มวด’ดิบบอกกับเราใน
“เวลาแห่งการไตร่ตรอง”ว่าการขัดแย้งครั้งแรกของเขากับความจำเป็นทั้งหลายของอาร์ราคีนได้เป็นการเริ่มต้นที่แท้จริงของการศึกษาของเขา.
เขาเรียนรู้ในครั้งนั้นถึงการจะปักเสาลงในทรายได้อย่างไรสำหรับสภาพอากาศของมัน,
ได้เรียนรู้ภาษาของเข็มแห่งลมทีทิ่มแทงผิวของเขา,
เรียนรู้ว่าเสียงนั้นสามารถที่จะกระซิบกระซาบอย่างไรกับการคันของทรายและทำอย่างไรที่จะรวบรวมความชื้นอันล้ำค่าของร่างกายของเขารอบตัวเขาที่จะพิทักษ์มันและสงวนรักษามัน.
ขณะที่ดวงตาของเขารับเอาสีฟ้าของอิบัด, เขาได้เรียนรู้วิถีชาค็อบสา.
---บทนำของ สติลจาร์ ต่อ “มวด’ดิบ ยอดคน” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน
กองกำลังของสติลจาร์กลับคืนสู่สิฐคามพร้อมด้วยสองผู้จรจัดจากทะเลทรายปีนออกมาจากแอ่งในแสงสว่างที่ลดถอยลงของจันทร์ดวงแรก.
ร่างในเสื้อคลุมด้วยกลิ่นไอของบ้านในช่องจมูกทั้งหลายของพวกเขา.
เส้นสีเทาของอรุณรุ่งด้านหลังพวกเขาเป็นสิ่งสว่างที่สุดที่ช่องบากในปฏิทิน-เส้นขอบฟ้าของพวกเขาที่กำหนดรอยเอาไว้เป็นตอนกลางของฤดูใบไม้ร่วง,
เดือนแห่งแค็ปร็อค.
สายลมคราดกราดใบไม้ตายแห้งโปรยโรยหว่านกองอยู่เชิงผาที่ซึ่งเด็กๆสิฐคามได้เก็บรวบรวมพวกมันอยู่,
แต่เสียงทั้งหลายของช่องทางกองกำลัง(นอกจากการซุ่มซ่ามเป็นบางโอกาสของพอลและมารดาของเขา)ไม่สามารถบ่งแยกออกมาได้จากเสียงธรรมชาติของราตรี.
พอลเช็ดก้อนฝุ่น-เหงื่อจากหน้าผากของเขา,
รู้สึกถึงถูกดึงที่แขน, ได้ยินเสียงขู่ของชานิ. “ทำอย่างที่ข้าบอกเจ้า: เอาหมวกผ้าคลุมลงมาที่หน้าผากของเจ้า! เหลือไว้แค่ดวงตาเปิด.
เจ้าทำความชื้นสูญเสียเปล่า.”
เสียงกระซิบสั่งดังมาจากเบื้องหลังของพวกเขาสั่งให้เงียบ: “ทะเลทรายนั้นได้ยินเจ้า!”
เสียงนกร้องดังขึ้นจากกลุ่มก้อนหินสูงเหนือพวกเขา.
กองทหารหยุด, และพอลสัมผัสรู้ได้ถึงความตึงเครียดกะทันหัน.
มีเสียงตบพื้นเบาบางมาจากก้อนหินเหล่านั้น,
เสียงไม่ดังไปกว่าหนูกระโดดในทราย.
อีกครั้ง, นกนั้นร้องขึ้น.
การขยับเคลื่อนผ่านไปตามแถวของกองกำลัง.
และอีกครั้ง, หนูตัวหนึ่งกระโดดจิกเท้าทำทางข้ามทรายนั้นไป.
อีกครั้ง, นกนั้นร้อง.
กองกำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในการปีนป่ายเข้าไปในช่องแยกแตกในกลุ่มก้องหินนั้น,
แต่มีความนิ่งสงัดกลั้นลมหายใจกับฟรีเมนในตอนนี้ที่เติมเต็มพอลด้วยความระวังอันตราย,
และเขาสังเกตเห็นการแอบชำเลืองซ่อนเร้นทั้งหลายไปยังชานิ,
วิธีที่เธอดูเหมือนจะถอนคืน, ดึงรับมันเอาไว้กับตนเอง.
มีก้อนหินอยู่ใต้เฝ้าแล้วในตอนนี้,
สีเทาเลือนรางวอบแวบของเสื้อคลุมทั้งหลายรายล้อมพวกเขา, และพอลสัมผัสรู้ถึงการผ่อนคลายลงของระเบียบวินัย,
แต่ยังคงความเงียบ-แห่ง-บุคคลนั้นเกี่ยวกับชานิและคนอื่นๆ. เขาติดตามร่างเงาหนึ่ง---ก้าวขึ้นไป,
เลี้ยว, ก้าวขึ้นไปอีก, เข้าสู่อุโมงค์หนึ่ง,
ผ่านสองประตูผนึก-กั้นความชื้นและเข้าไปในช่องทางเดินแคบมีแสงเรืองของลูกโคมด้วยผนังหินสีเหลืองและเพดานทั้งหลาย.
ทั้งหมดรอบตัวเขา, พอลมองเห็นพวกฟรีเมนเหวี่ยงหมวกคลุมศีรษะของพวกเขาออก,
ถอดที่อุดจมูก, สูดหายใจอย่างลึก. ใครบางคนถอนหายใจ. พอลมองหาชานิ,
พบว่าเธอด้ายไปจากข้างกายของเขาแล้ว.
