หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567

พระอาจารย์ชยสาโร - ใหม่ในเก่า เก่าในใหม่

 พระอาจารย์ชยสาโร - ใหม่ในเก่า เก่าในใหม่

          https://youtu.be/T7L4g7192zs?si=dKmZXElH1aG800on



          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          พุทธัง ธัมมัง สังฆัง อะนุตตะรัง คุณุตตะรัง อุปัชฌาย์ยัง นะมัสสามิ.

วันนี้ ปีใหม่ ก็อยากจะพูดเรื่องเก่า เรื่องใหม่ ของเก่า บางทีมันดีเพราะมันเก่าก็มี อย่างดูเขาใหญ่ เขาใหญ่มันเก่ามาก ภูเขามันเก่า ต้นไม้ก็เก่าพอสมควร ต้นใหญ่ๆ ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม มันเป็นของเก่า แต่ไม่ใช่เก่านิ่ง มีการค่อยเปลี่ยนแปลงตามอายุของมันเหมือนกัน แต่อายุของภูเขา เราคงนับเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านปี มากกว่าชั่วระยะสั้นๆ ที่เราคุ้นเคย.

ของเก่าบางอย่าง มันดีเพราะเป็นผลของการวิวัฒนาการ ของการกระบวนการที่ค่อยปรับ ตามความเหมาะสม อยู่เรื่อย ๆ สิ่งใดที่ไม่ work ไม่เหมาะสม มันก็ค่อยๆตัดไป สิ่งที่ดี ที่เป็นประโยชน์ ก็รักษาไว้ ดังนั้นโดยภาพรวมมันเป็นของเก่า แต่ถ้าเราพิจารณาในรายละเอียด เช่นว่ามีของใหม่ อยู่ในของเก่า อยู่เรื่อย ๆ มันจึงมีชีวิต มึงจะเป็นสิ่งที่ควรอนุรักษ์ไว้.

ปัญหา ไม่อยากจะอยู่ที่พวกเรามากกว่า ก็อยู่กับสิ่งใดนานๆ มนุษย์เป็นสัตว์ขี้เบื่อ จะมีความสุขกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น นานไม่ค่อยจะได้ และเมื่อเกิดอาการเบื่อ มนุษย์เราไม่ค่อยจะดูตัวเอง ดูว่าความเบื่อเกิดขึ้นแล้ว เป็นอาการหม่นหมอง แต่เรามองนอกตัว ไปลงโทษสิ่งแวดล้อม เป็นว่าสิ่งที่อยู่ต่อหน้า บอกว่ามันน่าเบื่อ ว่ามันน่าเบื่อถ้ามันมีคุณสมบัติที่เรียกว่าน่าเบื่อ เหมือนกลิ่น พวกกลิ่นหอม เป็นต้น ทุกคนได้รู้สึกว่าหอมเหมือนกัน จริงอยู่จมูกบางคนไว บางคนจมูก...เนี่ยะ อย่างจมูกอาตมายาวๆก็จริง แต่ก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่ค่อยรับรู้ต่อกลิ่นเท่าไหร่ แต่อาตมาก็ยังรู้ความหมายของคำว่าหอม ดังนั้นก็ยอมรับว่าหอม กลิ่นหอมเป็นสิ่งที่จริง ในธรรมชาติ แต่ไอ้อาการที่ว่าน่าเบื่อ มันไม่มีนะ เพราะถ้ามีทุกคนก็ต้องรู้สึก เจอสิ่งใดสิ่งหนึ่งทุกคนก็ต้องรู้สึก ว่าน่าเบื่อ ไม่ว่าระดับใดระดับหนึ่ง แต่ปรากฏว่าบางสิ่งบางอย่าง บางคนว่าน่าเบื่อจัง แต่บางคนว่าไม่ใช่ มันน่ารัก มันน่า...น่าสนใจ ชอบ ก็มี.

ดังนั้นมนุษย์ก็จะหลงอยู่ตรงนี้ ที่เอาสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจ เอาเป็นคุณสมบัติของสิ่งที่อยู่นอกกาย ในที่จิตใจของเรานี้ กระหายความตื่นเต้น กระหายสิ่งกระตุ้นต่างๆ เมื่อสิ่งกระตุ้นมีน้อย ก็ไม่ได้สังเกตใจตัวเอง ว่าอะไรเกิดขึ้น กลับกลายเป็นว่า โอ้ เน๊าะ มันน่าเบื่อเน๊าะ เหมือนกับว่าเป็นความผิดของสิ่งนอกตัวเรา ไม่อย่างนั้นปัญหากับของเก่า ที่เจอบ่อยที่สุดคือความประมาท ความประมาทก็คือ คุ้นเคยเสียจนมองไม่เห็น มองไม่เห็นข้อดีของมัน คือถ้าเราอยู่กับสิ่งที่มีประโยชน์ต่อเราตลอดตั้งแต่เด็ก มนุษย์เราก็หลง นึกว่าเรามีสิทธิ ที่จะได้สัมผัสสิ่งนั้น ที่จะได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้น ถ้า...ถ้าเกิดต้องพลัดพราก จะน้อยใจเสียใจ โกรธ มันไม่น่าเป็นอย่างนั้นเลย ทำไมเค้าทำอย่างนั้น นี่ก็คืออาการของความประมาท ความประมาทก็คือ การหลงว่ามีสิทธิที่จะได้ ในสิ่งที่เกิดตามเหตุตามปัจจัย สิ่งทั้งหลายทั้งปวง จะอยู่จะไม่อยู่ ก็ต้องตามเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยตกไปหายไปหมด ไป สิ่งนั้นเป็นผลของเหตุปัจจัย ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป อันนี้ผู้มีปัญญาก็จะมองเห็นนั้น.

