หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ธรรมะ ในฐานะลัทธิการเมือง - พุทธทาสภิกขุ

ธรรมะ ในฐานะลัทธิการเมือง.
17 ก.ย. 21



ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย,
         
          ปาฐกถาธรรมในวันนี้ อาตมาจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า “ธรรมะ ในฐานะลัทธิการเมือง”,  การกล่าวเช่นนี้เป็นที่เชื่อได้ว่าคนเป็นอันมากไม่ยอมเห็นด้วย;  คือเขาถือกันว่าการเมืองก็เป็นอย่างหนึ่ง, ธรรมะก็เป็นอย่างหนึ่ง, ไม่อาจจะเนื่องกันหรือเป็นอันเดียวกันได้.  เมื่อเข้าใจกันอย่างนี้ ก็ทำไมไม่ลองสังเกตดูต่อไปว่า เมื่อการเมืองลัทธิไหนปราศจากธรรมะแล้วมันจะเป็นอย่างไรฦ? การที่แยกธรรมะออกไปเสียจากการเมือง การเมืองนั้นก็กลายเป็นเรื่องสกปรก ไม่ว่าการเมืองลัทธิไหน, ระดับไหน, ของโลกในส่วนไหน.
(การเมืองสกปรกเพราะปราศจากธรรมะ.)
          คำว่า “การเมืองเป็นเรื่องสกปรก” นี้ เป็นเรื่องที่ยอมรับกันอยู่ คือหาความจริงใจต่อกันและกันไม่ได้; หาความจริงใจต่อสันติภาพของโลกทั้งโลกก้ไม่ได้; มุ่งหมายแต่จะหาประโยชน์เพื่อตน หรือพรรคพวกพวกภาคีของตนเท่านั้น.  เมื่อปราศจากธรรมะเสียอย่างนี้แล้ว การเมืองก็เป็นเรื่องสกปรก.  แม้จะมองเห็นอยู่อย่างนี้ คนยังพยายามแยกธรรมะออกจากการเมืองอยู่นั่นเอง  เพราะว่านักการเมืองเหล่านั้นเล่นการเมือง เพื่อประโยชน์ส่วนตัว หรือพรรคพวกของตัวไม่ได้เล่นการเมืองเพื่อประโยชน์แก่สันติภาพของมนุษย์.

