หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

กินซ์ - สุรชัย จันทิมาธร




กินซ์
สุรชัย  จันทิมาธร  เขียน




 - ภาพประกอบ : ไพบูลย์  ชะนะมา
อย่างทีคุณพอจะรู้ๆกันนั่นแหละครับ  เราตื่นเช้าขึ้นท่ามกลางแสงแดดอ่อนอุ่นสายลมจางๆ พิศใบไม้สีเขียว(หลายเขียว) ฟ้าสีฟ้า ซึ่งบางวันก็มีเมฆสีเมฆลอยเรี่ยราด บางแหล่งราวว่าถูกปาดด้วยเกรียง (คือประหนึ่งจะแนบสนิทติดกับแผ่นฟ้าเสียทีเดียว มองจากพื้นดิน) บางกลุ่มเหมือนว่าลอยฟูประดุจสำลี และเวลาประมาณนี้แหละที่ชาวบ้านต้อนควายออกเลี้ยงนอกหมู่บ้าน ในห่อผ้าข้าวม้ากระดำกระด่างและทอเองของเขามีห่อข้าว+กับข้าวอีกที ซึ่งดูเหมือนว่าจะยังไม่คลายไออุ่นหรอก ห่อข้าวนี่แหละที่เขาจะไปแก้กิน ณ ใต้ร่มไม้ (ร่มหว้า ร่มตาด ร่มจบก ฯลฯ) หรือริมฝั่งห้วย หรือบนกิ่งก้านของต้นไทรย้อยเหนือลำธาร พลางโรยเม็ดข้าวขาวๆให้ฝูงปลาซิวในน้ำรุมแทะกินเป็นที่สำราญ แต่ถ้าเราไม่ได้ออกไปธุระที่ไหนเช่นใครอื่น เราควรจะเริ่มตั้งวงกินอาหารเช้ากันเสียที ด้วยความเอร็ดอร่อยไม่รู้ตัว เพราะแม่ครัวย่อมปรุงอย่างสุดฝีมือเพราะอย่างน้อยก็คิดว่าทำให้ตัวเองกินพร้อมๆกับสามีลูกหลานน้องๆพี่ๆพ่อแม่ตายาปู่ย่า
หมก   ในที่นี่ หมายความว่า อาหารที่จะปรุง ห่ออยู่ในใบตอง(สด) ยัดเข้าไปใต้เตาไฟหมกไว้ในขี้เถ้า เชื่อว่าทำให้บังเกิดกลิ่นหอมชวนกิน
ข้าวหุงหม้อดิน   ใกล้จะสูญพันธุ์เต็มที แม้นขอร้องกันได้ จะขอร้องให้ช่วยกันรักษาความอร่อยของมันไว้ด้วยเถิด โดยเฉพาะข้างตังก้นหม้อ
ข้าวเหนียวนึ่งหวด   แม้ใครดูถูกดูหมิ่นศิลปการทำกินนี้ ก็เท่ากับดูหมิ่นตัวเอง
น้ำข้าวหุง   ไม่ควรหมิ่นแคลนใช่ไหม

          ต่อไปนี้  ใคร่จะกล่าวถึงรายละเอียดของอาหารเท่าที่ผมพอจะนึกออกได้ แต่ทั้งสิ้นก็อย่างที่คุณพอจะรู้ๆกันนั่นแหละครับ ใครที่รู้ดีกว่าผมก็ขอร้องอย่าได้เย้ยหยันกันเลย และถ้าผมผิดก้อย่าได้ถือสาหาความ เพราะสมองของผมมีสมองเดียว เขียนหนังสือด้วยมือขวาข้างเดียวเท่านั้น
