หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (36)

       ลึกในภวังคจิตของมนุษย์คือความต้องการอย่างจำเป็นที่แผ่ซ่านไปทั่วสำหรับจักรวาล   ตรรกะที่มีเหตุผล. แต่จักรวาลที่แท้จริงมักจะหนึ่งขั้นโพ้นเลยไปจากตรรกะ.

---จาก “การพูดทั้งหลาย ของ มวดดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

        

         ข้าได้นั่งตรงข้ามของผู้ปกครองทั้งหลายมากมายแห่ง มหาราชสำนัก, แต่ไม่เคยได้เห็นหมูตัวไหนที่หยาบช้าและอันตรายเยี่ยงเจ้าผู้นี้, ธูเฟอร์ ฮาวัตบอกกับตัวเขา.

         “เจ้าต้องพูดอย่างเรียบง่ายกับข้า, ฮาวัต,” ท่านบารอนกร่นพึมพัม. เอนกลบไปในเก้าอี้แขวนลอยของเขา, ดวงตาในความยับย่นของไขมันเจาะเข้าไปในฮาวัต.

         เมนทาตเฒ่ามองลงไปที่โต๊ะระหว่างเขาและบารอน วลาดิมีร์ ฮาร์คนเนน, สังเกตจำถึงความอุดมสมบูรณ์ของเนื้อไม้ของมัน. กระทั่งนี้เป็นองค์ประกอบที่พิจารณาในการประเมินต่อบารอนนี้, เช่นเดียวกับผนังสีแดงทั้งหลายของห้องประชุมส่วนตัวและกลิ่นจางหอมหวานของสมุนไพรที่ลอยอ้อยอิ่งในอากาศ, สวมบังกลิ่นคาวสัตว์ในส่วนลึกกว่า.

         “เจ้าไม่ได้ให้ข้าส่งคำเตือนนั่นไปยังแร็บบานว่าเป็นเช่นความเพ้อฝันไร้สาระ,” ท่านบารอนพูด.

         ใบหน้าแผ่นหนังเหนียวของฮาวัตยังคงไร้อารมณ์ใด, ทรยศต่อการไม่มีความเกลียดชังใดที่เขาได้รู้สึก. “ข้าสงสัยความเป็นไปได้ในหลายสิ่ง, ใต้เท้า,” เขาพูด.

         “ใช่. เอาละ, ข้าปรารถนาที่จะรู้ว่ารูปลักษณ์อาร์ราคิสทั้งหลายในความสงสัยทั้งหลายของเจ้าเกี่ยวกับซาลูซา เซกันดัส(Salusa Secundus* – ดาวเคราะห์ที่มีสภาพเลวร้ายทางนิเวศน์และสังคม-ใช้เป็นคุกของจักรวรรดิ). มันไม่เพียงพอที่เจ้าพูดกับข้าว่าจัรพรรดิอยู่ในความวุ่นวายเกี่ยวกับบางการ

         * https://dune.fandom.com/wiki/Salusa_Secundus/DE

เชื่อมโยงระหว่างอาร์ราคิสและดาวเคราะห์คุกลี้ลับของพระองค์. ทีนี้, ข้ารีบด่วนส่งคำเตือนออกไปยังแร็บบานเท่านั้นเพราะว่าผู้นำสาส์นต้องออกไปกับยานไฮจ์ไลเนอร์. เจ้าได้พูดว่าไม่ควรจะมีการล่าช้า. ดีและเยี่ยม. แต่ตอนนี้ข้าจะได้คำอธิบายนั้น.”

         เขาพล่ามมากเกินไป, ฮาวัตคิด. เขาไม่เหมือนลีโตผู้สามารถบอกกับข้าในสิ่งหนึ่งได้เพียงแค่เลิกคิ้วหรือการโบกมือ. ไม่เหมือนดยุคเฒ่าผู้สามารถแสดงออกประโยคทั้งหมดในวิธที่เขาออกเสียงเน้นแค่คำเดียว. นี่คือคนงี่เง่า! การทำลายเขาจะเป็นการรับใช้ต่อมนุษยชาติ.

         “เจ้าจะไม่ออกไปจากที่นี่จนกว่าข้าจะได้คำอธิบายที่เต็มที่และสมบูรณ์,” ท่านบารอนพูด. “พวกสุดเลวขอทานในกาแล๊กซี่ถูกส่งไปที่ ซาลูซา เซกันดัส. อะไรอื่นที่เราจำเป็นที่จะต้องรู้รึ?”

