หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2565

พุทธทาสภิกขุ - ภาษาธรรมะ ภาษาคน

 ภาษาธรรมะ ภาษาคน , เว้นชั่ว ทำดี , ทำจิตให้บริสุทธิ์ พระธรรมโกศาจารย์ ท่าน พุทธทาสภิกขุ

 

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ

อิทานิ มาฆะปุณณะมี ถิวะเส สันนิปะฏิตายะ พุทธะบริษายะ คามิธัมมิกะถา กตียะเต

สัพพะปาปัสสะ อะกะระนัง

กุสะลัสสูปะสัมปะทา

สะจิตตะปะริโยทะปะนัง

เอตังพุทธานะสาสะนันติ ธัมโมสะกัจจัง โสตัพโพ ติ

ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา.

         ธรรมเทศนานี้ เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ดังที่ท่านทั้งหลายก็พอจะทราบได้อยู่แล้ว ว่าเป็นธรรมเทศนาเนื่องในมาฆบูชา ปรารภเป็นที่ระลึกแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ประชุมกันเช่นในวันนี้ เมื่อสองพันปีเศษมาแล้ว ในสถานที่แห่งหนึ่งในประเทศอินเดีย เป็นเหตุการณ์พิเศษในพระพุทธศาสนา จนมีคำกล่าวไว้ในพระบาลีว่า เป็นเหตุการณ์ที่มีเพียงครั้งเดียว ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งๆ หมายความว่า ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ไหนก็ตาม การที่ประชุมกันเพื่อแสดงโอวาทปาติโมกข์นั้น ย่อมมีเพียงครั้งเดียว ที่มีเพียงครั้งเดียวก็เพราะว่า ไม่จำเป็นต้องมีกันหลายครั้ง. แล้วการมีเพียงครั้งเดียวย่อมเป็นการเพียงพอ เป็นกิจจะลักษณะแล้ว.

         ดังนั้นขอให้เราทั้งหลาย ถือเป็นอภิลักขิตสมัย คือเวลาที่ตั้งไว้เฉพาะ กำหนดไว้เฉพาะ ในฐานะเป็นเหตุการณ์พิเศษของพระพุทธศาสนา จงทำความระลึกในใจว่า ในวันคล้ายกันกับวันนี้ คือวันที่พระจันทร์เสวยมาฆะฤกษ์ และเป็นวันเพ็ญ ดังเช่นวันนี้ ในเวลาเที่ยงวัน พระอรหันต์ 1,250 องค์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ได้ประชุมกันในเวฬุวันมหาวิหาร ใกล้เมืองราชคฤห์ เป็นเหตุการณ์พิเศษโดยกำหนดกันว่า เป็นวันเพ็ญมาฆบูชา มาฆะฤกษ์เช่นนี้ และพระอรหันต์ 1,250 รูป ไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน มาประชุมพร้อมกันโดยบังเอิญ ล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ และพระพุทธองค์ได้ทรงประทับท่ามกลางที่ประชุม และได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ คือข้อความซึ่งถือว่า เป็นประธานแห่งพระโอวาททั้งหมด หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือ บทสรุปแห่งพระพุทธศาสนา หรือที่มักจะเรียกกันว่า หัวใจของพระพุทธศาสนา ซึ่งข้อความสั้นๆเพียง 3 ข้อ.

         เรามาถือเอาความสำคัญของวันนี้ ว่าวันนี้เป็นวันที่พระพุทธองค์ ทรงประชุมพระสงฆ์ ซึ่งล้วนแต่เป็นพระอรหันต์จำนวนมากน่าอัศจรรย์ถึง 1,250 รูป เป็นเหมือนกับการประดิษฐานคณะสงฆ์อย่างมั่นคงลงไปแล้วในโลกนี้ เราจึงได้ถือเอาวันมาฆบูชานี้ว่า เป็นวันพระสงฆ์ หรือเป็นวันพระอรหันต์ก็ได้ เช่นเดียวกับที่เราถือเอาวันวิสาขบูชาว่า เป็นวันพระพุทธเจ้า เพราะวันนั้นเป็นวันที่เนื่องกับพระพุทธเจ้าเป็นส่วนใหญ่ คือเป็นวันที่ประสูติตรัสรู้และปรินิพพาน และเราถือเอาวันอาสาฬหบูชา เพ็ญเดือน 8 ว่าเป็นวันพระธรรม เพราะพระองค์ได้ประกาศพระธรรม ที่เป็นกิจจะลักษณะลงไปในโลก คือธรรมเทศนาที่เรียกว่า อนุตตร ธัมมจักกัปปะวัตนสูตร เป็นการประกาศธรรมเป็นธรรมาจักรของพระองค์ลงไปในโลก.

         เราจึงได้วันสำคัญในพุทธศาสนาครบทั้ง 3 วัน วันพระพุทธเจ้าคือวันวิสาขบูชา วันพระธรรมเจ้าคือวันอาสาฬหบูชา และวันพระสงฆเจ้าคือวันมาฆบูชา เช่นวันนี้

         วันสำคัญเช่นนี้ เวียนมาบรรจบครบรอบ ปีหนึ่งปีหนึ่งครั้งหนึ่งครั้งหนึ่ง เราจึงถือเป็นเหตุการณ์พิเศษ เป็นวันพิเศษตั้งไว้พิเศษกำหนดไว้พิเศษ เพื่อว่า เราจะได้กระทำการบูชา ให้เป็นการพิเศษเช่นเดียวกัน.

         ตามธรรมดาเราก็ทราบกันอยู่แล้ว ว่าพระธรรมเป็นสิ่งที่ไม่จำกัดสถานที่ ไม่จำกัดเวลา แล้วทำไมเราจะมาถือโดยเฉพาะว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ ข้อนี้อธิบายว่า ไม่ว่ากิจการชนิดไหน เรามีการกำหนดไว้เป็นพิเศษ เฉพาะปีหรือประจำปี เพื่อว่าจะเป็นการรื้อฟื้นความจำที่จางไป เลือนไป ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพราะว่าเรามีกิจมากมีธุระมาก เราไม่สามารถจะทำให้จริงจังหรือที่เรียกว่าเข้มข้นได้ทุกวัน แต่เราก็ไม่ยอมในการที่จะไม่มีการกระทำที่จริงจังเช่นนั้น ดังนั้นเราจึงมีการกำหนดพิเศษ กำหนดไว้เป็นวันพิเศษ ที่จะทำให้จริงจัง ดังเช่นที่เราจะทำมาฆบูชาเป็นพิเศษในวันนี้ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระอรหันต์โดยเฉพาะ และระลึกถึงถ้อยคำที่เป็นโอวาทปาติโมกข์ คือเป็นหัวใจของพุทธศาสนา ที่รับปฏิบัติกันทั่วไป.

         วันมาฆบูชาไม่ได้มีความสำคัญตรงที่คำว่า”มาฆะ” เพราะว่าคำว่า”มาฆะ”นั้นเป็นเพียงชื่อของเดือนอ หรือชื่อของดาวฤกษ์ที่ประจำเดือน นั่นไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์โดยตรง เป็นเพียงปฏิทินเครื่องนับเวลา แต่เผอิญได้มีเหตุการณ์ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เข้าที่วันนั้น วันนั้นก็เลยกลายเป็นวันสำคัญไป ชื่อเดือนๆนั้นก็เลยเป็นเดือนที่สำคัญไปด้วย เราควรจะถือว่า ชื่อเดือนชื่อวันเกิดความสำคัญขึ้นมา ก็เพราะอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งไปเกี่ยวข้องกันเข้ากับวันนั้นหรือเดือนนั้นปีนั้น เป็นต้น.

         นี่ก็เป็นเครื่องเตือนให้เห็นว่า พระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้น มีอยู่อย่างไร มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างไร เราอย่าได้ไปถือความศักดิ์สิทธิ์ในทำนองงมงายอย่างอื่น จนกลายเป็นว่าวันศักดิ์สิทธิ์เพราะมันเป็นวันศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้เป็นต้น. วันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้ มันศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับสิ่งสูงสุดศักดิ์สิทธิ์นั้นต่างหาก. ฉะนั้นเราเข้าใจวันมาฆบูชาไว้ให้ดีว่า เป็นการบูชาที่เรากระทำกันพิเศษ ในวันซึ่งเรียกกันว่าวันเพ็ญเดือนมาฆะ เช่นวันนี้เป็นต้น ในจิตใจของเราควรที่จะระลึกนึกถึง เหตุการณ์ในวันเพ็ญวันนี้ซึ่งได้เกิดแล้วในประเทศอินเดียครั้งกระโน้น.

เราจงทำในใจของเรา ให้เสมือนหนึ่งว่า พวกเราไปแอบดูที่ริมป่า ดูการประชุมพระอรหันต์ ที่มีพระพุทธองค์เป็นประมุขในอารามที่ชื่อว่าเวฬุวัน เราก็จะได้เห็นว่า การประชุมพระอรหันต์นั้นก็ทำกันตามธรรมชาติ ซึ่งก็ต้องทำกลางพื้นดินในร่มเงาของต้นไม้ เพราะไม่มีหลักฐานอันใดแสดงว่า ได้กระทำในโรงเรือนซึ่งได้สร้างขึ้น เช่นวิหารเป็นต้น ไม่มีซากวิหารทำนองนั้นเหลืออยู่เป็นประจักษ์พยาน และไม่มีข้อความในพระบาลีที่แสดงว่าเป็นเช่นนั้น ดังนั้นจึงถือว่าพระอรหันต์ก็ประชุมกัน บนพื้นดินภายใต้ร่มไม้ เหมือนที่เรากำลังนั่งกันอยู่ที่นี่ เวลานี้ อย่าว่าแต่เหตุการณ์อย่างนี้เลย แม้การประสูติของพระพุทธเจ้า ก็ได้มีแล้วกลางพื้นดิน ภายใต้ต้นไม้ที่ชื่อว่าต้นสาละ ในการตรัสรู้ของพระองค์ ก็มีอยู่ในแทบพื้นดินภายใต้ต้นอัตพฤกษ์1 ซึ่งบัดนี้เราเรียกกันว่าต้นโพธิ เพราะว่ามันเป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเสด็จประทับบนพื้นดินซึ่งมีหญ้าคารองเป็นเพียงบางๆเท่านั้น และแม้ในวันปรินิพพานของพระองค์ ก็ยังทรงปรินิพพานกลางพื้นดิน บางคัมภีร์ว่ามีเตียงตั่ง มีเตียงเตี้ยๆรอง แต่ข้อความที่เชื่อถือได้ ก็เป็นอันกล่าวได้ว่า มีผ้าสังฆาฏิรองกลางพื้นดิน แต่แม้จะบนเตียงเตี้ยๆ เราก็ต้องถือว่าบนพื้นดินอยู่นั่นเอง.

เหตุการณ์อันอื่น เช่นพระองค์ทรงแสดงธัมมจักกัปปะวัตนะสูตรที่เรียกว่า ประดิษฐานพระพุทธศาสนา ในฐานะเป็นธรรมาณาจักรนั้น ก็มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่า พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาสูงสุดนั้น กลางพื้นดิน อะไรๆก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เป็นไปตามธรรมชาติ คือก็ทำไปตามสะดวกไม่ต้องลำบากยุ่งยาก เหมือนพวกเราในสมัยนี้ ดังนั้นขอให้เราภาคภูมิใจว่า อย่างน้อยเราก็ได้เลียนแบบพระพุทธองค์อย่างเต็มที่แล้ว ที่บัดนี้เรากำลังนั่งกันอยู่กลางพื้นดิน ภายใต้ต้นไม้ เพื่อจะประกอบพิธีอันศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเป็นการบูชา แก่พระรัตนตรัยนั้น.

ถึงตอนนี้ อยากจะขอซ้อมความจำกับคนบางคนหรือคนบางพวกอีกครั้งหนึ่งว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น โดยเนื้อแท้แล้ว เป็นสิ่งเดียวกัน แยกจากกันไม่ได้ การที่เราแยกนั้น เราพูดอย่างภาษาธรรมดาคือภาษาคนธรรมดาพูด เพราะพระพุทธเจ้าคือบุคคลผู้ตรัสรู้และสอนคนอื่น พระธรรมคือคำสอนของพระองค์ ที่ปฏิบัติแล้วได้ผลเป็นการดับทุกข์ พระสงฆ์คือหมู่คนที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า และเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เกิดเป็นของ 3 อย่างขึ้นมา นี้เรียกว่าเป็นภาษาธรรมดา.

แต่ถ้าพูดกันอย่างภาษาธรรมะ ภาษาความจริง เพื่อความจริงอันเด็ดขาดลงไปแล้ว ต้องพูดว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้น เป็นสิ่งเดียวกัน โดยหัวใจคือโดยเนื้อแท้ หัวใจของพระพุทธเจ้าก็คือธรรม หัวใจของพระธรรมก็คือธรรม ธรรมะ หัวใจของพระสงฆ์ก็คือธรรม.

ธรรม นั้นคือ ความสะอาดสว่างสงบ ธรรมคือความสะอาดสว่างสงบ ทำบุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้า และทำคำสอนและการปฏิบัติระบบหนึ่งให้ได้ชื่อว่าพระธรรม และทำบุคคลให้ได้ชื่อว่าพระสงฆ์.

