ดังที่ได้กล่าวไว้โดยท่านนักบุญ
อะเลีย-แห่ง-กริช: “คุณแม่อธิการ
ต้องสมัครสมานเพทุบายทั้ง หลายของนางคณิกาเข้าด้วยกันกับความง่างามเทพธิดาพรหมจรรย์,
ยึดถือเอาคุณสมบัติเหล่านี้ อย่างตึงเครียดตราบนานเท่าที่พลังของวัยเยาว์ของเธอจะทนทานไว้ได้. เพราะเมื่อความเยาว์ วัย และความงามได้จากไปแล้ว,
เธอจะพบถึงที่ที่อยู่ระหว่าง, ครั้นเมื่อได้ยึดครองโดแรงตึงเครียด แล้ว,
ได้กลายเป็นน้ำพุแห่งความฉลาดเล่ห์และเชาว์ปัญญาแห่งใจ.”
--จาก
“มวด’ดิบ, คำวิจารณ์จากครอบครัว” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน
“เอาละ, เจสสิกา,
อะไรที่เจ้าจะพูดเพื่อตัวของเจ้าเอง?”
แม่อธิการ ถาม.
เกือบใกล้จะสนธยาแล้วที่ปราสาทคาลาดาน
ในวันพิธีกรรมของ พอล.
สตรีทั้งสองอยู่กันตามลำพังในห้องรับอรุณของเจสสิกา ขณะที่ พอล
ได้รอคอยในโถงสมาธิติดกันที่ป้องกันเสียง.
เจสสิกา
ยืนหันหน้าไปทางหน้าต่างด้านทิศใต้.
เธอมองและกระนั้นก็มิได้เห็นสีสันยามเย็นทอทาบข้ามผ่านทุ่งหญ้า, และแม่น้ำ. เธอได้ยินและกระนั้นก็มิได้ได้ยินคำถามของแม่อธิการนั้น.
มีพิธีกรรมอีกอย่างครั้งหนึ่ง---หลายปีมาแล้ว. เด้กหญิงร่างผอมบางกับผมสีดุจสัมฤทธิ์,
ร่างของเธอบิดเบี้ยวโดยสายลมทั้งหลายของดรุณวัย,
ได้เข้ามายังในห้องทำงานของแม่อธิการ ไกอัส เฮเลน โมฮิยัม, ผู้ทำการแทนสูงสุดของโรงเรียน
เบเน เกสเสอริต บน วอลลัค ที่ 9. เจสสิกา
มองลงไปยังมือขวาของตน, ขยับนิ้วมือ, จำได้ถึงความเจ็บปวด, ตื่นตระหนก,
และโกรธขึ้ง.
“พอล ที่น่าสงสาร,” เธอกระซิบ.
“ฉันถามเธอหนึ่งคำถาม, เจสสิกา!”
น้ำเสียงของหญิงชราเป็นฉุนเฉียวและบงการ.
“อะไรคะ? โอ้....”เจสสิกา
ฉีกความสนใจของเธอหนีออกจากอดีต, หันมาเผชิญหน้ากับแม่อธิการ,
ผู้นั่งโดยหันหลังให้กับผนังหินระหว่างหน้าต่างสองบานด้านตะวันตก. “ท่านต้องการให้ดิฉันพูดว่าอะไรหรือ?”
“อะไรที่ฉันต้องการให้เธอพูด?
อะไรที่ฉันต้องการให้เธอพูดรึ?” เสียงของหญิงชราแบกมาด้วยน้ำเลียงเยาะหยันอย่างโหดร้าย.
“แล้วดิฉันก็มีบุตรชาย!” เจสสิกา
ระเบิดอารมณ์.
และเธอรู้ดีว่าเธอกำลังถูกลงปฏักเข้าไปในความโกรธนี้อย่างจำใจ.
“เธอถูกบอกให้ให้กำเนิดได้แต่ธิดาแก่ตระกูลอะไทรดิส.”
“มันมีความหมายมากเหลือเกินต่อเขา,”
เจสสิกา แก้ตัว.
“แล้วเธอในความทะนงของเธอคิดว่าเธอสามารถที่จะสร้าง
ควิทซาตซ์ ฮาเดอรัค ได้สินะ!”
เจสสิกา เชิดคางของเธอขึ้น. “ดิฉันรู้สึกถึงความเป็นไปได้.”
“เธอคิดแต่เพียงแค่สนองความปรารถนาของดยุคสำหรับเรื่องบุตรชายเท่านั้นเอง,”
หญิงชราเหน็บ. “และความปรารถนาของเขาไม่ได้อยู่ในเรื่องนี้. ธิดาของตระกูลอะไทรดิสควรจะได้สมรสให้กับทายาทของตระกูลฮาร์คอนเนน
และผนึกรอยร้าวรานนั้นเสีย.
เจ้าได้ทำให้สิ้นหวังในการอันละเอียดอ่อนซับซ้อนนี้.
เราอาจต้องสูญเสียสายพันธุ์ทั้งสองแล้วในตอนนี้.”
“ท่านเองก็อาจจะผิดพลาดได้,” เจสสิกา
พูด. เธอกล้าที่จะยังจ้องตอบต่อดวงตาของหยิงชราคู่นั้น.
อย่างปัจจุบันทันด่วน, หญิงชราพึมพัม: “อะไรที่แล้วก็แล้วกันไปเถิด.”
“ดิฉันสาบานได้ว่าดิฉันไม่มีวันสำนึกเสียใจกับการตัดสินใจของดิฉันนี้,”
เจสสิกา พูด.
“ช่างสูงศักดิ์นักนะ,” แม่อธิการ
เยาะหยัน. “ไม่สำนึกเสียใจ.
เราจะได้เห็นกันเมื่อเธอได้เป็นนักโทษหลบหนีที่มีราคาค่าหัวของเธอ
และทุกๆมือของชายใดก็หันเข้าหาเธอเพื่อเสาะหาชีวิตของเธอและชีวิตของบุตรชายของเธอ.”
เจสสิกา หน้าซีดเผือดลง. “ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกหรือคะ?”
“ทางเลือกอื่นรึ? เบเน เกสเสอริต
ควรจะถามนั่นรึ?”
“ดิฉันถามเพียงแค่อะไรที่ท่านเห็นในอนาคตด้วยความสามารถสูงสุดล้ำของท่าน.”
“ฉันมองเห็นอนาคตในอะไรที่ฉันได้เห็นมาในอดีต. เธอรู้ดีถึงรูปแบบกิจกรรมทั้งหลายของเรา,
เจสสิกา.
ชาติพันธุ์นั้นรู้ถึงสภาวะการต้องตายของตนเองและกลัวการตกค้างเหลือน้อยของกรรมพันธุ์ของมัน. มันอยู่ในสายโลหิต—แรงกระตุ้นที่จะปะปนสายพันธุกรรมโดยปราศจากแผนการ. ราชอาณาจักร นั้น, โชอัม กัมปะนี,
บรรดา มหาราชสำนัก ทั้งหมด, พวกเขาเป็นก็แต่เศษชิ้นของสวะในวิถีของน้ำบ่า.”
“โชอัม,” เจสสิกา พึมพัม.
“ดิฉันคาดว่ามันได้ตกลงใจกันไปแล้วว่าพวกเขาจะแบ่งปันกันใหม่ในของปล้นชิง
จาก อาร์ราคิส.”
“อะไรคือ โชอัม
เป็นก็แต่กังหันภูมิอากาศแห่งกาลเวลาของเรา,”
หญิงชรา พูด. “จักรพรรดิ
และสหายของเขาในตอนนี้บัญชาการ เก้าจุด
หก-ห้าเปอร์เซนต์ในเสียงโหวตของกรรมการอำนวยการ.
ชัดเจนเลยว่าพวกเขาได้กลิ่นถึงผลกำไร, และดูเหมือนเช่นเดียวกับผู้อื่นที่ก็ได้กลิ่นผลกำไรนี้เช่นเดียวกันความเข้มแข็งของเสียงโหวตของเขาจะเพิ่มขึ้น. นี่เป็นรูปแบบของประวัติศาสตร์, หนูน้อย.”
“นั่นชัดเจนเลยว่าอะไรที่ดิฉันจำเป็นต้องการในตอนนี้,”
เจสสิกา พูด. “การทบทวนถึงประวัติศาสตร์.”
“อย่าได้ทำเป็นเล่นไม่รู้กาลเทศะนัก,
หนูน้อย!
เธอรู้ดีเท่าๆกับฉันรู้ว่าพลังอำนาจอะไรที่รายล้อมเราอยู่. เรามีอารยธรรมอยู่สาม-จุด: ราชสำนักจักรพรรดิ กุมความสมดุลย์ต่อ สหพันธ์มหาราชสำนัก แห่ง
ลานสราอาด, และอยู่ระหว่างพวกเขา, คือ สมาพันธ์ ที่ผูกขาดได้น่าชังนักในการขนส่งระหว่างดวงดาว. ในทางการเมืองแล้ว,
สามขาหยั่งนี้คือสิ่งที่ไม่เสถียรมากที่สุดของโครงสร้างทั้งหมด. มันเลวร้ายเพียงพอโดยปราศจากภาวะแทรกซับซ้อนของวัฒนธรรมการค้าแบบศักดินาซึ่งหันหลังของมันให้กับวิทยาการส่วนใหญ่ทั้งหลาย.”
เจสสิกา พูดอย่างขมขื่น: “เบี้ยลอยอยู่ในวิถีทางของน้ำบ่า---และเบี้ยที่นี้,
นี่เป็น ดยุค เลโต, และอันนี้คือบุตรชายของเขา, และอันนี้---”
“โอ, หุบปากเถอะ, หนูน้อย.
เธอได้เข้ามาในเรื่องนี้ด้วยความรู้เต็มเปี่ยมถึงริบขอบเหวที่เธอได้เดินไป.”
“ ‘ฉันเป็น เบเน เกสเสอริต:
ฉันดำรงอยู่เพียงเพื่อรับใช้,’” เจสสิกา ยกคำอ้างขึ้มา.
