หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ชีวิตเป็นของน้อย - หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี


การเกิดมาเรียกว่า
มาสร้างบารมี
การกระทำนั่นแหละ
เป็นการสร้างบารมี
เป็นการสร้างวาสนา


ชีวิตเป็นของน้อย

          จะเทศน์ถึงเรื่อง “ชีวิตเป็นของน้อย” ให้ฟัง เป็นการตักเตือนเพื่อให้มีสติ ระมัดระวังตั้งจิตให้มั่นคงต่อไป พระพุทธเจ้าทรงเทศนาว่า
          อจฺจยนฺติ อโหรตฺตา               ชีวิตํ อุปรุชฺฌติ
          อายุ ขียติ มจฺจานํ                 กุนฺนทีนํว โอทกํ
อจฺจยนฺติ อโหรตฺตา     แปลว่า วันคืนล่วงไปล่วงไป
ชีวิตํ อุปรุชฺฌติ          ชีวิตคนเราหมดเปลือง สิ้นไป
อายุ ขียติ มจฺจานํ       อายุของสัตว์ทั้งหลายย่อมสิ้นไป
กุนฺนทีนํว โอทกํ         เปรียบเหมือนกับน้ำที่มีน้อย อยู่ในรอยโค พลันที่จะเสื่อม พลันที่จะแห้งด้วยแสงแดด ท่านว่าอย่างนั้น
ชีวิตของคนเราเป็นของน่าเสียดาย ในวันหนึ่งๆซึ่งมันหมดเปลืองไป โดยที่วันเวลา นาที วินาที หมดไป หมดไป วันเวลา นาที วินาที มันเป็นเครื่องวัดของคนเรา วินาทีล่วงไปก็เรียกว่าหมดไปแล้ว ตลอดถึงนาที ตลอดถึงชั่วโมง หมดไป เสื่อมสูญสิ้นไป แต่ว่าคนผู้เป็นเจ้าของชีวิต ลืมคิดนึกถึงเรื่องมันหมดไป มันเสื่อมไป จึงว่าน่าเสียดายคุณค่าของชีวิต
การยังตัวเราให้เป็นอยู่ เป็นคุณค่าของชีวิต แต่ว่ามันค่อยเสื่อมไปทีละเล็กละน้อย เสื่อมไปโดยไม่รู้ตัว เราไม่เห็นการเสื่อมสูญสิ้นไป เปรียบเหมือนกับ น้ำน้อยในรอยโค ถูกแสงแดดย่อมพลันสูญไปฉะนั้น อันนั้นมันยังไกลไป หากเปรียบเหมือนกับน้ำมันเบนซินในถัง เปิดมาแล้วย่อมหายไป หายไป โดยที่มองไม่เห็น เราไม่รู้จักว่าชีวิตของเราหายไป หมดไป เมื่อชีวิตหายไปหมดไป ก็ยังเหลือแต่ถัง คือตัวของเรายังเหลือแต่โครงกระดูก ยังเหลือแต่ซากศพ นั่นแหละเรียกว่า ยังเหลือแต่เครื่องภาชนะที่ใส่น้ำมัน ชีวิตที่มันค่อยๆ หายไปนั้น คือมันค่อยตายไปนั่นเอง
ผู้ประมาทย่อมลืมคิดถึงตัวของตน ที่มันหมดไปแล้วได้อะไรบ้าง เราได้ทำให้คุณงามความดีอะไรไว้แก่ตัวของเราบ้าง ถ้าหากเป็นผู้ไม่ประมาท คิดถึงชีวิตที่หมดไป เราจะตั้งสติให้มั่นคงให้แน่วแน่ลงไป ถึงชีวิตมันหมดไป แต่ตัวสติของเรายังคงอยู่ นั่นคือคุณงามความดี ความดีนั้นไม่หมดสิ้นไป
