หยัว (ยู’อี), เวลลิงตัน
(เวลิง-ตัน), มตรฐ 10, 082-10,191; แพทย์เวชกรรมแห่ง สิกขาวิทยาลัย(สำเร็จกศ.
มตรฐ. 10,112); วก: วรรณา
มาร์คัส, บ.จ. (มตรฐ 10,092-10,186?); หลักใหญ่บันทึกว่าคือผู้ทรยศต่อ ดยุค เลโต อะไทรดิส. (ลก: อัตประวัติ, ภาคผนวก
7 [สถานะแห่งจักรวรรดิ] และการทรยศ.)
-- จาก “พจนานุกรม แห่ง มวด’ดิบ” โดย
เจ้าหญิงอีร์รูลาน
ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยิน ดร.หยัว
เข้ามาในห้องฝึกฝน, สังเกตได้จากการก้าวอย่างหนักแน่นสุขุมรอบคอบของชายผู้นี้,พอล
ยังคงเหยียดยาวคว่ำใบหน้าอยู่บนโต๊ะฝึกฝนที่ซึ่งผู้นวดได้ทิ้งเขาไว้เช่นนั้น.
เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างเพลิดเพลินหลังจากการฝึกหนักกับ เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค.
“เธอดูท่าทางสบายเลยนะ,” หยัว กล่าว,
ในน้ำเสียงสงบ, เรียบสูงของเขา.
พอล ยกศีรษะของเขาขึ้น, มองเห็นร่างทื่อแข็งของชายนั้นกำลังยืนห่างไปหลายก้าว,
ชำเลืองเห็นเสื้อคลุมดำสั่นไหว,
ศีรษะรูปเหลี่ยมจตุรัสของชายผู้นี้ที่มีริมฝีปากสีม่วงและไว้เคราห้อย,
รอยสักรูปเพชรแห่ง สถานะแห่งจักรวรรดิบนหน้าผากของเขา, ผมสีดำยาวมวยมัดแบบสิกขาวิทยาลัยด้วยแหวนเงินเคลียละอยู่ที่ไหล่ซ้าย.
“เธอจะมีความสุขมากที่ได้ยินว่าเราไม่มีเวลาสำหรับบทเรียนตามปกติในวันนี้,”
หยัว บอก. “บิดาของเธอจะตามมาในไม่ช้านี้.”
พอล
ลุกขึ้นนั่ง.
“อย่างไรก็ดี, ฉันได้ปรับเปลี่ยนสำหรับเจ้าให้ได้มีเครื่องดูฟิล์มหนังสือและหลายๆบทเรียนระหว่างที่เดินทางไปยัง
อาร์ราคิส.”
“โอ.”
พอล เริ่มต้นสวมเสื้อผ้าของตน.
เขารู้สึกถึงความตื่นเต้นที่ว่าบิดาของเขาจะกำลังมาหา. พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันน้อยนิดมากตั้งแต่
จักรพรรดิมีโองการบัญชาให้ไปครองศักดินาที่ อาร์ราคิส นั้น.
หยัว ข้ามมายังโต๊ะรูปวงรี, คิดอยู่ว่า: เด็กชายผู้นี้ช่างเติบใหญ่ขึ้นชั่วสองสามเดือนที่ผ่านมานี้. ช่างน่าสูญเปล่าเหลือเกิน! โอ, ช่างน่าสูญเปล่าเศร้าใจยิ่งนัก.
และเขาหวนนึกได้ถึงตนเอง: ข้าต้องไม่ลังเลขึ้นมา. อะไรที่ข้าต้องทำได้เสร็จสิ้นแน่ชัดแล้วว่าวันนาของฉันจะไม่ถูกทำให้เจ็บปวดอีกต่อไปโดยพวกสัตว์ป่าฮาร์คอนเนน.
พอล ร่วมกับเขาที่โต๊ะ,
กลัดกระดุมเสื้อแจ็คเก็ตของเขา.
“ข้าจะต้องเรียนรู้อะไรในระหว่างการเดินทางข้ามไปนั้หรือ?”
“อา-อา-อา, รูปแบบสิ่งมีชีวิตแห่ง
อาร์ราคิส.
ดาวเคราะห์นั้นดูเหมือนว่าได้เปิดอ้าแขนของมันให้กับรูปแบบสิ่งมีชีวิตที่จำเพาะเจาะจง. มันไม่แน่ชัดนักว่าอย่างไร.
ฉันต้องเสาะค้นหาตัวนักนิเวศวิทยาดาวเคราะห์นี้ให้ได้เมื่อเราเดินทางไปถึง---ดร.ไคนิ์ส—และเสนอความช่วยเหลือของฉันให้กับเขาในการสืบค้นตรวจสอบ.”
และ หยัว คิด: ข้ากำลังพูดอะไรอยู่รึ?
ข้าเล่นตีสองหน้าแม้กระทั่งกับตนเอง.
“จะมีอะไรเกี่ยวกับพวกฟรีเมนบ้างไหม?”
พอล ถาม.
“พวกฟรีเมนรึ?” หยัว
เคาะนิ้วรัวลงบนโต๊ะนั้น, เมื่อเห็น พอล กำลังจ้องมองอากัปกิริยากระวนกระวายนี้,
ก็ถอนมือของเขาขึ้นมาทันที.
“บางทีท่านทราบอะไรบางอย่างในเรื่องประชากรอาร์ราคีนทั้งหมดนั้น,”
พอล พูด.
“ใช่,
ให้แน่ใจได้เลย,” หยัว พูด.
“โดยทั่วไปแล้วแยกกันอยู่สองประเภทของผู้คนเหล่านั้น—ฟรีเมน,
พวกเขาเป็นกลุ่มหนึ่ง, และอีกพวกหนึ่งคือผู้คนแห่งถิ่นที่พื้นผิว, ที่หล่ม,
และที่กว้าง. มีการแต่งงานข้ามกลุ่มกัน,
ฉันบอกได้.
