หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

พุทธทาสภิกขุ - จิตประภัสสร จิตเดิมแท้ จิตว่าง

 พุทธทาสภิกขุ - จิตประภัสสร จิตเดิมแท้ จิตว่าง

          (จากหนังสือ “รู้นิพพาน ประสาชาวบ้าน”, หน้า ๓๐๑-๓๐๘)

         ปรภสฺสรมิทํ  ภิกฺขเว  จิตฺตํ

         อาคนฺตุเกหิ  อุปฺปกิเลเสหิ  อุปฺปกิลิฏฺจํ

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

         จิตนี้เป็นประภัสสร แต่ว่าจิตนี้เศร้าหมอง

         เพราะอุปกิเลสที่เป็นอาคันตุกะจรเข้ามา

ที่ว่า จิตนี้ เป็นประภัสสร นั้น หมายความว่า มีแสง หรือ เรืองแสง อยู่ในตัวมันเองโดยรอบด้าน ก็หมายความว่า มันไม่สกปรกมืดมัวเศร้าหมองแต่อย่างใด ทีนี้ก็มี อุปกิเลส” เกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งจากภายนอก เป็นเสมือนอาคันตุกะจรเข้ามา เกิด ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นสิ่งขุ่นมัวที่มาปิดบังจิตนั้น ให้เศร้าหมอง ให้สูญเสียความเป็นประภัสสร.

(ประภัสสร (ปภา+สร) ปภา คือ แสง, สร แปลว่า แล่นออก หรือ แล่นไป.  ปภสฺสร จึงแปลว่า มีแสงแล่นออกไป.)

         คว่า “จิตเดิม” หรือจิตเดิมแท้ นี้ มีอยู่ในพวกพุทธบริษัทฝ่าย “นิกายธยานะ” หรือที่เราเรียกว่า “นิกายเซน” ไม่มีอยู่ในฝ่าย “เถรวาท”เรา แต่ว่าคำ ๆนี้ มันก็บอกอยู่ในตัวว่า มีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า ประภัสสร เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จิตนี้เป็นประภัสสร ซึ่งเศร้าหมองเมื่อกิเลสเป็นอาคันตุกะจรเข้ามา พวกนิกายเซนเรียกว่า “จิตเที่ยงแท้” ก็หมายความว่า “เดิม” หรือ “ก่อน” แต่ที่กิเลสจะเกิดขึ้นในจิต ตัวหนังสือตัวนี้ในภาษาจีนแปลความหมายกำกวมว่า “เดิม” ก็ได้ ว่า “แท้” ก็ได้ เราจึงแปลกันเสียว่า “จิตเดิมแท้” ไปเลย ให้หมดทั้งสองความหมาย.

         คำว่า ปิ้งชิม ในภาษาจีนนั้นมันกำกวม แต่ว่าส่วนใหญ่มุ่งไปในทางที่เป็นจิตแท้ๆ ไม่มีอะไรปน และเนื่องจากจิตแท้ๆ ไม่มีอะไรปนนั้น เป็นของเดิม ดังนั้น จะเรียกว่า “จิตเดิมแท้ มันก็เลยถูกสองเท่า.

         เรานิยมใช้แปลอย่างนี้เป็นคำใหม่ ซึ่งไม่เคยมีใครเคยได้ยินมาก่อน ที่จะแปลหนังสือเรื่อง “เว่ยหลาง” ออกมา ก็เลยตื่นเต้นกันว่า เป็นของต่างประเทศเป็นของผิดแปลกปลอมเข้ามา ไม่รู้ว่าอย่างไรแน่ พวกที่ไม่เข้าใจความหมาย ก็เข้าใจเอาเองตามความรู้ความคิดของตัว เห็นด้วยก็มี คัดค้านก็มี แต่ก็ยกให้ไว้ว่าเป็นของพวกมหายาน นั้นคือความโง่ เพราะว่าเรื่อง “จิตเดิมแท้” ใน สูตรของเว่ยหลางนั้น มันไม่ใช่มหายาน เพราะว่านิกายเซนนั้น ไม่ใช่มหายาน นิกายเซนนั้นเกิดขึ้นเพื่อจะล้อมมหายานที่เอาแต่จะไหว้อมิตาภะและอวโลกิเตศวร ในลักษณะที่เป็นการอ้อนวอน พึ่งคนอื่นไม่ใช่พึ่งตัวเอง เดี๋ยวนี้พวกเซนเขาเอามาศึกษา มาพูกันถึงเรื่องของจิตโดยตรง ปฏิบัติอะไรหรือทำอะไรก็จัดการลงไปที่จิต ไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า อมิตาภะ หรืออวโลกิเตศวร เลย.

