พระอาจารย์ชยสาโร - ไขปัญหาธรรม(2567/10/16)
https://youtu.be/ksMbPfBtUbU?si=oKSLk9oYfDWAapI1
ถาม(๑): เช้าวันนี้คุณครูได้นำสมาธิโดยใช้เทคนิคเคลื่อนไหวแบบหลวงพ่อคำเขียน
ศิษย์เคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านเล่าว่า การที่หลวงพ่อคำเขียนทำ กำหนดแบบนี้
เพราะท่านมีสมาธิมาก เพียงแค่ไม่กี่ขณะจิต ท่านก็สามารถเข้าฌาน 4 ได้ จึงต้องเพ่งอิริยาบถย่อยเพื่อชะลอสมาธิ
ให้เจริญปัญญาได้ จะได้มองคนส่วนใหญ่ที่ได้ฝึกเทคนิคนี้
อาจจะไม่ได้มีสมาธิมาก แล้วอย่างนี้เทคนิคนี้จะกลายเป็นอุปสรรคต่อการเจริญสมาธิหรือไม่เจ้าคะ?
ทำไงเราจะรู้ว่ากรรมฐานไหนถูกจริตเรา หรือใช้หลักใดพิจารณาให้ไม่หลง
หรือติดในเทคนิค เจ้าคะ?
ตอบ(๑): อ้า
เทคนิคของหลวงพ่อคำเขียนก็ อ่า หลวงพ่อเทียน หลวงพ่อคำเขียนก็ได้จากหลวงพ่อเทียน
แล้วหลวงพ่อเทียนและหลวงพ่อคำเขียนก็มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ที่ใช้เทคนิคนี้
น่าจะได้ผลบ้าง ไม่งั้นก็ไม่น่าได้สอน คือไม่ใช่ว่าเทคนิคสำหรับหลวงพ่อคำเขียนคนเดียว
อาจจะเป็นเหตุที่ท่านชอบก็ได้ แต่ว่าเป็นประโยชน์กับท่านนั้น ไม่ได้หมายความว่า
คนที่ไม่มีสมาธิแล้ว จะใช้ไม่ได้ ในเมื่อก็แล้วแต่ เคยมีพระฝรั่งรูปหนึ่ง อยู่ที่วัดนานาชาติได้สิบกว่าปี
ก็มีปัญหาติดขัดในสมาธิตลอด แล้วออกธุดงค์ก็ เข้าสำนักนี้ก็ปฏิบัติตาม...ตามสไตลิ์นี้
โอ นี้ถูกจริตท่านมาก แล้วท่านใช้ได้ตลอดไป มันก็สรุปว่า มันแล้วแต่คน
และในการปฏิบัติธรรม
๓ วัน ๗ วันก็เป็นโอกาสได้ทดลอง เทคนิควิธีต่างๆ เพื่อเราจะ อาจจะได้คลิก
อาจจะได้ถูกกับเทคนิคใดเทคนิคหนึ่ง แต่ที่พูไปแล้วเมื่อวานนี้ว่า ไม่ใช่ว่าถูกจริตจะง่าย
ถูกจริตไม่ต้องเจอปัญหา ถูกจริตจะไม่มีนิวรณ์ มันก็มีเหมือนกัน ฉะนั้นถูกจริตก็พอไปได้
ไม่ถึงกับติดขัด ที่ว่าถูกจริตนี้จะพูดยาก ไม่ถูกจริตง่ายกว่า
ถ้าไม่ถูกจริตนี่ทำไม่ได้เลย อาตมาเคยเล่าว่า อาตมามีอาการทางสมอง ที่สมัยนี้เค้าเรียกว่า
aphantasia 1 1 https://en.wikipedia.org/wiki/Aphantasia
เพิ่งมีชื่อเมื่อไม่กี่ปีมาเนี่ยะ
ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ก็จะตื่นเต้นเรื่องนี้มาก แต่อาการนี้คนเป็นก็ไม่ใช่น้อยนะ
ประมาณ ๑ ใน ๑๐๐ คน ซึ่งไม่มี...ไม่สามารถทำมีภาพในสมอง ไม่มีภาพเลย ศูนย์เลย
ทีนี้ตอนอายุสิบแปดปี เดินทางไปที่สำนักของดาไลลามาที่อินเดีย
แล้วก็ได้ศึกษาการปฏิบัติสายทิเบตในระดับหนึ่ง ท้อใจเลย เพราะว่าท่านสอนให้เราต้องนึกภาพ
อ่า นึกภาพพระโพธิสัตว์ นึกภาพดอกบัวมีกลีบกี่ตัว มีสีนั้นสีนี้ มีอักษรอยู่กลาง มันเป็น...เป็นไปไม่ได้
ก็รู้ว่าไงๆ ขยันหมั่นเพียรขนาดไหนก็ไม่มีทาง เพราะว่าสมองไม่ให้ ว่าไม่สามารถนึกภาพในสมองได้
เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องไม่ถูกจริตนี่จะง่ายกว่า แต่ถูกจริตก็อย่างเพิ่งด่วนสรุปว่าทำยาก
ไม่น่าถูฏจริต เพราะเดี๋ยวก็จะ อยากลองไอ้นั้นอยากลองไอ้นี้เรื่อย ๆ มันก็จับจด
ถ้าเราได้เทคนิควิธีที่...ที่พอไปได้ ยากมั้ย? แต่พอสู้ได้ อันนี้แค่นี้ก็ดีแล้ว เอ้อ
นี่ก็โยงไปถึงเรื่องของ ทุกข์ของเด็กวัยรุ่นปัจจุบันนี้ ก็ถูกรับคำสอนว่า
จะต้องมีpassionอะไร ก็ต้องแสวงหาpassionของตัวเอง อ่ะนะ นั่นไปตามความคิดของตะวันตก อ่า
แล้วก็เด็กจำนวนมากก็ไม่มีpassion ที่ชัดเจน ก็กลัวว่าตัวเองผิดปกติ
หรือเปล่า? หรือเป็นยังไง? ซึ่งอาตมาต้องให้ข้อคิดบ่อยๆว่า ไอ้passionความรัก ความพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่เกิดก่อนที่เรียนสิ่งนั้น
มันมีบ้างแต่น้อย แต่ที่จะเกิดได้มากกว่าก็คือ เลือกเส้นทางที่พอไปได้ แต่เมื่อเราตั้งอกตั้งใจ
ทุ่มเทกับเรื่องนั้น เกิดความสามารถเกิดผลงานขึ้นมาบ้าง ไอ้passionมันเกิดทีหลัง ในความคิดผิดก็คือ passionต้องมาที่ก่อน จึงจะเป็นหลักในการตัดสินว่าจะทำอะไร
แต่ในหลายเรื่องเนี่ยะ ต้องทำงานก่อนจึงจะมีpassion.
ในการปฏิบัติก็เหมือนกัน เทคนิคบางอย่างมันไม่รู้สึกดึงดูดมาก
แต่พอเราทำไปทำมา เริ่มได้ผล เราเริ่มจะเห็นคุณค่ามันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม กิเลสมีมากมายก่ายกอง
ข้อหนึ่งนี้เรียกว่า สีลัพตปรามาส2คือ การลูบคลำ
การยึดมั่นถือมั่นในศีล และพรต หรือว่าพรตนี้จะมีรวมถึง เทคนิคการปฏิบัติ
ฉะนั้นเมื่อมีการยึดมั่นถือมั่น ถือมั่น
ว่า ต้องเป็นเทคนิคนี้เท่านั้น จึงจะบรรลุธรรม ต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น
คนอื่นเค้าผิดหมด นี้เท่านี้ อันนี้จะเป็น กลายเป็นกิเลส ที่ทำให้จะเข้าถึงอริยมรรค
อริยผล ไม่ได้ มันเข้าข่ายของสีลัพพตปรามาส.
ถาม(๒): กราบนมัสการพระอาจารย์เรียนถามเรื่องความกังวลใจในเรื่องลูก
จนบางทีมีอาการpanic อาจารย์มีวิธีการปรับตัวปรับใจ?
