โลกข้างใน, โลกข้างนอก - ตอนที่ 1 -
อากาศ
Inner Worlds, Outer
Worlds - Part 1 – Akasha
ช่องรายการ(channel)ของ AwakenTheWorldFilm และการสร้างสรรค์Awaken
the World ดำเนินโดย ดานีล ชมิดท์(Daneil Schmidt)และ ทันยา มาหาร์(Tanya Mahar).
สามารถติดตามพวกเขาได้ทางFacebookที่ www.facebook.com/awakentheworldfilm และwebsite1ที่ข้างบนนี้.
การจะเห็นโลกในเม็ดของทราย
และสวรรค์ในดอกไม้ป่า,
จงกุมความไม่มีสิ้นสุดในฝ่ามือของเจ้า
และการไร้กาลเวลาไว้ในปัจจุบัน.
-
วิลเลียม เบลค(William Blake2)
2 https://www.poetryfoundation.org/poets/william-blake
ในตอนเริ่มต้นนั้นคือ
“ธรรม”(the Logos3 - วิชชา/กฎจักรวาล),
มหาภาส(the Big Bang4), ปฐมโอม(the
primordial Om).
4 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%87
ทฤษฎีBig Bangบอกว่า เอกภพกายภาพ(the physical universe)หมุนเป็นเกลียว/ก้นหอยออกมาจากจุดหนึ่งเดียวที่ร้อนและข้นแน่นสัมบูรณ์สุดที่ไม่สามารถจินตนการได้(spiraled
out of unimaginably hot and dense single point)ที่เรียกว่า เอกภาวะ(a
singularity) - มีขนาดที่เล็กกว่าหนึ่งหัวเข็มหมุดหลายพันล้านเท่า (billions
of times smaller than the head of a pin).
มันไม่ได้บอกว่า ทำไม( why) หรือ อย่างไร?(how). ยิ่งบางอย่างที่ลี้ลับขึ้นไปอีก(the more mysterious something
is), เราก็ยิ่งทึกทักเอาว่า(the more we take for granted
that)เราเข้าใจมัน(understand it).
มันถูกคิดว่าในที่สุดกราวิทัต(gravity5 – ความโน้มถ่วง)ก็น่าจะทำให้การขยายตัวช้าลง(would
slow the expansion)หรือทำให้เอกภพหดตัวลง(contract a
universe)ในการเคี้ยวบดมหึมาหนึ่ง(in a big crunch).
5 https://spaceth.co/gravitational-problem/
อย่างไรก็ตาม,
ภาพทั้งหลายจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล(images from the Hubble space
telescope)แสดงถึงการขยายตัวของเอกภพ(the universe’s
expansion)ดูเหมือนว่าที่จริง
แล้วกำลังเป็นที่เร่งความเร็วขึ้น(seems
to be actually accelerating). กำลังแผ่ขยายยืดออก(expanding)เร็วขึ้นและเร็วขึ้น(faster and faster)ขณะที่มันเจริญเจริญเติบโตออกมาจากมหาภาส(grow
out of the Big Bang). ด้วยวิธีใดก็ตาม(somehow), ได้มีมวลมากยิ่งขึ้นในเอกภพ(more mass in the universe)เกินกว่านักฟิสิกส์ทั้งหลายจะคาดคะเนได้(than physics predicted).
ในการที่จะอธิบายถึงมวลที่หายไป(the missing mass), นักฟิสิกส์ทั้งหลายในตอนนี้บอกว่าเอกภพนั้น(the universe)ประกอบด้วยเพียงแค่ 4% ของสสารอะตอม(atomic matter), หรืออะไรที่เราพิจารณาว่าเป็น สสารปกติ (normal matter).
23% ของเอกภพ(the
universe)นั้นเป็นสสารมืด(dark matter)และ
73% เป็นพลังงาน-มืด(dark-energy) - อะไรที่ก่อนหน้านั้นเราคิดว่าเป็นเช่น อวกาศว่างเปล่า(empty
space).
มันเหมือนกับระบบประสาทที่มองไม่เห็น(like an invisible nervous system)ที่วิ่งผ่านไปทั่วเอกภพ(that runs throughout the universe)เชื่อมต่อกับทุกสรรพสิ่ง(connecting to all things).
คุรุของคัมภีร์พระเวทโบราณ(the
ancient Vedic teachers)สอนถึง นาฏ พรหมา(Nada Brahma), เอกภพคือการร่ายรำ/สั่นกังวาน(the universe is vibration).
สนามพลังที่สั่นกังวานนี้(the
vibratory field)อยู่ที่รากของประสบการรับรู้แห่งสัจจิตวิญญาณทั้งปวง(is
at the root of all true spiritual experiences)และการสำรวจสืบสวนเชิงวิทยาศาสตร์(scientific
investigation).
เป็นสนามเดียวกันของพลังงาน(the
same field of energy)ที่นักบุญทั้งหลาย(that saints), พุทธะทั้งหลาย(Buddhas), โยคีทั้งหลาย(yogis), ผู้เรืองเวทย์ทั้งหลาย(mystics),
นักบวช/พระทั้งหลาย(priests), คนทรง/หมอผีทั้งหลาย(shamans)และโหราจารย์ทั้งหลาย(seers)ได้สังเกตตรวจดู(observed)โดยการมองเข้าไปข้างในตนเอง(by looking within themselves).
มันถูกเรียกว่า อากาศ(Agasha), ปฐม โอม(the primordial Om). ตาข่ายฟ้า/อัญมณีแห่งพระอินทร์(Indra’s
net of jewels), ดนตรีแห่งมณฑลจักรวาลทั้งหลาย(the
music of the spheres), และนามอื่นนับพันที่ผ่านประวัติศาสตร์มา(a
thousand other names throughout history).
มันคือรากเหง้าทั่วไป(common
root)ของศาสนาทั้งหมด(of all religious),
และตัวเชื่อมโยง
บทที่ 1 อากาศ(Agasha)
ในนิกายมหายานของศาสนาพุทธ(Mahayana
Buddhism)ในศตวรรษที่สาม(the third century),
พวกเขาได้อธิบายถึงเอกภพวิทยา/จักรวาลวิทยา(cosmology)ไม่เหมือนวิชาฟิสิกส์ส่วนใหญ่ในยุคสมัยใหม่ตอนนี้(unlike
the most advanced physics of modern day).
ตาข่ายฟ้า/อัญมณีของพระอินทร์(Indra’s
net of jewels)คือคำอุปมา(a metaphor)ที่เคยใช้อธิบายในคำสอนอย่างมากที่เก่าแก่กว่าในคัมภีร์พระเวท(used
to describe a much older Vedic teaching)ที่แสดงตัวอย่างในวิธีของผืนเอกภพซึ่งถูกถักเข้าด้วยกัน(illustrates
the way the fabric universe is woven together).