ดังนั้นในหัวใจของพระพุทธเจ้าก็จะมีความสะอาดสว่างสงบ ในหัวใจของพระธรรมก็มีความสะอาดสว่างสงบ ในหัวใจของพระสงฆ์ก็มีความสะอาดสว่างสงบ.

ความสะอาด คือบริสุทธิคุณ หมายถึงบริสุทธิ์ ไม่มีความผิด ไม่มีความชั่ว ไม่มีความลับ.

ความสว่างนั้น คือความรู้ หมายถึงปัญญาคุณ ไปรู้สิ่งที่ควรรู้

ความสงบนั้นคือ สันติคุณ คือความสุข ความไม่เราร้อนกระวนกระวาย

อันนี้เป็นคุณธรรมที่เนื่องกัน แยกกันไม่ได้อีกเหมือนกัน ถ้ามีสะอาดจริงก็ต้องมีสว่างมีสงบ ถ้ามีสงบจริงก็ต้องมีสะอาดมีสว่าง แยกกันไม่ได้.

และอันนี้เรียกว่าธรรม คำเดียวก็พอ และมีอยู่ในหัวใจของพระพุทธเจ้า และมีอยู่ในหัวใจของพระธรรม และมีอยู่ในหัวใจของพระสงฆ์ ดังนั้นจะถือว่า โดยเนื้อแท้หรือโดยหัวใจแล้ว รัตนะทั้ง 3 นี้เป็นของสิ่งเดียวกัน.

เพราะเช่นนั้น เราบูชาที่พระสงฆ์ ก็ย่อมถึงพระพุทธ พระธรรม ด้วย.

ย่อมบูชาที่พระธรรม ก็ย่อมถึงพระพุทธและพระสงฆ์ด้วย.

บูชาที่พระพุทธ ก็ย่อมถึงพระธรรมและพระสงฆ์ด้วย เพราะความแยกกันไม่ได้ ดังที่กล่าวแล้ว.

เพราะเหตุเช่นนี้เอง แม้ว่าเราจะทำมาฆบูชา เพื่อเป็นที่ระลึกแก่พระอรหันต์ที่ประชุมกันก็จริง ในการบูชานั้น ย่อมถึงแก่พระพุทธและพระธรรมอยู่ในตัว เพราะว่าความเป็นพุทธะ ความเป็นธรรมะนั้น ย่อมมีอยู่ในที่ประชุมของพระอรหันต์นั้น แม้พระอรหันต์แต่ละองค์ก็ได้นามว่าพุทธะ คือเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ต่างกันแต่เพียงว่าไม่ได้เป็นได้เอง ไม่ได้ตรัสรู้ได้เอง เหมือนพระพุทธเจ้า.

การเป็นพุทธะนั้นมีสิ่งเหมือนกันตรงที่ว่า ทำให้สะอาดสว่างสงบ เท่านี้ก็พอแล้ว.

ส่วนพระธรรมนั้นเป็นความสะอาดสว่างสงบอยู่เองแล้ว พระธรรมที่เล่าเรียนคือปริยัติธรรม ก็เรียนเรื่องสะอาดสว่างสงบ พระธรรมที่ปฏิบัติคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็คือ ปฏิบัติเพื่อความสะอาดสว่างสงบ พระธรรมที่เป็นมรรคผลหรือปฏิเวธ2 นั้น ก็คือตัวความสะอาดสว่างสงบที่แท้จริง.

2http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/somdej/sd-186.htm

เพราะเหตุเช่นนี้ ความสะอาดสว่างสงบ จึงยืนอยู่หรือตั้งอยู่ในฐานะเป็นสะพาน ที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าธรรมเพียงคำเดียวในพระพุทธศาสนา และเป็นหัวใจของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ทำสิ่งเหล้านนี้ให้เป็นเรื่องอันเดียวกัน.

เพราะเช่นนั้น จึงไม่เป็นการลำบากแก่พวกเรา ที่จะต้องแยกไหว้ แยกบูชา เวลานั้นเวลานี้ ที่นั่นที่นี่ บูชาอย่างแท้จริงเมื่อไหร่ ก็ถึงทั้งพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ในที่ทุกแห่ง ในเวลาทุกเวลา นับว่าเป็นความสะดวกแล้ว จึงขอให้ทุกคนตั้งใจที่จะทำมาฆบูชา แม้จะพูดว่าที่นี่และเดี๋ยวนี้ ก็เป็นการบูชาทั่วไปและทุกแห่ง เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้น ไม่มีขอบเขต สังกัดว่าอยู่ที่ไหน และเมื่อไร เป็นสิ่งที่เรียกกันได้ว่า เป็นอนันตกาลหรือเป็นอนันตเขตหรือเป็น อมิตายุ เป็นอมิตาภะ มีอายุไม่จำกัด มีแสงสว่างไม่จำกัด มีที่อยู่ไม่จำกัด มีเวลาไม่จำกัด อย่างนี้เป็นต้น.

ขอให้เข้าใจพระธรรมในลักษณะอย่างนี้ จึงจะเป็นการเข้าใจที่ถูกต้องและยิ่งๆขึ้นไป อย่าเข้าใจแต่เพียงประโยคที่ท่องบ่นว่า พระธรรมคือคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ยังไม่รู้ว่าสอนว่าอะไรด้วยซ้ำไป อย่างนี้เป็นเด้กอมมือ และเป็นกันมานานนักหนาแล้ว ควรจะรู้จักเติบโตเป็นผู้ใหญ่กันขึ้นไปตามลำดับ โดยการไปรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะในลักษณะเช่นนี้ จึงเป็นอันว่า เราบูชาในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ก็เป็นการบูชาทั้งพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์.

การทำมาฆบูชาเนื่องในวันนี้ ก็เป็นเรื่องพิเศษอยู่หน่อยหนึ่งตรงที่ว่า เป็นที่ระลึกแก่เหตุการณืที่สำคัญนั้น ส่วนการบูชาแท้จริงนั้นย่อมถึงแก่พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ครบบริบูรณ์โดยไม่ต้องสงสัยเลย จึงขอให้ทุกคนทำในใจอย่างนี้ ในขณะที่ทำมาฆบูชาในวันนี้ มานั่งอยู่ก็ดี เมื่อจะเดินเวียนประทักษิณก็ดี เมื่อจะกล่าวคำบูชาใดๆก็ดี ขอให้มีความรู้สึกอยู่ในจิตใจว่า เรารู้แจ่มแจ้งอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ และอุทิศอย่างนี้ เพื่อให้การทำมาฆบูชานี้มีความหมาย มีความศักดิ์สิทธิ์โดยสมส่วนกัน.

ทีนี้ก่อนจะทำพิธีมาฆบูชานี้ ก็อยากจะซ้อมความเข้าใจต่อไป ถึงเรื่องของธรรมะ.

ถ้าเราถือว่าวันนี้เป็นวันที่ระลึกแก่พระอรหันต์ เราก็จะต้องรู้แจ่มแจ้งกระจ่างชัดเจนว่า พระอรหันต์เป็นบุคคลชนิดไร เมื่อเราถามกันขึ้นว่าบุคคลชนิดไร? เราต้องหมายถึงหัวใจของเขาว่าเป็นอย่างไร ความรู้หรือการกระทำของเขาเป็นอย่างไร ปกตินิสัยของเขาเป็นอย่างไร แต่สำหรับพระอรหันต์ซึ่งรวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วยนั้น เราพูดกล่าวได้ง่ายมากกว่า ท่านเป็นผู้ที่มีจิตใจไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด จึงไม่มีหนทางหรือไม่มีโอกาสที่จะเกิดกิเลส และเมื่อไม่เกิดกิเลสก็ไม่มีทางที่จะเกิดความทุกข์.

เราจึงเล็งไปยังความประเสริฐสูงสุด ตรงที่ไม่รู้จักมีความทุกข์เหมือนพวกเรา พวกเรามีอะไรกระทบหน่อย มันก็ต้องฟูบ้างแฟบบ้าง ฟูคือดีใจในสิ่งที่ตรงกับความต้องการหรือรู้สึกคิดนึก  แฟบก็คือไม่ตรงกับที่รู้สึกคิดนึก เช่นถูกขัดคอเป็นต้น เป็นคนฟูๆแฟบๆอยู่เรื่อยไป เมื่อไปเทียบกันกับพระอรหันต์ก็จรงกันข้าม ตรงที่ไม่มีอะไรจะทำให้ท่านเกิดอาการฟูๆแฟบๆเหมือนพวกเรา.

นี่แหละเราลองนึกดูเถิดว่า มันมีความประเสริฐที่ตรงไหน บางคนอาจจะไม่เชื่อว่ามันประเสริฐอยู่ที่มันไม่ฟูๆแฟบๆนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่า ไม่เข้าใจเรื่องของพระอรหันต์ หรือคำว่าฟูๆแฟบๆนั่นเอง ถ้าเข้าใจก็จะมองเห็นได้ว่า เกี่ยวกับชีวิตของคนเรานี้ไม่มีอะไร นอกจากเรื่องขึ้นๆลงๆ ฟูๆแฟบๆ สุขๆทุกข์ๆ ไปตามประสาของคนที่ยังเป็นคนธรรมดา ยังมีกิเลสอยู่.

แม้จะเรียกว่าสุขๆทุกข์ๆ ก็เป็นภาษาที่ไม่จริง ภาษาพูดของคนโง่ ที่ไปเรียกอาการสนุกสนานพอใจนั้นว่า ความสุข เพราะเพียงแต่ว่ามันไม่ทำให้เดือดร้อนรำคาญเท่านั้นเอง.

โดยที่แท้แล้วความฟูหรือความแฟบก็เป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยเท่ากัน พระพุทธเจ้าจึงมองมันในลักษณะที่เหมือนกัน ว่าเรื่องฟูก็เป็นทุกข์เรื่องแฟบก็เป็นทุกข์ ต่อไม่ต้องฟูไม่ต้องแฟบต่างหากจึงจะเป็นสุข แต่แล้วเราก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ และดูเหมือนจะไม่ต้องการด้วยซ้ำไป เพราะว่าสันดานและนิสัยของเรา ชอบฟูอย่างไม่รู้จักสิ้นสุด ดังนั้นจึงเข้าใจพระพุทธเจ้าไม่ได้ เข้าใจพระธรรมไม่ได้ และเข้าใจพระสงฆ์ไม่ได้. แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราต้องการจะเข้าใจให้ได้ เราก็จำเป็นจะต้องศึกษากันในเรื่องนี้สืบต่อไปอีก แม้จะเป็นการซ้ำๆซากๆ อย่างที่เราทำกันมาเกือบทุกปี.

ถ้าเราจะเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง เราต้องเป็นผู้รุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา ก็มีคำกล่าวที่น่าฟัง และท่านทั้งหลายควรจะกำหนดจดจำไว้ให้แม่นยำในเบื้องต้น ว่า อะติโลจะติ ปัญญายะ สัมมาสัมพุทธะสาวะโก ซึ่งแปลว่า สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมรุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา ทำไมท่านไม่พูดว่า รุ่งเรืองอยู่ด้วยเงิน รุ่งเรืองอยู่ด้วยอำนาจวาสนา ดังนี้เป็นต้น.

แต่ท่านพูดว่ารุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา ทีนี้พวกเรารุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญาหรือเปล่า? หรือว่ากำลังมืดมัวหม่นหมอง กลัดกลุ้มอยู่ด้วยการที่ไม่ได้ฟู ตามที่พอใจ หรือไม่รู้จะฟูอย่างไร เป็นการที่มืดมัวอยู่นั่นเอง ถ้าเป็นดังนี้ก็ต้องยอมรับว่า ยังไม่ใช่สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียจะดีกว่า การที่เราจะว่าเอาเองว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ เราจะอ้างสิทธิว่าเราเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นธรรมเนียมสำหรับเด็กๆ มันเป็นธรรมเนียมสำหรับคนที่ไม่รู้ เป็นเพียงพิธีรีตอง อย่างเดียวก็จะเป็นเพียงพิธีการ ที่จะนำไปสู่ความรู้ คือจนกว่าเราจะรุ่งเรืองอยู่ด้วยสติปัญญานั่นเอง.

เพราะฉะนั้นเราอย่าไปนอนใจเสียว่า เราว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ เป็นต้นก็พอแล้ว เราจะต้องทำให้รุ่งเรืองไปตามลำดับ ด้วยปัญญา จึงจะเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา ไม่ใช่รุ่งเรืองอยู่ด้วยอำนาจวาสนาของกิเลส ซึ่งมันครอบงำย่ำยีจิตใจ อยู่เป็นประจำวัน เราจะต้องขวนขวายระลึกนึกถึงวิธีที่จะรุ่งเรืองด้วยปัญญา.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระสาวกทั้งหลายก็ดี ล้วนแต่รุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา ทั้งนี้เพราะว่า ท่านสมบูรณ์ด้วยคุณธรรมอย่างหนึ่งเสมอกัน คือ บทว่า วิชชา จะระนะสัมปันโน เมื่อเราสวดพระพุทธคุณ เราก็ต้องสวดว่า อิติปิโส ภะคะวา อะระหังสัมมา สัมพุทโธ วิชชา จะระณะสัมปันโน สุขะโตโลกะวิทู เป็นลำดับไป ในบรรดาคุณเหล่านั้น มีคำว่า วิชชา จะระณะสัมปันโน รวมอยู่ด้วย นี้เป็นสิ่งที่เราต้องสนใจ เพราะเป็นเครื่องมือให้สำเร็จประโยชน์ในการเป็นพระพุทธเจ้าก็ดี ในการเป็นพระอรหันต์ก็ดี ในการเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ดี ก็ดี ล้วนแต่จะต้องรุ่งเรืองอยู่ ด้วยปัญญา.

