หน้าเว็บ

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2567

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย – ตอบปัญหาธรรม (13) การเห็นสีของดวงจิตในสมาธิ, (14) เห็นอาจารย์ที่สอน มาเยี่ยมในสมาธิ, (15) จิตดิ่งในสมาธิ, (16) อาการเกิดดับ, (17) ผีและวิญญาณ, (18) หาจุดกำหนดลงที่จิต, (19) ทำอย่างไรให้จิตอยู่ในคำบริกรรมภาวนา,

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย – ตอบปัญหาธรรม (13) การเห็นสีของดวงจิตในสมาธิ, (14) เห็นอาจารย์ที่สอน มาเยี่ยมในสมาธิ, (15) จิตดิ่งในสมาธิ, (16) อาการเกิดดับ, (17) ผีและวิญญาณ, (18) หาจุดกำหนดลงที่จิต, (19) ทำอย่างไรให้จิตอยู่ในคำบริกรรมภาวนา,

https://youtu.be/AwPOJkp7z_8?si=lsP-tyk3MJqzhATI

          *https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93_(%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%98_%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A2)



ถาม(13):   อีกปัญหาหนึ่ง เมื่อเห็นสิ่งของ ดวงจิต ในสมาธิ ในเมื่อเห็นสีของดวงจิตในสมาธิ ขั้นแรกๆเป็นสีน้ำเงิน ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีแดง ม่วง เหลือง ขาว เราควรจะเพ่งสีใดในจิตหรือไม่? จำเป็นต้องหยุดภาวนาหรือไม่?

ตอบ(13):   อันนี้เป็นธรรมดา เป็นธรรมดาของการทำสมาธิ ในเมื่อจิตมีอาการเริ่มสงบลงไป ในความรู้สึกจะเป็นสีม่วงสีน้ำเงินสีแปลกๆต่างๆ สารพัดที่จิตจะปรุงแต่งขึ้นมา อันนี้เราไม่ควรจะไปสนใจกับสีแสงเสียงทั้งหลายเหล่านั้น ให้จ้องอยู่ที่บริกรรมภาวนาถ้าบริกรรมภาวนายังมีอยู่ ให้จ้องอยู่ในคำภาวนานั้นๆ ถ้าหากบริกรรมภาวนาหายขาดไป ให้จ้องกำหนดรู้ที่จิตผู้รู้อันเดียวเท่านั้น อาทิ หือ.

ในเมื่อเห็นสีของดวงจิตในสมาธิ ขั้นแรกๆเป็นสีน้ำเงิน ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีแดงม่วงเหลืองขาว เราควรจะเพ่งสีในจิตหรือไม่? จำเป็นต้องหยุดภาวนาหรือไม่? อันนี้เป็นธรรมดาของการทำสมาธิ ในเมื่อจิตเริ่มจะมีอาการสงบลงไป ในความรู้สึกจะเป็นสีม่วงสีน้ำเงินเป็นสีแปลกๆต่างๆ สารพัดที่จิตจะปรุงแต่งขึ้นมา อันนี้เราไม่ควรจะไปสนใจกับสีแสงเสียงทั้งหลายเหล่านั้น ให้จ้องอยู่ที่บริกรรมภาวนาถ้าบริกรรมภาวนายังมีอยู่ ให้จ้องอยู่ต่อคำบริกรรมภาวนานั้นๆ ถ้าหากว่าบริกรรมภาวนาหายขาดไป ให้จ้องกำหนดรู้ที่จิตผู้รู้อันเดียวเท่านั้น ถ้าเราไปเกิดเอะใจกับสีแสงเสียงทั้งหลายเหล่านั้น สภาพจิตจะเปลี่ยน แล้วสมาธิจะถอน สีแสงเสียงเหล่านั้นจะหายไป ถ้าหากเราพยายามพยุงดวงจิต ประคับประคองจิตอันนี้ ให้อยู่ในลักษณะสงบนิ่งเฉย สีแสงเสียงจะอยู่ให้เราดูได้นาน แล้วเราอาจจะได้ปัญญา เกิดจากสีแสงเสียงทั้งหลายเหล่านั้น ในแง่วิปัสสนาก็ได้ เพราะอันนี้เป็นเครื่องหมายเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ.