พระอินทร์(Indra), ราชาแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย(the king of the gods),
ได้ให้กำเนิดต่อดวงอาทิตย์(gave birth to the
sun). และเคลื่อนย้ายไปสู่ลมทั้งหลาย(the winds)และน้ำทั้งหลาย(the waters).
ลองจินตนาการถึงใยแมงมุม(imagine
a spider web)ที่แผ่ขยายออกไปในมิติทั้งหมด(extends into all
dimensions).
ใยนั้น(the web)ถูกทำขึ้นด้วยหยดน้ำค้างทั้งหลาย(made of dew drops)และทุกหยดบรรจุไว้ด้วยเงาสะท้อนของหยดน้ำอื่นทั้งหมด(every
drop contains the reflection of all the other water drops),
และในแต่ละหยดน้ำค้างที่มีเงาสะท้อนนั้น(in each reflected dew drop)คุณก็จะพบเงาสะท้อนทั้งหลายของหยดน้ำอื่นทั้งหมดนั้น(the
reflections of all the other droplets).
ใยทั้งปวงนั้น(the
entire web), ในเงาสะท้อนนั้น(that reflection)และอื่นๆ(and
so on), ไปจนถึงไร้ที่สิ้นสุด(to infinity).
ใยของพระอินทร์(Indra’s
web)สามารถถูกอธิบายได้ว่าเป็นเอกภพโฮโลกราฟิค(a
holographic6
universe - จักรวาลเยี่ยงภาพโฮโลแกรม),
ที่ซึ่งกระทั่งสายธารเล็กที่สุดของแสง(the
smallest
stream of light)บรรจุไว้ด้วยแบบลายสมบูรณ์สิ้นของทั้งปวงทั้งหมด(the
complete pattern of the whole).
นักวิทยาศาสตร์เชื้อสายเซอร์เบีย-อเมริกัน, นิโคลา เทสลา(Nicola Tesla), ในบางครั้งถูกอ้าง
อิงถึงว่าเป็นผู้ได้ประดิษฐ์สร้างศตวรรษที่ 20(who invented the 20th century).
เทสลาเป็นผู้รับผิดชอบ(was
responsible)สำหรับการค้นพบ(discovering)กระแสไฟฟ้าสลับ
(alternating current electricity)และการสร้างสรรค์อื่นๆอีกมากมาย(many
other creations)ที่ตอนนี้เนส่วนหนึ่งของชีวิตในทุกวัน(are
now part of everyday-life).
เพราะความสนใจของเขาในจารีตธรรมเนียมทั้งหลายของพระเวทโบราณthe
ancient Vedic traditions), เทสลาอยู่ในตำแหน่งโดดเด่นเป็นเอกเทศ(a
unique position)ในการที่จะเข้าใจวิทยาศาสตร์(to
understand science)ผ่านทั้งสองแบบจำลองของตะวันออกและตะวันตก(through
both eastern and western model).
เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ยิ่งใหญ่ทั้งหมด(like
all great scientists), เทสลามองอย่างลึกเข้าไปในความลี้ลับทั้งหลายของโลกข้างนอก(look
deeply into the mysteries of the outer world),
เหมือนกันกับโยคีโบราณทั้งหลาย(like
the ancient yogis, เทสลาใช้คำศัพท์อากาศ(the
term Agasha)ในการที่จะอธิบายสนามพลังชีวิต(the
etheric7 field), ว่าแผ่ขยายผ่านทะลุไปในทุกสรรพสิ่งทั้งหมด(that expands
throughout all things).
7 https://astromagick.com/2020/08/20/etheric/
8 https://en.wikipedia.org/wiki/Swami_Vivekananda
คำสอนโบราณทั้งหลายของอินเดียมาสู่โลกตะวันตก(the ancient teachings of India to west).
ในคำสอนทั้งหลายของพระเวท(the
Vedic teachings), อากาศ(Agasha)ก็คือ อวกาศ(space
– เทศะ/ที่ว่าง)ในตัวมันเอง(itself); ที่ว่าง(the space)ที่ธาตุ/ปัจจัยอื่นทั้งหลาย(the
other elements)เติมเต็มอยู่(fill),
ซึ่งดำรงอยู่(exists)อย่างเกิดขึ้นพร้อมกันด้วยการสั่นกังวานนั้น(simultaneously
with vibration).
ทั้งสองนั้นไม่สามารถแยกจากกันได้(inseparable).
อากาศ(Agasha)คือ หยิน(yin), และ ปราณคือ หยาง(Agasha
is yin the pranas’s yang).
9 https://en.wikipedia.org/wiki/Benoit_Mandelbrot
ทำการศึกษาสมการคณิตศาสตร์อย่างง่ายชัดเจนทั้งหลายว่า(studied certain simple mathematic equations that), เมื่อพวกเขาได้ทำซ้ำ(are repeated), ผลิตสร้าง(produce)จัดเรียงแถวอันไร้ที่สิ้นสุดของรูปทรงที่ทำการเปลี่ยนแปลงของคณิตศาสตร์หรือเรขาคณิต(an unending array of changing mathematical and geometrical forms)ภายในโครงข่ายอันถูกจำกัด(within a limited framework).
พวกเขาถูกจำกัด(they are limited), แต่ในเวลาเดียวกัน(the same time), ไร้ที่สิ้นสุด(infinite).
รูปวัตถุเชิงเรขาคณิต(a
fractal10)เป็นรูปร่างทางเรขาคณิตอย่างหยาบ(a rough
geometric shape)ที่สามารถถูกแบ่งแยกออกไปเป็นส่วนๆ(can be
split into parts), แต่ละอันที่สำเนาลดขนาดลงของแบบลวดลายทั้งปวง(each
of which is approximately a reduced sized copy of the whole pattern), คุณสมบัติที่เรียกว่า ความคล้ายตนเอง(self similarity11).
รูปวัตถุเชิงเรขาคณิตทั้งหลายของ แมนเดลบร็อท(Mandelbrot’s fractals)ได้ถูกเรียกว่า ลายนิ้วหัวแม่มือของพระเจ้า(the thumbprint of God).
คุณกำลังมองงานศิลปะที่ผลิดสร้างขึ้นมาโดย ธรรมชาติ เอง(you are seeing artwork generated by nature itself).
ถ้าคุณพลิกหันรูปลักษณ์แมนเดลบบ็อท(figure)ในวิธีที่ถูกต้องแล้ว(a certain way),
มันจะดูเหมือนกับเทพเจ้าของฮินดู(a Hindu deity)หรือ
พระพุทธเจ้า(Buddha).
รูปลักษณ์นี้(this
figure)ได้ถูกใช้เป็นคำศัพท์(termed)ว่ารูปลักษณ์
“พุทธะบร็อท” (Buddhabrot).