คนสมัยนี้ก็อ้างตัวเองว่ามีการศึกษามาก ไปเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนา แล้วรุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา เค้าว่าอย่างนั้น แต่แล้วจะรุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญาจริงหรือไม่ ลองพิจารณาดู ถ้าปัญญานั้นจริง คงจะทำให้ผู้นั้นสงบเย็นได้ ไม่มัวแต่ฟูๆแฟบๆตามเดิม บางทีก็ทำสิ่งที่ไม่น่าทำ ทั้งที่เป็นบุคคลยอมรับว่ามีการศึกษามาก มีปริญญามีสิ่งต่างๆเป็นเครื่องรับรอง ว่ามีการศึกษามาก แล้วก็ยังทำสิ่งที่ไม่น่าทำ แล้วก็ยังเป็นทุกข์ ทรมาน เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นอยู่นั่นเอง อย่างนี้จะเรียกว่ารุ่งเรืองด้วยวิชชาหรือปัญญาไม่ได้.

คำว่าวิชชาหรือปัญญาในพุทธศาสนานั้น มีความหมายเล็งไปยังสิ่งที่จะทำให้เกิดความสงบเย็น ทั้งโดยส่วนตัวและโดยส่วนรวม แต่ถึงอย่างไรก็ดี ก็ยังมีแง่มีมุมที่จะต้องศึกษาเกี่ยวกับข้อนี้อยู่มาก อยู่หลายอย่าง โดยเฉพาะคำว่า วิชชา จะระณะสัมปันโน นี้ เป็นคำที่ทันสมัยที่สุด ทั้งที่กล่าวไว้ตรัสไว้เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว และอาจจะเป็นคำที่มีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าด้วยก็ได้ คำว่า วิชชา จะระนะสัมปันโน แปลว่า สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ คำว่า วิชชา แปลว่า ความรู้ จรณะ แปลว่า การกระทำ.

คำว่าวิชชา ก็คือ วิชาการ คำว่าจรณะ ก็คือ วิธีการ ท่านฟังดูให้ดี อย่าเอา วิชาการกับวิธีการไปปนกัน เช่นเดียวกับหลักเกณฑ์สมัยนี้ เรามีคำ 2 คำ คือคำว่าเทคนิค(technic)  ตรงกับคำว่าวิชาการและมีคำว่า เทคนี(technique)นี้ตรงกับคำว่าวิธีการ ทั้งเทคนิคและเทคนีรวมกันแล้วจึงจะเป็น เทคนิคัล(technical) คือสิ่งที่ทำให้เกิดความสำเร็จได้.

มีแต่วิชาการขาดวิธีการก็ไปไม่รอด มีแต่วิธีการไม่มีวิชาการก็ไม่รู้จะทำไปอย่างไร มันก็ต้องมีความถูกต้องและสมบูรณ์ทั้งวิชาการและวิธีการ คือทั้งเทคนิคและเทคนีดังที่กล่าวแล้ว คนสมัยนี้จึงทำงานก้าวหน้าไปตามที่เขาต้องการ เช่นเกิดอะไรใหม่ๆ จนจะไปนอกโลก ไปโลกอื่น ไปดาวพระเคราะห์ดวงอื่นได้ อย่างนี้ ก็เพราะสมบูรณ์ด้วยเทคนิคและเทคนี คือวิชาการและวิธีการดังที่กล่าวแล้ว.

คำว่าวิชชา วิชา นี้ เป็นวิชาการ คำว่าจรณะ คือวิธีการ คำว่าจรณะแปลว่า การประพฤติ การกระทำ หรือ เครื่องประพฤติ หรือเครื่องกระทำ ส่วนวิชชานั้นเป็น ความรู้ วิชชา จะระณะสัมปันโน รวมกันแล้วก็แปลว่า สมบูรณ์ด้วยวิชาการและวิธีการ.

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้.

และพระอรหันต์ทั้งหลายท่านจึง ตัดกิเลสได้สิ้นเชิงและเป็นพระอรหันต์ได้.

และพระสาวกทั้งหลายนอกนั้น แม้ที่ไม่เป็นพระอรหันต์ ท่านก็เป็นพระสาวกที่ถูกต้องได้ คือมีกิเลสเบาบางลงตามลำดับๆ ก็ด้วยอำนาจแห่ง วิชชา จะระณะสัมปันโน คือเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะนั่นเอง.

ด้วยเหตุนี้แหละจึงถือว่า คำๆนี้คือคำว่าวิชชา จะระณะสัมปันโน นี้ เป็นคำที่ทันสมัยอย่างยิ่ง แม้ได้กล่าวมาแล้ว สองพันกว่าปีมาแล้ว หรือหลายพันปีมาแล้ว มันก็ยังมีความหมายเดียวกัน ใช้ได้อย่างเดียวกัน และถูกต้องที่สุดอย่างเดียวกัน และจำเป็นอย่างยิ่งอย่างเดียวกัน เหมือนกับที่เรากำลังรู้สึกอยู่ในสมัยนี้ ว่า ทำอะไรต้องเป็นเทคนิคัล(technical) คือสมบูรณ์ด้วยเทคนิค(technic)และเทคนี(technique) ดังที่รู้กันอยู่ ก้องไปทั่วทั้งโลกแล้ว แต่ก็ยังมีความโง่ ในเรื่อง วิชชา จะระณะสัมปันโน ของพระพุทธเจ้าอยู่นั่นเอง ไม่สนใจในเรื่องวิชาการและวิธีการชนิดที่จะช่วยทำโลกนี้ ให้ประสบสันติภาพอันถาวรได้ เพราะไม่รู้ จึงไม่ทำโลกนี้ให้เกิดความสงบได้ แต่กลับทำไปในทำนองตรงกันข้าม คือใช้เทคนิค(technic)และเทคนี(technique)เป็นไปในทางกวนโลกนี้ให้ระส่ำระสายยิ่งขึ้น ให้ยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น โลกของเราจึงมีภาวะระส่ำระสายและยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น จนเกินสติปัญญาของมนุษย์สมัยนี้  ที่จะทำให้เกิดสันติภาพได้ อยู่นั่นเอง.

คิดดูแล้วก็เป็นเรื่องน่าเวทนาสงสาร หรือเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ที่มนุษย์กำลังหลับหูหลับตา เดินไปในทางที่จะจมไปในนรก ในอบาย อย่างถูกเทคนิคที่สุด จึงได้รับผลสมใจหวัง ในการที่ต้องทนทุกข์ทรมานถึงป่านนี้.

เรามาระลึกนึกถึงเหตุการณ์อันนี้กันในวันนี้ ซึ่งเป็นวันศักดิ์สิทธิ์คือวันมาฆบูชา ก็เพื่อว่าเราอย่าต้องเป็นเช่นนั้นเลย เค้าจะเป็นไปอย่างไรก็ตามใจเขา เพราะเขามีสิทธิมีอิสระที่จะเป็นไปได้ แต่ว่าเราก็มีสิทธิมีอิสระ ที่จะเป็นมาได้ตามที่เราต้องการ คือสมบูรณ์ในวิชชาและจรณะ ในการที่จะเอาชนะกิเลสและความทุกข์นั่นเอง.

ทีนี้เกี่ยวกับวิชชาที่เราต้องรู้เป็นข้อแรกนั้น ก็คือหัวใจของพุทธศาสนา ที่ว่า ทุกสิ่งยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ไม่มีอะไรที่น่าเอาน่าเป็น คือไม่มีอะไรที่น่าไปยึดครองว่าเป็นตัวเรา หรือเป็นของเรา และการดับความรู้สึกว่าตัวเรา เสียให้สิ้นเชิงอย่าให้มีเหลือนั่นแหละ เป็นความเยือกเย็นอย่างยิ่ง เราต้องรู้จนกระทั่งว่า เราไม่กล้ายึดมั่นถือมั่นสิ่งใด โดยความเป็นตัวเราหรือของเรา เพราะว่าเราไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดว่าเป็นตัวเรา ว่าเป็นของเราเข้าเมื่อไร มันก็ตบหน้าเราทุกที ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ไม่ลักษณะใดก็ลักษณะหนึ่ง คือเร่าร้อนบ้าง มืดมัวบ้าง หม่นหมองบ้าง เสียดแทงบ้าง กลัดกลุ้มบ้าง เป็นเรื่องนรกทั้งเป็น อยู่ในจิตใจทั้งนั้น.

ดังนั้นเราจึงไม่ยึดถือสิ่งใด โดยความเป็นตัวเราหรือของเรา แต่แล้วเราก็เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น ไปตามที่ควรจะเกี่ยวข้อง เพราะว่าธรรมชาติหรือกฎของธรรมชาติ บังคับไว้อย่างนี้เอง สิ่งต่างๆนี้เป็นสมบัติของธรรมชาติ เราคล้ายกับยืมมา สมมติว่าของฉัน เป็นตัวฉัน เช่นยืมสิ่งซึ่งประกอบเข้าเป็นร่างกายนี้จากธรรมชาติ มาสมมติว่าเป็นตัวฉัน แล้วก็ยืมนั่นยืมนี่มาว่าเป็นของฉัน มาเป็นบุตรของฉัน มาเป็นภรรยาของฉัน เป็นสามีของฉัน เป็นทรัพย์สมบัติของฉัน เป็นที่ดินของฉัน พูดไปตามภาษาคนโง่ อย่างนี้ต้องเรียกว่าภาษาคน ไม่ใช่ภาษาธรรมะ ภาษาความจริง ในใจของเราก็จะต้องรู้ความจริงว่า เป็นอย่างไร คือมันเป็นสมบัติของธรรมชาติ เป็นของใครไม่ได้ พอคิดว่าจะเป็นของเราเท่านั้น ก็หนักใจขึ้นมาทันที เพราะขืนปฏิบัติไปในลักษณะว่าเป็นของเรา มันก็ตบหน้าเอา เพราะว่าเราเป็นคนคดโกง เราเป็นคนไม่ซื่อตรง.

เพราะเช่นนั้นแหละ ท่านจึงสอนไว้เป็นหลักไว้ สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น พระพุทธเจ้าท่านถือว่าประโยคสั้นๆประโยคนี้ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาทั้งหมด  ท่านจึงตรัสตอบคำถามของผู้ที่มาถามว่า อะไรเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ว่า สัพเพธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ3 สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.

3 https://www.dhammahome.com/webboard/topic/31295

ทีนี้เราต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่แท้ไม่ใช่เป็นตัวเราหรือเป็นของเรา แต่เราไม่รู้มาก่อน เราก็จะต้องทนรับการลงโทษ คือถูกมันตบหน้าเอาบ่อยๆ จนกว่าจะรู้ว่า อ๋อ มันไม่ใช่ของเราและไม่ใช่ตัวเรา แต่แล้วในที่สุด เราก็ยังต้องพูดว่าตัวเรา ว่าของเราอยู่ดี เพราะมันเป็นภาษาพูดของชาวบ้าน ถึงแม้พระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ ท่านก็ต้องพูดภาษาชาวบ้าน ว่าตัวเรา ว่าของเรา เหมือนกัน แต่ว่าท่านพูดอย่าง ปากอย่างใจอย่าง ท่านพูดว่าตัวเรา แต่ในใจของท่านไม่ได้ถือว่าตัวเรา ท่านพูดว่าของเราแต่ในใจของท่านไม่ได้ยึดถือว่าของเรา.

ดังนั้นเราเห็นได้ว่า ท่านพูดอย่างที่เรียกว่า ปากอย่างหนึ่งใจอย่างหนึ่ง ไม่ตรงกัน แต่พวกเราไม่เป็นอย่างนั้น พวกเราโง่มาก ในข้อที่ปากกับใจเหมือนกัน จึงมาพูดว่าตัวตน ตัวเรา ก็เป็นตัวเราจริงๆ เมื่อพูดว่าของเราก็เป็นของเราจริงๆ อย่างนี้มันไม่ใช่สติปัญญา รู้หรือพูด แต่มันเป็นความโง่หรือกิเลสเป็นผู้พูด ดังนั้นมันจึงไม่ใช่คำพูดของสติปัญญา เป็นความเขลา เป็นความเข้าใจผิด พูด มันจึงมีปากกับใจตรงกันแท้ เพราะมันเขลามันโง่ ตลอดกาลตลอดต้นตลอดปลาย.