ตอบ(๒): ก็เป็นความกังวลก็เป็นอย่างนี้
เป็นกังวลเรื่องครอบครัวเรื่องคุณพ่อคุณแม่ เรื่องสามีภรรยา เรื่องลูกเรื่องหลาน มันก็เป็นเรื่องของความปรุงแต่งของจิต
ซึ่งก็ตรงกับที่อาตมาได้พูดหลายครั้งแล้วว่า เราต้องฝึกสติ ให้สติทันอารมณ์
ไม่งั้นไม่มีทาง ความวิตกกังวลเป็นกระแสความคิด และกระแสความคิดของต้องมีจุดเริ่มต้น
เป็นตัวtrigger ถ้าขาดสติ ตัวเริ่มต้นตัวtriggerก็เกิด แล้วจิตก็ตกร่อง และกระบวนการเกิดขึ้นอย่างแก้ได้ยาก วิธีก็คือมีสติ
มีการรู้เท่าทัน การเคลื่อนไหวอยู่ในกายในใจของเราตลอด
พอมีตัวคิดที่เป็นตัวร้ายตัวอันตราย ตัวที่จะชวนให้ตกร่องเกิดขึ้นน่ะ ก็รู้
รู้แล้วไม่ทำตาม ไม่ปล่อยตาม ไม่ลอยตาม มันก็เกิดขึ้นดับไป.
นี่คือวิธีที่จะระงับความวิตกกังวล
เป็นนิสัยหรือว่าความพร้อมที่จะวิตกกังวล มันจะไม่จบด้วยวิธีนี้วิธีเดียว
นี่ก็เป็นวิธีแห่งการบริหารอารมณ์ ในการที่ความวิตกกังวลเกิดขึ้น
หรือว่าจิตพร้อมที่จะวิตกกังวล ก็เพราะความคิดผิดบางอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องของปัญญา
ในเรื่องการที่เราไม่เห็นโทษของความคิดอย่างนี้ แล้วก็ไม่ให้คุณในการรับรู้
ยอมรับในความไม่แน่นอน ของสิ่งทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความไม่แน่นอนสักอย่าง
เพราะฉะนั้นในเมื่อ อ่า เราระลึกถึงสิ่งหรือบุคคลที่มีความหมาย และมีความสำคัญกับเรา
เราก็สามารถคิดเรื่องราวได้ แต่งเป็นเรื่องได้เลย เป็นละครน้ำเน่าได้เลย
แล้วเราก็ไม่สามารถจะพิสูจน์ว่า หรือมีเครื่องรับประกัน 100%ว่า
สิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้นแน่ ๆ ก็อาจจะมีโอกาสหนึ่งในร้อย หนึ่งในพัน อยู่เสมอ.
ทีนี้ในเรื่องการวางใจ ในการเห็นโทษ ของความกังวล
อาตมาต้องขออภัย ยกโยมแม่ของอาตมาเป็นเพื่อมาตำหนินิดหน่อย และท่านโยมแม่ของอาตมาเป็นคนวิตกกังวลมาก
เป็น อ่า เป็นแชมป์เลย แล้วผลที่เกิดขึ้นก็คือ มีปัญหาในครอบครัว
ใครหนักใจเรื่องอะไร ก็ไม่มีใครเคยคิดจะปรึกษาโยมแม่เลย อาตมานี่
ตอนนี้โยมแม่เสียชีวิตไปแล้ว แต่ในชีวิตอาตมา ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว ที่มีปัญหาชีวิตแล้วคิดจะปรึกษากับแม่
เพราะอะไร? เพราะรู้ว่าแม่ทำใจไม่ได้ ไม่เกิดผลดี.
ฉะนั้นถ้าเรารักลูก แล้วต้องการจะเป็นที่พึ่งของลูก
จะเป็นที่ปรึกษาของลูก กัลยาณมิตรของลูก โค้ช(coach)ของลูก
ถ้าลูกมองแล้ว เป็นคนวิตกกังวล คิดอะไรเกินเหตุ
มันก็จะเหมือนครอบครัวอาตมา ก็จะไม่อยาก ไม่อยากปรึกษาล่ะ
ฉะนั้นความวิตกกังวล แทนที่จะเป็นอาการของความรัก พิสูจน์ความรัก
หรือเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับแม่ ก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราทำหน้าที่ของแม่ได้น้อยลง
หรือแย่ลง อันนี้ อาตมาก็แค่ แค่จุดนี้ก็เป็นสิ่งที่จะช่วย
ช่วยให้เห็นโทษของมันได้ นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงผลกระทบสุขภาพกาย สุขภาพจิตของเราเอง
โดยไม่เกิดประโยชน์ มีมั้ย มีแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิตเรามั้ย? ที่เราคิดวิตกกังวลจนกระทั่งเกิดผลดีกับชีวิต0
อีกเทคนิคหนึ่ง
ที่ง่ายคือ เขียนบันทึกความกังวลแต่ละวัน ที่มีความกังวล อ่า บันทึกไว้ เวลาผ่านไปสักหกเดือน
ลองเปิดซิว่า แต่ละวันเราวิตกเรื่องอะไร หวังว่าจะขำตัวเอง ตลกแต่ตลกร้าย.
ถาม(๓): ในยุคที่สังคมเปลี่ยนไปมาก
ความใกล้ชิดแตะเนื้อต้องตัวกันของหญิงชาย กลายเป็นเรื่องธรรมดา ในความเข้าใจของนักเรียน
ในฐานะครูและพ่อแม่ เราควรพาเด็กๆคิดอย่างไรได้บ้าง
เพื่อที่จะทำให้เด็กๆเห็นความสำคัญของการเว้นระนยะทางกาย เจ้าคะ?
ตอบ(๓): พอๆ อ่า
พอกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงในสังคม มันจะดู 2 โมเดล(models) โมเดลตะวันออก
โมเดลตะวันตก โมเดลตะวันตกก็คือ มองเวลาเหมือนลูกศร มันไปทางเดียว
หรือว่าเป็นไปในทางเจริญ หมายถึงว่าวันนี้ก็ต้องไม่ยอมรับว่าไม่ใช่เมื่อวานนี้แล้ว
มันก็เป็นอยู่...ถึงสิ่งที่ต้องยอมรับ คือเวลาและความเปลี่ยนแปลงไปในเส้นทางเดียว
ส่วนในตะวันออกเราก็มองว่าเป็นวงกลม เป็นรอบ เป็นระลอก
ซึ่งเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง มันไม่ใช่ว่าไปทางเดียวกัน
ว่าอดีตก็เป็นระยะเวลา ตอนนี้เปลี่ยน เวลาสมัยใหม่ก็ต้องยอมรับ
มันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยอมรับกระแสๆหนึ่งในสังคม กระแสที่มีความแตะต้องตัวมากขึ้น
ก็มีกระแสที่เหมือนเดิมก็มี กระแสที่เข้มงวดก็มี มันไม่มีสังคมใดสังคมหนึ่ง ที่ทุกคนจะต้องปรับตาม
แต่บางทีในอนาคตอาจจะกลับเป็นเรื่อง รักษาระยะการห่างกันมากกว่านี้ก็ได้ ใครจะรู้ได้.
แต่ที่สำคัญก็คือ
เราดูสิ่งที่ไม่ขึ้นอยู่กับยุคสมัย ดูที่ความเหตุผล
ในการแตะต้องตัวและไม่แตะต้องตัว ซึ่งเราก็ต้องมีเหตุผล เสนอให้ลูก ทีนี้เรา
บางสิ่งบางอย่าง นี้พอเราตอนเด็กหรือว่าเราวัยรุ่น เราคิดว่า โอ๋ นี่คือสมัยใหม่
พอเวลาผ่านไป 20 ปี 30 ปี 40 ปี แล้วมันก็กลับเป็นกระบวนการที่มีเกิดมีดับ ในสังคม
แต่เวลาเราอยู่ท่ามกลางกระแส เราคิดว่านี่คือ โลกที่เป็นจริง ดังนั้นเรากลับมาหาหลักที่เรียกว่า
สิ่งที่เป็นที่พึ่งของเราได้ ในเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ได้ศึกษามา.
