หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2563

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (2)

 

         ในการที่จะพยายามเข้าใจถึง มวดดิบ โดยปราศจากการเข้าใจถึงศัตรูจวบจนวันตายของเขา, พวก ฮาร์คอนเนนส์, ก็เหมือนกับการพยายามมองเห็น ความสัจจริง โดยปราศจากการรู้ถึง อวิชชา.  มันเป็นการพยายามที่จะเห็น แสงสว่าง โดยปราศจากการรู้ถึง ความมืด.  มันไม่สามารถเป็นไปได้.

 

--จาก “คู่มือของ มวดดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

 

 

       เป็นลูกทรงกลมผิวสูงๆต่ำๆของพิภพ, ส่วนหนึ่งอยู่ในเงามืด, กำลังหมุนไปในภายใต้แรงส่งของมืออวบอ้วนที่แวววาวโดยธำมรงค์.  ลูกโลกนั้นตั้งอยู่บนขาตั้งรูปทรงอิสระที่ผนังด้านหนึ่งของห้องซึ่งปราศจากหน้าต่างอันผนังอื่นๆนั้นแสดงงานแปะติดของม้วนคัมภีร์หลากสี, ฟิล์มหนังสือ, เทปและม้วนเทปรีล.  แสงเรืองรองในห้องนี้มาจากลูหลายกบอลทองคำแขวนอยู่ในสนามพลังเคลื่อนที่.

       โต๊ะรูปไข่ที่ผิวหน้าเป็นไม้อีแลคคากลายเป็นหินดุจหยก-ชมพู ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางของห้อง.  เหล่าเก้าอี้รูปหลายทรงลอยแขวนรายล้อมมันอยู่, สองตัวของพวกมันมีผู้นั่งอยู่.  หนึ่งนั้นนั่งอยู่โดยผู้เยาว์ผมดำอายุราวสิบหกปี, ใบหน้ากลมและด้วยดวงตาขุ่นขมึง. อีกอันหนึ่งรองรับชายร่างสะโอดสะอง, เตี้ยกับใบหน้ายวนยั่ว.

       ทั้งสองผู้เยาว์จ้องไปยังลูกโลกและชายที่กึ่งซ่อนอยู่ในเงามืดที่กำลังหมุนมัน.

       เสียงหัวเราะในลำคอดังมาจากข้างลูกโลกนั้น.  เสียงทุ้มต่ำรัวรุมออกมาจากการหัวเราะ: “นั่นล่ะมัน, ไพเตอร์ ---กับดักมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์.  และเจ้าดยุคได้มุ่งหน้าเข้าไปในกรามอ้าของมัน.  นี่มันไม่ใช่สิ่งทอันสง่างามยิ่งใหญ่ที่ข้า, บารอน วลาดิมีร์ ฮาร์โคเนน, ทำหรอกรึ?

       “อย่างแน่นอนยิ่ง, ท่านบารอน,” ชายนั่นกล่าว.  เสียงของเขาเปล่งออกมาในสำเนียงทุ้มหวาน, ราวกับดนตรี.

       มืออวบอ้วนยื่นลงไปบนลูกโลกทรงกลมนั้น, หยุดยั้งการหมุนของมัน.  ตอนนี้, ดวงตาทุกคู่ในห้องสามารถเพ่งจับที่พื้นผิวไร้เคลื่อนไหวและเห็นได้ว่ามันเป็นลูกโลกทรงกลมที่ทำให้กับนักสะสมผู้มั่งคั่งหรือบรรดาผู้ครองดาวเคราะห์แห่ง จักรวรรดิ.  มันได้มีตราประทับแกะด้วยมือของ จักรวรรดิ อยู่บนมัน.  เส้นรุ้งและเส้นแวงถูกฝังวางเอาไว้ด้วยลวดทองคำขาวละเอียดงามดุจเส้นผม. ขั้วโลกทั้งสองติดตั้งไว้ด้วยเพชรน้ำนมสีเมฆอันงดงาม.

       มืออวบอ้วนนั้นเคลื่อนขยับ, ไล่ไปตามรอยรายละเอียดของพื้นผิว.  “ข้าเชิญพวกเจ้าให้ตรวจดู,” เสียงต่ำนั่นรัวรุมขึ้น.  “ตรวจดูอย่างใกล้ชิด, ไพเตอร์, และเจ้า, ด้วยเช่นกัน, ฟีย์ด-เราธา, ที่รักของข้า: จากหกสิบองศาเหนือถึงเจ็ดสิบองศาใต้---คลื่นระลอกชั้นเลิศนี้. สีสันของพวกมัน: มันไม่ได้ทำให้เจ้าหวนนึกไปถึงคาราเมลหวานๆรึ?  และไม่มีที่ไหนที่เจ้าจะได้เห็นทะเลสาบสีฟ้าหรือแม่น้ำหรือท้องทะเล.  และขั้วโลกที่น่ารักเหล่านี้---ช่างเล็กเหลือเกิน.  ใครจะผิดพลาดกับสถานที่นี้ได้รึ?  อาร์ระคิส! โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ยิ่ง.  การจัดตั้งอันสุดยอดสำหรับชัยชนะอันโดดเด่น.”

       รอยยิ้มสัมผัสริมฝีปากของ ไพเตอร์.  “และที่จะคิด, ท่านบารอน: จักรพรรดิปาดิชาห์ เชื่อว่าเขานั้นได้ยกดาวเคราะห์เครื่องเทศของท่านนี้ให้แก่เจ้าดยุค.  ช่างเผ็ดแสบนัก.”