ทีนี้พระอรหันต์หรือพระอริยะเจ้าท่านรู้ ท่านก็เลยพูดแต่ปาก ใจไม่เป็นไปอย่างนั้น ถ้าเราจะเป็นลูกศิษย์ของท่าน เราก็ต้องหัดเป็นคนปากอย่างใจอย่างเสียบ้าง ทีนี้เมื่อปากพูดว่าเงินของฉัน บ้านของฉัน ทองของฉัน อย่างนี้ ในใจอย่าไปยึดมั่นอย่างนั้น อย่าไปสำคัญมั่นหมายอย่างนั้น คงมีสติสัมปชัญญะรู้ว่ามันเป็นของธรรมชาติอยู่ตามเดิม เราเข้าไปเกี่ยวข้องนี้ก็ไม่ใช่เรา ก็คือร่างกายจิตเป็นของธรรมชาติอีกนั่นเอง เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ เช่น หาอาหารกินเข้าไป ก็เจริญเติบโต แล้วก็กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในลักษณะที่ควรทำ อย่างนี้ ถ้ารู้สึกตัวอยู่อย่างนี้ ก็จะไม่เป็นทุกข์มากมายเหมือนเดี๋ยวนี้ แล้วบางทีก็จะแสวงหา แต่เท่าที่จำเป็น แต่เท่าที่สมควร ไม่ละโมบโลภมาก เหมือนคนเดี๋ยวนี้ ซึ่งกลายเป็นเปรตไปหมดแล้ว เพราะว่ามีความอยากมากมายหลายร้อยหลายพันเท่า หลายหมื่นเท่า หลายแสนเท่า ของความจำเป็น มันก็หาไม่ทัน มันก็หิวเรื่อย มันก็กระหายเรื่อย นี้คือลักษณะของความเป็นเปรต ที่เห็นอยู่ทั่วๆไปในโลกนี้ เป็นโลกของเปรตไปอย่างแท้จริง มันก็หาสาวกของพระพุทธเจ้ายากขึ้นทุกที.

ถ้าเราจะกู้สถานการณ์นี้ไว้ให้ได้ ก็จงทำจิตใจ ให้เป็นไปตามร่องรอยของพระพุทธเจ้าหรือของพระพุทธศาสนา คือไม่ยึดถือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ด้วยความโลภหรือด้วยกิเลส ถ้าต้องกระทำก็กระทำไปด้วยสติปัญญา แล้วก็กระทำแต่พอสมควร ข้อนี้ไม่ได้สอนให้หาเช้ากินค่ำ หาค่ำกินเช้า เราจะสะสมบ้างก็ได้ แต่ในลักษณะที่พอสมควรแก่การที่ว่ามนุษย์คนหนึ่งควรจะสะสมไว้สักเท่าไร อย่าให้มากมายไม่มีขอบเขต จนผู้อื่นเดือดร้อน จนคนมีสติปัญญาน้อยเดือดร้อน จนเกิดลัทธิไม่พึงปรารถนา เช่น ลัทธิคอมมูนิสซึ่ม(communism) ขึ้นมาในโลกนี้เป็นต้น นั่นแหละคือลัทธิของพวกเปรตได้ก่อขึ้น คือพวกที่ละโมบโลภลาภยิ่งกว่าร้อยเท่าพันเท่าหมื่นเท่าแสนเท่า ดูดดึงเอาประโยชน์ในที่ทั่วๆไปมาเป็นของตัว ด้วยความฉลาดที่เรียกว่าเฉโก ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่วิชชา เรียกว่าเฉโกในคำภาษาบาลี แปลว่าปัญญาชนิดที่จะเอาเปรียบผู้อื่น ในที่สุดก็เกิดการปั่นป่วนกันขึ้นมาทั้งโลก เพราะว่าเป็นโลกของบุคคลผู้ยึดมั่นถือมั่นไปเสียหมดแล้ว.

เป็นความทุกข์ตั้งแต่ต้นจนปลาย นี้เรียกว่าไม่มีวิชชา ไม่มีปัญญาที่เป็นของพระอริยะเจ้า ถ้าจะให้มีปัญญาของพระอริยะเจ้า ก็ต้องรู้สิ่งที่เป็นความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ สิ่งที่เรียกว่าธรรมชาตินั่นเอง.

ไม่มีอะไรที่ควรจะยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัวตนหรือเป็นของของตน แต่ก็ยังมีคนยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวตนว่าของตนอยู่เรื่อยไป แม้พวกพุทธบริษัทบางพวก ก็ยกหูชูหางอยู่ในที่ทั่วๆไปว่าพระพุทธเจ้าของฉัน ว่าพุทธศาสนาของฉัน ดีกว่าศาสนาของคนอื่น.

คนพวกนี้ไม่ใช่พูดอย่างใจอย่าง พูดแบบปากกับใจตรงกันทีเดียว พูดด้วยกิเลส ว่าพระพุทธเจ้าของฉัน ว่าศาสนาของฉัน ศาสนาของฉันดีกว่าศาสนาของคนอื่น อย่างนี้เป็นต้น เห็นได้ชัดที่ว่ามีความยึดมั่นถือมั่น ว่ามีศาสนาของเรา มีศาสนาของเขา มีศาสนาของคนอื่น เกิดความรู้สึกเป็นศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาอิสลาม มากมายหลายศาสนา แล้วก็มองดูกันด้วยสายที่เป็นศัตรูกัน คิดนึกถึงกันด้วยจิตใจที่เป็นศัตรูกัน.

อย่างนี้แล้วจะเรียกว่าเป็นพุทธบริษัทได้อย่างไร เพราะไม่ประกอบไปด้วยปัญญา ของพระพุทธเจ้าเสียเลย ฉะนั้นควรจะพิจารณาถึงสิ่งที่เรียกว่าศาสนาดันเสียบ้าง เพราะว่า วันนี้ก็เป็นวันสำคัญของศาสนา และเราก็เรียกว่าวันนี้เป็นวันที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดงที่เรียกว่าหัวใจของศาสนา เราก็จะพิจารณากันดูว่า สิ่งที่เรียกว่าศาสนาเป็นอย่างไร? นับเป็นพุทธศาสนาของเราพวกเดียวเท่านั้นหรือไม่?

ยากจะขอร้องให้ตั้งข้อสังเกตมาตั้งแต่ต้นว่า เรามีความรู้สึกว่า พุทธศาสนาของเรา ศาสนาของเราถูกต้อง ศาสนาของคนอื่นผิด  ศาสนาของเราเท่านั้น ที่ดี  ที่ควรแก่การที่จะมีอยู่โลก อย่างนี้เป็นต้น ถ้าใครมีความคิดอย่างนี้ก็แปลว่า คนนั้นยังรู้จัก(เพียง-ผู้ถอดความ)เปลือกของศาสนาเท่านั้นเอง ไม่รู้จักเนื้อแท้ของศาสนา เพราะว่าศาสนาสอนเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าศาสนาไหน เพียงแต่ว่าไม่สอนมากเท่ากันเท่านั้นเอง แต่ว่าสอนไปในแนวเดียวกัน คือไม่ยึดมั่นถือมั่น ในความที่จะเป็นตัวตนหรือของตน หรือเห็นแก่ตน.

ศาสนาคริสเตียนก็มีสอนมาก เรื่องความไม่ยึดอะไรไว้เป็นตัวตนหรือเป็นของตน ไม่ให้เห็นแก่ตน ให้เห็นผู้อื่นยิ่งกว่าตน และอะไรๆก็ให้ยกไปเป็นของพระเจ้าเสียหมด ไม่มีของตนเหลืออยู่เลย อย่างนี้ก็คือการไม่ยึดมั่นตัวตนหรือของตนเหมือนกัน แต่เขาพูดอธิบายอีกวิธีหนึ่งเท่านั้น.

แม้ศาสนาอิสลาม เมื่อดูถึงเนื้อแท้ของศาสนา ก็มุ่งหมายที่จะให้คนรักใคร่กัน ไม่เอาเปรียบกัน แต่ใช้วิธีการที่รุนแรง ที่จะบีบบังคับให้เป็นเช่นนั้น คนก็ไปเพ็งเล็งกันที่วิธีการรุนแรง ก็เลยเห็นเป็นของโหดร้ายทารุณไป เราจะต้องเห็นอกเห็นใจว่า ในสถานที่แห่งหนึ่ง ในสมัยหนึ่งยุคหนึ่งนั้น คนบางคนต้องใช้วิธีการที่รุนแรงแล้วจึงจะเกิดการเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงได้ พระศาสดาองค์นั้นย่อมรู้ดี จึงใช้วิธีการนั้น วิธีการรุนแรงนั้นก็เพื่อจะบังคับให้คนไม่เห็นแก่ตน ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อย่างนี้เป็นต้น.

ท่านลองคิดดูว่า ศาสนาอิสลามบัญญัติไว้ เพียงแต่ยอมให้ยืมเงิน ไม่ให้มีการกู้เงินเอาดอกเบี้ยเป็นอันขาด ศาสนาอื่นๆอยู่ในลักษณะที่ว่า ให้กู้เงินในลักษณะขูดรีดเอาดอกเบี้ยแพงๆ แล้วศาสนาไหนจะดีกว่ากัน?

หรือการที่ศาสนาอิสลาม ไม่ให้สร้างรูปประติมาขึ้นมาให้ยึดมั่นถือมั่น เป็นองค์พระศาสดา เช่นในพุทธศาสนาในตอนแรกๆก็ไม่มีรูปประติมาสำหรับยึดดมั่นถือมั่น แต่เดี๋ยวนี้ก็เหลืออยู่แต่ศาสนานี้ ที่ไม่สร้างรูปประติมาขึ้นมายึดมั่นถือมั่น

เราคงจะมองกันในแง่นี้บ้าง จึงจะเห็นว่า ศาสนาทุกศาสนานั้น ก็มีความหวัง มีความตั้งใจ มีเจตนา ที่จะสอนในเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น แม้ที่สุดในศาสนาพราหมณ์ศาสนาฮินดู เราอย่าไปเปลือกเอากระพี้ หรือเอาส่วนที่มันเป็นเนื้องอกเนื้อร้าย พอกพูนออกไป เอาเนื้อแท้แล้วก็เป็นศาสนา ที่สอนให้สละทุกสิ่งแก่พระเป็นเจ้าเหมือนกัน ให้เชื่อฟังพระเป็นเจ้า อย่ามีอะไรเป็นตัวตน หรือเป็นของตน ถ้าจะมีตัวตนเป็นของตนให้เอาธรรมะเป็นตัวตน อย่าเอาเนื้อหนังร่างกายจิตใจนี้เป็นตัวตน ก็เป็นการบรรเทาการเห็นแก่ตนได้.

ทีนี้เรามาดูกันที่เปลือก ว่ามี...แล้วเราก็มีความอิจฉาริษยาเป็นต้นทุน เราก็ดูแต่ส่วนที่เปลือก ที่มันยิ่งแตกต่างกันออกไป ไกลออกไป ไกลออกไปไกลออกไป มันก็มีหลายศาสนา จนเข้าหน้ากันไม่ได้ จนรังเกียจเดียดชังกัน พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนอย่างนี้ ท่านไม่ได้สอนให้ ยกตนข่มท่านอย่างนี้ ท่านสอนให้ประพฤติปฏิบัติ เพื่อทำลายความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนเสีย เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวตนแล้ว ก็ไม่มีโอกาสจะทำความผิดอย่างอื่น หรือทำความชั่วอย่างอื่น ไม่มีทางจะยกตนข่มผู้อื่นได้โดยแน่นอน นั่นแหละคือตัวธรรม ธรรมะแท้ ซึ่งมีอยู่ในศาสนาทุกศาสนา.

และพอเรามามองเห็นว่า นี่เป็นธรรม นี่ไม่ใช่ศาสนาแล้ว สิ่งที่เรียกว่าศาสนาก็เลือนหายไป เหลืออยู่แต่ธรรม.

ทีนี้มาดูอีกทีว่าธรรมคืออะไร? ธรรมนี้คือตัวธรรมชาติ คือตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำตามกฏธรรมชาติ และผลที่จะได้รับตามธรรมชาติ อะไรล้วนแต่เป็นธรรมชาติ.

สิ่งที่เรียกว่าธรรมก้หายไปเหลืออยู่แต่ธรรมชาติ หรือสิ่งที่จะเป็นไปตามธรรมชาติ.

สิ่งที่เรียกว่าศาสนาก็หายไป สิ่งที่เรียกว่าธรรมะก็หายไป เหลืออยู่แต่ธรรมชาติ ไม่มีศาสนาแล้ว พูดอย่างนี้ฟังไม่ถูก ก็เป็นผลร้ายอยู่เหมือนกัน คือถ้าใจไปว่า ไม่มีศาสนา ในลักษณะที่ไม่ต้องถือศาสนาอะไรเลย แต่โดยเนื้อแท้แล้ว ไม่มีศาสนานั่นแหละ คือศาสนาแท้จริง.

ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าอะไรเป็นอะไรนั่นแหละ คือศาสนาพุทธที่แท้จริง.

ถ้าไปยึดมั่นว่าอะไรเป็นอะไรเข้าแล้ว มันเป็นพุทธศาสนาไปไม่ได้ เพราะเช่นนั้นเราจะต้องพูดในลักษณะที่ ปากอย่างใจอย่าง ไปตามเดิม เราจะเอ่ยชื่อว่าศาสนา ก็ไม่รู้สึกว่ายึดมั่นถือมั่น เราจะเอ่ยชื่อว่าธรรม ธรรมะ เราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้แล้ว ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แม้เราจะเอ่ยชื่อว่าธรรมชาติ เราก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นธรรมชาตินั้น ว่าเป็นตัวตนหรือของตน ให้คงเป็นไปแต่ธรรมชาติแท้.