         “สภาพทั้งหลายนั้นบนดาวเคราะห์ราชทัณฑ์โหดเหี้ยมทารุณรุนแรงยิ่งกว่าที่ใดอื่น,” ฮาวัตพูด. “ท่านได้ยินว่าอัตราการต้องตายในหมู่นักโทษรายใหม่ทั้งหลายนั้นสูงยิงกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์. ท่านได้ยินว่าท่านจักรพรรดิทดลองฝีกทุกรูปแบบของการทารุณที่นั้น. ท่านได้ยินมาทั้งหมดนี้และไม่ได้ถามคำถามทังหลายหรือ?”

         “องค์จักรพรรดิไม่ได้อนุญาตให้มหาราชสำนักในการที่จะสืบสอบคุกของพระองค์,” ท่านบารอนคำรามขู่. “แต่พระองค์ก็ไม่ได้มองเข้ามาในคุกมืดทั้งหลายของข้า, เช่นกัน.”

         “และความแปลกหาได้ยากเกี่ยวกับซาลูซา เซกันดัสคือ.....อาห์.....” ฮาวัตเอานิ้วกระดูกหนึ่งแตะริมฝีปากของเขา “.....การทำให้หมดกำลังใจ.”

         “แล้วเขาไม่ได้ภูมิใจในบางอย่างของอะไรทั้งหลายที่เขาต้องทำที่นั่น!

         ฮาวัตยอมให้ความจางที่สุดของรอยยิ้มมาสัมผัสที่ริมฝีปากมืดคล้ำของเขา. ดวงตาของเขาแวววาวในแสงของท่อเรืองแสงขณะที่เขาจ้องมองยังบารอน. “และท่านก็ไม่เคยได้สงสัยใจว่าจักรพรรดิได้ซาร์เดาการ์ของเขามาจากที่ไหนรึ?”

         บารอนแบะริมฝีปากอวบอ้วนของเขา. นี้ทำให้รูปลักษณ์ของเขาดูท่าทางเหมือนเด็กทารกยื่นปากโกรธ, และเสียงของเขาแบกมาด้วยน้ำเสียงของความงอนขณะที่เขาพูด: “ทำไม.....เขาถึงสรรหาเอา.....นั่นที่จะพูด, ทั้งที่มีทหารเกณฑ์อยู่มากมายและเขาได้ขึ้นบัญชีจาก---”

         “ฟ่าววววว!ฮาวัตแทรกขัด. “นิทานทั้งหลายที่ท่านได้ยินเกี่ยวกับพฤติการณ์กล้าหาญทั้งหลายของพวกซาร์เดาการ์, พวกนั้นไม่ใช่ข่างลือ, ใช่ไหม? พวกที่เป็นอันดับแรกของบัญชีจากจำนวนจำกัดที่รอดชีวิตทั้งหลายของผู้ได้ต่อสู้กับซาร์เดาการ์, เอ๋?”

         “พวกซาร์เดาการ์เป็นนักรบที่ยอดเยี่ยม, ไม่ต้องสงสัยในมันเลย,” ท่านบารอนพูด. “แต่ข้าคิดว่ากองทหารของข้าเอง---”

         “เทียบกันแล้วได้แค่เป็นกลุ่มทัศนาจรวันหยุด!ฮาวัตหยัน. “ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าทำไมจักรพรรดิถึงหันมาลงมือกับราชสำนัก อะไทรดิส?”

         “นี่ไม่ใช่ขอบเขตเปิดต่อการคาดคะเนพิเคราะห์ของเจ้า,” ท่านบารอนเตือน.

         มันเป็นไปได้ไหมว่ากระทั่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ได้กระตุ้นผลักดันจักรพรรดิในเรื่องนี้? ฮาวัตถามตนเอง.

         “พื้นที่ใดๆก็เปิดต่อการคาดคะเนพิเคราะห์ของข้าถ้ามันได้เป็นอะไรที่ท่านได้จ้างข้ามาทำ,” ฮาวัตพูด. “ข้าเป็นเมนทาต. ท่านไม่อาจระงับขีดเส้นข้อมูลข่าวสารหรือการคำนวณไปจากเมนทาต.”

         นานชั่วขณะหนึ่ง, ท่านบารอนจ้องมายังเขา, แล้ว: “พูดอะไรที่เจ้าต้องพูด, เมยทาต.”

