พระอาจารย์ชยสาโร – ภาวะไม่คิด(2552-01-26)
https://youtu.be/50MiLhYwOlY?si=DFi6miAAOaNgb18c
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง
ธัมมัง สังฆัง อะนุตตะรัง คุณุตตะรัง อุปัชฌาย์ยัง นะมัสสามิ.
เมื่อวานนี้พูดถึงเรื่องความรู้สึก วันนี้ต่อด้วยความนึกคิด
คิดหัวข้อความนึกคิด.
อาตมาอยู่ในกลุ่มคนที่ใช้ภาษาไทย ผิดบ่อยๆ โดยใช้คำว่า
“รู้สึก”กับคำว่า “ว่า” อย่างเช่น “รู้สึกว่าอย่างนั้นอย่างนี้” คำว่า“รู้สึก”กับคำว่า“ว่า”นี้
ไม่ควรจะอยู่ด้วยกัน อย่างเช่น รู้สึกว่ามันไม่ดี มันไม่ใช่ คิดว่ามันไม่ดี
เราหมายถึงความคิด แต่เราเรียกความคิดว่าเป็นความรู้สึก แต่ไหงเราได้รู้ความรู้สึกคือความรู้สึก
เราไม่ได้รู้สึกว่า แต่ต้องคิดว่า คือว่า มองว่า นึกว่า
คิดว่า อะไรพวกนี้ รู้สึกว่า ไม่มี คิดถึงภาษา ว่าตัวเอง ไม่ได้ว่าใคร.
แต่ความรู้สึกกับความนึกคิด อาจจะไปด้วยกัน
มันจึงมีคำว่า ความรู้สึกนึกคิด เรามักจะคิดในสิ่งที่เรารู้สึก
ไม่รู้สึกก็ไม่ค่อยคิด มันมีความรู้สึกสุขสบาย เราก็จะสำคัญมั่นหมาย ในความรู้สึกนั้น
เราก็จะคิดต่อไป ว่าเป็นการปรุงแต่งจากความรู้สึก การที่เราสนใจ
ศึกษา เรื่องความคิด ก็เพื่อจะได้รู้เท่าทันความคิด และเราจะรู้เท่าทันความคิด
ได้อย่างสมบูรณ์ บริบูรณ์ ในเมื่อเราได้สัมผัสภาวะที่ไม่คิด.
เคยพูดบ่อยๆว่า เราจะเข้าใจความหมายของคำว่า กิเลส
เครื่องเศร้าหมองแห่งใจ ในเมื่อเราได้สัมผัสความไม่เศร้าหมองของใจ เป็นเครื่องเปรียบเทียบ
เป็นเครื่องวัด นี้ถ้าผู้คิดเป็น คิดมีเหตุมีผล แต่ยังไม่รู้จักภาวะไม่คิด ไม่ต้องคิด
ก็ไม่น่าจะถือว่าเป็นนักคิด หรือไปเรียกว่านักปราชญ์ ถ้าคิดไม่หยุดแล้ว
ก็ปราชญ์ไปปราชญ์มา ไม่ได้หยุดซะที ไม่ใช่นักปราชญ์ในความหมายของพุทธศาสนา ฉะนั้นการฝึกให้หยุดคิดได้
เรียกว่าคิดเฉพาะเวลาที่สมควรจะคิด นี่ก็เป็นอานิสงส์อย่างหนึ่งที่เราต้องการจากการปฏิบัติ
ไม่ใช่ว่ารังเกียจความคิด หรือถือว่าความคิดเป็นศัตรู หรือต้องการจะอยู่แบบไม่ต้องคิดอะไรเลย
คนที่ไม่ภาวนาจะเข้าใจผิดอย่างนั้นว่า เดี๋ยวภาวนาจะคิดอะไรไม่ออก จะซื่อ เฉยๆ อย่างนี้ก็คือนักภาวนา.
แต่ทุกวันนี้เราคิดไม่ค่อยจะถูกกาลเทศะ
และความคิดไม่อยู่ในโอวาท คิดเรื่อยเปื่อย คิดฟุ้งซ่าน คิดในทางที่สร้างความทุกข์ให้กับชีวิต
มากกว่าจะคิดในทางสร้างสรรค์ เพื่อการแก้ปัญหา และเพื่อสร้างความสุขประโยชน์ ฉะนั้นเรื่องความคิด
ก็ทำให้นึกถึงสำนวนฝรั่งว่า “it’s a good servant but a bad master.” ใช่มั้ย good servant, bad master หรือว่า ความคิดถ้าจะเป็นสิ่งรับใช้
ดี, แต่ส่วนมากเราให้เป็นเจ้าของ คือลืมตัว ฉะนั้นการภาวนาเพื่อจัดระเบียบในความคิด
ให้ความคิดเป็นตัวรับใช้ ไม่ใช่เจ้านาย ทุกวันนี้เราไม่ได้ใช้ความคิด ความคิดมันใช้เรา.