เมื่อเป็นดังนี้ สิ่งที่ได้เรียกว่าศาสนาก็หายไปเอง แล้วมันจะมีมาหลายศาสนา มาขบกัดฟัดเหวี่ยงกันด้วยความยึดมั่นถือมั่น เหมือนสมัยนี้อย่างใดได้เล่า เรามองเห็นคนที่เข้าใจผิดในเรื่องศาสนา เข้าใจผิดในเรื่องศาสนาแล้ว ก็ย่อมเข้าใจผิดต่อศาสนาของตนเองด้วย แล้วมองเห็นศาสนาอื่นเป็นศัตรูด้วย แล้วคงมุ่งทำลายซึ่งกันและกันหรือเอาเปรียบกัน หรือจะข่มขี่กัน ไม่เป็นไปในลักษณะที่เป็นเพื่อนกัน เพื่อทำให้โลกนี้มีความสงบสุขเลย นั้นคือคนบ้าศาสนา ศาสนาของคนบ้าศาสนาจะเป็นไปไม่ได้ มันก้เป็นความบ้าของเขาเองไปตามเดิม.

พุทธศาสนาของเรามีหลักเป็นเนื้อแท้อยู่ที่ ความไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวตนของตน ข้อนี้อยากจะยกตัวอย่างกันสักหน่อย ถึงวัตถุ ทางวัตถุ ว่า ถ้าเราจะมองดูน้ำ เราก็เห็นว่า มีหลายน้ำ เป็นน้ำบ่อ น้ำหนองน้ำคลองน้ำฝน น้ำประปา น้ำในส้วม น้ำในคูโสโครก น้ำอุจจาระน้ำปัสสาวะ มีหลายน้ำ ไม่เหมือนกัน เราเป็นคนสะเพร่าเป็นคนโง่ เป็นคนเผอเรอ มองมันหยาบๆ ผิวๆเผินๆจึงเห็นเป็นอย่างนั้น หารู้ไม่ว่า ในน้ำทุกชนิดนั้น มีน้ำบริสุทธิ์ ส่วนสิ่งสกปรกที่มาทำให้น้ำเปลี่ยนแปลงไปนั้น นั่นไม่ใช่น้ำ เช่นว่าน้ำบริสุทธิ์ เอาอุจจาระปัสสาวะละลายลงไป นั่นก็เป็นน้ำอุจจาระ แต่อุจจาระนั้นไม่ใช่น้ำ น้ำนั้นคงเป็นน้ำบริสุทธิ์อยู่ตามเดิม เราต้องมองดูด้วยปัญญาจึงจะเห็นว่า ในน้ำทุกชนิด ในสิ่งที่เรียกกันว่าน้ำทุกชนิด จะมีน้ำบริสุทธิ์อยู่ในนั้น ส่วนของนอกนั้นมันไม่ใช่น้ำ เป็นดินบ้างเป็นโคลนบ้าง เป็นฝุ่นละอองบ้าง เป็นอย่างอื่นบ้าง เป็นเนื้ออย่างอื่นปนลงไปในน้ำ ทำไมเราไปเรียกสิ่งนี้ว่าน้ำด้วยเล่า?

ถ้าเรามองดูแต่น้ำ เราก็จะเห็นว่ามีน้ำบริสุทธิ์ อยู่ด้วยกันทั้งนั้น เช่นในน้ำฝน เอาฝุ่นละอองออกเสียก็คือน้ำกลั่นบริสุทธิ์ น้ำในคลองเอาโคลนเอาดินอะไรออกเสีย ก็คือน้ำกลั่นบริสุทธิ์ แม้แต่น้ำอุจจาระปัสสาวะ เอาส่วนนั้นออกเสียก็เหลือแต่น้ำกลั่นบริสุทธิ์ แล้วจึงเห็นว่าในนั้นมีน้ำอย่างเดียวกัน คือน้ำกลั่นบริสุทธิ์ เดี๋ยวนี้เราก็มีน้ำน้ำเดียว.

ทีนี้เราดูน้ำให้ลึกไปกว่านั้น ตามภาษาวิทยาศาสตร์ที่เราเรียนกันอยู่ทุกคน ว่า H2O ไฮโดรเยน 2 ออกซิเยน 1 ในน้ำบริสุทธิ์มีแต่เพียงเท่านี้ เมื่อเรามีปัญญามีสายตา มองดูมาถึงขนาดนี้ สิ่งที่เรียกว่าน้ำ ก็หายไปอีก เหลืออยู่แต่ไฮโดรเยน 2 ออกซิเยน 1 น้ำหายไปไหนแล้วไม่รู้  นี่คือความจริงในชั้นนี้ เหลืออยู่แต่ธาตุแท้ 2 อย่าง.

ทีนี้ เราจะดูกันอีก ด้วยปัญญามากไปกว่านั้นอีกว่า ในไฮโดรเยนหรือออกซิเยนอณู ปรมาณูหนึ่งนั้น หนึ่งๆนั้น ว่ามีอะไรอีก ดูไปอีก ยิ่งดูไปในที่สุดก็ไปจบลงที่ความว่าง ก็เป็นอันว่าไม่มีอะไร นอกจากความว่าง สิ่งที่เรียกว่าน้ำก็หายไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าออกซิเยน ไฮโดรเยน ก็หายไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าอณูหรือปรมาณู ก็หายไปแล้ว เหลืออยู่แต่ความว่าง นี้มันเป็นสิ่งเดียวกันหรือเปล่า.

จะเห็นได้ว่า มันเป็นสิ่งเดียวกันหมด ทั้งรูปธรรม นามธรรม.

ในทางจิตใจ ไล่ไปก็ไปจบลงที่ความว่าง ในทางร่างกายไล่ไปก็ไปจบลงที่ความว่าง จึงเป็นอันว่า ในทางวัตถุก็ดี ในทางนามธรรมหรือจิตใจก็ดี มีเนื้อแท้คือความว่าง แล้วจะเอาอะไรมาเป็นตัวเป็นตน สำหรับวิวาทกัน เพราะเช่นนั้นสิ่งที่เรียกว่าตัวตนนั้น เป็นแต่ผีปีศาจชนิดหนึ่งหลอมตัวขึ้นมาจากความโง่ของจิตใจ ที่ไม่ประกอบไปด้วยความรู้ มันจึงมีขึ้นมา สำหรับเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นตัวฉัน เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นในความเอร็ดอร่อย ทางเนื้อทางหนังทางตาทางหู ที่เกิดจากสิ่งเหล่านั้น เอาสิ่งเหล่านั้นเป็นความจริง คนที่บูชาเงินก็เพื่อได้ความเอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อทางหนัง คนที่บูชาเกียรติยศชื่อเสียงอำนาจวาสนา ก็เพื่อจะใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องมือหาความเอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อทางหนัง เพราะเหตุเช่นนี้เอง.

พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นบุคคลฉลาดที่สุดในโลก จึงได้ชี้ระบุไปยังเวทนา คือเวทนาที่เป็นไปในทางเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง คือทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจนั่นเอง เพราะนั่นแหละเป็นตัวการสำคัญ ที่หลอกหลอนคนให้คนยึดมั่นถือมั่น แล้วเกิดกิเลสนานาขึ้นมา แล้วก็ได้ทำไปตามอำนาจกิเลสขึ้นเป็นการเบียดเบียนตนเองด้วย เบียดเบียนผู้อื่นทุกๆคนด้วย นี่เรียกได้ว่าผีปีศาจได้เกิดขึ้นมา อย่างไม่น่าจะเกิด และก็ครอบงำโลกนี้ให้เป็นไปอย่างนี้.

พระอรหันต์ทั้งหลายท่านประชุมกันแล้ว ท่านพูดเรื่องอะไร? ว่าท่านพูดเรื่องการไม่ยึดมั่นถือมั่น ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ดังที่ได้กล่าวเอาไว้ข้างต้น ซึ่งจะได้พิจารณากันต่อไป แต่อย่าเอาไปปนกันจนสับสน ในเมื่อพูดว่าไม่มีศาสนานั้น เรียกว่าพูดภาษาธรรมะ เมื่อพูดว่ามีพุทธศาสนาก็มีหัวใจของพุทธศาสนานั้นก็เรียกว่าพูดภาษาคน คำพูดว่าภาษาคนนี้ตามภาษาคนธรรมดา เป็นความจริงอย่างสมมติ พูดอย่างภาษาธรรมนั้น พูดอย่างพระอริยะเจ้า พูดภาษาความจริงแท้.

เราจะวิจารณ์ต่อไปกันถึง ภาษาคนและภาษาธรรม ถ้าพูดภาษาคนก็มีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ถ้าพูดเป็นภาษาธรรมก้ไม่มี กลายเป็นของสิ่งเดียวกัน.

ทีนี้วิจารณ์หนักขึ้นไปอีก พระพุทธเจ้าก็จะไปเหลือแต่ธรรมชาติ พระธรรมก็จะเหลือแต่ธรรมชาติ พระสงฆ์ก็จะเหลือแต่ธรรมชาติ ไม่มีพระพุทธเจ้าไม่มีพระธรรมไม่มีพระสงฆ์. ทั้งอย่างภาษาคนหรือภาษาธรรม ที่เรียกแต่ว่าธรรมล้วนๆไปเสียอีก ไปเหลือแต่ความว่างในที่สุด.

เป็นธรรมชาติสูงสุด เป็นธรรมชาติที่เด็ดขาดเฉียบขาดที่สุด คือความว่าง.

ไม่มีอะไรที่จะจริงจะแท้ยิ่งไปกว่าความว่าง คือว่างจากตัวตนว่างจากของตน เมื่อเราเข้าถึงความจริงคือความว่างไม่ได้ ก็ต้องไปหลงเอานั่นเอานี่มาเป็นตัวตนเข้าจนได้ เหมือนกับที่เรากำลังหลงอะไรว่าเป็นตัวเป็นตน ซึ่งทุกคนย่อมรู้อยู่แก่ใจตนเอง อยู่ดีแล้วโดยไม่ต้องพูดกันอีก.

เพราะฉะนั้นถ้าเราจะถือเอาประโยชน์จากความรู้ จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแล้ว เราต้องพิจารณาพร้อมๆกันไป ทั้งภาษาคนและภาษาธรรม คือทั้งภาษาสมมติและภาษาความจริง คือถ้าจริง อย่างหนึ่งจริงอย่างสมมติ อีกอย่างหนึ่งคือจริงอย่างปรมัตถ์ คืออย่างจริงแท้ เมื่อเราพูดว่า ตามกฎหมายแล้ว ที่ดินผืนนี้เป็นของเรา นี้เป็นความจริงอย่างสมมติ เมื่อเราพูดว่า ที่ดินหรืออะไรก็ตาม เป็นของใครไม่ได้ เป็นของธรรมชาติ นี้เราเรียกว่าพูดความจริงอย่างปรมัตถ์ เมื่อเราพูดด้วยความมีสติสัมปชัญญะอย่างนี้แล้ว เราก็มีสติสัมปชัญญะที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่นได้โดยแน่นอน และเราก็จะเป็นคนพูดแบบปากอย่างใจอย่าง เหมือนพระอรหันต์หรือเหมือนพระพุทธเจ้าได้ ปากพูดว่าอย่างไรแต่ใจไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น เราก็เป็นคนที่ไม่มีความทุกข์เลย เราก็ได้รับประโยชน์เต็มที่ จากการที่มีพระพุทธเจ้าอยู่ มีพระอรหันต์อยู่ในโลกนี้.

ถ้าเราพูดว่าหัวใจของพุทธศาสนา เราก็พูดภาษาคน พูดภาษาสมมติ สำหรับเราจะได้พูดกันรู้เรื่อง เพราะเราต้องพูดกับคนโง่ เราก็ต้องพูดภาษาคนโง่ คนโง่จึงจะฟังรู้เรื่อง เพื่อให้คนโง่ค่อยรู้จักตัวเองขึ้นมาตามลำดับจนเป็นคนฉลาด แล้วทีหลังเราค่อยพูดกันด้วยภาษาของคนฉลาด คือภาษาของพระอริยะเจ้า หรือพระอรหันต์หรือพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นเราจึงพูดกัน 2 ภาษาเรื่อยๆไป คือภาษาคนอย่างหนึ่งภาษาธรรมอย่างหนึ่ง เมื่อเราเป็นปุถุชนมากเกินไป ก็พูดภาษาคนกันมากๆ แต่พอเป็น...ผู้ลืมหูลืมตาสว่างไสวขึ้นมาบ้าง ก็พูดภาษาธรรมะได้มากขึ้น จนกระทั่งเรารู้ทั้ง 2 ภาษา สามารถพูดให้ถูกต้องทั้ง 2 ภาษา นั่นแหละเราเป็นสาวกที่แท้จริง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว.