         “จักรพรรดิ ปาดิชาห์หันเข้าใส่อะไทรดิสเพราะปรมาจารย์สงคราม เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค และ ดันแคน ไอดาโฮ ของท่านดยุค ที่ได้ฝึกฝนกองกำลังรบ---กองกำลังรบเล็กๆ---ที่จะอยู่ในเส้นผมดีเท่าๆกับซาร์เดาการ์. บางส่วนของพวกเขากระทั่งดีกว่า. และท่านดยุคได้อยู่ในตำแหน่งที่จะขยายกองกำลังของเขา, ที่จะทำมันทุกชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้เข้มแข็งเท่าเทียมกับของจักรพรรดิ.”

         ท่านบารอนชั่งน้ำหนักการเปิดโปงนี้, แล้ว: “อะไรที่อาร์ราคิสมามีส่วนกับเรื่องนี้รึ?”

         “มันมีให้ซึ่งกลุ่มของผู้รับคัดเกณฑ์ใหม่อยู่พร้อมที่ถูกปรับสภาพต่อการฝึกอันโหดหี้ยมที่สุดจากการรอดชีวิตที่ขมขื่นที่สุด.”

         ท่านบารอนส่ายศีรษะของเขา. “เจ้าไม่สามารถหมายถึงพวกฟรีเมนนั่นได้?”

         “ข้าหมายถึงพวกฟรีเมน.”

         “ฮ๊า! แล้วทำไมเตือนแร็บบาน? ไม่สามารถมีเป็นมากกว่ากำมือเดียวของพวกฟรีเมนเหลืออยู่หลังจากการสังหารหมู่ของซาร์เดาการ์และการกดขี่ของแร็บบาน.”

         ฮาวัตดำเนินต่อไปในการจ้องมองที่เขาอย่างเงียบๆ

         “ไม่มากไปกว่ากำมือเดียว!บารอนพูดซ้ำ. “แร็บบานได้ฆ่าไปหกพันของพวกนั้นเพียงแค่เมื่อปีที่แล้วเท่านั้น!

         ยังคง, ฮาวัตจ้องมองเขา.

         “และปีก่อนหน้านี้มันเป็นเก้าพัน,” ท่านบารอนพูด. “และก่อนที่พวกเขาจะออกมาจากที่นั่น, พวกซาร์เดาการ์ต้องได้ลงบัญชีไว้อย่างน้อยที่สุดก็ยี่สิบล่ะ.”

         “อะไรคือที่กองกำลังของแร็บบานสูญเสียไปสำหรับสองปีที่ผ่านมาล่ะ?” ฮาวัตถาม.

         บารอนถูแก้มอูมย้อยของตน. “เอาละ, เขาได้เกณฑ์รายใหม่เพิ่มค่อนข้างอย่างหนัก, เพื่อทพให้แน่ใจ. เจ้าหน้าที่ทั้งหลายของเขาค่อนข้างจะให้สัญญาฟุ่มเฟือยและ---”

         “เราจะพูดได้ไหมว่าเป็นสามสิบ-พันในตัวเลขกลมๆ?” ฮาวัตถาม.

         “นั่นจะดูเหมือนว่าค่อนข้างสูงไปเล็กน้อย,” ท่านบารอนพูด.

         “เกือบจะตรงกันข้าม,” ฮาวัตพูด. “ข้าสามารถอ่านระหว่างบรรทัดทั้งหลายของรายงานจากแร็บบานได้เช่นเดียวกับที่ท่านสามารถ. และท่านอย่างชัดเจนเลยว่าต้องได้เข้าใจรายงานทั้งหลายของข้าจากเจ้าหน้าที่ของเรา.”

         “อาร์ราคิสเป็นดาวเคราะห์ที่หฤโหด,” ท่านบารอนพูด. “การสูญเสียจากพายุสามารถ---”

         “เราทั้งคู่ต่างก็รู้ถึงตัวเลขที่งอกเข้ามาจากพายุ,” ฮาวัตพูด.

         “แล้วอะไรถ้าเขาได้สูญเสียไปสามสิบ-พันล่ะ?” ท่านบารอนบัญชาถาม, และเลือดฉีดเข้มคล้ำใบหน้าของเขา.