       “นั่นเป็นประโยคที่ไร้สาระยิ่ง,” บารอน ก่นรัว. “เจ้าพูดนี่เพื่อสร้างความสับสนให้กับหนุ่ม ฟีย์ด-เราธา, แต่มันไม่มีความจำเป็นที่จะทำให้หลานของข้าสับสน.”

       ชายหนุ่มใบหน้าขุ่นเคืองขยับส่ายอยู่ในเก้าอี้ของเขา, ลูบไล้ไล่เนียนรอยย่นของชุดรัดรูปลีโอตาร์ดที่เขาสวมอยู่.  เขาหยัดขึ้นนั่งตัวตรงในทันทีที่เสียงแตะเบาๆดังที่ประตูในผนังด้านหลังของเขา.

       ไพเตอร์ คลี่ร่างจากเก้าอี้ของเขา, ข้ามไปยังประตู, แงะมันเปิดอ้าออกพอที่จะรับเอากระบอกสื่อสาร.  เขาผปิดประตู, คลี่ม้วนกระบอกออกและตรวจตรามัน.  เสียงหัวเราเหะหะดังมาจากเขา, อีกอัน.

       “ว่าไง?” บารอน ถามสั่ง.

       “เจ้าโง่นั่นตอบรับเรา, ท่านบารอน!

      “เมื่อไหร่กันที่พวกอะไทรดิสปฏิเสธโอกาสที่เปิดช่องให้ล่ะรึ?”  บารอน ถาม.  “เอาละ, เขาว่าอะไรมา?”

       “เขาไร้มรรยาทมากเลย, ท่านบารอนง  แจ้งเรียกท่านว่า ฮาร์คอนเนน---ไม่มี ฝ่าบาทพระญาติที่รัก, ไม่ใส่ยศศักดิ์, ไม่มีเลย.”

       “มันเป็นชื่อที่ดี,” บารอน ก่นคำราม, และน้ำเสียงของเขาทรยศต่อความแสร้งอดทนนั้น.  “ลีโต ที่รักนั้นพูดว่าอะไร?”

       “เขาบอกว่า: ข้อเสนอของเจ้าในการพบกันนั้นขอปฏิเสธ.  ข้าได้ผ่านพบการปลิ้นปล้อนของเจ้ามาแล้วและผู้คนทั้งหลายนี้ทราบกันดี.

       “แล้ว?” บารอน ถาม.

       “เขาบอกว่า: ศิลปะของการจองเวรยังคงมีผู้ยกย่องยอมรับกันอยู่ในจักรวรรดินี้. เขาลงนามมันว่า ดยุคเลโต แห่ง อาร์ระคิส.” ไพเตอร์ เริ่มต้นหัวเราะ.  “แห่ง อาร์ราคิส! โอ้, คุณพระ! นี่ช่างหรูหราเกินไปแล้ว!

       “เงียบเถอะ, ไพเตอร์,” บารอน บอก, และผู้หัวเราะหยุดลงทันทีดั่งโดนปิดสวิทช์.  “จองเวร, งั้นรึ?” บารอน ถาม.  “อาฆาต, เอ๋? และเขาใช้คำโบราณที่ดูดีที่ช่างหรูหราตามประเพณีเพื่อทำให้แน่ใจว่าข้ารู้ว่าเขาหมายถึงมัน.”

       “ท่านเสนอแนะถึงสันติภาพ,” ไพเตอร์ พูด.  “รูปแบบนั้นเป็นที่ยอมรับกัน.”

       “สำหรับ เมนทาต, เจ้าพูดมากเกินไป, ไพเตอร์,” บารอน บอก.  และเขาคิด: ข้าต้องทิ้งจากเจ้านี่ไปในไม่ช้านี้.  เขาอยู่นานเกินไปแล้วสำหรับประโยชน์ที่เขามี.  บารอน จ้องข้ามห้องไปยังมือสังหาร เมนทาต, มองเห็นรูปโฉมเกี่ยวกับเขาที่ผู้คนส่วนมากจะสังเกตได้ในที่แรก: ดวงตา, เงามัวของสีฟ้าเป็นริ้วอยู่ในสีฟ้า, ดวงตาที่ปราศจากสีขาวในพวกมันเลยทั้งสิ้นง

       รอยยิ้มวาบขึ้นมาบนใบหน้าของ ไพเตอร์.  มันเหมือนเช่นหน้ากากความบูดบึ้งภายใต้ดวงตาคู่นั้นคล้ายหลุมรู.  “แต่, ท่านบารอน!  อย่าได้ทำให้การล้างแค้นนั้นงดงามมากขึ้น.  มันคือการได้เห็นแผนการทรยศที่เลอเลิศมากที่สุด: ที่ ทำ ให้ดยุคเลโต แลกเปลี่ยน คาละดาน กับ ดูน---และปราศจากทางเลือกอื่นใดเพราะจักรพรรดิได้บัญชามันลงมา.  ท่านนี้ช่างซุกซนมาก!

       ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ, บารอน กล่าว: “เจ้ามีของเสียพ่นจากปากของเจ้าแล้ว, ไพเตอร์”

       “แต่ข้ากำลังมีความสุข, ท่านบารอนของข้า.  ในขณะที่ท่าน.....ท่านถูกสัมผัสโดยความริษยา.”

       “ไพเตอร์!

       “อ้า-อ้า, ท่านบารอน!  มันช่างน่าไม่โทมนัสหรอกหรือที่ท่านไม่อาจจะคิดโครงร่างแผนนี้ขึ้นมาได้ด้วยตัวท่านเอง?”

       “สักวัน ข้าจะให้เจ้าถูกรัดคอหอย, ไพเตอร์.”