เพราะฉะนั้นทุกเราจะต้องรู้ภาษาธรรมะกันเสียบ้าง รู้ภาษาธรรมะเพิ่มขึ้นให้พอสมสัดสมส่วนกันกับภาษาคน ที่รู้มากเกินไป ถ้าไม่รู้ภาษาธรรมะ หรือภาษาธรรมขึ้นเลยแล้ว คนก็จะถอยหลังลงไปเป็นสัตว์ แม้แต่จะเป็นคนก็เป็นไม่ได้ เพราะถ้าพูดกันแต่ภาษาคน ยึดมั่นถือมั่นกันเต็มที่ตามภาษาคนแล้ว ก็จะมีจิตใจอย่างสัตว์ ก็มีความเป็นสัตว์อยู่ในคน นี้เป็นสิ่งที่เป็นอันตรายมากเกินไป.

ขอได้ตั้งอกตั้งใจคิดนึกกันเสียใหม่ว่า เราต้องรู้ภาษาธรรมกันบ้างแล้ว อย่ารู้แต่ภาษาคนกันนักเลย อย่างน้อยก็ต้องรู้ภาษาคนกับภาษาธรรมให้ได้สัดส่วนกันไป เพื่อว่าเราจะได้พูด ได้คิดได้นึกได้กระทำ โดยไม่มีการยึดมั่นถือมั่น แม้เราจะต้องพูดด้วยภาษาของคนยึดมั่นถือมั่น เราก็พูดด้วยแต่ปากแต่ใจของเราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นแต่อย่างใด เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วในใจนั้นก็จะเป็นไปด้วยธรรม เมื่อเต็มไปด้วยธรรมแล้ว ธรรมะนั้นจะคุ้มครองไม่ให้มีความทุกข์ ไม่มีความยากลำบาก ไม่ต้องฟูๆแฟบๆ แต่ว่าจะเป็นความสงบ สะอาดสว่างอยู่ในเนื้อตัว.....กับสิ่งที่เรียกว่าธรรมนั้น เป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งได้เคยอธิบายไว้ในที่อื่นๆมามากมายหลายหนแล้วว่า ธรรมนั้นคือธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ และก็ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม เพราะว่าธรรมก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติก็คือธรรม แต่เรามารู้จักธรรมแต่เพียงบางสัดบางส่วน เช่นรู้แต่เพียงว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรียกว่าธรรม สำหรับภาษาบาลี...ภาษาสันสกฤต คำนี้มันหมายถึงทุกสิ่ง รวมทั้งคำพสอนของพระพุทธเจ้าด้วย หรือจะกลับกันเสียก็ว่า คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ท่านสอนเรื่องทุกสิ่ง ไม่ยกเว้นอะไรเลย ก็คือสอนธรรมชาติทุกสิ่ง ธรรมชาติส่วนที่เปลี่ยนแปลง กับธรรมชาติส่วนที่ไม่เปลี่ยนแปลง.

เมื่อพูดอย่างนี้มันก็หมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาตินั้นก็มีเพียง 2 อย่างนี้เท่านั้น ธรรมชาติที่มีการปรุงแต่ง กับธรรมชาติที่ไม่มีการปรุงแต่ง เมื่อพูดอย่างนี้มันก็หมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว มันไม่มีอะไรเหลือ เพราะสิ่งที่ว่าธรรมชาติมันก็มีเพียงสองอย่างนี้เท่านั้น ธรรมชาติที่มีการปรุงแต่ง กับ ธรรมชาติที่ไม่มีการปรุงแต่ง.

พูดอย่างนี้มันก็หมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แต่เราอาจจะแจกแจงเป็นอย่างอื่นเพื่อการศึกษาได้อีกมากมาย เช่นว่า ตัวธรรรมชาติแท้ๆ มันอย่างหนึ่ง แล้วกฎของธรรมชาติ นั้นก็อย่างหนึ่ง แต่กฏของธรรมชาติมันก็คือธรรมชาติอีกนั่นเอง ไม่ไปไหนเสีย ทีนี้หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติตามทำงานตามกฏของธรรมชาติ มันก็คือธรรมชาติอีก เพราะว่าตัวมนุษย์ก็คือธรรมชาติ จิตใจของมนุษย์ก็คือธรรมชาติ ต้องกระทำไปตามกฎ ก็คือธรรมชาติ ฉะนั้นหน้าที่ที่ต้องทำไปตามกฎก็เป็นธรรมชาติในทางนามธรรมอีกอย่างหนึ่ง.

ที่นี้แม้จะมีผลอะไรเกิดขึ้นมา ก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติ มันก็ยังเป็นธรรมชาติ ที่เปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลง ที่ปรุงแต่งหรือไม่ปรุงแต่ง อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เป็นธรรมดาดังนี้ เพราะเช่นนั้นจึงไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ.

เมื่อพูดความจริงในภาษาธรรมะ ภาษาบาลี ภาษาพุทธศาสนาแล้ว ใช้คำว่าธรรมชาตินี่แหละ เป็นคำกลาง เป็นคำรวม หมายถึงสิ่งทุกสิ่ง เช่นพูดว่า ธรรมชาติที่เป็นทุก ธรรมชาติที่เป็นสุข ธรรมชาติที่เป็นไม่ทุกข์ไม่สุข หรือธรรมชาติที่เป็นเหตุ ธรรมชาติที่เป็นผล หรือธรรมชาติที่ไม่เป็นทั้งเหตุไม่เป็นทั้งผล แหละนี่มันก็ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรนอกไปจากธรรมชาติ.

เมื่อเห็นความจริงข้อนี้ แจ่มชัดลงไปอย่างนี้ ใจมันก็ไม่ยึดถือเอง ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดว่าเป็นตัวตนเอง เพราะมันเห็นอยู่ว่าเป็นธรรมชาติ แต่ถ้าไม่เห็นความจริงข้อนี้ ไม่เห็นข้อที่ว่าทุกสิ่งเป็นเพียงธรรมชาตินี้แล้ว มันก็ต้องหลงผิด ไปยึดถือนั่นนี่เป็นตัวเป็นตน แล้วในระหว่างนั้นก็ไปหลงใหลในส่วนที่เป็นของสนุกสนานเอร็ดอร่อย ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย จนลืมอะไรหมด ลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมด สนใจอยู่แต่เรื่องที่จะนำมา ซึ่งความเอร็ดอร่อยทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายเท่านั้น ก็เลยถือสิ่งนี้เป็นสิ่งประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งใด.

ทั้งที่ปากร้องตะโกนว่า พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา หรือเป็นบุคคลที่ประเสริฐที่สุดในโลก นั้นว่าเอาแต่ปาก แต่ใจนั้นไปหลงยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งที่เป็นความเอร็ดอร่อยทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ นี้เป็นการพูดที่โกหกอย่างยิ่งแล้ว ไม่มีคำพูดไหนจะเป็นคำพูดที่เท็จ หรือโกหกมากเหมือนคำพูดชนิดนี้.

ดังนั้นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นคนหลอกลวงถึงขนาดนี้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้เรากำลังจะบูชาพระอรหันต์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ในวันเช่นวันนี้แล้ว เราควรจะมีความสว่างไสวแจ่มแจ้ง เราควรจะมีความซื่อตรงมีความซื่อสัตย์ ในการที่จะไม่ไปโกงธรรมชาติ ไม่ไปเอาอะไรของธรรมาติมาเป็นของเรากันให้ถูกต้องเสียก่อน ให้เรามีจิตใจเหมือนจิตใจของพระอรหันต์เสียก่อน แม้แต่ชั่วครู่ก็ยังดี.

การบูชามาฆบูชาหรือการเวียนเทียนของเรานี้ ก็จะเป็นของจริง ไม่เป็นของเล่นตลก ไม่เป็นขอแงเล่นละคร หรือหน้าไหว้หลังหลอกต่อพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์.

ขอซ้อมความเข้าใจในเรื่องนี้กัน เป็นอย่างยิ่งในทีนี้ว่า อย่าให้การทำมาฆบูชานี้ เป็นการเล่นตลกเป็นการเล่นละคร หรือหน้าไหว้หลังหลอกต่อพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ จงได้เตรียมจิตใจเสียแต่เดี๋ยวนี้เถิดว่า เรามองเห็นแล้วว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นเพียงธรรมชาติ ไม่ควรที่จะยึดมั่นถือมั่นโดยความเป็นตัวตน ก็จะเป็นไปเพื่อความทุกข์ ถ้าและเราจะพูดว่ามันเป็นของเรา ขอให้พูดแต่ปาก ใจไม่ได้เป็น แม้จะพูดว่าเราก็ให้เป็นแต่ปาก ใจอย่าได้เป็น คงรู้สึกอยู่เสมอว่าทุกส่วนแห่งร่างกายของเรา จะเป็นจิตใจก็ดี เป็นเนื้อหนังก็ดี เป็นของธรรมชาติ ถ้าอะไรๆเกี่ยวกับมันที่มาเนื่องกับร่างกายและจิตใจนี้ คิดว่าเป็นของธรรมชาติ.

ร่างกายและจิตใจนี้ จงกระทำไปอย่างถูกต้อง อย่าให้ผิดกฏของธรรมชาติเลย ให้อยู่ด้วยลักษณะปกติของธรรมชาติ คือความสะอาดสว่างสงบ ไม่ปรุงแต่งเป็นกิเลสและเป็นความทุกข์ แล้วเราก็พอใจปีติปราโมชในความจริงอันนี้ เราจึงแสดงออกด้วยการบูชาพระพุทธเจ้า ผู้เปิดเผยความจริงอันนี้ และบูชาพระธรรม ในฐานะเป็นตัวความจริงอันนี้ และบูชาพระสงฆ์ ในฐานะที่เป็นหมู่คณะที่เข้าถึงความจริงอันนี้ได้ และสืบอายุการประพฤติปฏิบัติในลักษณะอันนี้ไว้ ต่อๆมาจนถึงพวกเราในเวลานี้ เราได้รับแสงสว่างด้วย.

ขณะที่เรามีความพอใจอย่างนี้ เราทำมาฆบูชาด้วยการกล่าวสรรเสริญคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์บ้าง ด้วยการเวียนประทักษิณ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงการเคารพทางกายอย่างสูงสุดแล้วบ้าง โดยเฉพาะการเวียนประทักษิณที่นี่ ท่านเห็นแล้วว่าจะต้องเดินไปบนพื้นที่มีก้อนกรวดก้อนหิน ซึ่งมันจะต้องขรุขระ มันจะต้องทำให้เจ็บเท้าบ้าง แล้วก็อย่าได้เผลอสติไปยึดมั่นตัวกูเข้า แล้วโกรธก้อนหิน แล้วก็ไปทะเลาะกันกับก้อนหิน แล้วก็ทำมาฆบูชาไม่ได้ จะล้มเหลวหมด ถ้ายิ่งปวดเพราะก้อนหิน ก็ยิ่งดี จะได้ใช้อา...ความปวดนั้นเป็นเดิมพัน ลงทุน ในการบูชา ซึ่งมันยิ่งเป็นไปกว่าธรรมดา เพราะเช่นนั้นจึงควรจะถอดรองเท้าเสีย เป็นการแสดงความเคารพต่อพระพุทธ พระธรรม แลพระสงฆ์ ให้เท่าเปล่าๆหรือ เท้าอ่อนๆนั้น สัมผัสกันกับพื้นดินหรือก้อนกรวดก้อนหิน และเอาความเจ็บปวดนั้น เป็นการบูชา ซึ่งเป็นลักษณะของปฏิบัติบูชา ซึ่งพระพุทธองค์ทรงปรารถนา ว่าสาวกทั้งหลายจะบูชาพระองค์ ด้วยปฏิบัติบูชา อย่าหลงมัวบูชาด้วยอามิสบูชาอย่างเดียว เช่นบูชาด้วยธูปเทียนข้าวตอกดอกไม้อาหารการกินที่...เครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัย เหล่านั้นมันเป็นกิจส่วนหนึ่ง คือเป็นส่วนร่างกาย เป็นส่วนความจำเป็นทางกาย เป็นของง่ายๆ เป็นของชาวบ้าน เป็นของคน แต่ให้บูชาด้วยการประพฤติปฏิบัติ ในทางใจ ตามคำสอนของพระองค์ ให้เข้าถึงธรรมของพระองค์ ซึ่งเป็นการเข้าถึงพระองค์เองด้วย การเสียสละธรรมชาติอย่างนั้นเรียกว่า เป็นปฏิบัติบูชา.

อีกอย่างหนึ่งพระองค์ได้ตรัสว่า เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นอามิสทายาทเลย แต่จงเป็นธรรมทายาทเถิด หมายความว่า อย่าหวังจะได้อะไรจากพระพุทธเจ้า เป็นเงินเป็นทองเป็นข้าวเป็นของ แต่จงหวังว่าจะได้อะไรจากพระพุทธเจ้า ในฐานะที่เป็นธรรม เป็นธรรมะ เด่วนี้คนบูชาพระพุทธเจ้า เพราะอยากรวย อยากสวย เอาพระมาแขวนที่คอเพื่อให้มีโชคดี จะได้รวยจะได้สวย อย่างนี้เป็นอามิสทายาท หวังในอามิสทายาท ไม่ถูกตรงตามพระพุทธประสงค์ จะต้องทำตนให้ได้รับธรรมะ ให้ธรรมะ ให้เข้าถึงธรรมะ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นธรรมทายาท

ดังนั้นเราจะทำมาฆบูชา เราต้องทำตนให้ตรงตามประสงค์ของพระองค์เสียก่อน คือให้เป็นธรรมทายาทหวังที่จะบูชาด้วยธรรม เอาธรรมเป็นเครื่องบูชา บูชาด้วยธรรม อย่างนี้เรียกว่า ปฏิบัติบูชา.

