หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (33)

 

มวดดิบบอกกับเราใน “เวลาแห่งการไตร่ตรอง”ว่าการขัดแย้งครั้งแรกของเขากับความจำเป็นทั้งหลายของอาร์ราคีนได้เป็นการเริ่มต้นที่แท้จริงของการศึกษาของเขา. เขาเรียนรู้ในครั้งนั้นถึงการจะปักเสาลงในทรายได้อย่างไรสำหรับสภาพอากาศของมัน, ได้เรียนรู้ภาษาของเข็มแห่งลมทีทิ่มแทงผิวของเขา, เรียนรู้ว่าเสียงนั้นสามารถที่จะกระซิบกระซาบอย่างไรกับการคันของทรายและทำอย่างไรที่จะรวบรวมความชื้นอันล้ำค่าของร่างกายของเขารอบตัวเขาที่จะพิทักษ์มันและสงวนรักษามัน. ขณะที่ดวงตาของเขารับเอาสีฟ้าของอิบัด, เขาได้เรียนรู้วิถีชาค็อบสา.

                  ---บทนำของ สติลจาร์ ต่อ “มวดดิบ ยอดคน” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

 

         กองกำลังของสติลจาร์กลับคืนสู่สิฐคามพร้อมด้วยสองผู้จรจัดจากทะเลทรายปีนออกมาจากแอ่งในแสงสว่างที่ลดถอยลงของจันทร์ดวงแรก. ร่างในเสื้อคลุมด้วยกลิ่นไอของบ้านในช่องจมูกทั้งหลายของพวกเขา. เส้นสีเทาของอรุณรุ่งด้านหลังพวกเขาเป็นสิ่งสว่างที่สุดที่ช่องบากในปฏิทิน-เส้นขอบฟ้าของพวกเขาที่กำหนดรอยเอาไว้เป็นตอนกลางของฤดูใบไม้ร่วง, เดือนแห่งแค็ปร็อค.

         สายลมคราดกราดใบไม้ตายแห้งโปรยโรยหว่านกองอยู่เชิงผาที่ซึ่งเด็กๆสิฐคามได้เก็บรวบรวมพวกมันอยู่, แต่เสียงทั้งหลายของช่องทางกองกำลัง(นอกจากการซุ่มซ่ามเป็นบางโอกาสของพอลและมารดาของเขา)ไม่สามารถบ่งแยกออกมาได้จากเสียงธรรมชาติของราตรี.

         พอลเช็ดก้อนฝุ่น-เหงื่อจากหน้าผากของเขา, รู้สึกถึงถูกดึงที่แขน, ได้ยินเสียงขู่ของชานิ. “ทำอย่างที่ข้าบอกเจ้า: เอาหมวกผ้าคลุมลงมาที่หน้าผากของเจ้า! เหลือไว้แค่ดวงตาเปิด. เจ้าทำความชื้นสูญเสียเปล่า.”

         เสียงกระซิบสั่งดังมาจากเบื้องหลังของพวกเขาสั่งให้เงียบ: “ทะเลทรายนั้นได้ยินเจ้า!

         เสียงนกร้องดังขึ้นจากกลุ่มก้อนหินสูงเหนือพวกเขา.

         กองทหารหยุด, และพอลสัมผัสรู้ได้ถึงความตึงเครียดกะทันหัน.

         มีเสียงตบพื้นเบาบางมาจากก้อนหินเหล่านั้น, เสียงไม่ดังไปกว่าหนูกระโดดในทราย.

         อีกครั้ง, นกนั้นร้องขึ้น.

         การขยับเคลื่อนผ่านไปตามแถวของกองกำลัง. และอีกครั้ง, หนูตัวหนึ่งกระโดดจิกเท้าทำทางข้ามทรายนั้นไป.

         อีกครั้ง, นกนั้นร้อง.

         กองกำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในการปีนป่ายเข้าไปในช่องแยกแตกในกลุ่มก้องหินนั้น, แต่มีความนิ่งสงัดกลั้นลมหายใจกับฟรีเมนในตอนนี้ที่เติมเต็มพอลด้วยความระวังอันตราย, และเขาสังเกตเห็นการแอบชำเลืองซ่อนเร้นทั้งหลายไปยังชานิ, วิธีที่เธอดูเหมือนจะถอนคืน, ดึงรับมันเอาไว้กับตนเอง.

         มีก้อนหินอยู่ใต้เฝ้าแล้วในตอนนี้, สีเทาเลือนรางวอบแวบของเสื้อคลุมทั้งหลายรายล้อมพวกเขา, และพอลสัมผัสรู้ถึงการผ่อนคลายลงของระเบียบวินัย, แต่ยังคงความเงียบ-แห่ง-บุคคลนั้นเกี่ยวกับชานิและคนอื่นๆ. เขาติดตามร่างเงาหนึ่ง---ก้าวขึ้นไป, เลี้ยว, ก้าวขึ้นไปอีก, เข้าสู่อุโมงค์หนึ่ง, ผ่านสองประตูผนึก-กั้นความชื้นและเข้าไปในช่องทางเดินแคบมีแสงเรืองของลูกโคมด้วยผนังหินสีเหลืองและเพดานทั้งหลาย.

