หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2563

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ท - ดูน พิภพทราย (4)

 

หยัว (ยูอี), เวลลิงตัน (เวลิง-ตัน), มตรฐ 10, 082-10,191;  แพทย์เวชกรรมแห่ง สิกขาวิทยาลัย(สำเร็จกศ. มตรฐ. 10,112); วก: วรรณา มาร์คัส, บ.จ. (มตรฐ 10,092-10,186?); หลักใหญ่บันทึกว่าคือผู้ทรยศต่อ ดยุค เลโต อะไทรดิส.  (ลก: อัตประวัติ, ภาคผนวก 7 [สถานะแห่งจักรวรรดิ] และการทรยศ.)

        

         -- จาก “พจนานุกรม แห่ง มวดดิบ” โดย เจ้าหญิงอีร์รูลาน

 

         ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยิน ดร.หยัว เข้ามาในห้องฝึกฝน, สังเกตได้จากการก้าวอย่างหนักแน่นสุขุมรอบคอบของชายผู้นี้,พอล ยังคงเหยียดยาวคว่ำใบหน้าอยู่บนโต๊ะฝึกฝนที่ซึ่งผู้นวดได้ทิ้งเขาไว้เช่นนั้น.  เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างเพลิดเพลินหลังจากการฝึกหนักกับ เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค.

         “เธอดูท่าทางสบายเลยนะ,” หยัว กล่าว, ในน้ำเสียงสงบ, เรียบสูงของเขา.

         พอล ยกศีรษะของเขาขึ้น, มองเห็นร่างทื่อแข็งของชายนั้นกำลังยืนห่างไปหลายก้าว, ชำเลืองเห็นเสื้อคลุมดำสั่นไหว, ศีรษะรูปเหลี่ยมจตุรัสของชายผู้นี้ที่มีริมฝีปากสีม่วงและไว้เคราห้อย, รอยสักรูปเพชรแห่ง สถานะแห่งจักรวรรดิบนหน้าผากของเขา, ผมสีดำยาวมวยมัดแบบสิกขาวิทยาลัยด้วยแหวนเงินเคลียละอยู่ที่ไหล่ซ้าย.

         “เธอจะมีความสุขมากที่ได้ยินว่าเราไม่มีเวลาสำหรับบทเรียนตามปกติในวันนี้,” หยัว บอก.  “บิดาของเธอจะตามมาในไม่ช้านี้.”

พอล ลุกขึ้นนั่ง.

         “อย่างไรก็ดี, ฉันได้ปรับเปลี่ยนสำหรับเจ้าให้ได้มีเครื่องดูฟิล์มหนังสือและหลายๆบทเรียนระหว่างที่เดินทางไปยัง อาร์ราคิส.”

         “โอ.”

         พอล เริ่มต้นสวมเสื้อผ้าของตน.  เขารู้สึกถึงความตื่นเต้นที่ว่าบิดาของเขาจะกำลังมาหา.  พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันน้อยนิดมากตั้งแต่ จักรพรรดิมีโองการบัญชาให้ไปครองศักดินาที่ อาร์ราคิส นั้น.

         หยัว ข้ามมายังโต๊ะรูปวงรี, คิดอยู่ว่า: เด็กชายผู้นี้ช่างเติบใหญ่ขึ้นชั่วสองสามเดือนที่ผ่านมานี้.  ช่างน่าสูญเปล่าเหลือเกิน! โอ, ช่างน่าสูญเปล่าเศร้าใจยิ่งนัก.  และเขาหวนนึกได้ถึงตนเอง: ข้าต้องไม่ลังเลขึ้นมา.  อะไรที่ข้าต้องทำได้เสร็จสิ้นแน่ชัดแล้วว่าวันนาของฉันจะไม่ถูกทำให้เจ็บปวดอีกต่อไปโดยพวกสัตว์ป่าฮาร์คอนเนน.

         พอล ร่วมกับเขาที่โต๊ะ, กลัดกระดุมเสื้อแจ็คเก็ตของเขา.  “ข้าจะต้องเรียนรู้อะไรในระหว่างการเดินทางข้ามไปนั้หรือ?”

         “อา-อา-อา, รูปแบบสิ่งมีชีวิตแห่ง อาร์ราคิส.  ดาวเคราะห์นั้นดูเหมือนว่าได้เปิดอ้าแขนของมันให้กับรูปแบบสิ่งมีชีวิตที่จำเพาะเจาะจง.  มันไม่แน่ชัดนักว่าอย่างไร.  ฉันต้องเสาะค้นหาตัวนักนิเวศวิทยาดาวเคราะห์นี้ให้ได้เมื่อเราเดินทางไปถึง---ดร.ไคนิ์ส—และเสนอความช่วยเหลือของฉันให้กับเขาในการสืบค้นตรวจสอบ.”

         และ หยัว คิด: ข้ากำลังพูดอะไรอยู่รึ? ข้าเล่นตีสองหน้าแม้กระทั่งกับตนเอง.

         “จะมีอะไรเกี่ยวกับพวกฟรีเมนบ้างไหม?” พอล ถาม.

         “พวกฟรีเมนรึ?” หยัว เคาะนิ้วรัวลงบนโต๊ะนั้น, เมื่อเห็น พอล กำลังจ้องมองอากัปกิริยากระวนกระวายนี้, ก็ถอนมือของเขาขึ้นมาทันที.

         “บางทีท่านทราบอะไรบางอย่างในเรื่องประชากรอาร์ราคีนทั้งหมดนั้น,” พอล พูด.

“ใช่, ให้แน่ใจได้เลย,” หยัว พูด.  “โดยทั่วไปแล้วแยกกันอยู่สองประเภทของผู้คนเหล่านั้น—ฟรีเมน, พวกเขาเป็นกลุ่มหนึ่ง, และอีกพวกหนึ่งคือผู้คนแห่งถิ่นที่พื้นผิว, ที่หล่ม, และที่กว้าง.  มีการแต่งงานข้ามกลุ่มกัน, ฉันบอกได้.  สตรีในหมู่บ้านถิ่นที่กว้างและที่หล่มชอบมีสามีฟรีเมนมากกว่า; พวกบุรุษของพวกเขาก็ชอบที่จะมีภรรยาฟรีเมนเช่นกัน.  พวกเขาได้พูดกันว่า: “ผู้เงางามนั้นมาจากในเมือง; แต่ผู้มีปัญญามาจากทะเลทราย.”