       อย่างแน่นอนเลย, ท่านบารอน.  ในที่สุด! แต่การกระทำแบบนั้นไม่เคยสูญเปล่า, เอ๋?”

       “เจ้าได้กำลังเคี้ยว เวริตี้ หรือว่า เซมูตา อยู่หรือ, ไพเตอร์?”

       “ความสัจจริงที่ปราศจากความกลัวสร้างความแปลกใจให้กับท่านบารอน.” ไพเตอร์ พูด.  ใบหน้าของเขาดึงลงไปสู่หน้ากากบิดเบี้ยวเหมือนการ์ตูนล้อเลียน.  “อา, ฮ๊ะ! แต่เห็นมั๊ยล่ะท่าน, บารอน, ข้ารู้ดังเช่น เมนทาต เมื่อไรท่านจะส่งเพชฌฆาตมา. ท่านจะรั้งกลับเอาไว้ก่อนตราบนานเท่าที่ข้ายังมีประโยชน์.  การเคลื่อนที่เร็วขึ้นจะเป็นที่เสียเปล่าและข้าก็ยังมีประโยชน์อยู่มาก.  ข้ารู้ว่าอะไรคือที่ท่านได้เรียนรู้จากพิภพดูนที่น่ารักนั่น---อย่าเสียอะไรไปเปล่าประโยชน์.  จริงมั๊ย, ท่านบารอน?”

       บารอน ยังคงจ้องมองไปที่ ไพเตอร์.

       ฟีย์ด-เราธา บิดกายอยู่ในเก้าอี้ของเขา.  นี่ช่างโต้เถียงโง่เง่ากันสิ้นดี! เขาคิด.  ณลุงของข้าไม่เคยได้พูดคุยดีๆกับ เมนทาต ของเขานอกไปจากโต้เถียงกัน.  พวกเขาคิดว่าไม่มีอะไรจะทำนอกไปจากฟังการโต้เถียงของพวกเขาล่ะรึ?

       “ฟีย์ด,” บารอน พูด.  “ข้าบอกกับเจ้าให้ฟังและเรียนรู้เมื่อข้าเชิญเจ้ามาในที่นี้.  เจ้ากำลังเรียนรู้อยู่ไหม?”

       “ขอรับ, ท่านลุง.” น้ำเสียงนั้นอ่อนน้อมอย่างระมัดระวัง.

       “บางครั้งข้าก็สงสัยอยู่ในเรื่อง ไพเตอร์,” บารอน พูด.  “ข้าทำให้เกิดการเจ็บปวดโดยไม่มีความจำเป็น, แต่เขา.....ข้าสาบานได้ว่าเขายินดีปรีดาในการนั้นของมัน.  สำหรับตัวข้าเองแล้ว, ข้าสามารถรู้สึกสงสารใจไปกับ ดยุคเลโตที่น่าสมเพชนั่น.  ดร.หยัว จะเคลื่อนไหวเข้ากับเขาในไม่ช้านี้, และนั่นจะเป็นจุดจบของ ตระกูลอะไทรดิส ทั้งหมด.  แต่แน่ใจได้เลยว่า เลโต จะรู้ได้ว่ามือของใครกันที่ควบคุมกำกับเจ้าแพทย์ผู้ว่านอนสอนง่ายนี้.....และรู้ได้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่น่าสยดสยองนัก.”

       “แล้วทำไมท่านถึงไม่กำกับเจ้าแพทย์ผู้นั้นให้จิ้มกริชไคนด์จัลเข้าไประหว่างซี่โครงของเขาอย่างเงียบๆและได้ประสิทธิผลไปเลยล่ะ? ไพเตอร์ ถาม.  “ท่านพูดถึงความสงสารนี่, แต่---“

       “เจ้าดยุคนั่น  ต้อง รู้ได้เมื่อข้าล้อมกรอบรอบมหันตภัยของเขา,” บารอน กล่าว.  “และ มหาราชสำนัก อื่นๆต้องได้เรียนรู้ถึงมัน.  ความรู้นั่นจะทำให้พวกเขาหยุดชะงัก.  ข้าจะได้รับห้องว่างอีกนิดที่จะดำเนินยุทธการ.  ความจำเป็นนั้นชัดเจน, แต่ข้าไม่เห็นจะต้องชื่นชอบมันด้วย.”

       “ห้องว่างที่จะดำเนินยุทธการ,” ไพเตอร์ เหน็บแนม.  “ท่านก็ได้รับสายพระเนตรของจักรพรรดิจับจ้องมายังท่านอยู่แล้ว, ท่านบารอน.  ท่านเคลื่อนไหวอย่างกล้าหาญ.  สักวันหนึ่งองค์จักรพรรดิก็คงจะส่งกองทหารหนึ่งหรือสองของ ซาร์เดาการ์ ลงมายังที่  ไกดิ ไพร์ม นี้ และนั่นจะเป็นจุดจบของ บารอน วลาดิมีร์ ฮาร์คอนเนน.”

       “เจ้าเองก็อยากจะได้เห็นเช่นนั้น, ไม่ใช่หรอกรึ, ไพเตอร์?” บารอน ถาม.  “เจ้าคงอยากรื่นรมย์ในกหารได้เห็นกองพลแห่ง ซาร์เดาการ์ ปล้นสะดมภ์ผ่านเมืองทั้งหลายของข้ามาและถล่มดูดกินปราสาทนี้.  เจ้าน่าจะรื่นรมย์กับนั่นแน่.”

       “ท่านบารอน จำเป็นต้องถามไถ่ด้วยรึ?” ไพเตอร์ กระซิบ.