         ทั้งหมดรอบตัวเขา, พอลมองเห็นพวกฟรีเมนเหวี่ยงหมวกคลุมศีรษะของพวกเขาออก, ถอดที่อุดจมูก, สูดหายใจอย่างลึก. ใครบางคนถอนหายใจ. พอลมองหาชานิ, พบว่าเธอด้ายไปจากข้างกายของเขาแล้ว. เขาถูกห้อมล้อมอยู่ในการดันของเหล่าร่างเสื้อคลุม. ใครบางคนกระแทกเขา, พูด. “ขออภัย, อูซุล. ช่างเบียดกันแท้! มันเป็นแบบนี้เสมอเลย.”

         ทางด้านซ้ายของเขา, ใบหน้าเรียวไว้เคราของผู้หนึ่งที่ถูกเรียกว่าฟาร็อคหันมายังพอล. เบ้าตาเปื้อนด่างและดวงตาสีฟ้าเข้มปรากฏมืดยิ่งขึ้นกระทั่งในแสงสีเหลืองของลูกโคม. “เหวี่ยงหมวกคลุมหัวของเจ้าออก, อูซุล,”  ฟาร็อคบอก. “เจ้าอยู่บ้านแล้ว.” และเขาช่วยพอลปลดที่จับหมวกคลุมศีรษะนั้น, ใช้ข้อศอกทำที่ว่างรอบตัวเขา.

         พอลเลื่อนที่อุดจมูกของตนออก, เหวี่ยงแผ่นกั้นปากไปทางด้านข้าง. กลิ่นของสถานที่นี้รุกรานเขา: ร่างกายที่ไม่ล้างทำความสะอาดทั้งหลาย, ไอระเหยจากกลั่นของเสียกลับมาใช้อีก, ทุกแห่งมีแต่กลิ่นอับเปรี้ยวของมนุษย์ด้วย, อยู่เหนือมันทั้งหมด, อวลวนเวียนของเครื่องเทศและเผ็ดร้อนประสานนัวเข้ากัน.

         “ทำไมเรารอคอยอยู่หรือ, ฟาร็อค?” พอลถาม.

         “รอแม่อธิการ, ข้าคิดว่า. เจ้าได้ยินข่าวนั่นแล้ว---น่าสงสารชานี!

         น่าสงสารชานิ? พอลถามตนเอง. เขามองไปรอบๆ, สงสัยในใจว่าเธอไปอยู่ที่ไหน, มารดาของเขาไปอยู่ไหนในท่ามกลางหมู่คนเบียดเสียดกันทั้งหมดนี้.

         ฟาร็อคสูดหายใจลึก. “กลิ่นทั้งหลายของบ้าน,” เขาพูด.

         พอลมองเห็นว่าชายผู้นี้ได้รื่นรมย์กับกลิ่นเหม็นของอากาศนี้, ว่าไม่มีความเย้ยเยาะแดกดันอยู่ในน้ำเสียงนั้นเลย. เขาได้ยินเสียงมารดาของตนไอออกมาแล้ว, และเสียเธอกลับมายังเขาผ่านแรงกดผลักดันของหมู่ทหารนี้: “ช่างอุดมด้วยกลิ่นไออย่างยิ่งในสิฐคามของท่าน, สติลจาร์. ข้าเห็นท่านทำงานมากยิ่งกับเครื่องเทศ.....ท่านทำกระดาษ....พลาสติก....และนั่นไม่ได้มีการระเบิดเคมีหรือ?”

         “ท่านรู้เรื่องนี้จากอะไรที่ท่านได้กลิ่นหรือ?” เป็นเสียงของอีกชายหนึ่ง.

         และพอลตระหนักได้ว่าเธอกำลังพูดเพื่อเป็นประโยชน์ของเขา, ว่าเธอต้องการให้เขาที่จะทำการยอมรับอย่างเร็วกับการรุกรานทางช่องหายใจของเขานี้.

         มีเสียงหึ่งของการทำงานดังมาจากหัวแถวของหมู่ทหารและการสูดหายใจดึงเข้ายาวๆที่ดูเหมือนจะผ่านทะลุเหล่าฟรีเมนมา, และพอลได้ยินเสียงสะอื้นทั้งหลายกลับลงมาตามแถวนั้น: “งั้นมันก็เป็นจริง---เลียตได้เสียชีวิตแล้ว.”

         เลียต, พอลคิด. แล้ว: ชานิ, ธิดาแห่งเลียต. ชิ้นส่วนทั้งหลายร่วงลงเข้ามาด้วยกันในจิตของเขา. เลียตเป็นชื่อฟรีเมนของนักนิเวศพิภพวิทยา.

         พอลมองฟาร็อค, ถาม:เลียตรู้กันว่าเป็น คายนิ์สใช่ไหม?”

         “มีเลียตเพียงแค่หนึ่งเดียว,” ฟาร็อค บอก.

         พอลหันกลับ, จ้องมองที่เสื้อคลุมด้านหลังของฟรีเมนที่อยู่ข้างหน้าของเขา. งั้น เลียต-คายนิ์ส ก็ได้ตายแล้ว, เขาคิด.

         “มันเป็นการทรยศไร้สัจจะของพวกฮาร์คอนเนนส์,” ใครบางคนกร่นด่า. “พวกมันทำมันให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ.....หลงอยู่ในทะเลทราย.....ยานธ็อปเปอร์ตก......”

         พอลรู้สึกถึงแรงระเบิดของโทสะ. ชายผู้ได้เป็นมิตรสหายต่อพวกเขา, ช่วยชีวิตพวกเขาจากพวกนักล่าฮาร์คอนเนน, ชายผู้ที่ได้ส่งกลุ่มผู้ร่วมงานออกตามค้นหาสองจรจัดเร่ร่อนในทะเลทรายนี้......เหยื่ออีกรายของพวกฮาร์คอนเนนส์.