         “ท่านมีรูปภาพของพวกเขาไหม?”

         “ฉันจะดูว่าพอจะหาให้เธอได้.  สิ่งรูปโฉมที่น่าสนใจมากที่สุด, แน่นอน, คือดวงตาของพวกเขา—เป็นสีฟ้าทั้งหมดยิ่งนัก, ไม่มีสีขาวในพวกนั้นเลย.”

         “การกลายพันธุ์รึ?”

         “ไม่หรอก; มันเชื่อมโยงกับความอิ่มตัวของเลือดด้วยเครื่องเทศเจือเมลานจิ์.”

         “พวกฟรีเมนต้องเป็นกล้าหาญอย่างมากที่อาศัยอยู่ริมขอบของทะเลทรายนั้นได้.”

         “ทั้งหลายทั้งปวงแล้ว,” หยัว พูด.  “พวกเขาประพันธ์กวีให้กับมีดของพวกเขา.  สตรีของพวกเขานั้นดุร้ายได้เท่าๆกับบุรุษ.  กระทั่งเด็กๆฟรีเมนก็ดุร้ายและอันตรายยิ่ง.  เธอจะต้องไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปปะปนกับพวกนั้น, ฉันกล้าบอกได้เลย.”

         พอล จ้องมอง หยัว, พบว่าในเหลือบชำเลืองเล็กน้อยยังพวกฟรีเมนมีพลังในคำเหล่านั้นที่จับความสนใจทั้งหมดของเขาได้.  ช่างเป็นผู้คนที่น่าเอาชนะมาเป็นเช่นพันธมิตรนัก!

         “และหนอนพวกนั้นล่ะ?” พอล ถาม.

         “อะไรหรือ?”

         “ข้าอยากจะศึกษาให้มากขึ้นเกี่ยวกับพวกหนอนทะเลทราย.”

         “อา-อา-อา, แน่ใจได้เลย.  ข้ามีฟิล์มหนังสืออยู่หนึ่งในตัวอย่างเล็กๆนั่น, แค่ยาวหนึ่งร้อยสิบเมตรและมีเส้นผ่าศูนย์กลางยี่สิบ-สองเมตร. มันมีอยู่ทางดินแดนเส้นรุ้งตอนเหนือ.  พวกหนอนที่มีความยาวมากกว่าสี่ร้อยเมตรได้ถูกบันทึกไว้โดยประจักษ์พยานที่น่าเชื่อถือ, และมีเหตุผลที่เชื่อได้ว่ากระทั่งใหญ่กว่านั้นก็น่าจะมีอยู่.”

         พอล เหลือบลงมองยังตารางรูปกรวยฉายชี้ที่ทางเส้นรุ้งตอนเหนือของอาร์ราคีสบนโต๊ะ.  “แนวคาดทะเลทรายและแถบขั้วโลกใต้ถุกลงบันทึกไว้ว่าไม่มีผู้คนอยู่อาศัย.  มันเป็นเพราะพวกหนอนนั่นรึ?”

         “และพวกพายุ.”

         “แต่ที่ไหนก็น่าจะสามารถอาศัยอยู่ได้ง”

         “ถ้ามันคือความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ,” หยัว พูด.  “อาร์ราคิส มีภาวะอันตรายในค่าใช้จ่ายอยู่มาก.”  เขาลูกเรียบเรียวเคราที่ห้อยอยู่ของตน.  “บิดาของเธอจะมาที่นี่ในไม่ช้านี้.  ก่อนที่ฉันจะไป, ฉันจะให้ของขวัญกับเธอ, บางอย่างที่ฉันเจอเข้าตอนจัดเก็บข้าวของ.”  เขาวางวัตถุหนึ่งลงบนโต๊ะระหว่างพวกเขาทั้งสอง—ดำ, ยาว, ไม่ใหญ่ไปกว่าปลายนิ้วหัวแม่มือของ พอล.

         พอล มองดูมัน.  หยัว สังเกตได้ว่าเด็กชายนี้ไม่ได้รีบอื้อมมือเข้าไปหามันอย่างไร, และคิด: เขาช่างระมัดระวังตัวนัก.

         “มันเป็นไบเบิ้ล โอเรนจิ์ คาธอลิค ที่เก่ามาก ทำขึ้นมาสำหรับผู้เดินทางในอวกาศ.  ไม่ใช่ฟิล์มหนังสือ, แต่พิมพ์ลงบนกระดาษไส้ไฟฟ้าเส้นใย.  มันมีระบบขยายและชาร์จประจุของตนเอง .”  เขาหยิบมันขึ้นมาสาธิต.  “หนังสือถูกยึดไว้ใกล้กับที่ชาร์จ, ซึ่งบังคับอยู่ด้วยสปริงล็อคฝาปิด.  เธอกดที่ขอบ—กระนั้น, และหน้ากระดาษที่เธอเลือกแยกเปิดออกจากกันแล้วหนังสือก็จะเปิดออก.

         “มันช่างเล็กมาก.”

         “แต่มันมีอยู่หนึ่งพันแปดร้อยหน้า.  เธอกดที่ริมขอบ—กระนั้น, แล้วก็...และตราขยับข้างบนทีละหน้าในแต่ละครั้งเมื่อเธออ่าน.  อย่าได้แตะที่หน้ากระดาษจริงด้วยนิ้วของเธอ.  เยื่อเส้นใยนี้บอบบางมาก.”  เขาปิดหนังสือ, ยื่นมาให้ พอล.  “ลองมันดูสิ.”

       หยัว เฝ้าดู พอล ทำงานปรับเลื่อนหน้ากระดาษ, และคิด: ฉันช่วยบรรเทาสำนึกของตัวฉันเอง.  ฉันให้เขาด้วยการยุติของศาสนาก่อนการทรยศต่อเขา.  กระนั้นบางทีขอให้ฉันได้พูดกับตัวฉันเองว่าเขาได้จากไปในที่ซึ่งฉันไม่สามารถไปได้.