สตรีในหมู่บ้านถิ่นที่กว้างและที่หล่มชอบมีสามีฟรีเมนมากกว่า;
พวกบุรุษของพวกเขาก็ชอบที่จะมีภรรยาฟรีเมนเช่นกัน. พวกเขาได้พูดกันว่า: “ผู้เงางามนั้นมาจากในเมือง; แต่ผู้มีปัญญามาจากทะเลทราย.”
“ท่านมีรูปภาพของพวกเขาไหม?”
“ฉันจะดูว่าพอจะหาให้เธอได้. สิ่งรูปโฉมที่น่าสนใจมากที่สุด, แน่นอน,
คือดวงตาของพวกเขา—เป็นสีฟ้าทั้งหมดยิ่งนัก, ไม่มีสีขาวในพวกนั้นเลย.”
“การกลายพันธุ์รึ?”
“ไม่หรอก;
มันเชื่อมโยงกับความอิ่มตัวของเลือดด้วยเครื่องเทศเจือเมลานจิ์.”
“พวกฟรีเมนต้องเป็นกล้าหาญอย่างมากที่อาศัยอยู่ริมขอบของทะเลทรายนั้นได้.”
“ทั้งหลายทั้งปวงแล้ว,” หยัว พูด. “พวกเขาประพันธ์กวีให้กับมีดของพวกเขา. สตรีของพวกเขานั้นดุร้ายได้เท่าๆกับบุรุษ. กระทั่งเด็กๆฟรีเมนก็ดุร้ายและอันตรายยิ่ง. เธอจะต้องไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปปะปนกับพวกนั้น,
ฉันกล้าบอกได้เลย.”
พอล จ้องมอง หยัว, พบว่าในเหลือบชำเลืองเล็กน้อยยังพวกฟรีเมนมีพลังในคำเหล่านั้นที่จับความสนใจทั้งหมดของเขาได้. ช่างเป็นผู้คนที่น่าเอาชนะมาเป็นเช่นพันธมิตรนัก!
“และหนอนพวกนั้นล่ะ?” พอล ถาม.
“อะไรหรือ?”
“ข้าอยากจะศึกษาให้มากขึ้นเกี่ยวกับพวกหนอนทะเลทราย.”
“อา-อา-อา, แน่ใจได้เลย.
ข้ามีฟิล์มหนังสืออยู่หนึ่งในตัวอย่างเล็กๆนั่น, แค่ยาวหนึ่งร้อยสิบเมตรและมีเส้นผ่าศูนย์กลางยี่สิบ-สองเมตร.
มันมีอยู่ทางดินแดนเส้นรุ้งตอนเหนือ.
พวกหนอนที่มีความยาวมากกว่าสี่ร้อยเมตรได้ถูกบันทึกไว้โดยประจักษ์พยานที่น่าเชื่อถือ,
และมีเหตุผลที่เชื่อได้ว่ากระทั่งใหญ่กว่านั้นก็น่าจะมีอยู่.”
พอล
เหลือบลงมองยังตารางรูปกรวยฉายชี้ที่ทางเส้นรุ้งตอนเหนือของอาร์ราคีสบนโต๊ะ. “แนวคาดทะเลทรายและแถบขั้วโลกใต้ถุกลงบันทึกไว้ว่าไม่มีผู้คนอยู่อาศัย. มันเป็นเพราะพวกหนอนนั่นรึ?”
“และพวกพายุ.”
“แต่ที่ไหนก็น่าจะสามารถอาศัยอยู่ได้ง”
“ถ้ามันคือความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ,”
หยัว พูด. “อาร์ราคิส
มีภาวะอันตรายในค่าใช้จ่ายอยู่มาก.”
เขาลูกเรียบเรียวเคราที่ห้อยอยู่ของตน.
“บิดาของเธอจะมาที่นี่ในไม่ช้านี้.
ก่อนที่ฉันจะไป, ฉันจะให้ของขวัญกับเธอ,
บางอย่างที่ฉันเจอเข้าตอนจัดเก็บข้าวของ.”
เขาวางวัตถุหนึ่งลงบนโต๊ะระหว่างพวกเขาทั้งสอง—ดำ, ยาว, ไม่ใหญ่ไปกว่าปลายนิ้วหัวแม่มือของ
พอล.
พอล มองดูมัน. หยัว
สังเกตได้ว่าเด็กชายนี้ไม่ได้รีบอื้อมมือเข้าไปหามันอย่างไร, และคิด: เขาช่างระมัดระวังตัวนัก.
“มันเป็นไบเบิ้ล โอเรนจิ์ คาธอลิค
ที่เก่ามาก ทำขึ้นมาสำหรับผู้เดินทางในอวกาศ.
ไม่ใช่ฟิล์มหนังสือ, แต่พิมพ์ลงบนกระดาษไส้ไฟฟ้าเส้นใย. มันมีระบบขยายและชาร์จประจุของตนเอง .” เขาหยิบมันขึ้นมาสาธิต. “หนังสือถูกยึดไว้ใกล้กับที่ชาร์จ,
ซึ่งบังคับอยู่ด้วยสปริงล็อคฝาปิด.
เธอกดที่ขอบ—กระนั้น,
และหน้ากระดาษที่เธอเลือกแยกเปิดออกจากกันแล้วหนังสือก็จะเปิดออก.
“มันช่างเล็กมาก.”
“แต่มันมีอยู่หนึ่งพันแปดร้อยหน้า. เธอกดที่ริมขอบ—กระนั้น, แล้วก็...และตราขยับข้างบนทีละหน้าในแต่ละครั้งเมื่อเธออ่าน.
อย่าได้แตะที่หน้ากระดาษจริงด้วยนิ้วของเธอ. เยื่อเส้นใยนี้บอบบางมาก.” เขาปิดหนังสือ, ยื่นมาให้ พอล. “ลองมันดูสิ.”
หยัว
เฝ้าดู พอล ทำงานปรับเลื่อนหน้ากระดาษ, และคิด: ฉันช่วยบรรเทาสำนึกของตัวฉันเอง.
ฉันให้เขาด้วยการยุติของศาสนาก่อนการทรยศต่อเขา.