คนเป็นโรคประสาทเพราะอะไร? เพราะคิดไม่หยุด
คนเป็นโรคซึมเศร้าเพราะอะไร? เพราะคิดตกร่อง คิดผิด คิดเรื่อย ๆจนจิตตกต่ำ โรคจิตโรคประสาทเลยประกาศเกิดขึ้นเพราะความผิดปกติ
ของกระบวนความคิด แล้วถ้าเราไม่ภาวนา แล้วจะจัดการกับความคิดได้อย่างไร?
มีทางอื่นมั้ย? อาตมาว่าไม่มี.
นั่นล่ะความคิด อ่า ความคิดฟุ้งซ่าน ปรากฏอยู่ในการภาวนา
ทำยังไง? มันเหมือนกับน้ำตก น้ำเชี่ยว มันไหลๆๆๆๆ ก็อย่าเพิ่งตกใจ อย่าเพิ่งท้อแท้ใจ
อย่าเพิ่งแพ้มัน ถือว่าเป็นธรรมดาของจิตใจ เมื่อเรารู้แต่ว่าฟุ้ง
ก็คอยกลับมา อยู่กับธรรมชาติ ของลมหายใจ นี้ก็ขอแนะนำ วิธีการบางอย่าง
เกี่ยวกับการคิดฟุ้งซ่าน หนึ่งก็คือ รู้ว้าตัวเองกำลังคิดอยู่
ไม่ได้สนใจในเนื้อหา ที่กำลังคิด แต่บอกกับตัวเองว่า คิด คิด คิด แค่นั้น
ก็หยุดคิด บางทีตั้งชื่อให้มัน มันก็จะกลัว ทุกครั้งที่รู้สึกว่ากำลังคิด
ก็ไม่ต้องไปปฏิเสธมัน ไม่ต้องไปไล่มัน แต่ว่า คิดแค่นั้นแหละ หาคำที่รู้สึกว่าได้ผล
(พระอาจารย์ก็ใช้คำว่า “รู้สึกว่า” เหมือนกันอ่ะครับ-ผู้ถอดความ) แต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน
เอาแค่นั้นแหละ อืม คิดแค่นั้นแหละ หรือสักแต่ว่า คิดคิดคิด thinking –
thinking - thinking.
วันนี้เทศน์สองภาษา
ทำเป็นทันสมัย ในบางครั้งเรารู้ตัวว่า กำลังคิดอยู่ ก็ให้มันคิดถึงที่สุดของมัน
ตั้งใจคิด ตั้งใจคิดในเรื่องนั้น ทีนี้พอเราตั้งใจคิด มันไม่อยากจะคิด
ลองดูอีกวิธีหนึ่ง กำลังคิดอยู่ เราก็ต่อประโยค กำลังจะคิดประโยคๆหนึ่ง
พอรู้ตัวแล้ว ก็ต่อให้มันจบ ให้มันจบ ไม่รู้สึกว่าฝืน ฝืนใจมาก จบอย่างสวยงาม กลับมาทำงาน
กลับมาอยู่กับลมหายใจ อย่างเช่น คิดว่า วันนี้ท่านจะเทศน์ถึงกี่ทุ่ม ก็ไม่ทราบ เพราะกำลัง
หวังว่าจะไม่ดึกมากเหมือนเมื่อคืนนี้รู้สึกจะดึกไปหน่อยเน๊าะ พอรู้ รู้ตัวแล้ว
ก็พอรู้ตัวแล้วว่ากำลังคิดอยู่ ก็ต่อกับคำว่า ก็แค่นั้นแหละ ก็อนัตตา
คือ นี้เราก็เจริญวิปัสสนา ในขั้นอ่อนๆ ด้วยการเตือนสติว่า ในสิ่งที่กำลังคิดอยู่เป็นเรื่องอนัตตา
คิดอยู่กับอนัตตา หรือคว่ามคิดไม่มีเจ้าของ มันเป็นคิดที่เกิดจากเหตุตามปัจจัย.
การปฏิบัติต่อนิวรณ์ต่างๆและความคิดต่างๆ
อย่าให้รุนแรงกับมันมากจนเครียด มีแล้ว นักปฏิบัติคนหนึ่ง บังคับใจมาก ความดันโลหิตสูงถึง
๑๘๙ แล้ว ก็พยายามบังคับไม่ให้คิด ก็ไม่ต้องบังคับหรอก แต่เราอย่าไปยินดีกับมัน
แค่นั้นเอง จะคิดนานเพราะเราเพลินอยู่กับความคิด แล้วก็ชอบคิด และคิดเหมือนกับมีอะไรสักอย่าง
คือความคิดนี่มันจะมี คิดแบบเพลินอยู่ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วก็คิดแบบไปนู่นไปนี่ไปเรื่อย
ๆ มันเหมือนกับดูทีวี ก็ฌพลินอยู่กับรายการหนึ่ง กับ...อันนี้ก็เป็นเรื่องของกามฉันท์
แต่ว่าคิดฟุ้งซ่าน เหมือนคนก็ดูทีวีดูรีโมท แล้วกดๆๆๆ ช่องนั้น ๒-๓ นาทีก็ไปเรื่อย
ๆ ไม่ได้ดูช่องใดช่องหนึ่งเลยเฉพาะ อันนี้ก็ฟุ้งซ่าน ไม่ได้ดูช่องใดช่องหนึ่งแบบเพลิน
อันนั้นก็กามฉันท์ แต่ความคิดก็สักแต่ว่าเป็นอาการ เป็นอาการของสมอง
เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ไม่มีเจ้าของ ที่ฟุ้งซ่านเพราะมีเหตุปัจจัยทางกาย
อย่างเช่นบางคนทานน้ำชากาแฟ แล้วก็ฟุ้งซ่าน คิดๆๆๆๆๆๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น
อย่าเพิ่งทานดีกว่า.