แต่ข้อดีของสิ่งต่างๆ เริ่มตั้งแต่บุญคุณของคุณพ่อคุณแม่ เป็นต้น ถ้าไม่คิดบ่อยๆ ไม่มีสติ ไม่เตือนสติ มันก็จะเหมือนกับไม่รับรู้เลย ถือว่า เอ้า ก็ต้องเป็นอย่างนั้น พ่อแม่ก็ต้องเป็นอย่างนั้น แล้วสิ่งแวดล้อมก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะเรามีสิทธิที่จะให้เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นเมื่อเราถือว่าสิ่งต่างๆที่เราชอบ สิ่งต่างๆที่มีประโยชน์ เป็นของตายตัวแน่นอน เป็นส่วนประกอบของชีวิตของเราที่ ควรจะเป็นอย่างนี้ เราจะขาดปัญญา ในการักษาเหตุปัจจัยของมันไว้ ว่าดูมันก็เป็นของสำเร็จรูป ที่จริงมันไม่ใช่ ทุกอย่างก็อยู่ในลักษณะเป็นกระบวน กระบวนการที่ค่อยๆเปลี่ยน ซึ่งมีเจริญ มีเสื่อม อยู่ตลอดเวลา ไม่มากก็น้อย ส่วนข้อเสียน่ะ ถ้าเรา...เราประมาท ก็เช่นเดียวกัน เราก็จะคุ้นเคยกับมันเราก็จะมองว่าเป็นของตายตัวแน่นอน ก็ต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไป.

เช่น คนซึมเศร้า น่ะ คนซึมเศร้านั้นตัวอย่างที่มีอาการเกิดขึ้นแล้ว ก็ถือว่าต้องเป็นอย่างนี้ตลอดกาลนาน ก็นำไปสู่ความรู้สึกสิ้นหวัง แต่อาตมาเคยถามคนซึมเศร้าว่า ซึมเศร้าทุกลมหายใจเข้าลมหายใจออก ทุกลมหายใจไหม? ถ้าไม่ ก็จะมีบางช่วงใช่มั้ย? แม้ในแต่ละวัน เวลากินข้าว เวลาเล่น Line มันก็จะมีบางช่วงในแต่ละวันที่อาการซึมเศร้าไม่ปรากฏ ฉะนั้นเราถือว่าเราประมาท เราด่วนสรุปว่า นี้เป็นของ คือเรา ชีวิตของเราเป็นอย่างนี้ สรุปไปแล้วคือประมาทไปแล้ว ก็เลยมองไม่เห็นว่า แม้แต่ในความมืดก็ยังมีจุดที่สว่างมากมั่ง ยังมีแว่บๆมั่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของความหวังได้.

ทีนี้บางสิ่งบางอย่างในชีวิตหรือในโลกปัจจุบัน มีอยู่นานแล้วไม่เห็นดีขึ้นแล้ว ก็คงจะ เป็นอย่างนี้แหละ โลกมันก็เป็นอย่างนี้เอง แต่ที่จริงมีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เราสามารถทำให้ดีขึ้นได้ ดังที่อาตมาเคยเล่าว่า ตอนวัยรุ่น คำถามที่อยู่ในสมองอาตมาตลอดเวลา โลกที่มันแย่อย่างนี้ เต้นไปตามความเอารัดเอาเปรียบ ความไม่ยุติธรรม การรบราฆ่าฟันกัน การเบียดเบียนกัน จำเป็นไหมที่จะต้องเป็นอย่างนี้? เราต้องทำใจกับสิ่งเหล่านี้ หรือดีกว่านี้ได้มั้ย? ไม่ต้องเอาถึงขั้นที่ว่า หาย หรือไม่มี ไม่...ไม่หวังถึงขั้นจะมีโลกมนุษย์ที่ไม่มีการเบียดเบียน ไม่มีการรบราฆ่าฟันกันเป็นต้น แต่ดีกว่านี้ได้มั้ย? แล้วถ้าดีกว่านี้ได้ เราแต่ละคน ควรรับผิดชอบในการทำให้โลกดีขึ้น ตรงไหน? อย่างไร? นี่คือสิ่งที่อาตมาคิดพิจารณาในข้อนี้มาก ตอนที่กำลังแสวงหาแนวทางชีวิต ที่ถูกต้องดีงาม.