เรามีชีวิตอยู่ชั่วขณะหนึ่งก็ตาม หากว่าเรามีสติตั้งมั่น เรารักษาควบคุมจิตของเราอยู่ได้ ไม่ให้กวัดแกว่ง ไม่ให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนไปในที่ต่างๆ เรียกว่าเราคุมสติอยู่ มีสติมั่นคง ธรรมดาชีวิตมันเป็นอยู่ของมันอย่างนั้น มันต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเสื่อมสูญสิ้นไป คนเกิดมาตั้งร้อยปีพันปีก็ช่างเถิด ก็ได้ชื่อว่าตายทุกวันๆ นั่นแหละ ที่มันจะไม่ตายไม่มี คนที่มีสติตั้งมั่นอยู่ ผู้นั้นได้คุณค่าของชีวิต ตายแล้วไม่ได้ทำอย่างนี้หรอก
มิหนำซ้ำ สติที่เรารักษาไว้ดีแล้วนั้น เวลาจะตายยังกระสับกระส่าย เดือดร้อนวุ่นวาย ด้วยความไม่อยากตาย อาลัยอาวรณ์สิ่งต่างๆ สติที่เรารักษาดีๆอยู่นี่ เวลาจะตายจริงๆจังๆ มันไม่ได้ อย่างนี้หรอก เช่น คนบางคนกล้าหาญอาจหาญ ว่าจะตายอย่างนั้นอย่างนี้ เราจะรักษาสติไว้อย่างนั้นอย่างนั้น ให้มั่นคงถาวร อันนั้นเป็นความคาดคะเน ก็ดีอยู่เพื่อความกล้าหาญ ผจญต่อสู้กับความตายก็ได้
แต่เวลาจะตายขตริงๆมันไม่เป็นอย่างนั้น มันต้องเสื่อมไปทีละนิดละหน่อยโดยการเจ็บ การป่วย โดยการทุรนทุราย แล้วการที่เราไม่ได้ทำความเพียรภาวนาไม่ได้ฝึกฝนอบรมอะไรไว้ มัวแต่เจ็บมัวแต่ป่วยไข้ สติก็ต้องอ่อนลงไปตามธรรมดา คนที่จะมีสติกล้าหาญ ต่อสู้ได้ต่างๆ มีน้อยนัก โดยมากมีแต่เสื่อมลงไป เวลาตายจริงๆจังๆ มันเป็นอย่างนั้น ใครจะมีความกล้าหาญสักเท่าใดก็ตาม มันเป็นอย่างนั้น ใครจะมีความกล้าหาญสักเท่าใดก็ตาม มีวิชาความรู้สักเท่าใดก็ตาม
เหตุนั้นจึงว่า ในเมื่อจะตายนั่น มันเสื่อมสูญไปหมด มันยังเหลือแต่ความกระสับกระส่าย ยังเหลือแต่ความกระวนกระวาย ยังเหลือแต่กิเลสอันที่เราละแล้ว ที่เราละเราถอนอยู่ทุกวันๆนั่น อันนั้นมันจะกลับฟื้นคืนมา เป็นผลให้เรายึดถือ ผู้มีสติมั่นคงดำรงไว้ซึ่งจิตที่มั่นคงนั่นแหละ จึงรักษาได้ เป็นของทำได้น้อยนักน้อยหนา
ผู้มีสติตั้งมั่นจึงได้ชื่อว่ามีอายุยืน คนที่มีอายุตั้งร้อยปี แต่หากว่าเกิดความประมาทเสีย มีความลุ่มหลงมัวเมาด้วยเข้าของ ด้วยบ้านด้วยช่องเรือนชาน สิ่งต่างๆ เมาไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ติดข้องหมดทุกอย่าง นั่นเรียกว่าผู้ประมาท มีอายุตั้งร้อยปีไม่มีดีอะไรเลย เด็กเกิดมาในวันนั้นมีสติมั่นคง ยังดีกว่า
ทุกศาสนา ทุกสถาบัน ทุกแห่งหน ผู้มีสติตั้งมั่นแล้ว ท่านชมเชยทั้งนั้นแหละ พระพุทธเจ้าทรงสอน “สติ” อันเดียว นอกจาก “สติ”แล้วไม่มีอะไร จะมีความรู้ความสามารถอาจหาญเท่าไรก็ตาม ถ้าขาดสติแล้วได้ชื่อว่า หลงไปตามตำหรับตำรา หลงไปตามควงามรู้วิชชา แต่ขาดการรักษาตัว คือสติต้องมีรักษาตัว สติเรียกว่าผู้รักษา รักษาตัวเอง