สัมพันธ์ซับซ้อนไร้ที่สิ้นสุด(infinitely complex), กระนั้นแล้ว, ทุกส่วนก็บรรจุไว้ด้วยเมล็ดพันธุ์(every part contains the seed)ที่จะสร้างสรรค์ขึ้นอีกเป็นทั้งปวง(to recreate the whole).
รูปวัตถุเชิงเรขาคณิตทั้งหลายนี้(fractals)ได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติของนักคณิตศาสตร์ทั้งหลายที่มีต่อเอกภพ(have changed mathematicians’ views of the universe)และที่มันปฏิบัติการอย่างไร(and how it operates).
กับแต่ละระดับใหม่ของการเพิ่มขยายขนาดขึ้น(with
each new level of magnification), มีความแตกต่างทั้งหลายจากต้นกำเนิดดั้งเดิม(are
differences from the original).
การเปลี่ยนแปลงอย่างคงที่สม่ำเสมอ(constant
change)และการเปลี่ยนรูปบังเกิดปรากฏ(transformation occurs)ขณะที่เราเดินข้าม(as we traverse)จากระดับของรายละเอียดของรูปวัตถุเชิงเรขาคณิตหนึ่ง(from
one level of fractal detail)ไปยังอื่นอีก(to another).
การเปลี่ยนรูปนี้(transformation)เป็น เอกภพเวียน(cosmic spiral12 – เอกภพลักษณะก้นหอย). เชาวน์ปัญญาที่ถูกฝังลึก(the
embedded intelligence)แห่ง บ่อเกิด/แม่พิมพ์ ของ กาลเทศะ/เวลาและที่ว่าง(of
the matrix of time space).
รูปวัตถุเชิงเรขาคณิตทั้งหลาย(fractals)เป็นความอลหม่านสับสนอย่างเนื้อแท้(inherently chaotic) - เต็มไปด้วยของ เสียงและคำบัญชา(full of noise and order).
เมื่อจิตของเราทั้งหลาย(our
minds)จดจำได้(recognize)หรือแยกแยะแบบลาย(define
a pattern), เราเพ่งอยู่กับมัน(focus
on it)ราวกับว่ามันเป็นสิ่งหนึ่ง(as if it is a thing).
เราพยายามจะค้นหาแบบลายนั้น(try to
find the pattern)ที่เราเห็นว่างดงาม(see as beautiful), แต่ในการที่จะยึดกุมแบบลายทั้งหลายนั้นเอาไว้ในจิตของเรา(to
hold the patterns in our minds), เอาต้องผลักไสที่เหลือของรูปวัตถุเชิงเรขาคณิตนั้นออกไป(must
push away the rest of the fractal).
การที่จะเข้าใจถึงรูปวัตถุเชิงเรขาคณิตด้วยประสามสัมผัสทั้งหลาย(to
comprehend a fractal with the senses)คือการที่จะจำกัดการเคลื่อนไหวของมัน(is
to limit its movement).
พลังงานทั้งหมดในเอกภพนั้นมีสภาวะเป็นกลาง(all
energy in the universe is neutral13).
13https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%99
ไร้กาลเวลา(timeless), ไร้มิติ(dimensionless).
ความสามารถในการสร้างสรรค์(creativity)และความสามารถที่จะรับได้(capacityของเราเองสำหรับการรู้จำแบบลาย(for
pattern recognition), คือสิ่งเชื่อมโยง(the link)ระหว่าง จุลจักรวาล(microcosm14)และมหจักรวาล(macrocosm14).
การเปรียบเทียบ Microcosm-macrocosm มุมมองที่มีความคล้ายคลึงกันทางโครงสร้างระหว่างมนุษย์กับจักรวาล
- https://th.wikiadam.com/471145-microcosm-VLRQWP
14 https://en.wikipedia.org/wiki/Microcosm%E2%80%93macrocosm_analogy
โลกไร้กาลเวลาของคลื่นทั้งหลาย(the timeless world of waves)และโลกวัตถุของสิ่งทั้งหลาย(and the solid world of things).
การสังเกตการณ์(observation)คือการกระทำของการสร้างสรรค์ผ่านข้อจำกัดทั้งหลาย(an act of
creation through limitations)โดยปกติวิสัยในการคิด(inherent
in thinking).
เรากำลังสร้างมายาภาพของสิ่งคงรูป(creating
the illusion of solidity), ของสรรพสิ่ง(of things)โดยประทับตรา(by labelling), ตั้งชื่อ(by
naming).
นักปรัชญาเซอร์เอิน โอปือ เคียร์เกอกอร์ (Kierkegaard15)บอกว่า, “ถ้าเจ้าตั้งชื่อข้า, เจ้าปฏิเสธข้า.”
(“if you
name me, you negate me.” โดยการให้ข้าด้วย ชื่อ(a
name), ตรา(a label), เจ้าปฏิเสธสรรพสิ่งอื่นทั้งหมดที่ข้าสามารถเป็นได้(you
negate all the other things I could
possibly be).
คุณทำให้อนุภาคนั้นติดแน่นให้กลายเป็นสิ่งหนึ่ง(lock
the particle into being a thing)ด้วยการปักหมุดมันลง(by
pinning it down, ตั้งชื่อมัน(naming it),
แต่ในเวลาเดียวกันคุณก็กำลังสร้างสรรค์มัน(are creating it),
กำหนดนิยามมันให้ดำรงอยู่(defining it to exist).
ความสามารถในการสร้างสรรค์(creativity)คือธรรมชาติสูงสุดของเรา(is our highest nature).
ด้วยการสร้างสรรค์สิ่งทั้งหลายก็มาถึงเวลา(with
the creation of things comes time),
ที่ซึ่งเป็นอะไรก็การสร้างสรรค์ มายาภาพ ของ สิ่งคงรูป(is what
creates the illusion of solidity).
ไอน์สไตน์(Einstein16)เป็นนักวิทยาศาสตร์รายแรก(the
first scientist)ที่ตระหนักรู้(to realize)ว่าอะไรที่เราคิดว่าเป็นอวกาศที่ว่างเปล่า(as
empty space)ไม่ใช่ไม่มีอะไร(is not nothing),
16 https://en.wikipedia.org/wiki/Albert_Einstein
มันมีคุณสมบัติทั้งหลาย(it has
properties), และเนื้อแท้ที่อยู่ภายใน(intrinsic)กับธรรมชาติของอวกาศ(to the nature of space)เป็นเกือบจะปริมาณจำนวนที่หยั่งลึกไม่ได้ของพลังงาน(nearly
unfathomable amounts of energy).
นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงเกียรติคุณ
ริชาร์ด ไฟย์นแมนฺ(Richard Feynman17)ครั้งหนึ่งเคยพูดไว้ว่า,
“มีพลังงานอยู่เพียงพอในลูกบาศก์เมตรเดียวของอวกาศ(a
single cubic meter of space)ที่จะ
17 https://en.wikipedia.org/wiki/Richard_Feynman
ต้มน้ำมหาสมุทร์ทั้งหมดของโลกนี้ได้(to boil all oceans in the world).”
นักปฏิบัติสมาธิระดับก้าวหน้าทั้งหลาย(advanced
meditators)รู้ว่าในความสงบนิ่งนั้น(in the stillness)ทอดวางพลังอันยิ่งใหญ่อยู่(lies the greatest power).
พระพุทธเจ้า(Buddha)ได้ใช่คำศัพท์อีกอันหนึ่ง(another term)สำหรับปฐมสสารนี้(primary
substance); อะไรที่พระองค์เรียกว่า กลาป18(kalapas
- รูปที่เกิดพร้อมกัน
และอาศัยกันเกิดขึ้นหลายรูปรวมกันเป็น ๑ กลุ่มเล็ก ๆซึ่งแยกออกจากกันไม่ได้เลย),
ที่เป็นเหมือนอนุภาคจิ๋วทั้งหลาย(tiny
Particles)หรือ ละลอกคลื่นเล็กๆ(wavelets19)ซึ่งเกิดขึ้น(arising)และดับลงไปล้านล้านล้านครั้งต่อวินาที(passing away trillions
times per second).
19 https://en.wikipedia.org/wiki/Wavelet
19 https://ichi.pro/th/wef-let-thrans-fxrm-257078092200756
ความเป็นจริง(reality)คือ, ในความหมายนี้(in this sense),
เหมือนชุดต่อเนื่องของกรอบภาพ(a series of frames)ในล้องถ่ายรูปฟิล์มโฮโลกราฟฟิค(in
a holographic film camera)เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว(moving
quickly)สำหรับที่จะสร้างสรรค์มายาภาพ (as to create
the illusion)ของ สันตติ(of continuity - ความสืบเนื่อง).
เมื่อจิตสำนึก(consciousness
– สติสัมปชัญญะ)กลายไปสู่อาการสงบนิ่งอย่างสมบูรณ์(perfectly
still), มายาภาพนั้น(the illusion)นั้นถูกเข้าใจ(is
understood), เพราะว่ามันเป็นจิตสำนึกนั้นเองที่ขับเคลื่อนมายาภาพนั้น(it
is consciousness itself that drives the illusion).
ในจารีตธรรมเนียมโบราณทั้งหลาย(the
ancient traditions)ของตะวันออก(the East),
เป็นที่ถูกเข้าใจกันมาหลายพันปีแล้วว่าทั้งหมดนี้ คือการสั่นกังวานนั้น(all
is vibration).
“นาฏ พรหมา”(nada
Brahma) – เอกภพ คือ เสียง(the universe is sound).
คำว่า “นาฏ”(nada) หมายถึง เสียง(sound) หรือ การสั่นสะเทือนกังวาน(vibration).
และ “พรหมา”(Brahma) คือชื่อสำหรับ พระเจ้า(the name for God).
“พรหม”อย่างพ้องพร้อมไปด้วยกันเป็นทั้งเอกภพ(IS the
universe)และเป็นพระผู้สร้าง(IS the creator).
ศิลปิน(the artist)และศิลปะ(the art)ที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้(inseparable).
ในคัมภีร์อุปนิษัท(Upanishads), หนึ่งในคัมภีร์ของมนุษย์เก่าแก่ที่สุด(the oldest human records)ของอินเดียโบราณ, บอกไว้ว่า “พรหม พระผู้สร้าง,
ประทับนั่งอยู่บนดอกบัว(Brahma the creator, sitting on a lotus), เปิดพระเนตรของพระองค์และโลกก็มาบังเกิดมีขึ้น(opens
his eyes and a world comes into being), “พรหมปิดพระเนตรลง, โลกก็ออกไปจากการมีอยู่นั้น(Brahma
closes his eyes, and a world goes out of being).”
ผู้มีเวทย์มนต์โบราณทั้งหลาย(ancient
mystics), โยคี(yogis)และ ฤษี(seers)ได้ทรงไว้อยู่ตลอดมา(have maintained)ว่า
มีสนามพลังที่ระดับรากของจิตสำนึก(there is a field at the root
level of consciousness).
สนามพลังอากาศ(the
Akashic field)หรือ คัมภีร์ทั้งหลายของอากาศ(the
Akashic records), ที่ซึ่งข้อมูลทั้งหมด(all information), ประสบการณ์รับรู้ทั้งหมด(all experience past)ใน อดีต(past), ปัจจุบัน(present)และ อนาคต(future), ดำรงอยู่ในตอนนี้และเสมอไป(exists now and always).
มันคือสนามพลังนี้(this
field)หรือ บ่อเกิดแม่พิมพ์(matrix)จากซึ่งสิ่งทั้งหมดที่บังเกิดขึ้น(from
which all things arise).
จากอนุภาคย่อยของอะตอมทั้งหลาย(from
sub-atomic particles20), ไปถึง กาแล๊กซี่ทั้งหลาย(to
galaxies), ดวงดาว(stars), ดาวเคราะห์(planets)และชีวิตทั้งหมด(all life).
คุณไม่เคยเห็นอะไรอื่นใดในความสัมบูรณ์สุดของมัน(in its totality)เพราะว่ามันถูกสร้างขึ้นด้วยเปลือกชั้นทับเหนือเปลือกชั้นของ การสั่นกังวาน(is made up of layer upon layer of vibration)และมันเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างคงที่สม่ำเสมอ(constantly changing), แลกเปลี่ยนข้อมูลทั้งหลายกันในระหว่างอากาศ(exchanging information with Agasha).
โลกของพลังงานเคลื่อนไหวเข้าและออก(a world of energy moves in and out)ของสิ่งนี้ที่เราเรียกว่า ต้นไม้(of this thing we call a tree).
เมื่อจิตที่กำลังคิดนั้นอยู่นิ่งสงบ(the
thinking mind is still), แล้วคุณก็เห็นความเป็นจริงดังที่มันเป็น(then
you see reality as it is). รูปลักษณ์ทั้งหมดอยู่ด้วยกัน(all
aspects together).
ต้นไม้(the tree)และท้องฟ้า(the
sky)และโลก(the earth), ฝน(the rain)และดวงดาว(the stars)ไม่ได้แยกออกจากกัน(is
not separate).
ชีวิต(life)และความตาย(death), ตนเอง(self)และผู้อื่น(other)ม่ได้แยกจากกัน(are not separate).
เช่นเดียวกับภูเขาและหุบเขา(just as
mountain and valley)ที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้(are
inseparable).
