หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (37)

 

มีอยู่ในทุกสรรพสิ่งเป็นแบบลายที่คือส่วนหนึ่งของจักรวาลของเรา. มันมีความสมมาตร, ความงดงาม, และความสง่า---คุณลักษณ์เหล่านั้นที่เจ้าพบเสมอในนั้นที่ศิลปินแท้จริงจับเอาไว้ได้. เจ้าสามารถพบมันในการหันพลิกกลับของเหตุผลทั้งหลาย, ในวิถีที่ร่องรอยทรายไปตามสันเนิน, ในสาขาของกลุ่มทั้งหลายแห่งพุ่มครีโอโสตหรือแบบลายแห่งใบของมัน. เราพยายามที่จะลอกเลียนลวดลายเหล่านี้มาในการอยู่อาศัยของเราและสังคมของเรา, เสาะหาจังหวะทำนอง, เริงระบำทั้งหลาย, รูปทรงของความอบอุ่นสบายนั้น. กระนั้น, มันก็เป็นไปได้ที่จะเห็นภัยอันตรายในการค้นพบของอันติมะสัมบูรณ์สิ้นนั้น. มันกระจ่างชัดว่าลวดลายอันติมะบรรจุไว้ด้วยความคงที่แน่นอนของตัวมันเอง. ในความสมบูรณ์สิ้นเยี่ยงนั้น, สรรพสิ่งทั้งหมดเคลื่อนไปสู่มรณะ.

---จาก “รวบรวมคำกล่าว ของ มวดดืบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

 

พอล มวดดิบ จำได้ว่าได้มีอาหารมื้อหนักด้วยเครื่องเทศเป็นส่วนประกอบสำคัญ. เขาติดแน่นอยู่กับความทรงจำนี้เพราะมันเป็นปลายสมอยึดเหนี่ยวและเขาสามารถบอกกับตนเองจากข้อได้เปรียบนี้ว่าประสบการณ์รับรู้ฉับพลันของเขานั้นต้องเป็นความฝันหนึ่ง.

         ข้าคือโรงละครของกระบวนการทั้งหลาย, เขาบอกกับตนเอง. ข้าคือเหยื่อต่อภาพทัศน์ซึ่งไม่สมบูรณ์, ต่อการวิ่งแข่งของจิตสำนึกและเป้าประสงค์อันสยดสยองของมัน.

         กระนั้น, เขาก็ยังไม่สามารถหนีจากความกลัวที่เขาได้ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งได้รุกล้ำย่ำเหยียบตัวเขาเอง, สูญเสียงตำแหน่งแห่งหนในกาละ, ดังนั้นอดีตและอนาคตและปัจจุบันได้ผสมปนเปกันโดยปราศจากการแยกยแตกต่างกันออกมา. มันเป็นประเภทของความล้าเหนื่อยของการมองเห็นและมันมา, เขารู้ดี, จากความต้องการแน่วแน่คงที่ของการยึดกุมอนาคตที่เห็นล่วงหน้าเป็นดุจชนิดหนึ่งของความทรงจำที่อยู่ในตัวของมันเองที่สิ่งนั้นซึ่งแท้จริงแล้วเป็นของอดีต.

         ชานิเตรียมอาหารนี้ให้กับข้า, เขาบอกกับตนเอง.

         กระนั้นชานิก็ยังได้อยู่ลึกในตอนใต้---ในชนบทหนาวเย็นที่ซึ่งดวงอาทิตย์นั้นร้อน---ที่ลับในหนึ่งในป้อมปราการของสิฐคามใหม่, ปลอดภัยอยู่กับบุตรของพวกเขา, ลีโต ที่2.

         หรือ, นั่นเป็นสิ่งที่ยังจะบังเกิดขึ้นหรือ?

         ไม่, เขาได้ทำความมั่นใจให้ใหม่, สำหรับ อาเลีย-ผู้ประหลาด, น้องสาวของเขา, ได้ไปที่นั่นกับมารดาของเขาและกับชานิ---ยี่สิบ-เครื่องตบพื้นเดินทางเข้าไปในตอนใต้, นั่งอยู่ในเสลี่ยงของแม่อธิการที่ยึดติดอยู่บนหลังของผู้สร้างดุร้ายนั้น.

         เขาหลีกหลบจากความคิดของการขี่หนอนยักษ์ทั้งหลายนั้น, ถามตนเอง: นี่อาเลียยังไม่กำเนิดอีกหรือ?

         ข้าได้อยู่ในการบุก, พอลหวนนึกได้. เราได้กำลังบุกเข้าโจมตีเพื่อเอากลับคืนมาซึ่งน้ำของผู้ตายของเราในอาร์ราคีน. และข้าได้ค้นพบสิ่งยังคงเหลืออยู่ของบิดาของข้าในกองฟอนพิธีเผาศพนั้น. ข้าตั้งสถูปบูชาบรรจุกระโหลกศีรษะของบิดาของข้าในกองหินฟรีเมนอยู่มองออกไปเหนือช่องเขา เฮจ พาสส์.

         หรือสิ่งนั้นก็ยังไม่ได้เป็นไป?