บางครั้งความฟุ้งซ่าน
มันจะเป็นลักษณะของภาพ มากกว่าคำพูด ถ้าเป็นภาพ วิธีระงับก็ มันก็คล้ายกัน
มันต้องการระงับด้วยวิธีที่นุ่มนวล ซักด้วยวิธี อย่างเช่น นึกเหมือนเป็นภาพในจอ
แล้วก็ปิดรีโมทไว้ ให้มันละลายหายไป เหมือนกับทีวีมันหายไปเวลาเราปิดทีวี
และเราไม่รู้สึกว่าไล่ภาพนั้นออกไป แต่มันเป็นเองของมัน หรือที่...เรานึกถึงประโยคที่ในกำลังคิดอะไรสักอย่างหนึ่ง
เป็นตัวหนังสืออยู่ในผิวน้ำ พอเรานึกภาพว่ามันเป็นตัวหนังสือในผิวน้ำ
ไม่ต้องบังคับมันจะเป็นเองในสมอง เราจะเห็นมันค่อยๆละลายไป เพราะเมื่อเรารู้ว่าเขียนอะไรอยู่ในน้ำ
มันก็ต้องละลาย ก็ง่ายให้รู้สึกว่าเป็นธรรมชาติ.
และเมื่อจิตใจ
ไม่มีอะไรคิด ไม่ต้องคิด ทำไมถึงต้องหาอะไรสักอย่างให้คิด? อันนี้มันเป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง
ต้องยอมรับให้อภัยตัวเอง อย่าไปถือสาตัวเองมาก ธรรมดา แต่เราต้องไปค่อยๆ แก้นิสัยนี้ไปเรื่อยๆ
แล้วสังเกต อีกตัวหนึ่งมันจะเกิดขึ้นคือกลัว เรื่องที่ว่าเราไม่ใช่กาย กายนี้ไม่ใช่เราแน่
ทุหกคนก็คงยอมรับ อย่างเช่น สมมติว่าตัดแขนทิ้ง เราจะยังรู้สึกว่าเราคือเรา
เหมือนเดิมมั้ย? มันน่าจะเหมือนเดิม ใช่มั้ย? ตัดแขนทั้งสองขาทั้งสอง ถ้ายังมีความรู้สึกว่า
ตัวเรายังอยู่มั้ย? ก็คงใช่ การเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราเนี่ยะ
ไม่ต้องใช้ปัญญาอะไรมาก แต่การเห็นว่าจิตใจไม่ใช่เรา ความคิดไม่ใช่เรา อันนี้ทำให้เรากลัว
เราก็ยึดมั่นถือมั่น ในความคิดว่า โดยเฉพาะคนมีการศึกษา ยึดมั่นถือมั่นว่า
เราคือความคิด เราก็ดีกว่าคนอื่น เราก็มีอะไรที่เป็นตัวของเรา มีเอกลักษณ์
อยู่ที่ความคิด อยู่ที่บุคลิก อยู่ที่อะไรบางอย่าง มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราถือว่า
เราคือเราเพราะสิ่งนั้น อันนี้ก็เป็น...เป็นจุดให้เกิดทุกข์ เราก็ทำให้เกิดความเครียด
ความกังวล และความกลัว เพราะถ้าอยู่ที่ไหนอย่างไร ในที่เราพลัดพรากจากสิ่งนั้น
เราจะรู้สึกว่าตัวเราหาย เมื่อตัวเราหาย เราก็กลัว ตกใจ วิ่งไปหาอะไรสักอย่าง
มาเกาะไว้ ซึ่งในกรณีของการนั่งสมาธิ ก็น่าจะใช้ความคิดนั่นเอง หาความคิดเป็นเพื่อน
คิด เวลาเราคิด เราจะรู้สึกว่าธรรมดา เราคือเราอีกแล้ว ปลอดภัย
นี่คืออวิชชา อวิชชาก็มีอะไรสักอย่างก็ดีกว่าไม่มีอะไร ดังนั้น นิสัยนี้ ต้องค่อยๆแก้.
แล้วในการ
เถียงกันหรือสนทนากันเรื่องสมถะ วิปัสสนา อะไรพวกนี้ เถียงกันมานานแล้ว
หลายร้อยปีแล้ว แต่ขอให้สังเกตว่า จิตใจที่กล้า จิตใจที่ไม่กลัว
จิตใจที่พร้อมที่จะสร้างสรรค์ พร้อมที่จะค้นคว้า พร้อมที่จะเจอของใหม่
คือจิตที่มีความสุข ถ้าเรารู้สึกมีความสุขเป็นพื้นแล้ว
เจอภาวะที่ไม่เคยเจอมาก่อน แล้วการที่จะตกใจกลัวนี้ น้อยลง.