ในชนอเมริกันพื้นเมือง(in the
native American)และจารีตธรรมเนียมอื่นทั้งหลายของชนพื้นเมือง(other
indigenous traditions), ได้ถูกพูดกันว่าทุกสิ่งมีจิตวิญญาณ(every
thing has spirit)ที่ซึ่งเป็นอีกวิธีง่ายๆหนึ่งของการพูด(which
is simply another way of saying)ว่า ทุกสรรพสิ่ง(everything)ถูกติดต่อเข้ากับ(is connected to)หนึ่งแหล่งกำเนิดที่สั่นสะเทือนกังวาน(the
one vibratory source).
มีหนึ่ง จิตสำนึก(one consciousness), หนึ่งสนาม(one field), หนึ่งพลัง(one
force)ที่เคลื่อนไหวผ่านทั้งหมด(that moves through all).
สนามพลังนี้(this
field)ไม่ได้กำลังบังเกิดขึ้นรอบคุณ(is not happening
around you), มันกำลังบังเกิดขึ้นผ่านทะลุ(through)คุณ, และกำลังบังเกิดเป็น(as)คุณ.
คุณคือ “U” ใน universe(คุณคือ เอกภพ).
คุณคือดวงตาผ่านซึ่งการสร้างสรรค์มองเห็นตนเอง(the
eyes through which creation sees itself).
เมื่อคุณตื่นขึ้นจากความฝัน(wake
from a dream)คุณตระหนักรู้ว่า(realize that)ทุกสิ่งในความฝันนั้นคือคุณ(everything
in the dream is you).
คุณได้สร้างสรรค์มันขึ้นมา(you
were creating it).
ดังที่เรียกกันว่าชีวิตจริง(so
called real life)ก็ไม่ได้แตกต่างอะไร(so different).
ทุกคนและทุกสิ่ง คือ คุณ(every
one and every thing is you).
เอกจิตสำนึกนั้น(the one
consciousness)กำลังมองออกไปจากทุกดวงตา(looking out of
every eye), ใต้ทุกก้อนหิน(under every rock),
ภายในทุกอนุภาค(within every particle).
นักวิจัยค้นคว้าทั้งหลายที่
CERN21 (องค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป - ผู้แปล),
ห้องปฏิบัติการทดลองของยุโรปสำหรับฟิสิกส์เชิงอนุภาค(the European
laboratory for particle physics), กำลัง
ค้นหา(searching)สำหรับสนามพลังนี้(for this field)ที่ขยายผ่านทะลุออกมาจากทุกสรรพสิ่ง(that
expands throughout all things).
แต่แทนที่จะมองภายใน(looking
within), พวกเขามองยังโลกเชิงกายภาพข้างนอก(look to the
outer physical world).
นักวิจัยค้นคว้าที่ในห้องปฏิบัติการ CERN ในเจนีวา(Geneva), สวิตเซอร์แลนด์(Switzerland)ได้ประกาศว่า(announced that)พวกเขาได้ค้นพบ(had
found) ฮิกส์ โบซอน(the Higgs Boson22)
หรือ อนุภาคของพระเจ้า(the God Particle).
การทดลองฮิกส์ โบซอนทั้งหลาย(the
Higgs Boson experiments)พิสูจน์เชิงวิทยาศาสตร์(prove
scientifically)ว่า มีสนามพลังที่มองไม่เห็น(an invisible
field)ที่เต็มอยู่ในสุญญากาศของอวกาศนั้น(fills the vacuum
of space).
เครื่องชนอนุภาคขนาดใหญ่ของ CERN ประกอบด้วยวงแหวนหนึ่ง(consists of a ring)ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 17 ไมลสิ์(17 miles in circumference), ที่ซึ่งสองลำแสงของอนุภาค(two beams of particles)วิ่งในทิศทางตรงกันข้ามกัน(race in opposite directions), มาบรรจบ(converging)
และชนปะทะเข้าด้วยกัน(smashing together)ที่เกือบจะในความเร็วของแสง(at nearly the speed of light). นักวิทยาศาสตร์สังเกตตรวจ(observes)อะไรที่เกิดขึ้นออกมาจากการปะทะที่รุนแรงทั้งหลายนั้น(come out of the violent collisions).
แบบจำลองมาตรฐาน(the
standard model)ไม่สามารถให้เหตุผลได้สำหรับ(can not account
for)ในเรื่องว่า อนุภาคทั้งหลายได้มีมวลของพวกมันขึ้นมาอย่างไร(how
particles get their mass).
ทุกอย่างปรากฏว่าถูกทำด้วยการสั่นสะเทือนกังวาน(everything appears to be made of vibration)แต่ไม่มี “สิ่ง” ใดที่ได้สั่นสะเทือน(no “thing” being vibrated).
มันราวกับว่าได้มีนักเต้นรำที่มองไม่เห็น(an
invisible dancer), เงาที่กำลังเริงระบำ(a shadow dancing)ซ่อนอยู่ในนาฏลีลาบัลเลต์ของเอกภพ(hidden in the ballet of the
universe).
นักเต้นรำอื่นทั้งหมด(all the
other dancers)ได้เริงระบำอยู่เสมอไปรอบๆผู้เต้นที่หลบซ่อนอยู่นี้(have
always danced around this hidden dancer).
เราได้สังเกตการณ์นาฏลีลาท่าทางของการเต้นนี้(observed the choreography of the dance), แต่จนกระทั่งในตอนนี้เราก็ไม่สามารถมองเห็นผู้เต้นนั้นได้(but until now we could not see that dancer).
ที่เรียกว่า “อนุภาคของพระเจ้า”นั้น(the so
called ‘God Particle’), คุณสมบัติทั้งหลาย
ของปฐมธาตุของเอกภพ(the properties of the base material of the universe), หัวใจของทุกแก่นธาตุ(all matter)ที่น่าจะอธิบายเหตุผลได้ถึง(would account for) มวลและพลังงานอันอธิบายไม่ได้(the unexplained mass and energy)ที่ขับเคลื่อน(drives)การแผ่ขยายตัวของเอกภพ(the universe’s expansion).
แต่ไกลจากการอธิบายถึงธรรมชาติของเอกภพ(far
from explaining the nature of the universe), การค้นพบถึง ฮิกส์
โบซอน นี้(the Higgs Boson)อย่างง่ายๆเสนอให้เห็นถึง(simply
presents)ความลี้ลับกระทั่งยิ่งใหญ่ขึ้นกว่า(even greater
mystery), เผยให้เห็นเอกภพ(reveals a universe)ที่เป็นกระทั่งลี้ลับมากยิ่งขึ้นไปกว่า(even more mystery than)ที่เราได้เคยจินตนาการ(we ever imagined).
วิทยาศาสตร์ได้กำลังเข้าไปถึง(science is approaching)ธรณีประตู(the threshold)ปากทางเข้าระหว่างจิตสำนึก(consciousness)และแก่นธาตุ(matter - สสาร/รูปธรรม).