         อูซุลหิวต่อการล้างแค้นหรือยัง?” ฟาร็อคถาม.

         ก่อนที่พอลจะสามารถตอบได้, มีเสียงเรียกต่ำและหมู่ทหารเคลื่อนไหลไปข้างหน้าเข้าสู่ห้องโถงที่กว้างขึ้น, แบกนำพอลไปกับพวกเขา. เขาพบตนเองในพื้นที่เปิดโล่งเผชิญหน้ากับสติลจาร์และผู้หญิงแปลกหน้าหนึ่งที่ห่มผ้าพันรัดไหลลื่นคลุมร่างในสีส้มและเขียวอันมันขลับ. แขนทั้งสองของเธอเปลือยเปล่าไปถึงยังไหล่, และเขาสามารถเห็นได้ว่าเธอไม่ได้สวมสติลสูท. ผิวของเธอเป็นสีมะกอกซีด. ผมดำมืดประไปด้านหลังจากหน้าผากสูงของเธอ, สาดเน้นให้กับโหนกแก้มแหลมคมและจมูกงุ้มระหว่างความมืดเข้มของดวงตาเธอ.

         เธอันมายังเขา, และพอลมองเห็นแหวนทองคำร้อยผูกอยู่กับบัญชีนับน้ำห้อยอยู่จากหูทั้งคู่ของเธอ.

         นี้เอาชนะจามิสของข้ารึ?” เธอร้องถาม.

         “จงเงียบเถิด, ฮาราห์,” สติลจาร์พูด. “มันเป็นการทำของจามิส---เขาเรียกร้องอ้างถึง ทาฮัดดี อัล-บุรฮัน.”

         “เขาเป็นแค่เด็ก!” เธอพูด. เธอส่ายศีรษะอย่างแรงไปมา, ทำให้บัญชีนับน้ำส่งเสียงดังกริ๊งๆ. “เด็กๆของข้าถูกทำห้ำร้บิดาด้วยฝีมือเด็กอีกคนรึ? แน่เลยล่ะ, นั่นเป็นอุบัติเหตุแน่.”

         อูซุล, เจ้ามีปีมากเท่าไรแล้ว?” สติลจาร์ถาม.

         “สิบห้ามาตรฐาน,” พอลพูด.

         สติลจาร์กวาดสายตาไปเหมือหมู่ทหาร. “มีหนึ่งในหมู่พวกเจ้าใส่ใจที่จะท้าประลองข้าบ้างไหม?”

         เงียบ.

         สติลจาร์มองดูหญิงนั้น. “จนกว่าข้าจะได้เรียนรู้วิธีแปลกพิกลทั้งหลายของเขาแล้ว, ข้ายังจะไม่ท้าประลองเขา.”

         เธอตอบกลับการจ้องมองของเขา. “แต่---“

         “เจ้าเห็นสตรีแปลกหน้าผู้ที่ไปกับชานียังแม่อธิการนั่นไหม?” สติลจาร์ถาม. “เธอคือ เทวี-ต่างถิ่นเสย์ยาดินา(out-freya* Sayyadina ), มารดาของเด็กหนุ่มผู้นี้. มารดาและบุตรชายเป็นปรมาจารย์ของการต่อสู้ที่แปลกพิกล.”

       https://dune.fandom.com/wiki/List_of_Dune_terminology

·          Out-freyn ~ Galach for "immediately foreign," that is: not of your immediate community, not of the select. 

 

         ไลซาน อัล-กาอิบ,” หญิงนั้นกระซิบ. ดวงตาของเธอส่งแววเกรงใจขณะที่เธอหันมันกลับมามองยังพอล.

         ตำนานนั้นอีกแล้ว, พอลคิด.

         “บางที,” สติลจาร์พูด. “มันยังไม่ได้รับการทดสอบ, กระนั้น.” หันความสนใจกลับมาที่พอล. “อูซุล, มันเป็นวิถีของพวกเราที่ตอนนี้เจ้าถือความรับผิดชอบต่อผู้หญิงของจามิสและลูกชายทั้งสองของเขา. ยาลิของเขา...เขตที่อยู่ของเขา, เป็นของเจ้า. ร้านกาแฟของเขาเป็นของเจ้า...และนี่, ผู้หญิงของเขา.”

         พอลศึกษาผู้หญิงนั้น, กังขาใจ: ทำไมหญิงนี้ถึงไม่คร่ำครวญให้กับชายของเธอ? ทำไมเธอไม่ได้แสดงความโกรธชังกับข้า? ทันทีนั้น, เขาเห็นว่าพวกฟรีเมนกำลังจ้องมองมาที่เขา, รอคอยอยู่.

         ใครบางคนกระซิบ: “ม่งานที่ต้องทำรออยู่. พูดออกมาสิว่าเจ้าจะยอมรับเธออย่างไร.”

         สติลจาร์พูด: “เจ้าจะยอมรับฮาราห์เป็นผู้หญิงหรือคนรับใช้?”

         ฮาราห์ชูแขนของเธอขึ้น, หมุนร่างด้วยส้นเท้าหนึ่ง. “ข้ายังสาวอยู่, อูซุล. มันพูดกันว่าข้านั้นยังสาวเท่าๆกับตอนที่ข้าอยู่กับจีออฟฟ์.....ก่อนที่จามิสจะเอาชนะเขา.”