หมกปลาซิว   ปลาซิวสักกำหรือสองกำมือ ห่อใบตองหลายชั้นหมกไว้ในเถ้าไฟจนรู้สึกว่าใบตองเริ่มไหม้เกรียม นั่นแหละเราจะพบกับผองปลาซิวสุกหอม รสมันผสมขมนิดๆเพราะขี้ของมัน – เป็นอาหารที่อร่อย—อร่อย
หมกปลาซ่อน  จัดการให้ปลาซ่อนตายเสียก่อน กองไฟถ่านเถ้าอยู่ข้างๆ โคลนท้องนาโปะ(พอก)รอบๆตัวของมันหมกเข้ากับกองไฟ พอรู้สึกว่าจะได้ที่สุก คุณจงเขี่ยมันออกมาแกะโคลนออก ไม่ใช่แกะโคลนอย่างเดียวกระมังครับ เพราะเกล็ดปลาก็พลอยหลุดออกด้วย คราวนี้คุณคงจะได้อร่อยกับเนื้อทิพย์ของมัน อย่างเลวที่สุดก็จิ้มเกลือ+พริกกินกับข้าว ผมคิดถึงแล้วใคร่จะกินเต็มที เถอะ—ตอนนั้นผมไม่ได้คิดเรื่องบาปเรื่องกรรมเหมือนตอนนี้หรอกครับ

ถ้าไม่พูดถึงคำว่าจี่ ให้รู้สึกเขินตัวเองเหมือนกัน จี่เป็นคำกริยาแปลตามที่ผมเข้าใจว่า ลักษณะการโยนอะไรลงไปในกองไฟใช้ไม้พลิกๆนิดหน่อยจนอะไรที่ว่านั้นเกิดความสุก  จี่ต่างกัยคำว่าปิ้งหรือย่าง ผิดกับคำว่าหมกหน่อยเดียวตรงที่ว่าหมกนั้น ลักษณะหมกลงไปในเถ้า แต่จี่คือการโยนอะไรลงไปในกองไฟเหมือนๆกับโยนหอยลงไป เมื่อคิดว่ามันสุกเขาจะเขี่ยหอยออกมาทุบเปลือกกินข้างในของมันชาวบ้านเรียกหอยจี่ คำว่าหอยจี่นี้กลายเป็นคำฮิตไม่รู้สร่างจนเดี๋ยวนี้ ขอโทษด้วยครับที่ออกนอกเรื่อง
ปลาร้า   ชาวบ้านทางอีสานเขาเรียกกันว่า ปลาแดก นิยมทำกันมาก บางแห่งถือกันว่าบ้านใครมีปลาร้ามากบ้านนั้นละบ้านเศรษฐี มันเริ่มต้นจากว่าถึงฤดูหาปลา ปลาที่หาได้มานั้นมีมากมาย เขาจะแบ่งปลาไว้ทำปลาร้านอกจากการขายสดๆกินสดๆ ปลาร้า เป็นปลาที่เก็บไว้กินตลอดปี กล่าวได้ว่าเป็นอาหารสำคัญอย่างหนึ่งของอีสาน ลองมาสัมผัสรสชาติของเขาบ้างปะไร คงเริ่มจาก.....