“สัจจริง,” หญิงชรา พูด. “และเราทั้งหมดสามารถหวังได้ในตอนนี้ก็คือ
การที่จะป้องกันเรื่องนี้จากการระเบิดเข้าไปสู่กหารไหม้ลุกลามทั่วไป,
ในการที่จะกู้คืนอะไรที่เราสามารถทำได้ในกุญแจหลักของสายโลหิต.”
เจสสิกา หลับตาของเธอลง,
รู้สึกถึงน้ำตากดดันออกมาภายใต้เปลือกตานั้น.
เธอต่อสู้ให้ลดลงไปกับ การสั่นเทาภายใน, การสั่นเทาภายนอก,
การหายใจกระชั้น, เหงื่อที่ไหลออกมาชุ่มฝ่ามือ.
ในที่สุด, เธอพูด, “ดิฉันจะชดใช้ให้กับความผิดพะลาดของดิฉัน.”
“และบุตรชายของเธอจะชดใช้ไปด้วยกันกับเธอ.”
“ดิฉันจะปกป้องเขาให้ดีที่สุดเท่าที่ดิฉันทำได้.”
“ปกป้อง!” หยิงชรา เหน็บฟาด. “เธอรู้ดีถึงความอ่อนแอนั่น! ปกป้องบุตรชายของเธอมากเกินไป, เจสสิกา,
และเขาก็จะไม่เติบโตขึ้นแข็งแกร่งพอที่จะเติมเต็มชะตากรรม อะไรไหนได้.”
เจสสิกา หันร่างหนี,
มองออกไปนอกหน้าต่างยังความมืดมิดที่รวมตัวกันเข้ามา. “มันจริงหรือที่เลวร้ายขนาดนั้น, ดาวเคราะห์
แห่ง อาร์ราคิส นี้.”
“ก็เลวร้ายเพียงพอ,
แต่ไม่ใช่เลวร้ายไปทั้งหมด. สำนักมิชชั่นนาเรีย
โปรเทคติวา ได้ไปอยู่ที่นั้นและลดทอนอ่อนโยนมันขึ้นมาได้บางอย่าง.” แม่อธิการ ยกร่างของตนขึ้นยืน,
เหยียดไล้ชุดคลุมของเธอที่ยับย่นให้เรียบร้อย.
“เรียกเด็กชายนั่นเข้ามาที.
ฉันต้องไปในไม่ช้านี้แล้ว.”
“ท่านต้องไปด้วยหรือ?”
น้ำเสียงของหญิงชราอ่อนโยนลง. “เจสสิกา, หนูน้อย, ข้าเองก็ปรารถนาที่จะสามารถยืนอยู่ในตำแหน่งของเจ้าและรับเอาความทุกข์ของเจ้านั้นไปได้. แต่เราต่างก็ต้องสร้างวิถีของตนเอง.”
“ดิฉันรู้ค่ะ.”
“เธอเป็นที่รักของฉันเหมือนเช่นลูกสาวทั้งหลายคนไหนของฉันเอง,
แต่ฉันไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนั้นมาขัดแทรกกับภาระหน้าที่ได้.”
“ดิฉันเข้าใจ....ถึงความจำเป็นนั้นค่ะ.”
“อะไรที่เธอได้ทำ, เจสสิกา,
และทำไมเธอถึงได้ทำมัน---เราทั้งคู่รู้ดี.
แต่ความเมตตาบังคับฉันยให้บอกกับเธอว่ามีโอกาสเพียงเล้กน้อยที่เจ้าหนูของเธอจะเป็น
สุดยอด เบเน เกสเสอริต.
เธอต้องไม่ปล่อยตนเองวาดหวังมากเกินไป.”
เจสสิกา
สบัดน้ำตาจากมุมของดวงตาเธอ. มันเป็นกิริยาของความโกรธ. “ท่านทำให้ดิฉันรู้สึกเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยอีกครั้ง---ฝึกท่องบทเรียนครั้งแรกของดิฉัน.” เธอบังคับคำพูดนั้นออกมา: “ ‘มนุษย์ทั้งหลายต้องไม่ยอมตนต่อสัตว์’ ”
สะอื้นแห้งผากสั่นร่างเธอ.
ในน้ำเสียงแผ่วต่ำ, เธอพูด:
“ดิฉันอ้างว้างเหลือเกิน.”
“มันควรจะเป็นหนึ่งในการทดสอบ,”
หญิงชราพูด. “มนุษย์ส่วนใหญ่เกือบจะอ้างว้างเสมอ. ตอนนี้นำตัวเด็กชายนั่นมาเถิด. เขาได้รับความตื่นกลัวนานมาทั้งวันแล้ว. แต่เขาได้มีเวลาที่จะคิดและจดจำ,
และฉันต้องถามคำถามอื่นอีกเกี่ยวกับความฝันของเขา.”
เจสสิกา พยักหน้า, ไปยังที่ประตูของห้องโถงสมาธิ,
เปิดมันออก. “พอล, เข้ามาเดี๋ยวนี้ที, ได้โปรด.”
พอล
โผล่ออกมาด้วยความเชื่องช้าอย่างดื้อรั้น.
เขาจ้องมองมารดาของเขาราวกับว่าเธอเป็นคนแปลกหน้า.
ความระมัดระวังครอบคลุมดวงตาของเขาเมื่อเขาชำเลืองมายังแม่อธิการ,
แต่คราวนี้เขาพยักหน้าให้กับเธอ, การพยักหน้าให้ดุจคนเสมอกัน. เขาได้ยินมารดาของเขาปิดประตูอยู่เบื้องหลังของเขา.
“พ่อหนุ่มน้อย,” หญิงชราพูด,
“มากลับไปที่ธุระเรื่องความฝันนี้กันเถิด.”
“ท่านต้องการอะไร?”
“เจ้าฝันทุกคืนไหม?”
“ไม่ใช่ฝันที่มีค่าให้จดจำ. ข้าสามารถจำได้ทุกความฝัน, แต่บางฝันนั้นมีค่าสำหรับจดจำและบางอันไม่.”
“เจ้ารู้ถึงความแตกต่างนั้นได้อย่างไรรึ?”
“ข้าแค่รู้มัน.”
หญิงชราชำเมืองมอง เจสสิกา, กลับมาที่
พอล. “เมื่อคืนนี้เจ้าได้ฝันอะไรหรือ?”
มันมีค่าให้จดจำไหม?”
“ใช่,” พอล หลับตาของเขาลง. “ข้าฝันเห็นถ้ำๆหนึ่ง.....และเด็กสาวคนหนึ่งที่นั่น...ร่างผอมบางมีดวงตาโต. ดวงตาของเธอเป็นสีฟ้าทั้งหมด,
ไม่มีสีขาวอยู่ในพวกเขา.
ข้าคุยกับเธอและบอกเธอเรื่องท่าน, เรื่องการได้พบกับ แม่อธิการ บน
คาลาดาน.” พอล เปิดดวงตาของเขาขึ้น.
“และสิ่งที่เจ้าได้บอกกับเด็กสาวแปลกหน้าคนนี้ในเรื่องการได้พบกับข้า,
มันเป็นเช่นในวันนี้ไหม?”
พอล ครุ่นนคิดถึงเรื่องนั้น, แล้ว: “ใช่.
ข้าบอกกับเด็กสาวนั้นว่าท่านมาและได้ประทับความแปลกประหลาดลงบนข้า.”
“ประทับตราความแปกประหลาด,” หญิงชรา
สูดลมหายใจ, และอีกครั้งที่เธอยิงชำเลืองไปยัง เจสสิกา,
หันกหลับความสนใจของเธอมายัง พอล.
“บอกข้ามาจริงๆในตอนนี้, พอล, เจ้ามีความฝันในอะไรที่ได้เกิดขึ้นตามหลังมาตรงเหมือนในความฝันเช่นนี้บ่อยครั้งหรือไม่?”
“ใช่.
และข้าได้ฝันเกี่ยวกับเด็กสาวคนนี้มาก่อนแล้ว.”
“โอ้?
เจ้ารู้จักเธอรึ?”
“ข้าจะรู้จักเธอ.”
“บอกข้าเกี่ยวกับเธอซิ.”
อีกครั้ง, พอล หลับตาของเขาลง. “เราอยู่ในสถานที่เล็กๆในก้อนหินอะไรสักอย่างที่เราใช้มันเป็นที่พักกำบัง. มันเกือบจะเป็นกลางคืน,
แต่มันร้อนและข้าสามารถมองออกไปเห็นเหล่าผืนทรายจากช่องเปิดของหมู่ก้อนหินนั้น. เรากำลัง.....รอคอยอะไรบางอย่าง.....สำหรับข้าที่จะไปพบกับบางผู้คน. และเธอนั้นหวาดกลัวแต่กำลังพยายามที่จะซ่อนมันจากข้า,
และข้าตื่นเต้น. และเธอพูดว่า: ‘บอกข้าเกี่ยวกับน้ำทั้งหลายของโลกบ้านของท่านทีสิ, อุซุล.’” พอล ลืมตามของเขาขึ้น. “นั่นไม่แปลกประหลาดหรอกหรือ? โลกบ้านของข้าคือ
คาลาดาน. ข้าไม่เคยได้ยินพิภพที่ชื่อ
อูซุล มาก่อนเลย.”
“มีอะไรมากกว่านี้ในฝันนั้นไหม?” เจสสิกา
พลัน.
“ใช่.
แต่บางทีเธอกำลังเรียก ข้า ว่า อูซุล,” พอล พูด. “ข้าเพิ่งแค่คิดได้เช่นนั้น.” อีกครั้ง,
เขาหลับตาของเขาลง.
“เธอขอให้ข้าบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องน้ำทั้งหลาย. และข้ากุมมือของเธอ. และข้าบอกว่าข้าจะบอกเธอถึงกวีบทหนึ่ง. และข้าบอกเธอถึงกวีบทนั้น,
แต่ข้าต้องอธิบายบางคำ---อย่างเช่น ชายหาด และคลื่น และหย้าทะเลและนกนางนวล.”
“กวีบทไหนรึ?” แม่อธิการ ถาม.