         แผลทั้งหลายของข้านี้เป็นจริง, พอลบอกกับตัวเขา. แผลเป็นทั้งหลายของข้านี้เป็นจริง. สถูปบูชากะโหลกศีรษะของบิดาข้านั้นก็เป็นจริง.

         แต่กระนั้นก็ยังอยู่ในสภาวะเหมือนฝัน, พอลจำได้ถึงว่า ฮาราห์, ภรรยาของจามิส, ได้บุกเข้ามาหาเขาครั้งหนึ่งเพื่อที่จะพูดว่าได้มีการต่อสู้ที่ในระเบียงของสิฐคาม. นั่นเป็นสิฐคามตามชายขอบรอบนอกก่อนที่พวกผู้หญิงและเด็กจะถูกส่งเข้าไปในตอนลึกขอทะเลทรายภาคใต้. ฮาราห์ได้ยืนอยู่ตรงนั้นในปากทางเข้าสู่โถงด้านใน, ปีกสีดำขอผมเธอถูกมัดรวบไว้ด้านหลังโดยแหวนนับน้ำบนโซ่. เธอได้เลิกผ้าม่านของโถงที่แขวนอยู่ออกไปทางด้านข้างและบอกกับเขาว่าชานิได้เพิ่งฆ่าใครบางคน.

         เรื่องนี้บังเกิดขึ้นไปแล้ว, พอลบอกกับตนเอง. เรื่องนี้เป็นจริง, ยังไม่ได้เกิดออกมาจากเวลาของมันและมูลเหตุที่จะเปลี่ยนแปลง.

         พอลจำได้ถึงว่าเขาได้พรวดพราดพุ่งออกไปเพื่อเจอชานิกำลังยืนอยู่ภายใต้ลูกโคมสีเหลืองของระเบียงทางเดิน, แต่งกายอยู่ในชุดคลุมห่มสีฟ้าเจิดจ้าด้วยหมวกคลุมศีรษะเหวี่ยงไว้ไปทางด้านหลัง, เหงื่ออาบหลั่งจากการออกแรงอยู่ร่างเล็กบอบบางของเธอนั้น. เธอได้สอดมีดกริชของเธอเข้าไว้ในฝักแล้ว. กลุ่มคนแออัดกันได้รีบเร่งลงไปตามระเบียงทางเดินพร้อมสัมภาระ.

         และพอลจำได้ว่ากำลังบอกกับตนเอง: เจ้ามักจะรู้เสมอว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขากำลังแบกร่างศพนึ่ง.

         แหวนน้ำของชานิ, แต่งเปิดในชุมบนปมหนึ่งรอบคอของเธอส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเมื่อเธอหันร่างมาหาเขา.

         ชานินี่มันอะไรกันรึ?” เขาถาม.

         “ข้าส่งออกไปคนหนึ่งผู้ที่กล้าท้าทายท่านในการปะทะตัวต่อตัว, อูซุล.”

         “เจ้าฆ่ารเขารึ?”

         “ใช่. แต่บางทีข้าควรปล่อยเขาไปให้กับฮาราห์.”

         (และพอลจำขึ้นมาได้ถึงใบหน้าทั้งหลายของผู้คนรายล้อมพวกเขาได้แสดงออกมาอย่างไรในความนิยมชื่นชมสำหรับคำพูดเหล่านี้. กระทั่งฮาราห์ก็ได้หัวเราะ.)

         “แต่เขามาเพื่อท้าประลองกับข้า!

         “ท่านได้ฝึกฝนข้าด้วยตัวท่านเองในวธีพิกลนั้น, อูซุล.”

         “แน่นอนละ! แต่เจ้าไม่ควรจะ---”

         “ข้าได้กำเนิดมาในทะเลทราย, อูซุล. ข้ารู้วิธีที่จะใช้มีดกริชอยางไร.”

         เขาข่มกลั้นโทสะของตนเอง, พยายามที่จะพูดอย่างมีเหตุผล. “เรื่องนี้ทั้งหมดอาจจะเป็นความจริง, ชานิ, แต่---”

         “ข้าไม่ได้เป็นเด็กล่าแมงป่องในสิฐด้วยแสงของลูกโคมแขวนอีกต่อไปแล้ว, อูซุล. ข้าไม่เล่นเกม.”

         พอลจ้องมองเธอ, ติดจับอยู่กับอารมณ์โกรธแปลกประหลาดภายใต้ท่าทีปกติของเธอนั้น.

         “เขาไม่ได้มีค่าอะไร, อูซุล,” ชานิพูด. “ข้าจะไม่รบกวนการทำสมาธิของท่านด้วยคนเช่นแบบนี้.” เธอเคลื่อนเข้ามาใกล้, มองที่เขาออกมาจากมุมหางตาของเธอ, ลดเสียงของเธอลงเพื่อที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน. “และ, ที่รัก, เมื่อมันได้เรียนรู้ว่าการท้าประลองอาจต้องเผชิญหน้ากับข้าและถูกนำมาซึ่งการตายอันน่าอดสูโดยผู้หญิงของมวดดิบ, ก็จะมีเพียงน้อยนิดของผู้กล้าท้าทาย.”

         ใช่, พอลบอกกับตนเอง, นั่นได้บังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน. มันเป็นอดีต-แท้จริง. และตวเลขของผู้ท้าประลองทดสอบมีดใหม่ของมวดดิบก็หล่นลดลงอย่างรวดเร็ว.