       “นี่ต้องถูกทำขึ้นมาก่อนมีฟิล์มหนังสือแน่ๆ,” พอล พูด.

       “มันค่อนข้างเก่าแก่.  ให้มันเป็นความลับของเรากันนะ, เอ๋?  บิดามารดาของเธออาจจะคิดว่ามันมีค่าเกินไปสำหรับคนที่ยังหนุ่มอยู่.”

       และ หยัว คิด: มารดาของเขาแน่เลยว่าคงจะสงสัยในแรงกระตุ้นของฉัน.

       “เอาละ...” พอล ปิดหนังสือ, ถือมันไว้ในมือของเขา.  “ถ้ามันมีค่ามากนัก.”

       “ดื้อดึงตามใจชั่วแล่นของคนชราเถิด,” หยัว พูด.  “มันถูกให้มาที่ฉันเมื่อตอนฉันยังเด็กมาก.”  และเขาคิด: ฉันต้องกุมจับจิตใจของเขาให้ดีดังเช่นความอยากได้ของเขา.  “เปิดมันที่หน้าสี่-หกสิบเจ็ด คาลิมะ สิ—ที่มันบอกไว้ว่า: จากน้ำนั้นเองที่ชีวิตทั้งหมดเริ่มต้น.  มีร่องเครื่องหมายบางๆ บนขอบของหน้าปกเพื่อกำหนดที่ตรงนั้น.”

       พอล สัมผัสที่ปก, ตรวจพบสองปุ่ม, หนึ่งนั้นตื้นกว่าอีกอัน.  เขากดที่ร่องที่ตื้นกว่านั้นและหนังสือคลี่เปิดออกบนฝ่ามือของเขา, มันขยายเลื่อนเข้าที่.

       “อ่านมันดังๆสิ,” หยัว บอก.

       พอล ทำริมฝีปากของตนให้เปียกชื้นด้วยลิ้นของเขา, และอ่าน: คิดว่าเจ้าแห่งความสัจที่ผู้หนวกใบ้ไม่สามารถได้ยิน.  แล้ว, อะไรที่ความหนวกใบ้นั้นอาจที่เราทั้งหมดไม่ได้ครองอยู่หรือ?  ผัสสะใดหรือที่เราขาดหายไปซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นและไม่สามารถได้ยินโลกอื่นๆที่รายล้อมรอบเราอยู่หรือ?  อะไรอยู่ที่นั้นรอบเราที่เราไม่สามารถ—“

       “หยุดมัน!” หยัว ต วาด.

       พอล หยุดชะงัก, จ้องมองเขา.

       หยัว หลับตาของเขาลง, ต้อสู้เพื่อเรียกคืนความสงบของจิตใจกลับคืนมา.  ช่างวิปริตอะไรหรือ ที่ทำให้หนังสือนี้ถูกเปิดเข้าตรงประโยคตอนที่ วันนา ของฉันโปรดปราน? เขาลืมตาขึ้น, เห็น พอลกำลังจ้องมาที่เขา.

       “มีอะไรผิดปกติหรือ?” พอล ถาม.

       “ฉันเสียใจ,” หยัว พูด.  “นั่นเป็น...บทที่ภรรยาที่เสียชีวิตไปของฉันโปรดปราน.  มันไม่ใช่บทอันที่ฉันตั้งใจให้เธออ่าน.  มันนำความทรงจำขึ้นมาที่...ปวดร้าว.”

       “มีอยู่สองรอยบาก,” พอล บอก.

       แน่นอนสิ, หยัว คิด.  วรรณา ทำรอยเน้นกำหนดบทของเธอไว้เอง.  นิ้วของเขาช่างอ่อนไหวได้มากไปกว่าของฉันที่พบรอยเครื่องหมายของเธอ.  มันเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้นเอง, ไม่มากไปกว่านี้.

       “เธอคงจะพบว่าหนังสือนี้น่าสนใจ,” หยัว บอก.  “มันมีสัจจะเชิงประวัติศาสตร์ในนั้นเช่นเดียวกับปรัชญาเชิงจริยธรรมที่ดี.”

       พอล มองลงไปยังหนังสือเล็กๆนั้นในมือของเขา—ช่างเป็นสิ่งที่เล็กเหลือเกิน.  กระนั้น, มันบรรจุไว้ด้วยความลึกลับ...อะไรบางอย่างได้บังเกิดขึ้นขณะที่เขาอ่านจากมัน.  เขาได้รู้สึกถึงอะไรบางอย่างก่อกวนเจตจำนงอันร้ายกาจของเขา.

       “บิดาของเธอจะมาที่นี่ในอีกไม่กี่นาทีนี้,” หยัว พูด.  “เอาหนังสือนั่นเก็บไว้เสียและอ่านมันในยามที่เธอว่าง.”

       พอล แตะที่ริมขอบของมันอย่างที่ หยู ได้แสดงให้เขาดู.  หนังสือนั้นปิดผนึกตนเอง.  เขาหย่อนมันใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงทูนิคของเขา.  ชั่วขณะหนึ่งนั้นที่ หยัว ได้ตวาดใส่เขา, พอล ได้กลัวว่าเขาจะเรียกเอาหนังสือนั้นกลับคืนไปเสีย.

       “ข้าขอบคุณท่านสำหรับของขวัญนี้, ดร.หยัว,” พอล พูด, ตามแบบทางการ.  “มันจะเป็นความลับของเรา.  ถ้ามีของขวัญใดที่ท่านประสงค์ปรารถนาจากข้า, ได้โปรดอย่าได้ลังเลใจที่จะบอก.”

       “ฉัน...มิได้มีอะไรจำเป็นเช่นนั้น,” หยัว พูด.

       และเขาคิด:  ทำไมฉันยืนอยู่ตรงนี้ทรมานตนเอง?  และกำลังทรมานพ่อหนุ่มที่น่าสงสารนี้...ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้รู้ถึงมัน.  ไอ้ย๊า! เจ้าห่าพวกฮาร์คอนเนนสัตว์ร้ายเอ๊ย!  ทำไมพวกมันถึงได้เลือกฉันสำหรับสิ่งเลวทรามน่าชังของพวกมันนี้?