กระนั้นบางทีขอให้ฉันได้พูดกับตัวฉันเองว่าเขาได้จากไปในที่ซึ่งฉันไม่สามารถไปได้.
“นี่ต้องถูกทำขึ้นมาก่อนมีฟิล์มหนังสือแน่ๆ,”
พอล พูด.
“มันค่อนข้างเก่าแก่. ให้มันเป็นความลับของเรากันนะ, เอ๋?
บิดามารดาของเธออาจจะคิดว่ามันมีค่าเกินไปสำหรับคนที่ยังหนุ่มอยู่.”
และ
หยัว คิด: มารดาของเขาแน่เลยว่าคงจะสงสัยในแรงกระตุ้นของฉัน.
“เอาละ...”
พอล ปิดหนังสือ, ถือมันไว้ในมือของเขา.
“ถ้ามันมีค่ามากนัก.”
“ดื้อดึงตามใจชั่วแล่นของคนชราเถิด,”
หยัว พูด.
“มันถูกให้มาที่ฉันเมื่อตอนฉันยังเด็กมาก.” และเขาคิด: ฉันต้องกุมจับจิตใจของเขาให้ดีดังเช่นความอยากได้ของเขา. “เปิดมันที่หน้าสี่-หกสิบเจ็ด คาลิมะ
สิ—ที่มันบอกไว้ว่า: ‘จากน้ำนั้นเองที่ชีวิตทั้งหมดเริ่มต้น.’ มีร่องเครื่องหมายบางๆ บนขอบของหน้าปกเพื่อกำหนดที่ตรงนั้น.”
พอล
สัมผัสที่ปก, ตรวจพบสองปุ่ม, หนึ่งนั้นตื้นกว่าอีกอัน.
เขากดที่ร่องที่ตื้นกว่านั้นและหนังสือคลี่เปิดออกบนฝ่ามือของเขา,
มันขยายเลื่อนเข้าที่.
“อ่านมันดังๆสิ,” หยัว บอก.
พอล ทำริมฝีปากของตนให้เปียกชื้นด้วยลิ้นของเขา,
และอ่าน: ‘คิดว่าเจ้าแห่งความสัจที่ผู้หนวกใบ้ไม่สามารถได้ยิน. แล้ว,
อะไรที่ความหนวกใบ้นั้นอาจที่เราทั้งหมดไม่ได้ครองอยู่หรือ?
ผัสสะใดหรือที่เราขาดหายไปซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นและไม่สามารถได้ยินโลกอื่นๆที่รายล้อมรอบเราอยู่หรือ? อะไรอยู่ที่นั้นรอบเราที่เราไม่สามารถ—“
“หยุดมัน!” หยัว ต วาด.
พอล
หยุดชะงัก, จ้องมองเขา.
หยัว
หลับตาของเขาลง, ต้อสู้เพื่อเรียกคืนความสงบของจิตใจกลับคืนมา. ช่างวิปริตอะไรหรือ ที่ทำให้หนังสือนี้ถูกเปิดเข้าตรงประโยคตอนที่
วันนา ของฉันโปรดปราน? เขาลืมตาขึ้น, เห็น พอลกำลังจ้องมาที่เขา.
“มีอะไรผิดปกติหรือ?”
พอล ถาม.
“ฉันเสียใจ,”
หยัว พูด.
“นั่นเป็น...บทที่ภรรยาที่เสียชีวิตไปของฉันโปรดปราน. มันไม่ใช่บทอันที่ฉันตั้งใจให้เธออ่าน. มันนำความทรงจำขึ้นมาที่...ปวดร้าว.”
“มีอยู่สองรอยบาก,”
พอล บอก.
แน่นอนสิ,
หยัว คิด. วรรณา ทำรอยเน้นกำหนดบทของเธอไว้เอง. นิ้วของเขาช่างอ่อนไหวได้มากไปกว่าของฉันที่พบรอยเครื่องหมายของเธอ. มันเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้นเอง,
ไม่มากไปกว่านี้.
“เธอคงจะพบว่าหนังสือนี้น่าสนใจ,”
หยัว บอก. “มันมีสัจจะเชิงประวัติศาสตร์ในนั้นเช่นเดียวกับปรัชญาเชิงจริยธรรมที่ดี.”
พอล
มองลงไปยังหนังสือเล็กๆนั้นในมือของเขา—ช่างเป็นสิ่งที่เล็กเหลือเกิน. กระนั้น,
มันบรรจุไว้ด้วยความลึกลับ...อะไรบางอย่างได้บังเกิดขึ้นขณะที่เขาอ่านจากมัน.
เขาได้รู้สึกถึงอะไรบางอย่างก่อกวนเจตจำนงอันร้ายกาจของเขา.
“บิดาของเธอจะมาที่นี่ในอีกไม่กี่นาทีนี้,”
หยัว พูด. “เอาหนังสือนั่นเก็บไว้เสียและอ่านมันในยามที่เธอว่าง.”
พอล
แตะที่ริมขอบของมันอย่างที่ หยู ได้แสดงให้เขาดู.
หนังสือนั้นปิดผนึกตนเอง.
เขาหย่อนมันใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงทูนิคของเขา. ชั่วขณะหนึ่งนั้นที่ หยัว ได้ตวาดใส่เขา, พอล
ได้กลัวว่าเขาจะเรียกเอาหนังสือนั้นกลับคืนไปเสีย.
“ข้าขอบคุณท่านสำหรับของขวัญนี้,
ดร.หยัว,” พอล พูด, ตามแบบทางการ.
“มันจะเป็นความลับของเรา.
ถ้ามีของขวัญใดที่ท่านประสงค์ปรารถนาจากข้า,
ได้โปรดอย่าได้ลังเลใจที่จะบอก.”
“ฉัน...มิได้มีอะไรจำเป็นเช่นนั้น,”
หยัว พูด.
และเขาคิด: ทำไมฉันยืนอยู่ตรงนี้ทรมานตนเอง?
และกำลังทรมานพ่อหนุ่มที่น่าสงสารนี้...ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้รู้ถึงมัน. ไอ้ย๊า!
เจ้าห่าพวกฮาร์คอนเนนสัตว์ร้ายเอ๊ย!
