จิตเกิดขึ้นในจักรวาลอย่างไร ** หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
https://youtu.be/W28wHD3lfyA?si=af8FwLcifwZLe6m-
https://youtu.be/l6G9TK_tgDA?si=AwX1IFEO75McZlU6
…หลักธรรมที่แท้จริงแล้ว ก็คือ จิต ของเรานั่นเอง...นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีหลักธรรมใดๆเลย จิตนี่แหละคือหลักธรรม สิ่งที่นอกไปจากนั้นแล้ว มันก็ไม่ใช่จิต แต่จิตนั้นโดยตัวมันเอง ก็ไม่ใช่จิต แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่ ไม่ใช่จิต.
การที่เรากล่าวว่า
ไม่ใช่จิตอย่างนี้ นั่นแหละ ย่อมหมายความถึง สิ่งบางสิ่งซึ่งมีอยู่จริง
เขาจึงเรียกว่าการคิดและการอธิบายเสียหมดสิ้น นอกนั้นแล้วอาจกล่าวได้ว่า คลองแห่งคำพูดก็ได้ถูกตัดขาดไปแล้ว
จิตของจิตก็ถูกเพิกถอนขึ้นสิ้นเชิงแล้ว จิตนี้คือสติอย่างนี้อันบริสุทธิ์
ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน สัตว์จึงมีความรู้สึกนึกคิดกะหลุกกะหลิกได้ทั้งหมดก็ดี
คือรู้ที่จะพร้อมทั้งโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี
ล้วนเป็นของแห่งธรรมชาติอันหนึ่งๆเท่านั้น ไม่มีแตกต่างกันเลย การแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากเราคิดผิดๆเท่านั้น
ย่อมนำเราไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้งลี้ลับ และนอกคำพูด ความเข้าใจอันนี้เอง
เราทำให้ผิดทางไป ก็ไม่มีอะไรมากมายนัก.
การเข้าใจผิดๆเหล่านี้แหละ
เราพากันรับรู้ไปนอกลู่นอกทาง ความจริงจากแท้จริงก็ไม่มีอะไรมากมายนัก.
พุทธะ จิตของเรา ก็คือพุทธะ สิ่งสูงสุด
มันย่อมรวมสิ่งทุกสิ่งเข้าไว้ในตัวมันทั้งหมด
นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วทั้งหลาย เป็นที่สุดในเบื้องสูง ลงไปจนกระทั่งถึงสัตว์ประเภทที่ต่ำต้อยที่สุด
ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานหรือเรียกว่าวิหคแมลงต่างๆจนที่สุดนี้เบื้องต่ำ
สิ่งเหล่านี้จึงย่อมมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะเท่ากันหมด แล้วทุกๆสิ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันกับพุทธะนั้น.
ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
ได้เป็นเป็นสิ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันกเป็นพุทธะอยู่แล้วตลอดเวลา
ถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถทำความเข้าใจ ในจิตของเราเองนี้ให้สำเร็จ
แล้วค้นพบธรรมชาติอันแท้จริงของเราเองได้ ด้วยความเข้าใจอันนั้นเท่านั้น มันจะเป็นจริงแน่นอนว่าไม่มีอะไรที่พวกเราจำเป็นจะต้องแสวงหาแม้แต่อย่างใดเลย.
จิตของเรานั้นถ้าเราทำความสงบดีจริงๆ
เว้นขาดจากการคิดนึกซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิต แม้น้อยที่สุดเสียไม่ได้จริงๆ
จิตเค้า มันจะปรากฏออกมาเป็นความว่าง
แล้วเราก็จะได้พบว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ยึดติดไปจากโลก
ไม่ได้กินเนื้อที่อะไรๆในที่ไหนแม้แต่จุดเดียว ไม่มีตกลงอยู่การบัญญัติว่าเป็นพวกที่มีความเป็นอยู่
หรือไม่มีความเป็นอยู่ แม้แต่ประการใดเลย ก็เลยจิตนี้เป็นสิ่งที่รู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ
เพราะจิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น มันเป็นการหรือเป็นกำเนิด
ซึ่งไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น หรือไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย แม้ในบางครั้งจิตจะเอะอะตอบสนองต่อสิ่งโดยรอบต่างๆนั้น
มันเป็นรูปเป็นมันเองออกมา เป็นปรากฏการณ์ต่างๆ เพื่อสะดวกในการพูด
เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา แม้แต่ในขณะที่มันมีการทำการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม
คือไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่จิตนึกหรือสร้างสิ่งต่างๆนั้น มันจึงเป็นสิ่งที่มิอาจถูกกล่าวถึง
ในการที่จะบัญญัติว่า มันเป็นความมีอยู่หรือไม่ใช่ความมีอยู่.
