(จาก บทนำ โดย ลามะทุบเท็น โซปะ ริมโปเช หน้า ๒๗ ของหนังสือ “จิตที่ฝึกดีแล้ว-การตรึกในความจริง ความรัก และความสุข”(The Transformed Mind: Reflections on truth, love and happiness) โดย องค์ทะไลลามะ/ผู้แปล เพ็ญนภา หงส์ทอง.)
คำสอน ลาน-ริม
คือสารัตถะแห่พุทธศาสนาสายทิเบต เป็นหัวใจของวัชรยานและเป็นแกนหลักที่ทำให้เกิดหลักคำสอนที่เราใช้สอนในศูนย์ดุสิต
หลักพื้นฐานของ ลาน-ริม คือความเข้าใจว่าจิตหรือกระแสแห่งการรับรู้ของปัจเจกบุคคลนั้นไม่มีจุดเริ่มต้น
และนับแต่กาลที่ไม่มีจุดเริ่มต้นมาแล้วที่จิตของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงล้วนมีมลทินด้วยอวิชชา
อุปาทาน และความเกลียดชัง อิทธิพลของความคิดด้านลบเหล่านี้พาให้พวกเราก่ออกุศลกรรม
ซึ่งผลขอมันคือการที่ต้องประสบกับความทุกข์ เช่นการต้องเกิดใหม่ในสภาพอันโหดร้าย
ทุกข์ทรมาน เจ็บป่วยและความโชคร้ายต่างๆที่จะเกิดกับเราและผู้อื่น
แต่แม้ความคิดอกุศลจะคงอยู่เช่นนั้นเสมอ มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ถาวรในใจของเรา
ความคิดอกุศลเหล่านี้สามารถถูกกำจัดอย่าถอนรากถอนโคนได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม
เผยให้เห็นธรรมชาติอันประภัสสรของจิต และปลดปล่อยบุคคลให้พ้นจากความทุกข์ตลอดไป
แลวอะไรคือวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม
นั่นหมายรวมถึงการพัฒนาจิตด้วยวิธีการปฏิบัติตามคำสอน ลาน-ริม
วิธีการหนึ่งที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้คือการพิจารณาแก่นคำสอนของขั้นตอนสู่หนทางแห่งการหลุดพ้นในแง่จูงใจจากประสบการณ์ตรงของเรา
ดังต่อไปนี้
นับแต่กาลอันไร้จุดเริ่มต้น ชีวิตทีผ่านมาในอดีตชาตินับไม่ถ้วน
ข้าพเจ้าต้องเวียนตายเวียนเกิดในสังสารวัฏหรือภพภูมิแห่งทุกข์ทั้งหกของการเวียนว่ายตายเกิด
ในที่สุดครั้งนี้ข้าพเจ้าก็ได้เกิดในภพภูมิมนุษย์อย่างสมบูรณ์
ที่มีอิสรภาพแปดประการ และความสมบูรณ์สิบประการ๑
ปัจจัยเหล่านี้หยิบยื่นโอกาสที่ไม่มีใดเสมอเหมือนเพื่อกอรปกิจให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่เปี่ยมด้วยความหมาย
เช่นการ
๑เป็นคุณค่าอันสูงสุดของความเป็นมนุษย์ตามแนวทางวัชรยาน
เคียบเจ โชปะ ริมโปเช เขียนไว้ว่า อิสรภาพแปดประการ (http://www.lamayeshe.com/indexphp?sect=article&id=232&chid=331)
๑) การไม่ได้เกิดในนรก
๒) การไม่ได้เกิดเป็นเปรต
๓) การไม่ได้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๔) การไม่ได้เกิดเป็นอนารยชน
๕) การไม่ได้เกิดเป็นพรหม
เทวดา ที่มีอายุยาวนานนับกัลป์
๖) การไม่ได้เกิดเป็นคนนอกศาสนา
๗) การไม่ได้เกิดบนแผ่นดินที่ไม่มีพระพุทธเจ้า
๘) การไม่ได้เกิดเป็นคนโง่
และความสมบูรณ์สิบประการ
8nv
(http://lamayeshe.com/index.php?sect=article&id=232&chid=332)
๑)
การได้เกิดมาเป็นมนุษย์
๒)
การได้เกิดในดินแดนแห่งพุทธศาสนา
๓)
การได้เกิดมามีร่างกายสมบูรณ์
อวัยวะครบถ้วน
๔)
การไม่ได้ก่ออนันตริยกรรม คือกรรมอันหนักห้าประการ
ได้แก่ ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำพระพุทธเจ้าห้อเลือด และทำให้สงฆ์แตกแยก
๕)
อุทิศ(ตนเพื่อพระธรรม
โดยเฉพาะพระธรรมคำสอน ลาม-ริม
๖)
การได้เกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า
๗)
การได้เกิดในยุคที่พระธรรมได้รับการค้นพบแล้ว
๘)