ดังนั้น ของเก่า ของเก่าที่ต้องมีทำใจ หรือต้องยอมรับ มันก็มี แต่สิ่งที่มีอยู่แล้ว ที่เปลี่ยนไม่ได้ แก้ไม่ได้ เราจะเน้นในการกำหนดรู้ รู้ตามความเป็นจริง แต่หลายสิ่งหลายอย่างนี้ เรา...เพราะเรามองจาก...อย่างผิวเผิน แล้วรู้สึกมันคงที่ แน่นอน เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเราดูในรายละเอียด โอ้โห ไม่เหมือนที่คิด โอกาสที่จะเข้าไปปรับปรุงแก้ไขทำให้ดีขึ้น มันก็มีหลายจุดหลายประการ.

ทีนี้เรื่องของเก่า ก็เป็นที่มาของความคิดผิดบางอย่างเหมือนกัน แล้วคิด...ที่เรามักจะได้ยินบ่อยที่สุด คือการ อู๊ สมัยก่อน มันก็ดีอ่ะนะ ดี อู๊ ทุกวันนี้มันแย่ ไม่เหมือนสมัยก่อน โอ๊ สมัยก่อนเมืองไทย วัฒนธรรมไทย งดงามเหลือเกิน โอ๊ ทุกวันนี้...หึหึ..มัน...

เหมือนที่อเมริกา หลังๆนี้ก็มีไอ้ เรียกว่า MAGA - Make America Great Again อาตมาเคยดูclipที่คนไปสัมภาษณ์คนรุ่นเก่าที่ สนับสนุน MAGA มาก้านี่ แล้ว่าต้องmakeอเมริกาgreat againอีก มันเคยgreatยุคไหน? สมัยไหน? ให้รื้อฟื้น พ.ศ.ไหน? หรือ ค.ศ.ไหน? กลับกลายเป็นว่า โอ๊ สมัยที่ยังทาสอยู่ใช้มั้ย? สมัยที่ยังไม่มีไฟฟ้า หรือ? คือมันฉายภาพในอดีตว่าเป็นยุคทอง แล้วก็ดูสิ่งที่ไม่ชอบในปัจจุบัน แล้วก็วาดภาพว่ามี อ่า มียุคไหน สมัยไหน ที่ในอดีตที่ทุกวันนี้ สิ่งที่เราไม่ชอบในปัจจุบันเคยมีแต่เราไปทำเสีย ว่าเป็นการหลอกลวงตัวเองมากกว่า.

ฉะนั้น การบูชาจินตนาการ ความทรงจำ และความคิด ที่เราเรียกว่าอดีต หรือยุคทอง มันก็เป็นความประมาทเหมือนกัน ก็ย้ำเลยว่า ทุกอย่างเราต้องพิจารณา ให้เห็นเป็นกระบวนการ เป็นกระแสตามเหตุตามปัจจัย ฉะนั้นเราจะทำให้ ความเสื่อมลดน้อยลง ต้องไปแก้ที่เหตที่ปัจจัย จะทำให้สิ่งที่แก้ได้ดีขึ้นได้ จะต้องตรงตามเหตุปัจจัย และผู้ที่มีสติ ผู้ที่สามารถพิจารณา ต้องจับหลักได้ ต้องสามารถทำจิตให้เป็นกลาง ต้องฝึกจิตให้เข้มแข็ง.