ทำไมพวกมันถึงได้เลือกฉันสำหรับสิ่งเลวทรามน่าชังของพวกมันนี้?
เราจะเข้าไปสู่การศึกษาเรื่องบิดาของ
มวด’ดิบ
ได้อย่างไรกันหรือ? ชายผู้
ละเลยความอบอุ่นและเย็นชาจนน่าประหลาดใจนั่นคือ
ดยุค เลโต อะไทรดีส.
กระนั้น, ความจริงมากมายได้เปิดหนทางต่อท่าน
ดยุ ผู้นี้: ความรักที่เฝ้าคอยของ
เขาต่อท่านหญิงแห่ง เบเน
เกสเสอริต ของเขา; ความฝันที่เขายึดเอาไว้เพื่อบุตรชาย
ของเขา;
ความอุทิศตนให้กับผู้คนที่ได้รับใช้เขามา.
ท่านเห็นเขาที่นั้น—ชายผู้ถูกกับดักแห่งโชคชะตา, ร่างโดดเดี่ยวด้วยแสงสลัวเลือนของเขาที่เบื้องหลังความโชติช่วงชัชวาลของบุตรชายของเขา. กระนั้น, ใครก็ย่อมต้องถามว่า: อะไรคือบุตรชายอีกเล่าถ้ามิใช่สิ่งสืบทอดมาจากบิดาของเขา?
- จาก “มวด’ดิบ, คำอธิบายทั้งหลายถึงครอบครัว”
โดย เจ้าหญิงอีร์รูลาน
พอล
เฝ้าดูบิดาของเขาเข้ามาสู่ห้องฝึกฝน, เห็นพวกองครักษ์ประจำการอยู่ที่ด้านนอก. หนึ่งในพวกนั้นปิดประตู. ดังเช่นเคยเสมอ, พอล ประสบได้ถึงสัมผัสของ การมีปรากฏ
ในบิดาของเขา, ใครบางคนสัมบูรณ์สุดใน ที่นี้.
ดยุค
เป็นผู้ร่างสูง, ผิวสีมะกอก. ใบหน้าเรียวผอมของเขาดูขมึงเข้มในมุมมองอบอุ่นได้ก็ด้วยดวงตาสีเทาคู่นั้น.
เขาสวมเครื่องแบบทำงานสีดำมีตราประจำตระกูลสีแดงรูปเหยี่ยวที่หน้าอก. เข็มขัดโล่ห์พลังสีเงินพร้อมสนิมคร่ำคร่าของการใช้งานมานานรัดรอบเอวขอดของเขา.
ท่านดยุค
พูด:
“ทำงานหนักอยู่รึ, ลูก?”
เขาข้ามมาที่โต๊ะรูปไข่,
ชำเลืองดูที่เอกสารทั้งหลายบนมัน, กวาดการมองของเขาไปรอบๆห้องนั้นและกลับมาที่
พอล. เขารู้สึกเหนื่อยล้า,
เต็มเปี่ยมไปด้วยความปวดของการไม่แสดงความเหน็ดเหนื่อยของตนออกมา. ข้าต้องใช้ทุกโอกาสที่จะพักระหว่างการเดินทางข้ามไปยัง
อาร์ราคิส, เขาคิด. จะไม่มีการพักผ่อนที่บน
อาร์ราคิส.
“ไม่หนักมากหรอกครับ,”
พอล พูด. “ทุกสิ่งช่าง.....” เขายักไหล่.
“ใช่. เอาละ, พรุ่งนี้เราจะไปกัน. มันจะดีที่ได้ตั้งหลักในบ้านใหม่ของเรา,
ทิ้งบรรดาความกลัดกลุ้มเหล่านี้ไว้ที่ข้างหลัง.”
พอล
พยักหน้า, ทันใดนั้นก็ท่วมท้นกลับมาด้วยความทรงจำในคำพูดของแม่อธิการ:
“....สำหรับผู้บิดาแล้ว, ไม่มีอะไรเลย.”
“ท่านพ่อ,”
พอล พูด, “อาร์ราคิส จะเป็นอันตรายอย่างที่ทุกคนบอกหรือเปล่าครับ?”
ดยุค
บังคับตนเองให้มีอิริยาบถตามปกติ, นั่งลงที่มุมหนึ่งของโต๊ะนั้น, ยิ้ม. รูปกระบวนทั้งปวงของการสนทนาพวยพุ่งขึ้นมาในจิตใจของเขา—อะไรชนิดที่เขาน่าจะใช้ที่จะขับไล่ไอหมอกในจิตใจทหารของเขาก่อนเข้าสู่การยุทธ.
รูปกระบวนนั้นนิ่งแข็งตัวไปก่อนที่มันจะถูกเปล่งเสียงออกมา,
เมื่อถูกเผชิญหน้ากับความคิดเพียงสิ่งเดียว:
นี่เป็นบุตรชายของข้า.
“มันจะเป็นอันตราย,”
เขายอมรับ.
“ฮาวัต
บอกกับผมว่าเรามีแผนการสำหรับพวกฟรีเมน,” พอล พูด. และเขาก็สงสัยใจ:
ทำไมข้าถึงไม่บอกกับเขาไปว่าหญิงชรานั้นพูดว่าอย่างไร? นางปิดผนึกลิ้นของข้าได้อย่างไรกันนะ?
ดยุค
สังเกตเห็นถึงความทุกข์ใจของบุตรชาย, และพูด: “อย่างเช่นที่เคยเป็นเสมอ, ฮาวัต มองเห็นโอกาสหลักใหญ่. แต่มีอยู่อีกมากมายกว่านั้น. พ่อเห็นอีกด้วยเช่นกันถึง Combine
Honnete Ober Advance Mercantiles---CHOAM Company. โดยการยก อาร์ราคิส ให้พ่อ,
องค์จักรพรรดิถูกบีบบังคับให้เราเป็นผู้กำกับการใน CHOAM
ด้วย.....ผลตอบแทนที่แฝงมา.”
“CHOAM
ควบคุมเครื่องเทศเหล่านั้น,” พอล พูด.