 

 

         เราจะเข้าไปสู่การศึกษาเรื่องบิดาของ มวดดิบ ได้อย่างไรกันหรือ? ชายผู้

ละเลยความอบอุ่นและเย็นชาจนน่าประหลาดใจนั่นคือ ดยุค เลโต อะไทรดีส. 

กระนั้น, ความจริงมากมายได้เปิดหนทางต่อท่าน ดยุ ผู้นี้: ความรักที่เฝ้าคอยของ

เขาต่อท่านหญิงแห่ง เบเน เกสเสอริต ของเขา; ความฝันที่เขายึดเอาไว้เพื่อบุตรชาย

ของเขา; ความอุทิศตนให้กับผู้คนที่ได้รับใช้เขามา.  ท่านเห็นเขาที่นั้น—ชายผู้ถูกกับดักแห่งโชคชะตา, ร่างโดดเดี่ยวด้วยแสงสลัวเลือนของเขาที่เบื้องหลังความโชติช่วงชัชวาลของบุตรชายของเขา.  กระนั้น, ใครก็ย่อมต้องถามว่า: อะไรคือบุตรชายอีกเล่าถ้ามิใช่สิ่งสืบทอดมาจากบิดาของเขา?

 

           - จาก  “มวดดิบ, คำอธิบายทั้งหลายถึงครอบครัว” โดย เจ้าหญิงอีร์รูลาน

 

       พอล เฝ้าดูบิดาของเขาเข้ามาสู่ห้องฝึกฝน, เห็นพวกองครักษ์ประจำการอยู่ที่ด้านนอก.  หนึ่งในพวกนั้นปิดประตู.  ดังเช่นเคยเสมอ, พอล ประสบได้ถึงสัมผัสของ การมีปรากฏ ในบิดาของเขา, ใครบางคนสัมบูรณ์สุดใน ที่นี้.

       ดยุค เป็นผู้ร่างสูง, ผิวสีมะกอก.  ใบหน้าเรียวผอมของเขาดูขมึงเข้มในมุมมองอบอุ่นได้ก็ด้วยดวงตาสีเทาคู่นั้น.  เขาสวมเครื่องแบบทำงานสีดำมีตราประจำตระกูลสีแดงรูปเหยี่ยวที่หน้าอก.  เข็มขัดโล่ห์พลังสีเงินพร้อมสนิมคร่ำคร่าของการใช้งานมานานรัดรอบเอวขอดของเขา.

       ท่านดยุค พูด: “ทำงานหนักอยู่รึ, ลูก?”

       เขาข้ามมาที่โต๊ะรูปไข่, ชำเลืองดูที่เอกสารทั้งหลายบนมัน, กวาดการมองของเขาไปรอบๆห้องนั้นและกลับมาที่ พอล.  เขารู้สึกเหนื่อยล้า, เต็มเปี่ยมไปด้วยความปวดของการไม่แสดงความเหน็ดเหนื่อยของตนออกมา.  ข้าต้องใช้ทุกโอกาสที่จะพักระหว่างการเดินทางข้ามไปยัง อาร์ราคิส, เขาคิด.  จะไม่มีการพักผ่อนที่บน อาร์ราคิส.

       “ไม่หนักมากหรอกครับ,” พอล พูด.  “ทุกสิ่งช่าง.....” เขายักไหล่.

       “ใช่.  เอาละ, พรุ่งนี้เราจะไปกัน.  มันจะดีที่ได้ตั้งหลักในบ้านใหม่ของเรา, ทิ้งบรรดาความกลัดกลุ้มเหล่านี้ไว้ที่ข้างหลัง.”

       พอล พยักหน้า, ทันใดนั้นก็ท่วมท้นกลับมาด้วยความทรงจำในคำพูดของแม่อธิการ: “....สำหรับผู้บิดาแล้ว, ไม่มีอะไรเลย.”

       “ท่านพ่อ,” พอล พูด, “อาร์ราคิส จะเป็นอันตรายอย่างที่ทุกคนบอกหรือเปล่าครับ?”

       ดยุค บังคับตนเองให้มีอิริยาบถตามปกติ, นั่งลงที่มุมหนึ่งของโต๊ะนั้น, ยิ้ม.  รูปกระบวนทั้งปวงของการสนทนาพวยพุ่งขึ้นมาในจิตใจของเขา—อะไรชนิดที่เขาน่าจะใช้ที่จะขับไล่ไอหมอกในจิตใจทหารของเขาก่อนเข้าสู่การยุทธ.  รูปกระบวนนั้นนิ่งแข็งตัวไปก่อนที่มันจะถูกเปล่งเสียงออกมา, เมื่อถูกเผชิญหน้ากับความคิดเพียงสิ่งเดียว:

       นี่เป็นบุตรชายของข้า.

       “มันจะเป็นอันตราย,” เขายอมรับ.

       “ฮาวัต บอกกับผมว่าเรามีแผนการสำหรับพวกฟรีเมน,” พอล พูด.  และเขาก็สงสัยใจ:  ทำไมข้าถึงไม่บอกกับเขาไปว่าหญิงชรานั้นพูดว่าอย่างไร?  นางปิดผนึกลิ้นของข้าได้อย่างไรกันนะ?

       ดยุค สังเกตเห็นถึงความทุกข์ใจของบุตรชาย, และพูด: “อย่างเช่นที่เคยเป็นเสมอ, ฮาวัต มองเห็นโอกาสหลักใหญ่.  แต่มีอยู่อีกมากมายกว่านั้น.  พ่อเห็นอีกด้วยเช่นกันถึง Combine Honnete Ober Advance Mercantiles---CHOAM Company.  โดยการยก อาร์ราคิส ให้พ่อ, องค์จักรพรรดิถูกบีบบังคับให้เราเป็นผู้กำกับการใน CHOAM ด้วย.....ผลตอบแทนที่แฝงมา.”