ฉะนั้น ถ้าบูชาของเก่าในลักษณะอย่างนี้ คือมีหลักบางอย่าง หรือว่าความจินตนาการบางอย่าง และก็บูชาไป แล้วก็รังเกียจของใหม่หมดทุกอย่าง มันก็เสียดาย เพราะของใหม่ที่ดีก็มีเยอะ ใช่มั้ย? ที่ดีกว่าสมัยก่อนยก็เยอะ ถ้าปฏิเสธเพียงเพราะเป็นของใหม่ มันก็เรียกว่า ยังไงล่ะ? ว่า เสียดาย หรือว่าเป็น อ่า เป็นการฝืน เป็นการสู้อย่างตาบอด ปแต่ของใหม่ ของใหม่นี้ ที่ดีกว่าของเก่าก็มี แต่ของใหม่ที่ไม่ดีเลยก็มี ของใหม่ที่เหมือนของเก่าเพียงแต่ว่า เรียก...เปลี่ยน อ่า รูปแบบหรือเปลี่ยนbranding อ่า re-brandingอะไร ก็มีเยอะ ก็จะสังเกตว่า เราใช้ภาษา อ่า เหมือนกับ...เหมือนกับเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเหมือนกัน ตั้งแต่คำว่า ความเจริญ เนี่ยะ ต้องทำให้ประเทศชาติเจริญ ทุกอย่างต้องเจริญ ถ้าฟังคำนี้ มันไม่มีใครหรอกจะปฏิเสธอะไร ไม่ว่า ใช่ ใช่ ใช่ แล้วมีใครไม่ต้องการให้ประเทศชาติเจริญ ก็เป็นยังไง ก็ไม่รักชาติหรือ? แต่แล้วไอ้ความเจริญ มันคืออะไร? อะไรคือเครื่องตัดสิน เป็นข้อพิจารณา เป็นcriteria ที่จะช่วยให้เราตัดสินว่า ไอ้ความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ คือดีขึ้นหรือเลวลง? เพราะใช้คำว่าเจริญ ความหมายที่แฝงอยู่ในความเจริญก็แปลว่า ดีขึ้น ใช่มั้ย? แต่มันดีขึ้นด้วยเหตุผลอะไร? แล้วดีขึ้นฝ่ายเดียวมั้ย หรือมีข้อดีบ้างข้อเสียบ้าง? แล้วใครเป็นผู้ตัดสินว่า ข้อดีมากกว่าข้อเสีย จึงกล้ายืนยันเป็นความเจริญ?

อันนี้เราก็แค่ ตามกระแสทางโลกมากกว่า เพราะเอกลักษณ์ของใหม่ก็คือ มันชวนตื่นเต้น ใช่มั้ย? มันเป็นของใหม่ทุกอย่าง รู้สึกมีกำลังใจ ใช่มั้ย? เจอของใหม่ น่าดู น่าสนใจ เอ้า อยากไปดูทำไม? ก็เป็นของใหม่ ไม่เคยเห็นมาก่อน ใช่มั้ย? อยากรู้อยากเห็น อันนี้คือ เรา...เราสังเกตตัวเอง มีเกิดความ เอ่อ มีความตื่นเต้น มีความสุข พอฟังคำว่าใหม่ ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น ยิ่งจะมีใครตั้งชื่อว่า นี่คือความเจริญ นี่คืออนาคต แล้วก็มีคำหนึ่งที่เราหลงมาก นั่นก็คือคำว่า “สมัย” ใช่มั้ย? โอ๊ ต้องทำ ทำไมเราต้องทำ? ไม่เห็นจะดี มันทันสมัยค่ะ เดี๋ยวมันล้าสมัย อู๊ ทำไมสมัยมันมีกำลัง มันมี...หึหึ มันมีความสำคัญขนาดนี้เหรอ? อะไรที่เคยทำมานานแล้ว จะไม่ทำแล้วเพราะอะไร? เพราะล้าสมัย แล้วทำไมจึงต้องทำ ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่? ทันสมัยครับ ต้องทันสมัย กลัวจะไม่ทันสมัย.

อันนี้เราก็สร้างคำนี้ขึ้นมา คำนี้มันคืออะไรล่ะ? เป็นแค่สมมติใช่มั้ย? คำว่าสมัยฺ มันไม่ใช่สิ่งที่จับได้ สัมผัสได้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นประสบการณ์ตรง ในชีวิตของใคร เป็นconcept เป็นแนวความคิด เป็นกรอบความคิด ที่เราสร้างขึ้นมา แต่มันทำให้มีพลังมากเหลือเกิน ในนิทาน มีนิทานเซน นิทานหนึ่งที่จิตรกรคนหนึ่งวาดรูปเก่งมาก วาดรูปเสือโคร่ง เสร็จแล้วมองแล้วกลัวขึ้นมา คือกลัวรูปที่ตัวเองวาดไว้ เพราะมันเหมือนจริงมาก แต่คนเราก็เหมือนกับจิตรกรนี้ เราก็สร้างอะไรขึ้นมา วาดอะไรขึ้นมา ผิดพลาด ทำอะไรนี้โง่ๆ เพียงด้วยเหตุผลว่ามันทันสมัย นี้มันเยอะมากเหลือเกิน ทุกสมัย แล้วอะไรคือ “สมัย”? คือถ้าเราเปลี่ยนคำว่า “สมัย” แปลว่า “แฟชั่นล่าสุด” ความรู้สึกเปลี่ยนทันที เอ๊า ทำไมต้องทำยังงั้น? อ้าว เป็น...ก็ต้องทันแฟชั่นล่าสุดสิ แล้วแฟชั่นมันก็เปลี่ยนตลอดอะไรที่เป็นแฟชั่นวันนี้ พรุ่วงนี้ ฤดูกาลหน้ามันก็เปลี่ยนไปแล้ว.