เขาถูกห้อมล้อมอยู่ในการดันของเหล่าร่างเสื้อคลุม. ใครบางคนกระแทกเขา, พูด.
“ขออภัย, อูซุล. ช่างเบียดกันแท้! มันเป็นแบบนี้เสมอเลย.”
ทางด้านซ้ายของเขา, ใบหน้าเรียวไว้เคราของผู้หนึ่งที่ถูกเรียกว่าฟาร็อคหันมายังพอล.
เบ้าตาเปื้อนด่างและดวงตาสีฟ้าเข้มปรากฏมืดยิ่งขึ้นกระทั่งในแสงสีเหลืองของลูกโคม.
“เหวี่ยงหมวกคลุมหัวของเจ้าออก, อูซุล,” ฟาร็อคบอก. “เจ้าอยู่บ้านแล้ว.” และเขาช่วยพอลปลดที่จับหมวกคลุมศีรษะนั้น,
ใช้ข้อศอกทำที่ว่างรอบตัวเขา.
พอลเลื่อนที่อุดจมูกของตนออก,
เหวี่ยงแผ่นกั้นปากไปทางด้านข้าง. กลิ่นของสถานที่นี้รุกรานเขา: ร่างกายที่ไม่ล้างทำความสะอาดทั้งหลาย,
ไอระเหยจากกลั่นของเสียกลับมาใช้อีก, ทุกแห่งมีแต่กลิ่นอับเปรี้ยวของมนุษย์ด้วย,
อยู่เหนือมันทั้งหมด, อวลวนเวียนของเครื่องเทศและเผ็ดร้อนประสานนัวเข้ากัน.
“ทำไมเรารอคอยอยู่หรือ, ฟาร็อค?” พอลถาม.
“รอแม่อธิการ, ข้าคิดว่า.
เจ้าได้ยินข่าวนั่นแล้ว---น่าสงสารชานี!”
น่าสงสารชานิ? พอลถามตนเอง.
เขามองไปรอบๆ, สงสัยในใจว่าเธอไปอยู่ที่ไหน,
มารดาของเขาไปอยู่ไหนในท่ามกลางหมู่คนเบียดเสียดกันทั้งหมดนี้.
ฟาร็อคสูดหายใจลึก. “กลิ่นทั้งหลายของบ้าน,” เขาพูด.
พอลมองเห็นว่าชายผู้นี้ได้รื่นรมย์กับกลิ่นเหม็นของอากาศนี้,
ว่าไม่มีความเย้ยเยาะแดกดันอยู่ในน้ำเสียงนั้นเลย. เขาได้ยินเสียงมารดาของตนไอออกมาแล้ว,
และเสียเธอกลับมายังเขาผ่านแรงกดผลักดันของหมู่ทหารนี้: “ช่างอุดมด้วยกลิ่นไออย่างยิ่งในสิฐคามของท่าน, สติลจาร์.
ข้าเห็นท่านทำงานมากยิ่งกับเครื่องเทศ.....ท่านทำกระดาษ....พลาสติก....และนั่นไม่ได้มีการระเบิดเคมีหรือ?”
“ท่านรู้เรื่องนี้จากอะไรที่ท่านได้กลิ่นหรือ?”
เป็นเสียงของอีกชายหนึ่ง.
และพอลตระหนักได้ว่าเธอกำลังพูดเพื่อเป็นประโยชน์ของเขา,
ว่าเธอต้องการให้เขาที่จะทำการยอมรับอย่างเร็วกับการรุกรานทางช่องหายใจของเขานี้.
มีเสียงหึ่งของการทำงานดังมาจากหัวแถวของหมู่ทหารและการสูดหายใจดึงเข้ายาวๆที่ดูเหมือนจะผ่านทะลุเหล่าฟรีเมนมา,
และพอลได้ยินเสียงสะอื้นทั้งหลายกลับลงมาตามแถวนั้น: “งั้นมันก็เป็นจริง---เลียตได้เสียชีวิตแล้ว.”
เลียต, พอลคิด.
แล้ว: ชานิ, ธิดาแห่งเลียต.
ชิ้นส่วนทั้งหลายร่วงลงเข้ามาด้วยกันในจิตของเขา. เลียตเป็นชื่อฟรีเมนของนักนิเวศพิภพวิทยา.
พอลมองฟาร็อค, ถาม: “เลียตรู้กันว่าเป็น คายนิ์สใช่ไหม?”
“มีเลียตเพียงแค่หนึ่งเดียว,” ฟาร็อค
บอก.
พอลหันกลับ, จ้องมองที่เสื้อคลุมด้านหลังของฟรีเมนที่อยู่ข้างหน้าของเขา.
งั้น เลียต-คายนิ์ส ก็ได้ตายแล้ว, เขาคิด.
“มันเป็นการทรยศไร้สัจจะของพวกฮาร์คอนเนนส์,”
ใครบางคนกร่นด่า.
“พวกมันทำมันให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ.....หลงอยู่ในทะเลทราย.....ยาน’ธ็อปเปอร์ตก......”
พอลรู้สึกถึงแรงระเบิดของโทสะ. ชายผู้ได้เป็นมิตรสหายต่อพวกเขา,
ช่วยชีวิตพวกเขาจากพวกนักล่าฮาร์คอนเนน,
ชายผู้ที่ได้ส่งกลุ่มผู้ร่วมงานออกตามค้นหาสองจรจัดเร่ร่อนในทะเลทรายนี้......เหยื่ออีกรายของพวกฮาร์คอนเนนส์.