ธรรมะเป็นลัทธิการเมืองของพระเจ้า.
       อาตมามีความเห็นว่า ธรรมะเป็นลัทธิการเมืองลัทธิหนึ่ง  แม้จะเป็นลัทธิการเมืองของพระเจ้า ไม่ใช่ลัทธิการเมืองของคนธรรมดาสามัญ  ก็ต้องถือว่าธรรมะเป็นลัทธิการเมืองลัทธิหนึ่ง ขอให้พยายามฟังดูว่า อาตมาจะกล่าวว่าอย่างไร.
          ท่านคงจะยอมรับในข้อที่ว่า แยกธรรมะออกเสียจากการเมืองแล้วการเมืองก็เป็นเรื่องสกปรก.  อาตมาก็กล่าวว่า โดยที่จริงแล้ว การเมืองเป็นธรรมะในความหมายหนึ่ง.  การเมืองเป็นตัวธรรมะ; นี้มันยิ่งกว่าที่จะพูดว่า การเมืองก็เนื่องด้วยธรรมะ.  เดี๋ยวนี้อาตมากำลังจะพูดว่าการเมืองเป็นตัวธรรมะเสียเอง. ถ้าจะเข้าใจข้อนี้กันให้ได้ต้องทำความเข้าใจในคำว่า ธรรมะ ให้ถูกต้อง : ขอได้โปรดสนใจฟังสักหน่อยว่า คำว่า “ธรรมะ” นั้นหมายถึงอะไร?
          คำว่า “ธรรมะ” ในภาษาบาลี หรือ “ธรรม” เฉยๆ ในภาษาไทยนั้นมีความหมายถึง 4 ความหมาย.  เมื่อเอาภาษาบาลีเป็นหลัก ท่านควรจะทราบให้มากไปกว่านั้น คำว่า “ธรรม”ในภาษาบาลี นั้น หมายถึงสิ่งทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไรนับไม่ไหว;  แต่ว่าสิ่งทุกสิ่งนั้น ถ้าจะเอามาจัดเป็นประเภทแล้วก็จะได้สัก 4 ประเภท หรือ 4 พวกด้วยกัน.  อาตมาจึงว่าคำว่า “ธรรมะ” มีความหมายอยู่ 4 ความหมาย.
          “ธรรมะ” ความหมายที่ 1  หมายถึง “ตัวธรรมชาติ” ทั้งหลาย, จะเป็นธรรมชาติที่มีปรากฏการณ์ หรือไม่มีปรากฏการณ์ก็ตาม.  คำว่าธรรมชาติทั้งหมดนี้เรียกเป็นภาษาว่า “ธมฺม” หรือ “ธรรม” เฉยๆในภาษาไทย. นี่คือความหมายของคำว่า “ธรรมะ” นี่เป็นความหมายที่ 1 หมายถึง ตัวธรรมชาติ.
          “ธรรมะ” ในความหมายที่ 2 หมายถึง กฏของธรรมชาติ ที่ไหนมีธรรมชาติ ในธรรมชาตินั้นมีกฏของธรรมชาติควบคุมอยู่ หรือว่าธรรมชาติทั้งหลายได้เกิดขึ้นและเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ คือตามกฏของมันเอง.  กฏของธรรมชาตินี้เรียกว่า “ธรรม” หรือ “ธมฺม” ในภาษาบาลีนี่เป็นความหมายที่ 2.
          ความหมายที่ 3 คำว่า “ธรรม” หมายถึง หน้าที่อันถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ  ที่หมายถึง หน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้อง ตามกฏของธรรมชาติ นี้คือธรรมในความหมายที่ 3.
          ความหมายที่ 4 คือ ผลที่จะได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ.  จะเป็นผลทางโลก ทางธรรม ทางโลกียะทางโลกุตตระหรืออะไรก็ตาม.   ผลทั้งหมดนั้นก็เรียกว่าผล. ซึ่งเป็นธรรมะในฐานะที่เป็นผล.
          ถ้าสรุปความสั้นๆ ก็พูดได้ว่า ธรรมะคือ ตัวธรรมชาติ อย่างหนึ่ง, ธรรมคือกฏของธรรมชาตินี้อีกอย่างหนึ่ง, ธรรมะคือ หน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ นั้นอีกอย่างหนึ่ง, ธรรมะในฐานะที่เป็น ผลเอามาจากการปฏิบัติหน้าที่ นั้นอีกอย่างหนึ่ง. รวมเป็น 4 อย่าง ทั้ง 4 อย่างเป็นความหมายของคำว่า “ธรรม” เพียงคำเดียว.
          เมื่อท่านรู้จักธรรมในความหมายทั้ง 4 อย่างเหล่านี้แล้ว ก็เรียกว่ารู้จักสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมะ” อย่างสมบูรณ์, คือสิ่งทุกสิ่งไม่ว่าจะกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่ล้าน กี่โกฏิสิ่งมันรวมอยู่ใน  4 ความหมายนี้ทั้งนั้น.

การเมืองเป็นธรรมะในความหมายที่ 3.
          ทีนี้ความหมายไหนเล่า ที่จะตั้งอยู่ในฐานะเป็นลัทธิการเมือง? ก็ลองไล่มาตามลำดับ ธรรมะในความหมายที่ 1 ก็คือตัวธรรมชาติ. ความหมายที่ 2 คือกฏของธรรมชาติ. ความหมายที่ 3 คือหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ. ความหมายที่ 4 คือผลที่ได้จะได้รับจากหน้าที่.  เรื่องมันก็จะไปลง อยู่ที่ความหมายที่ 3 คือหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ.  สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายจะต้องมีหน้าที่ ที่จะต้องปกระพฤติกระทำให้ถูกตามกฏของธรรมชาติ เพื่อความอยู่รอด และความอยู่เป็นผาสุก.
          ทีนี้มาพูดถึง คำว่า “การเมือง” ในความรู้สึกของอาตมา : การเมืองคือการทำหน้าที่เพื่อให้โลกนี้เป็นอยู่อย่างผาสุก โดยไม่ต้องใช้อาชญา. การเมืองที่จะต้องใช้อาชญานั้น เป็นการเมืองที่ยิ่งกว่าสกปรก, มันเป็นการเมืองที่หลอกลวง, เป็นการเมืองของภูตผีปีศาจมากกว่า.
          การเมืองที่แท้จริงต้องเป็นการสร้างสันติภาพโดยไม่ต้องใช้อาชญา, หมายถึงใช้สติปัญญา ทำความเข้าใจซึ่งกันและกันในหมู่สัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลาย เพื่ออยู่กันเป็นผาสุก.  สิ่งมีชีวิตมีหน้าที่ ที่จะต้องทำเพื่อให้อยู่กันเป็นผาสุกโดยไม่ต้องใช้อาชญา, ไม่ต้องขบกันกัดกัน, ไม่ต้องทำลายล้างกัน นี้เรียกว่า ไม่ต้องใช้อาชญา.  ธรรมะในความหมายที่ 3 หมายถึงหน้าที่ ที่มนุษย์จะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้อาชญาแก่ฝ่ายใด.
          นี่ขอให้เราคิดดูว่า การเมืองก็คือ สิ่งที่มีความมุ่งหมายจะทำโลกให้มีสันติโดยไม่ต้องใช้อาชญา.
          ธรรมะ ก็คือ หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติกระทำไป ให้อยู่กันเป็นผาสุกโดยไม่ต้องใช้อาชญา.
          ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่า การเมือง นั้นก็คือ ธรรมะในความหมายที่ 3 นั่นเอง