ส่วนอามิสบูชานั้นเราก็ทำให้มันคู่กันไป เช่นจุดธูปจุดเทียนขึ้นบูชา แต่ถ้าคนฉลาดแล้ว อย่าไปถือเอาที่ธูปที่เทียนเป็นสำคัญ ไปถือเอาที่เราต้องหาธูปหาเทียนมาด้วยความยากลำบาก ต้องเสียสละในการซื้อหามา แล้วต้องจุดต้องทำ เอาตัวการกระทำนี้เป็นหลัก ก็จะเรียกว่าปฏิบัติบูชา ได้เหมือนกัน แม้เราจะบูชาด้วยข้าวปลาอาหาร เครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัย แต่เราอย่าไปเพ็งเล็งที่ตัววัตถุนั้น เราเพ็งเล็งที่ตัวการกระทำ เราต้องกระทำด้วยความเหนื่อยยาก จึงได้วัตถุนี้มาและบูชา อย่างนี้ก็มีปฏิบัติบูชาอยู่ในการถวายซึ่งอามิสนั่นแล้ว นี้เรียกว่าได้กำไรเพิ่มขึ้น มากกว่าคนที่มีความงมงายเพียงแต่ว่าให้ได้จุดธูปจุดเทียนก็พอแล้ว ดังนั้นจึงได้กันจุดธูปจุดเทียนกันเป็นจ้าละหวั่น เพียงเท่านั้น ในจิตใจนั้นมีแต่ความวุ่นวาย อย่างนี้เป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้กับธรรมะในพระพุทธศาสนา จะจุดธูปจุดเทียนนั้นต้องดับไฟในจิตใจเสียก่อน ทุกคนจะต้องดับไฟที่เร่าร้อนในจิตใจเสียก่อน แล้วจึงค่อยจุดธูปจุดเทียน จึงจะบูชาพระพุทธเจ้าได้ ถ้ายังไม่ดับไฟในจิตใจเสียก่อน มีความงุ่นง่านอยู่ในใจ หงุดหงิดอยู่ในใจ มีความรู้สึกที่เป็นโลภะ โทสะ โมหะ ราคะ อะไรอย่างหนึ่งอยู่ในใจ เป็นความร้อนอยู่ในใจแล้ว ถึงจะจุดธูปจุดเทียนบูชาพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ก็ป่วยการ.

ใครก็ตามเมื่อจะเข้าไปจุดธูปจุดเทียนในที่บูชา ที่นี้ก็ตาม ที่ไหนก็ตาม ที่บ้านของตัวเองก็ตาม ในห้องพระของตัวเองก็ตาม ต้องดับความร้อนในจิตใจเสียก่อน จึงค่อยจุดธูปจุดเทียนบูชา มิฉะนั้น ให้พึงรู้สึกเถิดว่า พระพุทธองค์นั่นแหละจะตรัสไล่ออกไป ว่าอย่ามาจุดธูปจุดเทียนที่นี่ให้ป่วยการ เพราะว่าแกไม่ได้ดับความร้อนในจิตใจของแกเสียก่อน จะมาจุดธูปจุดเทียนที่นี่ให้เปลืองเปล่าทำไม.

เดี๋ยวเราก็จะทำมาฆบูชา บูชาอย่างสูงสุดแก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้ว จงพยายามสำรวมสติสัมปชัญญะ ให้เป็นอย่างยิ่ง ให้ไม่มีความร้อนอะไรเหลืออยู่ในใจ แม้แต่ชั่วขณะหนึ่งก่อน แล้วจึงจุดธูปจุดเทียน แล้วจึงจะเดินเวียนประทักษิณ และตลอดเวลานั้นก็จะมีจิตใจที่เป็นธรรม ประกอบอยู่ด้วยธรรม คือความว่างจากตัวตนและของตน จนถึงที่สุดที่เราจะกระทำได้ จึงจะเป็นการบูชา มาฆบูชา ที่ดีที่สุด ที่ถูกต้องที่สุด ที่มีผลที่สุด.

แม้ในการที่จะกระทำวิสาขบูชาหรืออาสาฬหบูชา ก็อย่างเดียวกันนั่นอีก จะต้องทำอย่างนี้เหมือนกัน เพราะได้อธิบายมาแล้วว่า วิสาขบูชาหรืออาสาฬหบูชา หรือมาฆบูชา ถ้ากล่าวโดยเนื้อแท้แล้ว มันก็เป็นของสิ่งเดียวกันนั่นเอง ไม่มีอะไรแตกต่างกัน เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ เป็นของสิ่งเดียวกัน ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และกล่าวซ้ำกล่าวซาก และขอร้องให้เอาไปนึกไปคิดซ้ำๆซากๆ จนกว่าจะเข้าถึงความจริงอันนี้.

ทั้งหมดนี้เป็นการซ้อมเตือน เป็นการปรับ....ความเข้าใจ เพื่อว่าให้เรานี้ มีการกระทำที่ถูกต้อง ให้เป็นทั้งวิชาการ ให้เป็นทั้งวิธีการ รวมกันอย่างแนบแน่นสนิท ตามบทว่า วิชชา จะระณะสัมปันโน สมกับที่เราจะเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ คือมีความรู้สึกมีความเข้าใจ มีความคิดเห็นที่เป็นส่วนวิชชานั้นก็ถูกต้อง แล้วก็มีส่วนการกระทำที่กระทำลงไปด้วยกายด้วยวาจาด้วยใจนั้น ก็เป็นการถูกต้อง เราจึงสมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ เรียกได้ว่า เป็นสองวิชชาจะระสัมปันโน กับเขาคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน และพอใจ ภาคภูมิใจ ที่จะเรียกตัวเองว่า เป็นสาวกที่แท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิได้เป็นแต่พิธีรีตอง มิได้เป็นแต่เพียงธรรมเนียม มิได้เป็นแต่เพียงจดบัญชี ว่าเป็นพุทธมามกะ นับถือพุทธศาสนา แต่ว่าได้เป็นโดยเนื้อแท้ ได้เป็นด้วยเนื้อด้วยตัว เป็นอยู่ที่ตัว เป็นอยู่ที่กายและวาจาและใจ เป็นผู้มีความสว่างสงบถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เราจะบูชาพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ถ้าหากเวลาอื่นเราเผลอไปบ้าง เราก็ต้องสารภาพจิตต่อพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ แม้ว่าจะไม่มีเป็นตัวเป็นตน เราก็สมมติว่าเป็นพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ที่เราจะต้องขออภัยโทษ เพื่อความสำรวมระวังต่อไป.

โดยเนื้อแท้ก็คือธรรมะส่วนที่โง่ ขออภัยต่อธรรมะส่วนที่ฉลาด ธรรมะส่วนที่เป็นอวิชชารู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว ก็กลายเป็นวิชชา เราก็ขออภัยต่อธรรมะที่เป็นความฉลาด เป็นความฉลาด หรือวิชชา แต่ถ้าพูดภาษาคนก็เรียกว่า เรานี่แหละโง่ไปแล้วเผลอไปแล้ว ก็ต้องสารภาพจิต กล่าว กาเยนะ วาจายะ เจตะสาวา เป็นต้น ขออภัยพระพุทธบ้าง พระธรรมบ้าง พระสงฆ์บ้าง นี้มันไม่ได้สำเร็จที่ตรงขออภัย มันสำเร็จอยู่ตรงว่าเราเสียใจ เรารู้สึกแล้วเราจะไม่ทำอย่างนั้นอีก เราเป็นละอาย ไม่เป็นคนหน้าด้าน ถ้าเราขออภัยแต่ปาก ใจของเราไม่กลับใจ อย่างนี้ เราก้เป็นคนหน้าด้านโดยไม่รู้สึกตัว เป็นคนหน้าด้านที่ไม่รู้สึกตัว มันอาจจะร้ายไปกว่าคนหน้าด้านที่รู้สึกตัวก็ได้ ต้องระวังให้ดี.

ถ้าเรารู้สึกตัวว่าทำผิดแล้ว เราต้องมีความละอาย คือหิริ และเราต้องมีความกลัว คือโอตตัปปะ เราต้องมีความละอายมีความกลัวให้มาก และความละอายและความกลัวนั่นแหละมันจะช่วยไม่ให้เราทำผิดทำพลาดอีกต่อไป เช่นเราเดินตกร่อง เราละอายคนหัวเราะ เรากลัวความน่าแข้งเจ็บ นี้เรามีทั้งละอายทั้งกลัว เราจึงไม่เดินตกร่อง เพราะฉะนั้นเราถือว่า ความละอายและความกลัว เป็นเครื่องคุ้มครองไม่ให้เราตกร่อง.

ในการที่จิตจะเกิดกิเลสนี้เหมือนกัน มันก็เหมือนการตกร่องทางวิญญาณ วิญญาณตกร่อง แต่ถ้าว่าเรามีความละอายและความกลัวให้มากแล้ว มันก็ไม่ค่อยตก มันก็ตกน้อยเข้าจนกระทั่งไม่ตก เหมือนที่เราเดินไม่ตกร่องไม่ตกคูถนน ไม่ตกอะไรต่างๆ ถือว่าเราไม่ไปทำอะไรผิดพลาดที่น่าละอายกลางถนน ทุกคนระวังอย่างยิ่ง มันก็สำเร็จ ไม่ไปทำอะไรที่น่าละอายกลางถนนหนทาง แต่ในทางจิตใจนี้เราไม่นึกอย่างนั้น เราไม่รู้สึกอย่างนั้น เราไม่ละอาย เราไม่กลัว มันจึงทำอะไรซึ่งน่าละอายอยู่มากๆบ่อยๆ จนชินเป็นนิสัย แล้วมันก็แก้ยาก เพราะเป็นเช่นนี้แหละ เราก็ต้องหันมานึกความละอายและความกลัวกัน ให้เป็นการใหญ่.

คำว่าหิริ และโอตตัปปะนี้ มันก็หญ้าปากคอก อยู่ที่คัมภีร์ใบแรก เปิดนวโกวาท4ดูก็จะพบ เป็น

         4https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97

ใบแรกหรือหน้าแรก เรื่องหิริโอตตัปปะ แต่ว่ามันไม่ใช่เป็นของเล็กน้อย เหมือนก็ว่าหญ้าปากคอก หรือว่าอยู่ใบแรก มันมีความสำคัญอย่างยิ่งแต่ต้นจนปลายทีเดียว เราต้องมีความละอายคือหิริ มีความกลัวคือโอตตัปปะ ตั้งแต่ต้นจนปลาย ตั้งแต่เรื่องทางโลกๆต่ำๆเตี้ยๆขึ้นไป จนกระทั่งเรื่องขนาดกลาง จนกระทั่งเรื่องสูงสุด จะดับทุกข์บรรลุมรรคผลนิพพาน.

เบื้องต้นก็ดี ท่ามกลางก็ดี เบื้องปลายก็ดี ต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่าหิริและโอตตัปปะนี้ทั้งนั้น ถ้ามิฉะนั้นแล้วจะเป็นไปไม่ได้เลย คือจะเป็นไปแต่ในทางที่ หน้าไหว้หลังหลอกมากขึ้น หน้าไหว้หลังหลอกมากขึ้น ในที่สุดก้ล้มเหลวหมด ในการเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องพ่ายแพ้แก่พญามาร พญามารจะต้องมัดเอาตัวไปได้ เป็นสาวก ไปเป็นสมุน ของพญามาร จนทุกข์ทรมานอยู่ โดยรู้สึกตัวบ้าง โดยไม่รู้สึกตัวบ้าง แต่แล้วก็ยกหูชูหาง ว่าตัวดีกว่าผู้อื่น เก่งกว่าผู้อื่น ผู้อื่นจะต้องฟังตัว ว่าจะต้องเคารพตัว อยู่เสมอไปดังนี้ นี้เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่า เป็นสิ่งที่เสียหายที่สุด เป็นการล้มละลายที่สุด ไม่มีการจะเป็นการเสียหายของมนุษย์ยิ่งไปกว่าสิ่งนี้แล้ว ควรกลัวให้มาก ควรละอายให้มาก แล้วหลีกเลี่ยงเสียโดยเด็ดขาดเถิด.

สรุปความในที่สุดนี้ว่า เราจะต้องสมบูรณ์ด้วยวิชชา รู้ว่าอะไรเป็นอย่างไร เราควรทำอย่างไร แล้วเราก็สมบูรณ์ด้วยจรณะ คือการปรพฤติกระทำตามนั้น ให้ได้ชื่อว่าเป็น วิชชา จะระณะ สัมปันโน และอาศัยหัวข้อสั้นๆที่เรียกว่า โอวาทปาติโมกข์.