ปลาร้าดิบ   นี้คือการกินง่ายที่สุด ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปไหนหรืออยู่กับบ้าน คร้านจะปรุงแต่อาหารกิน คุณจะล้วงปลาร้าในไหมาสักสามสี่ตัว (เห็นจะมิพักพูดถึงกลิ่นเหม็นหรอกเพราะมันเหม็นแน่ แต่เหม็นอร่อย—นี่ผมว่า)  เริ่มด้วยมีข้าวจ้าวหรือข้าวเหนียว พริกสดหรือพริกแห้ง หัวหอมหรือหัวกระเทียม นิ้วมือมีเล็บยาวพอประมาณสำหรับฉีกปลาร้าทุกตัวที่จะกิน ก็เท่านี้เอง มือที่จับข้าวผสมปลาร้าพริกหอมใส่ปากเคี้ยว ลิ้นคงจะรายงานความอร่อยได้ ในที่สุดท้องก็รายงานความอิ่มและคุณจงอย้าลืมล้างมือล้างปากให้ดีหลังอาหาร เพราะว่ามือของคุณจะเค็มปากของคุณจะเค็ม
ปลาร้าบอง (ปลาแดกบอง)  อาหารบรรดาศักดิ์นี้อร่อยได้รสชาติดีนัก ปล้าร้าบองเป็นปลาร้าทรงเครื่อง กล่าวคือปรุงด้วยเครื่องเคราต่างๆหลายอย่าง เท่าที่นึกออก – ตะไคร้ – หอม – พริก – สะระแหน่...สับปนกับปลาร้าปนกันให้แน่นแฟ้น กินกับผัก(เป็นต้นว่าลูกขนุน) อร่อยครับ ผมจำได้ว่าเมื่อคราวที่ลุงผมเขาเข้ามารับงานสร้างบ้านให้ท่านผู้ดีกรุงเทพฯท่านหนึ่งนั้น ลุงพาช่าง(คนงาน) มาร่วม 10 กว่าคน และวันหนึ่งผมไปเยี่ยมลุงเลยถือโอกาสกินข้าวเย็นที่นั่นเลย โชคดีเหมือนกันที่วันนั้นทางบ้านท่านผู้ดีท่านนั้นเกิดใจดีบอกว่าจะเลี้ยงอาหารชนิดหนึ่งเพิ่มเติมการกินเองอย่างง่ายๆของคนงานชาวเรา แต่ริ้วรอยที่ทำ ดูเหมือนว่าจะสะอาดเป็นพิเศษหน่อย ผมจึงนึกคำเรียกหได้ว่าอาหารบรรดาศักดิ์ด้วยประการฉะนี้
อื่นๆ  ทำกินอย่างอื่นๆได้หลายประการ จะห่อใบตองสดปิ้งเหนือไฟก็ได้ ต้มแล้วต้มอีกเอาน้ำไว้ประกอบอาหารก็ได้ ที่ว่าต้มแล้วต้มอีดก เพราะกว่าเขาจะเปลี่ยนชุดก็หลายวันหลายคืน เมื่อน้ำหมดเขาจะเปลี่ยนน้ำเข้าไปในเครื่องปลาร้าเก่า หม้อน้ำปลาร้านี้มีประจำครัว ยามอดจริงๆก็ได้เพียงน้ำต้มของปลาร้าคลุกข้าวพริกป่นก็คร้านจะกินให้อิ่มด้วยซ้ำ
          ความคำนึงถึงปลาร้าหรือปลาแดกคงจะจบลงเพียงนี้กระมัง

คราวนี้ผมใคร่จะคิดถึงของหวานของเขาบ้าง