ฉะนั้นการทำตามสมัย ก็ไม่ปลอดภัยเลย เสียตั้งแต่เสียเงิน เสียเงินไอ้รัฐบาลทั่วโลกนี่ทำโครงการอะไรต่างๆ ลงทุนของชาวบ้านไม่รู้กี่พันหมื่นแสนล้าน เพราะเป็นโครงงานที่ทันสมัย มีเยอะมาก ในทาง...เอ่อ หนังสือธรรมะเล่มแรกที่อาตมาเขียน ยังคิดชื่อไม่ได้ ก็กราบขอความเมตตาของหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ที่มานานมากแล้ว 30 กว่าปี ตั้งแต่เพิ่งได้กราบท่านแรกๆ ท่านก็ตั้งชื่อว่า “ธรรมนำสมัย” เป็นครั้งแรกที่ได้ “นำสมัย” เลยชอบมาก เล่มนี้หาไม่ได้แล้ว แต่เราจะนำสมัยอย่างไร? นำสมัยเราก็ต้องมีvalue แล้วก็ต้องมีหลักการ หลักชีวิต ที่เราต้องการจะรักษาไว้ ต้องมีเข็มทิศชีวิต เราจึงจะได้นำสมัย ไม่ใช่ตามสมัย ถ้าเรามีหลักการนี้ เรื่องแฟชั่นนี่มันไม่ใช่ว่าจะดูแคลนคำว่าแฟชั่น แต่ว่ามันต้องเป็นแฟชั่นที่สอดคล้องกับหลักการ หลักชีวิตของเรา แนวทางที่เรากำหนดไว้แล้ว ก็ไม่ผิดอะไร เป็นจิตวิทยา.

อย่างอาตมาก็ไม่เคยวิจารณ์ ไอ้...ไอ้แฟชั่นเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม บ้างก็ อื้อ เข้าคอร์สก็เป็นแฟชั่นเฉยๆ อู้ แต่มันเป็นแฟชั่นที่ดีมาก เพราะถ้าคนเข้าคอร์ส เข้าปฏิบัติธรรมเพราะเป็นแฟชั่น แต่เสร็จแล้วเห็นคุณค่า ไอ้การทำเพราะเป็นแฟชั่น ก็เปลี่ยน กลายเป็นทำด้วยสติปัญญาก็มี แต่ไอ้การที่เราว่า เอ้า ของเก่าไม่เอาแล้ว ต้องทำใหม่ ต้องร่างใหม่ ขำระใหม่ ปฏิวัติใหม่ ถ้าคนรุ่นใหม่รู้สึก ใช่ ของเก่า คือ...คือเอาของเก่ามารวบเป็นหนึ่งทั้งหมด โดยไม่ได้แยกแยะว่า อันไหนของเก่าเนี่ยะ ส่วนที่ควรจะอนุรักษ์ไว้ มีตรงไหน? ส่วนที่ทิ้งได้ มีตรงไหน?

แล้วปรากฏว่าถ้าเราศึกษาหลักประวัติศาสตร์ให้ดี จะเห็นว่าบางสิ่งบางอย่างที่มันดี มันก็เกิดผูกพันกับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สู้จะดี แต่นานๆเข้ามันก็ไม่รู้ความเป็นมา ซึ่งไอ้...ผลเสียหรือว่าต่อ...ต่อสังคมเรา ไม่ใช่สังคมไทยอย่างเดียว คือการยกเลิกหรือการลดความสำคัญของการเรียนประวัติศาสตร์ เหมือนว่าทุกวันนี้เหมือนไม่มีราก คนไม่รู้จักประวัติศาสตร์ของประเทศ ของชุมชน เป็นคนแบบลอยๆ แล้วเมื่อเรา...เราลดแล้วก็ตัดการเรียนประวัติศาสตร์ ความรู้สึกในความเข้าใจในสิ่งที่มีอยู่ การเห็นคุณค่าของสิ่งมีค่า การเห็นโทษของสิ่งมีโทษ ลดน้อยลง ยิ่งถ้านำเอาอิทธิพลของinternet ของsocial media ซึ่งทำให้คนไม่ต้องสนใจในสิ่งแวดล้อมในโลกที่เป็นจริงเท่าไหร่ ก็หาพรรคพวก หา...หาเพื่อน ในจอ ก็สิ่งที่เป็นจริงแล้วก็จะมี อ่า จะมีความหมายน้อยลงๆ เอาโลกที่อยู่ในจอ เป็นโลกส่วนตัว เป็นภพภูมิ เลยทำให้ผู้มีปัญญาที่จะนำสมัย มันจะลดน้อยลงไปเรื่อย เพราะไม่เข้าใจสมัย ไม่เข้าใจสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ว่ามีเพราะอะไร? อย่างไร?

ทีนี้คนเราทุกคนน่ะ มันใจร้อน อย่างได้ เอ่อ อยากได้สิ่งที่ต้องการ เร็ว คือตามตัณหา คือสัญชาตญาณของมนุษย์อย่างไร? ต้องการง่าย ต้องการเร็ว เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรู้เท่าทันสัญชาตญาณตัวเอง ใช่มั้ย?

