้ม้วนผ่านไป.
เมื่ออรุณรุ่งแตะที่ม่านหน้าต่างห้องของ
พอลด้วยแสงสว่างสีเหลือง, เขารู้สึกถึงมันได้ผ่านหนังตาที่ยังปิดสนิท,
เปิดพวกมันออก, ได้ยินในยามนั้นในเสียงวุ่นวายและกระวีกระวาดในปราสาท, ได้เห็นลำแสงรูปแบบที่คุ้นเคยของเพานห้องของเขา.
ประตูโถงเปิดออกและมารดาของเขามองผ่านเข้ามา,
ผมเหมือนสีบรอนซ์เทารวบมัดเอาไว้ด้วยริบบิ้นสีดำที่มงกุฏ,
ใบหน้ารูปไข่ของเธอไม่แสดงอารมณ์ใดและดวงตาสีเขียวของเธอจ้องมองมาอย่างเคร่งขรึม.
“ลูกตื่นแล้วสินะ,”
เธอพูด. “ลูกหลับดีไหม?”
“ครับ.”
เขาศึกษาร่างสูงของเธอ,
เห็นประกายของความตึงเครียดในบ่าของเธอยามที่เธอเลือกเสื้อผ้าให้กับเขาจากราวแขวนในตู้.
ผู้อื่นอาจจะพลาดไม่สังเกตเห็นได้ในความตึงเครียดนี้, แต่เธอได้ฝึกฝนเขามาใน วิถีของ เบเน
เกสเสอริท---ในการสังเกตรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ. เธอได้หันมา,
ถือแจ็คเก็ตกึ่งทางการสำหรับเขา. มันมีตรายอดเหยี่ยวอาไทรเดส
อยู่เหนือกระเป๋าหน้าอก.
“เร็วเข้าและแต่งตัวเถิด,”
เธอบอก. “ท่านแม่อธิการกำลังรอคอยอยู่.”
“ผมฝันถึงเธอครั้งหนึ่ง,
“พอล บอก. “เธอเป็นใครรึ?”
“ท่านเป็นครูของแม่ที่โรงเรียนเบเน
เกสเสอริท. ตอนนี้, เธอเป็น สัจวจนกรของจักรพรรดิ. และ พอล....” เธอลังเล. “ลูกต้องบอกเธอเกี่ยวกับความฝันของลูก.”
“ผมจะบอก.
เธอคอเหตุผลที่เราได้ อาร์ระคิส หรือ?
“เราไม่ได้
ได้ อาร์ระคิส.” เจสสิกา ปัดฝุ่นละอองออกจากขากางเกงทั้งสองข้าง,
แขวนมันกับเสื้อแจ็คเก็ตไว้บนขาตั้งเครื่องแต่งกายข้างเตียงของเขา. “อย่าให้ท่านแม่อธิการต้องคอยล่ะ.”
พอล
ลุกขึ้นนั่ง, กอดเข่าของเขา. “อะไรคือ กอม จับบาร์ หรือครับ?
อีกครั้ง,
การฝึกฝนที่เธอได้ให้แก่เขามาได้เปิดเผยเธอในการลังเลที่เกือบมองไม่เห็นได้.,
การทรยศของประสาทที่เขารู้สึกได้ว่าคือความกลัว.
เจสสิกา
เดินข้ามห้องไปยังหน้าต่าง, เหวี่ยงเปิดม่านบังออกกว้าง,
จ้องมองข้ามแม่น้ำที่ปลูกสวนผลไม้เลาะเรียงไกลออกไปสู่ภูเขาสยูบิ.
“ลูกจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ...กอม จับบาร์ ในเร็วไวนี้อย่างเพียงพอแน่.”
เขาได้ยินความกลัวอยู่ในน้ำเสียงของเธอและสงสัยในมัน.
เจสสิกา
พูดโดยปราศจากการหันกลับมา. “ท่านแม่อธิการ กำลังรอคอยอยู่ในห้องยามเช้าของแม่.
ได้โปรดรีบด้วย.”
แม่อธิการ
ไกอัส เฮเลน โมฮิอัม
นั่งอยู่ที่ในเก้าอี้ปูพรมผืนมองดูมารดาและบุตรชายเข้ามา. หน้าต่างทั้งหลายบนแต่ละด้านของนางปรากฏให้เห็นภาพของคุ้งโค้งด้านทิศใต้ของแม่น้ำและทุ่งเกษตรเขียวขจีของทรัพย์สินครอบครองของตระกูลอารืไทรดิส,
แต่แม่อธิการเมินเฉยต่อทิวทัศน์นั้น. เธอรู้สึกได้ถึงอายุของตนเมื่อเช้านี้,
มากกว่าความฉุนเฉียวเล็กน้อย.
นางโทษว่าเป็นเพราะการเดินทางในอวกาศและการสมาคมกับสมาคมการอวกาศ สเปซ กิลด์
ที่น่ารังเกียจและวิธีลับทั้งหลายของมัน. แต่ที่นี่คือภารกิจที่ต้องการความใส่ใจเป็นการส่วนตัวจาก
เบเน เกสเสอริท – ด้วย-การเห็น.
