29.
เมืองไทยตกอยู่ในความสับสน
เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา
สถาบันต่างประเทศ เทวะวงศ์วโรปการ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้ผมไปบรรยายเรื่อง “รู้จักประเทศไทยฯ”
แก่นักการทูต 40 ท่าน ซึ่งกำลังอยู่ในหลักสูตรอบรมเพื่อการเลื่อนตำแหน่ง ประจำปี
พ.ศ. 2552.
ความมุ่งหมายก็คือท่านข้าราชการกระทรวงต่างประเทศดังกล่าวนี้จะต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ
ซึ่งในหน้าที่นั้น
ก็จะต้องแนะนำให้ต่างประเทศรู้จักประเทศและความเข้าใจความเป็นไทยอย่างชัดเจนและถูกต้อง. แต่ก่อนที่จะปฏิบัติภารกิจนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ก็จำเป็นที่จะต้อง “รู้จักประเทศไทยฯ”เสียก่อน.
“ประเทศไทย”
ซึ่งจะทำความรู้จักและเข้าใจนั้น มิใช่ประเทศไทยในเชิงกายภาพ อันได้แก่ภูมิศาสตร์,
ทรัพยากรธรรมชาติ, แหล่งท่องเที่ยว, ปูชนียสถาน, สถาปัตยกรรมไทย และศิลปวัฒนธรรม
อะไรพวกนั้น, แต่เป็น ไประเทศไทย” ในด้านการเมืองการปกครอง, เศรษฐกิจ, สังคม
และวัฒนธรรม ที่บ่งบอก”ความเป็นไทย”.
ผมไม่ได้ถามว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเจาะจงให้ผมมาบรรยายในเรื่องดังกล่าวนี้
แต่ผมก็มีความยินดีที่จะรับใช้ ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก.
ซึ่งทำให้ผมต้องใช้ความคิดว่าจะต้องกล่าวถึงอะไรบ้างในเวลาประมาณ 3
ชั่วโมงที่เขาจัดให้ผมบรรบาย.
เนื่องจาก “ประเทศไทย”
ที่ผมรู้จักและเข้าใจอาจจะไม่เหมือนกับ “ประเทศไทย” ในสายตาของคนทั่วไป,
อีกทั้งผมได้เฝ้าดูและพยายามวิเคราะห์ “วิวัฒนาการสังคมไทย”
อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาช้านาน, ดังนั้น ผมจึงมองเห็นหลายปนะเด็นที่คนอื่นๆอาจจะมองไม่เห็น
ซึ่งเป็นโอกาสดีที่จะถ่ายทอดทัศนคติและมุมมองของผมไปสู่คนรุ่นหลังที่กำลังทำหน้าที่สำคัญให้แก่บ้านเมืองทั้งในปัจจุบันและต่อไปในอนาคตอันใกล้.
ผมได้สรุปสาระสำคัญของคำบรรยายประมาณ 10
กว่าหน้าพิมพ์ดีด ให้เจ้าหน้าที่ทำสำเนาแจกจ่ายให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม
และโดยอาศัยเอกสารดังกล่าว ผมกำลังเรียบเรียงขึ้นเป็นหนังสือเล่มหนึ่งภายใต้ชื่อว่า
“ความรู้เรื่องเมืองไทย เพื่อรู้จักประเทศไทย,
เข้าใจสังคมไทยและตระหนักในความเป็นไทย” เพื่อให้ได้เผยแพร่ในวงกว้าง.
หนังสือเล่มนี้น่าจะพิมพ์ออกสู่ตลาดได้ประมาณเดือนกันยายน 2552
พร้อมๆกับหนังสือของผมอีกเล่มหนึ่งที่ให้ชื่อว่า “ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ
บานรากของถนนสู่ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์”.
ในการทำความรู้จักกับ
“ประเทศไทย” วันนี้ ทั้งผู้ที่ทำหน้าที่แนะนำและผู้ที่รับคำแนะนำ จะต้องตระหนักว่า
ในปัจจุบันเมืองไทยกำลังตกอยู่ในความสับสน
และจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกับเรื่องดังกล่าวนี้ให้ดีเสียก่อน
แล้วจึงจะทำความรู้จัก “ประเทศไทย”
ซึ่งในปัจจุบันถูกห่อหุ้มอยู่ด้วยความสับสนในหลายๆเรื่อง.
สำหรับเรื่องใหญ่ๆที่กำลังมีความสับสนกันอยู่ในเมืองไทย
และในความรู้สึกนึกคิดของสาธารณชนคนไทย ในลักษณะที่เป็น “ปัญหาคาใจ”
ก็คือเรื่องการเมืองการปกครอง, เรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ,
เรื่องที่ว่าด้วยทัศนะทางสังคม, และเรื่องของวัฒนธรรม. “ความสับสน” ที่ว่านี้มีลักษณะที่ต่างๆกัน
และมีที่มาที่ต่างๆกัน.