         ที่ไหนสักแห่ง, ในโลกที่ ไม่ใช่-จาก-ความฝัน, มีนัยของการเคลื่อนไหว, เสียงร้องของนกราตรี.

         ข้าฝัน, พอลย้ำความมั่นใจให้ตนเอง. มันเป็นอาหารเครื่องเทศนั้น.

         กระนั้น, ก็ยังมีเกี่ยวกับตัวเขาในความรู้สึกของการถูกละทอดทิ้ง. เขาสงสัยว่ามันอาจจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าฤห์-วิญญาณของเขาได้ลื่นไถลด้วยเหตุใดก็ตามเข้าสู่โลกที่พวกฟรีเมนได้เชื่อถือว่าเขาได้มีสัจธาตุองเขา---เข้าไปสู่อาลัม อัล-มิธาล(alam ai-mithal* - อาณาจักรแห่งฝัน), โลกแห่งความเสมือนทั้งหลาย, ที่อาณาจักรอภิปรัชญาซึ่งขีดจำกัดทางกายภาพทั้งหมดได้

         * https://en.wikipedia.org/wiki/Malakut

ถูกเคลื่อนย้ายออกไป. และเขารู้ถึงความหวาดกลัวกับความคิดของที่แห่งหนเยี่ยงนั้น, เพราะว่าการเคลื่อนย้ายของขีดจำกัดทั้งหลายทั้งหมดไปนั้นหมายถึงการเคลื่อนย้ายของจุดอ้างอิงยึดทั้งหมดออกไปด้วย. ในภูมิทัศน์ของเทวตำนานที่เขาไม่สามารถจัดวางตำแหน่งแห่งหนตนเองและพูดว่า: “ข้าเป็นข้าเพราะข้าอยู่ที่นี่.”

         มารดาของเขาครั้งหนึ่งเคยบอกไว้ว่า: “ผู้คนได้ถูกแบ่งแยกออกจากกัน, บางรายของพวกเขา, ในสิ่งที่พวกเขาคิดต่อเจ้าอย่างไร.”

         ข้าต้องตื่นขึ้นจากความฝันนี้, พอลบอกกับตนเอง. เพราะสิ่งนี้ได้บังเกิดขึ้นแล้ว---คำพูดเหล่านี้จากมารดาของเขา, ท่านหญิง เจสสิกา ผู้ซึ่งในตอนนี้คือแม่อธิการของชนฟรีเมน, คำพูดทั้งหลายนี้ได้ผ่านความเป็นจริงไปแล้ว.

         เจสสิกาได้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของสัมพันธภาพเชิงลัทธิศาสน์ระหว่างตัวของเขาและพวกฟรีเมน, พอลรู้. เธอไม่ชอบความจริงที่ว่าผู้คนของทั้งสองสิฐคามและบนพื้นผิวได้อ้างเอ่ยถึงมวดดิบว่าคือพระองค์. และเธอได้สอบถามไปในท่ามกลางเผ่าทั้งหลาย, ส่งสายลับเซย์ยาดินาทั้งหลายของเธอไป, รวบรวมคำตอบของพวกเขาเหล่านั้นและครุ่นคิดวิตกเอากับพวกนั้น.

         เธอได้อ้างเอ่ยถึงภาษิตของเบเน เกสเสอริตต่อเขา: “เมื่อลัทธิศาสน์และการเมืองเดินทางในเกวียนเดียวกัน, ผู้ขับขี่ย่อมเชื่อว่าไม่มีอะไรที่จะมายืนขวางทางของพวกเขาได้. การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็จะผลีลาม---เร็วขึ้นและเร็วมากขึ้นและเร็วยิ่งขึ้น. พวกเขาแหวกโยนความคิดทั้งหมดที่กีดขวางไปและลืมว่าหน้าผานั้นไม่ได้แสดงให้เห็นตัวมันเองต่อผู้ที่รีบเร่งตาบอดจนกระทั่งมันสายเกินไปแล้ว.”

         พอลวนนึกได้ว่าเขาได้นั่งลงที่นั้นในพื้นที่ส่วนของมารดา, ในโถงที่ถูกห่มคลุมด้วนม่านแขวนมืดเข้มกับพื้นผิวของพวกนั้นถูกปิดบังด้วยลวดลายที่ปักทอออกมาจากเทวตำนานของชนฟรีเมน. เขาได้นั่งที่นั้น, ฟังเธอพูดออกมา, สังเกตจำถึงวิธีที่เธอมักจะสังเกตการณ์ตรวจตรา---กระทั่งเมื่อดวงตาของเธอได้ลดต่ำลง. ใบหน้ารูปไข่ของเธอได้เส้นสายใหม่ในมันที่มุมปากทั้งหลาย, แต่ผมนั้นยังคงเหมือนสัมฤทธิ์ขัดมันวาวง ดวงตาเบิกกว้างสีเขียว, แม้กระนั้น, ซ่อนอยู่ใต้สีฟ้าซ่านชุ่มฉ่ำจากเบ้าหลอมเกินไปของเครื่องเทศ.

         “พวกฟรีเมนมีลัทธิศาสน์ที่เรียบง่าย, ปฏิบัติได้,” เขาพูด.