ด้วยดวงตาที่เรามองยังปฐมสนามพลัง(look at
the primordial field)และด้วยดวงตาที่ซึ่งสนามพลังมองมาที่เรา(the
eye with which the field looks at us)เป็นเอกาและเดียวกัน(are
one and the same).
นักเขียนเยอรมันและมีชื่อเสียง(writer
and luminary) วูล์ฟกัง ฟอน เกอเธ(Wolfgang Von
Goethe23)พูดไว้ว่า,
“คลื่นนั้นเป็นปฐมปรากฏการณ์ซึ่งให้การบังเกิดขึ้นต่อโลกนี้(the
wave is the primordial phenomenon which give rise to the world).”
23 https://en.wikipedia.org/wiki/Johann_Wolfgang_von_Goethe
การถอดรหัสของเสียง(Cymatics24)เป็นการศึกษาในเรื่องเสียงที่เห็นได้(the study of visible sound). คำว่า cymatic มาจากรากศัพท์ภาษากรีก(Greek root)ว่า “cyma”ซึ่งหมายความ
ว่า
คลื่น(wave) หรือ การสั่นสะเทือนกังวาน(vibration).
หนึ่งในรายแรกของนักวิทยาศาสตร์ตะวันตกทั้งหลายที่ศึกษาอย่างเอาจริงเอาจัง(seriously
Study)ปรากฏการณ์ของคลื่นเสียง(wave phenomenon)คือ เอิร์นส์ต
คลาดนี(Ernst Chladni25),
25 https://en.wikipedia.org/wiki/Ernst_Chladni
นักดนตรีและนักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน(a
German musician and physicist),
ผู้มีชีวิตอยู่ในสมัยศตวรรษที่สิบแปด.
คลาดนี(Chladni)ได้บันทึกไว้เป็นแค็ตตาลอคทั้งหมด(recorded an entire catalogue)ของรูปร่างทั้งหลายเหล่านี้(of these shapes)และพวกมันได้ถูกอ้างอิงถึงว่าเป็น รูปภาพของ คลาดนี(are referred to as Cladni figures).
มากมายของแบบลวดลายเหล่านี้สามารถถูกพบ(can be found)ผ่านออกมาในโลกธรรมชาติ(throughout the natural world). ดังเช่นร่องลายทั้งหลายบนกระดองเต่า(as the markings of
tortoise)หรือลวดลายของจุดของเสือดาว(the spot pattern of the leopard).
การศึกษาแบบลวดลายของคลาดนี(studying
Chladni patterns)หรือลวดลายรหัสของเสียง(cymatic
patterns), คือหนึ่งในหนทางลับ(one of secret way)ที่ซึ่งในบรรดานักทำกีต้าร์หรือไวโอลินและเครื่องดนตรีอื่นระดับชั้นดีเยี่ยม(in
which high-end guitar, violin and other instruments makers)วัดกำหนดคุณภาพของเสียงทั้งหลายของเครื่องดนตรีที่พวกเขาทำ(determine
the sound qualities of the instruments they make).
ฮานส์
เจนนี(Hans Jenny)ขยายกับงานของ คลาดนี(expanded
on Chladni’s work)ในปี
1960 โดยใช้ของเหลวหลากหลายชนิด(various fluids)และการขยายเสียงด้วยไฟฟ้า(electric amplification)ในการผลิตความถี่ทั้งหลายของเสียง(generate sound frequencies)และ “หลอมเหรียญ”(coined)ให้กับคำศัพท์ “cymatics”(การถอดรหัสของเสียง-ออกมาเป็นภาพ).
ถ้าคุณปล่อยคลื่นsineง่ายๆทั้งหลาย(run simple sine waves)ผ่านชามใส่น้ำ(through a dish of water), คุณสามารถเห็นแบบลวดลายทั้งหลายในน้ำ(you can see patterns in the water). ขึ้นอยู่กับความถี่ของคลื่น(the frequency of wave), แบบลายกระเพื่อมแตกต่างกัน(different ripple patterns)ก็จะปรากฏขึ้น. ความถี่ที่สูงกว่า(the higher frequency), ลวดลายนั้นก็จะซับซ้อนยิ่งขึ้น(the more complex pattern). รูปร่างทั้งหลายเหล่านี้(these forms)จะเป็นที่ทำซ้ำกันขึ้นมา(are repeatable), ไม่ใช่สุ่มอย่างไร้แบบแผน(not random).
ยิ่งคุณสังเกตการณ์มากขึ้น(more
observe), คุณก็ยิ่งเริ่มจะเห็นว่าการสั่นสะเทือนกังวาน(vibration)ได้จัดแจงปรับแต่ง(arranges)แก่นสารรูป(matter)นั้นเข้าไปสู่รูปทรงที่สลับซับซ้อน(into complex forms)อย่างไร, จากที่เป็นคลื่นง่ายๆของการซ้ำๆกันทั้งหลาย(from simple repeating
waves).
การสั่นกระเพื่อมกังวานของน้ำนี้(this
water vibration)มีแบบลวดลาย(pattern)คล้ายคลึงกับดอกทานตะวัน(similar
to a sunflower).
อย่างง่ายโดยการเปลี่ยนความถี่เสียง(simply
by changing the sound frequency),
เราก็ได้แบบลวดลายที่แตกต่างกันไป(a different pattern).
น้ำ(water)นั้นเป็นสสารที่ลี้ลับมาก(a very mysterious substance).
มันมีความไวต่อการกระตุ้นอย่างสูง(is
highly impressionable).
นั่นคือ, มันสามารถรับและกุมยึดเอากับการสั่นกังวานนั้นได้(can receive and hold onto vibration). เพราะการมีความสามารถอย่างสูงของมันในการรับเอาเสียงกังวานและมีความรู้สึกไวและมีความพร้อมข้างใน(because of its high resonance capacity and sensitivity and inner readiness)ที่จะสะท้อนกลับ(to resonate), น้ำนี้(the water)ตอบสนองอย่างทันที(responds instantaneously)ต่อทุกรูปแบบของคลื่นเสียง(to all types of sonic waves).
การสั่นสะเทือนกังวานของน้ำและโลก(vibrating
water and earth)ได้สร้างมวลหลักใหญ่(make up the
majority of mass)ในพืชและสัตว์ทั้งหลาย(in plants and
animals).
มันง่ายมากที่จะสังเกต(observe)ว่าการสั่นสะเทือนกังวานอย่างง่ายทั้งหลายในน้ำ(simple
vibrations in water)สามารถสร้างสรรค์แบบลวดลายธรรมชาติที่สามารถจดจำได้(recognizable
natural patterns)ขึ้นมาได้อย่างไร,
แต่เมื่อเราเติมของแข็งทั้งหลาย(add solids)ลงไปและเพิ่มความสูงของคลื่นเสียง(increase
amplitude), สิ่งทั้งหลายนั้นก็ยิ่งกระทั่งน่าสนใจอย่างมากขึ้น(things
get even more interesting).