เหตุการณ์ใดๆที่ผ่านเข้ามา ในขณะที่เราทำสมาธิ จะเป็นนิมิต8 อะไรก็ตาม เป็นความรู้ก็ตาม หรืออาจจะ

8https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95_(%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99)

เป็นเสียงดังขึ้นมาก็ตาม ให้ผู้ภาวนากำหนดรู้ลงที่จิตอย่างเดียว อย่าไปสนใจกับสิ่งเหล่านั้น เพราะสิ่งเหล่านั้นมันเป็นสิ่งที่จิตของเราบันดาล ให้เกิดมีขึ้นมาเอง เมื่อจิตไปเอะใจไปสงสัยไปยึดสิ่งนั้น จิตของเรานี่ไปหลงภูมิของตัวเอง เมื่อหลงภูมิของตัวเองแล้ว ก็ไปยึด ยึดแล้วก็ไปแปลกว่า เอ๊ะ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ พอเกิด เอ๊ะ ขึ้นมาแล้ว จิตก็ถอนจากสมาธิ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นหายไป เราเลยหมดโอกาสไม่ได้พอิจารณาให้รู้จริงเห็นจริง อันนี้ให้ระวังให้มาก.

          อันนี้ตอน...จำเป็นต้องหยุดภาวนาหรือไม่? ถ้าหากจิตยังภาวนาอยู่ ก็ภาวนาต่อไป ถ้าจิตหยุดภาวนาแล้ว ก็กำหนดรู้จิตอย่างเดียว หรือถ้าหากว่าจิตยังไม่หยุดภาวนา เราจะหยุด แล้วกำหนดรู้ที่จิตอย่างเดียวก็ได้ ในขั้นนี้.

ถาม(14):   ข้อสอง เมื่อมีโอปะปาติกะ9 อาจารย์ที่สอนกรรมฐานที่ล่วงลับไปแล้ว มาเยี่ยม โดยเห็นในสมาธิและสัมผัสรับรู้กับ...ได้กลิ่นหอมตลอดเวลาที่ทำสมาธิ การที่จะ...อะไรนี่ ติดต่อพูดคุยกับท่าน ควรปฏิบัติอย่างไร?

          9https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B0

ตอบ(14):   อันนั้นไม่มีทางที่ควรจะปฏิบัติอะไร และไม่ควรคิดที่จะไปพูดคุยกับท่าน เพราะสิ่งเหล่านี้ จิตของท่านปรุงแต่งขึ้นมาเอง อย่าไปเข้าใจว่าสิ่งอื่นมาแสดงให้ปรากฏ ถ้าหากท่านภาวนาพุทโธพุทโธพุทโธพุทโธ ท่านนึกอยากเห็นพระพุทธเจ้า หรือจิตของท่านผูกพันอยู่กับพระพุทธเจ้า จิตสงบสว่างลงไปแล้วจะเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จดำเนินมา ถ้าหากท่านยึดอยู่ที่ตัวอาจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้ว พอจิตสงบลงเป็นสมาธิ ระหว่างอุปจารสมาธิ สว่างขึ้นมา กระแสจิตส่งออกไปข้างนอก จิตยึดมั่นอยู่ในสิ่งใด สิ่งนั้นจะปรากฏเป็นตัวขึ้นมาให้ท่านเห็น.

จงทำความเข้าใจว่า นิมิตทั้งหลายแหล่ที่ปรากฏนั้น มันเป็นเพียงมโนภาพที่จิตของท่านสร้างขึ้นมาเอง อย่าไปเข้าใจว่าเป็นสิ่งอื่น หกลวงพ่อนี้นั่งภาวนาจนมองเห็นกายของตัวเองนี่แหลกเป็นผงไปแล้ว ลืมตาขึ้นมากายก็ยังอยู่ ถ้ามันเป็นจริงแล้วก็ ทำไมถึงมานั่งเทศน์ให้โยมฟังอยู่ได้ อันนี้คือข้อเท็จจริง เราอย่าไปหลงว่าเป็นสิ่งอื่นมา ถ้าหากว่าเป็นสิ่งอื่นมาแสดงตัวให้ปรากฏกันจริงๆนี่ ไม่จำเป็นต้องนั่งอยู่ในสมาธิ บางครั้งอาตมานั่งอยู่เฉยๆนี่ ผีมันวิ่งผ่านไปยังงี้ อันนี่มันถึงเป็นของจริง ในสมาธินี่มันเป็นของหลอก.