สติมา วิเนยฺยโลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ  ท่านเทศนาว่า สติเป็นเครื่องระลึกได้ สติอันนี้แหละระงับเสียซึ่งอภิชฌาและโทรมมนัส (ความโลภอยากได้ของเขาและความทุกข์ใจ) ทั้งหมดในโลก เราจึงควรที่จะรีบเร่งฝึกฝนอบรมไว้ อายุของเราป่านนี้แล้วทุกคน อย่างน้อยก็ต้อง 20. 30 ปีขึ้นไป นั่นคือตายไปหมดไปแล้ว 20. 30 ปี ที่นับอายุนั่นไม่ใช่อะไรหรอก คือนับความตายไปแล้ว อันที่ยังเหลือนั้นยังไม่มีใครนับสักคนเดียว ไม่มีใครนับได้ จึงหลงถึงเรื่องอันที่มันยังเหลือนี่แหละ.
เรามาตั้งสติกำหนดจิต รักษาจิตของตนอยู่ทุกเมื่อเชื่อยาม เป็นผู้ไม่ประมาท เป็นผู้ขยันหมั่นเพียรพยายามประกอบด้วยสติอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นหนทางพ้นจากทุกข์ เป็นหนทางพ้นจากบ่วงแห่งมาร พ้นจากเครื่องผูกมัดของมาร
พ้นอย่างไร? เมื่อมีสติแล้ว อะไรจะมาผูกมัดไม่ได้ ถ้ามีสติอยู่ทุกเมื่อ มันก็ไม่หลงใหล นั่นแหละมารไม่สามารถจะมองเห็นได้ ตัวมารคือไม่มีสติ ตัวมารคือความลุ่มหลง คือความประมาท เพลิดเพลินในกามคุณทั้งห้า อันมี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัสกาย) เป็นดอกไม้ของมาร
เมื่อไปชมดอกไม้ มันก็ดักเอาตรงนั้นน่ะซี ตาเห็นรูป มารก็ไปดักเอาตรงนั้น มีความยินดีพอใจ หลงมัวเมาประมาท ตรงนั้นแหละไปถูกบ่วงของมารแล้ว หูได้ยินเสียง มันก็ดีกเอาตรงนั้น ที่ชอบใจไม่ชอบใจอะไรต่างๆ ถูกบ่วงหมด กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้งหมดทั้งดีและชั่ว เรียกว่าถูกบ่วงของมารทั้งนั้น เราทุกคนไม่มีสติได้ชื่อว่า ถูกบ่วงมารแล้วเวลานี้
พระพุทธเจ้าทรงเทศนาให้พวกที่อยากพ้นจากทุกข์ ต้องการพ้นจากทุกข์ฟัง ด้วยประการอย่างนี้แหละ ถ้าหากว่าผู้ปรารถนาพ้นจากทุกข์ไม่ดำเนินตาม ก็ไม่มีทางที่จะดำเนินให้พ้นทุกข์ ไม่ทราบจะไปเดินทางไหน
ฆราวาส ไม่ใช่พระ ไม่ใช่เณร ไม่ใช่บรรพชิตผู้บวชในศาสนา เมื่อต้องการพ้นทุกข์ ก็ต้องดำเนินการตามทางนี้เหมือนกัน นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีทางอื่นแล้ว เป็นพระเป็นเณรไม่ดำเนินตามรอยนี้ ก็ได้ชื่อว่าไม่ผิดแปลกอะไรกับฆราวาสเลย เครื่องวัดของพระและเครื่องวัดของฆราวาสอยู่ตรงนี้แหละ ฆราวาสจะเป็นพระก็ตรงนี้ พระจะเป็นฆราวาสก็อยู่ตรงนี้ละ
เพราะฉะนั้น จงพากันตั้งสติกำหนดจิตให้คิดพิจารณาอย่างนี้ อยู่ด้วยความไม่ประมาท อาจจะถึงความหลุดพ้นได้ ถึงไม่หลุดพ้นก็ได้ชื่อว่าเบาบางลงไป เห็นจิตของตนเบาบางลงไป ได้รับความเยือกเย็นเป็นสุข เอาละ.
***************