แต่ถ้าเราเอาแต่พิจารณาอย่างเดียว
แต่พื้นจิตไม่มั่นคง ถึงแม้ว่าเข้าใจเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา ขันธ์ ๕ ขันอะไร
นี่รู้หมดเลย แต่มันพ้นจากวิสัยของเหตุผลแล้ว มันเจอภาวะจิตที่ไม่เคยเจอ
แล้วพลัดพรากจากสิ่งที่เราเคยยึดมั่นถือมั่นว่านี่คือตัวเรา จิตก็ตกใจ ถอนออกมาละ
ฉะนั้นสมถะ คือการสร้างคุณสมบัติของจิตที่พร้อม ที่จะได้ผลจากการพิจารณา
แต่ส่วนหนึ่งก็คือความรู้สึกสุข นี้เรามีแต่สุข
ไม่ใช่สุขที่เกิดจากรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส.
ถ้าเราต้องการได้อยู่ในภาวะว่า
ที่คิดก็ได้ ไม่คิดก็ได้ ถ้าสมควรจะคิด แล้วก็คิดได้ แล้วก็คิดอย่างเป็นระเบียบ
คิดมีเหตุมีผล ไม่คิดเข้าข้างตัวเอง ส่วนมากความคิดเราก็จะไม่ค่อยเป็นกลาง ไม่ได้เกิดจากสติจากปัญญา
เป็นความคิดที่เกิดจากกิเลส เกิดจากตัณหา แต่ความคิดมันชอบโฆษณาตัวเองว่า เป็นกลาง
เป็นเหตุเป็นผล ถึงพยายามได้เห็น ธรรมชาติของความคิด ว่าสักแต่ว่า
อาการของจิตเท่านั้น ซึ่งถ้าเรามีสติ เราสามารถใช้ให้เกิด ประโยชน์ได้.
ความคิด ที่ว่าคิดผิด นี้จะอยู่เบื้องหลังกิเลส หลายอย่าง คงทราบว่าหลวงพ่อชา
ท่านจะสอนง่ายๆว่า ทุกข์เพราะคิดผิด อย่างเช่น
เราคิดว่าเรามีสิทธิอะไรบางอย่าง อย่าง...คือความคิดผิด มันจะซ่อนตัวเองอยู่ข้างหลัง
อยู่หลังฉาก เราจะไม่ค่อยรู้สึกตัว แต่มันก็ส่งผล ต่อพฤติกรรม
ต่อความรู้สึกนึกคิดอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลา เวลาเราพลัดพรากจากคนใดคนหนึ่ง แล้วเราจะมีคำพูดออกมาว่า
ไม่เคยคิดเลยว่า ไม่เคยนึกเลยว่า ความสงสัยของอาตมาก็ว่า ทำไมไม่เคยคิดเลย?
ที่ไม่เคยคาดไว้ก็ทำไม? มันก็เป็นเรื่องธรรมดา อยู่ดีๆก็
อันนี้เรียกว่าคิดผิดแท้ๆ อยู่ดีๆ มันต้องไม่ดีสิ หะหะหะ อยู่ดีๆ ถ้าอยู่ดีๆ
ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก มันน่ามจะมีสำนวน อยู่ไม่ดีไม่ดีก็
เพราะความดีของเราพร้อมที่จะเกิดความไม่ดีอยู่แล้ว มันธรรมดาของมัน คนเกิดโรคร้าย ก็ไม่สบาย
ทำไมเราจะไม่เคยคาดคิด เราเป็นชาวพุทธไม่ใช่เหรอ?
พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องความไม่แน่นอน
มัวหลงใหลอยู่กับโลกธรรมต่างๆ ทั้งๆที่รู้อยู่ แต่ว่าไม่อยากจะรู้
รู้แล้วปฏิเสธ ไม่อยากจะคิดเรื่องนั้น อันนี้ก็เป็น กรณีที่ว่า ควรจะคิด
แต่ไม่คิด ควรจะพิจารณาทบทวน ไม่พิจารณา กลัวคิดแล้วจะไม่สบายใจ ก็เลยไม่คิดเรื่องความแก่ความเจ็บความตาย.