พอล ลืมตาของเขาขึ้น. “มันแค่เป็นหนึ่งในเพลงกวีของ เกอร์นีย์
ฮัลเล็ค สำหรับเวลาเศร้า.”
เบื้องหลังของ พอล, เจสสิกา
เริ่มท่องขึ้น:
“ข้าจำได้ถึงควันเหลือจากกองไฟชายหาด
และเหล่าเงาทอดทาบอยู่ใต้หมู่สน---
ต่อเนื่องทึบแข็ง,
สะอาด.....ติดตรึง---
เหล่านางนวลเกาะคอนอยู่บนยอดของแผ่นดิน,
ขาวเหนือเขียวขจี.....
และสายลมผ่านหมู่สนมา
เพื่อแกว่งไกวหมูเงานั้น;
พวกนกนางนวลแผ่สยายปีกของพวกเขาออก,
ยกร่างขึ้น
และเติมเต็มท้องฟ้าด้วยเสียงกรีดร้อง.
และข้าได้ยินสายลม
พัดผ่านชายหาดของเราไป,
และเกลียวคลื่น,
และข้าเห็นว่ากองไฟของเรา
ได้ลุกโชนขึ้นจากหญ้าทะเล.”
“นั่นบทนั้นเอง,” พอล พูด.
หญิงชราจ้องมองยัง
พอล, แล้วว่า: “เจ้าหนุ่ม, ในฐานะผู้ปฏิบัติงานสูงสุดแห่ง เบเน เกสเสอริต, ข้าเสาะหา
ควิทซาตซ์ ฮาเดอรัค, บุรุษผู้สามารถแท้จริงที่จะกลายมาเป็นหนึ่งในเรา. มารดาของเจ้าเห็นความเป็นไปได้นี้ในตัวเจ้า,
แต่นางเห็นด้วยดวงตาของความเป็นมารดา.
ความเป็นไปได้ ข้าเห็น, แต่ไม่มากไปกว่านี้.”
เธอทิ้งความเงียบลงมาและ
พอล ได้เห็นว่าเธอต้องการให้เขาพูด.
เขารอคอยเธอเปล่งออกมา.
ในที่สุด,
เธอพูด: “ตามใจประสงค์ของเจ้า, งั้น.
เจ้ามีความลึกล้ำในตนเอง; นั่นข้าจะยอมรับ.”
“อนุญาตข้าไปได้แล้วในตอนนี้ไหม?”
เขาถาม.
“ลูกไม่อยากจะได้ยินอะไรที่คุณแม่อธิการสามารถบอกกับลูกได้เกี่ยวกับ
ควิทซาตซ์ ฮาเดอรัค หรอกรึ?” เจสสิกา ถาม.
“เธอบอกว่าเขาเหล่านั้นได้พยายามลองเพื่อมันและตายกันหมด.”
“แต่ข้าสามารถช่วยเจ้าด้วยคำแนะสองสามอย่างได้ว่าทำไมพวกเขาถึงล้มเหลว,”
แม่อธิการ บอก.
เธอพูดถึงคำแนะ,
พอล
คิด. เธอเองไม่ได้รู้จริงๆอะไร. และเขาบอกว่า:”แนะมาสิ.”
“และให้ฉิบหายแก่ข้าไปสินะ?
เธอยิ้มอย่างเยาะหยัน, กากบาทของความยับย่นบนใบหน้าชรา. “ดีมาก: ‘นั่นคือกฏทั้งหลายที่ยอมได้.....’
เขารู้สึกฉงนในใจ:
เธอได้กำลังพูดเกี่ยวกับสิ่งที่ช่างขั้นพื้นฐานดั่งมีแรงตึงในความหมายนั้น. นี่เธอคิดว่ามารดาของเขาไม่ได้สอนอะไรให้สักอย่างเลยรึ?
“นั่นหรือคือคำแนะ?”
เขาถาม.
“เราไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อจะตอบโต้คำพูดกันหรือว่าเล่นถ้อยเล่นคำให้เหนือความหมายของพวกมัน,”
หญิงชราพูด.
“หมู่หลิวยอมต่อสายลมและเจริญรุ่งเรืองจนกระทั่งวันหนึ่งมันมีหมู่หลิวมากมาย---เป็นกำแพงต้านต่อสายลม. นี่คือเจตจำนงของต้นหลิวรึ?”
พอล
จ้องมองเธอ. เธอได้พูดถึง เจตจำนง
และเขารู้สีกได้ว่าคำนี้กระหน่ำใส่เขา, ติดเชื้อซ้ำด้วยจุดประสงค์ร้าย. เขาได้ประสบการณ์กับความโกรธฉับพลันต่อเธอ:
แม่มดชราอวดโง่กับปากของเธอที่เต็มไปด้วยคำพูดถ่อยทราม.
“ท่านคิดว่าข้าสามารถจะเป็น
ควิทซาตซ์ ฮาเดอรัค ได้,” เขาบอก. “ท่านพูดเกี่ยวกับข้า,
แต่ท่านไม่ได้พูดสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับอะไรที่เราสามารถทำเพื่อช่วยบิดาของข้าได้. ข้าได้ยินท่านพูดกับมารดาของข้าแล้ว.
ท่านพูดราวกับว่าบิดาของข้านั้นได้ตายไปแล้ว. เอาล่ะ, เขาไม่!”
“ถ้ามีอะไรสักอย่างที่จะทำได้สำหรับเขา,
เราก็ได้ทำมันไปแล้ว,” หญิงชรากร่นคำราม.
“เราอาจจะสามารถกู้คืนเจ้ากลับมาได้.
อย่างน่าสงสัย, แต่เป็นไปได้.
แต่สำหรับบิดาของเจ้าแล้ว, ไม่มีอะไรเลย
เมื่อเจ้าได้เรียนรู้ที่จะยอมรับว่านั่นคือความสัจจริง, เจ้าก็ได้เรียนรู้ความ
แท้จริง ของบทเรียนแห่ง เบเน เกสเสอริต.”
พอล
ได้เห็นว่าคำพูดนั้นทำให้มารดาตนสะเทือนขวัญอย่างไร. เขาถมึงตาไปยังหญิงชราผู้นั้น.
เธอพูดสิ่งเช่นนั้นได้อย่างไรกันเกี่ยวกับบิดาของเขา? อะไรทำให้เธอแน่ใจนัก?
จิตใจของเขาเดือดดาลด้วยความโกรธพุ่ง.
แม่อธิการมองดู เจสสิกา. “เธอได้ฝึกฝนเขาใน วิถี---ฉันได้เห็นสัญญานของมัน. ฉันได้ทำเช่นเดียวกันในรองเท้าของเธอและปีศาจได้เข้าครองกฏนั้น.”
เจสสิกา พยักหน้ารับ.
“ตอนนี้, ฉันขอเตือนเธอ,” หญิงชราพูด,
“ให้เพิกเฉยต่อระเบียบทั่วไปของการฝึกฝน.
ความปลอดภัยของเขาเองต้องการ วจนะ.
เขาได้มีการเริ่มต้นที่ดีไปแล้วในมัน, แต่เราทั้งคู่รู้ดีว่าอีกมากมายแค่ไหนที่เขาจำเป็น.....และนั่นน่าสิ้นหวัง.”
เธอก้าวเข้าไปใกล้ พอล, จ้องมองลงไปยังเขา.
“ลาก่อน, มนุษยยย์หนุ่ม.
ข้าหวังว่าเจ้าทำมันได้.
แต่ถ้าเจ้าไม่---เอาละ, เราก็จะยังไม่พบพานความสำเร็จ.”
อีกครั้งหนึ่งที่เธอมองดู
เจสสิกา. สัญญานแว่บหนึ่งของความเข้าใจผ่านไปในระหว่างพวกเขา. แล้วหญิงชราก็เลื่อนกวาดไปจากห้อง,
เสื้อคลุมของเธอส่งเสียงซิ่ดแซ่ด, โดยไม่มีการเหลียวกลับหันมาชำเลืองอีก.
ห้องนั้นและผู้ที่อยู่ข้างในนั้นได้ถูกปิดลงจากความคิดของเธอแล้ว.
แต่ เจสสิกา จับได้ถึงการชำเลืองครั้งหนึ่งในใบหน้าของแม่อธิการนั้นขณะที่เธอหันร่างจากไป. มีน้ำตาบนใบหน้ายับย่นนั้น. น้ำตานั้นเป็นอะไรที่ไม่สั่นประสาทมากกว่าคำพูดหรือสัญญานอื่นใดอีกที่ได้ส่งผ่านระหว่างพวกเขาในวันนี้.
คุณได้อ่านว่า มวด’ดิบ
ไม่มีเพื่อนเล่นในวัยเดียวกับเขาที่บน คาลาดาน.
อันตรายทั้งหลายนั้นยิ่งใหญ่เกินไป.
แต่ มวด’ดิบ
ได้มี สหาย-ครู ที่อัศจรรย์. เป็น เกอร์นีย์
ฮาลเล็ค, วณิพก-นักรบ. คุณจะได้ร้องบางเพลงของ
เกอร์นีย์ ในขณะที่คุณอ่านไปตามหนังสือนี้.
มี ธูเฟอร์ ฮาวัต, เมนทาตเฒ่า ปรมาจารย์แห่งนักสังหาร, ผู้ได้ทิ่มแทงความกลัวได้กระทั่งเข้าไปในหัวใจของ
จักรพรรดิ ปาดิชาห์. มี ดันแคน
ไอดาโฮ, ปรมาจารย์ดาบ แห่ง จินาซ; ดร.เวลลิงตัน หยัว, นามที่ดำมืดจากการทรยศแต่ใสกระจ่างในความรู้; ท่านหญิงเจสสิกา, ผู้นำทางบุตรชายของเธอสู่วิถีแห่ง เบเน
เกสเสอริต, และ---แน่นอน---ดยุคเลโต, ที่คุณภาพทั้งหลายของเขาในฐานะบิดาได้ถูกมองข้ามกันมานาน.