         “ไม่มีอะไรเกี่ยวกับลัทธิศาสน์ที่เรียบง่ายหรอก,” เธอเตือน.

         แต่พอล, มองเห็นอนาคตในเมฆหมอกที่ยังคงแขวนคลุมอยู่เหนือพวกเขา, พบว่าตนเองเหวี่ยงกันไปด้วยความโกรธ. เขาสามารถทำได้แค่พูด: “ลัทธิศาสน์เป็นหน่วยเดียวกันกับพลังของเรา. มันคือพลังลึกลับของเรา.”

         “เจ้าต้องหว่านเพาะอย่างสุขุมกับกลิ่นอายนี้, ทักษะศิลป์นี้,” เธอกล่าวสั่ง. “เจ้าอย่าได้หยุดการปลูกฝัง.”

         “ดังเช่นที่ตัวท่านเองได้สอนข้า,” เขาพูด.

         แต่เธอได้ถูกเต็มเปี่ยมด้วยวิวาทะคารมและโต้แย้งทั้งหลายแล้วในวันนั้น. มันได้เป็นวันแห่งพิธีเข้าสุหนัตของลีโตน้อย. พอลได้เข้าใจบางอย่างของเหตุผลสำหรับความกังวลของเธอ. เธอไม่เคยที่จะยอมรับความสัมพันธ์ฉันท์ชายหญิงของเขา---การ”สมรสในผู้เยาว์”---กับชานิ. แต่ชานิได้ผลิตสร้างบุตรชายอะไทรดิสให้, และเจสสิกาได้พบว่าตนเองไม่สามารถปฏิเสธเด็กชายนั้นกับมารดาของเขาได้.

         เจสสิกาได้กระสับกระส่ายในท้ายสุดกับการจ้องมองของเขา, พูด: “ลูกคิดว่าเป็นแม่ที่ผิดธรรมชาติไหม?”

         “แน่นอนล่ะว่าไม่.”

         “แม่เห็นวิธีที่ลูกเฝ้าดูแม่เมื่อแม่อยู่กับน้องสาวของลูก. ลูกไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับน้องสาวของลูก.”

         “ข้รู้ว่าทำไมอาเลียถึงแตกต่างออกไป,” เขาพูด. เธอยังไม่ด้กำเนิด, ส่วนหนึ่งของแม่, เมื่อแม่ได้เปลี่ยนน้ำแห่งชีวิต. เธอ---”

         “ลูกไม่ได้รู้อะไรของมันทั้งนั้น!

         และพอล, ทันทีนั้นไม่สามารถที่จะแสดงออกถึงความรู้ที่ได้เพิ่มออกมาจากกาละของมันเอง, พูดได้แต่เพียง: “ข้าคิดว่าท่านไม่ใช่ธรรมชาติ.”

         เธอมองเห็นความเศร้าใจของเขา, พูด: “มีอยู่สิ่งหนึ่ง, ลูกแม่.”

         “อะไรรึ?”

         “แม่รักชานิของลูกจริงๆ. แม่ยอมรับเธอ.”

         นี่เป็นความจริง, พอลบอกกับตนเอง. นี่ไม่ใช่ภาพทัศน์ไม่สมบูรณ์ที่จะต้องถูกเปลี่ยนแปลงโดยการบิดหมุนออกมาจากการกำเนิดขึ้นเองของกาละ.

         การย้ำความแน่นอนใจอีกนั้นให้เขาซึ่งการยึดกุมไว้ใหม่ต่อโลกของเขา. ชิ้นเล็กชิ้นน้อยของความเป็นจริงเริ่มต้นที่จะหยดผ่านสภาวะฝันลงเข้าไปสู่สัมปชัญญะของเขา. เขารู้ในทันทีนั้นว่าเขาได้อยู่ในไฮเร็จ(hiereg*), ค่ายพักในทะเลทราย. ชานิได้ตั้งกระโจมสติลเต้นท์ของพวกเขาบนแป้ง-ทรายเพื่อความอ่อนนุ่มของมัน. นั่นหมายความได้เพียงแต่ว่าชานิได้ใกล้ชิดกับ---ชานิ, วิญญาณของเขา. ชานิซิฮายะ(sihaya – ฤดูใบไม่ผลิแห่งทะเลทราย)ของเขา, หอมหวานดั่งฤดูใบไม้ผลิของทะเลทราย, ชานิขึ้นมาจากกลุ่มปาล์มทั้งหลายลึกไปในเขตทางใต้.

         * https://dune.fandom.com/wiki/Fremen_language

         ตอนนี้, เขาจำได้ถึงที่เธอร้องเพลงทหารทะเลทรายให้ขังในเวลาเพื่อการนอน.

         “โอ้ วิญญาณของข้า

         ไร้ซึ่งรสชาติต่อสรวงสวรรค์ค่ำคืนนี้

         เจ้าจะไปยังที่นั้น

         เชื่อฟังในโอวาทต่อที่รักของข้า”

         และเธอได้ร้องเพลงการเดินเท้าของคนรักทั้งหลายได้แบ่งปันกันบนทะเลทราย, จังหวะของมันเหมือนทรายของนูนเนินที่ลากดึงต่อเท้าเหล่านั้น.