แต่ในเรื่องของสังคมทั่วไป
อาตมาก็คงไม่มีข้อมูลพอที่จะวิจารณ์ แต่ใน...พูดถึงในหลักในโรงเรียน เราก็แยก กาย
วาจาออกจากใจ อุปาทานว่าเกิดมีการชอบกัน รักใคร่กัน อะไรเป็นต้น
ก็ถือว่าเป็นเรื่องห้ามไม่ได้ เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ที่โรงเรียนก็ต้องมีกติกา
ที่เข้มงวด ก็เรื่องของกาย วาจา เรื่องความรู้สึก เป็นเรื่องส่วนตัว กาย
วาจาเป็นเรื่องสาธารณะ ฉะนั้นเราจึงเน้นในการรู้จัก กาลเทศะ ในโรงเรียน
ในการที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคน อยู่ในสังคม
และสิ่งที่เราทำก็มีผลกระทบต่อคนอื่น เป็นตัวอย่างกับคนอื่น
แล้วเราก็ต้องเคารพในวัฒนธรรมขององค์กร ในวัฒนธรรมของโรงเรียน.
ถ้าเรามาพูดในแง่ของวัฒนธรรม
อาตมาว่าก็ช่วยได้เยอะ อย่างเช่นในครอบบครัว เราก็มีวัฒนธรรมครอบครัว
ครอบครัวเราก็มีหลักอย่างนี้ เป็นที่ตกลงกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นถ้าอยู่ในครอบครัว
ในของเราอยู่ในบ้านของเรา เราก็มีข้อตกลงในเรื่องการปฏิบัติต่อกันและกัน
ถ้าหากว่าอยู่ที่อื่น หรือว่ามีที่จะปรับตัวตามนั้นในความเหมาะสม เราก็ไม่
เราก็คงควบคุมหรือบังคับไม่ได้ แต่ในกรณีของโรงเรียน โรงเรียนจะเป็นที่ศึกษา
ที่เรียนรู้ ฉะนั้นเราก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นที่หนึ่ง และความสมานสามัคคีของชุมชน
เป็นสิ่งที่เรามีส่วนร่วม ก็ต้องรับผิดชอบ.
แต่เรื่องอย่างอื่น
เรื่องการแฟชั่น ในการแต่งตัว ในการแตะต้องตัวนี่ก็เป็นสิ่งที่ค่อยๆคุยกัน แต่โดยปกตินี่
ถ้าผู้ใหญ่จะใช้อำนาจบังคับมาก เด็กก็ต่อต้าน ก็ยิ่งอยากทำกันใหญ่
ดังนั้นเราก็ต้องจะพูด มีเทคนิค ก็ต้องมีจิตวิทยาในการพูด ในการที่อาตมาก็ได้แนะนำ
บ่อยๆว่า เราก็อยากจะให้ลูกเข้าใจความเป็นห่วง หรือว่าความคิด มุมมอง ของแม่ โดยไม่ได้บอกว่าลูกจะต้องคิดเหมือนแม่
มองเหมือนแม่ทุกสิ่ง มีค่านิยมเหมือนแม่ แต่ลูกก็ต้องเข้าใจ ต้องการให้เข้าใจ
เข้าใจเหตุผล แต่เราก็อยากจะฟังเหตุผลของเขาด้วย แต่ในครอบครัว
ครอบครัวนี่ไม่ใช่ระบบคอมมิวนิสต์ที่ทุกคน มีอำนาจเท่าเทียมกัน มันไม่ใช่ประชาธิปไตย
ทุกเรื่องมันก็ต้องผ่านประชามติ พ่อแม่เป็นหัวหน้าครอบครัว
ฉะนั้นความตัดสินของพ่อแม่จะต้องมีน้ำหนัก ต้องเคารพ
อันนี้ก็คือความเข้าใจของครอบครัว แม้แต่เรื่องนี้ว่า ครอบครัวคืออะไร?
ความสัมพันธ์กันระหว่างสมาชิกครอบครัว มันควรจะเป็นในรูปแบบไหน?
ถ้าเราไม่คุยในเรื่องนี้
ไม่ทำให้ชัดเจน เนี่ยะ ความ อ่า กิเลสมันก็เข้ามาครอบงำโดยเราไม่รู้ตัว
อย่างเช่นพอสมัยนี้ พ่อแม่มีลูกน้อยลง จะมีแค่หนึ่งคนสองคน ซึ่งทำให้กลายในมิติความเป็นอยู่ในครอบครัวเปลี่ยนแปลงไปมาก
แล้วบางสิ่งบางอย่างจะครอบงำ ที่แต่ก่อนไม่ค่อยเป็นประเด็น อย่างพ่อแม่เกรงใจลูก กลัว
ต้องทำตามใจลูกเพราะกลัวลูกไม่รัก และอย่างนี้อาตมาว่าสมัยก่อนไม่มีเลย
เพราะลูกเยอะ ลูกคนนี้งอนไม่เป็นไร ก็ยังมี 4-5 คน
ในทุกวันนี้ทุกอย่างมันมามองที่คนๆเดียว แล้วความแคร์ความรู้สึกของลูกมาก
จนกระทั่งสิ่งที่ควรทำก็ไม่ทำ สิ่งที่ควรพูดก็ไม่พูด แล้วถึงแม้ว่าลูกก็ไม่ได้มีประสบการณ์มาก
แต่ก็มีsenseว่า อำนาจอยู่กับเขา พ่อแม่มอบอำนาจกับลูก อืม
ก็ไม่แปลกใจว่า เค้าจะใช้อำนาจในทางที่ไม่ค่อยถูกต้อง บ่อยๆ แต่เราก็ต้องคุยกัน
ในเรื่องครอบครัว คืออะไร? หน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละคนในครอบครัว
การเป็นผู้นำครอบครัว ซึ่งเราต้องหาคำเปรียบเทียบ.
อย่างที่อาตมาจะเปรียบเทียบเหมือน
ห้องผ่าตัด ก็มีคุณหมอ ในการตัดสินของคุณหมอ จะต้องมีน้ำหนัก
คุณหมอผ่าตัดไม่ต้องไปปรึกษา พยาบาลทุกๆขั้นตอน เพราะทำงานร่วมกัน
แต่หน้าที่ไม่เหมือนกัน หรือในการสู้รบ แม้ทัพก็จะเป็นผู้ตัดสิน
แม่ทัพก็ไม่ต้องไปปรึกษาทุกคนในกองทัพ ในความให้สิทธิเสมอกัน ทหารก็อีกอย่างหนึ่ง
แม่ทัพก็อย่างหนึ่ง ทำงานร่วมกัน แต่หน้าที่การงานไม่เหมือนกัน
อำนาจไม่เท่าเทียมกัน ฉะนั้นไอ้เรื่องความเท่าเทียมกันนั้น เราก็จะต้องฉลาด
ต้องทำการศึกษาว่ามันคืออะไร ไม่ใช่ว่า คำนี้ใช้ได้ในทุกกรณี ทุกเหตุการณ์.
ถาม(๔): กราบนมัสการพระอาจารย์ที่เคารพ
เด็กนักเรียนบางคนบางกลุ่มอาจจะยังนึกถึงแต่เรื่องตัวเอง
ทั้งเรื่องส่วนตัวและความสำเร็จในด้านวิชาการ ไม่ค่อยนึกถึงรุ่นพี่รุ่นน้องและครู
ช่วยเหลืองานส่วนรวมของโรงเรียน
เราจะช่วยพาเด็กๆให้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับผู้อื่น และสังคมส่วนรวมได้อย่างไร?