         ดังนั้น นิกาย “จิตเดิมแท้” หรือ “เว่ยหลาง” จึงไม่ใช่มหายาน ยังมีคนโง่ในประเทศไทยที่อ้างตัวเป็นนักปราชญ์อยู่เป็นอันมาก ที่เข้าใจว่านิกายเซนนี้เป็นมหายาน ควรจะเข้าใจให้ถูกต้องกันเสียแต่บัดนี้ด้วย.

         ทีนี้ เมื่อรู้คำว่า “จิตเดิมแท้” เป็นสมบัติของพวกนิกายเซน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออาจารย์คนที่ ๖ ซึ่งมีชื่อว่า เว่ยหลาง เท่านั้น ไม่เกี่ยวเนื่องไปถึงคนอื่น อาจารย์อื่นในนิกายเซ็นเลย แต่โดยเหตุ ที่เราไปอ่านหนังสือเรื่อง “เว่ยหลาง” เข้า เราก้พบคำ ๆนี้ ก็ควรจะดูให้ดีว่า มันมีความหมายว่าอย่างไร?

         จิตเดิมแท้นั้น มันก็แสดงชัดอยู่ในตัวแล้วว่า มัน “เดิม” คือก่อนแต่ที่กิเลสจะเกิดขึ้น มัน แท้เพราะว่าไม่มีกิเลสเจือปน รวมทั้งเดิมทั้งแท้กผ้คือภาวะที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติเดิมของจิต มีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า ประภัสสร ก่อนแต่ที่กิเลสจะเกิดขึ้น.

         ทีนี้ถ้าเราไม่รังเกียจว่ามันเป็นเรื่องของพวกเซนหรือพวกอะไร เราถือเอาแต่ความหมายชนิดที่ทำไปด้วยความหวังดีแก่ทุกฝ่าย ก็พอจะเข้าใจได้ว่า ธยานะ หรือนิกายเซน นี้ ก็สอนให้พยายามค้นหาให้พบภาวะอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติเดิมแท้ของจิต คือภาวะที่จิตไม่มีกิเลสเศร้าหมองอะไรเกิดขึ้นหุ้มห่อปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงครอบงำ แต่เรียกว่าจิตเดิมแท้  อย่างนี้มีความหมายอย่างเดียวกับความเป็นประภัสสร ในคัมภีร์ทางฝ่าย “เถรวาท” เรา.

         เพราะฉะนั้น จึงควรที่จะกล่าวได้ว่า วันอาสาฬบูชา หรือในวัน “พระธรรม” นี้ก็คือวันที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศวิธีที่คนเราสามารถทำจิตให้เป็นจิตเดิมแท้ คืออยู่ในภาวะที่ว่างจากความครอบงำของกิเลส ปลอดจากการครอบงำของกิเลส เป็นจิตว่างหรือจิตประภัสสรที่อยู่ในสภาพเดิมแท้ของมัน

         เมื่อจิตนั้นอยู่ในสภาพเดิมแท้ของมัน มันมีคุณสมบัติที่จะรู้อะไรได้อยู่ในตัวมันเองแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ไปหลงไปอยากอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของการเข้าไปเกี่ยวข้องกับตัณหาอุปาทาน หรือ อวิชชา ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ เหตุฉะนั้นแหละ! อาจารย์เจ้าของจิตเดิมแท้ คือ เว่ยหลางนั้น จึงสอนว่า “อยู่นิ่งๆ อยู่นิ่งๆ”.