         “ตามการนับของท่านเอง,” ฮาวัตพูด, “เขาได้ฆ่าไปสิบห้า-พันกว่าในสองปีขณะที่สูญเสียไปเป็นสองเท่าของตัวเลขนั้น. ท่านพูดว่าซาร์เดาการ์ลงบัญชีไปยี่สิล-พัน, อย่างเป็นไปได้ว่ามากกว่านั้นอีกเล็กน้อย. แลพข้าได้เห็นประกาศการขนย้ายที่เอาพวกเขากลับมาจากอาร์ราคิส. ถ้าพวกเขาฆ่าไปยี่สิบ-พัน, พวกเขาก็สูญเสียไปเกือบห้าต่อหนึ่ง. ทำไมท่านจะไม่เผชิญหน้ากับตัวเลขนั้น, และทำความเข้าใจว่าพวกมันหมายถึงอะไรล่ะ?”

         ท่านบารอนพูดอย่างเย็นเยือกในจังหวะทำนอง: “นี่คืองานของเจ้า, เมนทาต. พวกมันหมายถึงอะไรล่ะ?”

         “ข้าให้ท่านด้วยตัวเลขนับหัวของดันแคน ไอดาโฮในสิฐคามที่เขาได้ไปเยือน,” ฮาวัตพูด. “มันลงตัวเหมาะสมทั้งหมด. ถ้าพวกเขาได้มีแค่เพียงสองร้อยกับอีกห้าสิบในชุมชนสิฐคามทั้งหลายเช่นนั้น, ประชากรของพวกเขาน่าจะอยู่ในราวห้าล้าน. จากการคำนวณดีที่สุดของข้าคือว่าพวกเขามีอย่างน้อยที่สุดมากเป็นสองเท่าในชุมชนมากมายนั้น. ท่านจำเป็นกระจายประชากรของท่านออกไปบนดาวเคราะห์เช่นนั้น.”

         “สิบล้านรึ?”

         คางย้วยย้อยของท่านบารอนสั่นระริกด้วยความทึ่งใจ.

         “อย่างน้อยที่สุด.”

         ท่านบารอนแบะริมฝีปากอวบอ้วนของตน. ตาวาวเหมือนลูกปัดจ้องมาโดยปราศจากการกระพริบยังฮาวัต. นี่เป็นคำนวณจริงของเมนทาตรึ? เขากังขาใจ. นี่เป็นไปได้อย่างไรและไม่มีใครสงสัยคาดเดา?

         “เราไม่ได้กระทั่งตัดอย่างหนักหน่วงเข้าไปในรูปลักษณ์ของอัตราการเกิด-ที่เติบโตขึ้นอีกด้วย,” ฮาวัตพูด. “เราได้แค่สางมันออกมาบางส่วนของตัวอย่างที่สำเร็จน้อยของพวกเขา, แล้วปล่อยส่วนที่แข็งแรงให้เติบโตแข็งแรงขึ้น---เหมือนกับที่ซาลูซา เซกันดัส.”

         ซาลูซา เซกันดัส!” ท่านบารอนคำรามขู่. “เรื่องนี้ไปเกี่ยวอะไรกับดาวเคราะห์ราชทัณฑ์ของจักรพรรดิ?”

         “คนที่รอดชีวิตจากซาลูซา เซกันดัสเริ่มต้นออกมาแข็งแกร่งขึ้นกว่าคนอื่นเป็นส่วนมาก,” ฮาวัตพูด. “เมื่อท่านเติมสิ่งที่ดีที่สุดของการฝึกทางทหาร---”

         “ไร้สาระ! โดยการโต้แย้งของเจ้า. ข้าสามารถเกณฑ์พลใหม่จากกลุ่มพวกฟรีเมนภายหลังจากวิธีที่พวกเขาได้ถูกข่มเหงกดขี่โดยหลานของข้า.”

         ฮาวัตพูดในเสียงอ่อนเบา: “ท่านไม่ได้กดขี่ใครในกองทหารของท่านหรอกรึ?”

         “เอ้อ.....ข้า.....แต่---”

         “การกดขี่ข่มเหงเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกัน,” ฮาวัตพูด. “นักรบของท่านทั้งหลายน่าจะดีมากกว่าพวกที่รายล้อมพวกเขาอยู่, เอ๋? พวกเขาเห็นทางเลือกที่ไม่น่าพึงใจที่จะเป็นทหารของท่านบารอน, เอ๋?”

         ท่านบารอนเงียบเสียงลง, ตาไม่เพ่งจับสิ่งใด. ความเป็นไปได้ทั้งหลาย---แร็บบานไม่รู้ไม่ตั้งใจที่จะได้ให้ราชสำนัก ฮาร์คอนเนน ด้วยอาวุธสุดยอดของมันรึ?”