นานมาแล้ว
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชา นิทานต้องมีพระราชาเยอะ มีพระราชาองค์หนึ่ง
ท่านมีความเมา เมาอยู่ในสุขภาพที่แข็งแรง แต่เมามาก หลงมาก ก็หลงอยู่ในร่างกาย
ท่านหล่อ และท่านรูปหล่อ แล้วท่านก็เพลินมากเรื่องนี้
และวันหนึ่งก็มีอำมาตย์หรือใครไม่ทราบ ไปประจบประแจงว่า พระองค์นี่หล่อมาก
หล่อเท่ากับเป็นเทพบุตรเลย โอ้ ท่านชอบมากครับ ไหน ชอบมาก พูดต่อ เขาเล่ากันว่าน่ะ
หล่อเหมือนเทพบุตร ทีนี้เรื่องนี้ดังไปถึงเทวโลก
ไม่ทราบว่าอยู่ในวิสัยของเทวดาที่จะหมั่นไส้รึเปล่า แต่อย่างไรก็ตามมีเทพบุตร ๒
องค์ ลงมาสำรวจ ก็แปลงรูปเป็นคนธรรมดา แต่ก็ผ่องใส ๒ คน เป็นคนนะ ๒
คนนี้ก็ขอเข้าเฝ้าพระราชา และพระราชาก็ถามว่า คุณมาจากไหน ทูลว่าข้าพเจ้าทั้ง เป็นเทพบุตร ได้ข่าวว่าพระองค์หล่อ หล่อมาก
เลยเทพบุตรต้องมาดูเอง ที่จริงมาครั้งหนึ่งแล้ว มาตอนเช้า ตอนที่ท่านยังหลับอยู่
รู้สีกว่าเมื่อเช้านี้หล่อกว่านี้ บ่ายนี้ไม่ค่อยจะหล่อเหมือนเมื่อเช้านี้
ท่านก็ไม่ค่อยพอใจล่ะตอนนี้ เอ๊ะ เป็นได้ยังไง ก็เลยเรียกคนใช้มา ๒ คนนะ เอ๊ะ
บ่ายนี้ความหล่อของเราลดน้อยลงรึเปล่า? ต่างกับเมื่อเช้านี้หรือเปล่า?
ไม่ต่างกันเลยพระเจ้าข้า ว่ายังงี้ นั่นเห็นมั้ย? เค้าเถียงกับเทพบุตร
เทพบุตรก็เลยขอชามน้ำ แล้วก็ถือไว้ ให้คนรับใช้ ๒ คนนี้ ให้ดูชาม
ให้ดูน้ำนี้ให้ดีนะ ดูให้ดีนะ แล้วออกไปข้างนอก และก็ออกไปข้างนอก
ว่างแล้วก็เอาช้อนมาตักน้ำออกจากชามครึ่งช้อน แล้วก็ไปทิ้ง แล้วก็เรียกคนใช้ ๒
คนกลับมา ดูซะ ชามน้ำนี้ เหมือนเมื่อกี้นี้หรือต่างกัน เขาว่าเหมือนกัน แน่ใจนะ
เหมือนกัน เทวบุตรก็บออกพระราชา เห็นมั้ย? เค้าไม่เห็นแต่เทวดาเห็น
นี้มันลดน้อยลงนิดเดียว เหมือนความหล่อของพระราชา ตอนนี้นี่ไม่หล่อเท่าเมื่อเช้านี้
พระราชาเกิดความสลดสังเวช ต่อจากนี้ไปเราจะไม่หลงใหลอยู่กับร่างกาย
ที่ว่าจะไปผ่าจมูกก็จะไม่ไปผ่าแล้ว เครื่องสำอางที่เคยซื้อมาไม่เอาแล้ว ต่อจากนี้ไปจะปฏิบัติธรรม.
นี้เราเกิดความคิดผิดในเรื่องของร่างกาย
งั้นก็บอกว่าเป็นสิ่งที่ไม่สวยไม่งาม ใช่ของคนอื่นเค้าไม่สวยไม่งามแต่ของเราสวยพอสมควร
แต่ถ้ายังไม่สวยก็จะพยายามให้สวยกว่านี้นะ ทุกวันนี้ก็มีสิ่งที่ชวน ยั่วยุ ให้เราหลงอยู่กับร่างกายมาก
ทำให้เกิดความคิดผิดมากๆ ดังนั้น สังคมสิ่งแวดล้อมไม่ใช่
ไม่ใช่ว่าจะชวนให้เราฉลาด จะชวนให้เราคิดถูก เพราะคิดถูกแล้วก็จะไม่บริโภคอะไรมาก
เดี๋ยวเศรษฐกิจไม่ดี แล้วก็ถือว่าเราคิดผิดแล้ว แม้จะดี เศรษฐกิจจะดีแต่ต้องการให้คิดผิดให้มาก
ช่วยเศรษฐกิจ แต่อาตมาว่าเอา ความคิดถูกว่าสำคัญกว่าเศรษฐกิจ
ดีมั้ย? เมื่อใครเรากล้าคิดกล้าค้นคว้า เป็นคนรักความจริง นี่เป็นการปฏิบัติเอง
ไม่ได้เป็นการปฏิบัติเพื่อเอาสงบ ปฏิบัติเอาความจริง และเป็นคนรักความจริง สนใจจะได้รู้ความจริง
คือไม่ต้องไปเชื่ออะไรมาก เชื่อใครมาก แต่ให้สนใจศึกษาให้เข้าถึงความจริงของกาย
ให้เข้าถึงความจริงของใจ.