การได้เกิดในยุคที่ยังมีพระธรรมคำสอนที่สมบูรณ์
๙)
การได้เกิดมาแล้วมีโอกาสได้เรียนรู้พระธรรม
๑๐) การเกิดมาถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติที่จำเป็นต่อการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน
บรรลุธรรมเพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์
การเป็นอิสระจากวัฏจักรแห่งทุกข์ที่ไม่มีจุดเริ่มต้นหรืออย่างน้อยทำให้มีชีวิตในอนาคตที่ดีขึ้นในวัฏสงสาร
ถ้าหากครั้งนี้ข้าพเจ้าปล่อยเวลาให้เสียไปโดยไม่เกิดประโยชน์อีกครั้ง
ด้วยการปล่อยให้ตัวเองยึดติดับความสะดวกสบายในชีวิตนี้
ข้าพเจ้าก็จะทำลายโอกาสอันประเมินค่าไม่ได้นี้อย่างสิ้นเชิง
ชีวิตที่มีคุณค่าเช่นนี้มิใช่ได้มาง่าย
แต่เป็นผลของการปฏิบัติธรรมในอดีตหลายภพหลายชาติของข้าพเจ้า เช่นการมีศีลบริสุทธิ์
การมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และการสวดมนต์ขอพรเพื่อผู้อื่นด้วยใจบริสุทธิ์
ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่จะได้มีชีวิตเช่นนี้อีก
ข้าพเจ้าจึงต้องไม่ยอมเสียโอกาสอันหาไดยากที่จะทำเพื่อตนเองและผู้อื่นเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตนี้สั้นนัก
วันหนึ่งข้าพเจ้าต้องตายอย่างแน่นอนเพียงแต่ไม่ทราบว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด
ชีวิตก็สั้นลงเรื่อยเร็วกว่าที่ข้าพเจ้าจะจินตนาการได้
โดยไม่มีการหยุดพักแม้แต่ขณะหนึ่ง
และเมื่อข้าพเจ้าตายก็ไม่มีสิ่งใดนอกจากธรรมะที่ปฏิบัติไว้จะช่วยได้ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าทำเพื่อให้ได้มา
ทั้งอำนาจ ตำแหน่งฐานะ และทรัพย์สมบัติ
ล้วนแต่จะขัดขวางโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นในชาติถัดไป ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องปฏิบัติธรรม
เพียงธรรมะเท่านั้นในเวลานี้
หากข้าพเจ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรม
และยังคงประกอบอกุศลกรรมไม่ได้ชำระกรรมอันมากมายที่ได้กระทำไว้ทั้งในชาตินี้และอดีตชาติ
ข้าพเจ้าก็จะเกิดใหม่ในภพภูมิที่ต่ำกว่าเดิม คือในนรก(นรกภูมิ)
หรือเป็นเปรตที่หิวโหย(เปรตภูมิ) หรือภพภูมิของสัตว์เดรัจฉาน(เดรัจฉานภูมิ)
ซึ่งไม่สามารถจะหลีกหนีให้หลุดพ้นออกมาได้ และก็จะต้องประสบกับทุกข์ยากจะทนได้อีกต่อไป
หากข้าพเจ้าต้องตายลงในตอนนี้ใครจะบอกได้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ประสบกับชะตากรรมเช่นนั้น
ข้าพเจ้าอาจพบตัวเอบอยู่ในสภาพอันน่าสัพรึงกลัวนี้ที่ใดที่หนึ่ง
แล้วใครที่จะชี้นำข้าพเจ้าได้ในเวลาที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดนี้
พระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ เท่านั้นที่เป็นความหวังของข้าพเจ้า
เพราะฉะนั้นด้วยความกลัวในทุกข์อันเกิดจากภพภูมิเบื้องต่ำทั้งสาม
และด้วยศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมต่อการชี้นำของพระรัตนตรัย ข้าพเจ้าขอพึ่งพระรัตนตรัยเพื่อสรณะ
แล้วพระรัตนตรัยจะปกป้องข้าพเจ้าได้อย่างไร
ก็ด้วยการเผยให้เห็นหนทางที่จะหลุดจากความทุกข์ทั้งมวล
แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวข้าพเจ้าว่าจะเลือกเดินตามทางนั้นหรือไม่
สาระสำคัญของสิ่งเหล่านี้อยู่ที่การเฝ้าสังเกตกฎแห่งกรรม
กรรมเป็นสิ่งที่แน่นอน