         จามิสฆ่าผู้อื่นเพื่อชนะได้ตัวเธอ, พอลคิด.

         พอลพูด: “ถ้าข้ายอมรับเธอเป็นคนรับใช้, ข้าอาจเปลี่ยนใจในภายหลังได้หรือไม่?”

         “เจ้ามีเวลาหนึ่งปีที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจของเจ้า,” สติลจาร์บอก. “หลังจากนั้นแล้ว, เธอก็เป็นผู้หญิงอิสระที่จะเลือกตามที่เธอปรารถนา.....หรือว่าเจ้าสามารถปล่อยเธอเป็นอิสระได้เองเพื่อตัวเธอในตอนใดก็ได้. แต่เธอคือความรับผิดชอบของเจ้า, ไม่ว่าอะไร, เป็นเวลาหนึ่งปี.....และเจ้าจะแบ่งปันเสมอในบางความรับผิดชอบต่อลูกชายของจามิส.”

         “ข้ายอมรับเธอเป็นคนรับใช้,” พอลพูด.

         ฮาราห์กระทืบเท้าหนึ่ง, ส่ายไหล่ของเธอด้วยความโกรธ. “แต่ข้ายังสาวอยู่นะ!

         “เงียบเถอะ,” สติลจาร์สั่ง. “ถ้าสิ่งหนึ่งยังเป็นดีอยู่, มันก็จะเป็นเช่นนั้น. พาอูซุลไปยังที่พักส่วนของเขาและดูว่าเขาได้เสื้อผ้าใหม่และที่ที่พักนอน.”

         “โอ๊ะ-โอ้-ห-ห!” เธอพูด.

         พอลได้ลงทะเบียนบันทึกไว้เพียงพอแล้วสำหรับเธอที่จะได้การคาดประเมินแรก. เขารู้สึกถึงความหงุดหงิดของหมู่ทหารนั้น, รู้ว่าหลายสิ่งกำลังถูกเลื่อนช้าออกไปที่นี่. เขาสงสัยว่าเขาควรกล้าถามถึงว่ามารดาของเขาและชานีไปอยู่ที่ไหนดีหรือไม่, มองเห็นจากอาการกระสับกระส่ายของสติลจาร์แล้วก็รู้ว่านั่นคงเป็นการทำผิดพลาด.

         เขาเผชิญหน้าฮาราห์, ขึ้นเสียงของเขาด้วยน้ำเสียงสูงและสั่นรัวเพื่อย้ำเน้นต่อเธอให้กลัวและยำเกรง, พูด: “พาข้าไปยังที่พักส่วนของข้า, ฮาราห์! เราจะถกกันถึงวัยสาวของเจ้าในเวลาอื่น.”

         หล่อนถอยออกไปสองก้าว, ส่งสายตาด้วยความตกใจที่สติลจาร์. “เขามีน้ำเสียงพิกลนั่น,” เธอเอ่ยแหบพร่า.

         สติลจาร์,” พอลพูด. “บิดาของชานิได้วางบุญคุณอันหนักหนาไว้แก่ข้า. ถ้ามีอะไรที่.....”

         “มันจะได้รับการตัดสินใจในสภา,” สติลจาร์พูด. “เจ้าสามารถพูดในตอนนั้น.” เขาพยักหน้าในเชิงอนุญาตไปได้, หันจากไปพร้อมกับหมู่ทหารที่เหลือได้ติดตามเขาไป.

         พอลจับแขนของฮาราห์, สังเกตได้ถึงเนื้อเย็นเฉียบอย่างไรของเธอ, รู้สึกถึงความสั่นเทาของเธอ. “ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า, ฮาราห์,” เขาพูด. “พาข้าไปที่พักของเราเถิด.” และเขานุ่มน้ำเสียงของตนลงด้วยความผ่อนคลาย.

         “ท่านจะไม่ไล่ข้าออกไปเมื่อหนึ่งปีแล้วไปล่ะหรือ?” เธอพูด. “ข้ารู้ดีว่าจริงแล้วข้าไม่ได้สาวอย่างที่ข้าเคยเป็นมาครั้งนั้น.”

         “ตราบนานเท่าที่ข้ายังมีชีวิตอยู่เจ้าจะมีที่อยู่กับข้า,” เขาพูด. เขาปล่อยแขนเธอ. “มาเถอะตอนนี้, ที่พักส่วนของเราอยู่ที่ไหน?”

         เธอหันไป, นำทางลงไปตามช่องทางนั้น, เลี้ยวขวาเข้าสู่อุโมงค์ตัดแยกสว่าแสงด้วยที่ว่างเรืองเหลืองของลูกโคมเหนือศีรษะ. พื้นหินนั้นเรียบลื่น, กวาดไว้สะอาดจากทราย.

         พอลเคลื่อนขึ้นไปข้างหล่อน, ศึกษาเส้นโครงชันของจมูกงุ้มขณะที่พวกเขาเดินกันไป. “เจ้าไม่เกลียดข้าหรือ, ฮาราห์?”

         “ทำไมข้าควรจะเกลียดท่าน?”

         เธอพยักหน้าไปที่กลุ่มเด็กๆที่จ้องมองมายังพวกเขาจากตะพักเชิงยื่นของช่องทาง. พอลเห็นเลือนรางของร่างผู้ใหญ่อยู่ด้านหลังซ่อนบางส่วนด้วยแผ่นเยื่อบังทั้งหลาย.