ทีนี้จิตใจของเราคิดมาก
มันก็อยู่ในภาวะที่เพลิดเพลินมาก จะพิจารณาอะไรแป้บเดียวก็ไปละ ใช่มั้ย? มันจะเจาะลึกในสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้
เข้าถึงตัวของมันจริงๆแล้วมันก็ไม่ค่อยจะได้ จิตใจไม่มีกำลังพอ ไม่มีความอดทน ไม่มีความแหลมคมพอ
ฉะนั้นเราก็ใช้ลมหายใจ ใช้คำบริกรรม หรือใช้ความรู้สึกในกาย สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เพื่อให้จิตใจของเราอยู่ในปัจจุบัน โดยไม่ต้องคิดก็ได้ แต่ในการภาวนา
ต้องยอมรับว่าบางครั้งนี่มันมีแรงเฉื่อยของความคิด ค่อนข้างจะมาก
ถ้าเราน้อมจิตไปอยู่กับลงหายใจ มันก็ไม่ยอม มันดิ้นรนเหลือเกิน ฉะนั้นในบางครั้งเราก็จะยอมรับว่าจิตใจของเราต้องการจะคิด
ฉะนั้นเราก็จะภาวนาแบบให้คิด ก็พิจารณาหลักธรรมข้อใดข้อหนึ่ง
จะพิจารณาอาการ ๓๒ ไล่ไปตามที่เราสวดนั้น เกศา โลมา นขา ทตา ตะโจ นี้ก็ได้ หรือเราจะพิจารณาเรื่องขันธ์
๕ 1ก็ได้ หรือพิจารณาธาตุ ธาตุดินคืออะไร? ธาตุน้ำคืออะไร? หรือจะเอาเรื่อง
อนิจจัง เรื่องทุกขัง อนัตตา แล้วแต่เราชอบ แล้วแต่เราถนัด แต่
1 https://book.watnyanaves.net/dictionary/display/5099
ที่สำคัญคือ คิดอย่างเป็นระเบียบ
อย่างเช่นคิดในเรื่องความตาย ก็ไม่ใช่คิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยน่ะ แต่ให้คิดเป็นข้อๆไป
ก่อนที่จะลงมือปฏิบัติก็ ให้จดเป็นข้อๆก็ได้ แล้วก็คิดตามข้อที่เรา เคยกำหนดไว้ คิดอย่างมีกรอบ
แต่ก็ขอให้เราสังเกตว่า ความคิดที่เป็นอกุศล คิดเท่าไหร่ก็ไม่มีจุดจบ มันจะมีความกระวนกระวาย
มีความไม่พอไม่อิ่มซะที คิดๆๆๆๆๆ ไม่มีจุดจบ แต่ทางความคิดที่เป็นอกุศลหรือความคิดที่เป็นกุศล
และความคิดที่อยู่ในกรอบที่เรากำหนดไว้อย่างชัดเจน เราจะคิดไป มันจะถึงจุดหนึ่ง ที่จิตใจก็จะวางความคิดนั้น
ด้วยสมัครใจ รู้สึกพอละ และหลังจากนั้น จิตใจก็จะสงบ จะดูลมหายใจจะดูอะไรก็ได้
ส่วนความคิดที่เป็นอกุศล ก็มีจุดจบ จุดจบคือนอนหลับ อ่า ไม่ไหวแล้ว คิดซะจนเหนื่อย.
ความคิด ความคิดนะ ใช้แคลอรี่(calorie2)มากกว่าการวิ่งนะ เห็นมั้ย?
คนมีอะไร เศร้า กังวล ผอมๆๆๆ
2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5
ลง ผอมเพราะอะไร? ไม่ใช่ว่าออกวิ่งทุกวัน
ไม่ใช่เข้าจริง ผอมเพราะความคิด น่ะ น้อยใจ คิดๆๆๆๆๆนะ เผา เผาผลาญ ฉะนั้นก็ว่า
คนไหนอยากผอมนะ ให้คิดว่าตัวเองเป็นทุกข์นะ ผอมลงทุกวัน อย่าดีกว่า หึหึหึ.
ทีนี้ถ้าเราฝึกคิดเป็น ก็พร้อมที่จะได้ปฏิบัติธรรม
ในทุกๆเหตุการณ์ ทุกๆสถานการณ์ จิตใจพร้อมที่จะคิดไปในทางที่ดี
เพราะเราเคยฝึกเราเคยชำนาญแล้ว ฉะนั้นการภาวนาไม่ใช่ว่าห้ามคิดทีเดียว
บางครั้งบางคราวภาวนาเป็นคิดได้มาก่อน ท่านมีสำนวนว่า “ปัญญาอบรมสมาธิ”
แต่บางครั้งเรานั่นน่ะ จิตไม่อยากคิดอะไรเลย พร้อมที่จะเข้าไปสู่ภาวะที่ไม่ต้องคิด
ฉะนั้นเราควรจะคอยดูอาการของจิต มันก็เป็น คุณสมบัติของกายของใจ
วัตถุดิบที่เราจะได้ใช้ในการภาวนาแต่ละครั้ง ให้ปรับการปฏิบัติให้พอดี.