ตอบ(๔): ก็...มันก็อยู่ที่เราเป็นตัวอย่าง
เพราะว่าพ่อแม่เป็นแม่พิมพ์ ต้นฉบับของลูก ที่ต้องเรียนไว้ มันธรรมดาในยุคนี้ หนึ่งก็ช่วงร่างกายเปลี่ยนเข้าสู่วัยรุ่น
เด็กก็จะหมกหมุ่นอยู่กับตัวเองมากขึ้น ก็จะเป็นมีความวิตกกังวลเรื่องคุณ
ว่าสวยมั้ย? หล่อพอมั้ย? อ้วนมั้ย ผอมมั้ย? อะไรพวกนี้ ก็จะเป็นความวิตกกังวล
เรื่องธรรมดา ยิ่งในยุคsocial media
ซึ่งเป็นยุคที่ส่งเสริมความเป็น narcissist3(ความหลงตัวเอง) การที่ไปหลงตัวเองในหลายเรื่อง ก็อยู่ที่ว่าเรา
พาเด็กไปทำบุญ พาเด็กไปทำสาธารณประโยชน์ตั้งแต่เด็ก
ให้เค้ามีสัญญาที่ดีว่าการช่วยผู้อื่น ให้ความสุขกับเรา
เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความภาคภูมิใจ.
แต่ที่นี้
กลับมาเรื่องเดิมที่ต้องคุยอีกครั้งหนึ่ง เรื่องวิชาการ วิชาการคืออะไร?
วิชาการในการวิเคราะห์วิชาการก็มีนะ อะไรคือวิชาการ?
บางทีใช้คำนี้ก็ยังไม่ได้ทำความรู้ความเข้าใจในความหมายของวิชาการ
อย่างเช่นว่า วิชาการทางด้านจิตวิทยา ที่บอกว่าจิต
ที่เด็กนักเรียนมีสุขภาพจิตดี และก็จะเรียนได้ดีกว่าเด็กที่สุขภาพจิตไม่ดี
ฉะนั้นถ้าเราต้องการให้เลิศในวิชาการ ก็ต้องเลิศในเหตุปัจจัยของความสำเร็จในวิชาการ
ซึ่งเป็นเรื่องของสุขภาพจิตนั่นเอง ทีนี้ในเรื่องของวิชาการเอง อ่า
เสร็จแล้วอาตมาจำรายละเอียดไม่ได้นะ มีการ อ่า เป็นบทความเรื่องเกี่ยวกับ Ivy
Leagues ในอเมริกานี่ ฮาวาร์ด พรินซตันส์ เยล อะไรพวกนี้ ว่า
หลักในการรับนิสิตเข้ามาเรียน ที่จริงมันจะมีส่วนหนึ่งที่ไม่ต้องเก่งก็ได้
เพราะว่าถ้ามีสตางค์ เพราะว่าฮาวาร์ด เยล ก็ต้องมีโควตาให้คนรวย
ซึ่งลูกคนรวยพ่อแม่เคยบริจาคเงินไว้ กับฮาวาร์ด กับเยล เยอะแยะ
แล้วมีชื่อเสียงในสังคม มันก็มีสิทธิเข้าได้อยู่แล้ว
ซึ่งก็ไม่ใช่ระบบที่สะอาดเท่าไหร่ แต่ยังไงก็ตาม ในการรับเด็กทั่วไป
บอกว่าเด็กที่สอบโดยเฉลี่ยได้ 4.0 แล้วก็SAT อ้า จำไม่ได้ 90% เด็กที่มีวิชาการอย่างนี้ สมัครฮาวาร์ดถูกปฏิเสธ 90
กว่าเปอร์เซ็นต์ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์นะ แล้วก็เป็นที่รู้ว่าไอ้เด็กที่เตรียมเข้าออกฟอร์ด
เคมบริดจ์ เยล ฮาวาร์ด สิ่งที่ต้องการก็คือCVด้วยกัน
ทำสาธารณประโยชน์ และมีความสนใจกว้างขวาง ไม่ว่าในเรื่องกีฬาในเรื่องสังคม
คือเด็กที่เก่งแต่วิชาการ เค้าไม่ต้องการนะ เป็นโรงเรียนชั้นหนึ่งของโลกนะ.
เพราะฉะนั้นความเข้าใจว่า วิชาการนี่แหละ
อันนี้ก็เป็นความคิดโบราณนะ คนสมัยปัจจุบันไม่คิดอย่างนั้นอยู่แล้ว แล้วที่ เพราะฉะนั้น...ควรจะกลั่นกรอง
ควรจะทำการบ้าน เรื่องวิชาการคืออะไร? ความสำคัญของวิชาการกับความเจริญในอาชีพของคนสมัยนี้
ไม่ต้องเชื่ออาตมา ก็ไปเปิดดูgoogle พวกบทความของสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง
นักวิชาการระดับโลก วิเคราะห์เรื่องนี้เป็นประจำ ลองอ่านดูจะได้เปลี่ยนทัศนคติ
และทัศนคติของลูกด้วย ถ้าว่าลูกมีความเข้าใจในวิชากรที่คับแคบ
เป็น...บทบาทความสำคัญของวิชาการในอดีต ที่ในโลกที่ลูกจะไปอยู่อาศัย
เพราะอันหนึ่งที่เราพูดบ่อย ๆก็คือ ในเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ใน...ในแนวทางที่เราไม่สามารถคาดกันได้
อาชีพทั้งหลายไม่มั่นคงเหมือนแต่ก่อน แล้วเราเคยว่าอาชีพนี้ๆแน่นอน
ที่นี้ไม่แน่นอนละ อาชีพเก่าก็นับวันจะหายทุกวัน อาชีพใหม่เกิดขึ้นทุกวัน
เพราะฉะนั้นเป็นไปได้สูงละ โอกาสสูงมาก ว่าคนที่กำลังเรียนมัธยมศึกษาตอนนี้
อาจจะทำจะประกอบอาชีพด้วยอาชีพที่ยังไม่มี และยังไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นยังไง.
ฉะนั้นเมื่อโลกปัจจุบันเป็นในลักษณะนี้
สิ่งที่CEO สิ่งที่มหาวิทยาลัยต้องการ
คือสิ่งที่แต่ก่อนเรียกว่าsoft skill ต้องการcritical
thinking, creative thinking ความสามารถในการทำงานเป็นทีม ในflexibility
ความรักการเรียน อ่า ความมีอุดมการณ์ในการพัฒนาตัวเอง
ในการเรียนรู้ของใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้ซึ่งไม่มีตัวเลขกำกับ แต่ว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องการ.
อาตมายกตัวอย่างเรื่องการเปลี่ยนแปลงในอนาคตซึ่ง
ไม่ได้กล้าวถึงพวก AI อะไรพวกนี้ซึ่งเราก็คงรู้
หรือว่าในแง่ร้ายในเรื่องของ ความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
แต่ว่าเป็นเรื่องของผู้ปกครอง ครูบางท่านอาจจะมีความรู้มากกว่าอาตมา แต่ก็เป็นquantum
computing, computer quantum ซึ่งถ้าเอา...ทุกวันนี้เราก็มี super-computer ใช่มั้ย? อ่า
ที่เค้าใช้ในการพยากรณ์อากาศอะไร เป็นต้น ที่เค้ากำลังลงทุนกันมหาศาล ทำcomputerรุ่นใหม่ ที่เป็นquantum อ่า ถ้าจำถูกนี่ก็จะมีประสิทธิภาพ
สมรรถภาพมากกว่าsuper-computerที่เราใช้กันในทุกวันนี้ ล้านเท่า
ไม่ใช่สิบเท่ายี่สิบเท่า ล้านเท่า ซึ่งเรา...มันก็จะเป็นอีกโลกหนึ่ง
ที่เราจินตนาการไม่อยู่ ใช่มั้ย?
ฉะนั้นเราอยู่ในโลกที่อนิจจังสุดๆ
นั้นใน...มันจะมีคนในโลกปัจจุบันนี้ คนกลุ่มไหนที่จะได้เปรียบในการเข้าสู่ โลกอนิจจังสุดๆ
ก็พวกเรานั่นแหละ พวกเราที่สนใจศึกษาในเรื่องความไม่เที่ยง ความไม่แน่ไม่นอน
ก็อยากให้เรามีฉันทะ การเข้าใจในเรื่องว่าการศึกษาคืออะไร?
วิชาการคืออะไร? วิชาการเพื่ออะไร? บทบาทของวิชาการสมัยนี้ วิชาการมีขอบเขตแค่ไหน?
เป็นเรื่องที่เราด่วนสรุปมากเกินไป คิดว่ารู้ แต่ไม่รู้จริง.
