เรื่องราวของพระเจ้า กับ มอร์แกน ฟรีแมน และ พระครู สุมาติ(กาบีร์ สะเสนา)
ชุดที่ 1 ตอนที่ 6 (พลัง แห่ง ปาฏิหาริย์ทั้งหลาย)
The Story Of God With
Morgan Freeman and Ven. Sumati (Kabir Saxena) S01E06 (The Power Of Miracles).
เป็นภาพยนตร์ชุดสารคดีที่บรรยายโดย
มอร์แกน ฟรีแมน1(Morgan Freeman)นำเสนอการสำรวจสืบค้นของ
เขา(his quest)เพื่อที่จะค้นหาว่า
ลัทธิศาสน์ส่วนใหญ่(most religion)กำหนดรู้ต่อชีวิตหลังความตาย(perceive
life after death)อย่างไร, อะไรที่อารยธรรมซึ่งแตกต่างกันทั้งหลาย(different
civilizations)ได้คิดเกี่ยวกับ บทแห่งการรังสรรค์(the act of
creation) และคำถามใหญ่ทั้งหลายอื่นๆ(other big questions)ที่มนุษยชาติ(mankind)ได้ถามกันมาอย่างต่อเนื่อง(has
continuously asked).
การบรรยายของตอนนี้
มอร์แกน เริ่มออกเดินทางไปเพื่อสำรวจค้น(sets out to discover) ว่าทำไมเราเชื่อในปาฏิหาริย์ทั้งหลาย(believe
in miracles) และพวกเขาก่อรูปความเข้าใจของเราในเรื่องพระเจ้าอย่างไร(how
they shape our understanding of God). หลายคนเชื่อว่าพระเจ้าได้สอดแทรกอยู่ในโลกของเรา(does
intervene in our world).
ฟรีแมน: ผมได้มายังอินเดียเพื่อที่จะสำรวจตรวจค้นลัทธิศาสน์หนึ่ง(a
religion)ที่เชื่อว่า เราทั้งหมดต่างมีพลังอำนาจจิต(the
mental power)ที่จะแสดงปาฏิหารย์ทั้งหลาย(to
perform miracles).
นี่คือวิหารมหาโพธิ(Mahabodhi
temple)ใน พุทธคยา(Bodhgaya). สร้างขึ้นตามความเชื่อตามประเพณีของชาวพุทธ(Buddhist tradition). เมื่อ 2,500 ปีก่อน,
ชายผู้ชื่อว่า สิทธัตถะ โคตมะ(Siddhartha Gautama)ได้มาถึงความตระหนักรู้(came to the realization)ว่า จิตมนุษย์(the human mind)มีพลังอำนาจมหาศาลที่ไม่ได้ใช้การ(immense
untapped power).
ในการทำเช่นนั้น(in
doing so), ท่านได้ค้นพบลัทธิศาสน์ใหม่ทั้งหมด(an
entirely new religion), พุทธศาสนา(Buddhism).
และคำบอกเล่าตามประเพณีว่า ท่านได้กระทำตรัสรู้(do it)นั้นที่ตรงนี้ใต้ต้นไม้นี้เอง(right
here under this tree).
ผมต้องการที่จะเข้าใจ(want to understand)อะไรที่ชาวพุทธทั้งหลาย(Buddhists)เชื่อว่าได้บังเกิดต่อพระสิทธัตถะ(happened to Siddhartha)ขณะที่ท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไม้นี้. พระครูทิเบต(Tibetan monk)ลามะ ดอซัง ผู้สอนธรรมได้สัญญาที่จะช่วยให้ผมค้นพบคำตอบนั้น(to find out).
ลามะ ดอซัง: ดีใจที่คุณมาได้นะ. นี่คือจุดศักดิ์สิทธิ์(a holy spot)ที่ซึ่งที่พระพุทธเจ้าบรรลุการตรัสรู้(attained awakening).
ฟรีแมน:
ท่านดอซังบอกกับผมว่า
ท่านจะทำให้ผมได้เข้าใจถึงปาฏิหาริย์ของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า(the
miracle of Buddha’s enlightenment).
ท่านจะทำเช่นนั้นโดยการท้าทายจิตใจของผม(by challenging my mind)ที่จะทำให้ผมที่จะเห็นแสงด้วยตัวผมเอง(to see the light myself).
