หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567

พระอาจารย์ชยสาโร - ใหม่ในเก่า เก่าในใหม่

 พระอาจารย์ชยสาโร - ใหม่ในเก่า เก่าในใหม่

          https://youtu.be/T7L4g7192zs?si=dKmZXElH1aG800on



          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          พุทธัง ธัมมัง สังฆัง อะนุตตะรัง คุณุตตะรัง อุปัชฌาย์ยัง นะมัสสามิ.

วันนี้ ปีใหม่ ก็อยากจะพูดเรื่องเก่า เรื่องใหม่ ของเก่า บางทีมันดีเพราะมันเก่าก็มี อย่างดูเขาใหญ่ เขาใหญ่มันเก่ามาก ภูเขามันเก่า ต้นไม้ก็เก่าพอสมควร ต้นใหญ่ๆ ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม มันเป็นของเก่า แต่ไม่ใช่เก่านิ่ง มีการค่อยเปลี่ยนแปลงตามอายุของมันเหมือนกัน แต่อายุของภูเขา เราคงนับเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านปี มากกว่าชั่วระยะสั้นๆ ที่เราคุ้นเคย.

ของเก่าบางอย่าง มันดีเพราะเป็นผลของการวิวัฒนาการ ของการกระบวนการที่ค่อยปรับ ตามความเหมาะสม อยู่เรื่อย ๆ สิ่งใดที่ไม่ work ไม่เหมาะสม มันก็ค่อยๆตัดไป สิ่งที่ดี ที่เป็นประโยชน์ ก็รักษาไว้ ดังนั้นโดยภาพรวมมันเป็นของเก่า แต่ถ้าเราพิจารณาในรายละเอียด เช่นว่ามีของใหม่ อยู่ในของเก่า อยู่เรื่อย ๆ มันจึงมีชีวิต มึงจะเป็นสิ่งที่ควรอนุรักษ์ไว้.

ปัญหา ไม่อยากจะอยู่ที่พวกเรามากกว่า ก็อยู่กับสิ่งใดนานๆ มนุษย์เป็นสัตว์ขี้เบื่อ จะมีความสุขกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น นานไม่ค่อยจะได้ และเมื่อเกิดอาการเบื่อ มนุษย์เราไม่ค่อยจะดูตัวเอง ดูว่าความเบื่อเกิดขึ้นแล้ว เป็นอาการหม่นหมอง แต่เรามองนอกตัว ไปลงโทษสิ่งแวดล้อม เป็นว่าสิ่งที่อยู่ต่อหน้า บอกว่ามันน่าเบื่อ ว่ามันน่าเบื่อถ้ามันมีคุณสมบัติที่เรียกว่าน่าเบื่อ เหมือนกลิ่น พวกกลิ่นหอม เป็นต้น ทุกคนได้รู้สึกว่าหอมเหมือนกัน จริงอยู่จมูกบางคนไว บางคนจมูก...เนี่ยะ อย่างจมูกอาตมายาวๆก็จริง แต่ก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่ค่อยรับรู้ต่อกลิ่นเท่าไหร่ แต่อาตมาก็ยังรู้ความหมายของคำว่าหอม ดังนั้นก็ยอมรับว่าหอม กลิ่นหอมเป็นสิ่งที่จริง ในธรรมชาติ แต่ไอ้อาการที่ว่าน่าเบื่อ มันไม่มีนะ เพราะถ้ามีทุกคนก็ต้องรู้สึก เจอสิ่งใดสิ่งหนึ่งทุกคนก็ต้องรู้สึก ว่าน่าเบื่อ ไม่ว่าระดับใดระดับหนึ่ง แต่ปรากฏว่าบางสิ่งบางอย่าง บางคนว่าน่าเบื่อจัง แต่บางคนว่าไม่ใช่ มันน่ารัก มันน่า...น่าสนใจ ชอบ ก็มี.

ดังนั้นมนุษย์ก็จะหลงอยู่ตรงนี้ ที่เอาสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจ เอาเป็นคุณสมบัติของสิ่งที่อยู่นอกกาย ในที่จิตใจของเรานี้ กระหายความตื่นเต้น กระหายสิ่งกระตุ้นต่างๆ เมื่อสิ่งกระตุ้นมีน้อย ก็ไม่ได้สังเกตใจตัวเอง ว่าอะไรเกิดขึ้น กลับกลายเป็นว่า โอ้ เน๊าะ มันน่าเบื่อเน๊าะ เหมือนกับว่าเป็นความผิดของสิ่งนอกตัวเรา ไม่อย่างนั้นปัญหากับของเก่า ที่เจอบ่อยที่สุดคือความประมาท ความประมาทก็คือ คุ้นเคยเสียจนมองไม่เห็น มองไม่เห็นข้อดีของมัน คือถ้าเราอยู่กับสิ่งที่มีประโยชน์ต่อเราตลอดตั้งแต่เด็ก มนุษย์เราก็หลง นึกว่าเรามีสิทธิ ที่จะได้สัมผัสสิ่งนั้น ที่จะได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้น ถ้า...ถ้าเกิดต้องพลัดพราก จะน้อยใจเสียใจ โกรธ มันไม่น่าเป็นอย่างนั้นเลย ทำไมเค้าทำอย่างนั้น นี่ก็คืออาการของความประมาท ความประมาทก็คือ การหลงว่ามีสิทธิที่จะได้ ในสิ่งที่เกิดตามเหตุตามปัจจัย สิ่งทั้งหลายทั้งปวง จะอยู่จะไม่อยู่ ก็ต้องตามเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยตกไปหายไปหมด ไป สิ่งนั้นเป็นผลของเหตุปัจจัย ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป อันนี้ผู้มีปัญญาก็จะมองเห็นนั้น.

แต่ข้อดีของสิ่งต่างๆ เริ่มตั้งแต่บุญคุณของคุณพ่อคุณแม่ เป็นต้น ถ้าไม่คิดบ่อยๆ ไม่มีสติ ไม่เตือนสติ มันก็จะเหมือนกับไม่รับรู้เลย ถือว่า เอ้า ก็ต้องเป็นอย่างนั้น พ่อแม่ก็ต้องเป็นอย่างนั้น แล้วสิ่งแวดล้อมก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะเรามีสิทธิที่จะให้เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นเมื่อเราถือว่าสิ่งต่างๆที่เราชอบ สิ่งต่างๆที่มีประโยชน์ เป็นของตายตัวแน่นอน เป็นส่วนประกอบของชีวิตของเราที่ ควรจะเป็นอย่างนี้ เราจะขาดปัญญา ในการักษาเหตุปัจจัยของมันไว้ ว่าดูมันก็เป็นของสำเร็จรูป ที่จริงมันไม่ใช่ ทุกอย่างก็อยู่ในลักษณะเป็นกระบวน กระบวนการที่ค่อยๆเปลี่ยน ซึ่งมีเจริญ มีเสื่อม อยู่ตลอดเวลา ไม่มากก็น้อย ส่วนข้อเสียน่ะ ถ้าเรา...เราประมาท ก็เช่นเดียวกัน เราก็จะคุ้นเคยกับมันเราก็จะมองว่าเป็นของตายตัวแน่นอน ก็ต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไป.

เช่น คนซึมเศร้า น่ะ คนซึมเศร้านั้นตัวอย่างที่มีอาการเกิดขึ้นแล้ว ก็ถือว่าต้องเป็นอย่างนี้ตลอดกาลนาน ก็นำไปสู่ความรู้สึกสิ้นหวัง แต่อาตมาเคยถามคนซึมเศร้าว่า ซึมเศร้าทุกลมหายใจเข้าลมหายใจออก ทุกลมหายใจไหม? ถ้าไม่ ก็จะมีบางช่วงใช่มั้ย? แม้ในแต่ละวัน เวลากินข้าว เวลาเล่น Line มันก็จะมีบางช่วงในแต่ละวันที่อาการซึมเศร้าไม่ปรากฏ ฉะนั้นเราถือว่าเราประมาท เราด่วนสรุปว่า นี้เป็นของ คือเรา ชีวิตของเราเป็นอย่างนี้ สรุปไปแล้วคือประมาทไปแล้ว ก็เลยมองไม่เห็นว่า แม้แต่ในความมืดก็ยังมีจุดที่สว่างมากมั่ง ยังมีแว่บๆมั่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของความหวังได้.

ทีนี้บางสิ่งบางอย่างในชีวิตหรือในโลกปัจจุบัน มีอยู่นานแล้วไม่เห็นดีขึ้นแล้ว ก็คงจะ เป็นอย่างนี้แหละ โลกมันก็เป็นอย่างนี้เอง แต่ที่จริงมีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เราสามารถทำให้ดีขึ้นได้ ดังที่อาตมาเคยเล่าว่า ตอนวัยรุ่น คำถามที่อยู่ในสมองอาตมาตลอดเวลา โลกที่มันแย่อย่างนี้ เต้นไปตามความเอารัดเอาเปรียบ ความไม่ยุติธรรม การรบราฆ่าฟันกัน การเบียดเบียนกัน จำเป็นไหมที่จะต้องเป็นอย่างนี้? เราต้องทำใจกับสิ่งเหล่านี้ หรือดีกว่านี้ได้มั้ย? ไม่ต้องเอาถึงขั้นที่ว่า หาย หรือไม่มี ไม่...ไม่หวังถึงขั้นจะมีโลกมนุษย์ที่ไม่มีการเบียดเบียน ไม่มีการรบราฆ่าฟันกันเป็นต้น แต่ดีกว่านี้ได้มั้ย? แล้วถ้าดีกว่านี้ได้ เราแต่ละคน ควรรับผิดชอบในการทำให้โลกดีขึ้น ตรงไหน? อย่างไร? นี่คือสิ่งที่อาตมาคิดพิจารณาในข้อนี้มาก ตอนที่กำลังแสวงหาแนวทางชีวิต ที่ถูกต้องดีงาม.

ดังนั้น ของเก่า ของเก่าที่ต้องมีทำใจ หรือต้องยอมรับ มันก็มี แต่สิ่งที่มีอยู่แล้ว ที่เปลี่ยนไม่ได้ แก้ไม่ได้ เราจะเน้นในการกำหนดรู้ รู้ตามความเป็นจริง แต่หลายสิ่งหลายอย่างนี้ เรา...เพราะเรามองจาก...อย่างผิวเผิน แล้วรู้สึกมันคงที่ แน่นอน เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเราดูในรายละเอียด โอ้โห ไม่เหมือนที่คิด โอกาสที่จะเข้าไปปรับปรุงแก้ไขทำให้ดีขึ้น มันก็มีหลายจุดหลายประการ.

ทีนี้เรื่องของเก่า ก็เป็นที่มาของความคิดผิดบางอย่างเหมือนกัน แล้วคิด...ที่เรามักจะได้ยินบ่อยที่สุด คือการ อู๊ สมัยก่อน มันก็ดีอ่ะนะ ดี อู๊ ทุกวันนี้มันแย่ ไม่เหมือนสมัยก่อน โอ๊ สมัยก่อนเมืองไทย วัฒนธรรมไทย งดงามเหลือเกิน โอ๊ ทุกวันนี้...หึหึ..มัน...

เหมือนที่อเมริกา หลังๆนี้ก็มีไอ้ เรียกว่า MAGA - Make America Great Again อาตมาเคยดูclipที่คนไปสัมภาษณ์คนรุ่นเก่าที่ สนับสนุน MAGA มาก้านี่ แล้ว่าต้องmakeอเมริกาgreat againอีก มันเคยgreatยุคไหน? สมัยไหน? ให้รื้อฟื้น พ.ศ.ไหน? หรือ ค.ศ.ไหน? กลับกลายเป็นว่า โอ๊ สมัยที่ยังทาสอยู่ใช้มั้ย? สมัยที่ยังไม่มีไฟฟ้า หรือ? คือมันฉายภาพในอดีตว่าเป็นยุคทอง แล้วก็ดูสิ่งที่ไม่ชอบในปัจจุบัน แล้วก็วาดภาพว่ามี อ่า มียุคไหน สมัยไหน ที่ในอดีตที่ทุกวันนี้ สิ่งที่เราไม่ชอบในปัจจุบันเคยมีแต่เราไปทำเสีย ว่าเป็นการหลอกลวงตัวเองมากกว่า.

ฉะนั้น การบูชาจินตนาการ ความทรงจำ และความคิด ที่เราเรียกว่าอดีต หรือยุคทอง มันก็เป็นความประมาทเหมือนกัน ก็ย้ำเลยว่า ทุกอย่างเราต้องพิจารณา ให้เห็นเป็นกระบวนการ เป็นกระแสตามเหตุตามปัจจัย ฉะนั้นเราจะทำให้ ความเสื่อมลดน้อยลง ต้องไปแก้ที่เหตที่ปัจจัย จะทำให้สิ่งที่แก้ได้ดีขึ้นได้ จะต้องตรงตามเหตุปัจจัย และผู้ที่มีสติ ผู้ที่สามารถพิจารณา ต้องจับหลักได้ ต้องสามารถทำจิตให้เป็นกลาง ต้องฝึกจิตให้เข้มแข็ง.

ฉะนั้น ถ้าบูชาของเก่าในลักษณะอย่างนี้ คือมีหลักบางอย่าง หรือว่าความจินตนาการบางอย่าง และก็บูชาไป แล้วก็รังเกียจของใหม่หมดทุกอย่าง มันก็เสียดาย เพราะของใหม่ที่ดีก็มีเยอะ ใช่มั้ย? ที่ดีกว่าสมัยก่อนยก็เยอะ ถ้าปฏิเสธเพียงเพราะเป็นของใหม่ มันก็เรียกว่า ยังไงล่ะ? ว่า เสียดาย หรือว่าเป็น อ่า เป็นการฝืน เป็นการสู้อย่างตาบอด ปแต่ของใหม่ ของใหม่นี้ ที่ดีกว่าของเก่าก็มี แต่ของใหม่ที่ไม่ดีเลยก็มี ของใหม่ที่เหมือนของเก่าเพียงแต่ว่า เรียก...เปลี่ยน อ่า รูปแบบหรือเปลี่ยนbranding อ่า re-brandingอะไร ก็มีเยอะ ก็จะสังเกตว่า เราใช้ภาษา อ่า เหมือนกับ...เหมือนกับเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเหมือนกัน ตั้งแต่คำว่า ความเจริญ เนี่ยะ ต้องทำให้ประเทศชาติเจริญ ทุกอย่างต้องเจริญ ถ้าฟังคำนี้ มันไม่มีใครหรอกจะปฏิเสธอะไร ไม่ว่า ใช่ ใช่ ใช่ แล้วมีใครไม่ต้องการให้ประเทศชาติเจริญ ก็เป็นยังไง ก็ไม่รักชาติหรือ? แต่แล้วไอ้ความเจริญ มันคืออะไร? อะไรคือเครื่องตัดสิน เป็นข้อพิจารณา เป็นcriteria ที่จะช่วยให้เราตัดสินว่า ไอ้ความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ คือดีขึ้นหรือเลวลง? เพราะใช้คำว่าเจริญ ความหมายที่แฝงอยู่ในความเจริญก็แปลว่า ดีขึ้น ใช่มั้ย? แต่มันดีขึ้นด้วยเหตุผลอะไร? แล้วดีขึ้นฝ่ายเดียวมั้ย หรือมีข้อดีบ้างข้อเสียบ้าง? แล้วใครเป็นผู้ตัดสินว่า ข้อดีมากกว่าข้อเสีย จึงกล้ายืนยันเป็นความเจริญ?