         “ข้า.....เอาชนะจามิส.”

         สติลจาร์บอกว่าพิธีได้ถูกจัดขึ้นและท่านคือเพื่อนคนหนึ่งของจามิส.” เธอชำเลืองเอียงข้างมาที่เขา. “สติลจาร์บอกว่าท่านให้ความชื้นแก่ผู้ตายด้วย. นั่นเป็นความสัจหรือ?”

         “ใช่.”

         “มันมากยิ่งกว่าข้าจะทำ....สามารถทำได้.”

         “เจ้าไม่ไว้ทุกข์ให้เขาหรือ?”

         “ในเวลาของการไว้ทุกข์. ข้าจะไว้ทุกข์ให้เขา.”

         พวกเขาผ่านทะลุช่องเปิดโค้ง. พอลมองผ่านมันไปที่เหล่าชายและหญิงกำลังทำงานกับเครื่องจักรกลตั้งติดอยู่ในโถงใหญ่, สว่าง. ดูเหมือนจะมีจังหวะของความเร่งด่วนต่อพวกเขา.

         “พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ตรงหนั้นหรือ?” พอลถาม. เธอเหลียวกลับไปมองขณะที่พวกเขาผ่านเลยพ้นช่องโค้งนั้น, พูด: “พวกเขาเร่งรีบที่จะให้เสร็จในโควต้าของโรงงานพลาสติกก่อนที่พวกเราจะเผ่นไป. เราจำเป็นต้องการตัวเก็บรวบรวมน้ำค้างอีกมากสำหรับการปลูกพืช.”

         “เผ่นไป?”

         “ก็จนกว่าเจ้าพวกนักฆ่าโหดจะหยุดล่าพวกเราหรือถูกขับไล่ออกไปพ้นจากแผ่นดินของเรา.”

         พอลจับได้ว่าตนเองตัวสั่นเทา, สัมผัสรู้ถึงการถูกจับกุมฉับพลันของเวลา, จำได้ถึงเศษชิ้นแตกย่อย, ภาพฉายญาณทัศน์ของเหตุภายหน้า---แต่มันได้ถูกย้ายไปผิดที่ทาง, เหมือนภาพตัดต่อที่อยู่ในการเคลื่อนไหว. ชิ้นเล็กๆทั้งหลายของความทรงจำที่รู้ล่วงหน้าเป็นไม่ได้เกือบดั่งที่เขาถูกจดจำพวกมัน.

         “พวกซาร์เดาการ์ตามล่าพวกเรา,” เขาพูด.

         “พวกมันจะไม่เจออะไรมากนักนอกเสียจากสิฐคามที่ว่างเปล่าหนึ่งหรือสอง,” เธอบอก. “และพวกมันจะพบกับความตายในส่วนแบ่งของพวกมันในทะเลทราย.”

         “พวกมันจะพบสถานที่นี้หรือ?” เขาถาม.

         “ราวนั้น.”

         “แล้วเราก็ยังใช้เวลาที่จะ.....” เขาเคลื่อนไหวด้วยศีรษะของตนไปยังช่องโค้งที่ตอนนี้อยู่ด้านหลังของพวกเขา. “...ทำ...ตัวเก็บน้ำค้าง.”

         “การปลูกพืชต้องทำต่อไป.”

         “อะไรคือตัวเก็บน้ำค้างหรือ?” เขาถาม.

         สายตาชำเลืองที่เธอหันมายังเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ. “พวกเขาไม่ได้สอนอะไรท่านเลยในเรื่อง.....ท่านมาจากที่ไหนหรือ?”

         “ไม่มีสอนเกี่ยวกับตัวเก็บน้ำค้าง.”

         “ไฮ้!” เธอพูด, และนั่นเป็นคำสนทนาทั้งปวงในหนึ่งคำ.

         “เอ้อ, แล้วพวกมันคืออะไรล่ะ?”

         “แต่ละพุ่มไม้, แต่ละวัชพืชที่ท่านเห็นข้างนอกนั่นในพื้นทะเลทรายนั่น,” เธอพูด, “ท่านคาดว่ามันมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าเราไปจากมันล่ะ? แต่ละต้นถูกปลูกไว้อย่างทะนุถนอมมากที่สุดในหลุมเล็กๆของมันเอง. หลุมทั้งหลายนั้นถูกใส่เต็มไว้ด้วยรูปไข่ผิวเรียบรื่นของโครโมพลาสติก(chromoplastic*). แสงสว่างจะเปลี่ยนพวกมันเป็นสีขาว. ท่านสามารถเห็นพวกมันแวววาวตอน

         * https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C

รุ่งเช้าถ้าท่านมองลงไปจากที่สูง. สีขาวสะท้อน. แต่เมื่อตะวันเฒ่าบิดาลาลับลงแล้ว, โครโมพลาสติกก็จะเปลี่ยนเป็นโปร่งแสงในความมืด. มันเย็นลงด้วยความรวดเร็วเป็นที่สุด. พื้นผิวหน้าควบแน่นความชื้นออกมาจากอากาศ. ความชื้นนั้นจะหยดเหยาะลงไปเพื่อรักษาให้ต้นไม้นั้นมีชีวิตอยู่.”