ลามะ ดอซัง: แล้วคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับพระองค์อะไรบ้าง?
พวกเขาสอนอะไรกับคุณมาในอเมริกา?
ฟรีแมน: ผมได้เรียนมาว่า
ท่านกำเนิดมาในวรรณะสูงศักดิ์(was of noble birth)และท่านเติบโตมาในที่ซึ่งถูกปกป้องปิดล้อมกั้นมาก(very
sheltered)แลละแล้ววันหนึ่งท่านออกมาตระเวนเที่ยวนอกราชวังนั้น.
ลามะ ดอซัง: ถูกแล้ว.
ฟรีแมน: และเริ่มต้นเห็นตรงตามที่อะไรเป้นอย่างแท้จริง(began
to see right what it really was).
ลามะ ดอซัง: ทำไมพระองค์ทำเช่นนั้นล่ะ?
ฟรีแมน: นั่นเป็นคำถามที่ท่านกำลังจะตอบ.
ลามะ ดอซัง: เอาละ,
คุณจะชอบมันอย่างไรบ้างถ้าบิดาของคุณได้ตัดสินใจทันทีที่คุณเกิดมาว่า
ลูกคนนี้ของฉันกำลังจะเป็นพระราชา,
ดังนั้นฉันจะต้องปกป้องรักษาเก็บพวกเขาไว้ในพระราชวังนี้, รายล้อมไปด้วยสิ่งวัตถุที่มีแต่ความสวยงาน(surrounded
by beautiful sense objects), ดอกไม้ทั้งหลายที่ไม่มีวันเหี่ยวแห้ง,
หญิงสาวงดงามทั้งหลายที่ไม่มีวันดูแก่เฒ่า...
ฟรีแมน: สมบูรณ์เยี่ยม.
ลามะ ดอซัง: นั่นไม่ใช่สมบูรณ์เยี่ยมหรอกรึ?
แต่ชายผู้นี้กลับไม่พึงพอใจกับสิ่งนั้น(wasn’t
satisfied with that)คุณจะทิ้งพระราชวังออกไปใช่ไหม?
ใช่.
และคุณรู้ไหมว่าพระองค์เห็นอะไรเมื่อออกไปจากพระราชวัง?
ฟรีแมน: เอาว่า,
ตามที่ผมเข้าใจมันมา, ท่านได้เห็นความทุกข์(saw suffering), ท่านเห็นชีวิตที่แท้จริง(real life)ที่เราได้จากไปกันทั้งหมดในอะไร,
เอ้อ, มีผู้คนแก่ชรา(old people), คนพิการ(cripples), ขอทาน(beggars). ผู้คนที่ไม่มีอะไร(have
nothing), ผู้คนที่หิว(hungry).
ลามะ ดอซัง: ใช่.
ฟรีแมน: เหมือนกับผู้เปิดตาขึ้น(eye
opener)แล้วมันเหมือนกับว่า...ว้าว.
ลามะ ดอซัง: พระองค์เห็นการตาย(saw
death). (ใช่) ผู้เป็นบิดาไม่ต้องการให้พระองค์ได้เห็นเช่นนั้น.
มันทำให้พระองค์คิด, ได้รู้สึกอย่างแรงกล้าอย่างยิ่งว่า(so strongly
felt)ฉันต้องไปจากราชวังนี้, เมื่อคุณต้องการจะหาสาเหตุของสิ่งนี้,
ทำไมผู้คนถึงเป็นทุกข์?
ฟรีแมน: สิทธัตถะ(Siddhartha)ท่องเที่ยวไปนานหกปี(roamed for six years),
แสวงหาที่จะเข้าใจ(seeking to understand)ถึงเหตุแห่งความทุกข์(the
cause suffering).
จนกระทั่งท่านในที่สุดได้มาถึงร่มเงาของต้นไทรหนึ่ง(the shade of a
figus tree)และตัดสินใจว่าท่านจะอยู่ที่ตรงจุดนั้น(right
on that spot), เพ่งจิตของท่าน(focusing his mind)จนกว่าท่านจะได้ค้นพบว่า(discovered)จะจบสิ้นความทุกข์ของมนุษย์ได้อย่างไร(how
to end human suffering).