       CHOAM ควบคุมเครื่องเทศเหล่านั้น,” พอล พูด.

       “และ อาร์ราคิส พร้อมด้วยเครื่องเทศนั้น คือถนนเข้าไปสู่ CHOAM,” ดยุค บอก.  “มีอะไรอีกมากสำหรับ CHOAM นอกเหนือจากเครื่องเทศเมลานจิ์”

       “แม่อธิการได้บอกเตือนท่านพ่อหรือเปล่า?” พอล หลุดออกมา.  เขากำมือของตนแน่น, รู้สึกได้ถึงความลื่นในอุ้งมือของเขาจากการไหลหลั่งออกมาของเหงื่อ. จากควงามพยายาม ที่มันใช้ในการถามคำถามนั้นออกมาได้.

       “ฮาวัต บอกกับพ่อว่านางทำให้เจ้าตื่นกลัวด้วยคำเตือนเกี่ยวกับ อาร์ราคิส,” ดยุค บอก.  “อย่าปล่อยให้ความกลัวของสตรผู้หนึ่งบดบังจิตใจของลูก.  ไม่มีสตรีใดต้องการให้คนที่นางรักตกอยู่ในอันตราย.  มือที่อยู่เบื้องหลังคำเตือนพวกนั้นคือมารดาของลูก.  รับเอาสิ่งนี้ว่าเป็นสัญญานความรักของเธอที่มีต่อเราเถิด.”

       “แม่รู้เรื่องพวกฟรีเมนไหม?”

       “ใช่แล้ว, และรู้อีกมากด้วย.”

       “อะไรหรือครับ?”

       และ ดยุค คิด: ความสัจจริงคงจะเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับเขามากกว่าที่จินตนาการไว้, แต่กระทั่งความสัจจริงที่อันตรายก็มีค่ายิ่งถ้าเจ้าได้รับการฝึกฝนมาในการจัดการกับพวกมัน.  และมีสถานที่เดียวที่ไม่มีอะไรได้เก็บสำรองเอาไว้ให้บุตรชายของข้า—การจัดการกับความจริงที่อันตราย.  สิ่งนี้ต้องถูกถนอมไว้, ถึงกระนั้น; เขายังเด็กอยู่.

       “ผลผลิตเล็กน้อยหลบหนีไปจากสัมผัสของ CHOAM,” ดยุค พูด.  “ซุง, ลา, ม้า, วัว, ท่อนไม้, ปุ๋ย, ฉลาม, ขนปลาวาฬ—สิ่งธรรมดาสามัญที่สุดและแปลกใหม่จากแดนอื่นมากที่สุด.....แม้กระทั่งข้าวปันดิแย่ๆของเราจาก คาลาดาน.  อะไรก็ตามที่ สมาพันธ์จะขนส่งได้, รูปทรงศิลป์แห่ง อีคาซ, เครื่องจักรแห่ง ริเชสสิ์ และ อิกซ์.  แต่ทั้งหมดนี้จางหายไปด้วย เมลานจิ์.  เครื่องเทศเต็มกำมือนี้จะซื้อบ้านบน ทูไพล์ ได้.  มันไม่สามารถผลิตในโรงงานได้, มันต้องถูกขุดทำเหมืองที่บน อาร์ราคิส.  มันเป็นหนึ่งเดียวและมันเป็นคุณลักษณะอายุวัฒนะ.”

       “และตอนนี้เราควบคุมมันหรือ?”

       “ในระดับที่ชัดเจน.  แต่สิ่งสำคัญคือการที่จะพิจารณาราชสำนักทั้งหมดที่พึ่งพาอยู่กับผลกำไรของ CHOAM.  และคิดถึงสัดส่วนมหึมาของผลกำไรพวกนั้นขึ้นอยู่กับผลผลิตเดียวนี้—เครื่องเทศ.  จินตนาการว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้ามีบางอย่างที่ทำให้ผลผลิตนี้ลดลงไป.

       “ใครก็ตามที่มีกักตุนเมลานจิ์เอาไว้สามารถสั่งฆ่าได้,” พอล พูด.  “คนอื่นๆคงถูกทอดทิ้งออกไป.”

       ดยุค ยอมอนุญาตให้ตนเองยิ้มเล็กน้อยออกมาในชั่วขณะของความพึงใจนี้, มองยังบุตรชายของเขาและคิดถึงว่าช่างเจาะทะลวงได้นัก, ช่างมี การศึกษา ที่เป็นการสังเกตนั้นยิ่งนัก.  เขาพยักหน้า.  “พวกฮาร์คอนเนนส์ ได้กักตุนมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว.”

       “พวกเขาตั้งใจจะให้ผลผลิตเครื่องเทศล้มเหลวและท่านพ่อถูกกล่าวโทษ.”

       “พวกเขาปรารถนาจะให้ชื่อตระกูลอะไทรดิสได้หมดชื่อเสียงลงไป,” ดยุค พูด.  “คิดถึงว่า ราชสำนักลานสราอาด ที่มองมายังพ่ออย่างคาดหวังชัดเจนที่จะให้เป็นผู้นำ—เลขาธิการของสภาอย่างไม่เป็นทางการ.  คิดว่าพวกนั้นจะมีปฏิกิริยาเช่นไรถ้าพ่อต้องวรับผิดชอบต่อผลผลิตที่ลดลงในรายได้ของพวกเขา.  จะอย่างไรก็ดี, กำไรของใครก็ย่อมต้องมาก่อน.  การประชุมมหาสภาก็จะเป็นที่ฉิบหาย! เจ้าไม่สามารถปล่อยให้ใครบางคนทำเจ้ายากจนลงได้!  ริมฝีปากของดยุคบิดรอยยิ้มกร้าวแกร่งขึ้น.  “พวกเขาจะหันหน้ามองไปทางอื่นไม่ว่า อะไร จะถูกกระทำกับพ่อ.”

       “แม้กระทั่งว่าเราถูกโจมตีด้วยอาวุธปรมาณู?”

       “ๆไม่มีอะไรปรากฏชัดขนาดนั้น.  ไม่มี  เปิด ท้าทายของสภาประชุม.  แต่เกือบจะเป็นอะไรอื่นก็ได้ที่สั้นกว่านั้น.....บางทีกระทั่งฝุ่นหรือดินถูกวางยาพิษ.”