อันนี้เราก็แค่ ตามกระแสทางโลกมากกว่า เพราะเอกลักษณ์ของใหม่ก็คือ มันชวนตื่นเต้น ใช่มั้ย? มันเป็นของใหม่ทุกอย่าง รู้สึกมีกำลังใจ ใช่มั้ย? เจอของใหม่ น่าดู น่าสนใจ เอ้า อยากไปดูทำไม? ก็เป็นของใหม่ ไม่เคยเห็นมาก่อน ใช่มั้ย? อยากรู้อยากเห็น อันนี้คือ เรา...เราสังเกตตัวเอง มีเกิดความ เอ่อ มีความตื่นเต้น มีความสุข พอฟังคำว่าใหม่ ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น ยิ่งจะมีใครตั้งชื่อว่า นี่คือความเจริญ นี่คืออนาคต แล้วก็มีคำหนึ่งที่เราหลงมาก นั่นก็คือคำว่า “สมัย” ใช่มั้ย? โอ๊ ต้องทำ ทำไมเราต้องทำ? ไม่เห็นจะดี มันทันสมัยค่ะ เดี๋ยวมันล้าสมัย อู๊ ทำไมสมัยมันมีกำลัง มันมี...หึหึ มันมีความสำคัญขนาดนี้เหรอ? อะไรที่เคยทำมานานแล้ว จะไม่ทำแล้วเพราะอะไร? เพราะล้าสมัย แล้วทำไมจึงต้องทำ ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่? ทันสมัยครับ ต้องทันสมัย กลัวจะไม่ทันสมัย.

อันนี้เราก็สร้างคำนี้ขึ้นมา คำนี้มันคืออะไรล่ะ? เป็นแค่สมมติใช่มั้ย? คำว่าสมัยฺ มันไม่ใช่สิ่งที่จับได้ สัมผัสได้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นประสบการณ์ตรง ในชีวิตของใคร เป็นconcept เป็นแนวความคิด เป็นกรอบความคิด ที่เราสร้างขึ้นมา แต่มันทำให้มีพลังมากเหลือเกิน ในนิทาน มีนิทานเซน นิทานหนึ่งที่จิตรกรคนหนึ่งวาดรูปเก่งมาก วาดรูปเสือโคร่ง เสร็จแล้วมองแล้วกลัวขึ้นมา คือกลัวรูปที่ตัวเองวาดไว้ เพราะมันเหมือนจริงมาก แต่คนเราก็เหมือนกับจิตรกรนี้ เราก็สร้างอะไรขึ้นมา วาดอะไรขึ้นมา ผิดพลาด ทำอะไรนี้โง่ๆ เพียงด้วยเหตุผลว่ามันทันสมัย นี้มันเยอะมากเหลือเกิน ทุกสมัย แล้วอะไรคือ “สมัย”? คือถ้าเราเปลี่ยนคำว่า “สมัย” แปลว่า “แฟชั่นล่าสุด” ความรู้สึกเปลี่ยนทันที เอ๊า ทำไมต้องทำยังงั้น? อ้าว เป็น...ก็ต้องทันแฟชั่นล่าสุดสิ แล้วแฟชั่นมันก็เปลี่ยนตลอดอะไรที่เป็นแฟชั่นวันนี้ พรุ่วงนี้ ฤดูกาลหน้ามันก็เปลี่ยนไปแล้ว.

ฉะนั้นการทำตามสมัย ก็ไม่ปลอดภัยเลย เสียตั้งแต่เสียเงิน เสียเงินไอ้รัฐบาลทั่วโลกนี่ทำโครงการอะไรต่างๆ ลงทุนของชาวบ้านไม่รู้กี่พันหมื่นแสนล้าน เพราะเป็นโครงงานที่ทันสมัย มีเยอะมาก ในทาง...เอ่อ หนังสือธรรมะเล่มแรกที่อาตมาเขียน ยังคิดชื่อไม่ได้ ก็กราบขอความเมตตาของหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ที่มานานมากแล้ว 30 กว่าปี ตั้งแต่เพิ่งได้กราบท่านแรกๆ ท่านก็ตั้งชื่อว่า “ธรรมนำสมัย” เป็นครั้งแรกที่ได้ “นำสมัย” เลยชอบมาก เล่มนี้หาไม่ได้แล้ว แต่เราจะนำสมัยอย่างไร? นำสมัยเราก็ต้องมีvalue แล้วก็ต้องมีหลักการ หลักชีวิต ที่เราต้องการจะรักษาไว้ ต้องมีเข็มทิศชีวิต เราจึงจะได้นำสมัย ไม่ใช่ตามสมัย ถ้าเรามีหลักการนี้ เรื่องแฟชั่นนี่มันไม่ใช่ว่าจะดูแคลนคำว่าแฟชั่น แต่ว่ามันต้องเป็นแฟชั่นที่สอดคล้องกับหลักการ หลักชีวิตของเรา แนวทางที่เรากำหนดไว้แล้ว ก็ไม่ผิดอะไร เป็นจิตวิทยา.

อย่างอาตมาก็ไม่เคยวิจารณ์ ไอ้...ไอ้แฟชั่นเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม บ้างก็ อื้อ เข้าคอร์สก็เป็นแฟชั่นเฉยๆ อู้ แต่มันเป็นแฟชั่นที่ดีมาก เพราะถ้าคนเข้าคอร์ส เข้าปฏิบัติธรรมเพราะเป็นแฟชั่น แต่เสร็จแล้วเห็นคุณค่า ไอ้การทำเพราะเป็นแฟชั่น ก็เปลี่ยน กลายเป็นทำด้วยสติปัญญาก็มี แต่ไอ้การที่เราว่า เอ้า ของเก่าไม่เอาแล้ว ต้องทำใหม่ ต้องร่างใหม่ ขำระใหม่ ปฏิวัติใหม่ ถ้าคนรุ่นใหม่รู้สึก ใช่ ของเก่า คือ...คือเอาของเก่ามารวบเป็นหนึ่งทั้งหมด โดยไม่ได้แยกแยะว่า อันไหนของเก่าเนี่ยะ ส่วนที่ควรจะอนุรักษ์ไว้ มีตรงไหน? ส่วนที่ทิ้งได้ มีตรงไหน?

แล้วปรากฏว่าถ้าเราศึกษาหลักประวัติศาสตร์ให้ดี จะเห็นว่าบางสิ่งบางอย่างที่มันดี มันก็เกิดผูกพันกับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สู้จะดี แต่นานๆเข้ามันก็ไม่รู้ความเป็นมา ซึ่งไอ้...ผลเสียหรือว่าต่อ...ต่อสังคมเรา ไม่ใช่สังคมไทยอย่างเดียว คือการยกเลิกหรือการลดความสำคัญของการเรียนประวัติศาสตร์ เหมือนว่าทุกวันนี้เหมือนไม่มีราก คนไม่รู้จักประวัติศาสตร์ของประเทศ ของชุมชน เป็นคนแบบลอยๆ แล้วเมื่อเรา...เราลดแล้วก็ตัดการเรียนประวัติศาสตร์ ความรู้สึกในความเข้าใจในสิ่งที่มีอยู่ การเห็นคุณค่าของสิ่งมีค่า การเห็นโทษของสิ่งมีโทษ ลดน้อยลง ยิ่งถ้านำเอาอิทธิพลของinternet ของsocial media ซึ่งทำให้คนไม่ต้องสนใจในสิ่งแวดล้อมในโลกที่เป็นจริงเท่าไหร่ ก็หาพรรคพวก หา...หาเพื่อน ในจอ ก็สิ่งที่เป็นจริงแล้วก็จะมี อ่า จะมีความหมายน้อยลงๆ เอาโลกที่อยู่ในจอ เป็นโลกส่วนตัว เป็นภพภูมิ เลยทำให้ผู้มีปัญญาที่จะนำสมัย มันจะลดน้อยลงไปเรื่อย เพราะไม่เข้าใจสมัย ไม่เข้าใจสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ว่ามีเพราะอะไร? อย่างไร?

ทีนี้คนเราทุกคนน่ะ มันใจร้อน อย่างได้ เอ่อ อยากได้สิ่งที่ต้องการ เร็ว คือตามตัณหา คือสัญชาตญาณของมนุษย์อย่างไร? ต้องการง่าย ต้องการเร็ว เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรู้เท่าทันสัญชาตญาณตัวเอง ใช่มั้ย?

ถ้ามีใคร ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง จะเป็นพ่อค้า จะมีใครก็ได้ จะให้สิ่งที่เราต้องการ ง่ายและเร็ว ระวังที่สุด เพราะเราจะประมาทที่สุด จะโง่ที่สุดในเมื่อมีความหวัง ว่าจะได้ความสุข จะได้สิ่งที่ต้องการ ง่าย ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องใช้ความอดทน เร็วๆมาก ไม่ต้องคอย โอ๋ มันตอบสนองสัญชาตญาณของเราอย่างยิ่ง ฉะนั้นคนเรา เราปฏิบัติธรรม มันคือเพื่อจะศึกษา รู้เท่าทัน จิตใจตัวเอง แล้วสิ่งใดที่รู้สึกมีพลังกับจิต สิ่งที่ดึงดูดจิต เราต้องสังเกต แล้วป้องกันอันตราย เพราะสิ่งที่กระตุ้นตัณหาเราเนี่ยะ จะเป็นตัวที่จะ...จะทำให้สติปัญญาของเราทำงานได้ยาก ความละอาย ความเกรงกลัว สิ่งคุณธรรมที่ป้องกันอันตรายทั้งหลาย นี่จะมี...จะอ่อนลง ฉะนั้นจะต้องระวัง.

ฉะนั้นไอ้นักปฏิวัติทั้งหลาย ก็รู้ดีนะ ไอ้ของเก่ามันเสียหมด ไม่เอาล่ะ ไอ้...มันคร่ำครึแล้ว ไม่เอาแล้ว ทิ้งหมดเลย เริ่มต้นใหม่ ร่างใหม่ หรือปลูกใหม่ แหม ตื่นเต้น อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่มันจะเป็นอย่างนั้นได้หรือ? ทางพุทธเราถือว่าศึกษา ให้รู้เท่าทัน ความสลับซับซ้อนของชีวิต ของสังคม เพื่อเราจะดูกระแสเหตุปัจจัย แล้วในเวลา ในกำลังที่จำกัด เราสามารถเลือกเฟ้น แยกแยะ ดูว่าตรงไหนที่เราสามารถทำอะไรได้ เหกมือนกับ...จะเทียบกับยา...ยาแรง ยาปฏิชีวนะบางอย่าง ที่แรงๆน่ะ มันก็ฆ่าสิ่งที่ไม่ดีในตัวเรา และในขณะเดียวกัน มันฆ่าสิ่งที่ดีไปด้วย ในเรื่องของการรักษาโรคบางทีก็ต้องยอมรับ ยอมผลข้างเคียงบ้าง แต่ในชีวิตจริงทางโลก เราก็ใช้สติปัญญาของเราได้ ว่าอะไรคือหลักชีวิตของเรา? หรือว่าพูดอีกนัยหนึ่งว่า เราอยู่เพื่ออะไร?

จะสังเกตว่าการทำงานน่ะ ทุกวันนี้การทำงานกลายเป็นศาสนาของคนรุ่นใหม่ ศาสนาหมายถึงว่า สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย บางคนก็ทำงานตั้งแต่เช้ามืด นอนดึก จนตื่นก็ภูมิใจตัวเอง ถือว่าตัวเก่ง มีเพราะอะไร? เพราะก่อนจะกลับถึงบ้านนี่ สี่ทุ่มห้าทุ่มทุกวัน เก่ง จะไปเก่งทำไม? เก่งตรงไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าทำงานเพื่ออะไร? ทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ทำงาน คนรุ่นใหม่นะ ถึงได้ไม่ใช่ว่าทำงานเพื่อชีวิต แต่เป็นชีวิตเพื่อทำงาน แล้วทำไมทำงานแล้วมันจะมีความศักดิ์สิทธิ์ จะมีอะไรที่มันสมควรจะบูชาถึงขนาดนั้น?

ฉะนั้นชาวพุทธเรา ก็มีหลักคือว่า ชีวิตของมนุษย์เป็นชีวิตที่ประเสริฐได้ มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ จะประเสริฐได้ด้วยการฝึกตน ความหมายของชีวิต คุณค่าของชีวิต อยู่ที่การขัดเกลา กายวาจาใจ ของตน ตามหลักคำสอนหรือตามเทคโนโลยีของพระพุทธเจ้า เพื่ออะไร? เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของตน เพื่อประโยชน์และความสุขของส่วนรวม ถ้าเรารับหลักการนี้ไว้ ก็เลยมันมีเครื่องตัดสิน ของใหม่และของเก่า ถ้ามีของเก่าที่เป็นอุปสรรค ต่อการเข้าถึงเป้าหมายชีวิตของเรา ตามหลักพุทธศาสนา ตรงไหนบ้าง? มันเกิดเพราะอะไร? มีเหตุปัจจัยอย่างไรบ้าง? มันจึงเป็นอย่างนั้น อันนี้ก็จะช่วยๆกันทำให้ สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดข้องคุณงามความดี ค่อยๆลดน้อยลง แต่สิ่งที่เป็น มีอุปการคุณ เราก็รักษาไว้.

ฉะนั้นเรา...เราอยู่ในโลกความเก่าความใหม่ เราก็ต้องสังเกตอารมณ์ตัวเอง นี่นี้จากมุมมองของนักปฏิบัติธรรม เพราะใช้คำว่าเก่า แล้วรู้สึกยังไงรู้มั้ย? ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่พอเก่าเนี่ยะ รู้สึกแบบ ไม่ค่อยจะดี ถ้ารู้สึกว่าใหม่ มีความรู้สึกที่ดี นี้ตัวนี้ มันจะมีตัว อ่า...ขับเคลื่อนพฤติกรรม ทางกายวาจาใจได้ โดยเราไม่รู้ตัว ถ้าไม่ตั้งสติให้ดี ถ้าเป็นคนอายุ...สูงอายุ กำลังจะสูงอายุ เหมือนอาตมา บางทีเอาคำว่าเก่า มันรู้สึกแบบ อบอุ่น แบบสบายใจ นี่ ใช่มั้ย? ของใหม่นี่บางทีก็ ระแวง ถ้าบางคนก็ กลัว กลัวพลัดพรากจากของเก่าที่ให้ความสุขกับเรา.