หลังจากที่นั่งไม่เคลื่อนไหวใด(sitting
motionless)เช่นนั้นมาตลอดทั้งคืน, สิทธัตถะ(Siddhartha)ก็ได้สำเร็จบรรลุการเปลี่ยนรูปทางจิต(achieved a mental
transformation). ชาวพุทธ(Buddhists)กล่าวว่า ท่านได้กลายมาเป็น พระพุทธเจ้า(became Buddha), ผู้รู้แจ้ง(the enlightened one).
ลามะ ดอซัง: การสอน,
พระองค์ตรัส, รู้ไหม, หมอที่ดี(a good doctor)จะบอกกับคนไข้ว่า
“เพื่อน, คุณป่วย คุณป่วย(you’re sick), คุณเป็นทุกข์(you’re
suffering), รู้ไหม, คุณมีปัญหา(you have a problem)”. อย่างที่สอง, ฉันรู้ถึงสาเหตุนั้น(I know the cause). โดยพื้นฐานแล้ว(basically), มันเป็นอุปาทานกิเลส(craving
attachment).
ฟรีแมน: พระพุทธเจ้า(the Buddha)ได้ตระหนักรู้ว่า(realized)ด้วยการละทิ้งความอยากทั้งหลายของตน(by
letting go of his desires)และอุปาทานของตน(his
attachment-ความยึดติด)ที่มีต่อโลกวัตถุ(to
the material world)ท่านก็สามารถขจัดตนเอง(rid
himself)พ้นไปจากทุกข์ได้(of suffering).
สำหรับพระพุทธเจ้า(for the
Buddha)และพุทธศาสนิกชนหลายชั่วรุ่น(for generations
of Buddhists)ภายหลังจากพระองค์, อิสรภาพจากอุปาทานนี้(this
freedom of attachment)ดูจะยอมให้กับการเพ่งพิจารณาต่อจิตและกายรูปอันโดดเด่นกระทั่งบางทีอันน่าอัศจรรย์(a
remarkable perhaps even miraculous mental and physical focus).
ลามะ ดอซัง: คุณรู้ไหม,
พระองค์ทรงสำนึกคุณต่อต้นไม้อย่างยิ่ง(so grateful to this tree), ใต้ร่มที่พระองค์ทรงประทับนั่งและบรรลุมรรคผลตรัสรู้อันน่าอัศจรรย์นี้(achieved
this amazing realization).
พระองค์ประทับอยู่ที่บริเวณนี้นานอีกเจ็ดสัปดาห์(for seven weeks). และหนึ่งในหลายสัปดาห์นั้น, แค่มองจับไม่กระพริบตาใดๆเลย(just
gazing unwinkingly), เขาเล่ากันว่า.
ฟรีแมน: ไม่เคลื่อนไหวไปไหนและไม่กระพริบตาเลย(unmoving
and blinking), เป็นเวลาเจ็ดวัน?
ลามะ ดอซัง: เป็นไปได้สิ,
ทำไมรึ? เพียงแต่ต้องบริหารจิตของเรา(we happen to exercised our minds). เรายุ่งมากเกินไปกับสิ่งภายนอก(so busy with external things)ซื้อและขายและทำอะไรทั้งหลายนั้นๆ...
ฟรีแมน: เรากระทั่งไม่เคยได้เห็นโยคี(a
yogi)กันแท้จริงในการปฏิบัติตนเช่นนั้น.
ลามะ ดอซัง: เอาละ, ในคนสามัญทั่วไป, มันเป็นสิ่งน่าทึ่ง(an
amazing thing)แต่คุณกับฉันก็สามารถทำมันได้(can do it).
พระพุทธเจ้า(the Buddha)ใช้หลายปีของการฝึกทางจิต(years of mental training)และการแสดงความรักและเมตตาต่อผู้อื่น(and showing love and
passion to others)สามารถทำให้พวกเขาเป็นอิสระจากทุกข์ได้(can
free them from suffering).
การเดินไปรอบๆวิหารนี้(this temple), คุณรู้สึกได้ว่าปาฏิหาริย์(a miracle)สามารถบังเกิดขึ้นได้จริง(really
could happen).
ปาฏิหารย์ของการที่ผู้คนซึ่งทำตนสันโดษ(being
content)กับชีวิตของพวกเขา, ผู้คนกำลังมุ่งไปด้วยกัน(getting
along together).