แม้กระทั่งสัจวจนกรขององค์จักรพรรดิปาดิชาห์ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงความรับผิดชอบนี้ได้เมื่อหน้าที่เรียกหามาถึง.
เวรเลยยัยเจสสิกานั่น! แม่อธิการ คิด. ถ้าเพียงแค่หล่อนจะให้กำเนิดแก่เราเป็นเด็กผู้หญิงตามที่หล่อนได้รับคำสั่งให้ทำเท่านั้นเอง!
เจสสิกา
หยุดลงสามก้าวจากเก้าอี้นั้น, ย่อลงถอนสายบัวเล็กน้อย, กรีดมือซ้ายอย่างนุ่มนวลไปตามเส้นสายของกระโปรงเธอ.
พอล ให้การคำนับสั้นๆตามที่ปรมาจารย์เต้นรำของเขาได้สอนมา—อันที่ใช้ในการ
“เมื่อสงสัยในสถานะของอีกคน.”
ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยในการทักทายของ
พอล ไม่ได้สูญพ้นไปกับแม่อธิการ. เธอบอก;
“เขาเป็นคนช่างระแวดระวังนะ, เจสสิกา.”
มือของ
เจสสิกา ไปที่ไหล่ของ พอล, กุมแน่นอยู่ตรงนั้น. จากการเต้นของหัวใจ,
ชีพจรความกลัวผ่านมายังฝ่ามือของเธอ. และแล้วเธอก็ได้ตนเองกลับมาอยู่ในการควบคุม.
“ดังที่เขาได้ถูกสอนมาค่ะ, คุณแม่อธิการ.”
แม่หวาดกลัวอะไรรึ?
พอล สงสัย.
หญิงชราศึกษา
พอล ด้วยผัสสะแวบหนึ่ง; ใบหน้ารูปไข่เหมือนของ เจสสิกา, แต่กระดุกแข็งแรง...ผม; ดำ-ดำยิ่งแต่มีเส้นแซมสีน้ำตาลของตาทวดทางมารดาผู้ที่มิอาจบ่งบอกนามได้,
และที่บางผอมเรียวนั่น, จมูกที่เชิดวางปึ่งนั่น;
เข้ากันกับรูปทรงของดวงตาสีเขียวที่จ้องเขม็ง: เหมือน
ดยุคเฒ่า, ปู่ทวดด้านบิดาผู้ที่วายชนม์ไปแล้ว.
บัดนี้,
มีชายคนหนึ่งผู้ชื่นชมในอำนาจของ บราวูรา---กระทั่งในความตาย, แม่อธิการคิด.
“การสอนนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง,”
เธอพูด, “ส่วนปรุงประกอบพื้นฐานเป็นอีกอันหนึ่ง.
เราจะได้เห็นกัน.”
ดวงตาชราพุ่งเหลือบมองอย่างแรงกล้าไปที่ เจสสิกา. “ปล่อยเราไว้.
ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าฝึกฝนสมาธิแห่งสันตินี้.”
เจสสิกา
เอามือของเธอออกจากไหล่ของ พอล. “ท่านแม่อธิการ, ข้า ---“
“เจสสิกา,
เจ้ารู้ว่ามันต้องเรียบร้อย.”
พอล
เงยหน้าขึ้นมองมารดาของเขา, ประหลาดใจ.
เจสสิกา
หยัดร่างขึ้น. “ค่ะ...แน่นอน.”
พอล
มองกลับไปที่แม่อธิการ.
ความสุภาพและความตื่นกลัวอย่างชัดแจ้งของมารดาของเขาที่มีต่อหญิงชราผู้นี้เป็นเหตุให้ระมัดระวัง. กระนั้นเขาก็รู้สึกโกรธอย่างเข้าใจได้ชัดที่ความหวาดกลัวนั้นซึ่งเขาสัมผัสรังสีที่ออกมาจากมารดาของเขาได้.
“พอล...”
เจสสิกาสูดหายใจลึก. “...การทดสอบที่ลูกจะได้รับนี้...มันสำคัญต่อแม่มาก.”
“ทดสอบรึ?”
เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ.
“จำเอาไว้ว่าลูกเป็นบุตรชายของ
ดยุค,” เจสสิกา บอก. เธอหันและก้าวย่างออกไปจากห้องในท่ามกลางเสียงแซ่ส่ายของกระโปรง.
ประตูถูกปิดลงอย่างหนักแน่นตามหลังเธอ.
พอล
หันหน้ามายังหญิงชรา, ดึงรั้งความโกรธให้เข้าที่.
“ผู้ใดยังจะบอกอนุญาตให้ท่านผู้หญิงเจสสิกาออกไปราวกับว่าเธอเป็นหญิงรับใช้ได้หรือ?”
รอยยิ้มวาบขึ้นที่มุมปากยับย่นของหญิงชรา.
“ท่านผู้หญิงเจสสิกานั้น เคยเป็นสาวรับใช้ของข้า, พ่อหนุ่ม,
มาสิบสี่ปีที่โรงเรียน.” เธอพยักหน้า. “และเป็นอย่างดีคนหนึ่ง, ด้วย. ทีนี้, เจ้าเข้ามานี่สิ.”