“อูซุลหิวต่อการล้างแค้นหรือยัง?”
ฟาร็อคถาม.
ก่อนที่พอลจะสามารถตอบได้,
มีเสียงเรียกต่ำและหมู่ทหารเคลื่อนไหลไปข้างหน้าเข้าสู่ห้องโถงที่กว้างขึ้น, แบกนำพอลไปกับพวกเขา.
เขาพบตนเองในพื้นที่เปิดโล่งเผชิญหน้ากับสติลจาร์และผู้หญิงแปลกหน้าหนึ่งที่ห่มผ้าพันรัดไหลลื่นคลุมร่างในสีส้มและเขียวอันมันขลับ.
แขนทั้งสองของเธอเปลือยเปล่าไปถึงยังไหล่, และเขาสามารถเห็นได้ว่าเธอไม่ได้สวมสติลสูท.
ผิวของเธอเป็นสีมะกอกซีด. ผมดำมืดประไปด้านหลังจากหน้าผากสูงของเธอ,
สาดเน้นให้กับโหนกแก้มแหลมคมและจมูกงุ้มระหว่างความมืดเข้มของดวงตาเธอ.
เธอันมายังเขา, และพอลมองเห็นแหวนทองคำร้อยผูกอยู่กับบัญชีนับน้ำห้อยอยู่จากหูทั้งคู่ของเธอ.
“นี้เอาชนะจามิสของข้ารึ?”
เธอร้องถาม.
“จงเงียบเถิด, ฮาราห์,” สติลจาร์พูด.
“มันเป็นการทำของจามิส---เขาเรียกร้องอ้างถึง ทาฮัดดี อัล-บุรฮัน.”
“เขาเป็นแค่เด็ก!” เธอพูด. เธอส่ายศีรษะอย่างแรงไปมา, ทำให้บัญชีนับน้ำส่งเสียงดังกริ๊งๆ.
“เด็กๆของข้าถูกทำห้ำร้บิดาด้วยฝีมือเด็กอีกคนรึ? แน่เลยล่ะ,
นั่นเป็นอุบัติเหตุแน่.”
“อูซุล, เจ้ามีปีมากเท่าไรแล้ว?” สติลจาร์ถาม.
“สิบห้ามาตรฐาน,” พอลพูด.
สติลจาร์กวาดสายตาไปเหมือหมู่ทหาร.
“มีหนึ่งในหมู่พวกเจ้าใส่ใจที่จะท้าประลองข้าบ้างไหม?”
เงียบ.
สติลจาร์มองดูหญิงนั้น.
“จนกว่าข้าจะได้เรียนรู้วิธีแปลกพิกลทั้งหลายของเขาแล้ว,
ข้ายังจะไม่ท้าประลองเขา.”
เธอตอบกลับการจ้องมองของเขา. “แต่---“
“เจ้าเห็นสตรีแปลกหน้าผู้ที่ไปกับชานียังแม่อธิการนั่นไหม?”
สติลจาร์ถาม. “เธอคือ เทวี-ต่างถิ่นเสย์ยาดินา(out-freya*
Sayyadina ),
มารดาของเด็กหนุ่มผู้นี้. มารดาและบุตรชายเป็นปรมาจารย์ของการต่อสู้ที่แปลกพิกล.”
https://dune.fandom.com/wiki/List_of_Dune_terminology
· Out-freyn ~ Galach for
"immediately foreign," that is: not of your immediate community, not
of the select.
“ไลซาน อัล-กาอิบ,” หญิงนั้นกระซิบ. ดวงตาของเธอส่งแววเกรงใจขณะที่เธอหันมันกลับมามองยังพอล.
ตำนานนั้นอีกแล้ว, พอลคิด.
“บางที,” สติลจาร์พูด.
“มันยังไม่ได้รับการทดสอบ, กระนั้น.” หันความสนใจกลับมาที่พอล. “อูซุล,
มันเป็นวิถีของพวกเราที่ตอนนี้เจ้าถือความรับผิดชอบต่อผู้หญิงของจามิสและลูกชายทั้งสองของเขา.
ยาลิของเขา...เขตที่อยู่ของเขา, เป็นของเจ้า.
ร้านกาแฟของเขาเป็นของเจ้า...และนี่, ผู้หญิงของเขา.”
พอลศึกษาผู้หญิงนั้น, กังขาใจ: ทำไมหญิงนี้ถึงไม่คร่ำครวญให้กับชายของเธอ?
ทำไมเธอไม่ได้แสดงความโกรธชังกับข้า? ทันทีนั้น,
เขาเห็นว่าพวกฟรีเมนกำลังจ้องมองมาที่เขา, รอคอยอยู่.
ใครบางคนกระซิบ: “ม่งานที่ต้องทำรออยู่. พูดออกมาสิว่าเจ้าจะยอมรับเธออย่างไร.”
สติลจาร์พูด: “เจ้าจะยอมรับฮาราห์เป็นผู้หญิงหรือคนรับใช้?”
ฮาราห์ชูแขนของเธอขึ้น,
หมุนร่างด้วยส้นเท้าหนึ่ง. “ข้ายังสาวอยู่, อูซุล.