อ้า ในเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ แม้ว่าเวลาจะยืดยาวหน่อยก็ต้องขออภัยท่านผู้ฟัง จะนำตัวอย่างมาเล่าให้ฟัง ท่านอาจารย์ของอาตมานี่ท่านหนึ่ง ชื่ออาจารย์ทอง อโสโก ถ้ายังมีชีวิตอยู่เวลานี้ ก็อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับท่านหลวงพ่อเทสก์ ท่านอาจารย์เทสก์ ท่านผู้นี้ไปนั่งภาวนาอยู่ในกฏิเล็กๆ ในสำนักอาจารย์มั่น เวลาเข้าไปก็ปิดประตูลงกลอนอย่างดี พอภาวนาแล้วก็ พอจิตสงบนิ่งสว่างลงไป แล้วก็มีผู้หญิงสาวๆคนหนึ่งมานั่งอยู่ข้างๆ แล้วก็มาพูดจา หลวงพี่ มาทนทุกข์ทรมานทำไม สึกไปอยู่ด้วยกันจะมีความสุข ในตอนนี้ท่านมีสติอยู่ ท่านก็กำหนดว่า ดูจิตเฉยๆอยู่ เสียงนี้มันก็ดังออด ๆๆอยู่อย่างนั้น แล้วก็ไม่หยุด จนผลสุดท้ายอีนังผู้หญิงในนิมิตในฝันนั้นก็บอกว่า ฮึ่ มาพูจาด้วยก็ไม่อยากพูด ไม่พูดก็อย่าพูด เสร็จแล้วมันก็ลุกปุบปับไป ท่านอาจารย์ทองมองเห็นน่ะ ผู้หญิงคนนั้นเดินออกประตูไป เดินด้อม ๆๆๆออกประตูไปจนลับสายตา พอมันลับสายตาไปแล้ว สมาธิแตก พูดกับเค้าซะก็ดีเน๊าะ...หึหึ...ทีนี้ทั้งๆที่ อ่า พอนึกว่าพูดกับเค้าซะก็ดี เลยลุกปุบปับออกจากที่นั่งสมาธิ พอไปถึงประตูทั้งๆที่ตัวเองเนี่ยะ เมื่อนั่งอยู่ในสมาธินี่ เห็นผู้หญิงนี่เดินลอดประตูออกไป แต่เมื่อตัวไปถึงแล้วต้องถอดกลอนเปิดประตูออกเอง ยังไม่ได้สติ วิ่งลงไป วนรอบหา รอบๆกฏิ ส่องมุมนู้นส่องมุมนี้ ท่านอาจารย์มั่นท่านอยู่กฏิ ท่านก็ตะโกนร้องมา ทองเอ๊ย วัวหายเห็นแล้วรึยัง? ได้สติขึ้นมา.

เนี่ยะ ข้อเท็จจริงที่ เหตุที่นำมาเล่าให้ฟังเนี่ยะ มันเป็นประสบการณ์ของนักปฏิบัติจะต้องเจอกันทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นเอาไว้ นิมิตในขั้นนี้อย่าเพิ่ง เข้าใจว่า มันเป็นของเป็นจริงเป็นจัง เนี่ยะ ไปหลงในนิมิตที่มโนภาพของตัวเอง จิตของตัวเองสร้างมโนภาพขึ้นมานี่ ไปถือว่าเป็นจริงเป็นจังแล้ว อย่างสมมติว่ามองเห็นพระผู้วิเศษหรืออะไรก็ตาม เดินเข้ามาหา นึกว่ามันเป็นจริง เลยน้อมจิตรับ พอน้อมจิตรับแล้วไอ้นั่น มันก็เข้ามากลายเป็น เป็นเรื่องทรงไป นี่มันทางที่เป๋ที่ง่ายที่สุด เพราะฉะนั้นควรทำความเข้าใจว่า นิมิตหรือสิ่วงที่รู้ทั้งหลายนี่ เป็นจิตของเราปรุงแต่งขึ้นมาเองเท่านั้น มันไม้ใช่สิ่งอื่นมาแสดงให้เห็น.

ถาม(15)   ในขณะที่ทำสมาธิถ้าเคยภาวนาเห็นทุก...อะไร? เห็นผู้รอบกายเคยเกิดภาวะตัวเบาและจิตดิ่งลงไปตลอดเวลา ได้ปฏิบัติโดยการอุเบกขาภาวนาพุทโธตลอดเวลา เป็นการถูกต้องไหม?