ธรรมะคือหน้าที่
ต้องทำให้ถูกต้องตามกฏธรรมชาติ
          ขอเน้นลงไปที่คำนี้อีกครั้งหนึ่งว่า ธรรมะคือหน้าที่ ที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ.  ถ้าต้องการความอยู่กันเป็นผาสุก ก็ต้องถูกต้องตามกฏของการอยู่เป็นผาสุก;  ต้องการให้มันเป็นทุกข์ ก็ต้องให้มันถูกต้องตามกฏ ที่มันจะต้องเป็นทุกข์.  แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครปรารถนาความทุกข์;  เราก็ไม่ต้องพูดกันถึงกฏฝ่ายที่จะทำให้เกิดความทุกข์.  เราจะมาพูดกันถึงกฏฝ่ายที่จะทำให้เกิดความเป็นสุข.
          ธรรมะคือหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติเพื่อสันติภาพของโลก การเมืองก็คือการกระทำเพื่อให้เกิดสันติภาพของโลก.  แล้วก็ต้องเป็นไปให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติซึ่งเป็นธรรมะในความหมายที่ 2.
          อาตมาเอ่ยถึงคำว่า การเมืองของพระเจ้า.  บางคนก็คงประหลาดใจ พูดกันเสียใหม่ก็ได้ว่า ท่านจงนึกถึงความหมายของธรรมะในความหมายที่ 2 ว่าธรรมะคือ กฎของธรรมชาติ มองให้เห็นว่า กฏของธรรมชาติมีอยู่ก่อนสิ่งใด จึงทำให้ธรรมชาติได้เกิดขึ้น”  ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ โลกนี้โลกไหนก็ตาม เป็นตัวธรรมชาติที่เกิดขึ้นโดยกฏของธรรมชาติ.  กฏของธรรมชาติจึงมีอยู่ก่อนสิ่งใดทำหน้าที่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมา เพราะฉะนั้น กฏของธรรมชาติ นั่นเอง มีค่าเท่ากันกับสิ่งที่เรียกว่า “พระเจ้า”.
          คำว่า พระเจ้า มีความหมายโดยทั่วไปคือ ผู้สร้างโลก ผู้ควบคุมโลก และ ผู้ทำลายโลก เสียเป็นคราวๆ.  สร้างโลก ควบคุมโลก ทำลายโลก ในความหมายของ คำว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป; นั่นคือ กฏของธรรมชาติ มีอำนาจ มีความสามารถเท่ากับสิ่งที่เราเรียกกันว่า “พระเป็นเจ้า”.