การเติมแป้งข้าวโพดลงไปในน้ำนั้น(adding
cornstarch to water), เราก็ได้ปรากฏการณ์ที่สลับซับซ้อนมากขึ้น(get
more complex phenomena).
บางทีหลักการั้งหลายของชีวิตในตัวมันเอง(the
principles of life itself)สามารถถูกสังเกต
ได้(can be observe)เช่นเดียวกับการสั่นสะเทือนกังวานทั้งหลายเคลื่อนแป้งข้าวโพดนี้ให้(as vibrations move the cornstarch)ผุดปุดพองไปเป็นอะไรที่ปรากฏให้เห็นเช่นคือชีวอินทรีย์ที่เคลื่อนไหว/ที่มีชีวิต(blob into what to be a moving organism).
หลักการ(ธรรม)ที่มีชีวิตของเอกภพ(the
animating principle of the universe)ได้ถูกอธิบายในทุกศาสนาหลัก(is
described in every major religion)โดยใช้คำทั้งหลาย(using
words)ที่สะท้อนถึงความเข้าใจ(reflect the understanding)ของยุคสมัยนั้นในประวัติศาสตร์(that time in history).
ในภาษาของชาวอินคา(in
the language of the Incas), อาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในยุคก่อนของโคลัมเบีย,
ทวีปอเมริกา(the largest empire in pre-Columbia America),
คำสำหรับ”ร่างมนุษย์(human body)” คือ “alpha
camasca”ซี่งหมายความตามตัวหนังสือ(means literally)ว่า, “โลกที่มีชีวิต(animated earth)”.
ในคาบัลลาห์(Kaballah), ลัทธิเวทย์ของชาวยิว(Jewish mysticism), พวกเขาพูดถึงนามศักดิ์สิทธิ์ของ พระเจ้า(the divine name of God). นามที่ไม่สามารถถูกพูดออกมาได้(the name
that can not be spoken). มันไม่สามารถถูกพูดออกมาได้เพราะว่ามันเป็นการสั่นกังวาน(because it is a vibration)ที่อยู่ในทุกหนแห่ง(that is everywhere). มันคือนามทั้งหมด, มันคือรูปทั้งหมด(it is all words, all matter). ทุกสรรพสิ่งทั้งหมดคือคำศักดิ์สิทธิ์(everything is the sacred word).
รูปจตุรมุข(the
tetrahedron)เป็นรูปทรงที่ง่ายที่สุด(the simplest shape)ที่สามารถมีขึ้นอยู่ในสามมิติได้(that can exist in three
dimensions).
บางอย่างต้องมีอย่างน้อยที่สุดเป็นสี่จุด(something
must have at least four points)ที่จะมีความเป็นจริงทางกายภาพ(to
have physical reality).
รูปโครงสร้างสามเหลี่ยม(the triangle structure)เป็นของธรรมชาติที่คือแบบลายที่เสถียรในตนเองเท่านั้น(is nature’s only self-stabilizing pattern).
ในพระคัมภีร์เก่า(the Old
Testament) คำว่า “tetragrammaton”
ถูกใช้บ่อยครั้งเพื่อที่จะแสดงแทนถึงบางการปรากฏของพระเจ้า(to
represent a certain manifestation of God).
มันถูกใช้เมื่อกำลังพูดถึงคำว่าพระเจ้า(bout the word of God), หรือนามพิเศษของพระเจ้า(the special name of God), โลโกส(Logos26)หรือ ปฐมวจนะ(primordial
word).
26 https://th.wikiqube.net/wiki/Logos
อารยธรรมโบราณทั้งหลาย(the ancient civilizations)รู้ว่าที่โครงสร้างรากฐานของเอกภพ(at the root structure
of the universe)เป็นรูปทรง จตุรมุข(the tetrahedral
shape27).
27 http://sci4fun.com/tetrahedron/tetrahedron.html
พ้นออกมาจากรูปทรงนี้แล้ว(out
of this shape), ธรรมชาติได้แสดงออกให้เห็น(nature exhibits)แรงขับดันพื้นฐาน(a fundamental drive)ไปสู่ ดุลยภาพ(toward
equilibrium); ศิวะ(Shiva).
ขณะที่มันก็ยังมีด้วยเช่นกันในแรงขับดันพื้นฐานไปสู่
ความเปลี่ยนแปลง(also has a fundamental drive towards
change); ศากติ(Shakti).
ในคัมภีร์ไบเบิ้ล(in the Bible), บทสวดร้องของจอห์น(the gospel of John)อ่านได้ว่า,
“ในตอนเริ่มต้นนั้นคือ วจนะ (in the beginning was THE WORD)”
แต่ในคัมภีร์ดั้งเดิมต้นฉบับ(in the
original text)คำศัพท์ที่ใช้นั้น(the term used was) โลโกส(Logos).
นักปรัชญาชาวกรีก, เฮราคลิตุส(Heraclitus28),
ผู้มีชีวิตในยุค 500 ก่อนคริสตศักราช(before
Christ), อ้างเอ่ยถึง โลโกส(Logos)ว่าเป็นอะไรบางอย่าง(as something)อย่างพื้นฐานที่ไม่สามารถรู้ได้(fundamentally unknowable).
ต้นกำเนิดแห่งทั้งหมดของ(the
origin of all)การทำซ้ำ(repetition), แบบลวดลาย(pattern)และรูปทรง(form).
นักปรัชญาทั้งหลายของยุคสโตอิค(the
Stoic29 philosophers)ผู้ซึ่งได้ติดตามคำสอน
ทั้งหลาย(who followed the teachings)ของเฮราคลิตุส(Heraclitus)ได้ระบุชี้อัตลักษณ์คำนี้ว่า(identified
the term with) หลักธรรมชีวิตแห่งสวรรค์ที่แผ่ซ่านไปทั่วเอกภพ(the
divine animating principle pervading the universe).
ในลัทธิศาสน์ซูฟี(Sufism)โลโกส(Logos)นั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง(is
everywhere)และอยู่ในทุกสรรพสิ่ง(in all things).
มันคือ สิ่งนั้น(THAT)ที่พ้นออกมาจากที่สิ่งไม่ประจักษ์แจ้ง(the unmanifest)กลายเป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้ง(manifest).
ในขนบธรรมเนียมของฮินดู(the
Hindu tradition)ศิวะนาฏราช(Shivanataraja)ตามตัวหนังสือมายถึง(literally means) “ราชาแห่งการร่ายรำ”(lord
of the dance).
เอกภพทั้งปวง(the whole cosmos)ร่ายรำต่อกลองบัณเฑาะว์ ของ พระศิวะ(dances to Shiva’s drum).