ฉะนั้นแค่คำว่าเก่าคำว่าใหม่ ในเมื่อมีผลต่อจิตใจ นี่ถ้าเรา อ่า ความรู้สึกเกิดขึ้นแล้วไม่รู้เท่าทัน ความรู้สึกนั้นไปอยู่ใต้สำนึก คอยขับเคลื่อนพฤติกรรม การรับรู้การตอบสนอง ทุกอย่างที่เราไม่รู้ตัว ในพุทธธรรม เราต้องการจะฝึก เปิดเผยความจริง ฝึกให้สามารถ รู้ เห็น สิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็น ในreal time ในขณะที่กำลังปรากฏอยู่ ไม่ใช่รู้เพราะเป็นทฤษฎี หรือเป็นปรัชญา แต่รู้จริงในปัจจุบัน.

เพราะฉะนั้น การฝึกตน ทำให้บางคนก็ยัง...เที่ยวนี้อาตมากลับมาแบบตกร่องเนี่ยะ เพราะไอ้...ที่อาตมาชอบวิจารณ์ว่า คนไทยมองพุทธธรรมผ่านสายตาของตะวันตก อย่าง...ยกตัวอย่างอีกข้อหนึ่ง การที่กล่าวหาว่าคนนั่งสมาธิ เห็นแก่ตัว ไม่รู้คำ...ความคิดนี้มันเกิดขึ้นในสังคมพุทธ ได้อย่างไร? เพราะถ้าใครเคยภาวนา แล้วมันก็ต้องเห็นชัดเลย ว่ามันตรงกันข้าม เพราะว่า ความเห็นแก่ตัวน่ะคืออะไร? ความเห็นแก่ตัวก็คือการ ยึดมั่นถือมั่น ในอัตตา/ตัวตน แล้วถือว่าฉันคือศูนย์กลางของชีวิต ฉันไม่แคร์ความรู้สึกของคนอื่น ชั้นต้องการอะไร ชั้นก็ต้องแสวงหาสิ่งนั้น คนอื่นเป็นยังไงช่างมัน ไม่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ใช่มั้ยเนี่ยะ? นี่ล่ะเห็นแก่ตัว ซึ่งที่จริงแล้วน่าจะเรียกว่าเห็นแก่กิเลสมากกว่า แต่ถ้าเราภาวนาแล้ว เราหลับตาแล้ว เห็นอะไรมั้ย? ไม่ได้เห็นสวรรค์และนรก เราเห็นกิเลสตัวเอง โอ้ นี่กิเลสตัวนี้มันร้ายนะ ไอ้การเอารัดเอาเปรียบคนอื่น การพยาบาท ความหลงใหลอยู่ คือมันจะรู้จะเห็นกิเลสต่างๆ ว่ามีโทษมีทุกข์ต่อชีวิตเรา มีโทษมีทุกข์ ที่ทำให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างมีปัญหาตลอด ดังนั้นมันก็เป็นการแก้ปัญหาความเห็นแก่ตัว อยู่ที่รากเหง้าของมัน และทำให้เรามีวิชา มีกำลังใจ มีฉันทะ มีวิชชา ในการจะค่อยขัดเกลาความเห็นแก่ตัว.

ฉะนั้นผู้ที่นั่งสมาธินี้ คือผู้ที่กำลังแสวงหาวิธีแก้ปัญหาความเห็นแก่ตัว มันไม่ใช่คนทำเพราะเห็นแก่ตัว ฉะนั้นไอ้...คำวิจารณ์ของคนศาสนาอื่น ที่หวังดี อาจจะหวังดีแต่ไม่เข้าใจก็มี ปองร้ายก็มี แต่ว่าเราก็รับมา เพราะ โอ้ ตะวันตก เป็นกระแสตะวันตก สมัยก่อนนี่ นั่งหลับตานี้ไม่รับผิดชอบ ไม่รับผิดชอบต่อสังคม ต่อส่วนรวม สนใจแต่ตัวเอง อันนี้เป็นความคิดของคนที่ อ่า ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยสัมผัสกับคำสอนพระพุทธเจ้า ก็พอเข้าใจ(เขา) แต่เพราะคนเราทุกวันนี้ รับความคิดของตะวันตกมา เหมือนก็เป็น คล้ายๆกับเป็นjunk food ของจิต ก็เป็นความคิด เป็นประโยชน์สำเร็จรูป ไม่ได้กลั่นกรอง ไม่ได้คิดพินิจพิจารณา ก็เลยเข้าใจพุทธศาสนาผิดไป เลยไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร.

ฉะนั้น ถ้าเป็นปีใหม่ ก็แล้วของใหม่ของอาตมาก็คือ ให้กับมาหาหลักจริงของพุทธศาสนา สุดท้ายพวกเราที่ฟังวันนี้ก็คง ไม่ได้มีปัญหามาก แต่ก็คงจะรู้จัก จะเป็นลูกเป็นหลาน เป็นแฟนเป็นสามีภรรยา ที่นึกว่าตัวเองไม่ศรัทธาพุทธศาสนา แต่สิ่งที่เขาไม่ศรัทธา คือconcept คือภาพพจน์ของพุทธศาสนา ที่เขาสร้างขึ้นมา(เอง)ในจิตใจ เข้าไม่รู้จักพุทธศาสนา เขาคิดว่า สิ่งที่อยู่ในสมองนั้น ความทรงจำ ความคิด สำเร็จรูป 2-3 ประโยคนั่นแหละ คือพุทธศาสนา พุทธธรรมนี่ท้าพิสูจน์ ถ้ามีตรงไหนที่ไม่ศรัทธา เอ้า ลองคุยมาดู ด้วยเหตุผลอะไร? อย่างไร? อยากฟังเหมือนกัน ท้าพิสูจน์พุทธธรรมของเรา.

ฉะนั้นวันนี้ก็คิด คุย พิจารณา เรื่องเก่า เรื่องใหม่ ในโอกาสที่เราได้ขึ้นปีใหม่ ปี 2566 ที่อาตมาจะต้องพูดตรงนี้ กับทุกปีเหมือนกันว่า ปีนี้จะเป็นอย่างไร เรารู้ได้อย่างเดียวว่าจะ ไม่เป็นอย่างที่เราคิด จะเป็นยังไงก็ไม่มีใครรู้ ทีนี้อาตมาก็อยากให้ ให้คน อ่า นี้ชวนทำทุกปีไม่มีใครทำ ทำfile เก็บข้อมูลของหมอดูทั้งหลาย ที่พยากรณ์แต่ละปี ลองดูว่าหมอดูต้นปีที่แล้วเขาพยากรณ์ยังไง แล้วก็ใหดูว่า จริงมากน้อยแค่ไหน? อาตมาเพิ่งดู เพิ่งดูของหมอดู เมื่อวันก่อน หมอดูก็บอกว่า ในวันเกิดของอาตมา ถ้าทำอะไรรีบร้อนเกินไป จะไม่ได้ผลดี โอ้โห แม่นมากเหลือเกิน เชื่อ เชื่อมากเลย มันจะเป็นอย่างนี้ไปกว้างๆ ยังงี้ก็ เอ่อ ใช่ ให้เราอยู่ในปัจจุบัน รู้เท่าทันอดีต ไม่ใช่ทิ้งอดีตอนาคต รู้เท่าทัน อดีตคืออะไร? อดีตก็คือความจำ รู้เท่าทัน อดีตคือความจำ ใช้ความจำในลักษณะที่เอื้อต่อประโยชน์ ในปัจจุบัน รู้เท่าทัน อนาคตคือความคิด ใช้ความคิดให้เป็นประโยชน์ต่อปัจจุบัน ในปัจจุบันไม่ได้ปฏิเสธอดีตอนาคต แต่รู้เท่าทัน แล้วก็ใช้ให้เป็นประโยชน์.

ก็ขอให้ทุกคน มีความสุขความเจริญ ในสิ่งดีงามทั้งหลาย ตลอดกาลนาน.

สาธุ...

 https://youtu.be/T7L4g7192zs?si=KrrnI5Z7nmYMzXRC

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ทำไมช่องว่างความไม่เสมอภาค กำลังเติบโตขึ้นระหว่าง รวยกับจน

ทำไมช่องว่างความไม่เสมอภาค กำลังเติบโตขึ้นระหว่าง รวยกับจน

Why The Inequality Gap Is Growing Between Rich and Poor

          https://youtu.be/41y4c1Oi5Uo?si=UaZHeOkuMJIoWQaY



บทนำ (Intro)

          40 ปีมาแล้วที่ สหรัฐอเมริกา ได้นำโลกทางเศรษฐกิจ, ได้ผลิตสร้างการแก้ไขปรับปรุงอย่างมโหฬารในสวัสดิการชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์.  (The U.S. led global economy, produced an enormous improvement in human welfare.)

          ตั้งแต่ปี 1981, สัดส่วนของประชากรโลกที่มีชีวิตอยู่อย่างยากจนที่สุดกับรายได้ที่น้อยกว่าวันละ 1.9 ดอลลาร์, ได้ตกลงไปจาก 42 เปอร์เซ็นต์, ไปเป็น 10 เปอร์เซ็นต์(ในปี 2015). แต่ในประเทศทั้งหลายที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้า/พัฒนาแล้ว, ความไม่เสมอภาคของรายได้และความมั่งคั่งได้พุ่งสูงขึ้น. (Since 1981, the proportion of the world’s population living in extreme poverty on less than a 1.90$ per day has fallen from 42 percent, to 10 percent (in 2015). But in countries with advanced economies, inequality of income and wealth has surged.)

          และไม่มีที่ใดมีมันซึ่งได้พุ่งพรวดสูงขึ้นมากยิ่งไปว่าในสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งการพึ่งพาอยู่กับแรงกำลังของตลาดเสรีได้เป็นที่แข็งแรงมากที่สุด. นั่นได้เพิ่มขยายรางวัลสำหรับเหล่าผู้ที่อยู่บนยอดและทิ้งผู้อื่นไว้ข้างหลัง. (And nowhere has it surged more than in the U.S. where reliance on free market forces has been strongest. That magnifies reward for those at the top and leaves most other behind.)


          แนวโน้มเช่นนี้ช่วยเหล่าผู้ที่มีระดับการศึกษาสูงกว่า และสร้างความเจ็บปวดกับผู้ที่การศึกษาน้อยกว่า. มันยกระดับการอยู่อาศัยในเมืองใหญ่หลักๆทั้งหลาย ในขณะที่ทิ้งเหล่าผู้ที่อยู่ในเมืองเล็กๆไว้ข้างหลัง. (The trend helps those with higher levels of education and hurts the less education. It lifts residents of major cities while leaving those in small towns behind.)

          กับตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของคนอเมริกัน มันยิ่งนากมากขึ้นที่จะไปข้างหน้า. ทำไมสิ่งนี้ได้บังเกิดขึ้น และอะไรที่คือเหตุปัจจัย? นี่คือห้าสาเหตุ. (For growing numbers of American it’s just harder to get ahead. Why is this happened and what are the consequences? Here are five causes.)


          การปฏิวัติดิจิตอลสร้างความมั่งคั่งอย่างมหึมาสำหรับเหล่าผู้มีทักษะและการเตรียมตัวพร้อมที่จะใช้ความได้เปรียบนั้น. แต่มันได้กำจัดสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายเรียกว่า “งานสำหกรับทักษะปานกลาง” ออกไป.(The digital revolution creates enormous wealth for those with the skills and preparation to take advantage. But it eliminates what economists call “middle-skill jobs.”)


          คอมพิวเตอร์ซอฟท์แวร์และเครื่องจักรอุตสาหกรรมทั้งหลายในตอนนี้เติมเต็มบทบาทจากพนักงานประจำสำนักงาน ไปสู่งานประจำวันการผลิตในอุตสาหกรรม ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นรายได้ประจำปานกลางกลางของแรงงานทั้งหลายที่ปราศจากวุฒิปริญญามหาวิทยาลัย. (Computer software and industrial machines now fill roles from clerical tasks to routine manufacturing that once produced middle-class income for workers without college degrees. 

เดวิด ออเทอร์ – “หนึ่งในแรงกำลังทั้งหลายคือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ที่ได้เพิ่มมูลค่าของการแก้ปัญหาเชิงนามธรรม, ทักษะทั้งหลายของการสื่อสารระหว่างบุคคลและการทำงานร่วมกับผู้อื่นในองค์กร. สิ่งทั้งหลายที่แรงงานที่มีการศึกษาระดับสูง มีแนวโน้มเอียงที่จะเป็นที่สามารถทำได้อย่างมาก และได้ลดทอนมูลค่าไปพร้อมกันกับภาระการงานมากมายใช้สติปัญญาที่คร่ำเคร่งแต่ซ้ำซากในสำนักงาน และสายการผลิตทั้งหลาย และช่างทำหารพังทะลายชุดงานที่มีกิจกรรมทั้งหลาย ซึ่งสามารถมีให้ได้แก่แรงงานไม่ได้จบมหาวิทยาลัย และแบบว่าผลักพวกเขาอย่างเถียงไม่ได้ลงไปสู่งานให้บริการรับใช้ส่วนตัว, บริการทำอาหาร, ทำความสะอาด, รักษาความปลอดภัย, บริการขนส่ง, ซ่อมแซม ที่ซึ่งทักษะของพวกเขาสามารถสับเปลี่ยนทดแทนได้มากยิ่งกว่า กับแรงงานทั้งหลายอื่นๆ และได้ผลตอบแทนน้อยลงไปกว่าถึงแม้จะมีประสบการณ์มามากอย่างไรตลอดข่วงชีวิต. และเช่นนั้นเองที่ได้จ่ายแจกแรงกดดันลงข้างล่าง และแรงกดดันในเรื่องค่าจ้าง และความไม่ปลอดภัยทางเศรษฐกิจสำหรับผู้มีการศึกษาน้อยกว่า. ดังนั้น, มันจึงเป็นอะไรแบบว่าได้สร้างสรรค์โลกอันยิ่งใหญ่ สำหรับผู้มีการศึกษาสูง และสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางเศรษฐกิจให้น้อยลงยิ่งขึ้น และเชื้อเชิญเปิดโลกอ้ากับผู้คนที่ไม่มีการศึกษาในระดับสูง. (David Autor - “One of those forces is technological progress that has increased the value of an abstract problem solving, interpersonal communication or organizational skills. Things that highly educated workers tend to be very capable of and has simultaneously devalued a lot of cognitively intensive but repetitive tasks in offices and production lines and so kind of hollowed


out the set of job activities available to non-college workers and sort of pushed them arguably downward into personal services, food services, cleaning, security, transportation, repair where their skills are more interchangeable with other workers and where there is less of a return to experience over the lifecycle.)

 (And so that has contributed downward pressure and wage pressure and economic insecurity for the less educated. So, it’s really kind of created a great world for the highly educated and a much less economically secure and inviting world for people who don’t have high levels of education.”)

การอุบัติขึ้นมาของ จีน(China’s Rise)

การแข่งขันจากเศรษฐกิจเกิดใหม่เหมือนเช่นของจีน ได้บวกเข้าด้วยการลดอุปสรรคกีดกั้นทางการค้าทั้งหลาย, ไปไกลถึงการลดทอนโอกาสทั้งหลายสำหรับแรงงานทั้งหลายที่ปราศจากทักษะก้าวหน้า. นั่นได้มีผลทั้งหลายที่ตามมาอย่างร้ายแรงในภาคส่วนทั้งหลายอย่างเช่น สิ่งทอ, และเฟอร์นิเจอร์และเครื่องหนัง. (Competition from emerging economies1 like China’s combined with reduced trade barriers have further reduced prospects for workers without advanced skills. That’s had devastating consequences in sectors such as textiles and furniture and leather goods.)