--จาก “ประวัติในวัยเด็กของ มวด’ดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน
ธูเฟอร์ ฮาวัต
เลื่อนเข้าไปในห้องฝึกฝนของ ปราสาทคาลาดาน, ปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา. เขายืนอยู่ที่นั่นชั่วขณะ,
รู้สึกแก่ชราและเหนื่อยล้าและหยัดต้านพายุ.
ขาซ้ายของเขาปวดร้าวในที่ที่มันได้ถูกฟันครั้งหนึ่งในการรับใช้ ดยุคเฒ่า.
สามชั่วรุ่นของพวกเขาแล้วในตอนนี้, เขาคิด.
เขาจ้องมองข้ามห้องใหญ่ที่สว่างด้วยแสงของเที่ยงวันรินหลั่งผ่านลงมาทางช่องแสงด้านบน,
เห็นเด็กชายได้นั่งโดยหันหลังกับประตู,
มุ่งใส่ใจอยู่กับเอกสารทั้งหลายและตารางทั้งหลายที่แผ่กระจายอยู่เต็มโต๊ะวงรี.
มากกี่ครั้งแล้วที่ต้องให้ข้าบอกกับเจ้าหนุ่มนั่นว่าอย่าได้ปักหลักตนเองด้วยหลังของเขาหันให้กับประตู?
ฮาวัต กระแอมไอ.
พอล ยังคงก้มลงอยู่เหนือการศึกษาของเขา.
เงานเมฆผ่านไปเหนือช่องแสงที่หลังคานั้น.
อีกครั้ง, ฮาวัต กระแอมไอในลำคอของเขา.
พอล หยัดร่างขึ้น, พูดโดยไม่หันร่างมาหา: “ข้ารู้. ข้ากำลังนั่งหันหลังของข้าให้กับประตู.”
ฮาวัต ฝืนยิ้ม,
ไถลข้ามห้องเข้าไป.
พอล
เงยหน้าขึ้นมายังชายชราผมสีเทาผู้ที่หยุดอยู่ที่มุมของโต๊ะนั้น. ดวงตาของฮาวัตเป็นสองหลุมสระของความตื่นตัวในใบหน้าร่องยับรอยคล้ำ.
“ข้าได้ยินท่านลงมาตามห้องโถงแล้ว,” พอล
พูด. “และข้าก็ได้ยินท่านเปิดประตู.”
“เสียงที่ข้าทำสามารถถูกปลอมแปลงได้.”
“ข้ารู้ได้ถึงความแตกต่างนั้น.”
เขาอาจจะเช่นนั้น, ฮาวัต คิด. มารดา-แม่มดผู้นั้นของเขาได้ให้เขาฝึกฝนลงลึก,
แน่ชัดเลย. ข้าสงสัยว่าอะไรที่โรงเรียนล้ำค่าของนางคิดในเรื่องนั้นรึ?
บางทีนั่นคือทำไมที่พวกเขาส่งผู้ปฏิบัติงานสูงสุดชรานั่นมายังที่นี่---เพื่อลงแส้
ท่านหญิงเจสสิกา ที่รักของเราให้อยู่ในแถวแนวเสียบ้าง.
ฮาวัต ดึงเก้าอี้ขึ้นตรงข้ามกับ
พอล, นั่งลงหันหน้าไปทางประตู. เขาทำมันเช่นนั้นอย่างตั้งใจให้เห็น,
เอนกลับไปและศึกษาไปรอบๆห้อง.
มันทิ่มแทงเข้าใสเขาราวกับสถานที่แปลกหน้าในทันที, สถานที่-แปลกถิ่นด้วยสิ่งตกแต่งอุปกรณ์ส่วนใหญ่ได้ถูกขนย้ายไปยัง
อาร์ราคิส แล้ว. โต๊ะฝึกยังคงตั้งอยู่, และกระจกเงาฟันดาบที่มีปริซึมคริสตัลยืนนิ่งสงบเฉยอยู่,
หุ่นเป้าดัมมี่อยู่ข้างๆมันปุปะและบุนวมยัด,
ดูเหมือนยังกับพวกทหารเดินเท้าสมัยโบราณใบ้บอดและพิการจากผ่านสงครามทั้งหลาย.
นั่นแหละที่ยืนอยู่คือ ข้า, ฮาวัต
คิด.
“ธูเฟอร์, ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือท”
พอล ถาม.
ฮาวัต มองยังเด็กหนุ่มนั้น. “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าเราทั้งหมดจะออกไปจากทีนี้ในไม่ช้าและแทบว่าจะไม่ได้เห็นสถานที่นี้อีกแล้ว.”
“นั่นทำให้ท่านเศร้าใจหรือ?”
“เศร้าใจ? ไร้สาระ!
การแยกจากเพื่อนต่างหากคือความเศร้าใจ.
สถานที่ก็เป็นแค่สถานที่.” เขาชำเลืองไปที่ตารางบนโต๊ะ. “และ อาร์ราคิส ก็เป็นแค่อีกสถานที่หนึ่ง.”
“บิดาของข้าส่งท่านขึ้นมาเพื่อทดสอบข้ารึ?”
ฮาวัต นิ่วหน้าขมวดคิ้ว---เด็กชายคนนี้ได้มีวิธีสังเกตทั้งหลายนั้นเหลือเกินเกี่ยวกับเขา. เขาพยักหน้ารับ. “เจ้ากำลังคิดว่ามันน่าจะได้ดูดีกว่าถ้าเขาจะได้ขึ้นมาด้วยตนเองสินะ,
แต่เจ้าต้องรู้ว่าเขานั้นกำลังยุ่งวุ่นวายขนาดไหน. เขาจะตามมาในภายหลัง.”
“ข้าได้กำลังศึกษาเกี่ยวกับพายุบน
อาร์ราคิส.”
“พายุ.
ข้าเข้าใจล่ะ.”
“พวกมันฟังดูค่อนข้างเลวร้าย.”
“นั่นเป็นคำพูดที่ระมัดระวังเกินไป: เลวร้าย. พายุพวกนั้นก่อตัวขึ้นมาพาดผ่านหกหรือเจ็ดพันกิโลเมตรของผืนราบ,
กลืนกินบนอะไรก็ตามที่สามารถให้กำลัง---แรงโคริโอลิสแก่พวกมัน, พายุอื่น,
อะไรก็ตามที่ได้มีพลังงานสักหนึ่งออนซ์ในมัน.
พวกมันสามารถพัดเป่าขึ้นไปถึงเจ็ดร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง,
บรรทุกไปด้วยอะไรก็ตามที่หลุดลอยในเส้นทางของมัน---ทราย, ฝุ่น, ทุกสิ่ง. พวกมันสามารถกลืนกินเนื้อหนังให้หลุดจากกระดูกและแทะกระดูกไปถึงไข.”
“ทำไมพวกมันถึงไม่มีการควบคุณภูมิอากาศ?”
“อาร์ราคิส มีปัญหาพิเศษหลายอย่าง,
ค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า, และยังต้องมีการบำรุงรักษาและอะไรเหล่านั้นอีก. สมาพันธ์ ต้องการราคาที่สูงอย่างเลวร้ายสำหรับการควบคุมทางไกลจากดาวเทียมและราชสำนักของบิดาของเจ้าไม่ใช่เป็นหนึ่งในบรรดา
ราชสำนักร่ำรวยมั่งคั่งใหญ่โตพวกนั้น, เจ้าหนุ่ม.
เจ้าก็รู้นั่นดี.”
“ท่านเคยเห็นพวกเฟรเมนบ้างไหม?”
จิตใจของเจ้าหนุ่มผู้นี้กำลังพุ่งสาดไปทั่วทั้งวันนี้,
ฮาวัต คิด.
“ดูเหมือนข้าจะไม่ได้เคยเห็นพวกเขา,”
เขาพูด.
“มีอยู่เล็กน้อยที่จะบอกเล่าถึงพวกเขาได้จากคนพื้นเมืองของแถวหล่มแอ่งแห้งแล้งจ่อมจม.
พวกนั้นทั้งหมดต่างสวมชุดคลุมไหลเวียนที่ยอดเยี่ยมของพวกตน.
และพวกเขามีกลิ่นฉุนแรงไปถึงสวรรค์เมื่ออยู่ในที่ปิด. มันมาจากชุดสูทที่พวกเขาสวมใส่นั่นเอง—เรียกว่า
‘สติลสูท’ ---ที่เรียกผันคืนน้ำในร่างกายตนเองกลับมาได้.”
พอล กลืนน้ำลาย, ทันทีนั้นได้ระแวดระวังไปถึงความชื้นในปากของเขา,
จำได้ถึงความฝันถึงความแห้งกระหายนี้.
ผู้คนเหล่านั้นอาจต้องการเหลือเกินสำหรับน้ำที่พวกเขาต้องรีไซเคิลจากความชื้นในร่างกายของพวกเขานั้น,
ได้ทิ่มแทง พอล
ด้วยความรู้สึกของความหดหู่สิ้นหวัง.....”น้ำมีค่าสูงล้ำในที่นั้น,” เขาพูด.
ฮาวัต พยักหน้า, กำลังคิด: บางทีข้ากำลังทำมัน,
นำข้ามไปยังเขาถึงความสำคัญของพิภพนี้ดั่งเป็นเช่นศัตรูหมู่ข้าศึก. มันเป็นความบ้าคลั่งที่จะเข้าไปในที่นั้นโดยปราศจากการระมัดระวังนั่นในจิตใจทั้งหลายของเรา.
พอล
เงยหน้าขึ้นมองยังช่องแสงเพดานหลังคา, ระแวดระวังถึงว่ามันได้เริ่มที่จะมีฝนแล้ว. เขาได้เห็นความเปียกชื้นแผ่กระจายออกบนกระจก-เมต้าสีเทา. “น้ำ,” เขาพูด.
“เจ้าจะได้เรียนรู้การเกี่ยวพันอันใหญ่หลวงสำหรับเรื่องน้ำนั้น,”
ฮาวัต บอก. “ในฐานะบุตรชายของท่านดยุคเจ้าจะไม่มีวันต้องอยากไปกับัมนนั้น,
แต่เจ้าจะได้เห็นแรงกดดันของความกระหายนี้อยู่รายรอบไปทั่วตัวเจ้า.”