         ทันทีนั้นเขาพูด: “เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรกับความจงรักภักดีกับการเกณฑ์พลเช่นนั้น?”

         “ข้าจะเอาพวกนั้นอยู่ในกลุ่มเล็กๆ, ไม่ใหญ่กว่าระดับหมวดเต็มกำลัง,” ฮาวัตพูด. “ข้าจะย้ายพวกเขาจากสภาพถูกกดขี่และกันแยกพวกนั้นด้วยการฝึกปฏิบัติเยี่ยงกลุ่มแกนนำของผู้คนผู้ที่ได้เข้าใจปูมิหลังของพวกเขาแล้ว, ผู้คนที่สามารถเห็นด้วยซึ่งได้เป็นแบบอย่างให้กับพวกนั้นมาก่อนแล้วจากสภาวะปกครองกดขี่เดียวกัน. แล้วข้าก็จะเทเติมพวกเขาด้วยความลี้ลับที่ดาวเคราะห์ของเขาได้มีจริงในการฝึกฝนลับๆแฝงอยู่เบื้องหลังเพื่อผลิตสร้างการมีชีวิตขั้นสูงสุดดังเช่นพวกเขานี้.  และระหว่างตลอดเวลานั้น, ข้าจะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่การมีชีวิตขั้นสุดยอดจะสามารถได้รับ: การอยู่อย่างร่ำรวย, สตรีงาม, คฤหาสน์ดีๆ.....อะไรก็ตามที่พวกเขาปรารถนา.”

         ท่านบารอนเริ่มที่จะผงกศีรษะรับ. “วิธีที่พวกซาร์เดาการ์อยู่ที่บ้าน.”

         “พวกพลคัดเกณฑ์นี้จะกายมาเชื่อทันเวลาว่ามีเพียงสถานที่เยี่ยงซาลูซา เซกันดัสนั้นเป็นที่ถูกต้องเพราะว่ามันได้ผลิตสร้างพวกเขา---เป็นชนชั้นหัวกะทิ. กองกำลังซาร์เดาการ์ธรรมดาที่สุดมีชีวิตอยู่, ในหลายความนับถือ, ได้รับความยกย่องเทียบเท่ากับสมาชิกใดของมหาราชสำนัก.”

         “ช่างเป็นความคิดที่เยี่ยมยิ่งนัก!” ท่านบารอนกระซิบ.

         “ท่านเริ่มที่จะแบ่งปันความคาดหวังกังขาทั้งหลายของข้าแล้ว,” ฮาวัตพูด.

         “สิ่งเยี่ยงนี้จะเริ่มต้นขึ้นได้ที่ไหนล่ะ?” บารอนถาม.

         “อ้า. ใช่: ราชสำนัก คอร์ริโน มีจุดเริ่มต้นที่ไหนหรือ? มีผู้คนบนซาลูซา เซกันดัสอยู่หรือก่อนที่จักรพรรดิจะส่งพวกแรกอย่างไม่คาดหมายของนักโทษทั้งหลายไปที่นั่น? กระทั่งดยุค ลีโต, ญาติฝ่ายมารดา, ไม่เคยรู้เรื่องอย่างแน่นอน. คำถามเยี่ยงนี้ทั้งหลายต่างไม่มีใครกล้าถาม.”

         ดวงตาของท่านบารอนเคลือบวาวด้วยความคิด. “ใช่, ถูกเก็บเป็นความลับอย่างระมัดระวังเต็มที่. พวกเขาได้ใช้ทุกเครื่องมืออุปกรณ์--”

         “นอกจากนั้น, มีอะไรต้องปกปิดหรือ?” ฮาวัตถาม. “ว่าจักรพรรดิ ปาดิชาห์มีดาวเคราะห์ราชทัณฑ์? ทุกคนรู้กันดีในเรื่องนี้. ว่าเขาคือ---”

         “เคานท์ เฟนริง!” ท่านบารอนโพล่ง.

         ฮาวัตหยุดพูดกระทันหนัก, ศึกษาบารอนด้วยคิ้วขมวดงุนงง. “อะไรกับเคานท์ เฟนริงรึ?”

         “ในครบรอบวันเกิดหลานของข้าเมื่อหลายปีก่อน,” ท่านบารอนพูด. “นกแก้วจักรพรรดิ, เคานท์ เฟนริง, มาหาในฐานะผู้สังเกตอย่างเป็นทางการและเพื่อ.....อา, จัดการตกลงธุรกิจระหว่างจักรพรรดิกับตัวข้า.”