“และ
อาร์ราคิส พร้อมด้วยเครื่องเทศนั้น คือถนนเข้าไปสู่ CHOAM,” ดยุค
บอก. “มีอะไรอีกมากสำหรับ CHOAM นอกเหนือจากเครื่องเทศเมลานจิ์”
“แม่อธิการได้บอกเตือนท่านพ่อหรือเปล่า?”
พอล หลุดออกมา. เขากำมือของตนแน่น,
รู้สึกได้ถึงความลื่นในอุ้งมือของเขาจากการไหลหลั่งออกมาของเหงื่อ. จากควงามพยายาม
ที่มันใช้ในการถามคำถามนั้นออกมาได้.
“ฮาวัต
บอกกับพ่อว่านางทำให้เจ้าตื่นกลัวด้วยคำเตือนเกี่ยวกับ อาร์ราคิส,” ดยุค บอก.
“อย่าปล่อยให้ความกลัวของสตรผู้หนึ่งบดบังจิตใจของลูก.
ไม่มีสตรีใดต้องการให้คนที่นางรักตกอยู่ในอันตราย. มือที่อยู่เบื้องหลังคำเตือนพวกนั้นคือมารดาของลูก. รับเอาสิ่งนี้ว่าเป็นสัญญานความรักของเธอที่มีต่อเราเถิด.”
“แม่รู้เรื่องพวกฟรีเมนไหม?”
“ใช่แล้ว,
และรู้อีกมากด้วย.”
“อะไรหรือครับ?”
และ
ดยุค คิด: ความสัจจริงคงจะเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับเขามากกว่าที่จินตนาการไว้,
แต่กระทั่งความสัจจริงที่อันตรายก็มีค่ายิ่งถ้าเจ้าได้รับการฝึกฝนมาในการจัดการกับพวกมัน. และมีสถานที่เดียวที่ไม่มีอะไรได้เก็บสำรองเอาไว้ให้บุตรชายของข้า—การจัดการกับความจริงที่อันตราย. สิ่งนี้ต้องถูกถนอมไว้, ถึงกระนั้น; เขายังเด็กอยู่.
“ผลผลิตเล็กน้อยหลบหนีไปจากสัมผัสของ
CHOAM,” ดยุค พูด. “ซุง, ลา, ม้า, วัว,
ท่อนไม้, ปุ๋ย, ฉลาม, ขนปลาวาฬ—สิ่งธรรมดาสามัญที่สุดและแปลกใหม่จากแดนอื่นมากที่สุด.....แม้กระทั่งข้าวปันดิแย่ๆของเราจาก
คาลาดาน. อะไรก็ตามที่
สมาพันธ์จะขนส่งได้, รูปทรงศิลป์แห่ง อีคาซ, เครื่องจักรแห่ง ริเชสสิ์ และ
อิกซ์. แต่ทั้งหมดนี้จางหายไปด้วย
เมลานจิ์. เครื่องเทศเต็มกำมือนี้จะซื้อบ้านบน
ทูไพล์ ได้. มันไม่สามารถผลิตในโรงงานได้,
มันต้องถูกขุดทำเหมืองที่บน อาร์ราคิส.
มันเป็นหนึ่งเดียวและมันเป็นคุณลักษณะอายุวัฒนะ.”
“และตอนนี้เราควบคุมมันหรือ?”
“ในระดับที่ชัดเจน. แต่สิ่งสำคัญคือการที่จะพิจารณาราชสำนักทั้งหมดที่พึ่งพาอยู่กับผลกำไรของ
CHOAM.
และคิดถึงสัดส่วนมหึมาของผลกำไรพวกนั้นขึ้นอยู่กับผลผลิตเดียวนี้—เครื่องเทศ.
จินตนาการว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้ามีบางอย่างที่ทำให้ผลผลิตนี้ลดลงไป.
“ใครก็ตามที่มีกักตุนเมลานจิ์เอาไว้สามารถสั่งฆ่าได้,”
พอล พูด. “คนอื่นๆคงถูกทอดทิ้งออกไป.”
ดยุค
ยอมอนุญาตให้ตนเองยิ้มเล็กน้อยออกมาในชั่วขณะของความพึงใจนี้,
มองยังบุตรชายของเขาและคิดถึงว่าช่างเจาะทะลวงได้นัก, ช่างมี การศึกษา
ที่เป็นการสังเกตนั้นยิ่งนัก.
เขาพยักหน้า. “พวกฮาร์คอนเนนส์
ได้กักตุนมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว.”
“พวกเขาตั้งใจจะให้ผลผลิตเครื่องเทศล้มเหลวและท่านพ่อถูกกล่าวโทษ.”
“พวกเขาปรารถนาจะให้ชื่อตระกูลอะไทรดิสได้หมดชื่อเสียงลงไป,”
ดยุค พูด. “คิดถึงว่า ราชสำนักลานสราอาด
ที่มองมายังพ่ออย่างคาดหวังชัดเจนที่จะให้เป็นผู้นำ—เลขาธิการของสภาอย่างไม่เป็นทางการ.
คิดว่าพวกนั้นจะมีปฏิกิริยาเช่นไรถ้าพ่อต้องวรับผิดชอบต่อผลผลิตที่ลดลงในรายได้ของพวกเขา. จะอย่างไรก็ดี,
กำไรของใครก็ย่อมต้องมาก่อน. การประชุมมหาสภาก็จะเป็นที่ฉิบหาย!
เจ้าไม่สามารถปล่อยให้ใครบางคนทำเจ้ายากจนลงได้!” ริมฝีปากของดยุคบิดรอยยิ้มกร้าวแกร่งขึ้น. “พวกเขาจะหันหน้ามองไปทางอื่นไม่ว่า อะไร
จะถูกกระทำกับพ่อ.”
“แม้กระทั่งว่าเราถูกโจมตีด้วยอาวุธปรมาณู?”
“ๆไม่มีอะไรปรากฏชัดขนาดนั้น. ไม่มี เปิด ท้าทายของสภาประชุม. แต่เกือบจะเป็นอะไรอื่นก็ได้ที่สั้นกว่านั้น.....บางทีกระทั่งฝุ่นหรือดินถูกวางยาพิษ.”