       “เจ้าควรจะได้เป็น บาชาร์ แห่งกองพลนั่น,” บารอน พูด.  “เจ้าสนใจมากเกินไปในเลือดและความเจ็บปวด.  บางทีข้ารวดเร็วเกินไปกับสัญญาของข้าในการแย่งชิง อาร์ระคิส.”

       ไพเตอร์ เดินย่องย่างอย่างจริงจังเข้าไปในห้องอีกห้าก้าว, หยุดตรงที่เบื้องหลังของ ฟีย์ด-เราธา.  มีบรรยากาศเขม็งเครียดขึ้นในห้อง, และชายหนุ่มเงยขึ้นมอง ไพเตอร์ ด้วยรอยย่นกังวลใจ.

       “อย่าได้ล้อเล่นกับ ไพเตอร์, ท่านบารอน,” ไพเตอร์ พูด.  “ท่านได้ให้สัญญาไว้กับข้าเรื่อง ท่านหญิงเจสสิกา.  ท่านสัญญาจะให้นางแก่ข้า.”

       “เพื่ออะไรรึ, ไพเตอร์?” บารอน ถาม.  “เพื่อความเจ็บปวดรึ?”

       ไพเตอร์ จ้องไปที่เขา, ลากดึงความเงียบสงัดออกมา.

       ฟีย์ด-เราธา เคลื่อนเก้าอี้แขวนลอยของเขาไปอีกด้านหนึ่ง, พุด: “ท่านลุง, ข้าต้องอยู่ด้วยหรือ? ท่านบอกว่าท่านจะ---“

       “ฟีย์ด-เราธา ที่รักของฉันเริ่มไม่อดทนแล้ว,” บารอน บอก.  เขาเคลื่อนไหวอยู่ในท่ามกลางเงามืดข้างๆลูกโลกนั้น.  “อดทนไว้, ฟีย์ด.”  และเขาก็หันความสนใจของเขากลับมาที่ เมนทาตผู้นั้น.  “แล้วเชื้อสายของเจ้าดยุคนั่นล่ะ, เจ้าเด็ก พอล, ไพเตอร์ ที่รักของฉัน?”

         “กับดักนั้นจะนำเขามาให้ท่าน, ท่านบารอน,” ไพเตอร์ พึมพัม.

       “นั่นไม่ใช่คำถามของข้า,” บอรอน บอก.  “เจ้าน่าจะจำได้ว่าเจ้าได้คาดการณ์บอกไว้ว่าพวกแม่มดเบเน เกสเสอริตนั้นจะคลอดออกมาแต่ธิดาทั้งหลาย. เจ้าคาดไว้ผิดสินะ, เอ๋, เมนทาต?

       “ข้าไม่ผิดบ่อยครั้งนัก, ท่านบารอน,” ไพเตอร์ พูด, และเป็นครั้งแรกที่น้ำเสียงของเขามีความหวาดกลัวเจอปนออกมา.  “ให้แก่ข้าดังว่า: ข้าไม่ผิดบ่อยครั้งนัก.  และท่านก็ทราบด้วยตัวท่านเองว่าพวกเบเน เกสเสอริตนี้ให้กำเนิดธิดาเป็นส่วนใหญ่.  กระทั่งสนมขององค์จักรพรรดิเองก็ผลิตแต่เพียงธิดาเท่านั้น.”

       “ท่านลุง,” ฟีย์ด-เราธา พูด, “ท่านได้บอกไว้ว่ามีอะไรบางอย่างสำคัญที่นี่สำหรับข้าที่จะ—“

       “ฟังหลานของข้าบอกสิ,” บารอน พูด.  “เขาทะเยอทะยานที่จะขึ้นปกครองตำแหน่งบารอนนี้ของข้า, กระนั้นเขาก็ยังไม่สามารถปกครองตนเองได้.”  บารอน ขยับหมุนอยู่ข้างลูกโลกนั้น, เงามืดทมึนในหมู่เงา.  “เอาล่ะ, งั้น, ฟีย์ด-เราธา ฮาร์คอนเน่, ข้าหมายเรียกเจ้ามาที่นี่ด้วยหวังที่จะสอนเจ้าสักเล้กน้อยถึงปัญญา.  เจ้าได้สังเกตเห็น เมนทาตแสนดีของเรานี้หรือไม่? เจาน่าจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากการแลกเปลี่ยนวาทะกันนี้.”

       “แต่, ท่านลุง---“

       “เมนทาต ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคนหนึ่ง, ไพเตอร์, เจ้าไม่คิดว่ายังงั้นหรอก, ฟีย์ด?”

       “ใช่, แต่---“

       “อา! จริงเลย แต่! แต่เขาบริโภคเครื่องเทศมากไป, กินมันเหมือนยังกับเป็นลูกกวาด.  ดูดวงตาของเขาสิ! เขาน่าจะออกมาจากเหล่าแรงงานอาร์ระคีนเลยล่ะนั่น.  ประสิทธิภาพ, ไพเตอร์, แต่ เขายังคงใช้อารมณ์และโน้มเอียงที่จะระเบิดอารมณ์พุ่งพล่านดาลใจออกมา.  ประสิทธิภาพ, ไพเตอร์,  แต่ เขายังสามารถผิดพลาดได้.”

       ไพเตอร์ พูดในน้ำเสียงทุ้มต่ำ, ขุ่นเคือง: “ท่านเรียกหาข้ามาที่ข้างในนี้เพื่อที่จะเย้ยหยันประสิทธิภาพของข้าด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์หรือ, ท่านบารอน?”

       “เย้ยหยันประสิทธิภาพของเจ้ารึ?  เจ้ารู้จักข้าดียิ่งกว่านั้น, ไพเตอร์.  ข้าปรารถนาแค่เพียงให้หลานของข้าได้เข้าใจถึงขีดจำกัดของ เมนทาต.”