พอล เลียไล้ริมฝีปากของตนด้วยลิ้นของเขา,
คิดกลับไปถึงวันหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและพิธีกรรมกับแม่อธิการ. เธอ, ด้วยเช่นกัน, ได้พูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการอดอยากในเรื่องน้ำนี้.
“เจ้าจะได้เรียนถึงทุ่งราบแห่งเมรุกรรมเหล่านั้น,”
เธอ บอก, “ในเรื่องความป่าเถื่อนนั้นที่ว่างเปล่า,
ดินแดนเปล่าประโยชน์ที่ซึ่งไม่มีอะไรเลยมีชีวิตอาศัยอยู่นอกจากบรรดาเครื่องเทศและหนอนทราย. เจ้าจะป้ายเบ้าตาให้เปื้อนดำเพื่อลดทอนแสงสะท้อนเลื่อมพรายของดวงอาทิตย์.
ที่กำบังจะหมายถึงโพรงรูที่พ้นไปจากลมและถูกซ่อนพ้นสายตามอง. เจ้าจะขี่ย่างไปบนสองเท้าของตนเองโดยปราจากยาน ‘ธอปเตอร์
รถภาคพื้น หรือ อาชาขับขี่ใด.”
และ พอล ได้ถูกจับยึดตรึงไว้ยิ่งขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงของเธอ---ขับขานและซัดละลอกคลื่น---มากกว่าคำพูดของเธอเหล่านั้น.
“เมื่อเจ้าอาศัยอยู่บน อาร์ราคิส,”
เธอได้บอกไว้ว่า, “คลาลา, แผ่นดินนั้นว่างเปล่า.
เหล่าดวงจันทร์จะเป็นมิตรของเจ้า, เหล่าดวงอาทิตย์จะเป็นศัตรูของเจ้า.”
พอล ได้สำเหนียกว่ามารดาของเขาได้เข้ามาข้างๆเขาห่างจากการป้องกันเฝ้าที่ประตูของเธอ. เธอได้มองไปยังแม่อธิการและถามว่า:
“ท่านไม่เห็นความหวังเลยหรือ, แม่อธิการ?”
“ไม่สำหรับผู้บิดา.” และหญิงชราได้โบกมือให้กับ เจสสิกาให้เงียบไว้,
มองลงมายัง พอล. “จารึกนี้ลงไปในความทรงจำของเจ้า,
หนุ่ม: โลกถูกรองรับเอาไว้ด้วยสี่สิ่ง.....” เธอยกนิ้วโปดโปนขึ้นสี่นิ้ว. “.....การเรียนรู้ของนักปราชญ์,
ความยุติธรรมของมหาราช, ผู้สวดภาวนาถึงธรรมะ และความองอาจของผู้กล้า. แต่ทั้งหมดของสิ่งเหล่านี้เป็นเช่นไร้ซึ่งอะไรเลย.....”
เธอกำนิ้วของเธอลงเป็นกำปั้น.
“.....ถ้าปราศจากผู้ปกครองที่รู้ถึงศิลปะของการปกครอง. ทำนั่นให้เป็นศาสตร์แห่งจารีตประเพณีของเจ้า!”
หนึ่งสัปดาห์ได้ผ่านไปตั้งแต่วันที่อยู่กับแม่อธิการนั้น.
คำพูดของเธอเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นในตอนนี้ที่กำลังเริ่มต้นที่เข้ามาสู่เต็มบัญชีทะเบียน. ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในห้องฝึกซ้อมกับ ธูเฟอร์
ฮาวัต, พอล รู้สึกถึงอาการแปลบแหลมของความกลัว.
เขามองข้ามไปยัง รอยขมวดย่นใบหน้าของเมนทาตเฒ่า.
“เจ้าอยู่ที่ไหนที่ใจลอยฟ่องไปนั่นในคราวนั้น?”
ฮาวัต ถาม.
“เจ้าได้พบกับแม่อธิการนั่นไหม?”
“แม่มดผู้กล่าวสัจจะวัจน์
จากราชอาณาจักร นั่นน่ะ?” ดวงตาของ ฮาวัต แวววาบขึ้นด้วยความสนใจ. “ข้าได้พบกับนาง.”
“ใช่?
นางได้บอกอะไรบ้าง?”
พอล สูดหายใจลึกสองหน. “เธอบอกอะไรอย่างหนึ่ง.” เขาหลับตาของเขาลง,
เรีกคำพุดเหล่านั้นขึ้นมา, และเมื่อเขาพูดเสียงของเขาเปล่งมาบ้างในน้ำเสียงของหญิงชรานั้นอย่างไม่รู้ตัว: “ ‘เจ้า, พอล อะไทรดิส,
ผู้สืบเชื้อสายของเหล่ากษัตริย์, บุตรของ ดยุค, เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะปกครอง. มันเป็นบางอย่างที่มิได้มีบรรพบุรุษใดของเจ้าได้เรียนรู้.’ ” พอล ลืมตาของเขาขึ้น, พูด:
“นั่นทำให้ข้าโกรธและข้าได้บอกว่าบิดาของข้าปกครองดาวเคราะนี้ทั้งหมด. และนางพูดว่า, ‘เขากำลังสูญเสียมัน.’ และข้าพูดว่ากำลังได้ครองดวงดาวที่ร่ำรวยกว่า. และนางพูดว่า. ‘เขาจะสูญเสียดวงดาวนั้น,
ด้วยเช่นกัน.’
และข้าต้องการที่จะวิ่งออกไปและไปเตือนบิดาของข้า, แต่นางบอกว่าเขาได้ถูกเตือนไปแล้ว---โดยท่าน,
โดยมารดา, โดยผู้คนีอกมากมาย.”
“ก็สัจจริงพอ,” ฮาวัต พึมพัม.
“งั้นเราทำไมถึงกำลังไปยังที่นั่น?” พอล
ถามสั่ง.
“เพราะ จักรพรรดิ บัญชา นั่น. และเพราะมีความหวังแทนที่จะเป็นอะไรในสายลับ-แม่มดนั่นได้พูด. อะไรอื่นได้พ่นออกมาจากน้ำพุโบราณแห่งปัญญานี้อีกรึ?”
พอล
ก้มลงมองที่มือขวาของซึ่งกำแน่นเป็นกำปั้นอยู่ใต้โต๊ะ. อย่างช้าๆ, เขามุ่งมั่นให้กล้ามเนื้อนั้นผ่อนคลายลง. นางเอาอะไรบางอย่างเข้ากุมข้า, เขาคิด. อย่างไรกันนะ?
นางซัดเครื่องหมายไว้เพียงพอที่ตรงนั้น,
ฮาวัต คิด. เขาพยักหน้าให้ พอล
ดำเนินต่อไป.
“นางบอกว่าผู้ปกครองต้องเรียนรู้ที่จะชักจูงและไม่ที่จะบังคับ. นางบอกว่าเขาต้องวางเตากาแฟที่ดีที่สุดไว้ในครัวเรือนเพื่อดึงดูดชายที่ดีที่สุด.”
“นางคิดว่าอย่างไรกันล่ะที่บิดาของเจ้าดึงดูดชายเช่น
ดันแคน และ เกอร์นีย์ เอามาได้น่ะ?” ฮาวัต ถาม.
พอล ยักไหล่. “แล้วนางก็บอกว่า ผู้ปกครองที่ดีต้องเรียนรู้ภาษาของพิภพของเขา,
ที่แตกต่างไปจากทุกโลก. และข้าคิดว่านางหมายถึงว่าพวกเขาไม่ได้พูด
กาลัค บน อาร์ราคิส, แต่นางบอกว่านั่นไม่ใช่ทั้งหมด.
นางบอกว่านางหมายถึงภาษาของก้อนหินและสิ่งเติบโตต่างๆ,
ภาษาที่ท่านจะไม่ได้ยินด้วยหูของท่าน.
และข้าบอกว่านั่นคืออะไรที่ ดร.หยัว เรียกว่า ความลึกลับของชีวิต.
ฮาวัต หัวเราะหึหะ. “แล้วนั่นนั่งกับนางเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าคิดว่านางโมโหมาก.
นางบอกว่าความลึกลับของชีวิตนั้นไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องคลี่คลายแก้ไข,
แต่คือความเป็นจริงที่ได้ประสบ. ดังนั้นข้าจึงได้กล่าวอ้างถึง
กฏข้อแรกของ เมนทาต กับนางว่า: ‘กระบวนการไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการหยุดมัน ความเข้าใจ
นั้นต้องเคลื่อนไปด้วยการไหลเลื่อนของกระบวนการ,
ต้องร่วมกับมันและไหลเลื่อนไปกับมัน.’
นั่นดูเหมือนจะทำให้นางพึงพอใจ.”
เขาดูจะผ่านพ้นมันไปได้, ฮาวัต คิด,
แต่นางแม่มดนั่นทำให้เขากลัว.
ทำไมนางถึงทำมัน?
“ธูเฟอร์,” พอล พูด, “อาร์ราคิส
จะเลวร้ายอย่างที่นางพูดหรือ?”
“ไม่มีอะไรจะเลวร้ายได้ถึงขนาดนั้นหรอก,”
ฮาวัต บอกและบังคับให้ตนเองยิ้มออกมา.
“ยกเอาพวกเฟรเมน, เป็นตัวอย่าง, พวกผู้คนกบถต่อศาสนาของทะเลทราย. โดยการวิเคราะห์ประมาณการ-แรก, ข้าสามารถบอกกับเจ้าได้ว่ามีพวกเขาอยู่มาก,มากมายกว่าที่
จักรวรรดิ คาดคะเนไว้. ผู้คนอาศัยอยู่ที่นั่น,
พ่อหนุ่ม: ผู้คนมากมายมหาศาล, และ...” ฮาวัต
เอานิ้วแข็งแกร่งเอ็นปูดโปนที่ข้างดวงตาของเขา.
“...พวกเขาเกลียด พวกฮาร์คอนเนนอย่างเข้ากระดูก. เจ้าต้องไม่หายใจคำนี้ออกมา, พ่อหนุ่ม. ข้าบอกกับเจ้าก็แค่เพราะในฐานะผู้ช่วยของบิดาเจ้า.”