มันพูดกันว่าข้านั้นยังสาวเท่าๆกับตอนที่ข้าอยู่กับจีออฟฟ์.....ก่อนที่จามิสจะเอาชนะเขา.”
จามิสฆ่าผู้อื่นเพื่อชนะได้ตัวเธอ,
พอลคิด.
พอลพูด: “ถ้าข้ายอมรับเธอเป็นคนรับใช้, ข้าอาจเปลี่ยนใจในภายหลังได้หรือไม่?”
“เจ้ามีเวลาหนึ่งปีที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจของเจ้า,”
สติลจาร์บอก. “หลังจากนั้นแล้ว,
เธอก็เป็นผู้หญิงอิสระที่จะเลือกตามที่เธอปรารถนา.....หรือว่าเจ้าสามารถปล่อยเธอเป็นอิสระได้เองเพื่อตัวเธอในตอนใดก็ได้.
แต่เธอคือความรับผิดชอบของเจ้า, ไม่ว่าอะไร,
เป็นเวลาหนึ่งปี.....และเจ้าจะแบ่งปันเสมอในบางความรับผิดชอบต่อลูกชายของจามิส.”
“ข้ายอมรับเธอเป็นคนรับใช้,” พอลพูด.
ฮาราห์กระทืบเท้าหนึ่ง,
ส่ายไหล่ของเธอด้วยความโกรธ. “แต่ข้ายังสาวอยู่นะ!”
“เงียบเถอะ,” สติลจาร์สั่ง.
“ถ้าสิ่งหนึ่งยังเป็นดีอยู่, มันก็จะเป็นเช่นนั้น. พาอูซุลไปยังที่พักส่วนของเขาและดูว่าเขาได้เสื้อผ้าใหม่และที่ที่พักนอน.”
“โอ๊ะ-โอ้-ห-ห!” เธอพูด.
พอลได้ลงทะเบียนบันทึกไว้เพียงพอแล้วสำหรับเธอที่จะได้การคาดประเมินแรก.
เขารู้สึกถึงความหงุดหงิดของหมู่ทหารนั้น, รู้ว่าหลายสิ่งกำลังถูกเลื่อนช้าออกไปที่นี่.
เขาสงสัยว่าเขาควรกล้าถามถึงว่ามารดาของเขาและชานีไปอยู่ที่ไหนดีหรือไม่,
มองเห็นจากอาการกระสับกระส่ายของสติลจาร์แล้วก็รู้ว่านั่นคงเป็นการทำผิดพลาด.
เขาเผชิญหน้าฮาราห์,
ขึ้นเสียงของเขาด้วยน้ำเสียงสูงและสั่นรัวเพื่อย้ำเน้นต่อเธอให้กลัวและยำเกรง, พูด: “พาข้าไปยังที่พักส่วนของข้า, ฮาราห์!
เราจะถกกันถึงวัยสาวของเจ้าในเวลาอื่น.”
หล่อนถอยออกไปสองก้าว,
ส่งสายตาด้วยความตกใจที่สติลจาร์. “เขามีน้ำเสียงพิกลนั่น,”
เธอเอ่ยแหบพร่า.
“สติลจาร์,” พอลพูด.
“บิดาของชานิได้วางบุญคุณอันหนักหนาไว้แก่ข้า. ถ้ามีอะไรที่.....”
“มันจะได้รับการตัดสินใจในสภา,” สติลจาร์พูด.
“เจ้าสามารถพูดในตอนนั้น.” เขาพยักหน้าในเชิงอนุญาตไปได้,
หันจากไปพร้อมกับหมู่ทหารที่เหลือได้ติดตามเขาไป.
พอลจับแขนของฮาราห์,
สังเกตได้ถึงเนื้อเย็นเฉียบอย่างไรของเธอ, รู้สึกถึงความสั่นเทาของเธอ.
“ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า, ฮาราห์,” เขาพูด. “พาข้าไปที่พักของเราเถิด.”
และเขานุ่มน้ำเสียงของตนลงด้วยความผ่อนคลาย.
“ท่านจะไม่ไล่ข้าออกไปเมื่อหนึ่งปีแล้วไปล่ะหรือ?”
เธอพูด. “ข้ารู้ดีว่าจริงแล้วข้าไม่ได้สาวอย่างที่ข้าเคยเป็นมาครั้งนั้น.”
“ตราบนานเท่าที่ข้ายังมีชีวิตอยู่เจ้าจะมีที่อยู่กับข้า,”
เขาพูด. เขาปล่อยแขนเธอ. “มาเถอะตอนนี้, ที่พักส่วนของเราอยู่ที่ไหน?”
เธอหันไป, นำทางลงไปตามช่องทางนั้น,
เลี้ยวขวาเข้าสู่อุโมงค์ตัดแยกสว่าแสงด้วยที่ว่างเรืองเหลืองของลูกโคมเหนือศีรษะ.
พื้นหินนั้นเรียบลื่น, กวาดไว้สะอาดจากทราย.
พอลเคลื่อนขึ้นไปข้างหล่อน,
ศึกษาเส้นโครงชันของจมูกงุ้มขณะที่พวกเขาเดินกันไป. “เจ้าไม่เกลียดข้าหรือ, ฮาราห์?”
“ทำไมข้าควรจะเกลียดท่าน?”
เธอพยักหน้าไปที่กลุ่มเด็กๆที่จ้องมองมายังพวกเขาจากตะพักเชิงยื่นของช่องทาง.