       “ท่านกำลังฝึกฝนผู้มาแทนที่ข้าได้แล้วหรือ?” ไพเตอร์ ร้องถาม.

       “แทนที่ เจ้า? ทำไมล่ะ, ไพเตอร์, ที่ไหนที่ข้าจะสามารถค้นหา เมนทาต ใดอื่นที่เชี่ยวชาญเล่ห์อุบายและมีพิษร้ายเยี่ยงท่านได้ล่ะ?”

       “ก็ที่เดียวกันกับที่ท่านได้พบตัวข้านั่นแหละ, ท่านบารอน.”

       “บางทีข้าน่าจะไปหาที่นั่น,” บารอน พริ้วพร่ำ.  “เจ้าดูไม่นิ่งเท่าไรนักเมื่อเร็วๆนี้.  และยังเครื่องเทศที่เจ้ากินนั่นอีก!

       “ความพึงใจของข้านี้มีราคาแพงไปหรือ, ท่านบารอน? ท่านทัดทานพวกนั้นล่ะหรือ?”

       “ไพเตอร์ ที่รักของฉัน,  ความรื่นรมย์พึงใจของเจ้านั้นคืออะไรที่มัดโยงเจ้าเอาไว้กับข้า.  ข้าจะไปทัดทานค้านต่อสิ่งนั้นได้เช่นไรกัน?  ข้าแค่เพียงแต่หวังให้หลานของข้าได้ตรวจตราสังเกตเห็นเรื่องนี้กับตัวเจ้า.”

       “งั้นข้าก็เป็นสินค้าแสดงตัวอย่างอยู่,” ไพเตอร์ พูด.  “ให้ข้าเต้นรำด้วยไหม? หรือให้ข้าแสดงความหลากหลายในสารัตถะประโยชน์ต่างๆของข้าออกมาสำหรับท่านฟีย์ด-เราธา ผู้โด่งดังโดดเด่น---“

       “ใช่เลย,” บารอน พูด.  “เจ้ากำลังถูกจัดแสดง.  ตอนนี้, จงเงียบซะ.”  เขาชำเลืองยัง ฟีย์ด-เราธา, สังเกตเห็นริมฝีปากของหลานชายของเขา, ที่เต็มอิ่มและและแบะยื่นริมฝีปากล่างออกมาให้เห็น, เครื่องหมายสายพันธุ์ของตระกูลฮาร์คอนเนน, ตอนนี้บิดเบี้ยวเล็กน้อยด้วยความขบขัน.  “นี่คือ เมนทาต, ฟีย์ด.  มันได้ถูกฝึกฝนและปรับสถานะเพื่อแสดงหน้าที่ทั้งหลายที่แน่นอน.  ความจริงคือมันถูกบรรจุลงไปในร่างกายของมนุษย์, อย่างไรก็ดี, ต้องอย่าได้มองข้ามไป. ข้อด้อยที่จริงจังนัก, นั่น.  ข้าในบางครั้งคิดว่าคนโบราณพร้อมด้วยเครื่องจักรคิดได้ทั้งหลายของพวกเขานั้นมีความคิดที่ถูกต้อง.”

       “พวกนั้นคือของเล่นเมื่อเปรียบกับข้า,” ไพเตอร์ คำรามขู่.  “ท่านเองนั่นแหละ, ท่านบารอน, ที่สามารถทำให้ได้ผลดีกว่าพวกเครื่องจักรพวกนั้น.”

       “บางทีนะ,” บารอน พูด.  “อา, เอาละ.....” เขาสูดลมหายใจลึก, เรอออกมา.  “ทีนี้, ไพเตอร์, แสดงโครงร่างให้กับหลานชายของข้าถึงรายละเอียดประกอบที่โดดเด่นของการรณรงค์ของเราที่มีต่อราชสำนักอะไทรดิสนั่นซิ.  ทำหน้าที่ประโยชน์ของ เมนทาต ให้กับเรา, ถ้าเจ้าจะกรุณา.”

       “ท่านบารอน, ข้าได้เตือนท่านแล้วว่าอย่าได้ไว้วางใจคนวัยเยาว์เกินไปในข้อมูลข่าวสารนี้.  การสังเกตตรวจตราของข้าเรื่อง---“

       “ข้าจะเป็นผู้พิจารณาตัดสินเรื่องนี้เอง, บารอน บอก.  “ข้าให้คำสั่งแก่เจ้า, เมนทาต.  แสดงหนึ่งในสารัตถะประโยชน์อันหลากหลายของเจ้าออกมา.”

       “งั้นก็เป็นไปตามบัญชา,” ไพเตอร์ พูด.  เขาหยัดร่างขึ้น, ประหนึ่งเป็นทีท่าแปลกไปของความมีศักดิ์ศรี---ราวกับว่ามันเป็นหน้ากากอีกอันหนึ่ง, แต่คราวนี้ครอบคลุมลงไปทั้งร่างของเขา.  “ในสองสามวันตามเวลามาตรฐาน, ครอบครัวทั้งหมดของดยุคเลโตจะขึ้นยานประจำเส้นทางของ สมาพันธ์อวกาศ ไปยัง อาร์ราคิส.  สมาพันธ์จะขนส่งพวกเขาไปลงที่นครแห่งอาร์ราคีนมากกว่าที่จะพาไปยังนครคาร์ธัจของเรา.  เมนทาตของดยุค, ธูเฟอร์ ฮาวัต, คงจะได้พิจารณาไตร่ตรองแล้วว่า อาร์ราคีน นั้นง่ายกว่าในการป้องกัน.”