       “แล้วทำไมเราถึงกำลังเดินเข้าไปสู่สิ่งนี้ล่ะ?”

       “พอล!” ท่านดยุคขมวดคิ้วให้กับบุตรชาย. “การที่ได้รู้ว่าที่ไหนคือกับดัก—นั่นแหละคือก้าวแรกในการหลบเลี่ยงมันได้.  สิ่งนี้เปรียบเสมือนการปะทะเดี่ยว, ลูก, เพียงแต่ขนาดใหญ่กว่า—เล่ห์ลวงในเล่ห์ลงในเล่ห์ลวง.....ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด.  ภารกิจคือการคลี่คลายมัน.  การที่ได้รู้ว่าพวกฮาร์คอนเนนส์กักตุนเมลานจิ์ไว้, เราก็จะถามอีกคำถาม:  ใครอื่นอีกที่กำลังกักตุน?  นั่นคือบัญชีรายชื่อศัตรูของเรา.”

       “ใครรึ?”

       “ราชสำนักที่แน่ชัดซึ่งเรารู้ว่าไม่เป็นมิตรและบางราชสำนักที่เราคิดว่าเป็นมิตร.  เราไม่จำเป็นต้องพิจารณาพวกเขาสำหรับขณะนี้เพราะว่ามีผู้อื่นอีกที่สำคัญกว่า: จักรพรรดิปาดิชาห์ ผู้เป็นที่รักของเรา.”

       พอล พยายามที่จะกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากขึ้นมาในทันทีทันใด.  “ท่านพ่อไม่สามารถเรียกเปิดประชุม ลานสราอาด, เปิดเผย—”

       “ทำให้ศัตรูของเราตื่นระแวดระวังว่าเรารู้ตัวว่ามือไหนที่กุมมีดน่ะหรือ?  อา, ตอนนี้, พอล—เรา มองเห็น มีด, ตอนนี้.  ใครจะรู้ว่ามันอาจเหวี่ยงเปลี่ยนไปอยู่ที่ไหนต่อไปอีก? ถ้าเราเรื่องนี้ไปอยู่ตรงหน้า ลานสราอาด มันก็เพียงแค่สร้างกลุ่มเมฆหมอกยิ่งใหญ่ของความปั่นปวนขึ้นมา.  จักรพรรดิ คงจะปฏิเสธมัน.  ใครจะสามารถกล่าวหาเขาได้?  ทั้งหมดที่เราจะได้รับก็คือเวลาอีกเล็กน้อยขณะที่กำลังเสี่ยงตายกับจราจล.  และจากที่ไหนกันหรือที่การโจมตีจะมาหาอีก?”

       “ราชสำนักทั้งหมดอาจจะกำลังเริ่มต้นกักตุนเครื่องเทศ.”

       “ศัตรูของเราได้ลเริ่มต้นล่วงหน้าไปแล้ว—นำหน้าไปอยู่มากเกินไปที่จะตามได้ทัน.”

       “จักรพรรดิ,” พอล พูด.  “นั่นหมายถึง หน่วย ซาร์เดาการ์.”

       “ปลอมแปลงอยู่ในคราบเครื่องแบบของพวกฮาร์คอนเนน, ไม่ต้องสงสัยเลย,” ดยุค บอก.  “แต่ทหารนั้นบ้าคลั่งไม่มีสิ้นสุด.”

       “พวกฟรีเมนจะช่วยเราต่อต้าน ซาร์เดาการ์ ได้อย่างไรกันหรือ?”

       “ฮาวัต ได้คุยกับลูกในเรื่องเกี่ยวกับ ซาลูซา เซกันดัส หรือเปล่า?”

       “ดาวคุกของจักรพรรดิน่ะหรือ? ไม่ครับ.

       “ถ้ามันเป็นอะไรที่มากไปกว่าดาวคุกราชทัณฑ์ล่ะ, พอล?  มีคำถามหนึ่งที่ลูกไม่ได้เคยได้ยินใครถามเกี่ยวกับ กองกำลังจักรพรรดิ ซาร์เดาการ์: ว่าพวกเขามาจากที่ไหนกัน?”

       “จากดาวคุกราชทัณฑ์น่ะรึ?”

       “พวกเขามาจากที่ไหนสักแห่ง.”

       “แต่ทหารเกณฑ์สนับสนุนนั้นเป็นจักรวรรดิบัญชาโองการมา---”

       “นั่นคืออะไรที่เราถูกชักนำไปให้เชื่อ: ว่าพวกเขาเป็นแค่ทหารเกณฑ์ของจักรพรรดิถูกฝึกมาตั้งแต่ยังเด็กและเก่งกาจ.  ลูกได้ยินคำเล่าลือในบางโอกาสเกี่ยวกับการฝึกนักเรียนนายสิบทหารของจักรพรรดิ, แต่ความสมดุลย์ของอารยธรรมของเรายังคงเป็นเหมือนกัน: กองกำลังทหารแห่ง มหาราชสำนักแห่งลานสราอาด อยู่ในอีกฝ่ายหนึ่ง, ซาร์เดาการ์ และทหารเกณฑ์อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง.  และ ทหารเกณฑ์สนับสนุนนั้น, พอล.  ซาร์เดาการ์ ยังคงเป็น ซาร์เดาการ์.”

       “แต่ทุกรายงานบน ซาลูซา เซกันดัส บอกว่า ซ.ซ. คือนรกภพ.”

       “ไม่ต้องกังขาเลย.  แต่ถ้าลูกได้กำลังจะสร้างทหารที่กร้าวแกร่ง, แข็งแรง, ดุร้าย, สถานะแวดล้อมอะไรกันล่ะที่ลูกน่าจะจัดไว้ให้กับพวกเขา?”

       “ท่านพ่อจะเอาชนะได้รับความภักดีจากพวกเขาได้อย่างไรกัน?”