ลามะ ดอซัง: คุณต้องการที่จะเพียงมาและดูว่าลามะทิเบต(a
Tibet lama)สอนศิษย์ชาวตะวันตกอย่างไรหรือ?
...โอ้ เฮลโล คุณสบายดีไหม? (ผมสบายดีแล้วท่านล่ะ, ขอรับ?)
ฉันเคยดูคุณแสดงในหนัง...(ท่านรู้จักผมหรือ?)...ฉันไม่รู้หรอก...หะหะหะ (จะมีใครอื่นเหมือนในหนังของผมได้อีกล่ะ?)...ช็อตคัท! เราทั้งหมดจำเป็นต้องจะเอาใจใส่ในกฎหมายและความเคารพซึ่งกันและกัน(we
all need to care in the law and respect each other) . นั่นคือแหล่งกำเนิดของความสุข(the
source of happiness). ใครก็ตามที่ได้มีสิ่งนั้น,
การเดินทางของพวกเขาก็จะดี(their journeys is good). ใครก็ตามที่ไปรักษาสิ่งนี้ไว้ในหัวใจ(not
keep this in a heart), การเดินทางก็ติดหล่ม(journey stuck). ขอบคุณ. จากวันนี้คุณคือเพื่อนของฉัน. ทุกแห่ง. ...โอเค๋?
(ผมชอบท่าน.)
ฟรีแมน: แล้วลัทธิศาสน์มากมาย(a
lot of religions)ค่อนข้างจะถูกตั้งบนพื้นฐานของปาฎิ-หารย์อยู่อย่างมากมาย(pretty
much miracle based). ผมหมายถึง ชาวคริสต์(Christianity), ศาสนาจูดาย(Judaism)....(ใช่, ใช่เลย)
เอ้อ...ท่านไม่ทำปาฏิหารย์ทั้งหลาย ใช่ไหม?(you don’t do miracles).
ลามะ ดอซัง: แต่อะไรคือปาฏิหาริย์ล่ะ?(what’s
the miracles)ฉันหมายถึงว่า...การบินในท้องฟ้านั่นเป็นปาฏิหารย์รึ?
ฟรีแมน: เราโดยปกติคิดถึงเรื่องของปาฏิหารย์(think
of miracles)ว่าเป็นอะไรบางอย่างของเทพพระเจ้า(some
sort of divine thing), บางอย่างที่, โอเค, ให้ข้อพิสูจน์เราถึงพระเจ้า(give
us proof of God)หรืออะไรบางอย่าง.
ลามะ ดอซัง: รู้ไหม,
โอเค, แล้วนั่นที่เราสามารถถามได้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน(could ask
where is God?) ความลี้ลับสุดๆทั้งหลายของคุณ(your hasta
mystics)หรือของโยคี คือ, พระเจ้าอยู่ที่ไหน?(where’s
God?), จะชี้ที่ตรงนี้(หน้าอก-ผู้แปล)
ไม่ใช่ที่พวกเขาชี้ไปข้างบนนั้น. พวกเขาจะบอกว่าอยู่ในที่นี้.
ดังนั้นแล้วเมื่อคุณได้ถูกบันดาลใจ(are being inspired)โดย...พระเจ้า(God), พระพุทธเจ้า(Buddha), พระไครสต์(Christ), รู้ไหม,...พระกฤษณะ(Krishna), อะไรก็ตาม(whatever)ที่คุณต้องการจะเรียก, บางทีเช่นนั้นแล้วคุณก็สามารถแสดงอะไรที่ถูกเรียกว่าปาฏิหารย์ได้(can
perform what’s called a miracle).
อะไรที่โลกนี้จำเป็นต้องการมากที่สุดล่ะ? การเยียวยา(healing), ถูกไหม? ความรัก(love).
มันจำเป็นต้องการความประนีประนอม(a reconciliation)}, ฉันคิดว่า นั่นคือ ปาฏิหารย์ (the miracle)และนั่นคือปาฏิหาริย์ที่เราจำเป็นต้องการ(we
need), เราไม่ได้จำเป็นต้องการผู้คนทำตัวลอยขึ้นได้(levitating)สามนิ้วขึ้นจากที่ก้นของพวกเขานั่งอยู่, รู้ไหม, ในขณะการทำสมาธิ(while
meditation), นั่นเป็นเรื่องโง่เง่า(stupid).