 

อยู่นิ่งๆ จิตเดิมแท้ : สูตรของ เว่ยหลาง

         นี่ฟังถูกไหมว่า อยู่นิ่งๆ หมาความว่าอย่างไร พวกคนที่โง่มากๆ นักปราชญ์ที่บรมโง่ ก็จะเข้าใจอีกว่า ไม่ทำอะไร อยู่นิ่งๆ เหมือนท่อนไม้ ไปเสียอีก แต่เว่ยหลางมีความมุ่งหมายที่จะพูดว่า อย่าปรุงแต่ง... อยู่นิ่งๆนี้ คือ อย่ามีการปรุงแต่งทางจิต ปล่อยมันไว้ตามสภาพเดิมของมัน อย่ามีการปรุงแต่งทางจิตใจ อยู่นิ่งๆ อย่าซุกซน จิตก็จะสงบสันติอยู่ในสภาพจิตเดิมแท้ไปตามเดิม.

         ฉะนั้น คำสอนที่ว่า อยู่นิ่งๆ เพียง ๒-๓ พยางค์นี้มีความหมายลึกซึ้งมาก หรือกล่าวได้ว่า น่าสนใจที่สุดด้วยเหมือนกัน เพราะว่าพวกเรามันเป็นคนซุกซน หาเรื่องมาปรุงแต่งจิตไม่มีสิ้นสุด ไม่มีสร่าง อยู่นิ่งๆ อย่างเว่ยหลางว่าเสียแล้ว มันก็หมดเรื่องกัน สภาพจิตเดิมแท้นั้นก็คงมีอยู่ตลอดกาล เป็น สมุจเฉทปทาน.

         ทีนี้ อะไรเล่าที่จะมาทำให้อยู่นิ่งๆได้ ตามความมุ่งหมายอันนั้น มันก็คือ อัฏฐังคิกมรรคมีองค์ ๘ ประการอีกนั่นเอง มีความเห็นชอบ ใฝ่ฝันชอบ ทำการงานชอบ เลี้ยงชีวิต พากเพียรชอบ มีสติชอบ มีสมาธิชอบ อยู่ให้ชอบ นั้นแหละคืออยู่นิ่งๆ เพราะว่ามันไม่เปิดใจให้เกิดการปรุงแต่งอย่างใดทั้งหมดแทรกเข้ามา ไม่ปรุงแต่งให้เป็น ตัวกู ของกู ยกหูชุหางเป็นอัตตาขึ้นมาได้เลย นั้นแหละคือ อยู่นิ่งๆ.

         ทีนี้ อัฏฐังคิกมรรค ก็คือวิธีที่จะทำจิตใจให้อยู่ในสภาพที่เว่ยหลางเรียกว่า อยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในสภาพเดิมแท้ของมัน นี้ก็มีเหตุผลพอที่จะทำให้กล่าวได้ว่า ความหมายของวันอาสาฬหบูชา ก็คือวันที่พระพุทธองค์ได้ทรงประกาศวิธีที่จะทำจิตนี้ให้อยู่ในภาวะเดิมแท้ของมัน คือว่างจากกิเลส ว่างจากดการปรุงแต่งโดยประการทั้งปวง.

 

ความว่าง จิตว่าง สุญญตา นิพพาน :

เป็นภาวะที่จิตไม่ยึดมั่นอัตตา

         ทีนี้ก็จะพูดกันถึง ความว่าง หรือ จิตว่าง คำนี้มีคนมอบหมายให้อาตมา เป็นเจ้าของคำเพราะว่าเขาไม่เคยได้ยินคำว่า จิตว่าง มาแต่กาลก่อน โดยเหตุที่อาตมาเป็นคนเอามาพูด มันเป็นคำแปลกขึ้นมาในครั้งแรก เพราะเหตุที่ว่าคนทั่วไปไม่เคยสนใจในเรื่องความว่าง ในพุทธศาสนา แม้ที่เป็นอย่างเถรวาทของตัวเอง ก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเรื่อง ความว่าง หรือ สุญญตา มาเป็นต้นทุนมาแต่เดิม พอได้ยินคำว่า จิตว่าง ก็เข้าใจเอาเองว่า มันไม่มีอะไร หรือมันไม่ทำอะไร นี้พวกหนึ่ง.