         “บอกข้าเถิดถึงดวงตาของเจ้า

         และข้าจะบอกเจ้าถึงหัวใจของเจ้า.

         บอกข้าเถิดถึงเท้าของเจ้า

         และข้าจะบอกเจ้าถึงมือของเจ้า.

         บอกข้าเถิดถึงการนอนของเจ้า

         และข้าจะบอกเจ้าถึงการตื่นของเจ้า.

         บอกข้าเถิดถึงความปรารถนาของเจ้า

         และข้าจะบอกเจ้าถึงความต้องการของเจ้า.

         เขาได้ยินบางคนกำลังดีดพิณบาลิเส็ทในอีกกระโจมหนึ่ง. และเขาได้คิดในตอนนั้นถึง เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค. หวนนึกถึงโดยความคล้ายคลึงของเครื่องดนตรีนั้น, เขาได้คิดถึงเกอร์นีย์ผู้ซึ่งใบหน้าที่เขาได้เห็นในกลุ่มของพวกลักลอบค้าของเถื่อน, แต่ผู้ที่ไม่ได้เห็นเขา, ไม่สามารถเห็นเขาได้หรือว่ารู้ถึงเขาเพราะเกรงว่าจะพลิกผันไปอย่างไม่สมควรยังพวกฮาร์คอนเนนส์ในเรื่องที่บุตรชายของท่านดยุคที่พวกตนได้ฆ่าไปแล้ว.

         แต่แนววิธีของผู้เล่นในค่ำคืนนั้น, ลักษณะพิเศษของนิ้วทั้งหลายบนสายพิณบาลิเส็ทนั้น, นำมาซึ่งนักดนตรีตัวจริงกลับมายังความทรงจำของพอล. เป็นแชตต์จอมกระโจน, นายกองแห่งฟีเดย์คิน, หัวหน้าแห่งหน่วยคอมมาโดมรณะผู้ทำหน้าที่คุ้มกันมวดดิบ.

         เขารู้สึกในตอนนี้ได้ถึงปืนมัวลา(muala pistol)ที่เข็มขัดของเขา, มีดกริชคริสไน้ฟ. เขารู้สึกถึงความเงียบสงัดกำลังรายรอบตัวเขา.

         มันเป็นความเงียบก่อนรุ่งอันพิเศษนั้นเมื่อนกราตรีทั้งหลายได้จากไปและสิ่งมีชีวิตตอนกลางวันยังไม่ได้ส่งสัญญานการเตือนปลุกของมันต่อศัตรูของพวกมัน, ที่คือ ดวงอาทิตย์.

         “เจ้าต้องขี่ทะเลทรายในแสงของวันที่ ไช-ฮูลุด(Shai-hulud)จะเห็นและรู้ว่าเจ้าไม่ได้มีความกลัว,” สติลจาร์ได้บอกไว้. “กระนั้นแล้วเราหมุนเวลาของเราไปรอบๆและจัดตัวเราสู่การนอนในคืนนี้.”

         อย่างเงียบๆ, พอลลุกขึ้นนั่ง, รู้สึกถึงความหลวมคลายของสติลล์สูทที่ถูกปลดหย่อนไว้รอบตัวร่างของเขา, เงาของกระโจมทะเลทรายสติลเต้นท์เลยออกไป. อย่างแผ่วเบาที่เขาเคลื่อนกาย, กระนั้นชานิก็ได้ยินเขา.

         เธอพูดมาจากสลัวของกระโจม, เงาหนึ่งอยู่ตรงนั้น: “มันยังไม่มีแสงเต็มที่เลย, ที่รัก.”

         ซิฮายะ,” เขาบอก, พูดด้วยกึ่งหัวเราะในน้ำเสียง.

         “เจ้าเรียกข้าว่าฤดูใบไม้ผลิแห่งทะเลทราย,” เธอพูด, “แต่วันนี้ข้าตัวรำคาญของท่าน. ข้าคือเซย์ยาดินาผู้เฝ้าดูให้พิธีกรรมนั้นถูกเชื่อฟัง.”

         เขาเริ่มต้นรัดแน่นชุดสติลล์สูทของตน. “เจ้าบอกข้าครั้งหนึ่งถึงคำทั้งหลายของ คิตาบ อัล-อิบาร์(Kitab al-Ibar),” เขาพูด. “เจ้าได้บอกข้าว่า: ผู้หญิงคือสนามรบของท่าน; จงไปเถิดยังสนามรบของท่านและให้ถึงมัน.”

         “ข้าคือมารดาของบุตรแรกของท่าน,” เธอเห็นด้วย.

         เขาเห็นเธอในความสีเทาเข้าคู่ไปกับเขาในการเคลื่อนไหวสำหรับกับการเคลื่อนที่ไป, รัดแน่นสติลล์สูทของเธอสำหรับทะเลทรายเปิดโล่ง. “ท่านควรเอาที่เหลืไปให้มากที่สุดที่ท่านสามารถทำได้,” เธอพูด.

         เขาจดจำความรักของเธอที่มีต่อเขาในการพูดนั้นและดุเธออย่างนุ่มนวล:เซย์ดินาแห่งการเฝ้าคุมไม่แนะนำให้ระมัดระวังหรือตักเตือนคู่แข่งขันนะ.”