ถาม(๕): ในฐานะพ่อแม่
เราจะช่วยให้ลูกมีความเคารพตนเอง ไม่คอยเรียกร้องความสนใจ ยอดกดlikeจากผู้อื่น เช่น เพื่อน หรือในsocial media ได้อย่างไรครับ?
ตอบ(๕): อ่า...ก็...ก็เป็นที่ที่รู้กันว่าใน...ในวัยรุ่น
เด็กก็จะเปลี่ยนหลายอย่าง อย่างหนึ่งก็คือ การที่จะมอง พอเกิดใหม่ๆเล็ก
พ่อแม่เหมือนเป็นพระพรหม เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นพระเจ้า สร้างโลก ทุกอย่าง
แต่พออายุมากขึ้น ศรัทธา ศรัทธาในพ่อแม่ก็จะน้อยลงหน่อย แต่ที่จะเกิดทดแทนคือความสนใจ
และความcareความรู้สึกของคนรุ่นเดียวกัน ของเพื่อน
มันจะ...จะเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเรื่องนี้เราอาจจะมองที่social media หรือเรื่องอะไรที่เป็นตัว อ่า ที่ทำให้ธรรมชาตินี้กำเริบ
ถึงขั้นที่อันตราย คือเราดูจาก สถิติการฆ่าตัวตาย สถิติโรคจิต ต่างๆของวัยรุ่น พุ่งขึ้นมามาก
ในสิบกว่าปีที่ผ่านมา แต่ธรรมชาตินี่มันคงไม่หายเลยทีเดียว เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการของสมอง
วิวัฒนาการของชีวิต ของคน แต่ถ้าเราจะยอมรับในระดับหนึ่ง
เดียวกันก็ต้องยกเรื่องนี้มา มาคุยกัน มาสนทนาธรรมกันว่าไอ้ความเคารพนับถือตัวเอง
คืออย่างไร? มันเกิดอย่างไร? มีอะไรบ้างที่จะทำให้เพิ่มมากขึ้น?
มีอะไรบ้างมั้ยที่จะทำให้ลดน้อยลง?
คือเราต้องวิเคราะห์อย่างนี้
เช่นใน สมมติฐาน หรือว่าเป็นหลักของพุทธศาสนา ว่าความเคารพนับถือตัวเอง อ่า
ว่าจะเกิดขึ้นด้วยทานกับศีล 2 ข้อนี้สำคัญ เพราะฉะนั้น
จะอยู่ในอีสาน ในสมัยก่อน ในชนบท ชาวบ้านยากจนมาก ไม่มีอะไรเลย แต่ว่าเคารพนับถือตัวเองได้
ในฐานะเป็นผู้ใส่บาตรทุกวัน มีเป็นผู้มีส่วนร่วมในการบำรุงพระศาสนาที่ตนนับถือ
แล้วมีความภาคภูมิใจว่าเป็นผู้มีศีล ผู้ทรงศีล ฉะนั้นความสำนึกว่าเราเป็นคนให้
เรามีอะไรที่จะให้ แล้วเป็นผู้ที่ทำให้ เคยทำและทำ ทุกวันนี้ทำให้ผู้มีทุกข์
มีทุกข์น้อยลง ผู้ที่มีสุข มีสุขมากขึ้น อันนั้นก็จะแรง ความเคารพนับถือตัวเอง
การที่ผู้อยู่ท่ามกลางสิ่งที่ยั่วยุ กระตุ้นให้ผิดศีล แต่สามารถบริหารกายวาจา
ให้อยู่ในขอบเขตของศีลโดยสมัครใจ ไม่ใช่เพราะกลัว ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ
เพราะมีปัญญา นี่ก็คือแหล่งที่มาของความรู้สึกเคารพนับถือตัวเอง.
เราก็ต้องเล่าว่า
นี่ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนให้เห็นด้วยไม่เห็นด้วยอย่างไร? แล้วก็ฟัง ก็มีความคิด
ก็ได้สนทนากัน ก็เป็นความสนุกเหมือนกัน ธรรมสากัจฉา4 ทีนี้เราก็ยกให้เห็นว่า เรื่องของไอ้การกดlikeอะไรนี่
กับทำ
4https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%B8%C3%C3%C1%CA%D2%A1%D1%A8%A9%D2
ให้เราเสียความเป็นอิสระ ก็กลายเป็นว่าสิ่งไหนไม่รับความนิยม
ก็ไม่ทำ สิ่งใดที่รับนิยมก็ทำ อันนี้ก็ผิดกับหลักศีลแล้ว เพราะสิ่งที่รับความนิยม
มันจะเป็นสิ่งที่หวิหวา หรือสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความสนใจซึ่งสิ่งที่รู้ว่าจะได้ผลแน่นอน
ได้ผลเร็วที่สุด คือสิ่งที่กระตุ้นอารมณ์หยาบ พูดอะไรที่ทำให้คนโกรธ
เกิดอะไรที่ทำให้เกิดความรู้สึกทางเพศ รู้ได้เลยว่านี้ได้รับความนิยมทันที.
ฉะนั้นเรื่องความรุนแรง
เรื่องอขงsex เรื่องทางเพศน่ะ ถ้าต้องการแต่ความนิยม จากหมู่ชนทั่วไปน่ะ
เล่น ๒ ข้อนี้แล้ว รวยละ ได้เลย แต่ชีวิตเสีย แล้วในที่สุดก็ไม่มีอะไรอยู่ในตัวเรา
ที่จะเคารพนับถือได้ ฉะนั้นเราก็คุยเลยว่า นี่ก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้า
เห้นด้วยไม่เห็นด้วยอย่างไร? ทั้งหมดนี้พยายามจะพูดหลายๆครั้ง ใน ๒-๓ วันที่ผ่านมา
อยากจะชวนลูกคุย ชวนลูกพิจารณาร่วมกัน เป็นทีม ไม่ว่าเป็นผู้ปกครองและเป็นลูก
ถือว่าพวกเราจะมาวิเคราะห์เรื่องนี้ และได้ข้อคิดอย่างไร?
ถาม(๖): ลูกศิษย์ของความกรุณาพระอาจารย์ได้อธิบายเรื่องพรหมวิหาร ๔ ซึ่งหนังสือธรรมะส่วนใหญ่จะอธิบายว่า
เมตตา - ใช้ในสถานการณ์ทั่วไป กรุณา - ในเวลาที่ช่วยคนให้พ้นจากความทุกข์
มุทิตา - ยินดีเมื่อผู้อื่นประสบความสำเร็จ และอุเบกขา – ปล่อยวางเมื่อเค้าได้ทำเต็มที่แล้ว
ดังนั้นในขณะใดขณะหนึ่งก็เกิดพรหมวิหาร ๔ เพียงข้อเดียว
ไม่ได้เกิดพร้อมทั้ง 4 ข้อ ศิษย์เข้าใจถูกหรือเปล่าคะ?
ตอบ: อ่า ก็ถูก ก็เป็นโดยเฉพาะ ๓ ข้อแรกนี่จะเป็น ก็แล้วแต่กรณี ความ เอ่อ เราก็ต้องการให้สรรพสัตว์ทั้งหลายมีความสุขความเจริญ
นี้ก็เรียกว่าเป็นพื้นฐาน อันนี้จะเป็นbase
แต่ถ้าในบางกรณีที่เราเจอคนที่เป็นทุกข์ และก็จะเน้นทางความกรุณา
ก็ขอให้เขาพ้นจากความทุกข์นี้ เมื่อคนก็ได้ความสุขความเจริญ
ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เราก็อนุโมทนา แล้วก็เรา...เจริญมุทิตาจิต
ทั้ง ๓ ข้อนี้ ว่าก็แล้วแต่สถานการณ์ ก็จะมีข้อใดข้อหนึ่ง เป็นตัวเด่น แต่อุเบกขาจะต้องอยู่เบื้องหลังโดยตลอด
เป็น เอ่อ เป็นเครื่องรับประกันว่าเราจะไม่เป็นทุกข์ เพราะพรหมวิหาร ๓ ข้อแรก.