พอลเห็นเลือนรางของร่างผู้ใหญ่อยู่ด้านหลังซ่อนบางส่วนด้วยแผ่นเยื่อบังทั้งหลาย.
“ข้า.....เอาชนะจามิส.”
“สติลจาร์บอกว่าพิธีได้ถูกจัดขึ้นและท่านคือเพื่อนคนหนึ่งของจามิส.”
เธอชำเลืองเอียงข้างมาที่เขา. “สติลจาร์บอกว่าท่านให้ความชื้นแก่ผู้ตายด้วย.
นั่นเป็นความสัจหรือ?”
“ใช่.”
“มันมากยิ่งกว่าข้าจะทำ....สามารถทำได้.”
“เจ้าไม่ไว้ทุกข์ให้เขาหรือ?”
“ในเวลาของการไว้ทุกข์.
ข้าจะไว้ทุกข์ให้เขา.”
พวกเขาผ่านทะลุช่องเปิดโค้ง. พอลมองผ่านมันไปที่เหล่าชายและหญิงกำลังทำงานกับเครื่องจักรกลตั้งติดอยู่ในโถงใหญ่,
สว่าง. ดูเหมือนจะมีจังหวะของความเร่งด่วนต่อพวกเขา.
“พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ตรงหนั้นหรือ?”
พอลถาม. เธอเหลียวกลับไปมองขณะที่พวกเขาผ่านเลยพ้นช่องโค้งนั้น, พูด: “พวกเขาเร่งรีบที่จะให้เสร็จในโควต้าของโรงงานพลาสติกก่อนที่พวกเราจะเผ่นไป.
เราจำเป็นต้องการตัวเก็บรวบรวมน้ำค้างอีกมากสำหรับการปลูกพืช.”
“เผ่นไป?”
“ก็จนกว่าเจ้าพวกนักฆ่าโหดจะหยุดล่าพวกเราหรือถูกขับไล่ออกไปพ้นจากแผ่นดินของเรา.”
พอลจับได้ว่าตนเองตัวสั่นเทา,
สัมผัสรู้ถึงการถูกจับกุมฉับพลันของเวลา, จำได้ถึงเศษชิ้นแตกย่อย,
ภาพฉายญาณทัศน์ของเหตุภายหน้า---แต่มันได้ถูกย้ายไปผิดที่ทาง, เหมือนภาพตัดต่อที่อยู่ในการเคลื่อนไหว.
ชิ้นเล็กๆทั้งหลายของความทรงจำที่รู้ล่วงหน้าเป็นไม่ได้เกือบดั่งที่เขาถูกจดจำพวกมัน.
“พวกซาร์เดาการ์ตามล่าพวกเรา,”
เขาพูด.
“พวกมันจะไม่เจออะไรมากนักนอกเสียจากสิฐคามที่ว่างเปล่าหนึ่งหรือสอง,”
เธอบอก. “และพวกมันจะพบกับความตายในส่วนแบ่งของพวกมันในทะเลทราย.”
“พวกมันจะพบสถานที่นี้หรือ?” เขาถาม.
“ราวนั้น.”
“แล้วเราก็ยังใช้เวลาที่จะ.....”
เขาเคลื่อนไหวด้วยศีรษะของตนไปยังช่องโค้งที่ตอนนี้อยู่ด้านหลังของพวกเขา.
“...ทำ...ตัวเก็บน้ำค้าง.”
“การปลูกพืชต้องทำต่อไป.”
“อะไรคือตัวเก็บน้ำค้างหรือ?” เขาถาม.
สายตาชำเลืองที่เธอหันมายังเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ.
“พวกเขาไม่ได้สอนอะไรท่านเลยในเรื่อง.....ท่านมาจากที่ไหนหรือ?”
“ไม่มีสอนเกี่ยวกับตัวเก็บน้ำค้าง.”
“ไฮ้!” เธอพูด,
และนั่นเป็นคำสนทนาทั้งปวงในหนึ่งคำ.
“เอ้อ, แล้วพวกมันคืออะไรล่ะ?”
“แต่ละพุ่มไม้,
แต่ละวัชพืชที่ท่านเห็นข้างนอกนั่นในพื้นทะเลทรายนั่น,” เธอพูด,
“ท่านคาดว่ามันมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าเราไปจากมันล่ะ? แต่ละต้นถูกปลูกไว้อย่างทะนุถนอมมากที่สุดในหลุมเล็กๆของมันเอง.
หลุมทั้งหลายนั้นถูกใส่เต็มไว้ด้วยรูปไข่ผิวเรียบรื่นของโครโมพลาสติก(chromoplastic*). แสงสว่างจะเปลี่ยนพวกมันเป็นสีขาว.
ท่านสามารถเห็นพวกมันแวววาวตอน
รุ่งเช้าถ้าท่านมองลงไปจากที่สูง.
สีขาวสะท้อน. แต่เมื่อตะวันเฒ่าบิดาลาลับลงแล้ว,
โครโมพลาสติกก็จะเปลี่ยนเป็นโปร่งแสงในความมืด.
มันเย็นลงด้วยความรวดเร็วเป็นที่สุด. พื้นผิวหน้าควบแน่นความชื้นออกมาจากอากาศ.
ความชื้นนั้นจะหยดเหยาะลงไปเพื่อรักษาให้ต้นไม้นั้นมีชีวิตอยู่.”
“ตัวเก็บน้ำค้าง,” เขาพึมพำ,
ต้องมนตร์ด้วยความงามอันเรียบง่ายของแนวความคิดแกนหลักของเรื่องนั้น.”