การเมืองบริสุทธิ์ต้องเป็นไปตามกฏ
ของพระเจ้า
          ทีนี้การเมืองเป็นสิ่งที่ต้องเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ สังคมก็เป็นสิ่งที่ต้องทำไปตามกฏของพระเป็นเจ้า, จึงเรียกว่า การเมืองอันบริสุทธิ์ นั้นต้องเป็นการเมืองที่เป็นไปตามกฏของพระเจ้า; ยกพระเจ้าให้เป็นยอดสุดของนักการเมืองเสียได้เลย, หมายถึง กฏของธรรมชาติที่จะจัดโลกให้เป็นไปอย่างไรก็ได้.  เมื่อเราประพฤติให้ถูกต้องตามกฏของพระเจ้าในส่วนที่มีสันติภาพ โลกนี้ก็มีสันติภาพ; ฉะนั้นเราจึงมีการเมืองชนิดของพระเจ้ากันดีกว่า.  พระเจ้าในที่นี้คือกฏของธรรมชาติในความหมายที่ 2.
          เรื่องขบขันมีอยู่เกี่ยวกับภาษา คือตรงนี้ อยากจะเล่าให้ฟังสักหน่อยว่าพวกฝรั่งเขาพูดว่า พุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า คือ ไม่มีก็อด (God).  อาตมาบอกเขาในฐานะคนกันเองว่า พุทธศาสนาก็มีพระเจ้า และมีก็อด.  พระเจ้าคือกฏของธรรมชาติ ในภาษาไทยเราเรียกว่า “กฏ”.  แต่เดี๋ยวนี้เราออกเสียงมันสั้นไปว่า “กฏ”.  เราลองออกเสียงให้ยาว คำว่า กฏ ก็กลายเป็น ก็อด; เราก็เลยมีก็อด.  ก็ได้หัวเราะกันว่าในพุทธศาสนานี้ก็มี ก็อด คือพระเจ้า แต่เล็งถึงกฏของธรรมชาติ ซึ่งเป็นธรรมะในความหมายที่ 2.
          ขอย้ำอีกทีหนึ่งเดี๋ยวจะลืมกันเสียหมดว่า ธรรมะในความหมายที่ 1 คือตัวธรรมชาติ, ธรรมะในความหมายที่ 2 คือ กฏของธรรมชาติ, ธรรมะในความหมายที่ 3 คือหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ, ธรรมะในความหมายที่ 4 คือผลจากหน้าที่นั้น.  พูดอย่างเปรียบเทียบก็ว่า ตัวธรรมชาติทั้งหลายเป็น กายของพระเจ้า, กฏของธรรมชาติเป็น จิตของพระเจ้า, หน้าที่ตามกฏธรรมชาตินั้นคือ พระประสงค์หรือข้อเรียกร้องของพระเป็นเจ้า, ส่วนผลตามหน้าที่นั้น คือ ผลที่พระเจ้าประทานให้ เราไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงความหมายของคำว่า ธรรม 4 ความหมายนี้เลย.
          คำว่า พระเจ้า ถ้ากล่าวอย่างบุคลาธิษฐาน พูดให้เป็นคน กห็เหมือนอย่างที่เขากล่าวกันในศาสนาต่างๆ ที่มีก็อดอย่างเป็นคน.  ส่วน ในพุทธศาสนา นี้มีพระเจ้าอย่างธรรมาธิษฐาน คือกฏของธรรมชาติ.  เราก็เรียกว่า กฎ. มีกฏเป็นพระเจ้า, มีพระเจ้าเป็นกฏ, ใครอยากจะให้เป็น พระเจ้าอย่างบุคคล ก็ออกเสียงให้ยาวว่า ก็อด ก็แล้วกัน; จะเป็นพระเจ้าอย่างบุคคล ก็มีคตวามหมายอยู่ ที่สร้างโลก ควบคุมโลก ทำลายโลก;  จะเป็นความหมายอย่างธรรม เป็นนามธรรม ก็เป็น สิ่งที่สร้างโลก ควบคุมโลก ทำลายโลก.  เรื่องมันก็เท่ากัน : จะเป็น พระเจ้าอย่างบุคลาธิษฐาน, หรือจะเป็น พระเจ้าอย่างธรรมาธิษฐาน ก็ทำหน้าที่เหมือนกัน; เป็นพระเจ้าที่แท้จริงได้ก็เพราะทำหน้าที่อันนี้.
          ท่านจะถือพระเจ้าอย่างบุคคลก็ได้, ถือพระเจ้าอย่างนามธรรมที่เป็นกฏของธรรมชาติก็ได้, แต่ให้รู้ว่าเป็นสิ่งสูงสุด ไม่ลำเอียงต่อใคร; เฉียบขาดในการทำหน้าที่ของตน.  พระเจ้าจึงออกกฏมาว่า สิ่งที่มีชีวิตจะต้องมีหน้าที่ในการสร้างสันติภาพให้แก่กันและกันโดยไม่ต้องใช้อาชญา จึงจะอยู่กันเป็นผาสุก.
การเมืองบริสุทธิ์จะทำให้มีสันติภาพ
โดยไม่ใช้อาชญา