       “ฟังให้ดีนะ, ฟีย์ด,” บารอน พูด.  “สังเกตถึงแผนการที่อยู่ในแผนการในแผนการอีกที.”

       ฟีย์ด-เราธา ผงกศีรษะรับ, คิดว่า: เรื่องนี้เป็นเช่นนั้นมากกว่า.  ปีศาจชรานี้กำลังอนุญาตให้ข้าเข้าไปในเรื่องลับอะไรในที่สุด.  เขาต้องตั้งใจหมายให้กับข้าจริงๆที่จะเป็นทายาทของเขา.

       “มีความเป็นไปได้ที่คู่ขนานกันไปหลายอย่าง,” ไพเตอร์ พูด.  “ข้า บ่งชี้ว่า ราชสำนักอะไทรดิส จะไปที่ อาร์ราคิส.  เราต้องไม่, อย่างไรก็ตาม, เมินเฉยต่อความเป็นไปได้ที่ ดยุคนั้น ได้ติดต่อทำสัญญากับสมาพันธ์ที่จะย้ายเขาไปยังสถานที่แห่งความปลอดภัยด้านนอกของ ระบอบ.  ผู้อื่นในสถานการณ์เหมือนกันเช่นนี้จะได้กลายเป็น ราชสำนักที่ทรยศ, พาครอบครัวฝ่าอะตอมิคและโล่ห์กำบังและหลบหนีออกไปพ้นจาก ราชอาณาจักร.”

       “เจ้าดยุคนั่นยะโสทะนงเกินไปกว่าจะเป็นคนเช่นนั้น,” บารอน บอก.

       “มันคือความเป็นไปได้,” ไพเตอร์ พูด.  “ผลกระทบสัมบูรณ์สำหรับเราน่าจะเป็นเช่นเดียวกัน, อย่างไรก็ดี.”

       “ไม่, มันจะไม่เป็น!” บารอน กร่นคำราม.  “ข้าต้องได้ตัวเขาตายและสิ้นสุดตระกูลของเขา.”

       “นั่นเป็นความน่าจะเป็นสูงสุด,” ไพเตอร์ พูด.  “มีการตระเตรียมที่แน่นอนซึ่งจะบ่งชี้ให้เห็นกันได้เมื่อ ราชสำนัก ใดจะทำการหลบหนี.  ดยุคนั้นปรากฏว่ามิได้กระทำการอะไรในเรื่องเหล่านี้.”

       “ดังนั้น,” บารอน ถอนหายใจ.  “ว่ามันต่อไป, ไพเตอร์”

       “ที่ อาร์ราคีน,” ไพเตอร์ พูด, “ดยุคนั้นและครอบครัวของเขาจะเข้าไปอยู่ที่ใน ทำเนียบ, ที่ไม่นานมานี้เคยเป็นบ้านของ เคานท์ และ คุณหญิง เฟนริง.”

       “เอกอัคราชทูต ของ พวกลักลอบของเถื่อน,” บารอน หัวเราะในลำคอ.

       “เอกอัคราชทูต ของอะไรนะ?” ฟีย์ด-เราธา ถาม.

       “ลุงของท่านพูดตลกน่ะ,” ไพเตอร์ บอก.  “ท่านเรียก เคานท์ เฟนริง ว่า เอกอัคราชทูต ของ พวกลักลอบของเถื่อน, ชี้แนะถึงความสนใจของจักรพรรดิในปฏิบัติการลักลอบทั้งหลายบน อาร์ราคิส.”

       ฟีย์ด-เราธา หันการจ้องมองอย่างฉงนใจไปยังลุงของเขา. “ทำไมรึครับ?”

       “อย่าได้ทึ่มนัก, ฟีย์ด,” บารอน เหน็บกลับ.  “ตราบนานเท่าที่ สมาพันธ์ ยังคงมีผลกระทบ อยู่นอกการควบคุมของจักรวรรดิ, จะเป็นอย่างอื่นไปได้เช่นไรกันล่ะ?  พวกสายลับและพวกมือสังหารจะเคลื่อนไหวในเรื่องนี้เป็นอย่างอื่นได้เช่นไรล่ะ?”

       ปากของ ฟีย์ด-เราธา ทำท่าไร้เสียงออกมาว่า “โอ-ว-ว-ว.”

       “เราได้จัดแจงปรับกลอุบายไว้ที่ ทำเนียบ นั้น.” ไพเตอร์ พูด.

        “จะมีการพยายามกระทำต่อชีวิตของทายาทตระกูลอะไทรดิส---ความพยายามซึ่งจะสำเร็จได้.”

       “ไพเตอร์,” บารอน คำรณ, “เจ้าได้บ่งชี้--- ”

       “ข้าได้บ่งชี้ว่าอุติเหตุสามารถบังเกิดขึ้น,” ไพเตอร์ พูด.  “และการพยายามนั้นต้องปรากฏหลักฐานอย่างเพียงพอ.”