ทีนี้ในกรณีที่เราชอบคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งบ่อยๆ เราก็สังเกตว่าทุกครั้งที่เรานั่งสมาธิ
พอสติค้อมลงไปสักน้อยนึง เรื่องนี้ก็ผุดขึ้นมา แล้วถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดเวทนา
สุขมากทุกข์มาก จิตใจก็จะคิดในเรื่องนั้นมาก ดังนั้นวิธีป้องกัน อย่างหนึ่งก็คือ นั่ง
พอเราไหว้พระ สวดมนตร์อะไรจะให้เมตตาอะไร ก็แล้วแต่เราเตียมใจอย่างไร
แล้วเราก็เตือนสติตัวเอง อย่างเช่นสมมติว่า คิดเรื่องซื้อของ จะคิดเรื่องซื้อของ หรือว่าบางคนอาจจะคิดเรื่องกีฬา
เป็นต้น หรืออะไร คือถ้าเราชอบ มีเรื่องจะซื้อของไปฝากคนนั้นคนนี้ก่อนจะกลับบ้าน
มันจะชอบคิดแต่เรื่องนี้ เราก็บอกว่า เรื่องนี้ไม่ให้คิดนะ เรื่องนี้ no no-ซื้อของ no-กีฬา no-การเมือง ก็แล้วแต่เรื่องจิตใจมันชอบไปคิด บอกบอกเลย บอกชัดเลยนะ สั่งไว้นะ
นะ นะ พออยู่ระหว่างการภาวนา จิตเริ่มจะคิด มันจะผุดขึ้นมาทันที no no–shopping no-การเมือง มันจะดับได้ง่ายมาก
โดยที่ไม่ต้องไม่ต้องไปใช้กุศโลบายอะไรมาก พอความคิดนั้นเกิดขึ้น ความคิดว่าno ไม่ใช่เรื่องนั้น บังเกิดขึ้นไปพร้อมกัน มันจะดับได้ง่าย.
แล้วนี้เราใช้กับกิเลส
นิวรณ์อะไร อย่างเช่นเรื่องความง่วง เป็นต้น บอกว่าภาวนาครั้งนี้จะได้อะไร?
จะเป็นยังไง? แต่ว่าไม่ให้ง่วงนะ ไม่ให้ง่วง ไม่ให้สัปหงก คือบอกตัวเองเลยว่า นี่คือเป้าหมายในการทำสมาธิครั้งนี้
คือจะได้ความสงบ จะได้ปัญญา จะได้อะไร ก็อย่างน้อยที่สุด เรียกว่าต่ำที่สุด
ก็คือไม่ให้ง่วง เมื่อเราตั้งเป็นเป้าหมายเลย ก็เป็นความให้ความสำคัญกับมัน
ตั้งแต่เริ่มนั่ง มันจะฝังอยู่ในสมอง และพอเราเริ่มมีอาการ มันจะนึกได้
ก็พยายามพูดบ่อยๆว่า สตินี้บางทีก็อธิบายว่าเป็น awareน่ะ
ซึ่งมันกำกวมกำกวม มีสติ มีสติ คือ สติ ก็คือความระลึกได้
ฉะนั้น สติ จะเกิดขึ้นต้องมีเครื่องระลึกของจิต อะไรคือเครื่องระลึกของสติ จะมีสติแล้วไม่มีเครื่องระลึก
มันก็ไม่ใช่สติ ที่ในว่าดูจิต มันก็มีให้ดู มันก็มีกาย มีเวทนา
มีจิต มีธรรม แต่เราจะเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเครื่องระลึกของสติ และว่าให้ความสำคัญกับสิ่งนั้น
มันจะระลึกได้ง่าย อย่างเช่นในเรื่องชีวิตประจำวัน ศีล ๕ เป็นเครื่องระลึกของสติ
เราเจริญสติในชีวิตประจำวัน ที่ว่าเรื่องดูจิต ดูจิต ใช่แน่นอน สำคัญมาก
แต่ให้เรา นอกจากนั้นแล้วยังต้อง ระลึกในศีลของตนด้วย กำลังจะพูดอะไรน่ะ
พูดจริงหรือไม่จริง โกหกรึเปล่า? พูดเกินความจริงมั้ย? มีการตัดบางส่วนออกไปมั้ย?
มีการเพิ่มบางส่วนเข้าไปมั้ย? มีการตบแต่งให้เรื่องสนุกขึ้นมั้ย?
ทีนี้นอกจากโกหกแล้ว
มันมีหลายอย่างที่ไม่...ไม่ถึงโกหกทีเดียว แต่ว่ามันล่อแหลม ทีนี้พอเรามีความระลึกว่า
พูดยังไงก็อย่าเพิ่งพูดปดก็แล้วกัน พอมีความคิดอย่างนี้แล้วในระหว่างการพูด
แล้วเราก็จะรู้สึกตัวขึ้นมา รู้สึกตัวขึ้นมา รู้สึกตัวขึ้นมา
ทำไมมันตื่นอยู่ได้ระหว่างการพูดคุย เพราะเรามีศีล สิกขาบท สิกขาบทข้อนั้นเป็นเครื่องระลึก.
ทีนี้
ในการอ่านหนังสือ เวลาเราอ่านหนังสือนี่ บางทีเราก็จะเจอ ประโยคใดประโยคหนึ่ง ที่มัน...แหม
น่าสนใจ แต่จะหยุดพิจารณาทบทวนนี้ ก็ยังจะอ่านต่อไว้ก่อน เราก็จะหมายเอาไว้ ใช่มั้ย?