สิ่งที่เรียกว่าการเมือง  ก็คือ ช่วยกันทำหน้าที่ให้เกิดสันติภาพขึ้นในโลกนี้ โดยไม่ต้องใช้อาชญา จึงจะเป็นการเมืองบริสุทธิ์, เป็นการเมืองของพระเจ้า, มีพระเจ้าเป็นยอดสุดของนักการเมือง. ถ้าเป็นการเมืองอย่างอื่นผิดไปจากนี้ แล้วก็เป็นการเมืองสกปรกแสนที่จะสกปรก; มันก็กลายเป็นการเมืองของพวกภูตผีปีศาจ ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า
          ให้ท่านไปลองคิดดู; ฉะนั้นถ้าเราหวังจะเอาลัทธิการเมืองสร้างสันติถภาพให้แก่มนุษย์ เราหลีกไม่พ้นที่เราจะเลือกเอาการเมืองตามแบบของพระเจ้า, มีพระเจ้าเป็นยอดสุดของนักการเมือง.  ทุกคนจะต้องประพฤติให้ตรงตามความประสงค์ของพระเป็นเจ้าหรือกฏของธรรมชาติส่วนนี้.ฃ
          ใน ทุกๆศาสนาจะมีหลักสำคัญ เหมือนกันหมดอยู่อย่างหนึ่งคือ ให้ถือว่า ทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน.  ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมสุข ร่วมทุกข์ มีปัญหาอย่างเดียวกัน. ทุกศาสนาจะเน้นถึงผู้อื่นยิ่งกว่าที่จะมาเน้นถึงแต่ตัวเอง : สอนให้คนรักผู้อื่นยิ่งกว่าตัวเองบ้าง, เท่ากับตัวเองบ้าง, ล้วนแต่มุ่งหมายจะทำลายความเห็นแก่ตัวให้เห็นแก่ผู้อื่นด้วยกันทั้งนั้น นั่นก็คือความหมายแห่งคำว่า “สังคมนิยม” คือ นิยมสังคม, อย่ามานิยมตัวคนเดียว.
          อาตมาอยากจะกล่าวชัดลงไปว่า ทุกศาสนามีวิญญาณแห่งสังคมนิยม, ทุกศาสนามีพระเจ้าเป็นยอดสุด อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าพระเจ้าอย่างบุคคลก็ได้, พระเจ้าอย่างนามธรรมก็ได้, ก็คือ มีธรรมะเป็นที่สูงสุด. เพราะฉะนั้น สังคมนิยมตามแบบพระศาสนาทั้งหลาย ต้องเป็นสังคมนิยมที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ  จึงจะมีความบริสุทธิ์อยู่ในตัวลัทธิ. เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่คนทุกคน โดยไม่ต้องใช้อาชญา จึงจะเรียกว่าสังคมนิยมตามแบบของพระเจ้า.  ถ้าจะพูดให้ชัดเป็นภาษาสั้นๆก็ว่า ธรรมิกสังคม คือ สังคมนิยมที่ประกอบอยู่ด้วยธรรม.
          นี่แหละคือลัทธิการเมืองของพระเจ้า,  มีพระเจ้าเป็นยอดสุดของลัทธิการเมืองชนิดนี้.  อาตมาจึงพูดว่า ธรรมะในฐานะเป็นลัทธิการเมือง, คือ หมายถึงธรรมะในฐานะที่เป็นหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ ซึ่งเราต้องประพฤติกระทำตามกฏของธรรมชาติ เพื่อจะเกิดสันติภาพขึ้นมาในหมู่มนุษย์ โดยไม่ต้องใช้อาชญา.
          ธรรมะในความหมายที่ 3 นี้ จึงเป็นลัทธิการเมืองหนึ่งอยู่ในตัวมันเอง, เป็นตัวธรรมะเสียเอง, เป็นลัทธิการเมืองเสียเอง, ไม่ต้องพูดว่าเกี่ยวเนื่องอย่างนั้นอย่างนี้กันก็ได้.  หน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ นั้นเป็นธรรมะ, ธรรมะชนิดนี้คือลัทธิการเมืองของพระเจ้า หรือของมนุษย์ที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ในความหมายที่ว่า มีความถูกต้อง.
          เรามีหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ จะต้องประพฤติปฏิบัติต่อกัน ในฐานะที่เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน; เราจึงควรทำความเข้าใจกันในข้อนี้ โดยเฉพาะในโลกปัจจุบันนี้ คือให้ธรรมะเป็นการเมือง, ให้กฏของธรรมชาติเป็นพระเจ้า ผู้เป็นยอดสุดของนักดการเมือง การเมืองก็จะเป็นของพระเจ้า เป็นของธรรมะ.
          เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่า การเมืองในฐานะที่เป็นธรรมะ คือหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ ด้วยกันอย่างนี้เถิด.  การประพฤติธรรมก็จะเป็นการเมือง, การเมืองก็จะเป็นการประพฤติธรรมะ.  ถ้ามิฉะนั้นแล้ว ก็จะเปิดโอกาสให้ภูตผีปีศาจ ซาตาน พญามารมาสิงเอา ถือเอาประโยชน์แห่งตัวกู-ของกูเป็นสิ่งสูงสุด.  ไม่นับถือพระเจ้า.  ไม่นับถือกฏเกณฑ์ของธรรมะ, เอาประโยชน์แห่งตัวกู-ของกูเป็นสิ่งสูงสุด, แล้วก็ดำเนินการเมืองไปตามเจตนารมณ์อันนั้น; มันก็เป็นการเมืองของภูตผีปีศาจไม่เกี่ยวกับธรรมะ; ถ้าการเมืองเกี่ยวกับธรรมะ มันก็เป็นการประพฤติธรรมะอยู่ในตัวการเมืองนั้นเอง.
          ขอให้นักการเมืองทั้งหลายในโลกนี้ มองเห็นธรรมะในฐานะเป็นลัทธิการเมือง, หรือมองเห็นลัทธิการเมืองนั้นว่าเป็นตัวธรรมะโดยแท้จริง, แล้วเราก็จะมีธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครองโลก.  ธรรมะซึ่งขจัดกิเลสอันเป็นดังยาเสพติดทั้งหลายเสียได้นั้น ก็จะมาเป็นเครื่องคุ้มครองโลก.