         “ตัวเก็บน้ำค้าง,” เขาพึมพำ, ต้องมนตร์ด้วยความงามอันเรียบง่ายของแนวความคิดแกนหลักของเรื่องนั้น.”

         “ข้าจะไว้ทุกข์ให้กับจามิสในเวลาที่เหมาะสมกับมัน,” เธอพูด, ราวกับว่าจิตใจของเธอไม่มีเหลือให้กับคำถามอื่นใดของเขาไปแล้ว. “เขาเป็นชายที่ดี, จามิส, แต่โกรธง่าย. ผู้หาเลี้ยงดูที่ดี, จามิส, และคนน่าอัศจรรย์กับเด็กๆ. เขาไม่เคยแบ่งแยกเลยระหว่างลูกชายของจีอ็อฟฟ์, เกิดคนแรกของฉัน, และลูกชายจริงของเขาเอง. พวกเขาเสมอภาคกันในสายตาของเขา.” เธอหันมาจ้องเหมือนถามไถ่กับพอล. “จะเป็นเช่นไหมกับท่าน, อูซุล.”

         “เราไม่มีปัญหานั่น.”

         “แต่ถ้า...”

         ฮาราห์!

         เธอล่าถอยที่การขัดแทรกเกือบแข็งกร้าวในน้ำเสียงของเขา.

         พวกเขาผ่านห้องแสงสว่างไสวเห็นได้ชัดผ่านช่องโค้งหนึ่งทางซ้ายมือของพวกเขา. “อะไรถูกทำกันในนั้นหรือ?” เขาถาม.

         “เขกำลังซ่อมเครื่องจักรถักทอ,” เธอบอก. “แต่มันถ้องถูกรื้อแยกออกเป็นชิ้นๆในคืนนี้.” เธอชี้ไปที่อุโมงค์แยกสาขาหนึ่งไปทางซ้ายมือของพวกเขา. “ทะลุนั่นและเลยโพ้นไป, นั่นกระบวนการผลิตอาหารและบำรุงรักษาชุดสติลสูท.” เธอมองมาที่พอล. “ชุดสูทของท่านดูใหม่. แต่ถ้ามันจำเป็นต้องซ่อม. ข้าเก่งดีกับพวกชุดสูท. ข้าทำงานในโรงงานในฤดู.”

         พวกเขาเริ่มต้นมาถึงกระจุกของผู้คนในตอนนี้และกลุ่มทั้งหลายหนาขึ้นของที่เปิดทั้งหลายในอุโมงค์ทางด้านข้าง. กองหนึ่งของผู้ชายและผู้หญิงผ่านพวกเขาไปแบกหีบห่อทั้งหลายที่เสียงโรกครากของน้ำอย่างหนัก, มีกลิ่นของเครื่องเทศแรงฉุนมากับพวกเขา.

         “พวกเขาจะไม่มาเอาน้ำของพวกเรา,” ฮาราห์พูด. “หรือเครื่องเทศของพวกเรา. ท่านแน่ในได้ในเรื่องนั้น.”

         พอลชำเลืองที่ช่องเปิดของผนังอุโมงค์ทั้งหลาย, มองเห็นพรมหนาหนักทั้งหลายยกขึ้นพักไว้บนตะพักยื่น, ภาพจากการมองปราดทั้งหลายของห้องเหล่านั้นที่มีผ้าสดใสทั้งหลายบนผนัง, กองของเบาะหมอน. ผูเคนในช่องเปิดทั้งหลายนิ่งเงียบกับการมาถึงของพวกเขา, ติดตามพอลไปด้วยสายตาจ้องเวิ้งว้าง.

         “ผู้คนนั่นพบว่ามันแปลกที่ท่านเอาชนะจามิสได้,” ฮาราห์พูด. “ราวกับว่าท่านจะมีบางข้อพิสูจน์ให้ทำเมื่อเราตั้งหลักได้แล้วที่สิฐคามใหม่.”

         “ข้าไม่ชอบการฆ่า,” เขาบอก.

         “นั่นอย่างที่สติลจาร์ได้บอกมันไว้,” เธอพูด, แต่น้ำเสียงของเธอทรยศด้วยความไม่เชื่อของเธอ.

         เสียงสวดมนต์เยือกเย็นดังมากขึ้นข้างหน้าของพวกเขา. พวกเขามาถึงยังีกด้านหนึ่งของที่เปิดกว้างกว่าอันอื่นใดๆที่พอลได้เห็นมา. เขาช้าก้าวของตนลง, จ้องเข้าไปในห้องที่ผู้คนเนืองแน่นด้วยเด็กๆกำลังนั่งไขว้ขาขัดสมาธิอยู่บนพื้นพรมสีแดงม่วง.

         กระดานเขียนชอล์คอยู่ที่ผนังด้านไกลมีหญิงหนึ่งในชุดห่มผ้าสีเหลืองพันรอบตัว, เครื่องฉายชี้โปรเจ็คโต-สไตลัสอยู่ในมือข้างหนึ่งง กระดานนั้นเต็มไปด้วยแบบลาย---วงกลม, ลิ่มและเส้นโงทั้งหลาย, รอยงูเลื้อยและสี่เหลี่ยม, ส่วนโค้งไหลตามต่อกันไปแยกไว้ด้วยเส้นคู่ขนาน. หญิงนั้นชี้ไปที่แบบลายทั้งหลายนั้นไล่ทีละหนึ่งไปหาอันอื่นๆอย่างเร็วเท่าที่เธอสามารถเคลื่อนย้ายสไตลัสนั้น, และเด็กๆทั้งหลายสวดมนต์ท่องตามเป็นจังหวะทำนองไปกับมือที่เคลื่อนไปของเธอ.