       “มีหนทางที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว: เล่นไปกับความรู้ที่แน่ชัดของความเหนือกว่า, ความลึกลับของพันธสัญญาลับของพวกเขา, จิตวิญญาณที่แบ่งปันความทุกข์ทรมานร่วมกัน.  มันสามารถทำได้สำเร็จ.  มันได้ถุกทำสำเร็จบนหลายพิภพในหลายกาลเวลา.”

       พอล พยักหน้ารับ, กุมความสนใจของเขาอยู่ที่ใบหน้าของบิดาตน.  เขารู้สึกได้ถึงความเปิดเผยที่แสดงออกมาให้เห็น.

       “พิจารณา อาร์ราคิส สิ,” ดยุค บอก.  “เมื่อลูกออกไปด้านนอกเมืองและยังหมู่บ้านกองโจร, มันเป็นทุกอย่างของสถานที่ที่เดือดร้อนสาหัสอันตรายเหมือนเช่น ซาลูซา เวกันดัส.”

       พอล ตาเบิกกว้าง.  “พวกฟรีเมน รึ?”

       “เรามีนั่นกองกำลังที่มีศักยภาพแข็งแกร่งและดุร้ายอันตรายเท่ากันกับ ซาร์เดาการ์.  มันจะต้องการความอดทนที่จะใช้ประโยชน์พวกเขาลับๆและมั่งคั่งที่จะเพิ่มเครื่องมือให้กับพวกเขาอย่างเหมาะสม.  แต่พวกฟรีเมนอยู่ที่นั่น.....และเครื่องเทสอุดมมั่งคั่งอยู่ที่นั่น.  ลูกเห็นในตอนนี้แล้วว่าทำไมเราถึงต้องเดินเข้าไปสู่ อาร์ราคิส, ทั้งที่รู้ว่ากับดักอยู่ที่นั่น.”

       “พวกฮาร์คอนเนนส์ไม่รู้เกี่ยวกับพวกฟรีเมนรึ?”

       “พวกฮาร์คอนเนนส์ดูถุกพวกฟรีเมน, ไล่ล่าพวกเขาเป็นเกมกีฬา, ไม่เคยที่จะใส่ใจในการพยายามยอมรับนับถือพวกนั้น.  เรารู้จักนโยบายของพวกฮาร์คอนเนนส์กันดีในเรื่องประชากรของพิภพ---ใช้จ่ายให้น้อยที่สุดในการคงรักษาพวกนั้นเอาไว้.”

       เส้นสายโลหะในตราเครื่องหมายเหยี่ยวที่หน้าอกบิดาของเขาแวววาววับขึ้นเมื่อ ดยุค ขยับท่าทางตำแหน่ง.  “ลูกเข้าใจแล้วนะ?”

       “เรากำลังเจรจาต่อรองกับพวกฟรีเมนในตอนนี้,” พอล พูด.

       “พ่อได้ส่งคณะผู้แทนนำโดย ดันแคน ไอดาโฮ ไป,” ดยุค บอก.  “ชายผู้ดุดันและทะนงตน, ดันแคน, แต่ชื่นชอบในความสัจจริง.  พ่อคิดว่าพวกฟรีเมนจะนิยมยกย่องเขา.  ถ้าเราโชคดี, พวกเขาอาจจะตัดสินเราโดยตัวเขา: ดันแคน, ผู้ทรงธรรม.”

       “ดันแคน, ผู้ทรงธรรม” พอล พูด,  “และ เกอร์นีย์ ผู้องอาจ.”

       “ลูกตั้งนามให้พวกเขาได้ดี,” ดยุค พูด.

       และ พอล คิด: เกอร์นีย์ เป็นหนึ่งในที่ แม่อธิการ หมายถึง, ผู้สนับสนุนแห่งพิภพทั้งหลาย---“... ความองอาจของผู้กล้า.”

       “เกอร์นีย์บอกกับพ่อว่าลูกทำได้ดีกับการใช้อาวุธในวันนี้,” ดยุค บอก.

       “นั่นไม่ใช่อะไรที่เขาบอกกับข้าเลยนี่.”

       ท่านดยุคหัวเราะดังลั่น.  “พ่อคาดว่า เกอร์นีย์ คงมัธยัสถ์คำชมของเขา.  เขาบอกว่าลูกมีความตระหนักรู้ได้ดี—ตามคำของเขาเอง—ของความแตกต่างระหว่างคมดาบและปลายแหลมของมัน.”

       “เกอร์นีย์ บอกว่าไม่มีศาสตร์ศิลป์ใดในการฆ่าด้วยปลายดาบ, กับที่มันควรจะได้ทำด้วยคมดาบ.”

       “เกอร์นีย์ เป็นคนโรแมนติค,” ท่านดยุคกร่นในลำคอ.  การคุยถึงเรื่องการฆ่ากวนใจเขาขึ้นมาในทันใด, มาจากบุตรชายของเขาเอง.  “พ่อจะยังไม่ให้ลูกต้องฆ่าฟันในเร็ววันนี้...แต่ถ้าความจำเป็นได้บังเกิดขึ้น, ลูกทำมันไม่ว่าลูกจะทำอย่างใดก็ตาม—ไม่ว่าจะปลายดาบหรือคมดาบ.” เขาแหงนหน้าขึ้นมองหลังคารโปร่งแสง, ที่ซึ่งสายฝนกำลังสาดกระหน่ำใส่ลงมาอยู่.

       มองเห็นทิศทางที่บิดาของเขากำลังจ้องมองไปอยู่, พอล คิดถึงท้องฟ้าเปียกฉ่ำข้างนอกนั้น—สิ่งที่ไม่มีวันได้เห็นบนพิภพอาร์ราคิสจากทุกแง่มุมไหน—และความคิดถึงเรื่องของท้องฟ้าพวกนี้พาให้เขาเข้าไปในหก้วงกังวลถึงอวกาศไกลโพ้นนั้น.  “ยานอวกาศของ กิลด์ ใหญ่โตจริงๆหรือครับ?” เขาถาม.

