หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ทำไมช่องว่างความไม่เสมอภาค กำลังเติบโตขึ้นระหว่าง รวยกับจน

ทำไมช่องว่างความไม่เสมอภาค กำลังเติบโตขึ้นระหว่าง รวยกับจน

Why The Inequality Gap Is Growing Between Rich and Poor

          https://youtu.be/41y4c1Oi5Uo?si=UaZHeOkuMJIoWQaY



บทนำ (Intro)

          40 ปีมาแล้วที่ สหรัฐอเมริกา ได้นำโลกทางเศรษฐกิจ, ได้ผลิตสร้างการแก้ไขปรับปรุงอย่างมโหฬารในสวัสดิการชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์.  (The U.S. led global economy, produced an enormous improvement in human welfare.)

          ตั้งแต่ปี 1981, สัดส่วนของประชากรโลกที่มีชีวิตอยู่อย่างยากจนที่สุดกับรายได้ที่น้อยกว่าวันละ 1.9 ดอลลาร์, ได้ตกลงไปจาก 42 เปอร์เซ็นต์, ไปเป็น 10 เปอร์เซ็นต์(ในปี 2015). แต่ในประเทศทั้งหลายที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้า/พัฒนาแล้ว, ความไม่เสมอภาคของรายได้และความมั่งคั่งได้พุ่งสูงขึ้น. (Since 1981, the proportion of the world’s population living in extreme poverty on less than a 1.90$ per day has fallen from 42 percent, to 10 percent (in 2015). But in countries with advanced economies, inequality of income and wealth has surged.)

          และไม่มีที่ใดมีมันซึ่งได้พุ่งพรวดสูงขึ้นมากยิ่งไปว่าในสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งการพึ่งพาอยู่กับแรงกำลังของตลาดเสรีได้เป็นที่แข็งแรงมากที่สุด. นั่นได้เพิ่มขยายรางวัลสำหรับเหล่าผู้ที่อยู่บนยอดและทิ้งผู้อื่นไว้ข้างหลัง. (And nowhere has it surged more than in the U.S. where reliance on free market forces has been strongest. That magnifies reward for those at the top and leaves most other behind.)


          แนวโน้มเช่นนี้ช่วยเหล่าผู้ที่มีระดับการศึกษาสูงกว่า และสร้างความเจ็บปวดกับผู้ที่การศึกษาน้อยกว่า. มันยกระดับการอยู่อาศัยในเมืองใหญ่หลักๆทั้งหลาย ในขณะที่ทิ้งเหล่าผู้ที่อยู่ในเมืองเล็กๆไว้ข้างหลัง. (The trend helps those with higher levels of education and hurts the less education. It lifts residents of major cities while leaving those in small towns behind.)

          กับตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของคนอเมริกัน มันยิ่งนากมากขึ้นที่จะไปข้างหน้า. ทำไมสิ่งนี้ได้บังเกิดขึ้น และอะไรที่คือเหตุปัจจัย? นี่คือห้าสาเหตุ. (For growing numbers of American it’s just harder to get ahead. Why is this happened and what are the consequences? Here are five causes.)


          การปฏิวัติดิจิตอลสร้างความมั่งคั่งอย่างมหึมาสำหรับเหล่าผู้มีทักษะและการเตรียมตัวพร้อมที่จะใช้ความได้เปรียบนั้น. แต่มันได้กำจัดสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายเรียกว่า “งานสำหกรับทักษะปานกลาง” ออกไป.(The digital revolution creates enormous wealth for those with the skills and preparation to take advantage. But it eliminates what economists call “middle-skill jobs.”)


          คอมพิวเตอร์ซอฟท์แวร์และเครื่องจักรอุตสาหกรรมทั้งหลายในตอนนี้เติมเต็มบทบาทจากพนักงานประจำสำนักงาน ไปสู่งานประจำวันการผลิตในอุตสาหกรรม ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นรายได้ประจำปานกลางกลางของแรงงานทั้งหลายที่ปราศจากวุฒิปริญญามหาวิทยาลัย. (Computer software and industrial machines now fill roles from clerical tasks to routine manufacturing that once produced middle-class income for workers without college degrees. 