คำสั่งนั้นหวดบัญชาออกมาที่เขา.
พอล พบว่าตนเองเชื่อฟังไปก่อนที่เขาจะสามารถคิดถึงเรื่องนี้ได้. การใช้วจนะกับฉัน,
เขาคิด. เขาหยุดที่เธอชี้บอก, ยืนอยู่ข้างเข่าของเธอ.
“เห็นนี่ไหม?”
เธอถาม. จากม้วนชุดคลุมของเธอ,
เธอยกก้อนลูกบาศก์โลหะสีเขียวราวสิบห้าเซนติเมตรในแต่ละด้านขึ้นมา. เธอพลิกมันและ
พอล เห็นด้านหนึ่งเปิดออก—ดำและน่ากลัวอย่างพิกล.
ไม่มีแสงแทงสอดเข้าไปได้ในความมืดที่เปิดอยู่นั้น.
“เอามือขวาของเจ้าเข้าไปในกล่องนี้,”
เธอบอก.
ความกลัวยิงผ่าน
พอล. เขาเริ่มถอยหนี, แต่หญิงชราพูด; “นี่คือวิธีที่เจ้าเชื่อฟังตามที่มารดาของเจ้าบอกหรือ?”
เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงตาเจิดจรัสดุวิหคนั้น.
อย่างช้าๆ,
รู้สึกถึงแรงบีบบังคับพันธะและไม่สามารถยับยั้งพวกมันได้, พอล
เอามือของเขาเข้าไปในกล่อง. เขารู้สึกในทีแรกสัมผัสถึงความเยือกเย็นเมื่อความดำมืดนั้นปิดลงรอบมือของเขา,
แล้วเป็นโลหะเรียบลื่นกระทบนิ้วมือของเขาและแทงเบาๆราวกับมือของเขาได้ง่วงงุนหลับใหล.
ท่าทีดุจสัตว์ร้ายเติมเต็มในรูปพรรณที่ปรากฏของหญิงชรา.
เธอยกมือขวาของเธอขึ้นออกไปจากกล่องและวางมือของเธอใกล้ชิดกับลำคอของ พอล.
เขาเห็นประกายวาบของโลหะที่นั่นและเริ่มที่จะหันไปหา.
“หยุด!” เธอตวาดเสียงแหลม.
ใช้วจนะอีกแล้ว!
เขาเหวี่ยงความสนใจของตนกลับมาที่ใบหน้าของเธอ.
“ที่ฉันถืออยู่ที่คอของเจ้าคือ
ก็อม จาบบาร์,” เธอบอก. “ก็อม จาบบาร์, ศัตรูเหนือชั้น. มันเป็นเข็มด้วยหยดของยาพิษมีอยู่บนปลายของมัน.
อ้ะ-อ้า! อย่าดึงหนีไม่เช่นนั้นเจ้าจะรู้สึกได้ถึงยาพิษนั้น.”
พอล
พยายามจะกลืนน้ำลายลงไปในลำคอที่แห้งผาก.
เขาไม่สามารถเพ่งความสนใจของเขาไปจากใบหน้ายับย่นนั้น, ดวงตาที่แวววาว,
เหงือกซีดที่ห่อหุ้มฟันโลหะสีเงินที่เป็นประกายวาบยามที่เธอพูด.
“บุตรของดยุ๊ค ต้อง รู้เกี่ยวกับยาพิษ,”
เธอพูด. “มันเป็นวิถีของยุคสมัยเรา, เอ๋? มัสกี้,
ถูกใช้เป็นยาพิษในเครื่องดื่มของเจ้า. ออมัส, ถูกใช้ในอาหารของเจ้า. อันที่รวดเร็วและอันที่ช้าและอันที่อยู่ระหว่างนั้น.
นี่เป็นอันใหม่สำหรับเจ้า: ก็อม จาบบาร์.
มันฆ่าแต่พวกสัตว์.”
ความหยิ่งเข้ามาอยู่เหนือความกลัวของ
พอล. “เจ้ากล้าเอ่ยนัยยะว่าบุตรของดยุ๊คคือสัตว์หรือ?”
เขาสั่งถาม.
“เอาเป็นว่าฉันบอกนัยยะว่าเจ้าอาจจะเป็นมนุษย์,”
เธอพูด. “นิ่งไว้! ฉันเตือนเจ้าว่าอย่าได้พยายามกระตุกมันหนีออกมา. ฉันแก่แล้ว,
แต่มือของฉันสามารถขับเข็มนี้เข้าไปในลำคอของเจ้าก่อนที่เจ้าจะหลบหนีฉันไปได้แน่.”
“เจ้าเป็นใคร?”
เขากระซิบถาม. “เจ้าลวงล่อมารดาของข้าให้ปล่อยข้าไว้ตามลำพังกับเจ้าได้อย่างไร?
เจ้ามาจากพวกฮาร์คอนเนนส์หรือ?”
“พวกฮาร์คอนเนนส์รึ?
พระเจ้าอวยพรเราเถิด, ไม่! ทีนี้, เงียบซะ.” นิ้วมือแห้งเหี่ยวสัมผัสต้นคอของเขาและเขายังคงมีแรงกระตุ้นอย่างไม่ตั้งใจที่จะกระโจนหนีออกมา.