“แล้วทำไมเราถึงกำลังเดินเข้าไปสู่สิ่งนี้ล่ะ?”
“พอล!” ท่านดยุคขมวดคิ้วให้กับบุตรชาย.
“การที่ได้รู้ว่าที่ไหนคือกับดัก—นั่นแหละคือก้าวแรกในการหลบเลี่ยงมันได้. สิ่งนี้เปรียบเสมือนการปะทะเดี่ยว, ลูก,
เพียงแต่ขนาดใหญ่กว่า—เล่ห์ลวงในเล่ห์ลงในเล่ห์ลวง.....ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด. ภารกิจคือการคลี่คลายมัน.
การที่ได้รู้ว่าพวกฮาร์คอนเนนส์กักตุนเมลานจิ์ไว้, เราก็จะถามอีกคำถาม: ใครอื่นอีกที่กำลังกักตุน? นั่นคือบัญชีรายชื่อศัตรูของเรา.”
“ใครรึ?”
“ราชสำนักที่แน่ชัดซึ่งเรารู้ว่าไม่เป็นมิตรและบางราชสำนักที่เราคิดว่าเป็นมิตร.
เราไม่จำเป็นต้องพิจารณาพวกเขาสำหรับขณะนี้เพราะว่ามีผู้อื่นอีกที่สำคัญกว่า:
จักรพรรดิปาดิชาห์ ผู้เป็นที่รักของเรา.”
พอล
พยายามที่จะกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากขึ้นมาในทันทีทันใด. “ท่านพ่อไม่สามารถเรียกเปิดประชุม ลานสราอาด,
เปิดเผย—”
“ทำให้ศัตรูของเราตื่นระแวดระวังว่าเรารู้ตัวว่ามือไหนที่กุมมีดน่ะหรือ? อา, ตอนนี้, พอล—เรา มองเห็น มีด,
ตอนนี้.
ใครจะรู้ว่ามันอาจเหวี่ยงเปลี่ยนไปอยู่ที่ไหนต่อไปอีก?
ถ้าเราเรื่องนี้ไปอยู่ตรงหน้า ลานสราอาด
มันก็เพียงแค่สร้างกลุ่มเมฆหมอกยิ่งใหญ่ของความปั่นปวนขึ้นมา. จักรพรรดิ คงจะปฏิเสธมัน. ใครจะสามารถกล่าวหาเขาได้? ทั้งหมดที่เราจะได้รับก็คือเวลาอีกเล็กน้อยขณะที่กำลังเสี่ยงตายกับจราจล. และจากที่ไหนกันหรือที่การโจมตีจะมาหาอีก?”
“ราชสำนักทั้งหมดอาจจะกำลังเริ่มต้นกักตุนเครื่องเทศ.”
“ศัตรูของเราได้ลเริ่มต้นล่วงหน้าไปแล้ว—นำหน้าไปอยู่มากเกินไปที่จะตามได้ทัน.”
“จักรพรรดิ,”
พอล พูด. “นั่นหมายถึง หน่วย ซาร์เดาการ์.”
“ปลอมแปลงอยู่ในคราบเครื่องแบบของพวกฮาร์คอนเนน,
ไม่ต้องสงสัยเลย,” ดยุค บอก.
“แต่ทหารนั้นบ้าคลั่งไม่มีสิ้นสุด.”
“พวกฟรีเมนจะช่วยเราต่อต้าน
ซาร์เดาการ์ ได้อย่างไรกันหรือ?”
“ฮาวัต
ได้คุยกับลูกในเรื่องเกี่ยวกับ ซาลูซา เซกันดัส หรือเปล่า?”
“ดาวคุกของจักรพรรดิน่ะหรือ?
ไม่ครับ.
“ถ้ามันเป็นอะไรที่มากไปกว่าดาวคุกราชทัณฑ์ล่ะ,
พอล?
มีคำถามหนึ่งที่ลูกไม่ได้เคยได้ยินใครถามเกี่ยวกับ กองกำลังจักรพรรดิ
ซาร์เดาการ์: ว่าพวกเขามาจากที่ไหนกัน?”
“จากดาวคุกราชทัณฑ์น่ะรึ?”
“พวกเขามาจากที่ไหนสักแห่ง.”
“แต่ทหารเกณฑ์สนับสนุนนั้นเป็นจักรวรรดิบัญชาโองการมา---”
“นั่นคืออะไรที่เราถูกชักนำไปให้เชื่อ: ว่าพวกเขาเป็นแค่ทหารเกณฑ์ของจักรพรรดิถูกฝึกมาตั้งแต่ยังเด็กและเก่งกาจ. ลูกได้ยินคำเล่าลือในบางโอกาสเกี่ยวกับการฝึกนักเรียนนายสิบทหารของจักรพรรดิ,
แต่ความสมดุลย์ของอารยธรรมของเรายังคงเป็นเหมือนกัน:
กองกำลังทหารแห่ง มหาราชสำนักแห่งลานสราอาด อยู่ในอีกฝ่ายหนึ่ง, ซาร์เดาการ์
และทหารเกณฑ์อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง. และ
ทหารเกณฑ์สนับสนุนนั้น, พอล. ซาร์เดาการ์
ยังคงเป็น ซาร์เดาการ์.”
“แต่ทุกรายงานบน
ซาลูซา เซกันดัส บอกว่า ซ.ซ. คือนรกภพ.”
“ไม่ต้องกังขาเลย. แต่ถ้าลูกได้กำลังจะสร้างทหารที่กร้าวแกร่ง,
แข็งแรง, ดุร้าย, สถานะแวดล้อมอะไรกันล่ะที่ลูกน่าจะจัดไว้ให้กับพวกเขา?”
“ท่านพ่อจะเอาชนะได้รับความภักดีจากพวกเขาได้อย่างไรกัน?”