“บิดาของข้าบอกกับข้าถึงเรื่อง ซาลูซา
เวคันดัส,” พอล พูด. ท่านรู้ไหม, ธูเฟอร์,
มันฟังดูเหมือนมากว่า อาร์ราคิส.....บางทีไม่ได้เลวร้ายปานนั้น, แต่มันเหมือนมากว่าเป็นเช่นนั้น.”
“เราไม่รู้จริงๆถึง ซาลูซา เวคันดัส
ในวันนี้,” ฮาวัต พูด.
“แค่เพียงอะไรที่มันเป็นเหมือนนานมาแล้ว....ส่วนใหญ่. แต่อะไรที่ได้รู้---เจ้านั้นพุดถุกเผงเลยในเรื่องนั้น.”
“พวกเฟรเมนจะช่วยเราไหม?”
“มันเป็นไปได้.” ฮาวัต ลุกขึ้นยืน. “ข้าจะไปในวันนี้ยัง อาร์ราคิส. ในขณะที่,
เจ้าดูแลตนเองเพื่อชายชราผู้ที่ได้ชมชอบเจ้า, เห๊ะ?
อ้อมมาทางนี้เหมือนหนุ่มแสนดีและนั่งหันหน้าไปทางประตูทีสิ. มันไม่ใช่ว่าข้าคิดว่าจะมีอะไรอันตรายในปราสาทนี้หรอก;
มันแค่เป็นนิสัยที่ข้าอยากให้เจ้าได้ทำมันเอาไว้.”
พอล ลุกขึ้นยืน, เคลื่อนอ้อมตะไป. “ท่านกำลังจะไปในวันนี้หรือ?”
“วันนี้ ใช่แล้ว,
และเจ้าจะติดตามไปในวันพรุ่งนี้.
คราวหน้าเราที่เราพบกันมันจะอยู่บนดินแดนของโลกใหม่ของเจ้า.” เขากุมแขนขวาของ พอล ที่ท้องแขน. “ให้แขนถือมีดของเจ้าเป็นอิสระ, เห๊ะ? และโล่ห์พลังของเจ้าอัดประจุไว้เต็ม.” เขาปล่อยแขนนั้น, ตบ ไหล่ของ พอล,
หมุนและเลื่อนร่างอย่างรวดเร็วไปที่ประตู.
“ธูเฟอร์!” พอล เรียก.
ฮาวัต หันกลับมา,
ยืนอยู่ที่ในช่องประตูเปิด.
“อย่านั่งให้หลังของท่านหันสู่ประตูบานไหนนะ,”
พอล พูด.
รอยยิ้มแผ่ออกข้ามใบหน้าที่เหี่ยวยับย่นนั้น. “นั่นข้ามิทำแน่, เจ้าหนุ่ม ขึ้นอยู่กับมันเลยล่ะ.” แล้วเขาก็จากไป, ปิดประตูแผ่วเบาตามหลัง.
พอล นั่งลง, ที่ซึ่ง ฮาวัต ได้นั่ง,
คลี่แผ่พวกกระดาษออก. อีกหนึ่งวันที่นี่,
เขาคิด. เขามองไปรอบๆห้อง. เรากำลังจากไป. ความคิดของการจากไปได้เป็นจริงมากขึ้นมาในทันทีกับเขากว่าที่มันเคยได้เป็นมาก่อน. เขาหวนนึกถึงอะไรอีกอย่างที่หญิงชราได้บอกเกี่ยวกับพิภพที่เป็นที่รวมของอะไรมากมาย---ผู้คน,
ฝุ่นธุลี, สิ่งกำลังเจริญเติบโต, เหล่าดวงจันทร์, เหล่ากระแสน้ำ,
เหล่าดวงอาทิตย์---จำนวนมากมายของอะไรที่ยังไม่รู้ที่เรียกว่า ธรรมชาติ, ข้อสรุปคลุมเคลือปราศจากสัมผัสของ
ปัจจุบัน. และเขาสงสัยว่า: อะไรคือ ปัจจุบัน?
ประตูข้ามจาก พอลไปเปิดออกและร่างอัปลักษณ์เทอะทะของชายผู้หนึ่งถลาเซผ่านมันเข้ามานำหน้ามาด้วยสรรพาวุธทั้งหลาย.
“เอาละ, เกอร์นีย์ ฮาลเล็ค,” พอล พูด,
“ท่านเป็นปรมาจารย์แห่งอาวุธคนใหม่รึ?”
ฮาลเล็ค
เตะประตูปิดด้วยส้นเท้าข้างหนึ่ง.
“เจ้าน่าจะชอบให้ข้าได้มาเล่นเกมกัน, ข้ารู้,” เขาพูด. เขาเหลียวไปรอบห้อง,
สังเกตได้ว่าคนของฮาวัตได้จัดการมันไปเรียบร้อยแล้ว, ตรวจตรา,
ทำให้แน่ใจได้ว่าทายาทของดยุคนี้ปลอดภัย.
เครื่องหมายรหัสนัยอยู่ทั่วไปหมดรอบๆ.
พอล มองดูชายอัปลักษณ์,
กำลังกลิ้งเข้ามาติดตั้งตนเองกลับคืนสู่การเคลื่อนไหว, เบนทิศทางมายังโต๊ะฝึกพร้อมด้วยอาวุธพะรุงพะรังนั้น,
เห็นพิณบาลิเส็ทเก้าสายแกว่งแขวนอยู่บนบ่าของ เกอร์นีย์
พร้อมด้วยที่ดีดสารพันเหน็บสอดผ่านสายเหล่านั้นใกล้กับตอนหัวของแผ่นวางนิ้ว.
ฮัลเล็ค ทิ้งอาวุธพวกนั้นลงบนโต๊ะฝึกนั้น,
จัดเรียงพวกมัน---กระบี่, กริชเล่มเล็ก, มีดไคนด์จัล, กระสุนเม็ดยาสลบแบบช้า, เข็มขัดโล่หืพลัง.
รอยแผลเป็นเถาดำเลื้อยไปตามแนวกรามบิดเบี้ยวเมื่อเขาหัน,
แยกยิ้มข้ามห้องมา.
“แล้วเจ้าก็ไม่ทักทายอรุณสวัสดิ์ให้กับข้าเลยรึ,
เจ้าภูติหนุ่ม,” ฮัลเล็ค พูด. แล้วหนามไหน่อะไรที่เจ้าเอาไปทิ่มก้น
ฮาวัตเฒ่า? เขาผ่านข้าไปที่ในโถงเหมือนคนที่กำลังวิ่งรีบไปงานศพศัตรูของเขาเลย.”
พอล ยิ้ม. ในบรรดาคนของบิดาของเขา, เขาชอบ เกอร์นีย์
ฮัลเล็ค ที่สุด, รู้ถึงอารมณ์และโทสะอันร้ายกาจของชายผู้นี้, อารมณ์ขัน
ของเขา, และคิดว่าเขาเป็นเพื่อนมากกว่ามือดาบรับจ้าง.
ฮัลเล็ค เหวี่ยงพิณบาลิเส็ทออกจากไหล่ของเขา,
เริ่มต้นตั้งเสียงมัน. “ถ้าเจ้าไม่พูด,
เจ้าก็ไม่,” เขาพูด.
พอล ยืน, ก้าวข้ามห้องไป, เรียกออกไป: “เอาละ, เกอร์นีย์,
เราต้องมาเตรียมดนตรีกันทั้งที่เป็นเวลาของการต้อสู้ด้วยรึ?””
“ง้นมันก็เศร้าสำหรับผู้เฒ่าพวกเราในวันนี้,”
ฮัลเล็ค พูด.
เขาพยายามลองคอรืดกับเครื่องดนตรีนั้น, แล้วพยักหน้า.
“ดันแคน ไอดาโฮ ไปไหนรึ?” พอล ถาม. “เขาไม่ใช่รึที่คาดว่าจะเป็นผู้มาสอนข้าในการใช้อาวุธ?”
“ดันแคนไปเพื่อนำคลื่นลูกที่สองให้กับ
อาร์ราคิส,” ฮัลเล็ค พูด.
“ทั้งหมดที่พวกท่านเหลือไว้ก็คือ เกอร์นีย์
ผู้น่าสงสารผู้ใหม่สดออกมาจากการสู้รบและเสียคนไปกับดนตรี.” เขดีดลงไปอีกคอรืด,
ฟังมัน, ยิ้ม.
“และมันได้ถูกตัดสินใจในคณะกรรมการว่าเจ้านั้นช่างเป็นนักสู้ที่น่าสงสารมากและทางที่ดีที่สุดเราควรจะสอนการช่างฝีมือดนตรีเพื่อที่เจ้าจะได้ไม่เสียเวลาในชีวิตไปทั้งหมด.”
“บางทีท่านน่าจะขับลำนำให้ข้าเลยงั้น,”
พอล พูด. “ข้าอยากจะให้แน่ใจว่า จะ ไม่ทำ
มันได้อย่างไรดี.”
“อ้า-ห-ห, ฮ๊า!” เกอร์นีย์ หัวเราะ,
และเขาก็เหวี่ยงเข้าไปสู่ “สาวๆกาแล็คเซี่ยน,”
เขาดีดสลับพร่ารัวไปเนื้อสายพิณนั้นและร้องขับขาน:
“โอ-ว-ว, สาวกาแล๊กเซี่ยนเอย
จะทำมันเพื่อมุกข์,
และชนอาร์ราคีนเพื่อน้ำ!
แต่ถ้าหากเจ้าปรารถนาหญิงสูงศักดิ์
เหมือนดังเช่นบริโภคเปลวไฟ
ลองธิดาแห่งคาลาดานสิ,
จะดีนัก.
“ไม่เลวเลยสำหรับมือแย่ๆนั่นกับปิ๊คดีด,”
พอล พูด, “แต่ถ้ามารดาของข้าได้ยินที่เจ้าร้องเพลงตลกหยาบคายเช่นนั้นที่ในปราสาทนี้ล่ะก็,
ท่านคงเอาหูของเจ้าออกมาติดประดับไว้ที่ฝาผนังเลยแน่.”