เดวิด ออเทอร์ – “หนึ่งในแรงกำลังทั้งหลายคือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ที่ได้เพิ่มมูลค่าของการแก้ปัญหาเชิงนามธรรม, ทักษะทั้งหลายของการสื่อสารระหว่างบุคคลและการทำงานร่วมกับผู้อื่นในองค์กร. สิ่งทั้งหลายที่แรงงานที่มีการศึกษาระดับสูง มีแนวโน้มเอียงที่จะเป็นที่สามารถทำได้อย่างมาก และได้ลดทอนมูลค่าไปพร้อมกันกับภาระการงานมากมายใช้สติปัญญาที่คร่ำเคร่งแต่ซ้ำซากในสำนักงาน และสายการผลิตทั้งหลาย และช่างทำหารพังทะลายชุดงานที่มีกิจกรรมทั้งหลาย ซึ่งสามารถมีให้ได้แก่แรงงานไม่ได้จบมหาวิทยาลัย และแบบว่าผลักพวกเขาอย่างเถียงไม่ได้ลงไปสู่งานให้บริการรับใช้ส่วนตัว, บริการทำอาหาร, ทำความสะอาด, รักษาความปลอดภัย, บริการขนส่ง, ซ่อมแซม ที่ซึ่งทักษะของพวกเขาสามารถสับเปลี่ยนทดแทนได้มากยิ่งกว่า กับแรงงานทั้งหลายอื่นๆ และได้ผลตอบแทนน้อยลงไปกว่าถึงแม้จะมีประสบการณ์มามากอย่างไรตลอดข่วงชีวิต. และเช่นนั้นเองที่ได้จ่ายแจกแรงกดดันลงข้างล่าง และแรงกดดันในเรื่องค่าจ้าง และความไม่ปลอดภัยทางเศรษฐกิจสำหรับผู้มีการศึกษาน้อยกว่า. ดังนั้น, มันจึงเป็นอะไรแบบว่าได้สร้างสรรค์โลกอันยิ่งใหญ่ สำหรับผู้มีการศึกษาสูง และสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางเศรษฐกิจให้น้อยลงยิ่งขึ้น และเชื้อเชิญเปิดโลกอ้ากับผู้คนที่ไม่มีการศึกษาในระดับสูง. (David Autor - “One of those forces is technological progress that has increased the value of an abstract problem solving, interpersonal communication or organizational skills. Things that highly educated workers tend to be very capable of and has simultaneously devalued a lot of cognitively intensive but repetitive tasks in offices and production lines and so kind of hollowed


out the set of job activities available to non-college workers and sort of pushed them arguably downward into personal services, food services, cleaning, security, transportation, repair where their skills are more interchangeable with other workers and where there is less of a return to experience over the lifecycle.)

 (And so that has contributed downward pressure and wage pressure and economic insecurity for the less educated. So, it’s really kind of created a great world for the highly educated and a much less economically secure and inviting world for people who don’t have high levels of education.”)

การอุบัติขึ้นมาของ จีน(China’s Rise)

การแข่งขันจากเศรษฐกิจเกิดใหม่เหมือนเช่นของจีน ได้บวกเข้าด้วยการลดอุปสรรคกีดกั้นทางการค้าทั้งหลาย, ไปไกลถึงการลดทอนโอกาสทั้งหลายสำหรับแรงงานทั้งหลายที่ปราศจากทักษะก้าวหน้า. นั่นได้มีผลทั้งหลายที่ตามมาอย่างร้ายแรงในภาคส่วนทั้งหลายอย่างเช่น สิ่งทอ, และเฟอร์นิเจอร์และเครื่องหนัง. (Competition from emerging economies1 like China’s combined with reduced trade barriers have further reduced prospects for workers without advanced skills. That’s had devastating consequences in sectors such as textiles and furniture and leather goods.)

1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88

 


          เดวิด ออเทอร์ – “เรื่องราวเศรษฐกิจโตที่สุดของศตวรรษอย่างจริงแท้และอย่างแน่ชัดของ 50 ปีสุดท้ายที่ผ่านมาก็คือการโผล่ผุดขึ้นมาของจีน. (Daid Autor - “The biggest economic story of really of the century and certainly of the last 50 years has been China’s rise.)



    จีน
มาจากประเทศที่ยากจนและถอยหลังมีวิกฤตการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างถาวร สู่พรมแดนผู้ประกอบการผลิตด้วยแรงงานที่มีการศึกษาอย่างดี, มีทักษะพร้อมใช้งานสูงในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่. (China going from a poor and backward country perpetual political and economic crisis to a frontier manufacturer with pretty well-educated, highly available skilled labor using modern technology.)