ทั้งหมดถูกซึมซับ(all
is imbued)หรือถูกเติมชีวิต/จิตวิญญาณ(ensouled)ด้วยการเต้นเป็นจังหวะชีพจร(with the pulsation).
เพียงแค่ตราบนานเท่าที่พระศิวะนั้นได้กำลังร่ายรำเท่านั้น(only as
long as Shiva is dancing)ที่โลกสามารถดำเนินต่อไปในการที่จะวิวัฒน์และเปลี่ยนแปลง(can
the world continue to evolve and change),
มิเช่นนั้นมันก็จะพังพินาศ(collapses)กลับเข้าไปสู่ความไม่มีอะไร(back
Into nothingness).
ขณะที่พระศิวะ(Shiva)คือตัวแทนของ จิตสำนึกเชิงประจักษ์(representative
of our witnessing consciousness), ศากติ(Shakti)ก็คือ สสาร(substance)หรือ วัตถุ/สิ่งของ(stuff)แห่งโลก(of the world).
เหมือน หยินกับหยาง(like
yin and yang), ผู้ร่ายรำและการร่ายรำ บังเกิดอยู่เป็นเอกา/หนึ่งเดียว(the
dancer and the dance exist as one).
โลโกส(Logos)ยังมีความหมายถึง สัจที่ถูกเผยออก(unconcealed truth)ด้วยเช่นกัน.
ผู้ที่รู้ถึงโลโกส(he who knows the Logos), ย่อมรู้ถึงสัจ(knows the truth).
เปลือกมากมายของความปิดบัง(many
layers of concealment)บังเกิดอยู่ในโลกของมนุษย์(exist in
the human world)ในขณะที่อากาศ(Agasha)ได้หมุนวน(been
swirled)ไปสู่โครงสร้างสลับซับซ้อน(into complex structure)ปิดบังแหล่งกำเนิดดั้งเดิมจากตัวมันเอง(conceal the source from
itself).
เหมือนเกมเล่นซ่อนหาของเทพสวรรค์(the
divine game of hide and seek), เราได้ถูกซ่อนมานานหลายพันปี(we
have been hiding for thousands of years),
ในที่สุดก็หลงลืมเกี่ยวกับเกมนี้ไปจนหมดสิ้น(eventually forgetting about
the game completely).
เราโดยอะไรบางอย่างได้ลืมว่ามีอะไรอื่นใดที่จะต้องค้นหาอยู่(we somehow forget that there is anything to find).
ในศาสนาพุทธ(Buddhism), คนถูกสอนให้สัมผัสรับรู้โดยตรง(directly perceive)กับโลโกส(the
Logos), สนามแห่งความเปลี่ยนแปลง(the field of change)หรือ ความไม่เที่ยง/อนิจจัง(impermanence)ภายในตนเอง(within oneself)ผ่านการทำสมาธิ(through
meditation).
เมื่อคุณสังเกตการณ์โลกข้างในของคุณ(observe
your inner world), คุณสังเกตถึงความรู้สึกและพลังงานทั้งหลายอันละเอียดยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น(you
observe subtler and subtler sensations and energies)ขณะที่จิตนั้น(as
the mind)กลายเป็นยิ่งจดจ่อเข้มขึ้น(concentrated)และเพ่งรวม(focused).
ผ่านทะลุการตระหนักรู้โดยตรงของ “อนิจจัง”(annica30)หรือ
ความไม่เที่ยง(impermanence)ที่ระดับรากของ ความรู้สึก(sensation
- ความรู้สึกต่อการสัมผัส),
ผู้นั้นจะกลาย
30 https://sawadee.wiki/wiki/Change_(philosophy)
เป็นอิสระ/ปราศจากจากอุปาทาน(free of
attachment)ต่อรูปภายนอกที่ไม่ถาวรทั้งหลายนั้น(to
transient external forms).
เมื่อใดที่เราตระหนักรู้(realize)ว่ามีสนามพลังที่สั่นกังวานอยู่หนึ่ง(one vibratory
field)ที่คือรากสามัญของทุกศาสนาทั้งหมด(the common
root of all religion), เราจะสามารถพูดได้อย่างไรว่า “ศาสนาของฉัน”(my
religion) หรือ “นี้คือปฐมโอมของฉัน”(this is my
primordial Om), “สนามพลังควอนตัมของฉัน”(my quantum
field)?
วิกฤตของเรา(our
crisis)คือ วิกฤตการณ์ของจิตสำนึก(crisis of consciousness), การไร้ความสามารถ(inability)ที่จะประสบรับรู้โดยตรง(to
directly experience)ต่อสัจ-ธรรมของเรา(our true
nature).
การไร้ความสามารถ(an
inability)ที่จะตระหนักรู้(recognize)ธรรม-ชาตินี้ในทุกคน(this
nature in everyone)และในทุกสรรพสิ่ง(and in all things).
ในขนบธรรมเนียมของชาวพุทธ(in
the Buddhist tradition), “พระโพธิสัตว์”
(Bodhisattva31)คือผู้ที่ได้ธรรม-ชาติอันตื่นขึ้นแล้วในพุทธะ(the
person with an awakened Buddha nature).
พระโพธิสัตว์(Bodhisattva)ปฏิญญาณที่จะช่วยปลุกทุกชีวิตให้ตื่นขึ้น(vows to help to awake
every being)ในเอกภพ(in the universe),
ให้ตระหนักรู้(realizing)ว่ามีเพียงหนึ่ง จิตสำนึกเดียวเท่านั้น(there
is only one consciousness).
ในการที่จะปลุกตัวตนที่แท้จริงของผู้ใด, ผู้นั้นต้องตื่นขึ้นจากชีวิตทั้งหมด(to
awaken one’s true self one must awaken all beings).
“มีชีวิตทั้งหลายที่ไม่ถาวรคงที่อยู่เหลือคนานับในเอกภพนี้(there
are innumerable sentient beings in the universe), ฉันปฏิญญาณว่าจะช่วยพวกเขาทั้งหมดให้ตื่นขึ้น(I
vows to help them all awaken). ความไม่สมบูรณ์ทั้งหลายของฉัน(my
imperfections)นั้นไร้ซึ่งความหมดสิ้นได้(are
inexhaustible). ฉันปฏิญญาณที่จะเอาชนะพวกเขาทั้งหมดนั้น(I
vow to overcome them all).
ธรรมะ(the Dharma)นั้นเป็นสิ่งที่ยังไม่รู้ได้(is
unknowable). ฉันปฏิญญาณที่จะรู้ถึงธรรมนั้น(I
vow to know it). หนทางของการตื่นขึ้นนั้นยังไม่สามารถบรรลุได้(the
way of awakening is unattainable). ฉันปฏิญญาณที่จะบรรลุถึงธรรมนั้น(I
vow to attain it).”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น