       “อา, แต่เจ้าหนุ่มนั่นมีเรือนร่างที่ช่างแสนหวานยิ่งนัก,” บารอน พูด.  “แน่นอน, เขามีศักยภาพที่เป็นอันตรายมากว่ากบิดาของเขา.....ด้วยการฝึกฝนของมารดาแม่มดนั่นต่อเขา.  สตรีอัปรีย์! อา, เอาละ, กรุณาว่าต่อไป, ไพเตอร์”

       “ฮาวัต จะได้พยากรณ์คาดคะเนว่าเราวางสายลับลวงพรางเอากับเขาไว้,” ไพเตอร์ พูด.  “ที่ต้องสงสัยชัดเจนคือ ดร.หยัว, ผู้ที่คือสายลับของเราจริงแท้.  แต่ ฮาวัต ได้สอบสวนและค้นพบว่านายแพทย์ของเรานี้สำเร็จการศึกษามาจาก โรงเรียนสิกขา ด้วย การปรับสภาวะของจักรวรรดิ---น่าจะปลอดภัยเพียงพอที่จะปรนนิบัติแม้ต่อองค์ จักรพรรดิ เอง.  คลังสินค้ายิ่งใหญ่ได้จัดตั้งไว้บน การปรับสภาวะของจักรวรรดิ.  มันได้รับการคาดคะเนเอาว่านั่นเป็นการปรับสภาวะสัมบูรณ์ที่ไม่สามารถแก้ย้ายออกไปได้นอกเสียจากฆ่าผู้นั้นไปเสีย.  อย่างไรก็ดี, ดังที่ใครบางคนครั้งหนึ่งได้สังเกตพบ, การได้รับไม้คานที่เหมาะสมคุณก็สามารถยกได้กระทั่งดาวเคราะห์.  เราได้ค้นพบไม้คานที่สามารถขยับนายแพทย์ผู้นี้ได้.”

       “อย่างไรรึ?” ฟีย์ด-เราธา ถาม.  เขาได้พบว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นที่น่าจับใจยิ่ง.  ทุกคน รู้กันดีว่าคุณไม่สามารถแปรเปลี่ยน การปรับสภาวะของจักรวรรดิ ได้.

       “เอาไว้คราวอื่น,” บารอน บอก.  “ต่อไปสิ, ไพเตอร์.”

       “ในตำแหน่งของ หยัว,” ไพเตอร์ พูด, “เราจะลากเป้าหมายที่น่าสนใจมากที่สุดข้ามวิถีของ ฮาวัต.  ความกล้าหาญมากของเป้าหมายนี้จะแนะนำตัวเธอเองเรียกความสนใจของ ฮาวัต.”

       “เธอรึ?” ฟีย์ด-เราธา ถาม.

       “ตัว คุณหญิงเจสสิกา เอง,” บารอน บอก.

       “มันไม่ล้ำเลิศหรอกรึ?” ไพเตอร์ ถาม.  “จิตใจของ ฮาวัต จะถูกเต็มล้นไปด้วยการคาดการณ์นี้มันจะลดทอนสารัตถะความสามารถของเขาในฐานะ เมนทาต ลง.  เขาอาจจะกระทั่งพยายามที่จะฆ่าเธอ.”  ไพเตอร์ ย่นหน้า, แล้ว: “แต่ข้าไม่คิดว่าเขาจะสามารถดำเนินการมันได้.”

       “เจ้าไม่อยากให้เขาทำได้สินะ, เอ๋?” บารอน ถาม.

       “อย่าเบี่ยงเบนสมาธิของข้า,” ไพเตอร์ พูด.  “ขณะที่ ฮาวัต ถูกอัดงานล้นมือกับคุณหญิงเจสสิกา, เราก็จะแปรเปลี่ยนเขาไปไกลต่อด้วยการรุกฮือของเหล่ากองกำลังรักษาการณ์สองสามเมืองและอะไรทำนองนั้น.  พวกนี้จะถูกกำราบลง.  ดยุคนั้นต้องเชื่อว่าเขาได้รับความปลอดภัยในระดับมาตรฐานแล้ว.  แล้ว, เมื่อเวลาสำคัญนั้นสุกงอม, เราจะส่งสัญญานแก่ หยัว และเคลื่อนเข้าไปด้วยกองกำลังหลักของเรา.....อ้า.....”

       “ว่าต่อไป, บอกเขาไปทั้งหมดของมันเลย,” บารอน พูด.

       “เราจะเคลื่อนเข้าไปอย่างแข็งแกร่งโดยสองกองพลแห่ง ซาร์เดาการ์ พรางไปในชุดแต่งกายฮาร์คอนเนน.”

       “ซาร์เดาการ์!” ฟีย์ด-เราธา สูดลมหายใจ.  จิตใจของเขาเพ่งไปยังกองกำลังทหารมฤตยูของจักรวรรดิ, พวกนักฆ่าที่ปราศจากเมตตา, ทหารบ้าคลั่งของจักรพรรดิ ปาดิชาห์.

       “เจ้าเห็นไหมว่าข้าไว้วางใจเจ้าอย่างไร, ฟีย์ด,” บารอน บอก.  “ไม่มีวี่แววของเรื่องนี้ต้องได้เลยออกไปถึง มหาราชสำนัก อื่น,  มิเช่นนั้น แลนด์สราอาด อาจจะรวมตัวกันต่อต้าน ราชสำนักจักรวรรดิ และมีเหตุจรารลวิบัติขึ้นมา.”

          “จุดหลักสำคัญก็คือ,” ไพเตอร์ พูด, “เรื่องนี้เป็น : ตั้งแต่ราชสำนักฮาร์คอนเนนได้ถูกใช้ให้ทำงานสกปรกของ จักรวรรดิ, เราก็ได้รับความได้เปรียบที่แท้จริง.  มันเป็นความได้เปรียบที่อัยตราย, อย่างเป็นที่แน่นอน, แต่ถ้าใช้อย่างระมัดระวัง, ก็จะนำราชสำนักฮาร์คอนเนนมั่งคั่งยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเหล้าราชสำนักอื่นใดใน จักรวรรดิ.”

       “เจ้าไม่มีความคิดใดได้แน่ถึงความมั่งคั่งมากมายที่เกี่ยวข้อง, ฟีย์ด.” บารอน พูด.  “ไม่มีในจินตนาการอันเร่าร้อนของเจ้า.  เพื่อเริ่มต้น, เราจะได้อำนาจอำนวยการกำกับที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ใน โชอัม กัมปะนี.”