1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88

 


          เดวิด ออเทอร์ – “เรื่องราวเศรษฐกิจโตที่สุดของศตวรรษอย่างจริงแท้และอย่างแน่ชัดของ 50 ปีสุดท้ายที่ผ่านมาก็คือการโผล่ผุดขึ้นมาของจีน. (Daid Autor - “The biggest economic story of really of the century and certainly of the last 50 years has been China’s rise.)



    จีน
มาจากประเทศที่ยากจนและถอยหลังมีวิกฤตการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างถาวร สู่พรมแดนผู้ประกอบการผลิตด้วยแรงงานที่มีการศึกษาอย่างดี, มีทักษะพร้อมใช้งานสูงในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่. (China going from a poor and backward country perpetual political and economic crisis to a frontier manufacturer with pretty well-educated, highly available skilled labor using modern technology.)

ดังนั้น, จีนได้เดินสวนสนามขึ้นมายังพรมแดนผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี ในระหว่างปี 1980 และปัจจุบันที่อัตราเกือบจะไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ และเพราะมันช่างกว้างใหญ่มากมายเหลือเกิน, เพราะว่ามันมีประชาชนมากมายเหลือเกิน, มีทรัพยากรมากมายเหลือเกิน, มีที่ดินที่มากมายเหลือเกิน, มันสามารถที่จะกลายเป็น, อย่างที่คุณรู้, ผู้ประกอบการผลิตสำหรับในตอนนี้ที่จุดนี้มากยิ่งกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของกิจการผลิตของโลกซึ่งมีมูลค่าเพิ่ม. และนั่นเป็นแค่ความสามารถในการทำงาน. (So, China marched up the productivity technology frontier between 1980 and the present at a rate almost unseen in history and because it was so vast, because it had so many people, so many resources, so much land, it could become, you know, a manufacturer for now at this point more than 20 percent of all world manufacturing value add. And that’s just a function.)

นั่นไม่ใช่ความสามารถในการทำงานของธุรกรรมการค้าขายทั้งหลาย. นั่นเป็นเบื้องต้นชองความสามารถในการทำงานของการพัฒนาภายในประเทศของจีน. การตัดสินใจที่จะอนุญาตให้มีการย้ายงานเสรีชองแรงงานเพื่อประยุกต์เข้ากับเทคโนโลยีตะวันตกและการลงทุนโดยตรงของต่างชาติ และที่จะเริ่มต้นการค้ากับโลกภายนอก. (That’s not a function of trade deals. That’s primary a function of internal developments in China. The decision to allow free mobility of labor to adopt Western technology and foreign direct investment and to start trading with the world.)

 



และนั่นได้มีผลใหญ่โตกับสหรัฐอเมริกา แม้กระทั่งในยุค 90. แต่เมื่อจีนเข้าร่วมในปี 2001 นั่นยิ่งไปไกลกว่าในการเปิดประตูน้ำท่วมทั้งหลาย. และนั่นได้มีผลเร่งเร็วขึ้นอย่างน่าทึ่งบนอัตราที่ซึ่งการแข่ง

ขันได้เข้ามาสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา สำหรับสินค้าผลิตภัณฑ์ทั้งหลาย. และอัตราของการเสื่อมถอยลงของสหรัฐอเมริกาในการจ้างงานการผลิตเป็นเช่นผลลัพธ์ตามมา. (And that had a big effect on United States even in the 90s. But when China joined in 2001 that further opened the floodgates. And that had a dramatic accelerant effect on the rate at which competition entered the U.S. market for manufactured goods. And the rate of decline of U.S. manufacturing employment as a result of that.)

กว่าช่วงเวลาแค่เจ็ดปี, ราว 20 เปอร์เซ็นต์ของงานอาชีพสายการผลิตได้หายไป. และแล้วพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงมัน, รู้สึกได้โดยจุดเจ็ดเปอร์เซ็นต์สะสมอีกอันหนึ่งใน่วงเวลาภาวะถดถอยครั้งใหญ่. ดังนั้น, อย่างมีประสิทธิผลหนึ่งในสามของานอาชีพด้านการผลิตไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้วอย่างที่มีอยู่ในปี 2000. (Over the course of just seven years about 20 percent of all U.S. manufacturing jobs disappeared. And then they fell it, fell by another cumulative eleven percent points during the Great Recession. So, effectively one-in-three manufacturing jobs no longer existed that had existed around 2000.”)

 

เมืองใหญ่ยอดนิยมทั้งหลาย (Superstar Cities)

          บริษัทที่ฝ่าทะลวงก้าวหน้าอย่างยิ่งใหญ่อย่างเช่น แอปเปิล และอะเมซอน ในตอนนี้ดึงดูดรายได้ข้ามโลก, ผลิตสร้างเงินกองกลางมหาศาลสำหรับผู้บริหารทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้นำของพวกเขา. และให้กับมหานครทั้งหลายของคนอเมริกันที่พวกเขาเหล่านั้นเรียกว่าบ้าน.(Breakthrough firms such as Apple and Amazon now attract revenue across the world, which produces immense jackpots for the executives who lead them. And for the American cities they call home.)


          เมลิสสา เคียร์นีย์ “คุณสร้างสรรค์นวัตกรรมนั้นและคุณได้มีตลาดข้ามโลก. คุณกำลังที่จะมีรายได้ใหญ่โตมากยิ่งจึ้นกว่ารุ่นอายุที่ผ่านมา. มีการแยกออกและการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลผลิตทางเศรษฐกิจออกมาอย่างเพิ่มขึ้นช้ามไปทั่วทุกแห่งในสหรัฐอเมริกา. (Melissa Kearney - “you create the innovation and you have the global markets. You’re going to have much larger earnings than in a previous generation. There is increasingly divergence and economic growth and economic out comes across places in the U.S.)

          และนั่นเช่นนั้นเองที่มีอะไรซึ่งคุณรู้ตามไปด้วยกับแรงงานดาวเด่นทั้งหลาย และกิจการดาวเด่นทั้งหลายเมทาอคุณมีมหานครดาวเด่นทั้งหลายในการเพิ่มขึ้นของผู้ชนะได้ไปทั้งหมด.” (And that so there are just you know along with these superstar workers and these superstar firms when you have superstar cities in our increasingly winner take all economy.”)

 

พลังการต่อรองที่อ่อนแอ (Weak bargaining power)



          ในขณะเดียวกัน, ส่วนแบ่งของแรงงานทั้งหลายแสดงให้เห็นโดยสหภาพแรงงานทั้งหลาย ได้ลดต่ำลงไปครึ่งหนึ่ง, ในการหดตัวลงของพลังอำนาจของพวกเขา. แรงงานค่าจ้างต่ำที่สุดได้ถูกเห็นในพลังการซื้อซึ่งลดต่ำลงของค่าจ้างต่ำสุด ในขณะที่รัฐบาลไม่ได้เพิ่มมันขึ้นเพื่อรักษาระยะไว้ให้ทันภาวะเงินเฟ้อ. (Meanwhile, the share of workers represented by labor unions has dropped by half, shrinking their power. The lowest paid workers have seen the buying power of the minimum wage drop as the government has not increased it to keep pace with inflation.)   

            เมลิสสา เคียร์นีย์ “เล็กน้อยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มีวุฒิการศึกษามัธยมหรือน้อยกว่า, กับการกร่อนค่าลงของค่าจ้างขั้นต่ำในมากมายกรณีทั้งหลาย, การเสื่อมทรมลงของระบบสหภาพแรงงาน, สิ่งทั้งหลายที่ได้, อีกนัยหนึ่ง,แบบว่าทำร้ายแรงงานทั้งหลายของพลังอำนาจการต่อรองในหนทางทั้งหลายที่ขยายความอ่อนแอลงของพวกเขา, อำนาจการต่อรองที่มาจากแรงกำลังภายนอกทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งพวกเขาได้ถูกแข่งขันไปแล้วด้วยเทคโนโลยี หรือแรงงานจากประเทศค่าแรงต่ำกว่า เป็นตัวอย่าง.” (Melissa Kearney – “Fewer than 70 percent of men with a high school degree or less are working. The eroded value of the minimum wage in many cases, the decline in unionization, things that have otherwise sort of hurt workers bargaining power in ways that amplified their weakened bargaining power are just coming from these external forces where they were already competing with technology or workers from lower wage countries for example.”)


          การเปลี่ยนย้ายความสมดุลขแองพลังอำนาจได้ให้รางวัลแก่ผู้มั่งคั่งที่สุด แม้กระทั่งมากยิ่งกว่าผ่านนโยบายทั้งหลายของรัฐบาลและสถาบันเอกชนทั้งหลาย. จากการเปลี่ยนแปลงภาษีทั้งหลายที่ได้เพิ่มรายได้ขึ้นให้กับพวกเขา สู่ขั้นตอนการรับเข้ามหาวิทยาลัยที่ได้เปิดประตูทั้งหลายให้กับลูกหลานของพวกเขาเหนือคนอื่นๆ. ตลาดสร้างแรงจูงใจในความไม่เท่าเทียมกันในการสร้างงานหนักและเสี่ยงที่จะรับ ช่วยพลวัตรเศรษฐกิจอเมริกันแต่ก็ยัดเยียดเป็นต้นทุนด้วยเช่นกัน. (The shifting power balance has rewarded the wealthiest even more through policies in government and private institutions. Form tax changes that increased their income to college admissions procedures that opened doors for their children above others. The market incentives inequality creates for hard work and risk-taking helps make American’s economy dynamic but it also imposes cost.)

เดวิด ออเทอร์ - คุณจำเป็นต้องการความไม่เสมอภาคบ้าง. ปัญหาก็คือเมื่อพลวัต/แนวคิดเรื่องของพลังความเคลื่อนไหวมาถึงจุดที่ทำให้เกิดราชตระกูลนิยม/ลัทธิสืบทอดอำนาจในตระกูลขึ้น, เช่นนั้นเองที่ชนรุ่นถัดไปไม่ได้มีรอยเท้าของความเสมอภาค. เช่นนั้นเองที่เด็กๆทั้งหลายของพ่อแม่ที่ร่ำรวย แม้กระทั่งผู้ที่ความสามารถปานกลางก็ได้เรียนที่โรงเรียนที่ดีที่สุด และเข้าได้ถึง, อย่างที่คุณรู้, การลงทุนดีมากที่สุดภายหลังเรียน, การฝึกงานที่ดีมากที่สุดและอะไรอื่นๆ.  (David Autor - You need some inequality. The problem is when that dynamism2 at a point in time gives rise to dynasticism3, such that the next generation doesn’t get an equal footing. Such that kids of affluent parents even if there are mediocre talent get to go to the best schools and get access to the, you know, the most after school investment, the most training and so on.)

2 https://en.wikipedia.org/wiki/Dynamism_(metaphysics)

3https://goong.com/th/word/dynasticism-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/

และอย่างที่คุณก็รู้, เด็กๆที่มีความสามารถปราดเปรื่องจากครอบครัวที่ร่ำรวยน้อยกว่า ไม่สามารถได้ไปเรียนยังโรงเรียนทั้งหลายเหล่านี้. พวกเขาไม่ได้ลงทุนได้ในหนทางเหมือนกันนั้น. และนั่นคือความสูญเสียของพวกเราทั้งหมด. นั่นไม่ใช่ความสูญเสียเฉพาะพวกเขาเหล่านั้น. นั่นหมายถึงว่าสังคมของเราจะมีประสิทธิผลที่ด้อยและน้อยลง.” (And you know, talent kids from less affluent families don’t get to go to these schools. They don’t get invested in the same way. And that’s a loss for all of us. That’s not just a loss for them. That means our society will be less productive.”)

และมันก็เติมเชื้อเพลิงให้กับความยุ่งยากวุ่นวายในการเมืองของชาวอเมริกัน. ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งหลายได้โยนทิ้งพรรคการเมืองที่ได้ควบคุมครองทำเนียบขาว หรือหนึ่งในสภาคองเกรสจากในหกของอดีตการเลือกตั้งเจ็ดครั้งที่ผ่านมาล่าสุด. 2020 สัญญาว่าจะเป็นที่แค่ความวุ่นวายให้ถกเถียงกัน. (And it fuels the non-stop turmoil in American politics. Voters have thrown out the party in control of the White House or one chamber of Congress in six of the past seven national elections. 2020 promises to be just as contentious.)

เมลิสสา เคียร์นีย์ – “ฉันคิดว่าเรากำลังเห็นได้ดังและชัดในการเมืองอะไรแบบที่ว่านั้นของสองสามปีที่ผ่านมานี้. ผู้คนแบบว่าอย่างเพิ่มขึ้นในการที่จะรายงานว่า พวกเชาเชื่อว่าระบบนั้นได้ทำให้พวกเขาเป็นแค่ตัวประกอบ. (Melissa Kearney – “I think we’re seeing that loud and clearly in the sort of politics of the past few years. People are increasingly likely to report that they believe the system is rigged against them.)

สิ่งนี้คือความเสียหายทั้งคู่ในการทำหน้าที่ประโยชน์ของประชาธิปไตยของเรา. แต่ฉันคิดอย่างแท้จริงว่าเป็นทั้งกับหน้าที่ประโยชน์ของทางเศรษฐกิจด้วย. เรากำลังที่จะเห็นผู้คนเพิ่มขึ้นในจำนวนมากมายเป็นแบบว่าถูกทิ้งขว้างออกไปจากกระแสหลักของการไต่ปีนสู่ความสำเร็จทางเศรษฐกิจ และเช่นนั้นเอราที่เราได้เศรษฐกิจแบบป่วยไข้ออดๆแอดๆนี้. และในตอนนี้เราก็มีสังคมนี้ที่ป่วยไข้เจ็บออดๆแอดๆต้องอยู่ไปกับมัน. และ, และมันกำลังละทิ้งไปจากการเมือง, ฉันหมายถึงการเมืองที่ต้องร้องแรกแหกกระเชอขานใหญ่, ไปจนหมดสิ้น, ฉันคิดว่า, นั้นจะพลิกคว่ำเปลี่ยนแปลงระบอบทุนนิยมของเรา. (This is damaging both for the functioning of our democracy. But I actually think also for the functioning of our economy. We’re going to see people in increasing numbers sort of dropping out of our mainstream climb to economic success and so we’ve got this economic malaise. And now we have this social malaise going along with it. And, and it’s leaving the political I mean large, loud political cries for completely, I think, upending our capitalist system.”)

 https://youtu.be/41y4c1Oi5Uo?si=l-07Mif6l4RVCW_r

วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ริขาร์ด วูลฟ์ฟ - การดิ้นรนต่อสู้ของชนชั้นแรงงานทั่วโลก

 ริขาร์ด วูลฟ์ฟ - การดิ้นรนต่อสู้ของชนชั้นแรงงานทั่วโลก

Economic Update: Class Struggles Worldwide

          https://youtu.be/xKRksUKFjms?si=i6GBryGAnSoe-l8L



          ขอต้อนรับเพื่อนๆทั้งหลายสู่อีกบทหนึ่งของรายการเศรษฐกิจ ทันโลก, รายการรายสัปดาห์ที่อุทิศให้แก่มิติทางเศรษฐกิจทั้งหลายของชีวิตเรา และชีวิตลูกหลานของเรา, ผมเป็นเจ้าภาพของพวกคุณ, ริชาร์ด วูลฟ์ฟ.(Welcome friends to another edition of Economic Update, a weekly program devoted to the economic dimensions of our lives and those of our children, I’m your host, Richard Wolff1.)