อย่างเช่นว่าเรา
เราต้องการจะช่วยเค้าพ้นทุกข์ เค้ามีทุกข์มาก ดื่มเหล้า ใช้ยาเสพติด หรือว่าเล่นการพนันอะไรสักอย่าง
เราก็สงสารเขา เข้าไปช่วย แต่เขาไม่ให้เราช่วย อย่ามายุ่งกับเรา เราก็ดีอยู่แล้ว
เค้าไม่เห็นบุญคุณของเราเลย และไม่เห็นเจตนาดีของเราเลย และเขากลับมาหาว่าเราไปยุ่งเรื่องส่วนตัวเขา
ทีนี้ถ้าเราไม่มีอุเบกขาก็อาจจะน้อยใจ เสียใจ แต่เมื่อเรามีอุเบกขา จิตใจก็เป็นกลางเพราะรับทราบว่า
คนเรามีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแต่ให้เกิด เป็นต้น
คือรู้ว่าตอนนี้ เขามีมิจฉาทิฏฐิ หลงกิเลสถึงขั้นที่ว่า
ไม่สามารถจะรับฟังข้อคิดที่ดีๆได้ ถึงแม้ว่าผู้ที่เข้าไป อ่า เข้าไปนี่มีเจตนาบริสุทธิ์
ไม่หวังสิ่งตอบแทน ดีหมด แต่ว่าเขายังไม่พร้อมที่จะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เราจะให้เขา
ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนก็ต้องพร้อม ฉะนั้นพอเมตตานี่มันเจอ...มันชนกำแพง
เราก็ไม่ต้องไปนั่งพิงกำแพงร้องไห้ เราก็ถอยมาอยู่กับอุเบกขา
เมื่อสิ่งเปลี่ยนแปลงไป มีโอกาสจะช่วย เราก็เข้าไปอีกที บางทีเค้าแต่ก่อนเค้าไม่ฟัง
ตอนนี้ก็ เค้าเจ็บไข้ได้ป่วย และหรือว่าเริ่มจะสำนึกเริ่มจะยอมรับ
ว่าสิ่งที่เค้าทำไม่ใช่ เราก็ไม่เบื่อหน่ายแล้วก็ไม่ทอดทิ้งเค้า อันนี้เรากลับมา
เข้าไปอีกครั้งหนึ่ง.
ดังนั้น
อุเบกขาเป็นที่พัก ระหว่างที่การเจริญเมตตา การช่วยคน
ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ.
ถาม(๗): เคยอ่านเจอว่าหลวงปู่ชาไม่รับปัจจัย คือเงิน พระอาจารย์รับปัจจัยเงินหรือไม่?
หากไม่รับจะใช้เงินจากที่ไหนในการชำระค่าน้ำค่าไฟ ที่ใช้ไฟในวัดค่ะ?
ตอบ(๗): ก็ไม่ใช่เฉพาะหลวงปู่ชาหรอก ที่จริงในการไม่รับเงินไม่รับทอง เป็นสิกขาบท
เป็นวินัยสงฆ์ที่สำคัญมาก และพระที่รับเงินรับทองนี้ พุทธองค์ก็ตำหนิอย่างแรง
เรียกว่าไม่ใช่สมณะแท้ ขนาดนั้น.
แต่ใน...ต้องยอมรับใน ๒,๕๐๐ ปี
ที่ผ่านมา ในการ...ที่จริงหลังจากพุทธองค์ปรินิพพานไม่นาน
ก็เริ่มมีพระต่อต้านเรื่องนี้ ถือว่าลำบาก สมัยพุทธกาลน่ะจะได้ ตอนนี้พระพุทธเจ้าไม่อยู่แล้ว
มันไม่เหมือนแต่ก่อน ก็มีเหตุผลทำนองนี้ตั้งแต่สมัยนั้น ในปัจจุบันนี้พระ อ่า
ที่ไม่รับเงินรับทอง ก็จะมีได้ไม่กี่สาย ส่วนมากก็จะเป็นพระสายอรัญวาสี
สายวัดป่าในอีสาน และในทางมหานิกายนี้จะเด่นอยู่ที่หลวงปู่ชา และลูกศิษย์หลวงปู่ชา.
สมัยก่อนนี้หลวงปู่ชา
ท่าน...ท่านเคร่งเรื่องนี้จนกระทั่ง เกิดมีเรื่องลูกศิษย์ไม่พอใจท่านก็มี คือในสมัยที่อาตมามาใหม่ๆนั้น
จะมีสมุดบริจาค ใครมาก็เขียนชื่อในสมุดบริจาค จำนวนเงิน แล้วก็แทรกเงินอยู่ในสมุด
ถ้าเป็นสันเสาร์วันอาทิตย์เนี่ยะ มันมีเงินเป็นพันหลาย...สมัยก่อนนี้พันก็เยอะนะ
หลายพันบาท แล้วไม่มีการดูแล ท่านก็ถือว่า พระไม่ยุ่ง พระไม่สนใจ แล้วก็มีการ...การถามถึงว่า
แล้วทุกวันนี้นี่ ที่โยมเค้าเข้ามาทำบุญแล้วก็เห็นเงิน เค้าก็อดไม่ได้
เค้าก็หยิบไปขโมยไป หลวงพ่อก็จะบอกว่า กรรมของใครของมัน กรรมของเค้า
ไม่ใช่เรื่องของเรา คือเป็นเรื่องที่ท่าน
เข้มงวดจนบางทีลูกศิษย์ก็รู้สึกว่ามัน...มันเกินพอดี.
แล้วที่อาตมาเห็นสงฆ์แตกแยกครั้งแรก
ในวัดป่าพง ก็เรื่องบริจาค ว่าจะอนุญาตให้มีตู้บริจาคอยู่ในวัดมั้ย?
อันนี้ก็หลังจากหลวงปู่ชาท่านอัมพาตแล้ว ท่านไม่พูดแล้ว ก็มีพระรุ่นเก่านี่บอก เป็นไปไม่ได้
หลวงปู่ชาไม่เคยพาทำ มันเสียนะ
ถ้าตู้บริจาคนี้มันเหมือนในวัดบ้านเหมือนวัดทั่วๆไป ไม่เอา แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็บอก
เราต้องเคารพในทาน ถ้าโยมเค้าทำบุญ เงินทองที่เค้าถวาย เค้าหาได้ด้วยความยากลำบาก
ถ้าเราไม่ดูแลสิ่งที่เค้าทำบุญ ปล่อยให้คนขโมยไป ปล่อยให้มันหายไป
มันเหมือนไม่เคารพในบุญของโยม ก็เถียงกันไปเถียงกันมา
สุดท้ายก็ตกลงกัน จะมีตู้บริจาค แต่นสมัยอย่างอาตมาก็ทำที่วัดนานาชาติ เข้าไปทุกคนก็ยังงงว่า
ตู้บริจาคอยู่ที่ไหน เพราะว่าจะซ่อนไว้ คือ ต้องตั้งใจจริงๆถึงจะ...(หัวเราะ)
มันก็เป็นการแสดงท่าทีว่า พระเราไม่สนใจเงินของโยมหรอก อะไรอย่างเนี๊ยะ
นี่ก็เป็นวัฒนธรรมของเรา.
ทีนี้ ใน...ในการที่วัดจะอยู่ได้โดยไม่รับเงิน
ก็ต้องมีระบบ ฉันก็บอกว่านี้มีจารึกไว้บันทึกไว้ในพระวินัย อย่างเช่นจะต้องมี อ่า ไวยาวัจกร5 ก็เป็นโยมผู้ดูแลปัจจัยของสงฆ์
แล้วถ้าในวัดของเรา ในวัดนานาชาติก็มีไวยาวัจกร มีกรรมการ ไวยาวัจกรก็มาวัดทุก ๓ วันเปิดตู้บริจาคนับเงิน
ก็มีพยาน แล้วอาตมาก็...หรือว่าผู้เป็นเจ้าอาวาสก็นั่งเป็นพยานอีกคน
แล้วก็ฉันเสร็จ เค้าก็จะเอาเงินสดนั้นเข้าธนาคาร สำหรับค่าใช้จ่ายในวัด ถ้าเป็น
อ่า มี..