ถ้ามีใคร ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง จะเป็นพ่อค้า จะมีใครก็ได้ จะให้สิ่งที่เราต้องการ ง่ายและเร็ว ระวังที่สุด เพราะเราจะประมาทที่สุด จะโง่ที่สุดในเมื่อมีความหวัง ว่าจะได้ความสุข จะได้สิ่งที่ต้องการ ง่าย ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องใช้ความอดทน เร็วๆมาก ไม่ต้องคอย โอ๋ มันตอบสนองสัญชาตญาณของเราอย่างยิ่ง ฉะนั้นคนเรา เราปฏิบัติธรรม มันคือเพื่อจะศึกษา รู้เท่าทัน จิตใจตัวเอง แล้วสิ่งใดที่รู้สึกมีพลังกับจิต สิ่งที่ดึงดูดจิต เราต้องสังเกต แล้วป้องกันอันตราย เพราะสิ่งที่กระตุ้นตัณหาเราเนี่ยะ จะเป็นตัวที่จะ...จะทำให้สติปัญญาของเราทำงานได้ยาก ความละอาย ความเกรงกลัว สิ่งคุณธรรมที่ป้องกันอันตรายทั้งหลาย นี่จะมี...จะอ่อนลง ฉะนั้นจะต้องระวัง.

ฉะนั้นไอ้นักปฏิวัติทั้งหลาย ก็รู้ดีนะ ไอ้ของเก่ามันเสียหมด ไม่เอาล่ะ ไอ้...มันคร่ำครึแล้ว ไม่เอาแล้ว ทิ้งหมดเลย เริ่มต้นใหม่ ร่างใหม่ หรือปลูกใหม่ แหม ตื่นเต้น อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่มันจะเป็นอย่างนั้นได้หรือ? ทางพุทธเราถือว่าศึกษา ให้รู้เท่าทัน ความสลับซับซ้อนของชีวิต ของสังคม เพื่อเราจะดูกระแสเหตุปัจจัย แล้วในเวลา ในกำลังที่จำกัด เราสามารถเลือกเฟ้น แยกแยะ ดูว่าตรงไหนที่เราสามารถทำอะไรได้ เหกมือนกับ...จะเทียบกับยา...ยาแรง ยาปฏิชีวนะบางอย่าง ที่แรงๆน่ะ มันก็ฆ่าสิ่งที่ไม่ดีในตัวเรา และในขณะเดียวกัน มันฆ่าสิ่งที่ดีไปด้วย ในเรื่องของการรักษาโรคบางทีก็ต้องยอมรับ ยอมผลข้างเคียงบ้าง แต่ในชีวิตจริงทางโลก เราก็ใช้สติปัญญาของเราได้ ว่าอะไรคือหลักชีวิตของเรา? หรือว่าพูดอีกนัยหนึ่งว่า เราอยู่เพื่ออะไร?

จะสังเกตว่าการทำงานน่ะ ทุกวันนี้การทำงานกลายเป็นศาสนาของคนรุ่นใหม่ ศาสนาหมายถึงว่า สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย บางคนก็ทำงานตั้งแต่เช้ามืด นอนดึก จนตื่นก็ภูมิใจตัวเอง ถือว่าตัวเก่ง มีเพราะอะไร? เพราะก่อนจะกลับถึงบ้านนี่ สี่ทุ่มห้าทุ่มทุกวัน เก่ง จะไปเก่งทำไม? เก่งตรงไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าทำงานเพื่ออะไร? ทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ทำงาน คนรุ่นใหม่นะ ถึงได้ไม่ใช่ว่าทำงานเพื่อชีวิต แต่เป็นชีวิตเพื่อทำงาน แล้วทำไมทำงานแล้วมันจะมีความศักดิ์สิทธิ์ จะมีอะไรที่มันสมควรจะบูชาถึงขนาดนั้น?

ฉะนั้นชาวพุทธเรา ก็มีหลักคือว่า ชีวิตของมนุษย์เป็นชีวิตที่ประเสริฐได้ มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ จะประเสริฐได้ด้วยการฝึกตน ความหมายของชีวิต คุณค่าของชีวิต อยู่ที่การขัดเกลา กายวาจาใจ ของตน ตามหลักคำสอนหรือตามเทคโนโลยีของพระพุทธเจ้า เพื่ออะไร? เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของตน เพื่อประโยชน์และความสุขของส่วนรวม ถ้าเรารับหลักการนี้ไว้ ก็เลยมันมีเครื่องตัดสิน ของใหม่และของเก่า ถ้ามีของเก่าที่เป็นอุปสรรค ต่อการเข้าถึงเป้าหมายชีวิตของเรา ตามหลักพุทธศาสนา ตรงไหนบ้าง? มันเกิดเพราะอะไร? มีเหตุปัจจัยอย่างไรบ้าง? มันจึงเป็นอย่างนั้น อันนี้ก็จะช่วยๆกันทำให้ สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดข้องคุณงามความดี ค่อยๆลดน้อยลง แต่สิ่งที่เป็น มีอุปการคุณ เราก็รักษาไว้.