ตอบ(15):   เอ่อ การ...นี้หมายถึงการบริกรรมภาวนาพุทโธ โดยธรรมชาติของการบริกรรมภาวนาแล้ว เมื่อจิตสงบลงไปเป็นอุปจารสมาธิ เมื่อจิตเป็นอุปจารสมาธิแล้ว ก็เกิดปีติ เกิดความสุขขึ้นมา จิตจะปล่อยวางคำบริกรรมภาวนา ทุกครั้งไป แล้วเมื่อจิตปล่อยวางคำบริกรรมภาวนาแล้ว จิตจะนิ่งเฉยอยู่ ตอนนี้ให้กำหนดรู้ลงที่จิต ถ้าหากว่าจิตมีลักษณะลอยเคว้งคว้าง ให้เพ่งไปหาลมหายใจ ยึดเอาลมหายใจเข้าออกเป็นเครื่องรู้.

          อันนี้ที่ ในเรื่องปล่อยวางคำภาวนาเนี่ยะ จิตจะต้องวางของเค้าเอง เราไม่ต้องไปวางให้เค้าก็ได้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา คำว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่ง”นั้น คือสังขารใช่มั้ย? สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นก็คือสังขาร สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในจิต หรือธรรมที่ปรากฏขึ้นในจิตอะไรต่างๆเนี่ยะ เป็นเรื่องจิตสังขารปรุงแต่งขึ้นมาเป็นเครื่องรู้ของตัวเอง เป็นอุบายฝึกฝนตัวเอง ซึ่งเราเรียกว่าปัญญา หลักการมีอยู่ว่า ศีลอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมจิต ถ้าความรู้หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาถี่ยิบเท่าไหร่ จิตดวงนี้ยิ่งใสสะอาดขึ้นเท่านั้นมี พลังแรงกล้าขึ้นเท่านั้น.

ถาม(16):   อาการเกิดดับ แต่กลับว่าเป็นอาการเหมือนภาพลวง เช่นเดียวกับอาการคลื่น เหมือนคลื่นในน้ำ ใช่ไหม?

ตอบ(16):   อันนี้มันก็เข้าในรูปที่ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง น่ะ เกิดดับเกิดดับเกิดดับ นั่นก็คือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ดับไปเป็นธรรมดา.

ถาม(17):   เมื่อวันเสาร์ได้มีโอกาสไปนมัสการพระคุณเจ้า และพระคุณเจ้าได้ตอบข้อซักถาม แต่ยังมีเรื่องค้างอยู่อีก ผีและวิญญาณ เพราะพระคุณเจ้าได้ประสบมาแล้ว ดิฉันอยากจะทราบเรื่องราว ต้องการให้เล่าให้ฟังนั่นแหละ.

ตอบ(17):   อันนี้เรื่องวิญญาณมีหรือผีมี หรือผีไม่มีเนี่ยะ ถ้าใครยังไม่เคยเห็นผี แล้วยังไม่เคยโดนผีหลอก นึกว่าผีไม่มีก็ชอบแล้ว แต่ถ้าใครเคยเห็นผีแล้ว ก็โดนผีหลอกมาแล้ว ก็ยอมรับว่าผีมี ก็เป็นการชอบแล้ว เพราะมีเหตุผล แต่ถ้าหากว่าใครยังไม่เคยเจอแล้วรับฟังเอาไว้ สิ่งใดที่มีการพูดกล่าวขวัญถึง มีชื่อเรียก สิ่งนั้นย่อมมีจริง แต่เรายังค้นไม่พบ.