         เธอเลื่อนข้ามมายังข้างกายเขา, แตะแก้มของเขาด้วยฝ่ามือของเธอ. “วันนี้, ข้าเป็นทั้งผู้เฝ้าคุมและผู้หญิง.”

         “เจ้าควรทิ้งหน้าที่นี้ไปให้กับผู้อื่น,” เขาพูด.

         “การรอคอยนั้นแย่เพียงพอเมื่อดีที่สุด,” เธอพูด, “ข้าจะในไม่ช้านี้ที่มาอยู่ข้างท่าน.”

         เขาจุมพิตฝ่ามือของเธอก่อนจะรัดปิดแผ่นบังใบหน้าของชุดสูทของตน, แล้วหันและแกะเปิดผนึกของกระโจมออก. อากาศที่เข้ามาสู่พวกเขาอุ้มความเยือกเย็นไม่-เกือบ-เป็นความแห้งที่น่าจะหุนหันไล่ตามร่องรอยของน้ำค้างในรุ่งอรุณ. มาด้วยกับมันคือกลิ่นของมวลเริ่มจะเป็นของเครื่องเทศ, มวลที่พวกเขาได้ตรวจพบออกมาในทางตะวันออกเฉียงเหนือ, และนั่นบอกกับพวกเขาได้ว่าน่าจะมีผู้สร้างอยู่ใกล้ๆนี้.

         พอลคลานผ่านหูรูดช่องเปิดนั้น, ยืนขึ้นบนพื้นทรายและเหยียดไล่ความหลับใหลออกไปจากกล้ามเนื้อของเขา. แสงสว่างเขียว-มุกอ่อนๆแกะร่องรอยอยู่ที่ขอบฟ้าด้านตะวันออก. กระโจมทั้งหลายของกองกำลังของเขาเป็นเหมือนนูนทรายเล็กๆรายรอบเขาในความสลัว. เขาห็นการเคลื่อนไหวออกไปทางซ้ายมือ---ยามรักษาการณ์, และรู้ว่าพวกนั้นได้เห็นเขาแล้ว.

         พวกนั้นรู้ถึงอันตรายที่เขาได้เผชิญในวันนี้. ฟรีเมนแต่ละคนได้เผชิญมันมาแล้ว. พวกนั้นให้เขาชั่วขณะท้ายสุดนี้ของการแยกตัวตามลำพังในตอนนี้ซึ่งเขาอาจจะได้เตรียมตัวของเขา.

         มันต้องทำให้เสร็จไปในวันนี้, เขาบอกกับตนเอง.

         เขาคิดถึงพลังที่เขาได้ถือกุมไว้ในใบหน้าของการสังหารหมู่---เหล่าผู้เฒ่าชราผู้ส่งบุตรชายทั้งหลายของพวกเขามากับเขาเพื่อทำการฝึกฝนในวิธีพิกลประหลาดของการยุทธ, เหล่าผู้ชราที่ให้ต่อเขาด้วยความเคารพอย่างสูงที่สุดของการสรรเสริญเยี่ยงฟรีเมน: “แผนการของท่านได้ผล, มวดดิบ.”

         กระนั้นก็ยังมีนักรบฟรีเมนที่ดุร้ายที่สุดและตัวเล็กที่สุดสามารถทำสิ่งที่เขาไม่เคยทำได้. และพอลรู้ว่าความเป็นผู้นำของเขานั้นได้รับความเจ็บปวดจากความรู้ที่พบห็นในทุกที่ของความแตกต่างระหว่างพวกเขา.

         เขาไม่ได้ขี่ผู้สร้าง.

         โอ้, เขาได้ขึ้นไปบนนั้นกับคนอื่นๆสำหรับการเดินทางฝึกฝนทั้งหลายและการโจมตีทั้งหลาย, แต่เขาไม่ได้ทำการเดินทางของตัวเขาเอง. จนกว่าเขาจะได้ทำ, โลกของเขาได้ถูกผูกมัดเอาไว้กับความสามารถทั้งหลายของคนอื่นๆ. ไม่มีที่ไม่ใช่ฟรีเมนแท้แล้วจะสามารถอนุญาตเรื่องนี้ได้. จนกว่าเขาจะได้ทำสิ่งนี้ด้วยตนเอง, กระทั่งแดนใต้อันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย---พื้นที่ราวยี่สิบเครื่องตบพื้นโพ้นเลยไปในทะเลทราย---ได้ปฏิเสธเขานอกเสียจากเขาได้บัญชาให้นั่งเสลี่ยงหามและขี่ไปเยี่ยงแม่อธิการหรือเป็นผู้ป่วยหรือบาดเจ็บ.

         ความทรงจำหวนกลับมายังเขาของการปล้ำฟัดของเขากับสัมปชัญญะภายในของเขาระหว่างกลางคืน. เขาเห็นคู่ขนานแปลกประหลาดในที่นี่---ถ้าเขาเป็นนายของผู้สร้าง, การปกครองของเขาก็จะถูกทำให้แข็งแกร่งขึ้น, ถ้าเขาเป็นนายของดวงตากลับข้างใน, สิ่งนี้ก็จะแบกเอาการทดสอบคำบัญชาการของมันเองไป. แต่โพ้นเลยพวกเขาไปนั้นทอดวางอยู่ด้วยพื้นที่เมฆปกคลุม, มหาทุรทวีปที่ซึ่งจักรวาลทั้งหมดดูเหมือนจะถูกนำมายุ่งเหยิง.