ดังนั้น, จีนได้เดินสวนสนามขึ้นมายังพรมแดนผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี ในระหว่างปี 1980 และปัจจุบันที่อัตราเกือบจะไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ และเพราะมันช่างกว้างใหญ่มากมายเหลือเกิน, เพราะว่ามันมีประชาชนมากมายเหลือเกิน, มีทรัพยากรมากมายเหลือเกิน, มีที่ดินที่มากมายเหลือเกิน, มันสามารถที่จะกลายเป็น, อย่างที่คุณรู้, ผู้ประกอบการผลิตสำหรับในตอนนี้ที่จุดนี้มากยิ่งกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของกิจการผลิตของโลกซึ่งมีมูลค่าเพิ่ม. และนั่นเป็นแค่ความสามารถในการทำงาน. (So, China marched up the productivity technology frontier between 1980 and the present at a rate almost unseen in history and because it was so vast, because it had so many people, so many resources, so much land, it could become, you know, a manufacturer for now at this point more than 20 percent of all world manufacturing value add. And that’s just a function.)

นั่นไม่ใช่ความสามารถในการทำงานของธุรกรรมการค้าขายทั้งหลาย. นั่นเป็นเบื้องต้นชองความสามารถในการทำงานของการพัฒนาภายในประเทศของจีน. การตัดสินใจที่จะอนุญาตให้มีการย้ายงานเสรีชองแรงงานเพื่อประยุกต์เข้ากับเทคโนโลยีตะวันตกและการลงทุนโดยตรงของต่างชาติ และที่จะเริ่มต้นการค้ากับโลกภายนอก. (That’s not a function of trade deals. That’s primary a function of internal developments in China. The decision to allow free mobility of labor to adopt Western technology and foreign direct investment and to start trading with the world.)

 



และนั่นได้มีผลใหญ่โตกับสหรัฐอเมริกา แม้กระทั่งในยุค 90. แต่เมื่อจีนเข้าร่วมในปี 2001 นั่นยิ่งไปไกลกว่าในการเปิดประตูน้ำท่วมทั้งหลาย. และนั่นได้มีผลเร่งเร็วขึ้นอย่างน่าทึ่งบนอัตราที่ซึ่งการแข่ง

ขันได้เข้ามาสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา สำหรับสินค้าผลิตภัณฑ์ทั้งหลาย. และอัตราของการเสื่อมถอยลงของสหรัฐอเมริกาในการจ้างงานการผลิตเป็นเช่นผลลัพธ์ตามมา. (And that had a big effect on United States even in the 90s. But when China joined in 2001 that further opened the floodgates. And that had a dramatic accelerant effect on the rate at which competition entered the U.S. market for manufactured goods. And the rate of decline of U.S. manufacturing employment as a result of that.)

กว่าช่วงเวลาแค่เจ็ดปี, ราว 20 เปอร์เซ็นต์ของงานอาชีพสายการผลิตได้หายไป. และแล้วพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงมัน, รู้สึกได้โดยจุดเจ็ดเปอร์เซ็นต์สะสมอีกอันหนึ่งใน่วงเวลาภาวะถดถอยครั้งใหญ่. ดังนั้น, อย่างมีประสิทธิผลหนึ่งในสามของานอาชีพด้านการผลิตไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้วอย่างที่มีอยู่ในปี 2000. (Over the course of just seven years about 20 percent of all U.S. manufacturing jobs disappeared. And then they fell it, fell by another cumulative eleven percent points during the Great Recession. So, effectively one-in-three manufacturing jobs no longer existed that had existed around 2000.”)

 

เมืองใหญ่ยอดนิยมทั้งหลาย (Superstar Cities)

          บริษัทที่ฝ่าทะลวงก้าวหน้าอย่างยิ่งใหญ่อย่างเช่น แอปเปิล และอะเมซอน ในตอนนี้ดึงดูดรายได้ข้ามโลก, ผลิตสร้างเงินกองกลางมหาศาลสำหรับผู้บริหารทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้นำของพวกเขา. และให้กับมหานครทั้งหลายของคนอเมริกันที่พวกเขาเหล่านั้นเรียกว่าบ้าน.(Breakthrough firms such as Apple and Amazon now attract revenue across the world, which produces immense jackpots for the executives who lead them. And for the American cities they call home.)


          เมลิสสา เคียร์นีย์ “คุณสร้างสรรค์นวัตกรรมนั้นและคุณได้มีตลาดข้ามโลก. คุณกำลังที่จะมีรายได้ใหญ่โตมากยิ่งจึ้นกว่ารุ่นอายุที่ผ่านมา. มีการแยกออกและการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลผลิตทางเศรษฐกิจออกมาอย่างเพิ่มขึ้นช้ามไปทั่วทุกแห่งในสหรัฐอเมริกา. (Melissa Kearney - “you create the innovation and you have the global markets. You’re going to have much larger earnings than in a previous generation. There is increasingly divergence and economic growth and economic out comes across places in the U.S.)