ฉะนั้นเรา...เราอยู่ในโลกความเก่าความใหม่ เราก็ต้องสังเกตอารมณ์ตัวเอง นี่นี้จากมุมมองของนักปฏิบัติธรรม เพราะใช้คำว่าเก่า แล้วรู้สึกยังไงรู้มั้ย? ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่พอเก่าเนี่ยะ รู้สึกแบบ ไม่ค่อยจะดี ถ้ารู้สึกว่าใหม่ มีความรู้สึกที่ดี นี้ตัวนี้ มันจะมีตัว อ่า...ขับเคลื่อนพฤติกรรม ทางกายวาจาใจได้ โดยเราไม่รู้ตัว ถ้าไม่ตั้งสติให้ดี ถ้าเป็นคนอายุ...สูงอายุ กำลังจะสูงอายุ เหมือนอาตมา บางทีเอาคำว่าเก่า มันรู้สึกแบบ อบอุ่น แบบสบายใจ นี่ ใช่มั้ย? ของใหม่นี่บางทีก็ ระแวง ถ้าบางคนก็ กลัว กลัวพลัดพรากจากของเก่าที่ให้ความสุขกับเรา.

ฉะนั้นแค่คำว่าเก่าคำว่าใหม่ ในเมื่อมีผลต่อจิตใจ นี่ถ้าเรา อ่า ความรู้สึกเกิดขึ้นแล้วไม่รู้เท่าทัน ความรู้สึกนั้นไปอยู่ใต้สำนึก คอยขับเคลื่อนพฤติกรรม การรับรู้การตอบสนอง ทุกอย่างที่เราไม่รู้ตัว ในพุทธธรรม เราต้องการจะฝึก เปิดเผยความจริง ฝึกให้สามารถ รู้ เห็น สิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็น ในreal time ในขณะที่กำลังปรากฏอยู่ ไม่ใช่รู้เพราะเป็นทฤษฎี หรือเป็นปรัชญา แต่รู้จริงในปัจจุบัน.

เพราะฉะนั้น การฝึกตน ทำให้บางคนก็ยัง...เที่ยวนี้อาตมากลับมาแบบตกร่องเนี่ยะ เพราะไอ้...ที่อาตมาชอบวิจารณ์ว่า คนไทยมองพุทธธรรมผ่านสายตาของตะวันตก อย่าง...ยกตัวอย่างอีกข้อหนึ่ง การที่กล่าวหาว่าคนนั่งสมาธิ เห็นแก่ตัว ไม่รู้คำ...ความคิดนี้มันเกิดขึ้นในสังคมพุทธ ได้อย่างไร? เพราะถ้าใครเคยภาวนา แล้วมันก็ต้องเห็นชัดเลย ว่ามันตรงกันข้าม เพราะว่า ความเห็นแก่ตัวน่ะคืออะไร? ความเห็นแก่ตัวก็คือการ ยึดมั่นถือมั่น ในอัตตา/ตัวตน แล้วถือว่าฉันคือศูนย์กลางของชีวิต ฉันไม่แคร์ความรู้สึกของคนอื่น ชั้นต้องการอะไร ชั้นก็ต้องแสวงหาสิ่งนั้น คนอื่นเป็นยังไงช่างมัน ไม่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ใช่มั้ยเนี่ยะ? นี่ล่ะเห็นแก่ตัว ซึ่งที่จริงแล้วน่าจะเรียกว่าเห็นแก่กิเลสมากกว่า แต่ถ้าเราภาวนาแล้ว เราหลับตาแล้ว เห็นอะไรมั้ย? ไม่ได้เห็นสวรรค์และนรก เราเห็นกิเลสตัวเอง โอ้ นี่กิเลสตัวนี้มันร้ายนะ ไอ้การเอารัดเอาเปรียบคนอื่น การพยาบาท ความหลงใหลอยู่ คือมันจะรู้จะเห็นกิเลสต่างๆ ว่ามีโทษมีทุกข์ต่อชีวิตเรา มีโทษมีทุกข์ ที่ทำให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างมีปัญหาตลอด ดังนั้นมันก็เป็นการแก้ปัญหาความเห็นแก่ตัว อยู่ที่รากเหง้าของมัน และทำให้เรามีวิชา มีกำลังใจ มีฉันทะ มีวิชชา ในการจะค่อยขัดเกลาความเห็นแก่ตัว.