          1 https://en.wikipedia.org/wiki/Richard_D._Wolff

          วันนี้เรากำลังจะพูดคุยกันถึงสิ่งทั้งหลายที่ดูเหมือนว่าจะแยกห่างจากกัน แต่ไม่เป็นเช่นนั้น. และผมต้องการที่จะตรงไปหาพวกนั้นหลังจากที่แจ้งประกาศทั้งหลายของเราตามปกติเกี่ยวกับ ชาร์ลี แฟเบียน. ผู้ที่กำลังรอคอยคำพูดจากพวกคุณ เอ่อ ถ้าคุณมีคำแนะนำสำหรับรายการนี้,  (Today we’re going to talking about things that seem far apart but aren’t. And I want to get right to them after our usual announcements about Charlie Fabian. Who’s awaiting word from you uh if you have suggestions for this program, CHARLIE.438@GMAIL.COM.)

และขอแจ้งเตือนถึงหนังสือเล่มใหม่ของเราที่ชื่อ “ความเข้าใจ ในลัทธิทุนนินยม”, ที่เป็นชิ้นที่คู่เคียงอย่างแท้จริงกับรายการทั้งหลายเหล่านี้ และซึ่งคุณสามารถค้นพบได้มากยิ่งขึ้นที่เว็บไซท์ของเรา, https://www.democracyatwork.info/books

 (And a reminder of our new book ‘Understanding Capitalism’, which is a real companion piece to these programs and which you can find out more about at our website, DEMOCRACYATWORK.INFO/BOOKS.)

รายการวันนี้เป็นความพยายามที่จะแสดงต่อคุณถึงความเชื่อมโยงในหมู่สิ่งทั้งหลาย ที่คุณอาจไม่ได้คาดคิดว่าได้ถูกเกี่ยวข้องต่อกัน. และนี่คือที่ผมหมายถึงในหมู่สิ่งอื่นทั้งหลาย ปฏิกิริยาอันน่าสังเกตถึงพาดข้ามสหรัฐอเมริกาถึงการลอบสังหารผู้บริหารหนึ่งของบริษัทประกันสุขภาพ. (Today program is an attempt to show you the linkages among things that you might not have thought were connected. And here I mean among other things the remarkable reaction across the United States to the assassination of an executive of a health insurance company.)

และความเชื่อมโยงนั้นไปสู่การพังลงของรัฐบาลในฝรั่งเศส, เกาหลีใต้ และซีเรีย, สู่การระเบิดของกองทัพแรงงานและการหยุดงานลามไปทั่วทั้งหมดในสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา. หลายร้อยและหลายพันของแรงงานในบริษัทโฟล์คสวาเกนในเยอรมนี, ผู้ทรงอิทธิพลในบริษัทผลิตรถยนต์ที่ได้เป็นศูนย์กลางการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมันมาโดยตลอด. (And that linked to the collapse of governments in France, South Korea and Syria, to the explosion of Labor militancy and strikes above all in the last few weeks. The hundreds and thousands of workers in the Volkswagen Corporation in Germany, the powerhouse auto company that has been at the center of German economic growth.)

แล้ว, ผมต้องการที่แสดงให้คุณเห็นว่า พวกนั้นได้ถูกเชื่อมโยงกันและว่าพวกนั้นได้เชื่อมโยงกันอย่างไร และอะไรคือบทเรียนที่เราจำเป็นต้องดึงตัวออกมาจากความเชื่อมโยงทั้งหลายเหล่านั้น, เอาละ, เราไปกันเลย. (So, I want to show you that they’re linked and how they’re linked and what the lesson is we need to draw from those linkages, so here we go.)

ผมต้องการที่จะเริ่มต้นด้วยการข่มขู่ของประธานาธิบดี ทรัมป์ที่กำลังจะมาถึง ที่เขาอาจตบฟาดกำแพงภาษีสินค้าขาเข้าอันมหึมานั้นกระทั่งถึง 100% เอากับประชาชาติทั้งหลายที่เขาได้เอ่ยถึงคือ BRICS - บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, อาฟริกาใต้. ถ้าพวกเขาทำสิ่งทั้งหลายที่เขา(ทรัมป์)ไม่เหมือนกับที่ได้ข่มขู่เอาไว้เหมือนเช่น ค่าเงินดอลลาร์ หรือทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจแนวอื่นใด, จะโดยแบบอย่างหรือปกติธรรมดา เพื่อการพัฒนาประเทศ แต่มร. ทรัมป์ ไม่ชอบขึ้นมา. (I want to begin with the threat of incoming President Trump that he may slap huge tariffs even 100% on Nations he mentioned the BRICS, Brazil, Russia, India, China, South Africa. If they do things he doesn’t like threaten the value of the dollar or engage in any other kind of economic activity, typical or normal to developing country but to the dislike of Mr. Trump.)

ผมต้องการที่จะทำให้แน่ใจว่าพวกคุณทั้งหมดเข้าใจได้ว่า ประธานาธิบดี ทรัมป์ ผู้เป็นรีพับลิกัน, และเพราะเช่นนั้นคือสมาชิกพรรคนั้นด้วย, ที่ได้สร้างความโดดเด่นด้วยตัวมันเองมานานร้อยปีกับการคัดค้านการเก็บภาษีทั้งหลาย, รัฐบาลที่ไม่ควรเก็บภาษี. เราควรจะได้เก็บเงินของตนเองไว้ และได้สามารถใช้จ่ายมันตามที่เราเห็นเหมาะ, มากกว่าที่ต้องยื่นมันไปให้อย่างมากมายแก่รัฐบาล, ครั้งแล้วครั้งเล่า-เอาไปใช้ตามใจชอบ. (I want to make sure you all understand that President Trump who’s a Republican, therefor a member of the Party that has distinguished itself for the last hundred year being opposed to taxes, the government shouldn’t tax. We should keep that money and be able to spend it as we see fit, rather than have to hand over a lot of it to the government, over and over repeated.)

พรรครีพับลิกันที่อนุรักษ์หรือเลวร้ายยิ่งกว่า ได้กำลังอะไรรึ, เชา(ทรัมป์)กำลังหวดฟาดตีโลกด้วยกำแพงสินค้านำเข้า, เขาคือนายภาษีตัวจริง. เขา(ทรัมป์)เป็นรีพับลิกันผู้ที่กำลังสนับสนุนการเก็บภาษีอันอ้วนท้วนหนักหนา และดังที่ผมได้อธิบายมาแล้วก่อนหน้านี้. กำแพงภาษีสินค้านำเข้าทั้งหลาย คือภาษีที่คนอเมริกันทั้งหลายเป็นผู้จ่ายเอง. ถ้าคุณต้องการจะนำสินค้าหรือการบริการเข้ามาในสหรัฐอเมริกา ที่ได้ถูกผลิตขึ้นจากที่อื่น, นั่นคือเมื่อคุณต้องจ่ายภาษีสินค้านำเข้าของกำแพงนี้, มันเป็นภาษีนั่นเอง. และคุณก็รู้ว่าใครได้มันมันไป, ลุงแซมนั่นแหละ. (This Republican conservative or worse is doing what, he is hitting the world with tariffs, he’s a taxman. He’s a Republican who is advocating big fat heavy taxes and as I have explained before. Tariffs are taxes paid by Americans. If you want to bring a good or a service into the United States that is produced elsewhere, that’s when you have to pay a tariff, it’s a tax. And you know who gets it, Uncle Sam.)

ดังนั้นมันจึงภาษีอันคลาสสิค. ทำไมพรรครีพับลิกันที่มีประธานาธิบดีซึ่งควรจะต่อต้าน-ภาษี กลับเป็นอันชื่นชอบหนุนให้มีการเก็บภาษีทั้งหลายเช่นนี้หรือ? เพราะว่าเขาติดอยู่ในสถานการณ์ยุ่งยาก และเขาก็ไม่ต้องการจะขอยืมเงินใคร, เขาอย่างแน่นอนว่าไม่ได้มีความกล้าหาญที่จะขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลของบรรดาผู้ร่ำรวยทั้งหลาย, พวกเขาเป็นผู้ที่ได้บริจาคเงินให้เขาขึ้นมาถึงที่นี้. (So, it’s a classic tax. Why would a Republican anti-tax President be in favor of massive new taxes? Because he’s in a jam and he doesn’t want to do anything else. He doesn’t want to borrow the money, he certainly doesn’t have the courage to tax corporations in the rich, they’re the ones that donate to get him in there.)

ดังนั้น, เขากำลังจะทำอะไร? เขากำลังจะเก็บภาษีเอากับผมและพวกคุณ, ไม่ใช่รึ? เย้, เขาเป็นเช่นนั้น. และเรากำลังต่อสู้กลับในหนทางทั้งหลายมากมาย. หนึ่งในหนทางทั้งหลายนั้น, คือประเทศต่างชาติทั้งหลายได้กำลังที่จะทำการตัดสินใจอย่างไร ถ้าเขาได้ทำกำแพงสินค้านำเข้านี้จริงๆ. (So, what he’s gonna do? He’s gonna tax you and me, isn’t he? Yeah, he is. And we’re fighting back in lots of ways. One of the ways, is that foreign countries are going to make a decision if he actually does this stuff.)

คุณก็รู้, อะไรที่พวกเขากำลังที่จะตัดสินใจ และนี่เองที่ผมกำลังพูดอย่างมากเหลือเกินเกี่ยวกับรัฐบาลต่างประเทศทั้งหลาย, ผมกำลังพูดคุยถึงบริษัทเอกชนทั้งหลาย. คุณรู้ดีว่าในเยอรมนี หรือฝรั่งเศส หรืออิตาลี หรือสเปน หรืออาฟริกา หรือเอเชีย หรือลาติน อเมริกา, พวกเขากำลังจะตัดคืนการขายสินค้าที่ในสหรัฐอเมริกา. คุณรู้ดีว่าทำไม, พวกเขาไม่ต้องการที่จะเป็นเป้าประสงค์ของการเรียกเก็บภาษี. พวกเขาไม่ได้ต้องการแค่ขายรถยนต์ได้มากมายแค่หนึ่งวัน แล้วเหลือน้อยลงในวันถัดไป, ทำไมรึ? (You know, what they’re going to decide and here I’m not talking so much about foreign governments, I’m talking about foreign private companies. You know in Germany or France or Italy or Spain or Africa or Asia or Latin America, they’re going to cut back sales in the United States. You know why, they don’t want to be subject to tax. They don’t want to be able to sell a lot of cars one day and many fewer the next day, why?)

เพราะว่าประธานาธิบดีบางคนอเหมือนเช่นทรัมป์ได้เอากำแพงภาษีสินค้านำเข้าทั้งหลายนี้ฟาดพวกเขาในเรื่องนั้น. เพราะว่าอะไรก็ตามที่ราคาสินค้านั้นที่จะนำเข้ามาขายในอเมริกา กำแพงภาษีสินค้านำเข้านี้ก็จะทำให้ราคาสินค้านั้นสูงขึ้นเอากับพวกเราที่เหลือทั้งหมด. เพราะว่าเราต้องจ่ายภาษีนั้นๆ, ที่เรียกว่ากำแพงภาษีสินค้านำเข้าทำกับสินค้าทั้งหลายเหล่านั้น. ดังนั้น, พวกเขากำลังจะต้องการที่จะขายให้กับประเทศต่างๆ ที่ไม่ได้ข่มขู่คุกคามพวกเขาด้วยกำแพงภาษีสินค้านำเข้าทั้งหลาย. (Because some President like Trump has whacked a tariff on there. Because whatever the thing costs to bring into America a tariff raises the cost to the rest of us. Because we got to pay that tax, called a tariff on those goods. So, they’re going to want to sell to countries not threatening them with tariffs.)

และคุณก็รู้ดีว่าอะไรที่ประเทศทั้งหลายเหล่านั้นคือ ส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่มากที่สุดของโลกนี้. เรากำลังเฝ้าดูของโลก. เรากำลังเฝ้าดูการอวดโอ่วาทกรรมที่อาจจะดูดีเก๋ไก๋ในข่าวภาคเย็น. แต่พวกเขากำลังปิดกันสหรัฐอเมริกาออกไป และนั่นคือหนึ่งแกนเรื่องหลักที่คุณกำลังจะได้เห็นมันได้ดำเนินไปผ่าน. (And you know what those countries are most of the rest of the world. We are watching the rhetorical gestures may look good on the evening news. But they are isolating the United States and that’s one of the themes you’re going to see carried through.)

การก้าวทันโลกถัดไปในวันนี้ที่ต้องทำด้วย ตลาดของเทศกาลใหม่ๆ. มันคือห่วงโซ่ของซูเปอร์มาร์เก็ตในพื้นที่พอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน. พวกเขาได้กำลังต่อสู้เพื่อสัญญาของสหภาพ. มันเกี่ยวกับแรงงานหลายพันคนในทุกวันนี้แผ่ขยายออกไปถึง 11 ร้านจำหน่ายกระจายสินค้าที่เป็นห่วงโซ่ของซูเปอร์มาร์เก็ต. พวกเขาได้ทำการหยุดงาน-หนึ่งวันก่อนถึงวันเทศกาลขอบคุณพระเจ้า. พวกเขามีการทำหยุดหนึ่ง-วันนี้มาแล้วย้อนกลับไปในเดือนกันยายน, พวกเขาเริ่มต้นการพยายามที่จะรวมตัวกันเป็นสหภาพ ย้อนไปถึงในปี 2022, และพวกเขาก็สามารถมีสหภาพได้อย่างรวดเร็วในที่นั้น.  (The next update for today has to do with the new Season’s market. It’s a supermarket chain the Portland Oregon area. They have been fighting for a Union contract. It’s about a thousand workers now spread across 11 Outlets of this supermarket chain. They had a one-day strike the day before Thanksgiving. They had another one-day action back in September, they started trying to unionize back in 2022, and they were quickly able to get a union there.)

และแล้วพวกเขาก็ได้ค้นพบว่า ภายใต้กฎหมายแรงงานของอเมริกา, ทำให้รอคอยได้/ทำเฉยได้. ในที่นี้เราอยู่ในตอนปลาบของปี 2024 แล้ว และพวกเขาก็ยังคงไม่ได้มีสัญญาหนึ่งใด. พวกเขามีสหภาพหนึ่ง, พวกเขาได้การสนับสนุนอย่างท่วมท้นสำหรับสหภาพ, แต่นั่นเป็นเพียงแบบอย่างหนึ่งทั่วไปของสหรัฐอเมริกา. (And then they discovered that under American labor law. Companies can stall off. Here we are at the end of 2024 and they still don’t have a contract. They got a Union, they got overwhelming support for the Union, but that’s typical in the United States.)