“ดี, “
เธอพูด. “เจ้าผ่านการทดสอบอันดับแรก. ทีนี้, นี่คือหนทางที่เหลือของมัน:
ถ้าเจ้าถอนมือออกจากกล่องเจ้าก็ตาย. นี่เป็นเพียงกฏเดียวเท่านั้น.
เอามือของเจ้าไว้ในกล่องและก็มีชีวิต. ดึงมันออกมาและก็ตาย.”
พอล
สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อหยุดการสั่นเทาของเขา.
“ถ้าข้าร้องเรียกออกมาก็จะมีคนรับใช้เข้ามาจัดการเจ้าในไม่กี่วินาทีและ เจ้าก็จะตาย.”
“คนรับใช้พวกนั้นจะไม่ผ่านมารดาของเจ้าที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกประตูนั่นมาได้แน่.
พึ่งพาอยู่กับมันเถิด. มารดาของเจ้าได้รอดชีวิตจากการทดลองนี้.
ตอนนี้เป็นตาของเจ้าแล้ว. จงมีเกียรติ. เรามักจะจัดให้บริการนี้แก่เด็กผู้ชาย.”
ความสนใจใคร่รู้ลดทอนความกลัวของ
พอล ลงสู่ระดับที่สามารถจัดการได้. เขาได้ยินความสัจในน้ำเสียงของหญิงชรานี้,
ไม่ปฏิเสธถึงมัน. ถ้ามารดาของเขาได้ยืนเฝ้าอยู่ที่ข้างนอกนั่น...ถ้านี่เป็นการทดสอบจริง...และไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม,
เรารู้ดีว่าเขาได้ถุกติดเข้ามาในมันไปแล้ว, ติดกับด้วยมือที่อยู่ต้นคอของเขา: ก็อม จาบบาร์.
เขาหวนนึกไปถึงการตอบสนองจาก ลิตานี่ ต่อ ความกลัว
ดังที่มารดาของเขาได้สอนเขาออกมาจากพิธีกรรมของ เบเน เกสเสริท.
“ฉันต้องไม่กลัว.
ความกลัวเป็นฆาตกรต่อจิตใจ. ความกลัว คือความตายเล็กๆที่นำการทำลายสูงสุดมาสู่.
ฉันต้องเผชิญหน้ากับความกลีวของฉัน. ฉันจะอนุญาตมันให้ท่วมท้นและผ่านร่างของฉันไป.
และเมื่อมันได้ผ่านไปแล้วฉันจะหันดวงตาภายในไปหาเพื่อมองหนทางของมัน.
ที่ซึ่งความกลัวได้ผ่านไปจะไม่มีอะไร. คงเหลืออยู่แต่ฉันเท่านั้น.”
เขารู้สึกความสงบได้หลับคืนมา,
พูดขึ้นว่า: “ทำมันต่อไปสิ, หญิงเฒ่า.”
“หญิงเฒ่า!” เธอตวาด.
“เจ้ากล้าหาญมาก, และนั่นไม่อาจปฏิเสธได้. เอาละ, เราจะได้เห็นกัน, พิจ่ะค่ะ.”
เธอก้มลงมาใกล้, ลดเสียงลงเกือบจะเป็นกระซิบ.
“เจ้าจะรู้สึกเจ็บปวดในมือนี้ภายในกล่อง. เจ็บปวด. แต่!
ดึงมือออกมาและข้าจะแตะต้องลำคอของเจ้าด้วย ก็อม จาบบาร์ ของข้า—ความตายนั้นช่างเฉียบพลันเหลือเกินมันเหมือนกับขวานตัดคอคนจามร่วงหล่นลงมา.
ดึงมือของเจ้าออกมาและ ก็อม จาบบาร์ จัดการเจ้า, เข้าใจไหม?”
“อะไรอยู่ข้างในกล่องหรือ?”
“ความเจ็บปวด.”
เขารู้สึกถึงความซาบซ่านเพิ่มขึ้นในมือของเขา,
กดริมฝีปากของเขาเข้าหากันแน่นขึ้น. นี่เป็นการทดสอบได้อย่างไรกัน?
เขาสงสัย. ความซาบซ่านได้กลายเป็นความคัน.
หญิงชราพูดขึ้น:
“เจ้าเคยได้ยินถึงพวกสัตว์กำลังเคี้ยวกัดขาของมันเพื่อหนีจากกับดักไหม?
มีกลเม็ดแบบสัตว์เช่นนั้น. มนุษย์จะยังอยู่ในกับดัก, ทนทานต่อความเจ็บปวด,
แสร้งทำเป็นตายที่เขาอาจจะได้ฆ่าผู้วางกับดักและย้ายการกำจัดไปยังพวกของเขา.”
ความคันได้กลายเป็นการไหม้อย่างอ่อนจาง.
“ทำไมเจ้าถึงทำเรื่องนี้?” เขาถามสั่ง.
“เพื่อตัดสินว่าเจ้าเป็นมนุษย์.
จงเงียบเถิด.”