5 https://youtu.be/ANtntuDslnk?si=te28vaNvS3ydmVQb
สมมติว่า จะมีโครงการอะไรแล้ว
อาตมาในฐานะเป็นเจ้าอาวาสก็ วันที่ไวยาวัจกรมาวัด เราก็จะบอกว่าตอนนี้
วัดต้องการทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ไวยาวัจกรก็จะเป็นผู้รับเรื่องไปแล้วก็จัดการ ส่วนความ
อ่า ปัจจัย ๔ หรือว่าสิ่งต่างๆที่พระสงฆ์ต้องใช้ ก็จะมีคลังสงฆ์
ทุกครั้งที่โยมทำบุญในวัด ไม่มีใครรับซอง ไม่มีเงินส่วนตัว ทุกอย่างเข้าในของกลาง
อ่า สิ่งของที่ญาติโยมถวายก็ไม่มีการเก็บเป็นการส่วนตัว ทุกอย่างก็เข้าในคลังสงฆ์
แล้วว่าวันไหนเราขาด สมมติว่า ขาดเทียนขาดสบู่อะไรเนี่ยะ เราก็มีสมุดอยู่หลังศาลา
แล้วก็เขียนว่า สบู่ ๑ ก้อน แล้วพระที่เป็นหเจ้าหน้าที่คือหลังฉัน ก็จะดูสมุดนี้
อ๋อ ท่านชยสาโรต้องการสบู่ ท่านตุลต้องการ อ่า นั้นต้องการนี้
ท่านก็จะรับมาแล้ววางไว้ในถาดอยู่ แล้วของเราว่างเมื่อไหร่ก็จะไปที่นั่นแล้วก็ไปหยิบของเราไป.
ก็เป็นระบบ แต่ถ้าเมื่อไม่มีระบบอย่างนี้ในวัด
คือพระต่างองค์ต่างดูแลตัวเอง ท่านก็จะอาเป็นข้ออ้าง เพราะฉะนั้นเมื่อวัดไม่จัดให้
วัดไม่มีคลังสงฆ์ เราก็ต้องมีปัจจัยส่วนตัว อันนี้ก็จะเป็นข้อเหตุผล ข้ออ้าง อ่า
สำหรับอาตมาในปัจจุบัน การที่แยกออกมาจากวัด นั้นก็มีบัญชีธนาคาร
แต่ไม่ใช่ในชื่อของอาตมา เรียกว่าเป็นปัจจัยสงฆ์ อ่า
ซึ่งมีคุณจุ๋งกับอ้อนเป็นผู้บริหาร ทีนี้ในเรื่องนี้มันสำคัญที่ ความคิดของพระ
คือเมื่อมีใครบริจาคเงิน บริจาคปัจจัย อยู่ใน เข้าไปอยู่ในบัญชี
สมมติว่าวันนี้มีคนมีศรัทธาโอนเงินเข้าบัญชี ๕๐๐ บาท สมมติถ้าอาตมาคิดว่าเป็นเงินของอาตมา
เค้าถวายอาตมาเป็นเงินของอาตมา เรียกว่าเป็นบาปแล้ว ผิดแล้ว สิ่งที่เราต้องคิดก็คือ
ตอนนี้ นาย ก. ก็ได้ฝากเงิน ๕๐๐ บาท กับบัญชีที่ไวยาวัจกรของเรา 2 คนดูแล
ถ้าอาตมามีความจำเป็น หรือมี อาตมาก็ติดต่อถาม ให้ จุ๋งกับอ้อนว่า ขาดเหลือเรื่องอย่างนี้เรื่องอย่างนี้
แต่ว่าอาตมาไม่มีสิทธิบังคับ แล้วเค้าก็ไม่มีสิทธิต้องทำตาม ถ้าหากว่าโยมเค้าไม่เห็นด้วย
เค้าว่าอันนี้ไม่เหมาะสม อาจารย์ไม่ควร เราไม่อนุมัติ อืม เค้ามีสิทธิเหมือนกัน เพราะว่าไม่ใช่เงินของอาตมา
ถ้าอาตมาว่า ครูอ้อนจัดการเดี๋ยวนี้ นี่อาตมาได้บาปตกลงนรกแหละ
เพราะว่าไม่ใช่ ยังไง อ่า เป็นเงินในบัญชี จะเป็นเงินที่โยมฝากไว้ในบัญชี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของสงฆ์
และอาตมาเป็นตัวแทนของสงฆ์ แจ้งความประสงค์กับไวยาวัจกร.
แต่ทีนี้ในพระวินัยก็ยังมีกระบวนการว่า
ถ้าสมมติว่า โยมเค้าฝากปัจจัยไว้พันบาท ก็อยากให้ซื้ออะไรสักอย่าง อ่า
คืออยากจะทำบุญอะไรสักอย่าง บอกวัดว่าไม่สามารถไปได้เอง ก็แจ้งมาว่าจะโอนปัจจัยเข้ามาในบัญชี
อย่างเนี๊ยะ แล้วอาตมาก็บอกครูอ้อน ครูอ้อน นาย ก.ฝากเงิน ๕๐๐ บาท อยากให้ซื้อนั้นซื้อนี้
ก็ให้ทราบความประสงค์ของเจ้าภาพ แต่ครูอ้อนว่า ไม่ว่างเจ้าค่ะ ไม่สะดวกพรุ่งนี้
พรุ่งนี้ก็ ขอโทษ ครูอ้อน ไอ้ที่ นาย ก.นี่เค้าได้รึยัง? ก็ยังไม่ว่างเจ้าค่ะ อันนี้
ถ้าเวลาผ่านไปชักสงสัย ครูอ้อนจะมีอะไรรึเปล่า? ถ้าดูเหมือนว่า ยังๆก็ไม่อนุมัติ
พระก็ต้องมีหน้าที่แจ้งให้ นาย ก.ทราบว่า ไอ้เงินที่ฝากไว้ในบัญชีน่ะ
ไวยาวัจกรไม่ทำตามในความต้องการ ความประสงค์ของเจ้าภาพแล้ว เราก็ทำได้แค่นี้
เพราะเป็นเรื่องระหว่างเจ้าภาพกับไวยาวัจกร ไม่ใช่เรื่องของ...ไม่ใช่ของของอาตมา
ใช่มั้ย? นี้ก็คือความละเอียดในพระวินัย ที่ทุกวันนี้ พระที่ทำตามนี้จะน้อย แต่นี่ก็คือตามที่เราได้รัยบการอบรมมา
ได้รับการฝึกมา.
เรื่องนี้ก็...เรื่องวินัยก็เป็นเรื่องยาวเหมือนกันนะเนี่ยะ.
ถาม(๘): อ่า เมื่อเสียชีวิตแล้ว
จะไปเกิดทันทีมั้ยคะ? คุณแม่เสียแล้ว อยากทราบว่า แม่คงไม่ห่วงอะไรแล้ว จริงมั้ยคะ?
ตอบ(๘): เรื่องนี้จะตอบยากนิดหน่อย
ตรงที่ว่า ยังไม่ตายน่ะ...ไม่ใช่ อ่า ไม่ใช่ คือ อ่า คือพุทธศาสนา เดี๋ยวจะต้อง
จออภัย วาดภาพรวมก่อน คำสอนพระพุทธเจ้าเดิม ก็มีพระธรรมคำสอน และพระวินัย
แล้วเราอาจจะจำได้ว่า เมื่อพระพุทธองค์จะปรินิพพาน มีการขอให้พุทธองค์
จัดพระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นธรรมทายาท บอก ไม่เอา ไม่ตั้งหรอก เอาพระธรรมวินัย
เป็นศาสดาต่อ ดังนั้นก็มีพระธรรมกับพระวินัย.