นำนั่งสมาธิ

ที่อธิบายว่า ชีวิตเป็นของน้อย ก็หมายความถึงเรื่องมรณานุสตินั่นเอง ให้พิจารณามรณานุสติว่า กายของเรานี้มันเป็นสิ่งที่ตาย พิจารณาหมดทุกส่วน มันตายไปตั้งแต่ มือ เท้า มันเย็น มันเหน็บ มันชา มันเย็นเลยตายไปทุกชิ้นทุกดส่วนหมดไปๆ ยังอุ่นอยู่แต่หัวใจ เต้นอยู่ที่กลางอก มันอุ่นตรงนั้นกับลมหายใจ ถ้ามันไม่อบอุ่น มันเย็นหมด ก็ไม่มีลมหายใจ
ไม่มีลมแล้วคราวนี้ตัวใจแท้มันไปไหน?  ใจแท้มันก็ไปตามเรื่องของกรรม ถ้าหากว่าหมดลมหายใจแล้ว ตัวใจนั้นมันอยู่เป็นกลางไม่ได้ อยู่กัลลมหายใจก็จริงอยู่ ถ้ามีลมมันจึงค่อยอยู่ในนั้น ถ้าไม่มีสติแล้วมันก็ไม่อยู่ในที่นั้น ถ้ากรรมดี มันก็ไปติดกรรมนั้นเสีย กรรมชั่วมันก็ไปติดกรรมชั่วนั้นเสีย อันนั้นละเป็นที่รักษาไว้ไม่ได้ เมื่อเรายังมีชีวิตดีๆอยู่นี่ ก็รักษาตรงนั้นแหละให้อยู่เป็นกลาง หากไม่รักษา เมื่อหมดลมหายใจแล้ว ก็ไม่มีทางแล้ว มันไปตามเรื่อง
เหตุนั้น ถ้าหากว่าเรารักษาสติคุมจิตอยู่ได้ คืออยู่ตรงกลาง เมื่อลมหายใจหมด ก็อยู่ตรงกลางนั้น ด้วยอำนาจพลังจิต มีพลังเพียงพอ มันถึงไม่หวั่นไหวเอนเอียงไปทางไหน มันก็อยู่คงที่ เมื่อมันไม่ไปตามกรรมชั่วและกรรมดีแล้ว มันจะไปเกิดที่ไหนล่ะ? มันก็หมดเรื่อง ความเกิดไม่มี นั่นแหละจึงต้องรักษาตรงนั้น
สรุปว่า ในเมื่อเรายังมีสติอยู่ ชีวิตยังมีอยู่นี่แหละ พิจารณาความตายในเบื้องต้น ส่วนไหนมันตายไป มันเย็นไปหมดทุกอย่าง ให้พิจารณาตรงนั้น จนกระทั่งจิตแน่วแน่จริงๆ กายก็ไม่ปรากฏ ไม่ทราบมันหายไปไหน จะปรากฏแต่ใจที่ตรงนั้น ตรงกลางๆนั่นแหละ ความสุขความสบายเกิดขึ้นมาจาดกจิต ที่ไม่ไปยึดถึงในสิ่งใด เป็นของโล่งของว่าง นั่นเป็นสิ่งที่ปรารถนาอย่างยิ่ง คำว่า “ปรารถนา”นั้นเป็นคำพูด ที่ตรงนั้นมันไม่มีปรารถนาอะไร มันหมดเรื่องแล้วไม่มีปรารถนา จึงให้พิจารณาเอาตรงนั้นแหละ.
***************


วันเวลา นาที วินาที หมดไป หมดไป
แต่ว่าผู้เป็นเจ้าของชีวิตนั่น
ลืมคิดนึกถึงเรื่องมันหมดไป
มันเสื่อมไป โดยไม่รู้ตัว
จึงว่าน่าเสียดายคุณค่าของชีวิต


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น