คุณทุกข์ทรมาน, คุณดิ้นรนต่อสู้, คุณได้สหภาพหนึ่ง, และแล้วคุณก็ได้ค้นพบว่า นายจ้างมีหนทางทั้งหลายอื่นที่จะแข็งทื่อคุณ. โดยการทำให้คุณรอคอยและ แน่นอนขณะที่คุณรอคอย, ในระหว่างนั้น, แบบอย่างนั้นก็เป็นแบบ 500 วันจากเวลานั้นที่คณะกรรมการแรงงานแห่งชาติ, คณะกรรมการแรงงานได้ออกใบรับรองแก่คุณว่าเป็นสหภาพ เป็นสัญญาอันดับแรกที่คุณได้มา. (You suffer, you struggle, you get a Union, and then you discover that the employer has other ways to stiff you. By making you wait and of course while you wait, by the way, the typical takes typically 500 days from the time that the national labor, labor board certifies you as a Union to the first contract you get.)

และนั่นก็แค่เพราะว่านายจ้างของคุณได้ทุกแรงกระตุ้นจูงใจที่จะได้ใช้ความเอาเปรียบของกฎหมาย และไม่ทำอะไรให้บางสิ่งออกมา, ในประเทศอื่นๆทั้งหลาย, พวกเขาจะไม่อนุญาตให้ทำเช่นนี้ได้. นั่นคือความสำเร็จของชนอเมริกัน, และมันทำให้แรงงานทั้งหลายโกรธและขมขื่น. พวกเขาต้องจัดรวมองค์กรใหม่อีกครั้งทั้งหมด เพราะว่ากว่า 200 คน, แรงงานบางรายที่ทำงานมาในช่วง 2 ปีต้องทิ้งงานนั้นเพื่อเหตุผลส่วนตัวทั้งหลายและมีแรงงานเข้ามาใหม่ ผู้ที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ดิ้นรนให้ได้มาซึ่งสหภาพนี้. คุณต้องนำพวกเขาขึ้นมาเพื่อเร่งเร็วกับนายจ้างนั้นๆ, จะต้องบอคุณได้ถึงเรื่องราวทั้งหลายทุกชนิดทั้งหมดให้คุณเห็นว่ามันทำงานแบบไหน. (And that’s just because your employer has every incentive to take advantage of the law and not work something out, in other countries, they don’t permit that. That’s an American achievement, and it makes the workers angry and bitter. They have to reorganize all over again because over a 200, two-year period some workers leave that job for their own personal reasons and new workers come in who weren’t part of the struggle to get the Union. You have to bring them up to speed the employer, will tell all kinds of stories you can see how this works.)

ดังนั้น, มีแรงงานที่ต่อสู้ดิ้นรนไปทั่วสหรัฐอเมริกา. บริษัททั้งหลายนั้นไม่ต้องการที่จะพบกันครึ่งทาง หรือเสี้ยวหนึ่งของทางกับแรงงานทั้งหลายนี้ หรือไม่สักทางใดเลย. (So, there’s labor struggle all over the United States. The companies don’t want to meet their workers halfway or a quarter of the way or any way at all.)

ให้ผมหันแล้วไปยังอีกเหตุการณ์ทั้งหลายอื่น, ที่ผมกำลังจะแสดงให้คุณเห็นว่าได้ถูกเชื่อมโยงกัน. ทันทีทันใดนั้น, ผู้นำของประเทศฝรั่งเศสก็พบว่าตัวเขาเองอยู่ในตำแหน่งที่น่าแคลงใจสงสัย. เขายังดำรงตำแหน่งอยู่ในวาระ. เอ็มมานูเอล มาครง, เขาได้ชนะการเลือกตั้งเมื่อครั้งที่แล้วด้วยเสียงข้างมากใหญ่โต, มันได้จากไปหมดแล้ว. เขาได้มีการเลือกตั้งเมื่อสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาและเขาเข้ามาเป็นที่ 3 ของสามอันดับ, ไม่ดีเลย. ไม่เพียงแต่แค่ที่เขามาที่ 3 ของสามอันดับเท่านั้น, แต่พรรคการเมืองของเขาได้กลายเป็นเสียงข้างน้อยจากการเลือกตั้งและได้ที่นั่งในรัฐสภา. (Let me turn then to the other events, That’s I’m gonna show you are linked. Suddenly, the leader of France find himself in a dubious position. He’s the incumbent. Emmanuel Macron, he won the election last time with a big majority, it’s all gone. He has an election a few weeks ago and he comes in third out of three, not good. Not only does he come in third out of three, but his Party has a tiny minority of votes and seats in the Parliament.)

เสียงข้างมากที่ใหญ่ที่สุดก็ไม่ได้เป็นเสียงข้างมากแบบสัมบูรณ์สิ้น, เป็นเสียงผสมส่วนมากในส่วนของรัฐสภาของฝรั่งเศส. ที่ผมกำลังพูดกับคุณก็คือ ซีกฝ่ายซ้าย. การรวมตัวกันเป็นหนึ่งของสี่พรรคการเมือง. พรรคคอมมิวนิสต์แห่งฝรั่งเศส, พรรคสังคมนิยมคนฝรั่งเศส, พรรคคนฝรั่งเศสสีเขียว และพรรคการเมืองที่โตที่สุดของพวกเขาทั้งหมด, พรรคฝรั่งเศสไม่ก้มหัว, พวกเขาร่วมด้วยกันเป็นก้อนใหญ่ที่สุดของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร.  (The biggest majority not an absolute majority, a plurality in the part of Parliament in France. I’m speaking to you is the left-wing. A Unity of four Parties. The French Communist Party, the French Socialist Party, the French Green party and the biggest of them all, France Unbowed, together they are the biggest block of deputies in the Parliament.)

พวกเขาทั้งหมดคือประเภทหนึ่งของนักสังคมนิยมหรืออะไรเช่นนั้น, และก้อนที่สองอันใหญ่ที่สุดของคะแนนเสียง คือ ฝ่ายขวาสุดโต่ง, บ่แอยครั้งที่มักเรียกว่า ฟาสซิสต์ของมารินา ลีน. ประธานาธิบดี มาครงนั้น, คือผู้ที่อยู่ตรงกลาง, เขามาเป็นอันดับที่ 3 ของทั้งสามฝ่าย, เขาไม่ได้มีอะไรได้มากเลย. อต่เขาไม่ได้มองเห็นที่เขียนติดไว้ที่ผนังกดำแพง เมื่อทำในสิ่งที่นักการเมืองทั้งหลายเคยทำกัน. ดังนั้น, เขาใช้กำลังบังคับหนึ่งในตัวเลือกของเขาเองนั้นตั้งขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แทนที่จะยอมรับความจริงที่เขามี, ว่าเขาไม่ได้มีเสียงข้างมากในรัฐสภา. เขาสามารถทำได้แค่นั้น เพราะว่าพรรคฝ่ายขวาบอกว่า เราจะลงคะแนนให้คุณตราบนานเท่าที่คุณทำอะไรในสิ่งที่เราต้องการ. และเขาก็ช่างสิ้นหวังเหลือเกินที่จะยึดกุมอยู่กับอำนาจที่เขาเห็นด้วยต่อการนั้น และแล้วเขาก็เสนอผ่านนายกรัฐมนตรีของเขาในสิ่งที่เรียกว่าการลงทุน และก็ดูกันในตอนนี้.  (They’re all one kind of socialist or another, then the second biggest block of votes is the extreme right-wing, often called Fascist of Marina Leen. The President, the guy in the middle he comes in third out of three, he has doesn’t have much at all. But he doesn’t see the writing on the wall when do politicians ever do. So, he forces one of his own choices to be the new Prime Minister despite the fact he does, doesn’t have the majority in the Parliament. He only can do that because the right-wing says we’ll vote for you as long as you do what we want you to. And he’s so desperate to hold on to power that he agrees to that and then he submits through his Prime Minister that he named a budget and now watch.)

มันเป็นอะไรแบบว่าผู้คนที่ดำเนินกิจการตลาดของเทศกาลใหม่ หรือแบบที่ มร. ทรัมป์ทำ, เขาบีบรีดคั้น, เขาตัดค่าใช้จ่าย, การใช้จ่ายต่อมวลประชาชนส่วนใหญ่ชาวฝรั่งเศส และขึ้นภาษีเอากับพวกเขาเหล่านั้น. (It sorts of like the people who run the new Season’s Market or like Mr. Trump, he squeezes, he cuts back spend, spending on the mass of the French people and raises taxes on them.)

มันเป็นเหมือน มร. ทรัมป์ เล็กน้อยที่กำลังทำ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้กำแพงภาษีสินค้านำเข้า, เขาใช้การลดรายจ่ายรัฐ และการขึ้นภาษีรายได้จากการค้าขายภายในประเทศ. และเดาสิว่าอะไร(A little bit like Mr. Trump is doing although he doesn’t use tariffs, he uses domestic spending2 and domestic taxation3. And guess what the right-wing says we’re not supporting this, the left-wing says ‘You must be kidding.’)

2 https://en.wikipedia.org/wiki/Domestic_spending

3 https://www.slideshare.net/slideshow/domestic-taxation-vs-international-taxation/250682240

และดังนั้น, เมื่อสองสามวันก่อนในรัฐสภาฝรั่งเศส, ทั้งสองข้าง, ฝ่ายซ้ายนั่นคือก้อนใหญ่ที่สุดของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรับสภา, และฝ่ายขวา, ได้ร่วมกันออกเสียงลงคะแนนในอะไรที่ถูกเรียกในฝรั่งเศสว่า “ไม่ไว้วางใจ” ต่อรัฐบาลนั้น. และรัฐบาลนั้นก็พังพาบลง. และดังที่ผมกำลังพูดกับคุณถึงในตอนนี้, เรายังไม่รู้ว่าอะไรที่มร. มาครองผู้เป็นประธานาธิบดี และเพราะเช่นนั้น, ก็หนึ่งก้าวต้องย้ายออกไป. อะไรที่เขากำลังจะทำ แต่วันเวลาทั้งหลายของเขานั้นนับกันได้, รัฐบาลของเขาได้พังพาบลงแล้ว. (And so, a few days ago in the French Parliament, the two sides, the left-wing that’s the biggest block of deputies, members of Parliament, and the right-wing, together vote what’s called in France ‘no confidence’ and the government. And the government collapses. And as I’m speaking to you as of now, we don’t know yet what Mr. Macron who’s the President and therefore One Step removed. What he’s gonna do but his days are numbered, his government is collapsed.)

และทำไมหรือ? ก็เพราะว่าเขาได้พยายามที่จะบีบเค้นชนชั้นแรงงาน, เหมือนเช่นกับ มร. ทรัมป์ ได้มีกับกำแพงภาษีสินค้านำเข้าทั้งหลาย. และก็เช่นเดียวกับเจ้าของและผู้ประกอบการทั้งหลายและของตลาดเทศกาลใหม่, กำลังพยายามจะทำ. (And why? Because he’s trying to squeeze the working class4, just like Mr. Trump is with his tariffs. And just like the owners and operators of the new Season’s Market, are trying to do.)

4https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99

ชนชั้นดิ้นรนต่อสู้ในประเทศ, ชนชั้นดิ้นรนต่อสู้นอกประเทศ, นั่นคืออะไรที่ผูกโยงพวกเขาเข้าด้วยกันทั้งหมด แต่เราไม่ได้ทำเสร็จสิ้น. เรามีสิ่งทั้งหลายอื่นที่จะผูกเข้าด้วยกันที่เราในตอนนี้กำลังที่จะหันไปสู่และทำกันอีกครั้งกับสองสัปดาห์สุดท้าย. (Class struggle at home, class struggle aboard, that’s what ties all of these together but we’re not done. We have other things to tie together which we’re now going to turn to and do over the last couple of weeks.)

กว่า 100,000 แรงงานทั้งหลายในเยอรมนี ผู้ที่ทำงานให้กับบริษัทโฟล์คสวาเกน, โฟล์คสวาเกนในเยอรมนี, พวกเขาได้ทำการประท้วงหยุดงานที่ 9 โรงงาน, ได้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 2 เดือนธันวาคม, ทำไมหรือ? บริษัทนั้นต้องการที่จะปิดโรงงาน 3 แห่ง, ปลดคนงานทั้งหลายออกหลายพันคน. นับเป็นครั้งแรก, การปิดโรงงานทั้งหลายในประวัติศาสตร์ 87 ปีของบริษัทโฟล์คสวาเกน. (Over 100,000 workers in Germany who work for the VW Corporation, Volkswagen in Germany, they’ve been on strike at 9 plants, started December 2nd, why? The company wants to close 3 factories, laying off thousands of workers. For The First Time, closing factories in the 87 years history of the VW Corporation.)

พวกเขายังมีการเสนอตัดค่าจ้างลงด้วย, ฟังให้ดีนะเพื่อนชาวอเมริกันทั้งหลาย, เพราะว่าอะไรที่เรากำลังพูดคุยถึงนี้กำลังจะมายังที่นี่, ไม่ช้าก็เร็วและในตอนนี้แล้ว เงินได้พนันลงไปกับการตัดลงเร็วๆนี้ 10%. นั่นถูกต้องแล้ว, พวกเขากำลังจะไล่ออกและปลดแรงงานทั้งหลายลงหลายพัน, ขณะที่การตัดเงินเดือนของทุกคนลง 10%. (They also propose a pay cut, pay attention my fellow Americans, because what we’re talking about is coming here, sooner or later and right now the money being bet on sooner a 10% cut. That’s right, they’re going to fire and lay off thousands of workers, while cutting the salaries of everybody by 10%.)

อะไรในโลกที่กำลังดำเนินไปและแรงงานเยอรมันทั้งหลายกำลังพูดว่า “โอ้ ไม่ คุณอย่าทำ”. พวกเขากำลังต่อสู้กลับ, “คุณได้ข่มขู่คุกคามเราด้วยการตัดเงินเดือน 10%, คุณข่มขู่คุกคามเราด้วยการปลดออก, คุณทำมันอย่างสวยหรูแค่ก่อนคริสต์มาส, โอ ไม่, โอ้ ไม่!) (What in the world is going on and the German workers are saying ‘oh no you don’t’. They’re fighting back, ‘you threaten us with 10% cuts, you threaten us with thousands of lay off, you do it nicely just before Christmas, oh no, oh no!)

และคุณก็รู้ดีว่าอะไรกำลังจะเข้าไปในเยอรมนี, อะไรที่เราได้, การต่อสู้ของชนชั้นระหว่างผู้นำบริษัทกิจการกับมวลชนผู้ใช้แรงงาน. ผมกำลังที่จะว่าตอนไปและพูดคุยถึงการลอบฆ่าของผู้บริหารนั้น และแสดงให้คุณเห็นความเชื่อมโยง, และการพังพาบลงในเกาหลีใต้และซีเรีย. อยู่กับเรา เราจะกลับมาในไม่ช้านี้. (And you know what we’re going to get in Germany, what we got, class struggle between the corporate leaders and the mass of working people. I’m going to continue and talk about the assassination of that executive and show you the linkage, and the collapse in South Korea and Syria. Stay with us we’ll be right back.)