         ความแตกต่างทั้งลายในหนทางทั้งหลายที่เขาหยั่งรู้เข้าใจจักรวาลนั้นหลอกหลอนเขา---ความเที่ยงตรงเข้าคู่กับความไม่เที่ยงตรง. เขาเห็นมัน ใน สิทุ(in situ). กระนั้นก็ยัง, เมื่อมันกำเนิดขึ้น, เมื่อมันเข้ามาในแรงกดดันทั้งหลายของความเป็นจริง, เจ้าตอนนี้ได้มีชีวิตของมันเองและเติบโตกับความแตกต่างอันประณีตของมันเอง. เจตจำนงอันน่าสะพรึงกลัวยังคงอยู่. จิตสำนึกวิ่งแข่งขันกันยังคงอยู่. และเหนือทั้งหมดได้ปรากฏขึ้นลางๆถึงจิฮาด(jihad), เลือดนองและบ้าคลั่ง.

         ชานิออกมาร่วมกับเขาที่ด้านนอกกระโจม, กอดข้อศอกของเธอ, เงยขึ้นมองเขาจากมุมดวงตาของเธอวิธีที่เธอทำเมื่อเธอกำลังศึกษาอารมณ์ของเขา.

         “บอกข้าอีกครั้งสิเกี่ยวกับน้ำทั้งหลายของพิภพกำเนิดของท่าน, อูซุล.”

         เขาเห็นได้ว่าเธอกำลังพยายามที่จะหลอกล่อเบี่ยงเบนเขา, ผ่นอคลายจิตใจของเขาที่ตึงเขม็งทั้งหลายก่อนการทดสอบมรณะนั้น. มันได้เติบโตสว่างมากขึ้น, และเขาสังเกตจำว่าบางฟีเดย์คินของเขาได้กำลังล้มกระโจมของพวกเขาเก็บกันแล้ว.

         “ข้าอยากจะให้เจ้าบอกข้าเกี่ยวกับสิฐคามและเกี่ยวกับบุตรชายของเรามากกว่า, เขาพูด. “ลีโตของเรากุมมารดาของข้าไว้ในฝ่ามือของเขารึยัง?”

         “เป็นอาเลียที่เขากุมไว้ด้วย,” เธอพูด. “และเขาโตรวดเร็วมาก. เขาจะเป็นชายร่างใหญ่เลยแน่.”

         “มันเป็นเช่นไรที่ทางตอนใต้นั้นน่ะ?” เขาถาม.

         “เมื่อท่านขี่ผู้สร้างนั้นได้แล้วท่านก็จะเห็นมันด้วยตนเองล่ะ,” เธอพูด.

         “แต่ข้าปรารถนาที่จะเห็นทันก่อนผ่านดวงตาของเจ้า.”

         “มันเปล่าเปลี่ยวอย่างมีพลังเต็มเปี่ยมเลย.”

         เขาสัมผัสผ้าโพกเนโซห์นิ(nezhoni)ที่หน้าผากของเธอที่มันโพกนูนยื่นจากหมวกของสติลล์สูทเธอ. “ทำไมเจ้าจะไม่คุยเกี่ยวกับสิฐนั้นล่ะ?”

         “ข้าได้คุยเกี่ยวกับมันแล้ว. สิฐนั่นเป็นสถานที่เปลี่ยวเปล่าปราศจากผู้ชายของเรา. มันเป็นสถานที่เพื่อทำงาน. เราลงแรงในโรงงานทั้งหลายและห้องกระถางทั้งหลาย. มีอาวุธที่ต้องทำ, หลักทั้งหลายสำหรับปักปลูกพืชที่เราอาจจะพยากรณ์อากาศ, เครื่องเทศที่เก็บรวบรวมเพื่อสำหรับติดสินบนนั่น. มีผ้าทอถักและพรมผืนที่ต้องทำ, เซลเชื้อเพลิงที่ต้องชาร์จ. มีเด็กๆที่ต้องฝึกที่ซึ่งกำลังเข้มแข็งของเผ่าอาจจะไม่มีวันถูกสูญเสียไป.”

         “ไม่มีอะไรน่าภิรมย์ในสิฐนั้นเลยหรือ?”

         “เด็กๆนั้นแหละที่คือความภิรมย์ใจในสิฐคามนั้น. เราสังเกตพิธีกรรมทั้งหลาย. เรามีอาหารที่เพียงพอ. บางครั้งหนึ่งในพวกเราอาจจะมาทางเหนือเพื่ออยู่กับชายของเธอ. ชีวิตต้องไปต่อ.”

         “น้องสาวของข้า, อาเลีย---เธอถูกยอมรับหรือยังจากผู้คน?”

         ชานิหันมายังเขาในแสงอรุณที่เรืองรองขึ้น. ดวงตาของเธอทะลุเข้าไปในตัวเขา. “เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องถูกถกกันในอีกเวลาอื่น, ที่รัก.”

         “เรามาถกกันในตอนนี้เถิด.”