         “แล้ว?”

         “ข้า.....อา, ระหว่างอันหนึ่งของการสนทนาทั้งหลาย, ข้าเชื่อว่าข้าได้พูบางอย่างเกี่ยวกับการทำดาวเคราะห์คุกของ อาร์ราคิส. เฟนริง---

         “ท่านพูดอะไรไปที่แน่ๆหรือ?” ฮาวัตถาม.

         “แน่ๆรึ? นั่นเอบจะนานโขและ---”

         “ฝ่าบาท, บารอน, ถ้าท่านปรารถนาที่จะทำประโยชน์ให้ดีที่สุดของการให้บริการของข้า, ท่านต้องให้ข้อมูลที่เพียงพอแก่ข้า. การสนทนานี้ได้มีการบันทึกไว้หรือไม่?”

         ใบหน้าของท่านบารอนดำคล้ำด้วยโทสะ. “เจ้านี่เลวพอๆกับไพเตอร์! ข้าไม่ชอบนี้---”

         “ไพเตอร์ไม่ได้อยู่กับท่านอีกต่อไปแล้ว, ฝ่าบาท,” ฮาวัตพูด. “กับเรื่องนั้น, อะไรก็ตามหรือที่ได้บังเกิดกับไพเตอร์?”

         “เขากลายเป็นคุ้นเคยเกินไป, เรียกร้องมากเกินไปกับข้า,” ท่านบารอนพูด.

         “ท่านให้ความแน่ใจให้กับข้าว่าท่านไม่ทำเสียเปล่ากับผู้ที่มีประโยชน์,” ฮาวัตพูด. “ท่านจะไม่ทำเสียเปล่ากับข้าโดยข่มขู่หรือพูดเล่นพูดหัวหรือไม่? เรากำลังถกกันถึงอะไรที่ท่านได้พูดต่อ เคานท์ เฟนริง.”

         อย่างช้าๆ, ท่านบารอนจัดแจงท่าทางของตนเอง. เมื่อถึงเวลาแล้ว, เขาคิด. ข้าจะจดจำกิริยามรรยาทของเขาต่อข้า. ใช่, ข้าจะจดจำไว้.

         “สักครู่หนึ่ง,” ท่านบารอนพูด, และเขาคิดย้อนกลับไปยังการพบกันในโถงใหญ่ของเขา. มันได้ช่วยทำให้เห็นภาพกรวยของความเงียบในที่ที่พวกเขาได้ยืนอยู่. “ข้าได้พูดบางอย่างเช่นนี้,” ท่านบารอนพูด. “ ท่านจักรพรรดิรู้ว่าการเข่นฆ่าบ้างนั้นได้มักจะเป็นแขนขาของธุรกิจเสมอ.ข้าได้อ้างถึงกองกำลังทำงานของเราที่สูญเสียไป. แล้วข้าพูดบางอย่างเกี่ยวกับดาวเคราะห์ราชทัณฑ์ขององค์จักรพรรดิได้ดาลใจข้าที่จะทำตามเขา.”

         “เลือดพ่อมด!ฮาวัตทิ่ม. “แล้วเฟนริงพูดว่าอะไรรึ?”

         “นั่นคือตอนที่เขาเริ่มถามไถ่ข้าเกี่ยวกับเจ้า.”

         ฮาวัตเอนหลังกลับ, หลับตาของเขาลงในอาการคิด. “แล้วนั่นคือทำไมที่พวกเขาจ้องมองค้นหาเข้าไปในอาร์ราคิส,” เขาพูด. “เอาละ, สิ่งนั้นได้ทำไปแล้ว.” เขาลืมตาของตนขึ้น. “พวกเขาต้องมีสายลับทั้งหลายอยู่ทั่วไปหมดที่อาร์ราคิสในตอนนี้. สองปี?”

         “แต่แน่นอนที่ว่าการชี้แนะไร้เดียงสาของข้านั้นที่---”

         “ไม่มีอะไรที่ไร้เดียงสาในสายตาของจักรพรรดิ! อะไรคือคำแนะนำทั้งหลายของท่านต่อแร็บบานหรือ?”

         “เพียงแค่เขาควรจะสั่งสอนอาร์ราคิสในการที่จะหวาดกลัวต่อเรา.”

         ฮาวัตส่ายศีรษะของเขา. “ท่านในตอนนี้มีสองทางเลือก, ท่านบารอน. ท่านสามารถฆ่าชนพื้นเมืองทั้งหลาย, กวาดพวกเขาออกไปทั้งหมด, หรือ---”

         “สูญเปล่ากำลังแรงงานทั้งหมดไปรึ?”