ทีนี้ตั้งแต่พุทธองค์ยังไม่ปรินิพพาน
ผู้เป็นปัญญาชนนี่ ผู้ที่อยาก อย่างเราก็เจอกันว่า หัวหน้านี่ก็มีพระสารีบุตร
ก็กำลังวางแผนสำหรับอนาคต ว่าคำสอนพระพุทธเจ้าที่เป็นพระธรรม ไม่เป็นระบบ
คือเรารวบรวมที่ วันหนึ่งพระพุทธองค์ก็จาริกไป เมืองนึง ก็ไปเจอปริพาชกก็โปรดอย่างนั้น
หรือว่ามีชาวบ้านมากราบ ท่านก็สอน คือไม่เป็นระบบเลย แล้วถ้าจะถ่ายทอดสำหรับประโยชน์ของอนุชนรุ่นหลัง
ก็น่าจะรวบรวมจัดสรร ให้มันเป็นระบบ เพื่อจะได้มั่นใจว่า พระธรรมจะอยู่ในโลกได้นาน
นั้นก็เริ่มมีพระเก่งๆมาฟัง มาพยายามจับหลัก จากโน้นจากนี้ ให้ธรรมะเป็นระบบขึ้นมา
อันนี้ก็เป็นที่มาของสิ่งที่เรียกว่าพระอภิธรรม.
ทีนี้เนื่องจากว่า
พระสงฆ์มีกระจัดกระจาย เป็นกลุ่มๆ หลังจากพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว พุทธศาสนาก็มี อ่า
แบ่งออกเป็น นิกายต่างๆ และนิกายต่างๆนี้ แต่ละนิกายมักจพะมีอภิธรรมของพระอภิธรรมของท่านเอง
ฉะนั้นพระธรรม พระวินัย จะดูพระธรรม คำสอนที่เป็นภาษาบาลี
ภาษาสันสกฤต ภาษาจีน ที่แปลภาษานั้นภาษานี้ เปรียบเทียบกันแล้ว อ่า
ก็มีความแตกต่างเฉพาะข้อปลีกย่อย มันตรงกัน 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ พระวินัยก็หมือนกัน
แต่พระอภิธรรม มันจะมีแตกต่างกันมาก ซึ่งจะเห็นว่า ก็สรุปด้วยเหตุผลว่า
น่าจะเป็นผลของกลุ่มพระสงฆ์ จะเป็นพระอริยเจ้าเราก็ไม่ทราบ ตามที่อยู่คนละกลุ่มกัน
คนละนิกายกัน แล้วทำเป็นระบบที่ไม่ตรงกัน ทีนี้ที่อธิบายอย่างนี้
นี่ไม่ใช่เป็นการอธิบายที่จะเจอในหนังสือส่วนใหญ่ จะมีเรื่องพระพุทธเจ้าไปโปรดพระมารดา
ไปสอนอภิธรรมบนโลกสวรรค์อะไร แต่อาตมาก็จะ...เอ่อ จะว่ายังล่ะ...ชอบการอธิบายของตัวเองมากกว่า
ก็จะมีหลักวิชาการสนับสนุนมากกว่า.
อย่างไรก็ตาม
หรือว่าเหตุผลที่เล่าทั้งหมดเรื่องนี้ เพราะเรื่องหนึ่งที่พระอภิธรรม ในแต่ละนิกายไม่ตรงกัน
ก็คือ คำถามนี้ว่า ตายแล้วเกิดทันทีมั้ย? แต่เอกลักษณ์ของอภิธรรม ของเถรวาท
ซึ่งอภิธรรมของพุทธนิกายอื่นไม่เห็นด้วย ก็คือ ตายแล้วเกิดทันที
ทั้ง ๆที่ผู้ที่อยู่ในโลกเถรวาท บางทีก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่
แต่ในตามหลักวิชาการในเถรวาท ถ้าตอบตรง ถ้าเป็นพระพม่า พระศรีลังกา
ก็ต้องตอบ ไม่ต้องสงสัยว่า เกิดทันที.
ทีนี้ทางสายกลาง ที่เราอาจจะพูดแบบ บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ก็คือ ความหมายของการเกิด
สมมติว่าเป็นสัมภเวสี หรือว่าสิ่ง...ผู้ที่ยังไม่เกิด เรียกว่าตายจากชาตินี้
ก็ยังไม่เกิด อันนี้ก็เป็นการยอมรับว่า มันมีช่องว่าง ระกหว่างการเกิด
และการตายในชาตินี้ ในการเกิดในชาติหน้า แต่ถ้าเราถือว่า
ไอ้การ...การที่อยู่ระหว่าง 2 ชาตินั้น ก็เป็นการเกิดเหมือนกัน มันก็เกิดเป็นอยู่อยู่ระหว่าง
มันก็เลยกลับมาเป็นเรื่องของภาษา ซึงเราก็เอาเป็นภาษาได้ว่า เกิดทันที
ก็เกิดเป็นสิ่งที่ชาวบ้านเค้าเรียกว่าเป็นผี เป็นอะไรล่ะ...ชั่วคราว
แล้วจึงได้เกิดเป็นมนุษย์ หรือขึ้นสวรรค์เป็นต้น.
เนี่ยะ
มันจะละเอียดอย่างนี้ เกิดทันทีมั้ย? จบตามพระอภิธรรมในเถรวาท
เราเป็นพระเถรวาทก็ควรจะบอกว่า ทันที แต่อาตมาก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับพระอภิธรรมเถรวาทในเรื่องนี้
เรื่องอื่นก็มีเห็นด้วยมั่ง ไม่เห็นด้วยมั่ง แต่เรื่องนี้ไม่เห็นด้วย ก็คิดว่ายังมีอันตรภพ
คือผู้ที่อยู่ในอันตรภพ อยู่ในระหว่าง อย่างไรก็ตาม
ไอ้ผู้ที่จะเกิดทันทีก็มี อันที่จะมีอันตรภพ
มีช่วงหนึ่งที่ยังไม่...หรือว่าเป็นผีเป็นวิญญาณอะไร ซึ่งอยู่ในระหว่าง
ก็ไม่ใช่ว่าเป็นอย่างนี้ทุกคน
จะเป็นผู้ที่ตายไปงงๆ หรือเรียกว่าตายโหงอย่างนี้ ตายในรถชน เครื่องบินตกอะไร
ที่ผู้ที่ตายไม่รู้ตัวว่าตาย อันนี้อาจจะเป็นในลักษณะนี้มากที่สุด แต่ถ้าผู้ที่เสียชีวิต
อย่างสงบ โดยมีครอบครัวห้อมล้อมอะไรต่างๆ ก็มักจะเกิดทันทีมากกว่า.
อ่า
ฉะนั้นส่วนมากส่วนใหญ่เกิดทันที แล้วสิ่งที่เป็นเสบียงหรือว่าเป็นปัจจัย
ที่จะตัดสินว่าไปเกิดที่ไหน ก็คือบุญกุศล ที่ได้ทำไว้
ฉะนั้นถ้าคุณแม่ทำบุญทำกุศลได้ดี เป็นคนดีเป็นคนซื่อสัตย์ เช่นนี้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก
เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้สูญหายไป สูญหายไปก็คือธาตุดินน้ำไฟลม หรือว่ามันกลับคืนสู่ธรรมชาติ
แต่สิงที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ มันไม่ตายพร้อมกับร่างกาย
มันก็ติดตัวผู้ที่จากโลกนี้ไป แล้วก็จะเป็นปัจจัย ที่กำหนดว่า ไปเกิดที่ไหน?
ฉะนั้นถ้าคุณแม่เป็นคนดี ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ท่านก็แล้วแต่ท่านก็ไม่เป็นห่วงเรา แต่อย่างไรก็ตาม ก็ถือว่าเป็นวันสำคัญ อ่า
แล้วทุกครั้งเราใส่บาตร เราก็อุทิศส่วนกุศล ให้คุณแม่ว่าเป็นการระลึกถึง
คุณแม่อยู่ในตัว แล้วก็คุณพ่ออยู่ในตัว แล้วก็วันสำคัญอย่างเช่น วันครบวันเกิด
หรือว่าวันครบวันเสียชีวิตคุณแม่ เราก็ให้มีการทำบุญครอบครัว ให้มารวมกัน
ทำคุณงามความดี ระลึกถึงท่าน ที่ว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพุทธที่ดีงาม.
วันนี้ก็จบพอสมควรละ.
หันนะมะยัง นะมะกะถา สาธุการัง
กะโรมาเส สาธุ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น