พอล
กำมือข้างซ้ายของเขาเป็นหมัดเมื่อความรู้สึกไหม้เผาเพิ่มขึ้นที่มืออีกข้างหนึ่ง.
มันกลืนกินอย่างช้าๆ: ความร้อนเหนือความร้อนเหนือความร้อน...เหนือความร้อน. เขารู้สึกเล็บมือที่เป็นอิสระของเขากัดเนื้ออุ้งมือนั้น. เขาพยายามที่จะงอหงิกนิ้วมือของมือที่ถูกเผาไหม้
แต่ไม่สามารถขยับพวกมันได้.
“มันไหม้,”
เขากระซิบ.
“เงียบ.”
ความเจ็บปวดเต้นตุ๊บๆขึ้นมาตามท้องแขนของเขา.
เหงื่อผุดออกมาบนหน้าผากของเขา.
ทุกเส้นใยได้กรีดร้องออกมาให้ดึงมือนั้นออกมาจากจากหลุมเผาไหม้...แต่...ก็อม
จาบบาร์. โดยไม่ต้องหันศีรษะของเขาไป, เขาพยายามที่จะเคลื่อนดวงตาของเขาเพื่อมองเข็มมหาภัยนั่นที่ข้างลำคอของเขา. เขารู้สึกได้ว่าเขาได้กำลังหายใจหอบเร็ว,
จึงพยายามที่จะผ่อนลมหายใจของเขาให้ช้าลงและไม่สามารถทำได้.
เจ็บปวด!
โลกของเขาว่างแปล่าจากทุกสิ่งนอกเหนือไปจากว่ามือได้ฝังลงไปในความปวดร้าวแสนสาหัส,
ใบหน้าโบราณนั้นห่างไปไม่กี่นิ้วกำลังจ้องมาที่เขา.
ริมฝีปากของเขาช่างแห้งผากจนยากที่เขาจะแยกมันออกได้.
การเผาไหม้นั้น! การเผาไหม้นั้น!
เขาคิดว่าเขาสามารถรู้สึกว่าผิวหนังกำลังม้วนงอดำบนมือที่ปวดร้าวสาหัสนั้น,
เนื้อกำลังกรอบเกรียมและหลุดร่วงไปจขนกระทั่งเหลือแต่เถ้าถ่านกระดูกคงเหลืออยู่.
มันได้หยุดลง!
ราวกับสวิทช์ได้ปิดมันลง,
ความเจ็บปวดหยุด.
พอล
รู้สึกแขนขวาของเขาสั่นเทา, รู้สึกเหงื่ออาบท่วมร่างของเขา.
“พอแล้ว”
หญิงชราพร่ำบ่น. “คุลล์ วาฮัด!
ไม่มีเด็กผู้หญิงเคยอดทนต่อนั่นได้มากขนาดนี้.
ฉันต้องอยากให้เจ้านั้น้ลมเหลว.” เธอเอนกายกลับไป, ดึงถอน ก็อม จาบบาร์
จากข้างลำคอของเขาออกไป. “เอามือของเจ้าออกจากกล่องได้แล้ว, มนุษย์หนุ่มน้อย,
แล้วดูมันสิ.”
เขาต่อสู้ความสั่นเทาด้วยเจ็บปวดให้ลดลง,
จ้องลงไปยังช่องมืดไร้แสงที่ซึ่งมือของเขาดูเหมือนว่ามันยังคงมีความปรารถนาของมันเอง.
ความทรงจำถึงการเจ็บปวดอาศัยอยู่ในทุกการเคลื่อนไหว. เหตุผลบอกกับเขาว่าเขาน่าจะดึงเจ้าก้อนเถ้าดำไหม้นั่นออกมาจากกล่อง.
“ทำมัน!” เธอตวาด.
เขากระตุกดึงมือของเขาจากกล่อง,
จ้องมองมันอย่างประหลาดใจ.
ไม่มีมีสักรอยเดียว.
ไม่มีเครื่องหมายของความปวดร้าวใดบนเนื้อหนัง. เขายกมือของตนขึ้นมา, พลิกหันมัน,
งอเกร็งรู้สึกนิ้วพวกนั้น.
“ความเจ็บปวดโดยการชักนำของประสาท,
“เธอบอก. “ไม่สามารถโอบล้อมสร้างความพิการแก่ศักยภาพทั้งหลายของมนุษย์ได้. มีพวกผู้ให้ความสวยงามกับความลับของกล่องนี้,
ด้วยเช่นกัน.” เธอสอดมันเก็บเข้าไปชุดคลุมพับของเธอ.
“แต่ความเจ็บปวดนั่น---“ เขาพูด.
“ความเจ็บปวด”
เธอเหน็บ. “มนุษย์สามารถอยู่เหนือประสาทใดในร่างของตนได้.”
พอล
รู้สึกมือซ้ายของเขากำลังปวด, จึงคลายนิ้วที่กำแน่นนั้นออก, มองดูสี่รอยเลือดที่ซึ่งนิ้วของเขาที่ซึ่งเล็บได้จิกลงไปในฝ่ามือของเขา.