          จะกินของหวานกันเสียที มักจะเป็นฤดูงานวัดหรือมีการแสดงเกิดขึ้นในหมู่บ้าน ก็อย่างที่ชาวกรุงทำของหวานขายตามแผงนี่แหละครับ แต่รสชาติย่อมผิดแปลกกันเป็นธรรมดาฝีมือ เพราะชาวบ้านมีอุปกรณ์ไม่สมบูรณ์บ้าง ฝีมือไม่ได้ดิบดีบ้าง ที่ทำเพราะว่าจะทำกันประเภทสมัครเล่นบ้าง ผมเองไม่ใคร่ถนัดนักหรอกเรื่องพรรค์นี้ แต่ก็จะเล่าถึงความแปร่งออกจากของหวานชาวกรุง แปร่งทั้งรสแปร่งทั้งความรู้สึกต่างๆอย่างที่เขาเรียกกันว่า เชย นั่นแหละครับ จงมาดูความเชยอันน่ารักของคนบ้านนอกบ้างปะไร อย่าได้หมิ่นแคลนเขาเลย
          ผมจำได้ว่า ตลาดอำเภอที่ผมอยู่นั้น ตรงสี่แยกกลางตลาดมีต้นโพธิ์หนามริมถนน(จำได้ว่าเราชอบเอาผลแก่ๆของมันหรือไม่ผลแห้งๆของมันมาทำเป็นล้อรถเล็กๆเพราะลักษณะของมันเหมือนล้อรถมาก และปัจจุบันนี้ต้นโพธิ์ถูกทำลายลงหลายต้นแล้ว – เสียดาย) ใต้ร่มโพธิ์นี่แหละที่แม่ค้าชาวเมืองจะตั้งหาบขนมไว้ขายกัน มีขนมหลักอยู่สองอย่าง คือ ขนมจีนกับลอดช่อง (ลอดช่องชั้นดีหน่อยผสมน้ำใบเตย – ไม่ใช่ลอดช่องอย่างที่ใส่น้ำหวาน + น้ำแข็งนะครับ) โดยเฉพาะลอดช่องนี้ เขามักทำให้มันเป็นสีเขียวสีแดงวางเป็นกาละมังๆ เรียกว่าของหวานหลังจากกินของคาว (ขนมจีบน้ำยา)
          ปกติชาวอำเภอเรามักจะหยิ่งว่าตัวเองเป็นชาวเมืองกินลอดช่องกันที จานเล็กจานน้อย แต่ชาวบ้านนอกๆเขาไม่กินกันอย่างเราหรอก เขากินกันเป็นกาละมังเลยทีเดียว
          คงเริ่มจากว่า เขาต่างหาบสินค้าดิบเข้ามาขายในเมือง หลังจากที่ได้เงินซื้อสิ่งที่ต้องการในตลาด เป็นต้นว่ากางเกง เสื้อ ผ้าห่ม แล้วเขาจะจับกลุ่มกันอยู่แถวใต้ร่มพธิ์ ตั้งหาบกระบุงหาบตะกร้านั่งยองๆคุยกันเบาๆรอพรรครอพวกที่จะเดินกลับหมู่บ้านด้วยกัน ระหว่างรอก็ต้องกินขนมนมเนยชาวเมืองให้ชื่นใจ และจะกินทีน้อยๆเกรงว่าชาวเมืองเขาจะหาว่าจนกระมัง จึงกินทีเป็นกาละมังอย่างที่ว่า
          สี่หรือหาคนรวมกันเหมาขนมแม่ค้า ส่วนมากเขาชอบกินของหวาน สมัยที่ผมเห็นนั้นยังไม่มีขนมปังไปขายกันหรอก ถ้าเป็นขนมร้านกาแฟมักจะเป็นข้าวพองหวาน ถั่วตัดขนมโก๋อะไรพรรค์นี้ ซึ่งของหวานแห้งเหล่านี้เขามักจะซื้อไปฝากลูกหลานทางบ้าน
          แม่ค้าจะตักน้ำหวานใส่ลงไปในกาละมังลอดช่องให้ได้ส่วนสัด แจกช้อนให้ครบทุกๆคน ยกกาละมังลอดช่องนั่นแหละมาให้ลูกค้าผู้มั่งคั่งกินกันแบกะดินเลย เขาจะล้อมวงตักลอดช่องกินเป็นที่สนาน ผมคิดว่าเขากินได้อร่อยพิลึกดีกว่าชาวเมืองที่กินจานเล็กๆจานละ 25 สตางค์เสียอีก