         “ท่านชอบมากกว่าที่จะได้มีจักรพรรดิและมหาราชสำนักที่พระองค์สามารถแกว่งไกวได้ตามด้านหลังของเขามายังที่นี่และแสดงการขูดแผลเน่า, ถากขุดไกดิ ไพร์มเหมือนน้ำเต้ากลวงรึ?”

         ท่านบารอนศึกษาเมนทาตของเขา, แล้ว: “เขาไม่กล้าทำแน่!

         “เขาจะไม่รึ?”

         ท่านบารอนตัวสั่น. “ทางเลือกของเจ้าคืออะไร?”

         “ละทิ้งหลานของท่านเสีย, แร็บบาน.”

         “ละทิ้.....”บารอนโพล่งออกมาแล้วหยุดชะงัก, จ้องมองยังฮาวัต.

         “เลิกส่งกองทหารไปให้เขาอีก, ไม่มีความช่วยเหลือชนิดใด. อย่าตอบสาส์นอื่นใดมากไปกว่าที่จะบอกว่าท่านได้ยินถึงวิธีแย่มากร้ายแรงที่เขาได้จัดการสิ่งทั้งหลายบนอาร์ราคิสและท่านตั้งใจที่จะหามาตรการแก้ไขในทันทีที่ท่านสามารถทำได้. ข้าจะจัดแจงปรับแต่งเพื่อมีบางสาส์นของท่านนั้นได้ถูกลอบชิงเอาไปโดยสายลับของจักรพรรดิ.”

         “แต่กับเครื่องเทศพวกนั้นล่ะ, ภาษีรายได้ทั้งหลาย, พวก---”

         “บัญชาถามกำไรทั้งหลายตามศักดินาบารอนของท่าน, แต่จงระมัดระวังถึงการที่ท่านทำคำบัญชาถามทั้งหลายของท่าน. เรียกร้องยึดอยู่กับผลรวมของแร็บบาน. เราสามารถ---”

         ท่านบารอนหงายฝ่ามือทั้งคู่ของเขาขึ้น. “แต่ข้าจะสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่าหลานพังพอนของข้าจะไม่---”

         “เรายังคงมีสายลับทั้งหลายของเราอยู่บนอาร์ราคิส. บอกแร็บบานว่าเขาจะทำโควต้าเครื่องเทศตามที่ท่านตั้งให้เขาหรือว่าเขาจะถูกแทนที่.”

         “ข้ารู้จักหลานของข้าดี,” ท่านบารอนพูด. “เรื่องนี้เพียงแค่ทำให้เขากดขี่ประชากรพวกนั้นมากยิ่งขึ้น.”

         “แน่นอนว่าเขาจะทำ!ฮาวัตงับ. “ท่านไม่ได้ต้องการให้นั่นหยุดในตอนนี้! ท่านเพียงแค่ต้องการให้มือของท่านสะอาดเท่านั้น. ปล่อยให้แร็บบานทำซาลูซา เซกันดัสของท่านให้ท่านเอง. เขามีประชากรทั้งหมดตามที่ต้องการอยู่แล้ว. ถ้าแร็บบานกำลังขับดันผู้คนของเขาเพื่อให้ได้ตามโควต้าเครื่องเทศของท่าน, เช่นนั้นจักรพรรดิก็ไม่จำเป็นต้องคาดเดาสงสัยอะไรในแรงกระตุ้นอื่น. นั่นคือเหตุผลเพียงพอสำหรับการเอาดาวเคราะห์นั้นไปขึ้นหิ้ง. และท่าน, ท่านบารอน, ก็จะไม่แสดงด้วยคำพูดหรือการกระทำใดที่มีเหตุผลอื่นอื่นใดอีกในเรื่องนี้.”

         ท่านบารอนไม่สามารถรักษาน้ำเสียงเหน็บแนมของการยกย่องชื่นชมออกมาในเสียงของตนได้. “อ้า, ฮาวัต, เจ้าเป็นผู้ยอกย้อนซ่อนเงื่อนคนหนึ่ง. ตอนนี้, เราจะย้ายเข้าไปในอาร์ราคิสได้อย่างไรและใช้อะไรในสิ่งที่แร็บบานได้จัดเตรียมให้?”