กล่าวรวมๆก็คือเมืองไทยและคนไทยกำลังมีความสับสนซึ่งทำให้ชีวิตไม่เป็นสุข. การทำความเข้าใจกับ “ความสับสน”
จะช่วยผ่อนคลายความเครียดในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยปัจจุบันไม่มากก็น้อย.
เรื่องแรกของ “ความสับสน” ก็คือเรื่องการเมืองการปกครอง
ซึ่งศูนย์รวมของความสับสนก็อยู่ที่คำว๋า “ประชาธิอปไตย”
ซึ่งผมคิดว่าหากลืมคำๆนี้ไปเสียได้ หรือห้ามมิให้ผู้ใดเอ่ยถึงคำๆนี้ “ความสับสน”
ในสังคมาไทยจะคลี่คลายลงไปมาก.
แต่ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะคำว่า “ประชาธิปไตย” ได้เข้ามาสิงอยู่ในเลือดเนื้อและวิญญาณของสาธารณชนคนไทยเสียแล้ว,
กล่าวคือเข้ามาแต่ “คำ” ประชาธิปไตยเสียเอง.
ความจริงนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี
พ.ศ. 2475, สาธารณชนคนไทยก็ไม่มีความสับสนในเรื่องประชาธิปไตย
อีกทั้งได้ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของ “ประชาธิปไตย”
อันมีต่อบ้านเมืองและสังคมตลอดจนต่อราษฎร.
คนไทยเข้าใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงเมืองไทยเป็น “ประชาธิปไตย”
จะต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะขึ้นอยู่กับการศึกษาของประชาชน
ซึ่งรัฐบาลก็ได้พยายามทำนุบำรุงอย่างเต็มกำลังความสามารถมาโดยตลอด.
“ความสับสน” ในคำว่า “ประชาธิปไตย”
ก่อตัวขึ้นพร้อมกับการรุกคืบเข้ามาของ “คอมมิวนิสต์”
ซึ่งชูธงว่าทำการต่อสู้เพื่อได้มาซึ่ง “ประชาธิปไตย”
ในขณะที่ทางฝ่ายรัฐบาลก็ประกาศว่าจะต้องกวาดล้าง “คอมมิวนิสต์” ให้หมดสิ้นไป
เพื่อรักษา”ประชาธิปไตย”เอาไว้. การอ้าง “ประชาธิปไตย”โดยทั้งสองขั้วที่ต่อสู้กัน,
แม้ว่าจะมีการเรียกชื่อเฉพาะว่าฝ่ายหนึ่งเป็น “เสรีประชาธิปไตย”
ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือ “ประชาธิปไตยคอมมิวนิสต์” ก็มิได้คลี่คลายความสับสน.
ต่อมาฝ่าย “คอมมิวนิสต์” หมดกำลังไป พร้อมกับการเข้ามามีอิทธิพลเหนือเศรษฐกิจ,
สังคมและการเมืองของระบบ”ทุนนิยม” ซึ่งอ้างว่าเป็น “เสรีประชาธิปไตย”ของจริง. แต่มิช้ามินานสาธารณชนก็เริ่มรู้สึกว่าภายใต้ระบบเศรษฐกิจดังกล่าว
สังคมไทยได้แตกแยกออกเป็น “นายทุน” ฝ่ายหนึ่ง และ “ผู้ใช้แรงงาน”อีกฝ่ายหนึ่ง
ซึ่งแม้จะร่วมกันผลิต แต่การแบ่งสรร “มูลค่าเพิ่ม” ที่เกิดจากการผลิตนั้น
ก็ยึดถือเอาผลประโยชน์ของ “นายทุน”เป็นหลัก จึงเกิดความไม่แน่ใจในความหมายของคำว่า
“เสรีประชาธิปไตย”. มาถึงในปัจจุบัน สังคมไทยด้แบ่งแยกออกเป็นพวก,
ที่ชื่นชมศรัทธา “ทักษิน” ฝ่ายหนึ่ง และที่ต่อต้าน “ทักษิน” อีกฝ่ายหนึ่ง
ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็อ้าง “เพื่อประชาธิปไตย”.
ดังนั้นหากสังคมไทยจะไม่ตกอยู่ใน “ความสับสน” แล้ว จะเรียกว่าอะไร.
คำว่า “ประชาชน” ก็คล้ายกัน. ทั้งๆที่”ประชาชน”
หมายถึงกลุ่มบุคคลต่างๆที่เป็น “สามัญชน” คือมิใช่ข้าราชการ, พ่อค้า หรือพระสงฆ์องค์เจ้า
(ตามที่กล่าวกันว่า ข้าราชการ พ่อค้าและประชาชน), มิได้หมายถึง “ปวงชน”
ซึ่งเป็นชนทั้งประเทศผู้เป็นเจ้าของ “อธิปไตย”, แต่เมื่อการชุมนุมครั้งใดมี “ประชาชน”มาร่วมกันจำนวนมากๆ
ก็อ้างว่าเป็น “ปวงชน”.