          นี่คือความแปร่งอย่างหนึ่งของเขา
ขนมงานวัด  พวกนี้มักเป็นแม่ค้าเร่ เร่ไปตามงานต่างๆในหมู่บ้านต่างๆที่มีงานวงัด ขนมที่ขาย บางทีจึงเป็นขนมถูกเก็บแห้ง เย็นชืด แต่ก็ขายได้ เอาความรู้สึกง่ายๆจากบุหรี่ก้แล้วกัน อย่างที่เขาวางขายในงานวัดเป็นซองๆนี่แหละ ผมเคยซื้อพลาดเสียท่าพวกพ่อค้าแม่ค้าหัวใสจนได้ เพราะพอเปิดซองเท่านั้นเอง คุณจะพบกับยาเส้นลุ่นๆแทนที่จะเป็นบุหรี่เป็นมวนๆ เอาความรู้สึกจากขนมหวานที่เขาขายก็คงไม่ผิดแผกกันนัก กล่าวง่ายๆก็คือเขามักขายของไม่จริงกัน เป็นต้นว่า ขนมบูด บุหรี่ปลอม การพนันโกง (ไพ่สามใบ, ตับแกเข้าโกน, เสี่ยงลูกเต๋าแบบเจ้ามือโกง, เม็ดละหุ่งหายหัว, หมุนไม้สีเขวี้ยงลูกดอก, หมุนลุกศร ฯลฯ) และชาวบ้านมักชอบกันเหลือเกิน เขาชอบลองดีและมักจะเกิดเรื่องถึงเลือดตกยางออกโดยเฉพาะการพนัน

          วกเข้าเรื่องฃองกินเสียที
ขนมเปียกปูน  เละๆตัดเป็นก้อนๆแบบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนนั่นแหละ บางทีคุณจะพบกับความหวานทะแม่ง แข็งเพราะค้างคืน ทั้งนี้รวมทั้งพวกขนมชั้นด้วย แต่คุณลองคิดถึงการทำของเขาดูซิว่าจะเป็นอย่างไร เขาตำแป้งด้วยสากกะเบือครกม็อง หวานด้วยน้ำตาลปี๊บ
ขนมนางเล็ด  แป้งทอดบวกกับข้าวแห้งทอด ฉาบหน้าด้สยน้ำตาลต้มเดือด ขายได้ตลอดวันหรือสองวันไม่บูดเสีย
ข้าวเหนียวแดง  ทำกันไม่ยากเย็นเลย เริ่มด้วยต้มน้ำตาล ข้าวเหนียวนึ่งแล้วผสมกันตักใส่ถาด ปล่อยให้แห้ง ตัดเป็นช่องๆก้อนๆก้อนละ 25 สตางค์ ผมชอบกินเพราะพอจะนึกการทำของเขาออกเห็นว่าง่ายๆซื่อๆดี มาไม่ชอบกินเมื่อเข้ากรุงเทพฯแล้ว เพราะรู้สึกว่าที่กรุงเทพฯมันหวานจนข้นจนเอียน คล้ายกินน้ำเมือกอะไรสักอย่างเข้าไปด้วย

เรื่องความหวานของขนมขาดแคลนเหลือเกิน คงเป็นเพราะว่าผมไม่ใคร่จะคุ้นเคยหรอกกระมัง ที่มีอีกคงมีแน่ แต่รสชาติย่อมแปร่งออกจากขนมในเมืองเป็นลำดับ
และผมจะคิดถึงผลไม้ป่าที่กินกันได้บ้าง ละแวกโน้นขาดแคลนผลไม้เหลือเกิน ไม่มีทุเรียน ลำไย ละมุด เงาะ ฯลฯ ที่มี(ซึ่งเป็นผลไม้ปลูก) เห็นจะได้แก่ มะม่วง ขนุน น้อยหน่า มะเฟือง มะไฟ ส้มโอสีดา.....คิดถึงผลไม้ป่าคงเข้าทีกระมัง