เขาทิ้งมือนั้นลงที่ข้างกายของตน, มองดูยังหญิงชรา. “ท่านทำเช่นนี้กับมารดาของข้าครั้งหนึ่งรึ?”
“เคยร่อนทรายผ่านตะแกรงบ้างไหม?”
เธอถาม.
สัมผัสสะบัดฟาดมาของคำถามของเธอนั้นทำให้จิตใจของเขาสะดุ้งสุดขีดเข้าไปในควงามตระหนักรู้ที่สูงขึ้นกว่า: ทรายผ่านตะแกรงร่อน. เขาพยักรับ.
“เรา
เบเน เกสเสอริต ร่อนตะแกรงผู้คนเพื่อค้นหาพวกมนุษย์.”
เขายกมือขวาของเขาขึ้น,
ตั้งใจมุ่งในความทรงจำของความเจ็บปวด.
“และนั่นคือทั้งหมดที่มันเป็นรึ---แค่ความเจ็บปวด?
“ฉันได้สังเกตเห็นเจ้าในความเจ็บปวด,
พ่อหนุ่ม.
ความเจ็บปวดเป็นแค่แกนของการทดสอบ.
มารดาของเจ้าคงได้บอกแก่เจ้าถึงวิถีของเราแห่งการสังเกต. ฉันเห็นร่องรอยของการสอนของนางในตัวเจ้า. การทดสอบของเราเป็นภาวะวิกฤติและการสังเกตเห็น.”
เขาได้การยืนยันในน้ำเสียงของเธอ,
พูดว่า: “มันความสัจจริง!”
เธอจ้องมองเขา. เขาสัมผัสได้ถึงความสัจจริง!
เขาคือผู้นั้นได้ไหม? เขาจะเป็นผู้นั้นได้จริงๆหรือ? เธอระงับความตื่นเต้นนี้, ตระหนักเตือนตนเอง: “ความหวังบดบังการสังเกตเห็น.”
“เจ้ารู้ดีเมื่อผู้คนเชื่ออะไรที่พวกเขาพูด,”
เธอบอก.
“ข้ารู้.”
ความสอดประสานของทักษะถุกยืนยันด้วยการทดสอบซ้ำนี้อยู่ในน้ำเสียงของเขา. เธอได้ยินพวกมัน, และว่า: “บางทีเจ้าคือ
ควิทซาตซ์ ฮาเดอรัค. นั่งลงสิ,
น้องชายน้อย, นี่ที่เท้าของฉัน.”
“ข้าชอบที่จะยืนมากกว่า.”
“มารดาของเจ้าเคยนั่งที่เท้าของข้าครั้งหนึ่ง.”
“ข้าไม่ใช่แม่ของข้า.”
“เจ้าชังเรานิดหน่อยสินะ,
เอ๋?” เธอมองไปยังประตู, ร้องเรียกออกมา: “เจสสิกา!”
ประตูเหกวี่ยงเปิดออกและ
เจสสิกา ยืนอยู่ที่นั่นจ้องมองตาเขม็งเข้ามายังในห้อง. ความเขม็งตึงค่อยผ่อนลงไปเมื่อเธอเห็น
พอล.
เธอจัดการให้รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นมาจนได้.
“เจสสิกา,
เจ้าเคยหยุดชังข้าบ้างไหม?” หญิงชราถาม.
“ข้าทั้งเกลียดและรักท่าน,”
เจสสิกา พูด.
“ความชัง---นั่นมาจากความเจ็บปวดที่ฉันไม่มีวันลืมเลือนได้. ความรัก---นั่น...”
“แค่ความสัจจริงพื้นฐาน,”
หญิงชราพูด, แต่น้ำเสียงของเธอนั้นนุ่มนวล.
“เธออาจเข้ามาได้แล้วตอนนี้, แต่ยังคงเงียบเอาไว้นะ.
ปิดประตูนั่นและคอยดูอย่าให้ใครสักคนเข้ามาแทรกขัดเรา.”
เจสสิกา
ก้าวเข้ามาข้างในห้อง, ปิดประตูและยืนโดยหันหลังไว้กับมัน. ลูกชายของฉันมีชีวิตอยู่, เธอคิด. ลูกชายของฉันยังมีชีวิตอยู่และเป็น...มนุษย์. ฉันรู้ว่าเขาเป็น...แต่...เขามีชีวิตอยู่. ทีนี้, ฉันสามารถอยู่ต่อไปได้แล้ว. ประตูรู้สึกแข็งกระด้างและเป็นจริงกับสัมผัสขอิงแผ่นหลังเธอ. ทุกอย่างในห้องนี้ฉับพลันทันใดและโถมเข้าใส่ผัสสะของเธอ.
ลูกชายของฉันมีชีวิตอยู่.
พอล
มองยังมารดาของเขา. เธอพูดความสัจจริง. เขาอยากจะหลบออกไปตามลำพังและตรึกตรองถึงประสบการณ์นี้,
แต่รู้ดีว่าเขาไม่อาจจากไปจนกว่าเขาจะได้รับอนุญาต. หญิงชราได้มีอำนาจอยู่เหนือเขาแล้ว. พวกเขาได้พูดความสัจจริง. มารดาของเขาได้แบกรับผ่านการทดลองนี้มาแล้ว. ต้องมีเจตจำนงร้ายกาจอยู่ในมัน.....ความเจ็บปวดและความกลัวได้เป็นเรื่องร้ายกาจ. เขาเข้าใจถึงเจตจำนงอันร้ายกาจนั้น.