การเมืองเป็นธรรมะแล้ว
จะพาโลกพ้นความชั่วร้าย.
          ธรรมะมิใช่สิ่งเสพติด แต่ธรรมะจะเป็นเครื่องกำจัดสิ่งเสพติด; ดังนั้นการเมืองที่เป็นธรรมะ ธรรมะที่เป็นการเมืองนั้น จะทำโลกให้พ้นจากกิเลสความชั่วร้าย ความเลวทราม, ความเห็นแก่ตัวกู-ของกูโดยส่วนเดียวนั้นออกไปเสียได้.  เราก็จะได้อยู่กันในโลกของพระเจ้าอันแท้จริง ประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างถูกต้องตามประสงค์ของพระเจ้าอันแท้จริง.  ไม่มีคำว่า “การเมืองเป็นเรื่องสกปรก” ในโลกของพระเจ้าชนิดนี้; เพราะว่าการเมืองนั้นเป็นเรื่องของความถูกต้องของความยุติธรรม ของความดีความงามสูงสุด, กล่าวคือ การช่วยกันจัดให้โลกนี้มีสันติภาพ, มีสันติสุขอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ต้องใช้อาชญา คือไม่มีการทำอันตรายแก่กันและกัน ทั้งบนดินและทั้งใต้ดิน หรือโดยประการใดๆ.
          ขอภาวนาให้ธรรมะปรากฏแก่จิตใจของคนทุกคนในโลกนี้ ครบถ้วนทั้ง 4 ความหมาย, แล้วถือเอาความหมายที่ 2 คือกฏของธรรมชาตินั้นเป็นพระเจ้า, แล้วถือเอาความหมายที่ 3 หน้าที่ตามกฏธรรมชาตินั้นเป็นการเมืองของมนุษย์ ที่จะต้องประพฤติ ให้ถูกตรงตามความประสงค์ ของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา.  เราก็จะได้ชื่อว่าเป็น มนุษย์ สมตามความหมายขอคำคำนี้คือ สัตว์ที่มีใจสูง สูงอยู่เหนือปัญหาทุกอย่างทุกประการ ไม่เสียทีที่ว่าเป็นมนุษย์, และมีศาสนาสำหรับขจัดปัญหาทุกๆอย่างอันพึงจะมี.
          อย่าเอ่ยชื่อถึงพระเจ้าแต่เพียงสักแต่ว่าปากเอ่ยชื่อ, จงมีพระเจ้ากันให้จริงๆ.  อ้อนวอนพระเจ้าด้วยการพยายามประพฤติปฏิบัติให้ดี ให้งาม ให้ตรงตามหน้าที่ที่กฏของธรรมชาติมีอยู่แล้วอย่างไร; ก็จะเป็นอันว่าเป็นมนุษย์ที่อยู่เหนือปัญหาได้ เพราะยึดถือธรรมะ ในฐานะเป็นลัทธิการเมืองดังที่กล่าวมา.

          เวลาสำหรับปาฐกถาธรรมในวันนี้ ก็หมดลงแล้ว.  อาตมาขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้.


**********

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น