“มีหนทางที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว:
เล่นไปกับความรู้ที่แน่ชัดของความเหนือกว่า, ความลึกลับของพันธสัญญาลับของพวกเขา,
จิตวิญญาณที่แบ่งปันความทุกข์ทรมานร่วมกัน.
มันสามารถทำได้สำเร็จ.
มันได้ถุกทำสำเร็จบนหลายพิภพในหลายกาลเวลา.”
พอล
พยักหน้ารับ, กุมความสนใจของเขาอยู่ที่ใบหน้าของบิดาตน.
เขารู้สึกได้ถึงความเปิดเผยที่แสดงออกมาให้เห็น.
“พิจารณา
อาร์ราคิส สิ,” ดยุค บอก. “เมื่อลูกออกไปด้านนอกเมืองและยังหมู่บ้านกองโจร,
มันเป็นทุกอย่างของสถานที่ที่เดือดร้อนสาหัสอันตรายเหมือนเช่น ซาลูซา เวกันดัส.”
พอล
ตาเบิกกว้าง. “พวกฟรีเมน รึ?”
“เรามีนั่นกองกำลังที่มีศักยภาพแข็งแกร่งและดุร้ายอันตรายเท่ากันกับ
ซาร์เดาการ์.
มันจะต้องการความอดทนที่จะใช้ประโยชน์พวกเขาลับๆและมั่งคั่งที่จะเพิ่มเครื่องมือให้กับพวกเขาอย่างเหมาะสม. แต่พวกฟรีเมนอยู่ที่นั่น.....และเครื่องเทสอุดมมั่งคั่งอยู่ที่นั่น.
ลูกเห็นในตอนนี้แล้วว่าทำไมเราถึงต้องเดินเข้าไปสู่ อาร์ราคิส,
ทั้งที่รู้ว่ากับดักอยู่ที่นั่น.”
“พวกฮาร์คอนเนนส์ไม่รู้เกี่ยวกับพวกฟรีเมนรึ?”
“พวกฮาร์คอนเนนส์ดูถุกพวกฟรีเมน,
ไล่ล่าพวกเขาเป็นเกมกีฬา, ไม่เคยที่จะใส่ใจในการพยายามยอมรับนับถือพวกนั้น.
เรารู้จักนโยบายของพวกฮาร์คอนเนนส์กันดีในเรื่องประชากรของพิภพ---ใช้จ่ายให้น้อยที่สุดในการคงรักษาพวกนั้นเอาไว้.”
เส้นสายโลหะในตราเครื่องหมายเหยี่ยวที่หน้าอกบิดาของเขาแวววาววับขึ้นเมื่อ
ดยุค ขยับท่าทางตำแหน่ง.
“ลูกเข้าใจแล้วนะ?”
“เรากำลังเจรจาต่อรองกับพวกฟรีเมนในตอนนี้,”
พอล พูด.
“พ่อได้ส่งคณะผู้แทนนำโดย
ดันแคน ไอดาโฮ ไป,” ดยุค บอก.
“ชายผู้ดุดันและทะนงตน, ดันแคน, แต่ชื่นชอบในความสัจจริง. พ่อคิดว่าพวกฟรีเมนจะนิยมยกย่องเขา. ถ้าเราโชคดี, พวกเขาอาจจะตัดสินเราโดยตัวเขา: ดันแคน,
ผู้ทรงธรรม.”
“ดันแคน,
ผู้ทรงธรรม” พอล พูด, “และ เกอร์นีย์
ผู้องอาจ.”
“ลูกตั้งนามให้พวกเขาได้ดี,”
ดยุค พูด.
และ
พอล คิด: เกอร์นีย์ เป็นหนึ่งในที่ แม่อธิการ หมายถึง,
ผู้สนับสนุนแห่งพิภพทั้งหลาย---“... ความองอาจของผู้กล้า.”
“เกอร์นีย์บอกกับพ่อว่าลูกทำได้ดีกับการใช้อาวุธในวันนี้,”
ดยุค บอก.
“นั่นไม่ใช่อะไรที่เขาบอกกับข้าเลยนี่.”
ท่านดยุคหัวเราะดังลั่น. “พ่อคาดว่า เกอร์นีย์
คงมัธยัสถ์คำชมของเขา.
เขาบอกว่าลูกมีความตระหนักรู้ได้ดี—ตามคำของเขาเอง—ของความแตกต่างระหว่างคมดาบและปลายแหลมของมัน.”
“เกอร์นีย์
บอกว่าไม่มีศาสตร์ศิลป์ใดในการฆ่าด้วยปลายดาบ, กับที่มันควรจะได้ทำด้วยคมดาบ.”
“เกอร์นีย์
เป็นคนโรแมนติค,” ท่านดยุคกร่นในลำคอ.
การคุยถึงเรื่องการฆ่ากวนใจเขาขึ้นมาในทันใด, มาจากบุตรชายของเขาเอง. “พ่อจะยังไม่ให้ลูกต้องฆ่าฟันในเร็ววันนี้...แต่ถ้าความจำเป็นได้บังเกิดขึ้น,
ลูกทำมันไม่ว่าลูกจะทำอย่างใดก็ตาม—ไม่ว่าจะปลายดาบหรือคมดาบ.”
เขาแหงนหน้าขึ้นมองหลังคารโปร่งแสง, ที่ซึ่งสายฝนกำลังสาดกระหน่ำใส่ลงมาอยู่.
มองเห็นทิศทางที่บิดาของเขากำลังจ้องมองไปอยู่,
พอล คิดถึงท้องฟ้าเปียกฉ่ำข้างนอกนั้น—สิ่งที่ไม่มีวันได้เห็นบนพิภพอาร์ราคิสจากทุกแง่มุมไหน—และความคิดถึงเรื่องของท้องฟ้าพวกนี้พาให้เขาเข้าไปในหก้วงกังวลถึงอวกาศไกลโพ้นนั้น. “ยานอวกาศของ กิลด์
ใหญ่โตจริงๆหรือครับ?” เขาถาม.