          และนั่นเช่นนั้นเองที่มีอะไรซึ่งคุณรู้ตามไปด้วยกับแรงงานดาวเด่นทั้งหลาย และกิจการดาวเด่นทั้งหลายเมทาอคุณมีมหานครดาวเด่นทั้งหลายในการเพิ่มขึ้นของผู้ชนะได้ไปทั้งหมด.” (And that so there are just you know along with these superstar workers and these superstar firms when you have superstar cities in our increasingly winner take all economy.”)

 

พลังการต่อรองที่อ่อนแอ (Weak bargaining power)



          ในขณะเดียวกัน, ส่วนแบ่งของแรงงานทั้งหลายแสดงให้เห็นโดยสหภาพแรงงานทั้งหลาย ได้ลดต่ำลงไปครึ่งหนึ่ง, ในการหดตัวลงของพลังอำนาจของพวกเขา. แรงงานค่าจ้างต่ำที่สุดได้ถูกเห็นในพลังการซื้อซึ่งลดต่ำลงของค่าจ้างต่ำสุด ในขณะที่รัฐบาลไม่ได้เพิ่มมันขึ้นเพื่อรักษาระยะไว้ให้ทันภาวะเงินเฟ้อ. (Meanwhile, the share of workers represented by labor unions has dropped by half, shrinking their power. The lowest paid workers have seen the buying power of the minimum wage drop as the government has not increased it to keep pace with inflation.)   

            เมลิสสา เคียร์นีย์ “เล็กน้อยกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มีวุฒิการศึกษามัธยมหรือน้อยกว่า, กับการกร่อนค่าลงของค่าจ้างขั้นต่ำในมากมายกรณีทั้งหลาย, การเสื่อมทรมลงของระบบสหภาพแรงงาน, สิ่งทั้งหลายที่ได้, อีกนัยหนึ่ง,แบบว่าทำร้ายแรงงานทั้งหลายของพลังอำนาจการต่อรองในหนทางทั้งหลายที่ขยายความอ่อนแอลงของพวกเขา, อำนาจการต่อรองที่มาจากแรงกำลังภายนอกทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งพวกเขาได้ถูกแข่งขันไปแล้วด้วยเทคโนโลยี หรือแรงงานจากประเทศค่าแรงต่ำกว่า เป็นตัวอย่าง.” (Melissa Kearney – “Fewer than 70 percent of men with a high school degree or less are working. The eroded value of the minimum wage in many cases, the decline in unionization, things that have otherwise sort of hurt workers bargaining power in ways that amplified their weakened bargaining power are just coming from these external forces where they were already competing with technology or workers from lower wage countries for example.”)


          การเปลี่ยนย้ายความสมดุลขแองพลังอำนาจได้ให้รางวัลแก่ผู้มั่งคั่งที่สุด แม้กระทั่งมากยิ่งกว่าผ่านนโยบายทั้งหลายของรัฐบาลและสถาบันเอกชนทั้งหลาย. จากการเปลี่ยนแปลงภาษีทั้งหลายที่ได้เพิ่มรายได้ขึ้นให้กับพวกเขา สู่ขั้นตอนการรับเข้ามหาวิทยาลัยที่ได้เปิดประตูทั้งหลายให้กับลูกหลานของพวกเขาเหนือคนอื่นๆ. ตลาดสร้างแรงจูงใจในความไม่เท่าเทียมกันในการสร้างงานหนักและเสี่ยงที่จะรับ ช่วยพลวัตรเศรษฐกิจอเมริกันแต่ก็ยัดเยียดเป็นต้นทุนด้วยเช่นกัน. (The shifting power balance has rewarded the wealthiest even more through policies in government and private institutions. Form tax changes that increased their income to college admissions procedures that opened doors for their children above others. The market incentives inequality creates for hard work and risk-taking helps make American’s economy dynamic but it also imposes cost.)