เกอร์นีย์
ดึงหูข้างซ้ายของเขา. “เครื่องประดับที่แย่, ด้วยสิ, พวกมันนั่นน่ะถูกทารุณจนบอบช้ำนักในการฟังที่รูกุญแจขณะที่หนุ่มน้อยที่ข้ารู้จักกำลังฝึกฝนเพลงสั้นๆกับพิณของเขาอยู่.”
“งั้นเจ้าก็ได้ลืมว่าอะไรที่มันเหมือนเจอทรายในเตียงของเจ้าสินะ,”
พอล พูด. เขาดึงเข็มขัดโล่ห์พลังจากโต๊ะ,
คาดผนึกเข้าที่รอบเอวของเขาง “แล้ว, มาสู้กันเถิด!”
ดวงตาของ
ฮัลเล็ค เบิกกว้างในท่าทางล้อเลียนแปลกใจ.
“งั้น! เป็นมือชั่วร้ายของเจ้าที่ได้ทำเรื่องนั้นสินะ!
ป้องตนเองให้ดีในวันนี้เทียว, นายน้อย---ป้องตัวเองไว้ให้ดี.” เขากุมกระบี่,
สะบัดมันไปในอากาศ.
“ข้าคือปีศาจร้ายออกมาเพื่อล้างแค้น!”
พอล
ยกกระบี่ขึ้นคู่กันขึ้นมา, งอมันด้วยมือของเขา, ยืนอยู่ในท่า อะไจลิ์,
เท้าข้างหนึ่งก้าวไปข้างหน้า. เขาปล่อยให้กิริยาของเขาเป็นเคร่งขรึมลอกเลียนท่าทางการ์ตูนของ
ดร.เหยา.
“ช่างเป็นคนโง่เง่าอะไรเช่นนี้ที่บิดาข้าส่งมาให้ซ้อมอาวุธ,”
พอล ร้องขับขาน. “ผู้โง่เง่าฮัลเล็ค
เกอร์นีย์นี้ได้ลืมเลือนบทเรียนแรกสำหรับนักสู้ในการติดอาวุธและโล่ห์.” พอล
ตบปุ่มเปิดพลังมี่เอวของเขา, รู้สึกถึงสัมผัสที่ผิวกายยุบยิบขึ้นมาจากสนามพลังป้องกันที่หน้าผากของเขาและลงไปตามหลังของเขา,
ได้ยินเสียงภายนอกหึ่งราบเรียบในลักษณะโล่ห์กรองพลัง. “ในการต่อสู้ด้วยโล่ห์พลัง,
ผู้นั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วในการป้องกัน, เชื่องช้าในการโจมตี,” พอล พูด. “การโจมตีมีจุดประสงค์หลักของการหลอกล่อให้คู่ต่อสู้เสียหลัก,
ต้อนเขาให้ไปสู่การจู่โจมมุ่งร้าย.
โล่ห์พลังปัดป้องการฟาดฟันที่รวดเร็ว, แต่ยอมรับกริชที่เชื่องช้า!” พอล สะบัดกระบี่ขึ้น,
โจมตีลวงรวดเร็วและฟาดมันกลับเข้าหาการทิ่มแทงอย่างเชื่องช้าเพื่อเข้าไปในจุดไม่ระวังของการป้องกัน.
ฮัลเล็ค
เฝ้าดูการกระทำนั้น,
หมุนหันในนาทสุดท้ายเพื่อปล่อยให้คนกระบี่พลาดผ่านหน้าอกของเขาไป. “ความเร็ว, ยอดเยี่ยม,” เขาพูด. “แต่เจ้าได้เปิดกว้างสำหรับมือที่อ่อนด้อยกว่าโจมตีกลับด้วยการแทงพลาดนี้.”
พอล
ก้าวถอยกลับ, ผิดหวัง.
“ข้าควรจะสะบัดฟาดที่ด้านหลังของเจ้าสำหรับความไม่ระมัดระวังนี้,”
ฮัลเล็ค บอก.
เขายกกริชเปลือยคมขึ้นมาจากโต๊ะและชูมันขึ้น.
“นี่อยู่ในมือของศัตรูสามารถทำให้เลือดของชีวิตเจ้าไหลหลั่งออกมาได้!
เจ้าเป็นนักเรียนที่ปราดเปรื่อง, ไม่มีใครเทียมทัน,
แต่ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าได้ทำล้อเล่นปล่อยให้ใครเข้าไปข้างในการป้องกันของเจ้าด้วยความตายอยู่ในมือของเขาได้.”
“ข้าเดาเอาว่าข้าไม่มีอารมณ์สำหรับมันในวันนี้,”
พอล พูด.
“อารมณ์รึ?”
เสียงของฮัลเล็คทรยศต่อความเดือดดาลของเขากระทั่งผ่านโล่ห์กรองพลังออกมา. “การมีอารมณ์มาเกี่ยวข้องอะไรกับมันด้วย?
เจ้าต่อสู้เมื่อความจำเป็นมีขึ้น---ไม่ว่าอารมณ์จะเป็นเช่นไร!
อารมณ์คือสิ่งสำหรับโคกระบือหรือทำรักหรือเล่นพิณบาลิเซ็ท. มันไม่ใช่มีกับการต่อสู้.”
“ข้าเสียใจ,
เกอร์นีย์”
“เจ้ายังไม่เสียใจพอ!”
ฮัลเล็ค
เปิดการทำงานโล่ห์พลังของตน, ย่อกายลงโดยยื่นกริชไคนด์จัลออกมาข้างหน้าในมือซ้าย,
กระบี่ชูสูงขึ้นในมือขวาของเขา.
“ตอนนี้ข้าขอบอกว่าให้ป้องกันตัวเจ้าให้ดีเลย!”
เขากระโจนสูงไปยังอีกด้านหนึ่ง, แล้วมาข้างหน้า, โจมตีอย่างดุดันในฉับพลัน.
พอล
ถอยหลัง, หลบหลีก.
เขารู้สึกได้ว่าโล่ห์พลังกำลังดังปะทุขณะที่ขอบของโล่ห์สัมผัสกันและถุกยันกันไว้ซึ่งกันและกัน,
รู้สึกถึงปะจุไฟฟ้าซ่านซ่ากระทบมาตามผิวหนังของเขา. อะไรเข้าไปสิงสู่ เกอร์นีย์ รึ?
เขาถามตนเอง. เขาไม่ได้ล้อเล่นแล้วในการนี้! พอลเคลื่อนขยับมือซ้ายของเขา,
ทิ้งกริชบ็อดกินลงสู่อุ้งมือของเขาออกจากฝักทของมัน.
“เจ้ารู้แล้วสินะว่าจำเป็นต้องใช้มีดพิเศษ,
เอ๋?” ฮัลเล็คกร่นคำราม.
นี่เป็นการทรยศรึ? พอล กังขา. ไม่ใช่ เกอร์นีย์ แน่ๆ!
พวกเขาต่อสู้กันไปรอบๆห้อง—ทิ่มแทงและถอยหลบ,
โจมตีลวงและตอโต้หลอกล่อ.
อากาศภายในโล่ห์พลังของพวกเขาเป็นเป็นฟองเริ่มกลิ่นอับจากการใช้งานบนมันที่สับเปลี่ยอย่างช้าๆไปตามริมขอบกั้นที่ไม่อาจเสริมพลังได้. ในแต่ละการปะทะกันใหม่ของโล่ห์พลัง,
กลิ่นของโอโซนก็ยิ่งแรงขึ้น.
พอล
ยังคงถอยต่อไป, แต่ตอนนี้เขากำกับการถอยหล่นของเขาไปยังโต๊ะฝึกฝน. ถ้าฉันสามารถหันเขาไปที่ข้างโต๊ะนี้ได้,
ฉันจะแสดงให้เขาเห็นกลเม็ดสักอย่างหนึ่ง, พอล คิด. อีกก้าวหนึ่ง, เกอร์นีย์.
ฮัลเล็ค
ใช้ก้าวนั้น.
พอล
กำกับปัดป้องลงไป, หมุน, เห็นกระบี่ของ ฮัลเล็คจับเขาที่มุมขอบของโต๊ะ. พอล ปลิวร่างของตนไปยังด้านข้าง,แทงสูงด้วยกระบี่และเข้าไปพาดผ่านลำคอของ
ฮัลเล็ค ด้วยกริชบ็อดกิน.
เขาหยุดมีดไว้ที่ห่างจากคอหอยหนึ่งนิ้ว.
“นี่คืออะไรที่เจ้าเสาะหาอยู่รึ?”
พอล กระซิบ.
“ก้มมองลงไปสิ,
เจ้าหนุ่ม,” เกอร์นีย์ หอบหายใจ.
พอล
เชื่อตาม, เห็น กริชไคนด์จัลของ ฮัลเล็ค แทงลอดใต้ขอบริมโต๊ะ,
ปลายเกือบจรดถึงท้องน้อยของ พอล.
“เราได้ร่วมกันบันเทิงกับความตายซึ่งกันและกันล”
ฮัลเค พูด. “แต่ข้าเห็นจะต้องยอมรับว่าเจ้าต้อสู้ได้ดีขึ้นบ้างเมื่อถูกกดดันไปหามัน. เจ้าดูเหมือนว่าจะมี อารมณ์ ขึ้นมาสินะ.” และเขายิ้มดุจหมาป่า,
แผลเป็นรอยดุจเส้นหมึกไหวคลื่นไปตามกรามของเขา.
“วิธีที่เจ้าเข้ามาหาข้า,”
พอล บอก. “เจ้าจะเรียกเลือดจากข้าให้ได้จริงๆหรือ?”
ฮับลเล็ค
ดึงกริชไคนด์จัลของเขากลับ, ยืดเหยียดตรง.
“ถ้าเจ้าต่อสู้เพียงนิดเดียวหนึ่งภายใต้ความสามารถทั้งหลายของเจ้า. ข้าเป็นได้ขีดข่วนดีสักแผลหนึ่งให้เจ้าแน่, แผลเป็นที่เจ้าจะได้จดจำ.