ข้อที่หนึ่ง ว่า สัพพะปาปัสสะ อะกะระนัง เว้นบาปหรือความชั่ว หมดทุกอย่างทุกประการ.

กุสะลัสสูปะสัมปะทา ทำสิ่งที่ดีให้ครบถ้วนทุกประการ.

สะจิตตะปะริโยทะปะนัง  ทำจิตให้ผ่องใส ไม่ยึดมั่นถือมั่น ทั้งในความดีและความชั่วทุกประการ.

ข้อนี้มันสัมพันธ์กัน ครั้งแรกเรามีปัญหาเฉพาะหน้าเรื่อง ไฟไหม้หัว ไหม้ศีรษะ เป็นความร้อนคือบาป เราต้องดับไฟนี้ก่อน แล้วเราจึงสร้างความดี ซึ่งเป็นเหมือนความงามความสวยความสงบความเย็น แต่แล้วเราอย่าได้ไปยึดถือความดีความสวยความสงบความเย็นนั้นเข้า ว่าเป็นของเรา มันจะเกิดกลายเป็นความร้อนเป็นบาปขึ้นมาอีก.

ข้อความทั้ง 3 บรรทัดนี้จึงเนื่องกัน เว้นความชั่วเสียให้หมด ทำความดีให้สมบูรณ์ แล้วดำรงจิตไว้ในลักษณะที่ไม่ยึดมั่นสิ่งใดเลย  นี้เรียกว่าเป็นวิชชาก็ได้ หรือเป็นความจริงที่มีอยู่อย่างนี้ แล้วเป็นจรณะคือการปฏิบัติก็ได้ เพราะว่าเราต้องปฏิบัติอย่างนี้ เรารู้ว่าเราต้องเว้นบาปหมด ทำความดีให้เต็ม แล้วอย่าไปยึดมั่นสิ่งใดเข้า นี้เป็นความรู้หรือเป็นวิชชา และเราก้กระทำอย่างนั้นจริง คือเว้นบาปจริง ทำดีจริง ควบคุมจิตไม่ให้ยึดมั่นสิ่งใดจริง อบรมจิตจนฉลาด ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดจริง นี้เรียกว่าจรณะ สมบูรณ์ด้วยจรณะ.

ทีนี้ จากหัวข้อทั้ง 3 นี้ จะแยกออกไปเป็นข้อปฏิบัติอีก 5 อย่าง 10 อย่าง 20 อย่าง 30 อย่าง อะไรก็ได้ ดังที่พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสจำแนกไว้ให้เป็นตัวอย่าง ให้กว้างออกไป หรือให้ต่ำลงไป สำหรับพวกฆราวาสที่อยู่บ้านอยู่เรือน โดยจำแนกไปเป็น 6 อย่างว่า

อะนูปะวาโท                     ไม่พูดร้าย

อะนูปะฆาโต                     ไม่ทำร้าย

ปาติโมกเข จะ สังวะโร          สำรวมเคร่งครัดในกฎระเบียบ

มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสสะมิง    รู้ความพอดีในการกินการอยู่

ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง       นั่งนอนอย่างสงบสงัด

อะธิจิตเต จะ อาโยโค           ทำจิตให้เจริญยิ่งๆขึ้นไปด้วยคุณสมบัติทางจิต

รวมเป็น 6 อย่างด้วยกัน ข้อแรก อะนูปะวาโท ไม่พูดร้าย นี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย คนโดยมากพูดร้าย ด้วยความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง จึงได้พูดร้าย พูดร้ายเพื่อให้เขาเจ็บใจบ้าง ก็ยกตัวเองให้เลิศลอยบ้าง มันมาจากความยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นจึงต้องไม่พูดร้าย คนโบราณสอนไว้ว่า พูดดีไว้ก่อนยังจะดีกว่า แม้ในคนที่เป็นศัตรูกัน.

ข้อที่สองที่ว่า อะนูปะฆาโต ไม่ทำร้าย นี่คือไม่เบียดเบียนผู้อื่น ด้วยการกระทำ จะไม่กระทบกระทั่งบุคคลใดหรือสัตว์ใดให้เดือดร้อน การกระทบกระทั่งผู้อื่นให้เดือดร้อนนี้ก็เพราะความยึดมั่นถือมั่น อยากจะทำลายเขาเพื่อยกตัวขึ้นมา หรือว่าจะได้ประโยชน์จากการทำลายเขา.

ส่วนข้อที่ว่า ปาติโมกเข จะ สังวะโร การ...ความหมายธรรมดา เป็นคนสำรวมเคร่งครัดในกฏระเบียบ คำว่า “ปาติโมกข์” มิได้หมายความแต่ปาติโมกข์ของภิกษุที่สวดอยู่ทุกๆ 2 สัปดาห์ คำว่า “ปาติโมกข์” เป็นคำกลางคือ บทหรือคำที่เป็นระเบียบเป็นหลัก เป็นประธานเป็นหัวข้อเป็นformular ที่จะต้องถือปฏิบัติ จะต้องเคร่งครัดในกฎระเบียบเหล่านี้ ก็หมายความว่า ให้ทุกคนเคร่งครัดอยู่ในกฎอยู่ในระเบียบ ซึ่งเป็นของประจำตน ถ้าใจว่า...ถ้าพอจะเข้าใจได้เองว่า จะต้องทำอย่างไร.

ข้อที่ว่า มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสสะมิง ให้รู้ความพอดีในการกินอยู่ การกินอาหารหรือการเป็นอยู่นี้ รวมกันแล้วก็เรียกว่า สิ่งที่ต้องบริโภค เราก็ต้องรู้ความพอดีในสิ่งที่บริโภค ในการหามาก็ดี ในการเก็บรักษาสะสมก็ดี ในการใช้มันก็ดี กระทั่งในการเกี่ยวข้องกันอย่างอื่นก็ดี ต้องรู้ความพอดี ไม่หย่อนไม่เกินไม่มากไม่น้อย จึงจะอยู่เป็นผาสุกได้. ดังที่กล่าวมาแล้วเมื่อตะกี้นี้ว่า ถ้าคนผู้ใด แสวงหาหรือสะสมเกินความพอดี เกินความจำเป็นแล้ว ย่อมเป็นบาปเกิดขึ้นทันที ทำตัวเองให้เดือดร้อน ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ฉะนั้นจึงรู้ประมาณที่พอดีในการที่จะหามา ในการที่จะมีไว้ ในการที่จะรักษาไว้ และในการใช้จ่ายไป.

ข้อที่ห้าว่า ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง นั่งนอนในที่สงัด ความนั่งนอนอยู่ในที่สงัดนั้น เป็นความเจริญของจิตใจและร่างกาย แต่คนก็ชอบไปดูหนังดูละคร จนเป็นบ้าถูกผีละครสิง ถูกผีปีศาจทั้งความสุขทางเนื้อทางหนังอย่างอื่นสิง จนอยู่บ้านไม่ติด แล้วจะนั่งนอนในที่สงบสงัดอย่างไรได้ นี้เป็นบาปกรรมของคนสมัยนี้ ที่ไปติดหนังติดละคร ติดสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอย่างอื่นอีกมากมายบ ทำให้มีปัญหาเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น ต้องสร้างนั่นสร้างนี่ขึ้นโดยไม่จำเป็น ต้องหาเงินมากขึ้นโดยไม่จำเป็น แล้วก็ไปทำลายหรือละลายแม่น้ำ โดยไม่มีประโยชน์อะไร แต่มีประโยชน์แก่กิเลสอย่างเดียว เพราะตนไม่พอใจที่จะนั่งจะนอนอยู่ในห้องอันสงบสงัดของตน เพื่อให้เกิดสมาธิแล้วมองเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง แล้วจะสามารถควบคุมชีวิตจิตใจนี้ ให้ดำเนินไปแต่ในทางที่ถูกต้องยิ่งขึ้น จนกระทั่งเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา สามารถหน่วงเอาพระนิพพานมาบริโภคใช้สอยโดยไม่ต้องเสียสตางค์ ดังที่ได้กล่าวแล้ว.

ข้อสุดท้ายที่ว่า อะธิจิตเต จะ อาโยโค ทำจิตให้ยิ่งขึ้นไป นั้น หมายความว่า จิตของมนุษย์นี้ มีทางที่จะอบรม developeมัน         ให้สูงขึ้นไป ให้สูงขึ้นไป ให้สูงขึ้นไป ให้สูงขึ้นไป ไม่มีที่สิ้นสุด แต่เราควรจะบังคับมันให้เป็นไปแต่ในทางที่ไม่เป็นทุกข์ หาทางอบรมบ่มจิตใจให้เจริญยิ่งขึ้นไป ในทางสงบก็ดี ในทางปัญญาก็ดี คือในทางที่สมาธิก็ดี ในทางวิปัสสนาก็ดี ให้มันยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป เพื่อมันจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จะรู้ว่ามันเองจะต้องทำอย่างไร จึงจะอยู่เป็นผาสุกอย่างนี้ จิตอย่างนี้เขาเรียกว่าจิตยิ่ง หรือจิตเยี่ยม หรือจิตสูง หรือจิตประเสริฐ เพราะมันสูงอยู่เหนือกิเลส อยู่เหนือความทุกข์ กิเลสหรือความทุกข์ตามขึ้นไปควบคุมบังคับไม่ได้ จึงเรียกว่าจิตยิ่ง คือจิตสูง.

พระพุทธเจ้าท่านทรงจำแนกออกไปเป็น 6 ข้อ เพื่อเข้าใจง่ายสำหรับชาวบ้านอย่างนี้ ว่าถ้าดำเนินอยู่ใน 6 ประการนี้ ก็ชื่อว่าอยู่ในหลักในเกณฑ์ ของพุทธศาสนา แต่ถ้าคนที่ฉลาดกว่านี้ ท่านก็คงพูดสั้นๆเพียง 3 ข้อ ว่าเว้นชั่ว ทำดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ เท่านี้ก็พอแล้ว จึงเป็นอันว่า จะจำแนกเป็น 3 ข้อก็ดี 6 ข้อก็ดี ก็ล้วนแต่เป้นหัวใจของพุทธศาสนาได้ด้วยกันทั้งนั้น คือแสดงแนวที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ของการปฏิบัติตามร่องรอยของพุทธศาสนาแล้ว เป็นอยู่ในอาการที่ไม่ต้องเป็นทุกข์.

หัวข้อนี้พระพุทธเจ้าทรงประกาศในที่ประชุมของพระอรหันต์ 1,250 องค์ ฟังดูแล้วก็น่าหัว ที่ว่าทำไมจะต้องประกาศหัวข้อเหล่านี้แก่พระอรหันต์ ซึ่งอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้แล้ว หรือจบกิจเหล่านี้แล้ว แต่ถ้าท่านคิดดูให้ดี จะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าหัว เป็นเรื่องที่ย้ำว่า หลักเกณฑ์ของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้ สำหรับทุกคน ขอให้พระอรหันต์ทั้งหลายถือเอากฎเกณฑ์อันนี้ เป็นหลัก เป็นแบบ สำหรับไปช่วยกันเผยแผ่ในพุทธศาสนาในทุกทิศทุกทางให้อยู่ในร่องรอยเดียวกัน.

ไม่ว่าพูด...องค์ใดจะไปประกาศที่ไหน ก็ให้ถือหลักอันนี้ เราจึงถือหลักอันนี้เป็นหัวใจของพุทธศาสนามาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ แต่แล้วอย่าลืมว่า ในทั้งหมดนี้ อาจจะสรุปให้เหลือประโยคเดียวเป็นสั้นๆว่า สัพเพธัมมา นารัง อะภินิเวสายะ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น โดยความเป็นตัวเราหรือของเรานั่นเอง เพราะว่าถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ก็เว้นบาปหมด ทำดีหมด จิตผ่องใสอยู่แล้ว เพราะว่าถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ก็ไม่พูดร้ายไม่ทำร้าย และเป็นการเคร่งครัดอยู่ในกฎอยู่แล้ว อยู่ในตัวมันเอง มีความพอดีในการกินการอยู่ อยู่ในตัวมันแล้ว โดยตัวมันเอง เป็นการนั่งนอนอยู่ในที่สงบสงัดแล้ว ในตัวมันเอง และเป็นจิตที่ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ในตัวมันเอง.

ดังนี้ จึงถือว่าสรุปรวมอยู่ในประโยคอันสั้นๆนี้ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่น โดยความเป็นตัวตนของตน ดังที่แสดงมา หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคน จะกระทำในใจถึงธรรมะข้อนี้ อยู่ในใจแล้วจุดธุปเทียนบูชา กล่าววาจาบูชา เวียนประทักษิณบูชา คำนึงอยู่ในใจบูชา ให้ครบถ้วนทั้ง กาย วาจา และใจ เป็นการบูชามาฆบูชา ให้สูงสุดความสามารถของตนในโอกาสต่อไป ให้ได้รับผลสมดังความมุ่งหมาย ของการที่ท่านทั้งหลาย อุตส่าห์มาถึงที่นี่ เพื่อทำมาฆบูชากันเป็นพิเศษตามความพอใจของเรา ให้สุดความความสามารถของเรา.

ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลาในโอกาสนี้ โอกาสหนึ่งก่อน ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้.

https://youtu.be/E4YxmGtvaKg

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น