       ดยุคหันมามองยังเขา.  “นี้จะเป็นการเดินทางออกไปนอกดาวเคราะห์ครั้งแรกของลูก,” เขาพูด.  “ใช่, ยานพวกนั้นใหญ่โต.  เราจะได้ขี่ไปบนยานลำเลียงสินค้าไฮไลเนอร์ เพราะว่ามันเป็นการเดินทางที่ยาวนาน.  ยานไฮไลเนอร์นี้ใหญ่โตมากจริงๆ.  ความจุของมันบรรทุกยานรบฟีเกทและสัมภาระทั้งหมดของเราเข้าไปได้แค่ที่มุมเล็กๆ—เราจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆของรายการสินค้าของเรือยานนั้น.”

       “และเราจะไม่สามารถไปจากยานรบฟรีเกทของเราได้หรือ?”

       “นั่นเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่เจ้าต้องจ่ายสำหรับความปลอดภัยของ กิลด์.  มันอาจมียานของฮาร์คอนเนอยู่เคียงไปกับเราและเราไม่ต้องไปกลัวอะไรจากพวกเขา.  พวกฮาร์คอนเนนส์รู้ดีไปกว่านั้นที่จะเสี่ยงต่อสิทธิพิเศษในการขนส่งสินค้าของพวกเขา.”

       “ข้าจะเฝ้าดูจอภาพของเราและพยายามที่จะมองหา กิลด์แมน สักราย.”

       “เจ้าจะไม่.  ไม่แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ของพวกเขาจะได้เคยเห็น กิลด์แมน.  พวกกิลด์นั้นหวงแหนความเป็นส่วนตัวของพวกตนเช่นเดียวกับที่มันเป็นกิจการผูกขาดนี้. อย่าได้ทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายต่อสิทธิพิเศษในการขนส่งสินค้าของเรา, พอล.”

       “ท่านพ่อคิดว่าพวกเขาหลบซ่อนจากเราเพราะว่าพวกเขากลายพันธุ์และไม่ได้ดูเป็น...มนุษย์อีกต่อไปแล้วไหมครับ?”

       “ใครจะรู้ได้ล่ะ?” ดยุค ยักไหล่.  “มันเป็นความลึกลับที่เราไม่อยากจะคลี่คลายรู้หรอก.  เรามีปัญหาในขณะนี้มากมายยิ่งกว่า—และในท่ามกลางพวกนั้น: คือเจ้า.”

       “ข้ารึ?”

       “มารดาของเจ้าต้องการให้ข้าเป็นคนที่จะบอกกับเจ้า, เจ้าหนู.  เห็นไหม, เจ้าอาจมีความสามารถคุณสมบัติของ เมนทาต.”

       พอล จ้องยังบิดาของเขา, ไม่สามารถจะพูดอะไรออกมาได้ไปชั่วขณะ, นั้น: “ เมนทาต? ข้ารึ? แต่ข้า.....”

       “ฮาวัต เห็นด้วย, เจ้าหนู.  มันเป็นความจริง.”

       “แต่ข้าคิดว่าการฝึกฝน เมนทาต จำเป็นต้องเริ่มต้นระหว่างวัยทารกและเป้าหมายไม่สามารถที่จะถุกบอกได้เพราะว่ามันอาจจะกั้นขวางในตอนต้น.....” เขาหยุดชะงักลง, เหตุการณ์สำคัญในอดีตของเขาทั้งหมดเข้ามารวมสู่สมาธิในเป็นหนึ่งของการคำนวณขึ้นวาบเดียวนั้น.  “ข้าเข้าใจแล้ว,” เขาบอก.

       “วันเวลามาถึงแล้ว” ดยุค พูด, “เมื่อศักยภาพของความเป็นเมนทาตอะไรที่ต้องเรียนรู้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว.  มันก็จะไม่นานที่จะเสร็จสิ้นลงสู่เขา.  เมนทาต นั้นต้องแบ่งปันในโอกาสเลือกว่าจะดำเนินการต่อไปหรือว่าเลิกละไปหรือไม่ในการฝึกฝน.  บางคนสามารถดำเนินต่อไป; บางคนมีความสามารถในมันที่จะทำได้.  มีเพียงเมนทาตที่มีศักยภาพเท่านั้นที่สามารถบอกเรื่องนี้ได้ให้แน่ชัดเกี่ยวกับตัวตนของเขาเอง.”

       พอล ถูคางของเขา. การฝึกฝนพิเศษทั้งหลายจาก ฮาวัต และมารดาของเขา—การช่วยความจำ, การเพ่งสมาธิไปยังเจตสิก, การควบคุมกล้ามเนื้อและความเฉียบแหลมของผัสสะ, การศึกษาของภาษาทั้งหลายและสำเนียงแตกต่างเล็กน้อยของการเปล่งเสียง—ทั้งหมดนี้ของมันลั่นคลิ๊กเข้าไปสู่ชนิดใหม่ของการเข้าใจในจิตใจของเขา.

       “เจ้าจะเป็น ดยุค ในวันหนึ่ง, เจ้าหนู,” บิดาของเขาพูด.  “เมนทาต ดยุค เป็นที่น่าเกรงขามจริงแท้.  เจ้าสามารถตัดสินใจได้ในตอนนี้เลย...หรือเจ้าจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่านี้อีก?”

       ไม่มีการลังเลในคำตอบของเขา.  “ข้าจะดำเนินไปต่อกับการฝึกฝน.”

       “น่าเกรงขามจริงๆ,” ดยุค พึมพัม, และ พอล มองเห็นรอยยิ้มอย่างพากภูมิใจบนใบหน้าของบิดาของเขา.  รอยยิ้มนั้นทำให้ พอล ตกตะลึง: มันมีท่าทางเหมือนหัวกะโหลกร้ายบนร่างบอบบางของดยุค.  พอล หลับตาของเขาลง, รู้สึกได้ถึงเจตจำนงร้ายกาจตื่นฟื้นขึ้นมาอีกภายในกายของเขา.  บางทีการเป็น เมนทาต นั้นเป็นเจตจำนงร้ายกาจ, เขาคิด.

       แต่แม้กระทั่งขณะที่เขาเพ่งสมาธิไปบนความคิดของเขา, เจตสิกใหม่ของเขาได้ปฏิเสธมัน.

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น