“ข้าจะไว้ทุกข์ให้กับจามิสในเวลาที่เหมาะสมกับมัน,”
เธอพูด, ราวกับว่าจิตใจของเธอไม่มีเหลือให้กับคำถามอื่นใดของเขาไปแล้ว.
“เขาเป็นชายที่ดี, จามิส, แต่โกรธง่าย. ผู้หาเลี้ยงดูที่ดี, จามิส,
และคนน่าอัศจรรย์กับเด็กๆ. เขาไม่เคยแบ่งแยกเลยระหว่างลูกชายของจีอ็อฟฟ์,
เกิดคนแรกของฉัน, และลูกชายจริงของเขาเอง. พวกเขาเสมอภาคกันในสายตาของเขา.” เธอหันมาจ้องเหมือนถามไถ่กับพอล.
“จะเป็นเช่นไหมกับท่าน, อูซุล.”
“เราไม่มีปัญหานั่น.”
“แต่ถ้า...”
“ฮาราห์!”
เธอล่าถอยที่การขัดแทรกเกือบแข็งกร้าวในน้ำเสียงของเขา.
พวกเขาผ่านห้องแสงสว่างไสวเห็นได้ชัดผ่านช่องโค้งหนึ่งทางซ้ายมือของพวกเขา.
“อะไรถูกทำกันในนั้นหรือ?” เขาถาม.
“เขกำลังซ่อมเครื่องจักรถักทอ,” เธอบอก.
“แต่มันถ้องถูกรื้อแยกออกเป็นชิ้นๆในคืนนี้.”
เธอชี้ไปที่อุโมงค์แยกสาขาหนึ่งไปทางซ้ายมือของพวกเขา. “ทะลุนั่นและเลยโพ้นไป,
นั่นกระบวนการผลิตอาหารและบำรุงรักษาชุดสติลสูท.” เธอมองมาที่พอล.
“ชุดสูทของท่านดูใหม่. แต่ถ้ามันจำเป็นต้องซ่อม. ข้าเก่งดีกับพวกชุดสูท.
ข้าทำงานในโรงงานในฤดู.”
พวกเขาเริ่มต้นมาถึงกระจุกของผู้คนในตอนนี้และกลุ่มทั้งหลายหนาขึ้นของที่เปิดทั้งหลายในอุโมงค์ทางด้านข้าง.
กองหนึ่งของผู้ชายและผู้หญิงผ่านพวกเขาไปแบกหีบห่อทั้งหลายที่เสียงโรกครากของน้ำอย่างหนัก,
มีกลิ่นของเครื่องเทศแรงฉุนมากับพวกเขา.
“พวกเขาจะไม่มาเอาน้ำของพวกเรา,” ฮาราห์พูด.
“หรือเครื่องเทศของพวกเรา. ท่านแน่ในได้ในเรื่องนั้น.”
พอลชำเลืองที่ช่องเปิดของผนังอุโมงค์ทั้งหลาย,
มองเห็นพรมหนาหนักทั้งหลายยกขึ้นพักไว้บนตะพักยื่น,
ภาพจากการมองปราดทั้งหลายของห้องเหล่านั้นที่มีผ้าสดใสทั้งหลายบนผนัง,
กองของเบาะหมอน. ผูเคนในช่องเปิดทั้งหลายนิ่งเงียบกับการมาถึงของพวกเขา, ติดตามพอลไปด้วยสายตาจ้องเวิ้งว้าง.
“ผู้คนนั่นพบว่ามันแปลกที่ท่านเอาชนะจามิสได้,”
ฮาราห์พูด. “ราวกับว่าท่านจะมีบางข้อพิสูจน์ให้ทำเมื่อเราตั้งหลักได้แล้วที่สิฐคามใหม่.”
“ข้าไม่ชอบการฆ่า,” เขาบอก.
“นั่นอย่างที่สติลจาร์ได้บอกมันไว้,”
เธอพูด, แต่น้ำเสียงของเธอทรยศด้วยความไม่เชื่อของเธอ.
เสียงสวดมนต์เยือกเย็นดังมากขึ้นข้างหน้าของพวกเขา.
พวกเขามาถึงยังีกด้านหนึ่งของที่เปิดกว้างกว่าอันอื่นใดๆที่พอลได้เห็นมา.
เขาช้าก้าวของตนลง, จ้องเข้าไปในห้องที่ผู้คนเนืองแน่นด้วยเด็กๆกำลังนั่งไขว้ขาขัดสมาธิอยู่บนพื้นพรมสีแดงม่วง.
กระดานเขียนชอล์คอยู่ที่ผนังด้านไกลมีหญิงหนึ่งในชุดห่มผ้าสีเหลืองพันรอบตัว,
เครื่องฉายชี้โปรเจ็คโต-สไตลัสอยู่ในมือข้างหนึ่งง
กระดานนั้นเต็มไปด้วยแบบลาย---วงกลม, ลิ่มและเส้นโงทั้งหลาย,
รอยงูเลื้อยและสี่เหลี่ยม, ส่วนโค้งไหลตามต่อกันไปแยกไว้ด้วยเส้นคู่ขนาน. หญิงนั้นชี้ไปที่แบบลายทั้งหลายนั้นไล่ทีละหนึ่งไปหาอันอื่นๆอย่างเร็วเท่าที่เธอสามารถเคลื่อนย้ายสไตลัสนั้น,
และเด็กๆทั้งหลายสวดมนต์ท่องตามเป็นจังหวะทำนองไปกับมือที่เคลื่อนไปของเธอ.