เดวิด ออเทอร์ - คุณจำเป็นต้องการความไม่เสมอภาคบ้าง. ปัญหาก็คือเมื่อพลวัต/แนวคิดเรื่องของพลังความเคลื่อนไหวมาถึงจุดที่ทำให้เกิดราชตระกูลนิยม/ลัทธิสืบทอดอำนาจในตระกูลขึ้น, เช่นนั้นเองที่ชนรุ่นถัดไปไม่ได้มีรอยเท้าของความเสมอภาค. เช่นนั้นเองที่เด็กๆทั้งหลายของพ่อแม่ที่ร่ำรวย แม้กระทั่งผู้ที่ความสามารถปานกลางก็ได้เรียนที่โรงเรียนที่ดีที่สุด และเข้าได้ถึง, อย่างที่คุณรู้, การลงทุนดีมากที่สุดภายหลังเรียน, การฝึกงานที่ดีมากที่สุดและอะไรอื่นๆ.  (David Autor - You need some inequality. The problem is when that dynamism2 at a point in time gives rise to dynasticism3, such that the next generation doesn’t get an equal footing. Such that kids of affluent parents even if there are mediocre talent get to go to the best schools and get access to the, you know, the most after school investment, the most training and so on.)

2 https://en.wikipedia.org/wiki/Dynamism_(metaphysics)

3https://goong.com/th/word/dynasticism-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/

และอย่างที่คุณก็รู้, เด็กๆที่มีความสามารถปราดเปรื่องจากครอบครัวที่ร่ำรวยน้อยกว่า ไม่สามารถได้ไปเรียนยังโรงเรียนทั้งหลายเหล่านี้. พวกเขาไม่ได้ลงทุนได้ในหนทางเหมือนกันนั้น. และนั่นคือความสูญเสียของพวกเราทั้งหมด. นั่นไม่ใช่ความสูญเสียเฉพาะพวกเขาเหล่านั้น. นั่นหมายถึงว่าสังคมของเราจะมีประสิทธิผลที่ด้อยและน้อยลง.” (And you know, talent kids from less affluent families don’t get to go to these schools. They don’t get invested in the same way. And that’s a loss for all of us. That’s not just a loss for them. That means our society will be less productive.”)

และมันก็เติมเชื้อเพลิงให้กับความยุ่งยากวุ่นวายในการเมืองของชาวอเมริกัน. ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งหลายได้โยนทิ้งพรรคการเมืองที่ได้ควบคุมครองทำเนียบขาว หรือหนึ่งในสภาคองเกรสจากในหกของอดีตการเลือกตั้งเจ็ดครั้งที่ผ่านมาล่าสุด. 2020 สัญญาว่าจะเป็นที่แค่ความวุ่นวายให้ถกเถียงกัน. (And it fuels the non-stop turmoil in American politics. Voters have thrown out the party in control of the White House or one chamber of Congress in six of the past seven national elections. 2020 promises to be just as contentious.)

เมลิสสา เคียร์นีย์ – “ฉันคิดว่าเรากำลังเห็นได้ดังและชัดในการเมืองอะไรแบบที่ว่านั้นของสองสามปีที่ผ่านมานี้. ผู้คนแบบว่าอย่างเพิ่มขึ้นในการที่จะรายงานว่า พวกเชาเชื่อว่าระบบนั้นได้ทำให้พวกเขาเป็นแค่ตัวประกอบ. (Melissa Kearney – “I think we’re seeing that loud and clearly in the sort of politics of the past few years. People are increasingly likely to report that they believe the system is rigged against them.)

สิ่งนี้คือความเสียหายทั้งคู่ในการทำหน้าที่ประโยชน์ของประชาธิปไตยของเรา. แต่ฉันคิดอย่างแท้จริงว่าเป็นทั้งกับหน้าที่ประโยชน์ของทางเศรษฐกิจด้วย. เรากำลังที่จะเห็นผู้คนเพิ่มขึ้นในจำนวนมากมายเป็นแบบว่าถูกทิ้งขว้างออกไปจากกระแสหลักของการไต่ปีนสู่ความสำเร็จทางเศรษฐกิจ และเช่นนั้นเอราที่เราได้เศรษฐกิจแบบป่วยไข้ออดๆแอดๆนี้. และในตอนนี้เราก็มีสังคมนี้ที่ป่วยไข้เจ็บออดๆแอดๆต้องอยู่ไปกับมัน. และ, และมันกำลังละทิ้งไปจากการเมือง, ฉันหมายถึงการเมืองที่ต้องร้องแรกแหกกระเชอขานใหญ่, ไปจนหมดสิ้น, ฉันคิดว่า, นั้นจะพลิกคว่ำเปลี่ยนแปลงระบอบทุนนิยมของเรา. (This is damaging both for the functioning of our democracy. But I actually think also for the functioning of our economy. We’re going to see people in increasing numbers sort of dropping out of our mainstream climb to economic success and so we’ve got this economic malaise. And now we have this social malaise going along with it. And, and it’s leaving the political I mean large, loud political cries for completely, I think, upending our capitalist system.”)

 https://youtu.be/41y4c1Oi5Uo?si=l-07Mif6l4RVCW_r

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น