หมายเอาไว้ พอเราอ่านจบ แล้วเราก็กลับไปดู ประโยคหรือส่วนที่สำคัญๆ
ทีนี้ในชีวิตประจำวันมันคล้ายกัน บางทีเราเจริญสตินี่ บางทีเราก็พูดคุย แล้วมีใครพูดอะไรขึ้นมา
แล้วเราก็รู้สึกทันทีว่า น้อยใจ เราจะเกิดความรู้สึกว่าน้อยใจ เกิดขึ้น
แต่ว่าเราไม่มีเวลา เพราะว่าเราอยู่ในที่ประชุม เราอยู่กับกำลังคุยสนุกกัน
เราก็ไม่มีเวลาที่ไปดูความรู้สึกอย่างนี้ อย่างละเอียด ว่ามันเกิดอย่างไง
มันตั้งยังไง มันดับอย่างไร เพราะฉะนั้นเราหมายเอาไว้ จำเอาไว้ว่า เอ่อ
ระหว่างที่พูดคุยกันนี้ เกิดความน้อยใจ พอเรากลับมาอยู่ในที่สงบแล้ว
มาทบทวนว่าวันนี้ได้ทำอะไรบ้าง คือทบทวนสิ่ง แล้วก็ทบทวนประสบการณ์ เราก็จำได้ว่า
เอ่อ เคยหมายเอาไว้ว่า เอ้ น่าสนใจทำไม อ่า ความน้อยใจเกิดขึ้นเวลานั้น เขาพูดอะไรจึงทำให้เราน้อยใจ
เราก็มีโอกาสที่จะพิจารณาอารมณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาเราวุ่นๆวายๆ
เมื่อมีอะไรกดดันให้เราจะต้องจัดการกับนั่นกับนี่ ไม่มีเวลาที่จะหยุดแล้วดูอย่างจดจ่อ
แต่เราหมายเอาไว้ ให้เวลาอยู่กับตัวเอง แล้วเราก็จะได้ยกอารมณ์จากอดีตมาคิด
มาพิจารณา อันนี้อนุญาตให้คิด คิดพิจารณาวิเคราะห์ อารมณ์ที่เกิดขึ้น
เพื่อจะได้ดูว่ามันไม่เที่ยงยังไง มันทุกขังยังไง มันอนัตตายังไง
อนัตตาก็คือมันเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยอะไร เห็นมั้ย? มันจะเกิดปัญญา แต่ยอมรับว่าในชีวิตประจำวัน
จะทำอย่างนี้มันไม่มีเวลา มันกำลังทำหน้าที่เรา
เพราะฉะนั้นก็ต้องแบ่งเวลาในแต่ละวัน ที่จะหยุดอยู่แล้วก็เอาเรื่องต่างที่ อื้อ
น่าสนใจนะ เอ้ ทำไมอารมณ์นั้นมันเกิดขึ้นได้ มันก็จะสนุกกับการเรียนรู้จากประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน.
ฉะนั้นความคิด
การพิจารณา ถ้าเราฝึกคิดให้คิดได้ตามที่เราต้องการให้คิด ไม่ใช่คิดนอกลู่นอกทางเรื่อยเปื่อย เรียกว่าคิดอย่างเป็นระเบียบ
ความคิดก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของการภาวนา แต่เมื่อเรามาอยู่อย่างนี้ ก็มีโอกาสที่ดีมาก
ที่จะได้คุ้นเคย จะได้สัมผัสภาวะที่ไม่ต้องคิด จะเห็นว่า ภาวะที่ไม่ต้องคิดอะไร
ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีตัวเรา เพราะก็มีตัวรู้ ตัวรู้ว่าไม่คิด
ใช่มั้ย? ก็มีความไม่มีอะไร แล้วผู้ที่รู้ว่าไม่มีอะไร ถ้ามีตัวรู้ว่าไม่มีอะไร
แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรน่ะสิ ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดดับ ถ้ารู้ ตัวรู้ ความเฉยๆก็มีผู้รู้ว่าเฉยๆ
ไม่คิด นิ่ง ก็รู้ว่า มีตัวรู้ เอ่อ รู้ว่านิ่ง ไม่นิ่งก็รู้ว่านิ่งไม่นิ่ง ฉะนั้นความรู้
ก็ตัวจิต ก็จะเริ่มสังเกตมากขึ้น มากขึ้น ตัวรู้ที่เกิดขึ้นพร้อมกับสิ่งรู้ เราก็จะไม่หลงอยู่กับสิ่งรู้
แต่เราเริ่มจะกลับมาอยู่กับผู้รู้ หรือธาตุรู้ และสิ่งรู้ ตัวรู้
แล้วแต่จะเรียก ครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่า บางทีก็เรียกว่า ผู้รู้ แต่บางทีใช้คำว่าผู้รู้จะเข้าใจไปว่า
เป็นอัตตา/ตัวตนไป แต่เรียกว่าการรู้ หรือว่ากระแสการรู้
แล้วแต่ ทีนี้การภาวนาก็ต้องการจะ ตื่นรู้ ตื่นอยู่กับการรู้.
เอาล่ะ
วันนี้ก็คงได้ให้ข้อคิดพอสมควร.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น