ผีผ่วน  ผลแดงขนาดผลตำลึง พอตกฤดูออกผลดีมันจะแดงเถือกไปเป็นพู่พวง เรามักจะได้ไต่เครือเถาอันเหนียวแน่นของมันเก็ยกินเป็นที่สำราญ
เงาะป่า  เขาอาจจะเรียกชื่ออื่นก็ได้ เปลือกนอกเหมือนเจาะแต่ข้างในเหมือนผีผ่วนคือเป็นเม็ดๆ เนื้อหุ้มเม็ด เงาะป่าออกผลฤดูเดียวกับผีผ่วน อร่อยกว่าผีผ่วน และสามารถขายได้ในท้องตลาด
หม้อ  ชนิดนี้รูปชั่วตัวดำแต่รสชาติอร่อยหวานอย่างลึกซึ้ง ชนิดนี้เป็นชนิดที่ผมรักมากที่สุดเมื่อคำนึงถึงในตอนนี้ ผลของมันเป็นเปลือกหนาแข็งแบบผลมังคุด เราจะใช้ไม้ขว้าง เมื่อหล่นลงมาคุณจะแงะเปลือกของมันออกแล้วพบกับเนื้อหุ้มเม็ดอันหวานไหวสีดำกำมะหยี่ของมัน และน่ากินมากครับ
บักเค็ง  ชนิดนี้เป็นเมล็ดเล็กๆ ลำต้นใหญ่สูง อยู่กันเป็นพู่ๆ กินได้ทั้งตอนดิบและตอนสุก ดูเหมือนชาวเมืองเขาขนานชื่อให้ว่าเม็ดนางดำหรืออะไรทำนองนี้แหละ เทือกแถวบ้านผมมีชุมจนมีหมู่บ้านหมู่หนึ่งชื่อว่าหมู่บ้านดงเค็ง
ลูกยาง  อร่อยครับ ชนิดนี้ต้องรอ ให้มันสุก และต้องปีนเถาของมันหรือไม่ก็เขวี้ยงให้แม่นยำ และรสชาติคุ้มค่าต่อการหากิน
หัวลิง  ชนิดนี้เปรี้ยวชะมัดไปเลย หาได้ง่ายตามป่าละเมาะ ต้นเตี้ยๆ เพียงแต่คุณเดินผ่านมีมีดตอดมีดโต้สักด้าม ตัดกิ่งของมันทั้งกิ่งมาเลย เพราะผลของมันแตกออกจากกิ่งเหมือนใบมะขามอ่อนหรือผลมะขามนั่นแหละ จิ้มกับเกลือเสียด้วยนะครับ
ลูกข่อย  จะเป็นลูกหรือเป็นดอกก็ไม่ทราบแน่ แต่คุณมีสิทธิ์จะนั่งอยู่บนกิ่งของมันพลางเด็ดมากินให้สมอยาก รายนี้มักจะผสมกับการซุ่มยิงนกไปด้วยเพราะนกมันชอบกินเหมือนกัน
จบก  ผมจำได้ว่าหน้านาต้นจบกจะทำความรำคาญให้แก่เรามาก เพราะลูกของมันที่หล่นลงกระทบน้ำมักจะทำมให้น้ำเน่าเหม็น แต่พอหน้าเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้ว คุณจะได้สำพราญใจกันใหญ่เมื่อนั่งใต้ต้นจบก เพราะคุณจะต้องเที่ยวงัดเอาเมล็ดแข็งๆของมันมาจากดิน หรือเก็บเอาที่มันตกอยู่เรี่ยราดนั่นแหลละ มีมีดโต้มีดตอกสักด้าม มีท่อนไม้สักท่อนปักคมมีดลงระหว่างกลางเมล็ดแข็งของจบก แงะเอาเนื้อในอันหอมมันของมันออกมากิน เพลินใจมากทีเดียวครับ เรื่องจบกยังไม่จบแค่นี้ คุณยังจะต้องเที่ยวไปตามคอกวัวควายของชาวบ้านอีก แล้วก้เก็บเมล็ดจบกที่เรี่ยราดอยู่ในมูลวัวควายแห้งๆ นั่นแหละใส่ตะกร้ามานั่งงัดแงะด้วยมีดที่บ้านอีกที