         มีผู้ที่เป็นนักอภิธรรมค้านว่า จิตนี้มันอยู่ว่างๆ ไม่ได้ มันต้อมี พฤติ คือคิดนึกอยู่เสมอตามหน้าที่ของมัน นั่นแหละคือการที่แสดงให้เห็นว่า ไม่มีความรู้เรื่องความว่าง ถ้าเป็นคนที่เคยได้ศึกษาเรื่อง สุญญตา ความว่างของพระพุทธเจ้ามาพอสมควรแล้ว พอพูดว่า จิตว่าง ก็จะเข้าใจทันทีว่าหมายถึงอะไร.

         คำว่า จิตว่าง ไม่ได้หมายถึง จิตที่ไม่คิดไม่นึกอะไร มันยังคงทำหน้าที่ตามธรรมดาของจิต คือนึกคิดมีพฤติต่างๆ ตามที่จิตมันจะต้องมีหน้าที่ แต่ว่าในความคิดนึก หรือพฤติเหล่านั้น มันไม่เจืออยู่ด้วยอุปาทาน(ความยึดในอัตตา) ว่าตัวกู-ว่าของกู มันก็เพระจิตว่างไปจากตัวกู-ของกู นั่นแหละ เขาจึงได้เรียกว่า จิตว่าง  ไม่ใช่ว่าเป็นจิตที่ไม่คิดไม่นึกอะไร หรือว่าไม่รับผิดชอบอะไรหรือไม่ทำอะไร ที่แท้แล้ว จิตที่ว่างจากตัวกู-ของกูนั่นแหละมันจะทำอะไรได้ดีกว่า และทำอะไรได้มากกว่า.

         ควรจะเหลือบตามองไปยังพระพุทธเจ้า หรือว่าพระอรหันต์ทั้งหลายทั้งปวงกันเสียบ้าง ซึ่งท่านล้วนแต่มีจิตว่างจากกิเลสทั้งนั้น แต่แล้วทำไมพระพุทธเจ้าท่านจึงทำงานได้มากได้ดี พระอรหันต์ทั้งหลายก็ทำงานได้มากได้ดี ไม่ขี้เกียจเหมือนพวกนี้ ที่คอยแต่จะพูดว่า ถ้าจิตว่างเสียแล้ว มันก็ไม่ทำอะไร เพราะตัวเองมีนิสัยสันดานอย่างนั้น จึงเข้าใจอย่างนั้น มันก็ไม่ถูกต้องกันกับ เรื่องของคำว่า สุญญตา ซึ่งเป็นคำสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา จนถึงกับพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องเรียน จะต้องรู้...

         เรื่อง สุญญตา ความว่าง นั้น เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัส เพราะว่าพระพุทธเจ้าจะไม่ตรัสเรื่องใดๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสุญญตา.

         สุญญตา ก็คือ ความว่าง.

         ความว่าง คือ ว่างจากกิเลสและความทุกข์

         ถ้า จิตว่าง ก็หมายความว่า ว่างจากกิเลสและความทุกข์ ถ้าพูดให้สั้นเข้ามา ก็คือว่างจากความรู้สึกที่ (เป็นอัตตา-อัตตนิยา) คิดนึก ว่าตัวกู-ว่าของกู เพราะว่านั่นแหละคือตัวกิเลสและตัวความทุกข์.

 

ย่อคัด อาสาฬบูชา (กัณฑ์ค่ำ)

๒๘ กรกฎาคม ๒๕๑๒ ณ สวนโมกขพลาราม ไชยา

(อัตตา :        ความรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าเป็นตัวตน ที่จะกระทำทุกอย่างเพื่อสนองตอบ

ตามแต่ความพอใจ เมื่อประกอบกันเข้ากับความเห็นผิด ที่ทำให้เกิดอุปาทานว่าตัวตน ก็เกิดความเห็นแก่ตน ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งกิเลสทั้งปวง.

อัตตนิยา :     อาการสืบเนื่องจากความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวตน (อหังการ) เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ว่าเป็นของตน (มมังการ).



 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น