 

ขอต้อนรับกลับมาอีกครั้งเพื่อนทั้งหลายสู่ครึ่งที่สองชองวันนี้ในรายการเศรษฐกิจ ทันโลก. ก่อนที่จะหยิบเรื่องราวการพังพาบลงของรัฐบาลฝรั่งเศส, ผมต้องการที่จะให้คุณได้รู้ว่า เรามีฉบับพิมพ์ซ้ำของหนังสือที่เพิ่งออกใหม่ที่สุด “ความเข้าใจในลัทธิทุนนิยม” ตอนนี้สามารถหาได้ในรุ่นฉบับปกแข็งหุ้มลินินพิมพ์จำนวนจำกัด. และเป็นเช่นส่วนหนึ่งของการพยายามหาทุนของเรา. เราจะได้ลงนามลายเซ็นให้หนังสือเหล่านี้แก่คุณ ถ้าคุณสนใจ เอ่อ เป็นเช่นส่วนหนึ่งของการหาทุนตามเทศกาลที่เราได้จำเป็นต้องการ, แน่นอน, ที่จะทำ. ถ้าคุณได้สนใจดังที่เราหวังเอาไว้ว่าคุณจะเป็น. กรุณาอนุญาตให้เราได้รู้ด้วยการส่ง e-mailถึงเรามาที่ info@democracyatwork.info และใส่คำว่า “limited edition” ที่ช่องหัวข้อ แล้วเราจะตอบกลับไปยังคุณและบอกรายละเอียดในการสั่งซื้อฉบับพิเศษจำนวนจำกัดพร้อมลายเซ็นนี้.  (Welcome back friends to the second half of today’s Economic Update. Before picking up the story of the collapse of the French government, I want to let you know that we have a copy of our most recent book ‘Understand Capitalism’ now available in hardback limited linen bound Edition. And as part of our fundraising effort. We will be signing these autographing these for you if you are interested uh as part of the seasonal fundraising that we are required, of course, to do. If you are interested as we hope you are. Please let us know by sending us an e-mail to ‘info@democracyatwork.info’ and put the words limited edition in the title and we’ll get back to you with the details on how to order such a special limited edition signed copy.)

โอเค. ผมต้องการที่จะกลับไปที่การพังพาบลงของรัฐบาลฝรั่งเศส และบอกกับคุณว่ามันเป็นความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดมากกับการประท้วงหยุดงานของแรงงานบริษัทโฟล์คสวาเกนที่ในเยอรมนี. ทำไมหรือ? เอาละ, ในหนทางที่รัฐบาลฝรั่งเศสได้ดิ้นรนต่อสู้ด้วยอะไรบางอย่าง ที่ได้พังพาบลงเป็นการสนับสนุนอันโด่งดังของมันเอง. มันได้ถูกใช้จ่ายเงินมากมายไปกับสงครามในยูเครน. และมันได้ถูกสะอึกสะอื้นและบ่นครวญอย่างมโหฬารเกี่ยวกับการแข่งขันจากจีน.  (OK. I want to go back to the collapse of the French government and tell you that it is very closely linked with the strike of the VW workers in Germany. Why? Well, in a way the French government has been struggling with something that has collapsed its popular support. It has been spending a lot of money on the war in Ukraine. And it has been whining and complaining enormously about competition from China.)

และอย่างแน่ชัดว่าประเด็นทั้งหลายเหล่านั้นคือสิ่งที่ถูกยกขึ้นมาโดยเจ้าของทั้งหลายของบริษัทโฟล์คสวาเกนในการอธิบายว่าทำไมพวกเขาต้องการที่จะปลดออกหลายพันของแรงงาน และทำไมพวกเขาต้องการตัดเงินลง 10% ของค่าจ้างเงินเดือนของหนึ่งในบรรดากลุ่มกองกำลังแรงงานใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนี. (And exactly those issues are the ones raised by the owners of the VW Corporation in explaining why they want to lay off thousands of workers and why they want to cut 10% off the wages of one of the largest labor forces in the country of Germany.)

พวกเขากำลังบ่นว่าถึงการแข่งขันกับจีน, เอาละ, มาว่ากันให้ชัดกระจ่างกัน. ทุกบริษัทที่ถูกกันออกไปเรียบร้อยแล้วโดยบริษัทอื่นได้ค้นพบหนทางหนึ่งที่จะกล่าวโทษบริษัทอื่น, ที่จะกรีดร้องว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ยุติธรรม ในการที่เอาทุกชนิดของการกล่าวโทษมาลวงกับทุกๆคนและทุกๆสิ่ง ที่พวกเขาสามารถคิดออกมาได้, แน่นอน, ด้วยตัวพวกเขาเอง. (They’re complaining about Chinese competition, well, let’s be clear. Every company that has ever been out completed by another company has found a way to blame the other company, to scream that something is unfair to put every kind of the blame on any everyone and everything they can think of, except, of course, themselves.)

โฟล์คสวาเกนไม่เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยานพาหนะไฟฟ้าที่คนจีนทำ. และคนจีนได้นำหน้าไปแล้ว เหมือนที่คนอเมริกันและอีกหลายรายอื่นกำลังทำงานกับการผลิตยานพาหนะไฟฟ้าที่มีคุณภาพดีที่สุดและราคาต่ำที่สุดในโลก. คนจีนได้ชนะการแข่งขันนั้น, ฝรั่งเศสแพ้, อเมริกันก็แพ้. (VW did not understand the global transition to electric vehicles the Chinese did. And the Chinese went ahead like the Americans and many others working on producing the best quality lowest price electric vehicle in the world. The Chinese won that competition, the French lost, the Americans lost.)

อะไรที่คนอเมริกันกำลังทำ, ก็ไปลงที่ประธานาธิบดีที่ใช้กำแพงภาษีสินค้านำเข้าทั้งหลายนั้น, เรามีภาษี 100% ต่อยานพาหนะไฟฟ้าจีนในสหรัฐอเมริกา, ทำให้พวกมันแพงเกินไปสำหรับคนอเมริกันเอง. ทั้งหมดนั่นคนเยอรมันเองก็กำลังทำ, กำลังพูดว่า โอเค เราในตอนนี้กำลังจะทำงานในเรื่องยานพาหนะไฟฟ้าทั้งหลาย แต่เราไม่ได้ต้องจ่ายราคานั้น. เราต้องการที่จะได้มันออกมาจากแรงงานของเราเอง 10%ที่น้อยลงไปเพื่อพวกคุณทั้งหมด. คุณให้เงินนั้นกับเราเพื่อที่จะไล่ตามทันความล้มเหลวของเราซึ่งล้มเหลวในการแข่งขันไปอย่างสมบูรณ์แล้ว.  (What are the Americans doing, going to the President to get tariffs, we have 100% tariff against Chinese electric vehicles in the United States, making they too expensive for Americans. All that the Germans are doing, is saying okay we’re now going to work on electric vehicles but we don’t have to pay the cost. We want to take it out of our workers 10% less for all of you. You give us the money to catch up on our failure to complete successfully.)

อะไรอื่นที่มันเป็นก็คือว่าเจ้าของโฟล์คสวาเกนไม่ได้กำลังบอกถึงราคาต้นทุนของพลังงานในเยอรมนีซึ่งสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง. ทำไทหรือ? ก็แค่เมื่อเกิดสงครามในยูเครนนะเบิกดขึ้น และทำไมถึงเป็นเช่นนั้นหรือ? ก็เพราะคนเยอรมันได้ถูกกดดันโดยคนอเมริกัน ด้วยที่ว่าพวกเขาใกล้ชิดอย่างมากที่ต้องหวดด้วยการแซงค์ชั่น(ลงโทษการติดต่อทางการค้า)เอากับรัสเซีย. และนั่นคือที่จะต้องหยุดการซื้อน้ำมันและแก๊สของรัสเซีย. (What else is it that the VW owners are not telling that the cost of energy in Germany went up crazily. Why? Just when the war in Ukraine broke out and why is that? Because the Germans were pressured by the Americans with whom they are very close to slap sanctions on Russia. And to stop buying Russian oil and gas.)

เอาละ, เดาซิว่าอะไรที่คนอเมริกันทำ, น้ำมันและแก๊สของรัสเซีย คือแหล่งพลังงานของเยอรมนีที่ดีที่สุด, ราคาถูกที่สุดที่สามารถหวังพึ่งได้, ก็ไม่ได้เป็นที่หาได้อีกแล้วต่อเยอรมนี. เยอรมนีปฏิเสธที่จะซื้อมัน, มันก็เลยต้องหันไปหาสหรัฐอเมริกา, ที่จะซื้อแก๊สธรรมชาติเหลวซึ่งแพงกว่ามากๆยิ่งนัก. และเช่นนั้นเอง, ราคาของโฟล์คสวาเกนก็เลยพุ่งขึ้นสูงและมันก็สูญเสียลูกค้าทั้งหลายไป. (Well, guess what Americans, Russian oil and gas the best closest, cheapest source of energy Germany could hope for, is no longer available to Germany. Germany refuses to buy it, it has to turn to the US, to buy much more expensive liquefied natural gas. And so, the price of the VW goes up and it loses customers.)

พวกเขาต้องการจะซ่อมแซมแก้ไขนั่น, ว่าทำไมและอย่างไร, ที่จะรับมือกับความล้มเหลวของพวกเขา, ที่จะจัดการกับความผิดพลาดที่พวกเขาอาจจะได้ทำลงไปในสงครามยูเครน. ไม่, ไม่, ไม่, ไม่, แทนที่จะทำเช่นนั้น-พวกเขากัลเอามันมาลงที่ชนชั้นแรงงานคนเยอรมัน. แล้วแรงงานคนเยอรมันไม่ยอมรับมัน. พวกเขากำลังต่อสู้กลับและการหยุดงานประท้วงนั้นกำลังเกิดขึ้นต่อไป. และมันคือความขมขื่นและมันคือปรวกระตุ้นในหยุดงานประท้วงไปทุกแห่งอื่นๆ. (They want to fix all that, why and how, to deal with their own failure, to deal with the mistake they may have made in the Ukraine war. No, no, no, no, they want to take it out of the German working class. And the German working class won’t have it. They’re fighting back and that strike is going on. And it’s bitter and it’s stimulating strikes everywhere else.)

เดาสิว่าอะไรที่ถูกเรียกว่า “การดิ้นรนต่อสู้ในเยอรมนี.” ตอนนี้ขอให้ผมหันไปหาสองปรากฏการณ์อื่น. การพังพาบลงของรัฐบาลอย่างแท้จริงชั่วข้ามคืนในเกาหลีใต้. และอีกอันหนึ่งในหนึ่งหรือสองสัปดาห์, นั่นคือทั้งหมดที่มันเป็นกับซีเรีย. (Guess what that’s called, ‘class struggle in Germany.’ Now let me turn to two other phenomena. The collapse of the government literally overnight in South Korea. And another one in a week or two, that’s all it took in Syria.)

เอาละ, คิดถึงว่าประเทศเหล่านี้เป็นเช่นถูกไล่ตะครุบในการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก. แต่นั่นมีความเชื่อมโยงที่อ่อนที่สุดในห่วงโซ่การเชื่อมโยงนี้ กับฝรั่งเศส, ที่เราเรียกว่าเศรษฐกิจโลก. พวกเขาไม่สามารถจัดการกับการดิ้นรนต่อสู้ที่วิวัฒน์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและ G7 ยูโรเปียนอันมั่งคั่งเก่า, ส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกดที่กำลังหดตัวลงและกำลังตาย. และการอุบัติขึ้นมาของอำนาจทรงอิทธิพลใหม่, จีน, กลุ่มBRICS, และทั้งหมดนั่นที่เราพูดคุยถึงเรื่องนี้บนรายการของเรามาบ่อยครั้ง, และพวกคุณรู้กันเป็นอย่างดีแล้ว. (Well, think of those countries as caught up in a changing world economy. But there are the weakest link in that chain link, French, we call the world economy. They can’t handle the struggle that’s evolving between the United States and the G7 old wealthy European, part of the world economy that’s shrinking and dying. And the rising new Powerhouse, China, the BRICS, and all of that we talk about this on our program often, and you know about it well.)

มีประเทศทั้งหลายกำลังต้องคิดตรองให้ตกว่าจะนำร่องอย่างไรในระหว่างพวกเขาท่ามกลางประเทศทั้งหลายเหล่านั้น, ซีเรีย และเกาหลีใต้. ถ้าเอาความกดดันทั้งหลายที่พวกเขากำลังเผชิญหน้ามา, ชาวเกาหลีใต้ทั้งหลายเป็นผู้มีอำนาจอิทธิพลทางเศรษฐกิจรายหนึ่งในเอเซีย, แต่พวกเขากำลังถูกบีบเค้นโดยการแข่งขันประชันกับจีน. จีนเป็นประเทศที่ใหญ่กว่ามาก, แน่นอน, และโดยการบัญชาของสหรัฐอเมริกา. (There are countries having to figure out how to navigate between them among those countries, Syria and South Korea. If put the pressures that they’re facing, the South Koreans are an economic Powerhouse in Asia, but they’re being squeezed by Chinese competition. China is a much bigger country, of course, and by demand of the United States.)

คำเล่าลือทั้งหลายที่โตที่สุดวนอยู่รอบๆเกาหลีใต้ ในการที่จะอธิบายถึงการพังพาบลงของรัฐบาลพวกเขา, อย่างแท้จริงคือการตัดสินใจผ่าทะลุออกมาของผู้นำพวกเขาในการประกาศกฏอัยการศึก เพื่อที่จะยกเลิกไปในเวลาเพียงหนึ่งวัน ในการที่จะยกเลิกการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา. เพื่อที่จะก้าวไปในวีไม่ประชาธิปไตยที่ไม่อาจจินตนาการได้. เพียงแค่ที่จะให้รัฐบาลต้องพูดว่า ไม่, ไม่, ไม่, ไม่, คุณจะไม่ทำนั่นกับเรา, เรากำลังทำเช่นนั้นกับคุณ, คุณออกไปจากที่นี่. ที่ซึ่งคืออะไรที่พวกเขาทำ. (The biggest rumors circulating in South Korea for to explain the collapse of their government, literally the decision one day out of the blue of their leader to declare martial law to cancel the Parliament. To take the most undemocratic steps imaginable. Only to have the government say no, no, no, you’re not doing that to us, we’re doing to you, you’re out of here. Which is what they did.)

และอะไรที่คือข่าวเล่าลือนั้น? คำเล่าลือนั้นคือ สหรัฐอเมริกาต้องการให้เกาหลีใต้ขนอาวุธยุทโธปกรณ์มโหฬารลงเรือส่งไปยังยูเครน. เพราะว่าสหรัฐอเมริกาได้ขนไปให้ในราวมากเท่าที่มันสามารถทำได้โดยปราศจากเป็นการการคุกคามสถานการณ์ทางทหารของตัวมันเอง. (And what was the rumor? The rumor was the United States wanted the South Koreans to ship an enormous amount of Munitions to the Ukraine. Because the United States has shipped about as much as it can without threatening its own military situation.)