ดังนั้นแล้ว, เรามายึดอยู่กับปาฏิหารย์ที่แท้จริง(stick
to the real miracle)ที่ซึ่งจะเปลี่ยนรูปจิตใจมนุษย์อย่างแท้จริง(which
is to transform the human mind really).
ฟรีแมน: เอาละ, ท่านรู้ไหมว่าท่านเพิ่งทำอะไรไป?
ลามะ ดอซัง: อะไรรึ?
ฟรีแมน: ท่านคลี่คลายปัญหาเรื่องปาฏิหารย์ทั้งหลาย(solve
the problem of miracles).
ลามะ ดอซัง: ขอบคุณ, ดีละ.
เดินขึ้นไปกันเถอะ. ระวังหน่อยนะ.
ฟรีแมน: มันประหลาดซึ่งน่าขัน(ironic)ที่ชายผู้ได้ต้องการให้เราที่จะตบเท้าเข้าไปใน(tap into)พลัง(the power)ที่พวกเราทั้งหมดมีอยู่ภายในตัวเราเอง(the
power within ourselves), ได้คิดว่ามีอะไรบางอย่างของการเป็นเทพพระเจ้าอยู่(some
sort of divine being).
แง่คิดของพุทธศาสนา(the point of Buddhism)นั้นไปไกล, ขณะที่สิ่งที่ผมสามารถเห็นได้คือครูผู้สอนทั้งหลาย(the
teachers)ที่ว่า เราทั้งหมดมีความสามารถ(capable)ที่มากอีกยิ่งไปกว่าที่เราอาจจะเชื่อว่าเราเป็น. เพียงแค่สำรวมความคิด(concentrate
– สมาธิ)อยู่กับมัน(on it), แต่เอาจิตของเราไปสู่มัน(put our minds to it).
ผมเคยดิ้นรนที่จะหาเหตุผลกับเรื่องราวทั้งหลายของปาฏิหารย์(struggle
to make sense of miracle stories). มหาสมุทรสามารถถูกแยกออกได้อย่างไร?
มันเป็นไปได้อย่างไรที่จะเดินไปบนน้ำ(walk on water)?
แต่ผมคิดว่าผมได้พลาดจากประเด็นจุดสำคัญไป(was
missing the point).
การที่จะเชื่อในปาฏิหารย์(to believe in
miracles)คือการที่จะเชื่อว่ามีอะไรอื่นอีกมาต่อชีวิตกว่าพบเห็นกับตานั้น(meets
the eye). การที่จะยอมรับว่า(to accept)ว่าสามารถมีอะไรบางอย่างที่จะเชื่อมเชื่อมติดต่อเรา, รวมเราเป็นหนึ่งเดียว(to
connects us, unites us).
มีจิตวิญญาณมากมายเหลือเกิน(so many souls)ผ่านโลกนี้ไป(pass through this world)และเส้นทางทั้งหลายของเราก็ตัดผ่านสิ่งปาฏิหารย์ทั้งหลาย(our
paths cross miraculous things)สามารถได้และบังเกิดขึ้นได้จริงๆ(do
happen). ผู้คนได้พานพบช่วงหยุดพักทั้งหลายนั้น(get
the breaks), พวกเขามักจะต้องการให้ผู้คนสร้างแรงดาลใจคนอื่นต่อๆกันไปอีก(always
wanted people to inspire one another), ผู้คนตกหลุมรัก(fall
in love).
และไม่ว่าเหตุการณ์ทั้งหลายนี้จะประพันธ์บรรเลง(orchestrated)โดยหัตถ์ของพระเจ้า(by the hand of God), พลังของจิต(the power of the mind),
หรือแค่เพียงโอกาสบังเอิญหนึ่งในล้าน(one-in-a-million-chance). ผมเชื่อว่าเราควรจะเชื่อในปาฏิหารย์ทั้งหลาย(I believe
we should believe in miracles).
เพราะว่าปาฏิหาริย์นั้น(miracles), ไม่ว่าคุณจะตีความ(define)พวกเขาอย่างไรก็ตาม,
ช่วยเราที่จะ, เอาละ, พวกเขาให้ความหวังกับเรา(they give us
hope). พวกเขาขับดันเราให้สร้างสรรค์ความเป็นจริง(drive
us to create reality), ออกมาจากความเป็นไปได้(out of
possibility).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น