ดยุคหันมามองยังเขา. “นี้จะเป็นการเดินทางออกไปนอกดาวเคราะห์ครั้งแรกของลูก,”
เขาพูด. “ใช่, ยานพวกนั้นใหญ่โต. เราจะได้ขี่ไปบนยานลำเลียงสินค้าไฮไลเนอร์ เพราะว่ามันเป็นการเดินทางที่ยาวนาน. ยานไฮไลเนอร์นี้ใหญ่โตมากจริงๆ.
ความจุของมันบรรทุกยานรบฟีเกทและสัมภาระทั้งหมดของเราเข้าไปได้แค่ที่มุมเล็กๆ—เราจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆของรายการสินค้าของเรือยานนั้น.”
“และเราจะไม่สามารถไปจากยานรบฟรีเกทของเราได้หรือ?”
“นั่นเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่เจ้าต้องจ่ายสำหรับความปลอดภัยของ
กิลด์. มันอาจมียานของฮาร์คอนเนอยู่เคียงไปกับเราและเราไม่ต้องไปกลัวอะไรจากพวกเขา.
พวกฮาร์คอนเนนส์รู้ดีไปกว่านั้นที่จะเสี่ยงต่อสิทธิพิเศษในการขนส่งสินค้าของพวกเขา.”
“ข้าจะเฝ้าดูจอภาพของเราและพยายามที่จะมองหา
กิลด์แมน สักราย.”
“เจ้าจะไม่. ไม่แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ของพวกเขาจะได้เคยเห็น
กิลด์แมน. พวกกิลด์นั้นหวงแหนความเป็นส่วนตัวของพวกตนเช่นเดียวกับที่มันเป็นกิจการผูกขาดนี้.
อย่าได้ทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายต่อสิทธิพิเศษในการขนส่งสินค้าของเรา, พอล.”
“ท่านพ่อคิดว่าพวกเขาหลบซ่อนจากเราเพราะว่าพวกเขากลายพันธุ์และไม่ได้ดูเป็น...มนุษย์อีกต่อไปแล้วไหมครับ?”
“ใครจะรู้ได้ล่ะ?”
ดยุค ยักไหล่.
“มันเป็นความลึกลับที่เราไม่อยากจะคลี่คลายรู้หรอก. เรามีปัญหาในขณะนี้มากมายยิ่งกว่า—และในท่ามกลางพวกนั้น: คือเจ้า.”
“ข้ารึ?”
“มารดาของเจ้าต้องการให้ข้าเป็นคนที่จะบอกกับเจ้า,
เจ้าหนู. เห็นไหม, เจ้าอาจมีความสามารถคุณสมบัติของ
เมนทาต.”
พอล จ้องยังบิดาของเขา,
ไม่สามารถจะพูดอะไรออกมาได้ไปชั่วขณะ, นั้น: “ เมนทาต? ข้ารึ? แต่ข้า.....”
“ฮาวัต
เห็นด้วย, เจ้าหนู. มันเป็นความจริง.”
“แต่ข้าคิดว่าการฝึกฝน
เมนทาต จำเป็นต้องเริ่มต้นระหว่างวัยทารกและเป้าหมายไม่สามารถที่จะถุกบอกได้เพราะว่ามันอาจจะกั้นขวางในตอนต้น.....”
เขาหยุดชะงักลง,
เหตุการณ์สำคัญในอดีตของเขาทั้งหมดเข้ามารวมสู่สมาธิในเป็นหนึ่งของการคำนวณขึ้นวาบเดียวนั้น. “ข้าเข้าใจแล้ว,” เขาบอก.
“วันเวลามาถึงแล้ว”
ดยุค พูด, “เมื่อศักยภาพของความเป็นเมนทาตอะไรที่ต้องเรียนรู้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว. มันก็จะไม่นานที่จะเสร็จสิ้นลงสู่เขา. เมนทาต
นั้นต้องแบ่งปันในโอกาสเลือกว่าจะดำเนินการต่อไปหรือว่าเลิกละไปหรือไม่ในการฝึกฝน. บางคนสามารถดำเนินต่อไป;
บางคนมีความสามารถในมันที่จะทำได้.
มีเพียงเมนทาตที่มีศักยภาพเท่านั้นที่สามารถบอกเรื่องนี้ได้ให้แน่ชัดเกี่ยวกับตัวตนของเขาเอง.”
พอล
ถูคางของเขา. การฝึกฝนพิเศษทั้งหลายจาก ฮาวัต และมารดาของเขา—การช่วยความจำ,
การเพ่งสมาธิไปยังเจตสิก, การควบคุมกล้ามเนื้อและความเฉียบแหลมของผัสสะ, การศึกษาของภาษาทั้งหลายและสำเนียงแตกต่างเล็กน้อยของการเปล่งเสียง—ทั้งหมดนี้ของมันลั่นคลิ๊กเข้าไปสู่ชนิดใหม่ของการเข้าใจในจิตใจของเขา.
“เจ้าจะเป็น
ดยุค ในวันหนึ่ง, เจ้าหนู,” บิดาของเขาพูด.
“เมนทาต ดยุค เป็นที่น่าเกรงขามจริงแท้.
เจ้าสามารถตัดสินใจได้ในตอนนี้เลย...หรือเจ้าจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่านี้อีก?”
ไม่มีการลังเลในคำตอบของเขา. “ข้าจะดำเนินไปต่อกับการฝึกฝน.”
“น่าเกรงขามจริงๆ,”
ดยุค พึมพัม, และ พอล มองเห็นรอยยิ้มอย่างพากภูมิใจบนใบหน้าของบิดาของเขา. รอยยิ้มนั้นทำให้ พอล ตกตะลึง: มันมีท่าทางเหมือนหัวกะโหลกร้ายบนร่างบอบบางของดยุค. พอล หลับตาของเขาลง,
รู้สึกได้ถึงเจตจำนงร้ายกาจตื่นฟื้นขึ้นมาอีกภายในกายของเขา. บางทีการเป็น เมนทาต
นั้นเป็นเจตจำนงร้ายกาจ, เขาคิด.
แต่แม้กระทั่งขณะที่เขาเพ่งสมาธิไปบนความคิดของเขา,
เจตสิกใหม่ของเขาได้ปฏิเสธมัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น