กรรมดีนำมาซึ่งความสุข กรรมชั่วนำมาซึ่งความทุกข์ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องประกอบแต่กรรมดีแหลีกเลี่ยงกรรมชั่วอย่างสุดความสามารถ
ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้อย่างน้อยข้าพเจ้าจะได้เกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น
แต่การได้เกิดในภพภูมิที่สูงขึ้นยังไม่พอ
ประสบการณ์จากการได้เกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบันชาติ ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่าแม้แต่ในภพภูมิเบื้องสูงก็ยังมีทุกข์อันยิ่งใหญ่
การเจ็บป่วย การบาดเจ็บ การแก่ะการตาย การไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา
การสูญเสียสิ่งที่มี การประสบกับส่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจ
ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของสังสารวัฏล้วนแต่เป็นทุกข์
เพราะข้าพเจ้าจะมีแต่ความไม่มั่นคง เสี่ยงต่อความทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง
และไม่มีทางได้รู้ว่าทุกข์ใดจะเกิดขึ้นเมื่อไร
เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจะต้องปลดปล่อยตนเองออกจากวัฏจักรแห่งการตายและการเกิดที่ควบคุมไม่ได้นี้ให้ได้อย่างสิ้นเชิง
เพื่อเข้าถึงสันติสุขอันเป็นนิรันด์แห่งพระนิพพาน
แต่ทั้งสองอย่างนี้ก็ยังไม่เพียงพอการยึดติดกับสันติสุขส่วนตัวและการมุ่งแสวงหาเพียงเพื่อตนเองเป็นความเห็นแก่ตัวและโหดร้ายอย่างที่สุด
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงล้วนต้องการแสวงหาความสุข หลีกหนีความทุกข์
เราต่างก็เหมือนกันตรงจุดนี้ ดังนั้นข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวกับพวกเขาซึ่งมีจำนวนนับไม่ถ้วน
ความสุขของพวกเขาจึงสำคัญกว่าความสุขส่วนตัวของข้าพเจ้า
อีกทั้งความสุขทั้งมดของข้าพเจ้า ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ทั้งที่เกิดจากความรื่นรมย์ที่เล็กน้อยที่สุดเช่นสายลมเย็นแผ่วเบาในวันที่อากาศร้อน
ไปจนถึงการเดินทางสู่ปีติอันไม่มีสิ้นสุดของการหลุดพ้นล้วนขึ้นกับสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น
ไม่เพียงเท่านั้นสรรพสัตว์ทุกผู้ต่างเคยเป็นมารดาของข้าพเจ้ามาแล้วหลากหลายครั้งนับไม่ถ้วน
ต่างมีเมตตาต่อข้าพเจ้าประดุจมารดาเลี้ยงดูบุตร
ดังนั้นด้วยเหตุผลเหล่านี้และอื่นๆอีกมากมาย ข้าพเจ้าจักตอบแทนเมตตานี้อย่างสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยการนำพาสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเข้าสู่การหลุดพ้นสูงสุดแห่งพุทธภาวะ
อย่างไรก็ดี
ในขณะนี้ข้าพเจ้าเองก็แทบจะไม่สามารถพาตนเองให้พ้นจากทุกข์ แม้แต่จะพาผู้อื่นสู่ความสุขอย่างสามัญยังเป็นเรื่องยากยังไม่ต้องพูดถึงการหลุดพ้น
มีเพียงอริยบุคคลเท่านั้นที่จะสามารถพาผู้อื่นเข้าสู่พุทธภาวะได้
ดังนั้นเพื่อที่จะตอบแทนเมตตาของผู้อื่น ข้าพเจ้าจะต้องบรรลุการหลุดพ้นให้ได้ก่อน
ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องมีครูผู้ถึงพร้อม ต้องศึกษา ใคร่ครวญ
และปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่คือหนทางที่มีความหมายที่สุดในการใช้ชีวิตของข้าพเจ้า
และนี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าจักทำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น