และคนยูโรเปียนเองก็เป็นเหมือนนั้นเช่นกัน, ดังนั้นพวกเขากำลังรีดเค้นเอากับคนเกาหลีใต้. แต่คนเกาหลีใต้เองพวกเขากำลังจะอยู่รอดได้อย่างไร? พวกเขามีรัฐบาลที่จะต้องคอยดูแลประชาชนของตนเอง ที่ไม่สามารถคอยแต่จะเก็บภาษีมากยิ่งขึ้นจากผู้คนของตัวมันเอง. ตอนนี้พวกเขาต้องขนส่งเรือบรรทุกผลิตภัณฑ์ราคาแพงของพวกเขาเองไปยังยูเครน เพื่อเป็นอะไรล่ะ? ของขวัญงั้นรึ? (And the Europeans likewise, so they’re squeezing the South Koreans. But the South Koreans how are they going to survive. They have a government that has to take care of its people that can’t keep demanding more taxes from its people. Now they have to ship an expensive load of their own product to the Ukraine as some sort of what? Gift?)

เมื่อความคิดนี้ได้ลอยท่วมเสียงข้างมากในรัฐสภาเกาหลีได้บอกว่า “ไม่มีทางที่เรื่องนี้จะบังเกิดขึ้นได้.” อะไรที่ประธานาธิบดีกำลังจะทำเพื่อที่จะละลายรัฐสภาลงไป? เขาได้พยายามแล้ว, แต่ล้มเหลว. (When this idea was floated the majority in the Korean Parliament said ‘no way is this happening.’ What is the President going to do dissolve Parliament? He tried, he failed.)

ในซีเรียสิ่งเหมือนกันได้ถูกตะครุบขึ้น, ไม่เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก. ซีเรียเป็นประเทศยากจนเล็กๆแตกแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ. เพราะว่าแท้จริงแล้วมันอยู่ระหว่างอิสราเอลในมือข้างหนึ่ง กับยูเครนในอีกข้างหนึ่ง. พวกเขาถูกตะครุบติดอยู่กับความวุ่นวายยุ่งเหยิงในตะวันออกกลาง, ในความวุ่นวายยุ่งเหยิงในสงครามยูเครน. ไม่มีหนทางออก, พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่การงานเศรษฐกิจของมันเองได้ ที่ถูกควบคุมอยู่โดยชนเคิร์ด. (In Syria same thing caught up, not only in a changing World Economy. Syria is a small poor country but torn apart. Because it’s literally between Israel on one hand and Ukraine on the other. They’re caught up in the Middle Eastern turmoil, in the Ukraine war turmoil. There is no way out, they can’t function its economy controlled by the Kurdish5 people.)

5https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94

ส่วนหนึ่งของอิทธิพลจากกลุ่มอีร์โดกันในตุรกี, ส่วนหนึ่งโดยรัสเซียน, ส่วนหนึ่งโดยอเมริกันผู้ที่ยังคงแสดงตนอยู่ที่นั่น. นี้เป็นไปไม่ได้เลย, มันเป็นประเทศที่ได้ตกอยู่ในสงครามกลางเมืองมาอย่างต่อเนื่อง. พวกเขาไม่สามารถทำมันได้อีกต่อไป. การประกวดประชัน, ดิ้นรนต่อสู้, เป่าพวกเขาออกไปพ้นจากวังวนน้ำนั้น. หนึ่งในกลุ่มทั้งหลายนั้น, จีฮาดิส, ส่วนหกนึ่งของกลุ่มเคลื่อนไหวชนอิสลามที่มีอยู่ทั่วโลก, เป็นฝ่ายรุกเข้าไปก่อนและได้แสดงให้เห็นว่ารับาลนั้นแทบจะไม่สามารถทำหน้าที่มีประโยชน์ใดได้ และถ้าคุณผลักมันไปสักนิด, มันก็ล้มกลิ้งออกไป, มันก็จะจบสิ้นลงไปได้. (Partly influence of Erdogan in Turkey, partly by Russians, partly by Americans who maintain a presence there. This is impossible, it’s a country that has been in a perpetual Civil War. They couldn’t do it anymore. The contesting, struggling, blew them out of the water. One of the groups, Jihadis, part of that Islamist Movement around the world, took the initiative and showed that the government was barely functioning and if you push at it a little bit, it’ll keel out. It’ll chill over.)

และแล้วมีเหตุการณ์อันน่าสังเกตจดจำขึ้น, คุณอาจจะได้คิดว่ามันไม่ได้เชื่อต่อถึงกัน. เหมือนเช่นที่คุณได้คิดว่าเหตุการณ์ทั้งหลายอื่นๆไม่ได้เชื่อมติดต่อถึงกัน, แต่พวกมันเป็น. นี่ผมกำลังพูดคุยถึงการลอบฆ่าในเช้าวันหนึ่งเมื่อเร็วๆนี้, บนถนนของนครนิวยอร์ค, เป็นผู้บริหารรายหนึ่งของUnited HealthCare(บริษัทด้านดูแลสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา), โดยผู้ที่ไม่มีใครรู้จัก, อย่างน้อยที่สุดเมื่อถึงจุดนี้. ผู้ที่ไม่มีใครรู้จักเป็นทหารเรือคือผู้ที่ยิงและได้ฆ่าผู้บริหารรายนี้. (And then there’s this remarkable event, you might have thought was unconnected. Just like you thought those other events were unconnected, but they’re not. Here I’m talking about the assassination one morning recently, on the streets of New York City, of an executive of United HealthCare6 by an unknown, at least at this point. An unknown as sailor who shot and killed this executive.)

6 https://www.investerest.co/business/unitedhealth-group/

โพ้นเลยไปจากโศกนาฏกรรมส่วนตัวของสถานะเช่นนี้, ที่ผมไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นไปถึง, อะไรที่สำคัญ, สำคัญเป็นอย่างมากยิ่งกว่าเหตุการณ์ของตัวมันเอง, คืออะไรที่เป็นปฏิกิริยาที่ได้เกิดขึ้น. ปฏิกิริยาอย่างท่วมท้นของผู้คนอเมริกันได้แสดงออกมาในสื่อสังคม. ซึ่งคือที่ซึ่งเราค้นพบว่าชาวอเมริกันคิดกันอย่างไร, อย่างน้อยที่สุดเราได้ค้นพบว่าอะไรที่พวกเขาอย่างจริงใจแสดงความคิดออกมา, เพราะว่าพวกเขาได้รับการปกป้องจากการเป็นภาวะนิรนามในสื่อสังคม. (Beyond the personal tragedy of such a situation, which I don’t need to comment on, what is important, much more important than the event itself, is what the reaction has been. The overwhelming reaction of the American people expressed in social media. Which is where we find out how Americans think, at least we find out what they honestly think, because they have the protection of the anonymity7 of social media.)

7 https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/anonymity/

เสียงส่วนใหญ่อย่างท่วมท้นของผู้คนเข้าใจและสงสารด้วยกับอะไรที่ได้สแดงปรากฏขึ้น เป็นเช่นเหมือนเช่นว่าแรงกระตุ้นผปลักดันให้เกิดการบอบฆ่า. คำพูดทั้งหลายเหล่านั้นที่ได้เขียนบนเปลือกหุ้มนี้คือ หน่วงเวลา, ปฏิเสธ, ป้องกันตน. มีการอ้างอิงอย่างชัดเจนถึงความโกรธแค้นอันขมขื่นได้สะท้อนออกมาในสื่อสังคมเหล่านั้นของคนอเมริกันผู้ที่ได้เคยผ่านประสบการณ์ทั้งหลายมาหลายปีแล้ว. (The overwhelming majority of people understand and sympathize with what has been presented as the likely motive of this assassination. Those words written on the shell casings delay, deny, defend. There are obvious references to the bitter anger reflected in those social media of the American people who have been going through for years experiences.)

ผมเองก็เคยได้มีประสบการณ์นั้นมาด้วยตนเองของการดิ้นรนต่อสู้ภายหลังจากที่เรามีปัญหากับการดิ้นรนจากการบาดเจ็บหรือป่วยไข้ กับบริษัทประกันชีวิตที่มันได้เพิ่มเติมคำสบประมาทลงไปกับความบาดเจ็บของเรา ด้วยเศษเงินกับการชดเชยให้เรา. และเช่นนั้นเอง, ผู้คนได้แสดงออกถึงความโกรธของพวกเขาในชั่วขณะนี้, เพราะว่าพวกเขารู้ดีว่าพวกเขากำลังถูกฉีกทึ้งอย่างไร. พวกเขารู้ว่าลำดับความสำคัญแรกของกลุ่มUnited HealthCare และบริษัททั้งหลายอื่นๆทั้งหมดคือกำไร. พวกเรารู้มันได้อย่างไร ก็เพราะว่าพวกบริษัททั้งหลายนั้นพูดเช่นนั้นเอง, ลำกับความสำคัญแรกของพวกเขาไม่ใช่การช่วยเหลือคุณให้ผ่านอาการเรื้อรังจากการป่วยไข้ หรือการบาดเจ็บ ที่คุณไม่สามารถพอที่จะจ่ายจัดการกับคำ ไม่, ไม่, ไม่, ไม่ นั้นได้. (I’ve had them myself of struggling after we have a problem with an injury or an illness struggling with the insurance company as it adds insult to our injury by nickel and diming us about coverage. And so, the people expressed their anger this moment, this act on the street of New York, galvanized, provoked, liberated we might say, the feelings of the American people of Rage, because they know they’re being ripped off. They know that the first priority of the United Health Care and all the other companies is profit. How they know it because the companies say so, their first priority isn’t helping you through the trauma of an illness or an injury you can’t afford to deal with no. no, no.)

ผลพิสูจน์ของมันช่างแน่ชัด, ผมเองกำลังจะให้มันอย่างแท้จริงต่อคุณอยู่ดี. มันเป็นเรื่องของอีกบริษัทหนึ่ง, Anthem Blue Cross Shield, สองสามวันก่อนที่จะได้บังเกิดเหตุลอบฆ่า, พวกเขาได้ประกาศต่อผู้งวยงงแม้แต่กระทั่งในหมู่ของเราเองผู้ที่รู้ว่ามันเป็นสถานการณ์แสนเศร้าเยี่ยงไร, ว่า พวกเขากำลังที่จะตัดสินใจว่ากี่ชั่วโมงของภาวะการวางยาสลบของเราที่เราควรได้รับการจ่ายชดเชย, ถ้าคุณจำเป็นต้องผ่าตัด. เพราะว่าพวกเขาไม่มีความสุขกับเงินจำนวนหนึ่งของการจ่ายทดแทนให้ ซึ่งพวกเขาต้องจ่ายให้แก่แพทย์วางยาสลบผู้ซึ่งดูแลการผ่าตัดให้เราเพื่อบริหารจัดการวางยาสลบนั้นๆ. พวกเขาไม่ต้องการใช้เงินไปกับการนั้น, ใช่มั้ย? ทำไมรึ? เพราะว่าถ้าพวกเขาสามารถใช้เงินนั้นน้อยลงกับการวางยาสลบในขณะที่คิดเงินเอากับทุกคนในการรักษาระดับเยี่ยมอย่างดี, กำไรขอแงพวกเขาก็สูงขึ้น นั่นทำให้ฟังดูมีเหตุผลสมบูรณ์เลย, ไม่ใช่รึ?(The proof of it is so obvious, I’m actually going to give it to you anyway. It’s another company, Anthem Blue Cross Shield, a few days before the assassination happened, they announced to the astonishment even of those of us who know how sad the situation is that they were going to decide how many hours of anesthesia you get, if you need surgery. Because they’re not happy with the amount of reimbursement they have to give to the anesthesiologist who attends your surgery to manage the anesthesia. They don’t want to spend that money, do they? Why? Because if they can spend less on anesthesia while charging everybody the same medical premium well their profits go up makes perfect sense, doesn’t it?)

ดังนั้น, พวกเขาได้เสนอที่จะตัดค่าวางยาสลบลง. คุณสามารถนึกภาพได้ว่าถ้าคุณเป็นนักแสดงตลกรายหนึ่งเล่นมุกว่าได้ตื่นขึ้นมาในกลางการผ่าตัดของคุณ แล้วได้รับการบอกว่า คุณหมดเงินค่ายาสลบแล้ว แจ็ค, คุณต้องการเพิ่มอีกนิดไม่งั้นก็ต้องทนเจ็บไปต่อนะ. ผมหมายถึงพ้นเลยไปจากในหลายชั่วโมงภายหลังการลอบฆ่านี้, Anthem ก็ได้เพิกถอนข้อเสนอนี้ออกไป., เขาได้เข้าใจถึงความโกราธของผู้คน. มันเข้าใจได้, มันคือหนทางที่คุณต้องเข้าใจมันได้ มเอคุณคุณคือสาเหตุของมัน. ผู้คนอเมริกันกำลังมีปฏิกิริยาต่อการถูกฉีกทึ้ง, เหมือนเช่นแรงงานทั้งหลายของโฟล์คสวาเกนในเยอรมนี, เหมือนเช่นผู้คนในฝรั่งเศสมีปฏิกิริยาต่อมาครง, เหมือนเช่นที่แรงงานร้านของชำทั้งหลายที่ในพอร์ตแลนด์, โอเรกอน. และเหมือนเช่นผู้คนเหล่านั้นในอเมริกากำลังเริ่มต้นที่จะเข้าใจถึงอะไรที่ทรัมป์และกำแพงภาษีสินค้านำเข้า คือเกี่ยวกับอะไรทั้งหมด. (So, they proposed to cut the anesthesia. You could have an image if you’re a comedian about being woke up in the middle of your surgery saying you’ve run out of anesthesia Jack, you want some more or you want to alive in pain. I mean beyond within hours after the assassination Anthem withdrew its proposal, it understands the Rage of the people. It understands it the way you understand it when you’re the cause of it. American people were reacting against being ripped off, just like the workers in Germany’s VW, just like the people in France reacting to Macron, just like the grocery workers in Portland, Oregon. And just like those in America beginning to understand what Trump and tariffs are all about.)

เย้, มันเกี่ยวกับการดิ้นรนต่อสู้ทางชนชั้น และมันกำลังจะมาถึงในวันข้างหน้า เพราะว่าความเป็นผู้นำเก่าๆแก่ของระบบทุนนิยมกำลังอยู่ในความยากลำบากและตกต่ำลึกลงไปเรื่อย ๆ. และเหล่านี้คืออาการของโรคทั้งหลายของกระบวนการนั่น. ขอบคุณสำความสนใจของพวกคุณ. ผมมองไปข้างหน้าที่จะได้มาพูดกับพวกคุณอีกครั้ง, สัปดาห์หน้า.(Yeah, it’s about class struggle and it’s coming to a head because the old leadership of the capitalist system is in ever deeper difficulty trouble and Decline. And of these are symptoms of that process. Thank you for your attention. I look forward to speaking with you again next week.)

 https://youtu.be/xKRksUKFjms?si=TwUKqxyrOVua9W_I