ฉะนั้นผู้ที่นั่งสมาธินี้ คือผู้ที่กำลังแสวงหาวิธีแก้ปัญหาความเห็นแก่ตัว มันไม่ใช่คนทำเพราะเห็นแก่ตัว ฉะนั้นไอ้...คำวิจารณ์ของคนศาสนาอื่น ที่หวังดี อาจจะหวังดีแต่ไม่เข้าใจก็มี ปองร้ายก็มี แต่ว่าเราก็รับมา เพราะ โอ้ ตะวันตก เป็นกระแสตะวันตก สมัยก่อนนี่ นั่งหลับตานี้ไม่รับผิดชอบ ไม่รับผิดชอบต่อสังคม ต่อส่วนรวม สนใจแต่ตัวเอง อันนี้เป็นความคิดของคนที่ อ่า ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยสัมผัสกับคำสอนพระพุทธเจ้า ก็พอเข้าใจ(เขา) แต่เพราะคนเราทุกวันนี้ รับความคิดของตะวันตกมา เหมือนก็เป็น คล้ายๆกับเป็นjunk food ของจิต ก็เป็นความคิด เป็นประโยชน์สำเร็จรูป ไม่ได้กลั่นกรอง ไม่ได้คิดพินิจพิจารณา ก็เลยเข้าใจพุทธศาสนาผิดไป เลยไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร.

ฉะนั้น ถ้าเป็นปีใหม่ ก็แล้วของใหม่ของอาตมาก็คือ ให้กับมาหาหลักจริงของพุทธศาสนา สุดท้ายพวกเราที่ฟังวันนี้ก็คง ไม่ได้มีปัญหามาก แต่ก็คงจะรู้จัก จะเป็นลูกเป็นหลาน เป็นแฟนเป็นสามีภรรยา ที่นึกว่าตัวเองไม่ศรัทธาพุทธศาสนา แต่สิ่งที่เขาไม่ศรัทธา คือconcept คือภาพพจน์ของพุทธศาสนา ที่เขาสร้างขึ้นมา(เอง)ในจิตใจ เข้าไม่รู้จักพุทธศาสนา เขาคิดว่า สิ่งที่อยู่ในสมองนั้น ความทรงจำ ความคิด สำเร็จรูป 2-3 ประโยคนั่นแหละ คือพุทธศาสนา พุทธธรรมนี่ท้าพิสูจน์ ถ้ามีตรงไหนที่ไม่ศรัทธา เอ้า ลองคุยมาดู ด้วยเหตุผลอะไร? อย่างไร? อยากฟังเหมือนกัน ท้าพิสูจน์พุทธธรรมของเรา.

ฉะนั้นวันนี้ก็คิด คุย พิจารณา เรื่องเก่า เรื่องใหม่ ในโอกาสที่เราได้ขึ้นปีใหม่ ปี 2566 ที่อาตมาจะต้องพูดตรงนี้ กับทุกปีเหมือนกันว่า ปีนี้จะเป็นอย่างไร เรารู้ได้อย่างเดียวว่าจะ ไม่เป็นอย่างที่เราคิด จะเป็นยังไงก็ไม่มีใครรู้ ทีนี้อาตมาก็อยากให้ ให้คน อ่า นี้ชวนทำทุกปีไม่มีใครทำ ทำfile เก็บข้อมูลของหมอดูทั้งหลาย ที่พยากรณ์แต่ละปี ลองดูว่าหมอดูต้นปีที่แล้วเขาพยากรณ์ยังไง แล้วก็ใหดูว่า จริงมากน้อยแค่ไหน? อาตมาเพิ่งดู เพิ่งดูของหมอดู เมื่อวันก่อน หมอดูก็บอกว่า ในวันเกิดของอาตมา ถ้าทำอะไรรีบร้อนเกินไป จะไม่ได้ผลดี โอ้โห แม่นมากเหลือเกิน เชื่อ เชื่อมากเลย มันจะเป็นอย่างนี้ไปกว้างๆ ยังงี้ก็ เอ่อ ใช่ ให้เราอยู่ในปัจจุบัน รู้เท่าทันอดีต ไม่ใช่ทิ้งอดีตอนาคต รู้เท่าทัน อดีตคืออะไร? อดีตก็คือความจำ รู้เท่าทัน อดีตคือความจำ ใช้ความจำในลักษณะที่เอื้อต่อประโยชน์ ในปัจจุบัน รู้เท่าทัน อนาคตคือความคิด ใช้ความคิดให้เป็นประโยชน์ต่อปัจจุบัน ในปัจจุบันไม่ได้ปฏิเสธอดีตอนาคต แต่รู้เท่าทัน แล้วก็ใช้ให้เป็นประโยชน์.

ก็ขอให้ทุกคน มีความสุขความเจริญ ในสิ่งดีงามทั้งหลาย ตลอดกาลนาน.

สาธุ...

 https://youtu.be/T7L4g7192zs?si=KrrnI5Z7nmYMzXRC

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น