หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล - จิตเกิดขึ้นในจักรวาลอย่างไร

 จิตเกิดขึ้นในจักรวาลอย่างไร ** หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์

         https://youtu.be/W28wHD3lfyA?si=af8FwLcifwZLe6m-

https://youtu.be/l6G9TK_tgDA?si=AwX1IFEO75McZlU6

 

ประวัติหลวงปู่ดูลย์ อตุโล :     https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%B8%E0%B8%92%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C_(%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%8C_%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%A5)


         …หลักธรรมที่แท้จริงแล้ว ก็คือ จิต ของเรานั่นเอง...นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีหลักธรรมใดๆเลย จิตนี่แหละคือหลักธรรม สิ่งที่นอกไปจากนั้นแล้ว มันก็ไม่ใช่จิต แต่จิตนั้นโดยตัวมันเอง ก็ไม่ใช่จิต แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่ ไม่ใช่จิต.

         การที่เรากล่าวว่า ไม่ใช่จิตอย่างนี้ นั่นแหละ ย่อมหมายความถึง สิ่งบางสิ่งซึ่งมีอยู่จริง เขาจึงเรียกว่าการคิดและการอธิบายเสียหมดสิ้น นอกนั้นแล้วอาจกล่าวได้ว่า คลองแห่งคำพูดก็ได้ถูกตัดขาดไปแล้ว จิตของจิตก็ถูกเพิกถอนขึ้นสิ้นเชิงแล้ว จิตนี้คือสติอย่างนี้อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน สัตว์จึงมีความรู้สึกนึกคิดกะหลุกกะหลิกได้ทั้งหมดก็ดี คือรู้ที่จะพร้อมทั้งโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี ล้วนเป็นของแห่งธรรมชาติอันหนึ่งๆเท่านั้น ไม่มีแตกต่างกันเลย การแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากเราคิดผิดๆเท่านั้น ย่อมนำเราไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้งลี้ลับ และนอกคำพูด ความเข้าใจอันนี้เอง เราทำให้ผิดทางไป ก็ไม่มีอะไรมากมายนัก.

การเข้าใจผิดๆเหล่านี้แหละ เราพากันรับรู้ไปนอกลู่นอกทาง ความจริงจากแท้จริงก็ไม่มีอะไรมากมายนัก.

พุทธะ จิตของเรา ก็คือพุทธะ สิ่งสูงสุด มันย่อมรวมสิ่งทุกสิ่งเข้าไว้ในตัวมันทั้งหมด นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วทั้งหลาย เป็นที่สุดในเบื้องสูง ลงไปจนกระทั่งถึงสัตว์ประเภทที่ต่ำต้อยที่สุด ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานหรือเรียกว่าวิหคแมลงต่างๆจนที่สุดนี้เบื้องต่ำ สิ่งเหล่านี้จึงย่อมมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะเท่ากันหมด แล้วทุกๆสิ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันกับพุทธะนั้น.

ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ได้เป็นเป็นสิ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันกเป็นพุทธะอยู่แล้วตลอดเวลา ถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถทำความเข้าใจ ในจิตของเราเองนี้ให้สำเร็จ แล้วค้นพบธรรมชาติอันแท้จริงของเราเองได้ ด้วยความเข้าใจอันนั้นเท่านั้น มันจะเป็นจริงแน่นอนว่าไม่มีอะไรที่พวกเราจำเป็นจะต้องแสวงหาแม้แต่อย่างใดเลย.

จิตของเรานั้นถ้าเราทำความสงบดีจริงๆ เว้นขาดจากการคิดนึกซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิต แม้น้อยที่สุดเสียไม่ได้จริงๆ จิตเค้า มันจะปรากฏออกมาเป็นความว่าง แล้วเราก็จะได้พบว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ยึดติดไปจากโลก ไม่ได้กินเนื้อที่อะไรๆในที่ไหนแม้แต่จุดเดียว ไม่มีตกลงอยู่การบัญญัติว่าเป็นพวกที่มีความเป็นอยู่ หรือไม่มีความเป็นอยู่ แม้แต่ประการใดเลย ก็เลยจิตนี้เป็นสิ่งที่รู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ เพราะจิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น มันเป็นการหรือเป็นกำเนิด ซึ่งไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น หรือไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย แม้ในบางครั้งจิตจะเอะอะตอบสนองต่อสิ่งโดยรอบต่างๆนั้น มันเป็นรูปเป็นมันเองออกมา เป็นปรากฏการณ์ต่างๆ เพื่อสะดวกในการพูด เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา แม้แต่ในขณะที่มันมีการทำการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม คือไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่จิตนึกหรือสร้างสิ่งต่างๆนั้น มันจึงเป็นสิ่งที่มิอาจถูกกล่าวถึง ในการที่จะบัญญัติว่า มันเป็นความมีอยู่หรือไม่ใช่ความมีอยู่.