พอลฟัง, ได้ยินเสียงทั้งหลายเริ่มเลือนออกไปทางด้านหลังขณะที่เขาเคลื่อนเดินลึกเข้าไปในสิฐคามกับฮาราห์.
“ต้นไม้,” เด็กๆท่อง. “ต้นไม้, หญ้า,
นูนทราย, ลม, ภูเขา, เนินเขา, ไฟ, ฟ้าแลบ, ก้อนหิน, ฝุ่น, ความร้อน, ที่กำบัง,
ความร้อน, เต็ม, ฤดูหนาว, เย็น, ว่างเปล่า, กัดเซาะ, ฤดูร้อน, คูหา, กลางวัน,
ตึงเครียด, ดวงจันทร์, กลางคืน, หินครอบ, ธารทราย, ลาดเอียง, การปลูก,
ผูกมัด......”
“เจ้าจัดชั้นสอนเรียนในเวลาเยี่ยงนี้กันด้วยหรือ?”
พอลถาม.
ใบหน้าของเธอไปสู่หม่นซึมและเศร้าปนมาในน้ำเสียงของเธอ: “อะไรที่เลียตที่ได้สอนเรา,
เราไม่สามารถหยุดชงักสักชั่วขณะได้ในการนั้น. เลียตผู้ที่ตายไปแล้วต้องไปถูกลืมเลือน.
มันวิถีของชาค็อปสา.
เธอตัดข้ามอุโมงค์ไปทางซ้ายมือ,
ก้าวขึ้นไปบนตะพักยื่น, เปิดแยกผ้าโปร่งแขวนสีส้มออกและยืนหลบไปทางด้านข้างให้. “ยาลีของท่านพ้องแล้วสำหรับท่าน,
อูซุล.”
พอลลังเลก่อนที่จะขึ้นไร่วมบนตะพักกับเธอ.
เขารู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาในทันทีที่จะอยู่ตามลำพังกับผู้หญิงนี้.
มันมาถึงต่อเขาว่าเขานั้นถูกรายล้อมห้อมมาตลอดในวิถีของชีวิตว่าสามารถเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาได้เข้าใจโดยการทึกทักเอาว่าคือนิเวศน์วิทยาของความคิดและคุณค่าทั้งหลาย.
เขาได้รู้สึกว่าฟรีเมนนี้น่าจะตกปลาเอากับเขา,
พยายามที่จะวางกับดักเขาให้ติดไปในวิถีของมัน.
และเขารู้ว่าอะไรนอนวางอยู่นับดักนั้น---จีฮาดอันบ้าคลั่ง,
สงครามศาสนาคือที่เขาได้รู้สึกว่าเขาควรจะหลีกพ้นมันให้ได้ในทุกหนทาง.
“นี่คือยาลีของท่าน,” ฮาราห์พูด.
“ทำไมท่านลังเลอยู่?”
พอลพยักหน้า, ร่วมกับเธอบนตะเพิงนั้น. เขายกยกที่แขวนขวางขึ้นจากเธอ,
รู้สึกถึงเส้นใยโลหะในผ้าผืนนั้น, ตามเธอไปในช่อทางเข้าสั้นๆแลแล้วก็เข้าไปในห้องที่ใหญ่กว่าหนึ่ง,
สี่หลี่ยมจัตุรัส, ราวหกเมตรในแต่ละด้าน---พรมหนาสีฟ้าปูที่พื้น, ผ้าผืนสีฟ้าและเขียวซ่อนบังผนังหินเอาไว้,
ลูกโคมเรืองแสงทั้งหลายปรับแต่งเป็นสีเหลืองอยู่เหนือศีรษะโยกเยกอยู่กับผืนผ้าสีเหลืองห้อยเพดาน.
ความรู้สึกเกิดขึ้นนั้นเป็นประหนึ่งกระโจมโบราณ.
ฮาราห์ยืนตรงหน้าของเขา,
มือซ้ายอยู่ที่สะโพก, ดวงตาของเธอกำลังศึกษาใบหน้าของเขา. “เด็กๆไปอยู่กับเพื่อน,”
เธอบอก. “พวกเขาจะมาแสดงตัวในภายหลัง.”
พอลปิดบังความอึดอัดของตนอยู่ภายใต้การกวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างรวดเร็ว.
ผ้าบางแขวนอยู่ทางด้านขวามือ, เขาเห็น,
ส่วนหนึ่งปิดบังห้องที่ใหญ่กว่าที่มีหมอนเบาะทั้งหลายกองสุมอยู่รายตามผนังรอบ.
เขารู้สึกถึงสายลมอ่อนแผ่วมาจากท่ออากาศ, เห็นช่องระบายซ่อนอยาอย่างแนบเนรยนในแบบลวดลายของผ้าแขวนตรงลงมาเหนือศีรษะของพวกเขา.
“ท่านปรารถนาจะให้ข้าช่วยถอดชุดสูทของท่านออกไหม?”
ฮาราห์ถาม.
“ไม่ต้อง.....ขอบคุณ.”
“ข้าไปเอาอาหารมาดีมั๊ย?”
“ก็ดี.”
“มีโถงฟื้นฟุสภาพออกที่อีกห้องหนึ่ง.”