         พอลฟัง, ได้ยินเสียงทั้งหลายเริ่มเลือนออกไปทางด้านหลังขณะที่เขาเคลื่อนเดินลึกเข้าไปในสิฐคามกับฮาราห์.

         “ต้นไม้,” เด็กๆท่อง. “ต้นไม้, หญ้า, นูนทราย, ลม, ภูเขา, เนินเขา, ไฟ, ฟ้าแลบ, ก้อนหิน, ฝุ่น, ความร้อน, ที่กำบัง, ความร้อน, เต็ม, ฤดูหนาว, เย็น, ว่างเปล่า, กัดเซาะ, ฤดูร้อน, คูหา, กลางวัน, ตึงเครียด, ดวงจันทร์, กลางคืน, หินครอบ, ธารทราย, ลาดเอียง, การปลูก, ผูกมัด......”

         “เจ้าจัดชั้นสอนเรียนในเวลาเยี่ยงนี้กันด้วยหรือ?” พอลถาม.

         ใบหน้าของเธอไปสู่หม่นซึมและเศร้าปนมาในน้ำเสียงของเธอ: “อะไรที่เลียตที่ได้สอนเรา, เราไม่สามารถหยุดชงักสักชั่วขณะได้ในการนั้น. เลียตผู้ที่ตายไปแล้วต้องไปถูกลืมเลือน. มันวิถีของชาค็อปสา.

         เธอตัดข้ามอุโมงค์ไปทางซ้ายมือ, ก้าวขึ้นไปบนตะพักยื่น, เปิดแยกผ้าโปร่งแขวนสีส้มออกและยืนหลบไปทางด้านข้างให้. “ยาลีของท่านพ้องแล้วสำหรับท่าน, อูซุล.”

         พอลลังเลก่อนที่จะขึ้นไร่วมบนตะพักกับเธอ. เขารู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาในทันทีที่จะอยู่ตามลำพังกับผู้หญิงนี้. มันมาถึงต่อเขาว่าเขานั้นถูกรายล้อมห้อมมาตลอดในวิถีของชีวิตว่าสามารถเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาได้เข้าใจโดยการทึกทักเอาว่าคือนิเวศน์วิทยาของความคิดและคุณค่าทั้งหลาย. เขาได้รู้สึกว่าฟรีเมนนี้น่าจะตกปลาเอากับเขา, พยายามที่จะวางกับดักเขาให้ติดไปในวิถีของมัน. และเขารู้ว่าอะไรนอนวางอยู่นับดักนั้น---จีฮาดอันบ้าคลั่ง, สงครามศาสนาคือที่เขาได้รู้สึกว่าเขาควรจะหลีกพ้นมันให้ได้ในทุกหนทาง.

         “นี่คือยาลีของท่าน,” ฮาราห์พูด. “ทำไมท่านลังเลอยู่?”

         พอลพยักหน้า, ร่วมกับเธอบนตะเพิงนั้น. เขายกยกที่แขวนขวางขึ้นจากเธอ, รู้สึกถึงเส้นใยโลหะในผ้าผืนนั้น, ตามเธอไปในช่อทางเข้าสั้นๆแลแล้วก็เข้าไปในห้องที่ใหญ่กว่าหนึ่ง, สี่หลี่ยมจัตุรัส, ราวหกเมตรในแต่ละด้าน---พรมหนาสีฟ้าปูที่พื้น, ผ้าผืนสีฟ้าและเขียวซ่อนบังผนังหินเอาไว้, ลูกโคมเรืองแสงทั้งหลายปรับแต่งเป็นสีเหลืองอยู่เหนือศีรษะโยกเยกอยู่กับผืนผ้าสีเหลืองห้อยเพดาน.

         ความรู้สึกเกิดขึ้นนั้นเป็นประหนึ่งกระโจมโบราณ.

         ฮาราห์ยืนตรงหน้าของเขา, มือซ้ายอยู่ที่สะโพก, ดวงตาของเธอกำลังศึกษาใบหน้าของเขา. “เด็กๆไปอยู่กับเพื่อน,” เธอบอก. “พวกเขาจะมาแสดงตัวในภายหลัง.”

         พอลปิดบังความอึดอัดของตนอยู่ภายใต้การกวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างรวดเร็ว. ผ้าบางแขวนอยู่ทางด้านขวามือ, เขาเห็น, ส่วนหนึ่งปิดบังห้องที่ใหญ่กว่าที่มีหมอนเบาะทั้งหลายกองสุมอยู่รายตามผนังรอบ. เขารู้สึกถึงสายลมอ่อนแผ่วมาจากท่ออากาศ, เห็นช่องระบายซ่อนอยาอย่างแนบเนรยนในแบบลวดลายของผ้าแขวนตรงลงมาเหนือศีรษะของพวกเขา.

         “ท่านปรารถนาจะให้ข้าช่วยถอดชุดสูทของท่านออกไหม?” ฮาราห์ถาม.

         “ไม่ต้อง.....ขอบคุณ.”

         “ข้าไปเอาอาหารมาดีมั๊ย?”

         “ก็ดี.”

         “มีโถงฟื้นฟุสภาพออกที่อีกห้องหนึ่ง.” เธอชี้ไป. “สำหรับให้ท่านสบายตัวและสุขาเมื่อท่านออกมาได้จากสติลสูทนั่นแล้ว.”