พวกเขาได้ฝ่าฟันต่อเดิมพันทั้งหมด.
พวกเขาคือความจำเป็นของตนเอง. พอล
รู้สึกว่าเขาได้ติดเชื้อกับเจตจำนงอันร้ายกาจนั้น. เขายังไม่ได้รู้ว่าเจตจำนงอันร้ายกาจนี้คืออะไร.
“สักวันหนึ่ง,
เจ้าหนุ่ม,” หญิงชราพูด, “เจ้า, เช่นกัน,
บางทีอาจจะต้องยืนอยู่ข้างนอกประตูเหมือนเช่นนั้น. มันเป็นมาตรฐานการวัดของการกระทำ.”
พอล
ก้มลงมองดูมือข้างที่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวด, แล้วเงยขึ้นมอง แม่อธิการ. น้ำเสียงของนางในตอนนั้นได้มีอะไรที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆในประสบการณ์ของเขา.
คำพูดเหล่านั้นเป็นโครงร่างภายนอกอยู่ในความปราดเปรื่อง. มีริมขอบของพวกมัน.
เขารู้สึกว่าคำถามใดก็ตามที่เขาอาจถามนางไปก็จะนำคำตอบที่สามารถยกเขาออกไปจากโลกของกายเนื้อนี้เข้าไปสู่อะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่า.
“ทำไมท่านถึงต้องทดสอบหาพวกมนุษย์หรือ?”
เขาถาม.
“เพื่อปลดปล่อยเจ้าเป็นอิสระ.”
“อิสระ?”
“ครั้งหนึ่งคนเราหันความคิดของเขาไปใคร่ครวญอยู่แต่เครื่องจักรโดยหวังว่าสิ่งนี้จะทำให้พวกเขาเป็นอิสระ. แต่นั่นเพียงแค่อนุญาตให้ผู้คนอื่นที่มีเครื่องจักรได้กลายเป็นทาสของพวกเขาไป.”
“สูเจ้าจักต้องไม่สร้างเครื่องจักรขึ้นมาให้คล้ายคลึงจิตใจของคน.”
พอล พูดยกอ้าง.
“ตรงตาม
บัตเติลเรียน จิฮาด และ คัมภีร์ไบเบิ้ล โอเรนจิ์ คาธอลิค,” เธอพูด. “แต่อะไรล่ะที่ อ.ค. ไบเบิ้ล ควรจะได้บอกไว้คือ
: ‘สู้เจ้าจักต้องไม่สร้างเครื่องจักรที่ลอกเลียนจิตใจมนุษย์ขึ้นมา.’ เจ้าได้ศึกษา เมนทาต ที่ได้จัดแจงไว้ให้เจ้าหรือเปล่าล่ะ?”
“ข้าได้ศึกษา
กับ ธูเฟอร์ ฮาวัต.”
“มหาปฏิวัติ
ได้เอาที่ค้ำพยุงไป,” เธอพูด.
“มันบังคับจิตของ มนุษย์ ให้พัฒนาขึ้น. โรงเรียนทั้งหลายได้เริ่มต้นที่จะฝึกฝนบรรดาความสามารถพิเศษของ
มนุษย์.”
“เช่นโรงเรียน
เบเน เกสเสอริต รึ?”
เธอพยักหน้ารับ. “เรามีสองผู้รอดชีวิตนำของโรงเรียนโบราณพวกนั้น: เบเน เกสเสอริต
และ สมาคมอวกาศ – สเปซ กิลด์. สมาคม,
อย่างที่เราได้คิด, มุ่งเน้นไปเกือบทั้งหมดของคณิตศาสตร์บริสุทธิ์. เบเน เกสเสอริต แสดงถึงสารัตถะอีกอันหนึ่ง.”
“การเมือง,”
เขาพูด.
“คุลล์
วาฮาด!” หยิงชราพูด.
เธอส่งชำเลืองดุดันไปยัง เจสสิกา.
“ข้าไม่ได้บอกแก่เขา,
คุณแม่อธิการ,” เจสสิกา บอก.
แม่อธิการหันความสนใจของนางกลับมายัง
พอล. “เจ้าได้เอ่ยเบาะแสที่พึงจดจำออกมา,”
เธอบอก. “การเมือง จริงแท้. โรงเรียนเบเน
เกสเสอริต
แรกเริ่มได้ถุกกำกับโดยเหล่าผู้ที่มองเห็นความจำเป็นของสายใยของความต่อเนื่องในกิจการของมนุษย์.
พวกเขาได้มองเห็นว่าไม่อาจจะมีความต่อเนื่องเช่นนั้นได้โดยปราศจากการแยกสายพันธุ์มนุษย์ออกมาจากสายพันธุ์ของสัตว์---เพื่อจุดประสงค์ของการคัดเลือกพันธุ์.”