ยิ่งไปกว่านั้นอีก
แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา ในฐานะที่ตอบสนองต่อกฏแห่งความเป็นเหตุและผล
ของกันและกันนั้น มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ ตาหูจมูกลิ้นกายและมโนทวารแห่งนั้นเอง
แล้วถ้าทราบความเป็นจริงข้อนี้ เราทำความสงบเงียบอยู่
ในภาวะแห่งความไม่มีอะไรในขณะนั้น พวกเรานั่งเดินอยู่แล้ว ในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยที่จริง
ดังนั้นเราควรเจริญจิตซึ่งหยุดอยู่ในความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น.....
(ฟังไม่ได้ชัด
อาจมีคำผิดพลาด-ผู้ถอดความ)
...ระลึกถึงสิ่งนี้...เราจึงพบ....เพียงแต่ละท่านมีความคิดที่ว่างจากสิ่งอย่างต่างๆ
ล้วนแต่จะนำไปสู่การเกิดการดับอยู่ตลอดกาล และนำไปสู่ความทุกข์เดือดร้อนกาย....เราก็มีความจำเป็นที่จะต้องไปแสวงหาอันอื่น
เมื่อพบดอก....คำสอนของพุทธะทั้งหมด ก็มีจุดประสงค์เพียงข้อเดียว คือพาพวกเขาข้ามพ้นเสียจากเครื่อง
ภูมินึกคิด บัดนี้ถ้าได้หยุดความคิดของพวกเราได้แล้ว จะไม่เหลืออะไรคือพุทธะ อันนี้หมายความว่าเราได้ปฏิบัติจนหยุดคิดของความคิดปรุงแต่งต่างๆเสียได้…..
......ไม่มีอะไรขึ้นมาหรอกโยม แม้แต่จิตมันคิดไปตามกิเลสตัณหาต่างๆ
เว้นแต่ว่างจากความคิดขึ้นไป จึงล้วนแต่จะนำไปสู่การเกิดการดับอยู่ตลอดกาล จะนำไปสู่ความทุกข์เดือดร้อนแก่คนทั้งโลกแค่นั้น
เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีการเกิดดับเกิดขึ้นกับอะไร ทั้งหลายในชีวิตเลย.
ผู้ฟัง: ขอถามสักนิดว่า
จิตเกิดขึ้นในจักรวาลนี้ได้อย่างไร?
หลวงปู่ดูลย์: จิตเกิดขึ้นในจักรวาล?
สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต มันก็อยู่ในจักรวาลนี้ ซึ่งก็ล้วนแล้วมีแต่รูปกับนามเท่านั้นเอง.
ผู้ฟัง: ก่อนที่จิตจะมาจับเกิดรูปนี่แหละครับ
จิตมายังไงครับ?
หลวงปู่ดูลย์: นามเดิมก็คือความว่างของกลาง
เข้าคู่กัน เป็นเหตุให้เกิดตัวอวิชชา เป็นเหตุก่อ ที่ไหนมีรูปที่นั้นต้องมีนาม
ที่ไหนมีนามที่นั้นต้องมีรูป รูป-นามรวมกันเป็นเหตุปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงหลายประการ
เป็นเหตุให้เกิดกาลเวลาขึ้น ที่รูปยังมีการดึงดูดซึ่งกันและกัน
จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปขยายได้ต่อเมื่อนามก่อร่างการครองรูป
รูปเคลื่อนไหวได้ เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ ของทุกสิ่งของวัตถุสสาร
มีชีวิตและไม่มีชีวิต จึงต้องเปลี่ยนแปลงเป็นไตรลักษณ์ เกิดดับสืบต่อทุกขณะจิต
ทีนี้เราหมกหมุ่นให้คงทนเป็นปัจจุบัน เป็นจิตปัจจุบันจึงรับได้ จิตก็เกิดมาจากรูป-นามของจักรวาล
เมื่อเกิดเช่นนี้จิต จิตก็เกิดมาจากรูป-นามของจักรวาลนั่นเอง.
(ขอจบเพียงแค่นี้ในเทปบันทึก
- เพราะคำถามต่อไป เป็นเรื่องการปฏิบัติสมาธิ และเสียงไม่ชัด...ในทีนี้-ศึกษาแค่
เรื่องของ”จิต”)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น