         “เจ้าได้บอกว่าเราต้องไปจากสิฐคามนี้,” พอลพูด. “ไม่ควรที่เราจะเก็บข้าวขอหรือบางอย่างกันเลยหรือ?”

         “มันจะถูกทำเสร็จในเวลาของมัน,” เธอพูด. “พวกนักฆ่าโหดเหล่านั้นยังไม่ได้เจาะทะลุภาคส่วนของเรามาได้.”

         ยังคงที่เธอลังเลอยู่, จ้องมาที่เขา.

         “มีอะไรรึ?” เขาถามสั่ง.

         “ท่านไม่ได้มีดวงตาของอิบัด(Ibad*),” เธอพูด. “มันแปลกแต่ก็ไม่ถึงกับไร้ดึงดูดใจไปเลยนัก.”

         “ไปเอาอาหารมาเถอะ,” เขาบอก. “ข้าหิวแล้ว.”

         เธอยิ้มให้เขา---อย่างรู้ทัน, ยิ้มของผู้หญิงที่เขาพบว่าน่ารำคาญใจ. “ข้าเป็นคนรับใช้ของท่าน,” เธอพูด, ลันร่างออกไปในอากัปอ่อนช้อยเล็กน้อย, มุดผ่านผ้าหนักแขวนผนังหนึ่งที่เผยให้เห็นช่องทางเดินก่อนที่จะร่วงลงมากลับคืนที่.

         รู้สึกโกรธกับตัวเขาเอง, พอลปัดผ้าแขวนบางทางด้านขวามือและเข้าไปในห้องที่ใหญ่กว่า. เขายืนอยู่ที่นั้นชั่วขณะหนึ่งที่กุมความไม่แน่ใจ. และเขาสงสัยว่าชานิอยู่ที่ไหน.....ชานิผู้ที่ได้เพิ่งสูญเสียบิดาของเธอ.

         เราเป็นเหมือนกันในเรื่องนั้น, เขาคิด.

         เสียงร้องคร่ำครวญดังมาจากระเบียงทางเดินด้านนอก, ความดังของมันถูกอุดกั้นไว้ด้วยผ้าแขวนแทรกนั้น. มันดังซ้ำ, และห่างไปเล็กน้อย. และอีกครั้ง, พอลตระหนักได้ว่าใครบางคนกำลังตะโกนบอกเวลา. เขาเพ่งสมาธิไปยังความจริงที่ว่าเขาไม่ได้เห็นนาฬิกาใดเลย.

         กลิ่นจางๆของพุ่มไม้น้ำมันครีโอโสตไหม้มาสู่ช่องจมูกของเขา, ขี่เคลื่อนมาเหนือกลิ่นเหม็นอวลทุกที่ของสิฐคามนั้นพอลเห็นว่าเขาได้กำราบการรุกรานของกลิ่นนั้นไปได้แล้วกับประสาทรุบรู้ของตน.

         และเขากังขาใจอีกครั้งเกี่ยวกับมารดาของเขา, ภาพตัดต่อเคลื่อนไหวของอนาคตไม่รวมเข้าด้วยกันกับเธอ.....และธิดาที่เธอให้กำเนิด. สัมปชัญญะ-กาลที่สามารผันแปรได้เต้นรำอยู่รอบตัวเขา. เขาสั่งศีรษะของตนอย่างแรง, เพ่งความสนใจของเขายังลักฐานนั้นที่พูดอย่างลึกซึ้งถึงความลึกและความกว้างในวัฒนธรรมของฟรีเมนที่ได้กลืนกินพวกเขา.

         ด้วยสิ่งแปลกประหลาดอันประณีตทั้งหลายของมัน.

         เขาได้เห็นสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับถ้ำคูหาทั้งหลายและห้องนี้, สิ่งหนึ่งที่แนะนำถึงความแตกต่างห่างไกลอันยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใดที่เขาได้ยังไม่ได้เผชิญ.

         ไม่มีสัญญาณของเครื่องตรวจจับยาพิษในที่นี่, ไม่มีการบ่งชี้ถึงการใช้มันของพวกเขาในที่ใดเลยในถ้ำคูหาแออัดนี้. กระนั้นเขาก็ยังได้กลิ่นยาพิษทั้งหลายในกลิ่นเหม็นของสิฐคาม---อย่างแรงพวกหนึ่ง, อย่างธรรมดา.

         เขาได้ยินเสียงเสียดสีของผ้าแขวนนั้น, คิดว่าเป็นฮาราห์กลับเข้ามาพร้อมด้วยอาหาร, และหันกลับไปดูเธอ. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น, จากใต้ของแบบลวดลายฉวัดเฉวียนของผ้าแขวนนั้น, เขาเห็นเด็กผู้ชานสองคน---บางทีอายุราวเก้าและสิบขวบ---กำลังจ้องออกมายังเขาด้วยดวงตาหิวกระหาย. แต่ละคนเหน็บอะไรเล็กๆแบบไคนด์จัลของมีดกริช, วางมืออยู่ที่ด้ามของมันกัน.

         และพอลหวนนึกขึ้นได้ถึงเรื่องราวทั้งหลายของพวกฟรีเมน---ที่ว่าเด็กๆของพวกเขาต่อสู้อย่างดุร้ายได้เท่าๆกับผู้ใหญ่.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น