         “นั่นเป็นเรื่องง่ายที่สุดของทั้งหมด, ท่านบารอน. ถ้าท่านตั้งโควต้าในแต่ละปีให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อยกว่าอันเดิมก่อนหน้านี้, เหตุทั้งหลายจะในไม่ช้าไปถึงศีรษะที่นั่น. ผลผลิตจะดิ่งลง. ท่านสามารถย้ายแร็บบานออกและเข้าไปยึดควบคุมด้วยตนเอง.....เพื่อแก้ไขความยุ่งเหยิงให้ถูกต้อง.”

         “มันลงตัว,” ท่านบารอน. “แต่ข้าสามารถรู้สึกว่าตัวข้าเองเหน็ดเหนื่อยกับทั้งหมดนี้. ข้ากำลังเตรียมอีกผู้หนึ่งที่จะเข้าไปยึดกุมอาร์ราคิสเพื่อข้า.”

         ฮาวัตศึกษาใบหน้าอ้วนกลมตรงข้ามกับเขา. อย่างช้าๆสายลับ-ทหารชราเริ่มต้นที่จะพยักศีรษะของตนเองรับ. “ฟียด์-เราธา,” เขาพูด. “แล้วนั่นก็คือเหตุผลสำหรับการกดขี่ในตอนนี้. ท่านเป็นผู้เจ้าเล่ห์มากเอง, ท่านบารอน. บางทีเราสามารถสหการทั้งสองแผนการเหล่านี้. ใช่. ฟียด์-เราธาของท่านสามารถไปที่อาร์ราคิสเป็นเช่นผู้กอบกู้. เขาสามารถเอาชนะประชาชนเหล่านั้น. ใช่.”

         ท่านบารอนยิ้ม. และเบื้องหลังรอยยิ้มของเขานั้น, เขาถามตนเอง: ทีนี้, เรื่องนี้ลงตัวกับแผนการส่วนตัวของฮาวัตได้อย่างไรรึ?

         และฮาวัต, มองเห็นว่าเขาถูกอนุญาตให้ไปได้, ลุกขึ้นและออกจากห้อง-ผนังสีแดงนั้น. ขณะที่เขาเดิน, เขาไม่สามารถวางความไม่รู้ที่ก่อกวนซึ่งเพาะปลูกเข้ามาในทุกการคำนวณประเมินเกี่ยวกับอาร์ราคิส. ผู้นำทางลัทธิศาสน์ที่เกอร์นีย์ ฮัลเล็คพวกลักลอบค้าของเถื่อนพูดถึง, ชื่อ มวดดิบนี้.

         บางทีข้าไม่ควรได้บอกกับบารอนที่จะปล่อยลัทธิศาสน์นี้บานสะพรั่งในที่ที่มันจะเป็น, แม้ในหมู่ชนพื้นบ้านของแอ่งอ่างและพื้นผิวโลกนั้น, เขาบอกกับตนเอง. แต่มันรู้จักกันดีว่าการปราบปรามนั้นเองที่สร้างให้ลัทธิศาสน์ได้บานสะพรั่ง.

         และเขาคิดเกี่ยวกับรายงานของฮัลเล็คเกี่ยวกับกลยุทธการรบของฟรีเมน. กลยุทธทั้งหลายนั้นปะทะเปรี้ยงเข้ากับฮัลเล็คตัวเขาเอง.....และไอดาโฮ.....และแม้กระทั่งกับฮาวัต.

         ไอดาโฮรอดชีวิตไหม? เขาถามตนเอง.

         แต่นี้เป็นคำถามที่ไร้ประโยชน์. เขายังไม่ได้ถามตัวเขาเองว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ที่พอลได้รอดชีวิต. เขารู้ว่าบารอนได้ปักใจแน่วแน่ว่าอะไทรดิสทั้งหมดได้เสียชีวิตไปแล้ว. แม่มดเบเน เกสเสอริตได้เป็นอาวุธของเขา, บารอนได้ยอมรับ. และนั่นสามารถกมายความได้เพียงว่าเป็นจุดจบของทั้งหมด---กระทั่งบุตรชายของหญิงผู้นั้นเอง.

         ยาพิษแห่งความชังอะไรหรือที่หล่อนต้องได้มีต่ออะไทรดิส, เขาคิด. อะไรบางอย่างที่เหมือนกันกับที่ข้าได้ยึดถือเอาไว้ในความเกลียดชังต่อบารอนผู้นี้. การฟาดฟันของข้าจะเป็นที่สิ้นสุดและสมบูรณ์เหมือนเช่นของหล่อนไหม?

 

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น