แต้  จำได้ว่าหน้านานี่กระมังที่เราจะเขวี้ยงเอาเม็ดแต้อ่อนๆมาแทะเปลือกแข็งของมันออกแล้วกิน  เม็ดของมันออกจะเหม็นเขียวคล้ายๆเม็ดกระถินหรือสะตอของชาวปักษ์ใต้ แต่ก็อร่อยจนได้ และเมื่อเม็ดแต้แก่ตัวเข้าคุณจะไม่มีสิทธิ์กินมันเพราะแข็งมาก เรามักจะเอามาเล่นทอยกันในตลาดอำเภอ นิยมพอกับยางยืดทีเดียว
          พอหอมปากหอคอแล้วกระมัง
          แล้วผมก็ได้คิดถึง ป้าโขน ป้านางน้อย ซึ่งแก่ชรามากแล้ว ตอนก่อนที่ผมจะเข้ากรุงเทพฯ สองป้านี้ชอบเข้าป่าออกทุ่งอยู่เนืองนิจ
          ป้าโขนหรือยายโขนรูปร่างง็อกแง้ก อดทน บึกบึน วันไหนแดดส่องใสแกมักจะหิ้วตะกร้าแบกเสียมคู่มือออกจากบ้าน หายเข้าไปในป่า ทะลุออกทุ่ง ผมรู้ว่าแกคุ้นกับมันทุกชนิดในป่า ผัก เห็ด กบ เขียด ปู ปลา และภาพที่ผมนึกเห็นแกคือภาพที่แกลงไปอยู่ในหลุมมัน แกตามหัวมันที่ลึกลงไปในดินประมาณวาหนึ่ง นั่นแหละเป็นสินค้าของแกนอกจากพวกเห็ดผักอื่นๆ
          ป้านางน้อยหรือยายนางน้อย ออกจะถนัดกับสัตว์เล็กสัตว์น้อยมากกว่า ลูกฮวก ปลาหางแดง (เล็กกว่าปลาซิว) เขียด กบ งู จุดจี่ ป้านางน้อยดูสันทัดจัดเจนต่อมันมากที่เดียว
          อีกคน ผู้เฒ่าจ่อย – แกมีเสียมมีข้องติดตัวสำหรับออกทุ่ง แกขุดรูกบรูปู ในขณะที่คนส่วนหนึ่งกำลังล่าปลาวาฬกัน นี่ผมพยายามจะบอกว่าแกไม่สนใจอะไรมากไปกว่าท้องทุ่งสัตว์เล้กสัตว์น้อย และแกขายสินค้าเหล่านี้เพื่อซื้อเหล้าซื้อข้าวกิน แกไม่เคยไปไหน และอายุยืนจนคนแปลกใจ
          คนเหล่านีเมาประกอบภาพพจน์ของผมให้เกิดขึ้น ผมไม่รู้ว่าใครจะอยู่ใครจะตายไปบ้างแล้ว เพราะล้วนแต่เป็นคนชราของหมู่บ้านด้วยกันทั้งนั้นแต่ที่แน่ เมื่อผมกลับบ้านทีผมจะต้องถามใครต่อใครว่า ใครอยู่ใครตายบ้างฃหรือเปล่า และตราวต่อไปนี้ ผมคิดว่าจะไปคุยกับตะแกให้ละเอียดอ่อนเสียที เพราะเท่าที่ผมเขียนมานี้ คนยังไม่เท่าครึ่งที่ตะแกเหล่านี้เป็นอยู่ เริ่มจากเรื่องกิน กินตั้งแต่เล็กจนแก่ชรา กินเพื่ออยู่จนกว่าจะตายจากไป
          และผมควรจะจบเรื่องที่ผมเขียนเสียที.

-  จากหนังสือชุดเฟื่องนคร ฉบับ พฤศจิกายน ชารี โดย รงค์ วงษ์สวรรค์ กับเพื่อนหนุ่ม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น