ข้าจะไม่ให้ศิษย์คนโปรดของข้าล้มให้กับเจ้าจรจัดฮาร์คอนเนนแรกที่โผล่มาเจอเจ้าแน่ๆ.
พอล
ปิดการทำงานโล่ห์พลังของเขา เอนร่างข้ามพิงกับโต๊ะเพื่อสูดลมหายใจ. ข้าสมควรได้รับเช่นนั้น, เกอร์นีย์. แต่มันน่าทำให้บิดาของข้าโมโหแน่ถ้าเจ้าทำร้ายข้า.
ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าถูกทำโทษเพราะความล้มเหลวของข้าหรอก.”
“ดังเช่นนั้นแล้ว,”
ฮัลเล็ค พูด, “มันก็เป็นความล้มเหลวของข้าด้วย, เช่นกัน.
และเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องแผลเป็นจากการฝึกฝนหนึ่งหรือสองแผลหรอก. เข้านั้นโชคดีแล้วที่เจ้ามีแค่นิดหน่อย. สำหรับบิดาของเจ้านั้น—ท่านดยุคลงโทษข้าก็แต่เพียงว่าข้านั้นล้มเหลวที่จะสร้างนักต่อสู้ระดับชั้นหนึ่งออกมาจากเจ้าไม่ได้เท่านั้นเอง. และข้าได้ล้มเหลวเช่นนั้นแน่ถ้าข้าไม่ได้อธิบายถึงเหตุผลวิบัติในการใช้
อารมณ์ เช่นนี้ที่เจ้าได้พัฒนามันขึ้น.”
พอล
หยัดร่างขึ้นตรง, สอดเลื่อนกริชบ็อดกินกลับเข้าฝักของมันที่ข้อมือของเขา.
“มันไม่ใช่อะไรที่เราเล่นกันอยู่ในที่นี้อย่างแน่ชัดเลย,”
ฮั้ลเล็ค บอก.
พอล
พยักหน้ารับ.
เขารู้สึกถึงสัมผัสของความกังขาที่มีต่อท่าทีจริงจังอันไม่ใช่ลักษณะกิริยาท่าทางเช่นเคยของ
ฮัลเล็ค, ความสุขุมเข้มขลังเช่นนี้. เขามองดูรอยแดง-ดำเข้มดุจเส้นหมึกของแผลเป็นที่กรามของชายผู้นี้,
จำได้ถึงเรื่องราวเล่าขานกันว่ามันได้ถูกจารึกลงไปที่นั่นโดย บีสต์ รับบาน
ที่ในหลุมทาสของฮาร์คอนเนนบน ไกดี ไพร์ม.
และ พอล รู้สึกละอายขึ้นมาในทันทีที่เขาได้คาดเดาสงสัยในตัวของ ฮัลเล็ค
แม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง. มันเกิดขึ้นกับ
พอล, แล้ว, ว่าการทำแผลเป็นของ ฮัลเล็ค นั้นได้ได้คลอร่วมไปกับความเจ็บปวด—ความเจ็บปวดที่เข้มข้น,
บางที, ดุจเดียวกับที่ แม่อธิการ ได้สร้างไว้กับเขา. เขาผลักความคิดนี้ของตนออกไปข้างๆ;
มันทำให้โลกของพวกเขาเย็นยะเยือก.
“ข้าเดาเอาว่าข้าหวังในวันนี้ที่จะได้เล่นบ้างสักอย่าง,”
พอล พูด.
“อะไรๆช่างเคร่งเครียดจริงจังไปหมดรอบๆบริเวณนี้เลย.”
ฮัลเล็ค
หันหนีไปเพื่อซ่อนอารมณ์รู้สึกของเขา.
อะไรบางอย่างร้อนผ่าวอยู่ในดวงตาของเขา.
มีความเจ็บปวดในร่างเขา—เหมือนกับแผลพุพอง, ทั้งหมดที่ทิ้งเหลือไว้ของวันวานที่สูญหายไปซึ่ง
เวลา ได้ตัดทอนมันไปจากเขา.
ช่างรวดเร็วนักที่เด้กชายนี้ต้องรับผิดชอบต่อความเป็นชายชาตรีของเขา, ฮัลเล็ค คิด. ช่างรวดเร็วนักที่เขาต้องอ่านรูปทรงนั้นภายในจิตใจของเขา,
สัญญาตกลงของภยันตรายอันโหดเหกี้ยม, ที่จะเข้าไปสู่ความจริงอันจำเป็นบนบรรทัดที่จำเป็นนนี้ที่ว่า
“กรุณาลงรายชื่อญาติถัดไปของท่าน.”
ฮัลเล็ค
พูดโดยไม่หันกลับมา: “ข้ารู้สึกได้ถึงการเล่นนั้นในตัวเจ้า, หนุ่มน้อย,
และข้าคงไม่ชอบใจอะไรดีไปกว่าที่จะเข้าร่วมในกับมัน. แต่เรื่องนี้ไม่อาจสามารถเล่นอีกต่อไปได้. พรุ่งนี้เราจะไปยัง อาร์ราคีส. อาร์ราคีส คือ ของจริง. พวกฮาร์คอนเนนส์ คือ ของจริง.”
พอล
แตะหน้าผากของเขาด้วยกระบี่ของตนที่ถือในแนวตั้ง.
ฮัลเล็ค
หันกลับมา, ได้เห็นการทำวันทยาวุธนั้นและรับทราบมันด้วยการผงกศีรษะ. เขาชี้ไปที่หุ่นดัมมี่ฝึกซ้อม. “ทีนี้, เราจะทำงานกับเวลาของเจ้าที่มีอยู่.
ขอให้ข้าได้เห็นเจ้ารับมือกับตัวอุบาทว์นั่นที. ข้าจะควบคุมมันจากตรงนี้ที่ซึ่งข้าสามารถมองดูการต่อสู้ได้อย่างเต็มที่.
และข้าขอเตือนเจ้าด้วยว่าข้าจะลองการบุกเข้าโจมตีแบบใหม่ในวันนี้.
นี่เป็นคำเตือนที่เจ้าจะไม่มีวันได้จากศัตรูจริงๆคนไหน.”
พอล
ยืดร่างขึ้นบนนิ้วเท้าของเขาเพื่อคลายกล้ามเนื้อของตน.
เขารู้สึกเคร่งขรึมขึ้นมาด้วยการตระหนักรู้ในทันทีว่าชีวิตของเขาได้กลายเป็นเต็มไปด้วยความแปรเปลี่ยนผันไป. เข้าเดิมข้ามเข้าไปหาหุ่นดัมมี่, สะบัดฟาดปุ่มเปิดทำงานที่หน้าอกของมันด้วยกระบี่ของเขาและรู้สึกสนามพลังป้องกันได้ผลักเบนคมมีดของเขาไป.
“เอน
การ์เด!” ฮัลเล็ค เรียก, และหุ่นดัมมี่นั้นกดดันโจมตีเข้าใส่.
พอล
เปิดโล่ห์พลังของเขา, ถอยหลบและตอบโต้.
ฮัลเล็ค
เฝ้าดูขณะที่เขาควบคุมการทำงานของมัน.
จิตใจของเขาดูเหมือนจะแบ่งออกเป็นสองส่วน: หนึ่งนั้นตื่นตัวกับความจำเป็นของการฝึกฝนต่อสู้,
และอีกอย่างหนึ่งนั้นล่องลอยไปกับเสียงหึ่งๆ.
ข้าคือต้นไม้ผลที่ฝึกฝนมาดี,
เขาคิด. เต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกและความสามารถทั้งหลายที่ฝึกฝนมาดีและทั้งหมดของพวกมันนั้นแผ่กิ่งก้านมายังข้า---ทั้งหมดนั้นผลิผลอุดมสำหรับใครอื่นบางคนจะเก็บหยิบสอยไป.
ในบางเหตุผล,
เขาหวนนึกถึงน้องสาวของเขา, ใบหน้าเรียวรีรูปไข่ช่างชัดเจนเหลือเกินในจิตใจของเขา.
แต่เธอเสียชีวิตไปแล้วในตอนนี้—ในบ้านแสนสุขโดยฝีมือกองทัพฮาร์คอนเนน. เธอชอบดอกแพนซี่...หรือว่าเป็นดอกเดซี่นะ? เขาจำมันไม่ได้. มันรบกวนใจเขาที่เขาไม่สามารถจำมันได้.
พอล
โจมตีด้วยการเหวี่ยงอย่างเชื่องช้ายังหุ่นดัมมี่, ดึงมือซ้ายของเขา อองเตรทิสแซริ์.
นั่นฉลาดมากเจ้าปีศาจน้อย! ฮัลเล็ค คิด, หันมาใส่ใจในตอนนี้กับท่าทางการเคลื่อนไหวมือไขว้ประสานของ
พอล. เขาสได้ฝึกฝนมาและได้ศึกษาด้วยตนเอง. นั่นไม่ใช่รูปแบบของ ดันแคน, และชัดเจนเลยว่าไม่ใช่อะไรที่ข้าได้สอนเขาไป.
ความคิดนี้เพียงแค่เติมลงไปให้กับความเศร้าใจของ
ฮัลเล็ค. ข้าติดเชื้อไปกับอารมณ์ที่ว่านั่นแล้ว,
เขาคิด.
และเข้าเริ่มที่จะสงสัยในตัวของ พอล,
ถ้าเด็กชายคนนี้จะได้เคยเอาหมอนปิดหัวหูยามนอนด้วยความหวาดกลัวอะไรบ้างไหม.
“ถ้าความปรารถนาคือปลาที่เราได้ติดมากับร่างแห,”
เขาพึมพัม.
มันเป็นประโยคอุทานออกมาของมารดาของเขาและเขามักจะใช้มันเมื่อเขารู้สึกถึงความมืดมนของวันพรุ่งนี้ที่มีต่อเขา.
แล้วเขาคิดว่าช่างเป็นการแสดงออกที่น่าประหลาดที่จะมามีต่อดาวเคราะห์นั้น,
ที่ไม่เคยได้รู้จักถึงทะเลและปลาอะไรเลย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น