เธอชี้ไป. “สำหรับให้ท่านสบายตัวและสุขาเมื่อท่านออกมาได้จากสติลสูทนั่นแล้ว.”
“เจ้าได้บอกว่าเราต้องไปจากสิฐคามนี้,”
พอลพูด. “ไม่ควรที่เราจะเก็บข้าวขอหรือบางอย่างกันเลยหรือ?”
“มันจะถูกทำเสร็จในเวลาของมัน,” เธอพูด. “พวกนักฆ่าโหดเหล่านั้นยังไม่ได้เจาะทะลุภาคส่วนของเรามาได้.”
ยังคงที่เธอลังเลอยู่, จ้องมาที่เขา.
“มีอะไรรึ?” เขาถามสั่ง.
“ท่านไม่ได้มีดวงตาของอิบัด(Ibad*),” เธอพูด. “มันแปลกแต่ก็ไม่ถึงกับไร้ดึงดูดใจไปเลยนัก.”
“ไปเอาอาหารมาเถอะ,” เขาบอก. “ข้าหิวแล้ว.”
เธอยิ้มให้เขา---อย่างรู้ทัน, ยิ้มของผู้หญิงที่เขาพบว่าน่ารำคาญใจ.
“ข้าเป็นคนรับใช้ของท่าน,” เธอพูด, ลันร่างออกไปในอากัปอ่อนช้อยเล็กน้อย,
มุดผ่านผ้าหนักแขวนผนังหนึ่งที่เผยให้เห็นช่องทางเดินก่อนที่จะร่วงลงมากลับคืนที่.
รู้สึกโกรธกับตัวเขาเอง, พอลปัดผ้าแขวนบางทางด้านขวามือและเข้าไปในห้องที่ใหญ่กว่า.
เขายืนอยู่ที่นั้นชั่วขณะหนึ่งที่กุมความไม่แน่ใจ. และเขาสงสัยว่าชานิอยู่ที่ไหน.....ชานิผู้ที่ได้เพิ่งสูญเสียบิดาของเธอ.
เราเป็นเหมือนกันในเรื่องนั้น,
เขาคิด.
เสียงร้องคร่ำครวญดังมาจากระเบียงทางเดินด้านนอก,
ความดังของมันถูกอุดกั้นไว้ด้วยผ้าแขวนแทรกนั้น. มันดังซ้ำ, และห่างไปเล็กน้อย.
และอีกครั้ง, พอลตระหนักได้ว่าใครบางคนกำลังตะโกนบอกเวลา. เขาเพ่งสมาธิไปยังความจริงที่ว่าเขาไม่ได้เห็นนาฬิกาใดเลย.
กลิ่นจางๆของพุ่มไม้น้ำมันครีโอโสตไหม้มาสู่ช่องจมูกของเขา,
ขี่เคลื่อนมาเหนือกลิ่นเหม็นอวลทุกที่ของสิฐคามนั้น” พอลเห็นว่าเขาได้กำราบการรุกรานของกลิ่นนั้นไปได้แล้วกับประสาทรุบรู้ของตน.
และเขากังขาใจอีกครั้งเกี่ยวกับมารดาของเขา,
ภาพตัดต่อเคลื่อนไหวของอนาคตไม่รวมเข้าด้วยกันกับเธอ.....และธิดาที่เธอให้กำเนิด.
สัมปชัญญะ-กาลที่สามารผันแปรได้เต้นรำอยู่รอบตัวเขา. เขาสั่งศีรษะของตนอย่างแรง,
เพ่งความสนใจของเขายังลักฐานนั้นที่พูดอย่างลึกซึ้งถึงความลึกและความกว้างในวัฒนธรรมของฟรีเมนที่ได้กลืนกินพวกเขา.
ด้วยสิ่งแปลกประหลาดอันประณีตทั้งหลายของมัน.
เขาได้เห็นสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับถ้ำคูหาทั้งหลายและห้องนี้,
สิ่งหนึ่งที่แนะนำถึงความแตกต่างห่างไกลอันยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใดที่เขาได้ยังไม่ได้เผชิญ.
ไม่มีสัญญาณของเครื่องตรวจจับยาพิษในที่นี่,
ไม่มีการบ่งชี้ถึงการใช้มันของพวกเขาในที่ใดเลยในถ้ำคูหาแออัดนี้. กระนั้นเขาก็ยังได้กลิ่นยาพิษทั้งหลายในกลิ่นเหม็นของสิฐคาม---อย่างแรงพวกหนึ่ง,
อย่างธรรมดา.
เขาได้ยินเสียงเสียดสีของผ้าแขวนนั้น,
คิดว่าเป็นฮาราห์กลับเข้ามาพร้อมด้วยอาหาร, และหันกลับไปดูเธอ.
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น, จากใต้ของแบบลวดลายฉวัดเฉวียนของผ้าแขวนนั้น,
เขาเห็นเด็กผู้ชานสองคน---บางทีอายุราวเก้าและสิบขวบ---กำลังจ้องออกมายังเขาด้วยดวงตาหิวกระหาย.
แต่ละคนเหน็บอะไรเล็กๆแบบไคนด์จัลของมีดกริช, วางมืออยู่ที่ด้ามของมันกัน.
และพอลหวนนึกขึ้นได้ถึงเรื่องราวทั้งหลายของพวกฟรีเมน---ที่ว่าเด็กๆของพวกเขาต่อสู้อย่างดุร้ายได้เท่าๆกับผู้ใหญ่.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น