          อ่า เรื่องนี้ถ้า...อาตมาจะนำมาเล่าให้ฟังย่อๆ เมื่อปี 2501 มีเจ้าศรัทธามอบที่ดินแห่งหนึ่งให้ ที่ดินตรงนั้นเป็นที่ผีสิง แล้วก็อาตมาพาพระเณรไปอยู่นั่น 4-5 องค์ พออยู่ได้ 3 วันแล้วก็เกิดผีมาตบหน้า ก่อนที่มันจะมาตบหน้านั่น หลังจากที่นั่งสมาธิภาวนาแล้วก็ถึงเวลาจะจำวัด พอมีอาการเคลิ้มๆลงไป ก็มองเห็นเป็นกลุ่ม วิ่งมาจากทางตะวันตก แล้วก็มาสัมผัสกับใบหน้าเหมือนกับฝ่ามือตบ ทีนี้มานึกว่า เอ๊ะ ฝันหรือยังไง ถ้าฝันทำไมเจ็บ ก็เลยเกิดข้อสงสัยขึ้นมา เอ้า จะผีตบหรือไม่ตบก็ชั่ง แต่วันนี้จะต้องดูให้รู้เรื่องกัน วันนั้นเลยตัดสินใจไม่จำวัด เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา อยู่ตลอดคืน พอเดินไปได้สักหน่อยหนึ่ง ได้ยินตกตู้มลงมา หันไปดูก็ไม่มีอะไร อยู่ยังงั้นจนกระทั่งถึงตี 3 พอถึงตี 3 แล้วไปเข้าที่นั่งสมาธิ มองไปข้างหน้า มองเห็นแสงโตเบ้อเร่อ ขนาดตะเกียงเจ้าพายุ สองแสงวิ่งวนไล่ๆๆๆ กันอยู่ ในตรงๆนั้นมีพระองค์หนึ่งไปจำวัดอยู่นั่น พออาตมานึกว่า เอ๊ พระองค์นี้จะตื่นหรือเปล่าน๊อ? เพราะว่าพอได้เห็นอะไรเป็นขวัญตา พอนึกแค่นั้นแหละ แสง 2 แสง ผละจากพระองค์นั้นวิ่งมาหาอาตมา อาตมาก็กำหนดจิต เอ้า ถ้าแน่จริงแล้วก็มาชนฉันให้ตายทีเดียว ให้ชั้นสำเร็จพระนิพพาน พอมันเข้ามาระยะห่าง 5 วา แสงนั้นตกลงกับดินแล้วก็หายมิดเงียบไป ก็เลยได้เห็นข้อเท็จจริงว่า อ๋อ ผีนี่มันมีจริงๆ วิญญาณมีจริงๆ ถ้าใครยังไม่เห็นแล้วก็อย่าเพิ่งรับรอง พยายามดูให้เห็นซะก่อน อ่า เล่าย่อๆเพียงแค่นี้.

ถาม(18):   ตามที่หลวงพ่อบอกว่าให้กำหนดลงที่จิต จิตเป็นนามธรรม แล้วจะหาจุดที่กำหนดลงที่ตรงใด?

ตอบ(18):   ความรู้สึกอยู่ที่ตรงไหน จิตอยู่ที่ตรงนั้น โดยลำพังความรู้สึกอันนั้นไม่มีส่วนประกอบ เพียงแต่กำหนดรู้จิตเฉยๆเนี่ยะ มันอาจจะไม่มีพลัง เพราะฉะนั้นอุบายวิธีท่านจึงให้เพ่ง รู้ให้บริกรรมอันใดอันหนึ่ง เช่น พุทโธ เป็นต้น เพื่อช่วยให้จิตมีพลังขึ้น แต่ถ้าหากว่าผู้มีสติปัญญาดี กำหนดรู้ลงที่รู้ รู้อยู่ที่ตรงไหน จิตอยู่ที่ตรงนั้น จ้องอยู่ที่ตรงนั้น แล้วคอยดูว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น พออะไรเกิดขึ้น กำหนดตามรู้ๆๆๆๆ ไปเรื่อย เป็นการใช้ได้.

          อันนี้คำถามที่ว่า จิตอยู่ที่ตรงไหน? ความรู้สึกอยู่ที่ไหน จิตอยู่ที่ตรงนั้น ถ้าเรานึกพุทโธ จิตก็อยู่กับพุทโธ พุทโธก็อยู่กับจิต.

ถาม(19):   ทำสมาธิภาวนา ทำอย่างไรจิตไม่ค่อยอยู่ในคำบริกรรมภาวนา มีทางแก้ไขอย่างไร?

ตอบ(19):   เมื่อจิตไม่อยู่กับคำภาวนา ก็พยายามนึกคำบริกรรมภาวนาให้มากๆเข้า ใช้ความพากเพียรพยายาม ถ้าหากว่าการนึกคำบริกรรมภาวนานี้ไม่ได้ผล ก็ให้มาเพ่งดูกายของเรา ผมขนเนื้อฟันหนังและเอ็นกระดูก ตามหลักกายคตา มหาสติปัฏฐาน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น