ดังนั้นจึวเกิดความสับสนว่า “ประชาชน” พวกไหน, ของใคร และสวมเสื้อสีอะไร,
แต่ที่แน่ๆก็คือแต่ละกลุ่มของ “ประชาชน” หาใช่ “ปวงชนชาวไทย” แต่อย่างใด,
ซึ่งจะอ้างสิทธิเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดที่มีความสำคัญต่อบ้านเมืองและสังคมไม่ได้.
เรื่องของ “เศรษฐกิจ” ยิ่งสับสนกันใหญ่
เพราะลักษณะของปัญหาเกี่ยวกับการทำมาหากิน ดังนั้น “สามัญสำนึก” จึงถูกใช้ประโยชน์อย่างปราศจากขอบเขตในการเสนอปัญหา,
วิเคราะห์ปัญหา แลชะเรียกร้องนโยบายและมาตรการแก้ปัญหา. ในปัจจุบัน สาธารณชนคนไทยตกอยู่ใน “ความสับสน”
ไม่ทราบว่าสิ่งใดถูกต้อง
เพราะความขัดแย้งทางการเมืองไม่เปิดโอกาสให้ได้ตั้งสติทำความเข้าใจในเรื่องของ “เศรษฐกิจ”ตามหลักวิชาการและข้อเท็จจริง.
สำหรับ “ทัศนะทางสังคม”
ก็มีความสับสนเช่นเดียวกับในเรื่องการเมืองการปกครองและเรื่องของเศรษฐกิจ โดยเศรษฐกิจมีอิทธิพลเหนือทัศนะทางสังคม
และทัศนะทางสังคมมีอิทธิ พลต่อการเมืองการปกครองของประเทศ. ในปัจจุบัน
ทัศนะทางสังคมมีความโน้มเอียงไปสู่การยอมรับ “ธนานุภาพ” คือถือว่า “เงิน” เป็นใหญ่
และยอมรับผลประโยชน์ของบุคคลและกลุ่มบุคคลเหนือประโยชน์ของประเทศชาติ, ของบ้านเมืองและของส่วนรวม.
ความสับสนในเรื่องของวัฒนธรรมที่ปรากฏชัดเจนก็คือ
ทั้ศนะทางสังคมที่กล่าวว่า “วัฒนธรรมตะวันตก” เข้ามาทำให้วัฒนธรรมไทยเสื่อมโทรม
ทั้งๆที่โดยภาพรวมแล้ว “วัฒนธรรมตะวันตก”
ที่สังคมไทยเปิดรับอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 150 ปี ไดยกระดับปรับแต่งให้ไทยเราก้าวมาสู้สังคมโลกได้อย่างสง่างาม.
สำหรับบรรดาสิ่งที่ไม่ดีงามทั้งหลายนั้นมีลักษณะเป็น “ขยะ”
อันไม่พึงประสงค์ของทุกๆวัฒนธรรม.
ลักษณะ “ความสับสน”
ในสังคมไทยก็มีหลายประการ อาทิความสับสนในความคิดเห็น, ความสับสนในข้อเท็จจริง,
ความสับสนในพฤติกรรม, ความสับสนในความเชื่อความศรัทธา,
ความสับสนในคำอธิบายและการชี้แจง และความสับสนในความหมายของภาษาที่ใช้. “ความสับสน”ดังกล่าวนี้เนื่องมาจากสังคมไทยขาด “จิตสำนึก”
ทางประวัติศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และจริยธรรม, จิตใจของผู้คนโดยทั่วไปถูกครอบงำด้วยระบบเศรษฐกิจทุนนิยม,
การขาดอุปนิสัยในการศึกษาทำความเข้าใจกับเรื่องต่างๆที่มีความสลับซับซ้อน,
การขาดความมั่นคงในจิตใจของบุคคล, ตลอดจนการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “สื่อมวลชน”
ทั้ง “แท้” และ “เทียม” ที่ตกอยู่ในความสับสนเช่นเดียวกับสาธารณชน.
ที่น่าวิตกก็คือในปัจจุบันมีบุคคลและกลุ่มบุคคล
ที่มุ่งประโยชน์ทางการเมือง จงใจที่จะสร้าง “ความสับสน” ให้แก่สาธารณชนคนไทย.
- บทความจากหนังสือรวมบทความของท่านฯชื่อ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม".
...ใครสนใจ inbox ชื่อที่อยู่เข้ามาได้เลย - กระผมจะส่งไปให้ฟรี...เค้าเอามาวางขายแค่ 20 บาท...เองราคาตามปกน่ะ 150 บาท...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น