       ฟีย์ด-เราธา ผงกศีรษะรับ.  ความมั่งคั่งเป็นเรื่องหนึ่ง.  โชอัม เป็นกุญแจไปสู่ความมั่งคั่ง, แต่ละราชสำนัก ได้จรับเพียงจุ่มหยดจากหีบสมบัติของบริษัทไม่ว่าอะไรก็ตามที่มันสามารถอยู่ภายใต้อำนาจของการอำนวยการกำกับ.  บรรดาผู้อำนวยการกำกับของ โชอัม เหล่านั้น---พวกเขาเป็นหลักฐานที่แท้จริงของอำนาจทางการเมืองใน จักรวรรดิ, ส่งผ่านด้วยการแลกเปลี่ยนอำนาจการออกเสียงภายใน แลนด์สราอาด นั้น ในการที่มันสร้างความสมดุลย์ของตนเองต่อ จักรพรรดิ และ ผู้สนับสนุน ของพระองค์.

       “ดยุคเลโต,” ไพเตอร์ พูด, “อาจจะพยายามที่จะหนีหลบไปยังเหล่า ฟรีเมน กากเดนใหม่ตามแนวตะเข็บของทะเลทราย.  หรือบางทีเขาอาจจะพยายามที่จะส่งครอบครัวของเขาเข้าไปสู่ความปลอดภัยในจินตนาการนั่น.  แต่วิถีทางนั้นถูกปิดกั้นโดยหนึ่งในบรรดาสายลับขององค์จักรพรรดิ---นักนิเวศพิภพวิทยา.  ท่านอาจจะจำเขาได้---ไคนสิ์.”

       “ ฟีย์ด จำเขาได้,” บารอน พูด.  “ว่าถึงมันต่อไปเถอะ.”

       “ท่านไม่ได้พูดเหลวไหลได้สวยงามมากเลย, ท่านบารอน.” ไพเตอร์ ว่า.

       “ว่ามันต่อไป, ข้าบัญชาเจ้า!” ยารอน คำรามลั่น.

       ไพเตอร์ ยักไหล่.  “ถ้าเหตุการณ์เป็นไปตามที่ถูกวางแผนไว้,” เขาพูด.  “ราชสำนักฮาร์คอนเนน จะได้อำนาจกึ่งศักดินาบน อาร์ราคิส ภายในหนึ่งปีมาตรฐาน.  ลุงของท่านจะได้รับการแจกจ่ายของศักดินานั้น.  สายลับส่วนตนของท่านบารอนเองจะปกครอง อาร์ราคิส.”

       “กำไรมากยิ่งขึ้นไปอีก,” ฟีย์ด-เราธา พูด.

       “จริงแท้,” บารอน พูด.  และเขาคิด: มันก็แค่นั้น.  เราคือผู้ที่ปราบ อาร์ราคิส ให้อ่อนน้อม.....นอกเสียจากพวกสุนัขพันธุ์ทางฟรีเมนสองสามฝูงที่หลบซ่อนอยู่ตามริมขอบทะเลทราย.....และเหล่านักลักลอบของเถื่อนอ่อนน้อมบางรายที่มุ่งมาปักหลักยังพิภพนี้ดุจดังเหล่ากรรมกรพื้นเมือง.

       “และ มหาราชสำนัก จะได้รู้ว่าท่านบารอนได้ทำลายตระกูลอะไทรดิส,” ไพเตอร์ พูด.  “พวกเขาจะรู้.”

       “พวกเขาจะได้รู้,” บารอน สูดลมหายใจ.

       “น่ารักที่สุดของทั้งปวง,” ไพเตอร์ พูด, “คือว่าเจ้าดยุคนั่นจะได้รู้, ด้วยเช่นกัน.  เขารู้ในตอนนี้.  เขาสามารถรู้สึกได้ถึงกับดักนี้.”

       “มันคือความจริงที่ว่าเจ้าดยุคนั้นก็รู้,” บารอน พูด, และน้ำเสียงของเขาบ่งถึงความเศร้าใจในนนั้น.  “เขาไม่อาจช่วยอะไรได้แต่ก็รู้.....ยิ่งน่าสมเพชมากขึ้นไปอีก.”

       บารอน ขยับเคลื่อนออกมาและไปจากลูกโลกดาวอาร์ราคิส.  ขณะที่เขาหลบออกมาจากเงามืดเหล่านั้น, ร่างของเขาปรากฏเอาเต็มขนาด---อ้วนแน่นและวาววาม.  และด้วยก้อนมหึมาอยู่ภายใต้ความยับย่นของชุดคลุมเข้มมืดของเขานั้นเผยให้เห็นทั้งหมดของความอ้วนนี้ได้ถูกพยุงไว้บางส่วนโดยเครื่องเกราะหนุนลอยกับเนื้อหนังของเขา.  เขาอาจจะหนักสองร้อยกิโลมาตรฐานในความเป็นจริง, แต่เท้าของเขาน่าจะรองรับนั้นไว้ไม่มากไปกว่าห้าสิบจากทั้งหมด.

         “ข้าหิวแล้ว,” บารอน พึมพัม, และเขาถูกริมฝีปากอันอวบยื่นของตนด้วยมือสวมแหวนพราว, จ้องลงมายัง ฟีย์ด-เราธาผ่านทะลุหนังตาอวบอูมนั้น.  “ส่งใครไปเอาอาหารมาที, ที่รัก.  เราจะกินกันก่อนที่เราจะเลิก.”

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น