คำพูดของหยิงชราได้สูญเสียความแหลมคมพิเศษของพวกมันไปในทันทีสำหรับ
พอล. เขาได้รู้สึกต่อต้านรุกเร้าขึ้นเป็นอะไรที่มารดาของเขาได้เรียกว่า สัญชาตญาณถึงความถูกต้อง
ของเขา. มันไม่ใช่ว่าแม่อธิการนี้โกหกต่อเขา.
เธอชัดเลยว่าเชื่อมั่นศรัทธาในอะไรที่เธอพูด. มันเป็นอะไรบางอย่างที่ลึกลงไปกว่านั้น,
อะไรบางอย่าง ผูกติดอยู่กับเจตจำนงอันร้ายกาจของเขา.
เขาพูด:
“แต่มารดาของข้าบอกกับข้าว่าหลายคนของ เบเน เกสเสอริต แห่งโรงเรียนเหล่านั้นไม่รู้ถึงบรรพบุรุษของตน.”
“สายพันธุกรรมต่างอยู่ในบันทึกของเราเสมอ,”
เธอบอก. “แม่ของเจ้ารู้ดีว่าเธอเป็นที่สืบสกุลของเบเน
เกสเสอริต หรือสายพันธุ์ของเธอเป็นที่ยอมรับในตัวมันเอง.”
“งั้นแล้วทำไมเธอถึงไม่อาจรู้ได้ว่าใครคือพ่อแม่ของเธอล่ะ?”
“บางคนรู้ได้.....หลายคนไม่. เราอาจจะ, ตัวอย่างเช่น,
ได้ต้องการที่จะคัดพันธุ์เธอไปสู่ญาติที่ใกล้ชิดเพื่อจัดตั้งปมเด่นในบางคุณลักษณะพันธุกรรม. เรามีเหตุผลอยู่มากมาย.”
อีกครั้ง,
พอล รู้สึกต่อต้านรุกเร้าถึงความถูกต้อง. เขาพูด: “ท่านแบกรับเอาไว้กับตนเองมากไป.”
แม่อธิการจ้องมองเขา,
กังขาใจ: นี่ฉันได้ยินคำวิพากษ์ในน้ำเสียงของเขารึ? “เราแบกภาระหนักเอาไว้.”
เธอูด.
พอล
รู้สึกว่าตนเองออกมายิ่งมากและมากขึ้นจากความตื่นตระหนกของการทดสอบนี้. เขาปรับระดับการจ้องมองขึ้นเสมอกันกับนาง,
และพูด: “ท่านบอกว่าข้าบางทีอาจจะเป็น.....ควิซาร์ต ฮาเดอรัค. นั่นคืออะไร, มนุษย์ ก็อม จับบาร์ รึ?”
“พอล,”
เจสสิกา พูด.
“ลูกต้องไม่ใช้น้ำเสียงเช่นนั้นกับ---“
“ข้าจะจัดการนี่เอง,
เจสสิกา,” หญิงชราพูด. “ตอนนี้,
เจ้าหนุ่ม, เจ้ารู้ถึงเรื่องยา ผู้สัจจะวจนะ ไหม?”
“ท่านใช้มันเพื่อเพิ่มความสามารถของท่านเพื่อตรวจหาความผิดพร่อง,”
เขาบอก. “มารดาของข้าบอกกับข้าเช่นนั้น.”
“เจ้าเคยเห็น
สภาวะสัจ จริงไหม?”
เขาสั่นศีรษะของเขา. “ไม่.”
“ยานั้นอันตราย,”
เธอพูด, “แต่มันให้สัจปัญญา. เมื่อ
ผู้สัจจะวจนะได้รับพรโดยยานั้น, เธอสามารถมองไปหลายที่ในความทรงจำของเธอ---ความทรงจำในกายของเธอ.
เรามองลงไปยังวิถีมากมายเหลือเกินของอดีต.....แต่เป็นแค่วิถีของอิสตรี.” น้ำเสียงของเธอมีเจือปนความเศร้าปรากฏ. “กระนั้น, ยังมีที่ที่ไม่เคยมี ผู้สัจจะวจนะ
สามารถมองเห็นได้. เราได้ถูกผลักไสโดยมัน,
อย่างตื่นตระหนก.
มันถุกกล่าวเอาไว้ว่าบุรุษจะมาในวันหนึ่งและค้นพบโดยพรของยาด้วยตาในของเขา.
เขาจะมองไปยังที่ซึ่งเราไม่สามารถ---เข้าไปในอดีตทั้งหลายของทั้งอิสตรีและบุรุษ.”
“ควิทซาร์ต
ฮาเดอรัค ของท่านน่ะรึ?”
“ใช่,
ผู้ที่สามารถอยู่ไปในหลายสถานที่ในทันทีนั้น: ควิทซาร์ต ฮาเดอรัค.
บุรุษมากมายได้เคยลองยานี้...มากมายเหลือเกิน, แต่ไม่มีผู้ใดสำเร็จ.”
“พวกเขาได้ลองและล้มเหลว,
ทั้งหมดเลยน่ะหรือ?”
“โอ้,
ไม่.” เธอสั่นศีรษะของเธอ. “พวกเขาได้ลองและตายไปทั้งหมด.”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น