ยิ่งไปกว่านั้นอีก แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา ในฐานะที่ตอบสนองต่อกฏแห่งความเป็นเหตุและผล ของกันและกันนั้น มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ ตาหูจมูกลิ้นกายและมโนทวารแห่งนั้นเอง แล้วถ้าทราบความเป็นจริงข้อนี้ เราทำความสงบเงียบอยู่ ในภาวะแห่งความไม่มีอะไรในขณะนั้น พวกเรานั่งเดินอยู่แล้ว ในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยที่จริง ดังนั้นเราควรเจริญจิตซึ่งหยุดอยู่ในความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น.....

(ฟังไม่ได้ชัด อาจมีคำผิดพลาด-ผู้ถอดความ)

...ระลึกถึงสิ่งนี้...เราจึงพบ....เพียงแต่ละท่านมีความคิดที่ว่างจากสิ่งอย่างต่างๆ ล้วนแต่จะนำไปสู่การเกิดการดับอยู่ตลอดกาล และนำไปสู่ความทุกข์เดือดร้อนกาย....เราก็มีความจำเป็นที่จะต้องไปแสวงหาอันอื่น เมื่อพบดอก....คำสอนของพุทธะทั้งหมด ก็มีจุดประสงค์เพียงข้อเดียว คือพาพวกเขาข้ามพ้นเสียจากเครื่อง ภูมินึกคิด บัดนี้ถ้าได้หยุดความคิดของพวกเราได้แล้ว จะไม่เหลืออะไรคือพุทธะ อันนี้หมายความว่าเราได้ปฏิบัติจนหยุดคิดของความคิดปรุงแต่งต่างๆเสียได้…..

......ไม่มีอะไรขึ้นมาหรอกโยม แม้แต่จิตมันคิดไปตามกิเลสตัณหาต่างๆ เว้นแต่ว่างจากความคิดขึ้นไป จึงล้วนแต่จะนำไปสู่การเกิดการดับอยู่ตลอดกาล จะนำไปสู่ความทุกข์เดือดร้อนแก่คนทั้งโลกแค่นั้น เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีการเกิดดับเกิดขึ้นกับอะไร ทั้งหลายในชีวิตเลย.

ผู้ฟัง:   ขอถามสักนิดว่า จิตเกิดขึ้นในจักรวาลนี้ได้อย่างไร?

หลวงปู่ดูลย์:   จิตเกิดขึ้นในจักรวาล? สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต มันก็อยู่ในจักรวาลนี้ ซึ่งก็ล้วนแล้วมีแต่รูปกับนามเท่านั้นเอง.

ผู้ฟัง:   ก่อนที่จิตจะมาจับเกิดรูปนี่แหละครับ จิตมายังไงครับ?

หลวงปู่ดูลย์: นามเดิมก็คือความว่างของกลาง เข้าคู่กัน เป็นเหตุให้เกิดตัวอวิชชา เป็นเหตุก่อ ที่ไหนมีรูปที่นั้นต้องมีนาม ที่ไหนมีนามที่นั้นต้องมีรูป รูป-นามรวมกันเป็นเหตุปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงหลายประการ เป็นเหตุให้เกิดกาลเวลาขึ้น ที่รูปยังมีการดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปขยายได้ต่อเมื่อนามก่อร่างการครองรูป รูปเคลื่อนไหวได้ เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ ของทุกสิ่งของวัตถุสสาร มีชีวิตและไม่มีชีวิต จึงต้องเปลี่ยนแปลงเป็นไตรลักษณ์ เกิดดับสืบต่อทุกขณะจิต ทีนี้เราหมกหมุ่นให้คงทนเป็นปัจจุบัน เป็นจิตปัจจุบันจึงรับได้ จิตก็เกิดมาจากรูป-นามของจักรวาล เมื่อเกิดเช่นนี้จิต จิตก็เกิดมาจากรูป-นามของจักรวาลนั่นเอง.

         (ขอจบเพียงแค่นี้ในเทปบันทึก - เพราะคำถามต่อไป เป็นเรื่องการปฏิบัติสมาธิ และเสียงไม่ชัด...ในทีนี้-ศึกษาแค่ เรื่องของ”จิต”)    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น