         “ท่านควรจะสงวนพลังงานทั้งหลายของท่านไว้สำหรับการทดสอบนี้,” เธอพูด.

         เขามองเห็นว่าเขาได้แตะต้องบางอย่างที่อ่อนไหว, ได้ยินการถอนดึงกลับในน้ำเสียงของเธอ. “ความไม่รู้นำสิ่งกังวลใจทั้งหลายของมันมาเอง,” เขาพูด.

         ทันทีทันใดนั้นเธอก็พยักหน้ารับ, พูด, “ก็ยังมี.....ความไม่เข้าใจอยู่เพราะความแปลกประหลาดของอาเลีย. พวกผู้หญิงกลัวกันมากเพราะว่าเด็กตัวเล็กๆมีมากกว่าทารกพูดคุย.....ถึงสิ่งที่มีเพียงแต่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะรู้. พวกเขาไม่เข้าใจถึง.....การเปลี่ยนแปลงในครรภ์ที่ทำให้อาเลีย.....แตกต่างไป.”

         “มีเรื่องเดือดร้อนไหม?” เขาถาม. และเขาคิด: ข้าได้เห็นภาพทัศน์ทั้งหลายของความเดือดร้อนอยู่เหนืออาเลีย.

         ชานิมองยังเส้นที่ขอบฟ้ากำลังเติบโตขึ้นของแสงอาทิตย์. “บางรายของพวกผู้หญิงตั้งคณะกันไปร้องอุทธรณ์ต่อแม่อธิการ. พวกเขาเรียกร้องให้เธอไล่ปีศาจที่อยู่ในตัวลูกสาวของเธอ. พวกเขาได้อ้างถึงพระคัมภีร์: “ย่อมไม่ไร้ซึ่งความทุกข์เมื่อแม่มดอยู่ในหมู่ของเรา.”

         “แล้วมารดาของข้าพูดอะไรกับพวกนั้น?”

         “เธอท่องถึงกฎและไล่ส่งพวกผู้หญิงนั้นไปให้ได้อับอาย. เธอบอกว่า: “ถ้าอาเลียกระตุ้นให้มีเรื่องเดือดร้อน, มันเป็นความผิดของผู้มีอำนาจหน้าที่สำหรับการไม่คาดการณ์และป้องกันความเดือดร้อนนั้น.” และเธอก็พยายามที่จะอธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ทำงานกับอาเลียอย่างไรในครรภ์. แต่พวกผู้หญิงนั้นโกรธเพราะว่าพวกเขาได้รับความอับอาย. พวกเชาเดินหนีบ่นพึมพำไป.”

         จะมีเรื่องเดือดร้อนเพราะอาเลีย, เขาคิด.

         ผลึกพัดมาของทรายสัมผัสส่วนเปิดอยู่ของใบหน้าของเขา, นำมาซึ่งกลิ่นของมวลก่อน-เป็นเครื่องเทศ. “เอล ซายาล(el sayal), ฝนของทรายที่นำยามเช้ามา,” เขาพูด.

         เขามองออกไปข้ามแสงสีเทาของภูมิทัศน์ของทะเลทราย, ภูมิทัศน์โพ้นเลยความเนอกเห็นใจ, ทรายนั้นที่ถูกก่อรูปทรงซึมซับในตัวมันเอง. แสงสว่างแห้งเป็นริ้วหลากสีที่มุมมืดของทางตอนใต้---สัญญานว่าพายุหนึ่งได้ก่อตัวประจุสถิตขึ้นที่นั้น. ม้วนของสายฟ้าสะเทือนเลือนลั่นยาวนานตามมา.

         “เสียงที่สร้างความงดงามให้แผ่นดิน,” ชานิพูด.

         คนของเขามากขึ้นกำลังวุ่นวายออกมาจากกระโจมทั้งหลาย. พวกยามรักษาการณ์กำลังเข้ามาทางชายขอบนั้น. ทุกอย่างรายรอบเขาเคลื่อนไวอย่างราบรื่นในกิจวัตรโบราณที่ไม่ต้องมีคำสั่งบัญชาใด.

         “ออกคำสั่งเล็กน้อยเท่าที่เป็นไปได้,” บิดาของเขาได้บอกกับเขา.....ครั้งหนึ่ง....นานมาแล้ว. “เมื่อใดที่เจ้าได้ให้คำสั่งไปกับเป้าหมายนั้น, เจ้าต้องออกคำสั่งต่อเป้าหมายนั้นเสมอ.”

         พวกฟรีเมนรู้ถึงกฎนี้โดยสัญชาตญาณ.

         นายกองหน้าของหน่วยเริ่มสวดมนตร์เช้า, เสียงของเขาโหยหวนข้ามเนินนูนของทราย. “ผู้ที่สามารถหันหนีจากเทพมรณะได้หรือ? อะไรที่ไช-ฮูลุดได้มีโองการไว้ต้องเป็น.”

         พอลฟัง, จดจำได้ถึงว่าคำเหล่านี้ที่เริ่มต้นการสวดถึงความตายของฟีเดย์คินของเขา, คำทั้งหลายของหน่วยคอมมานโดมรณะท่องในขณะที่พวกเขาเหวี่ยงตนเองเข้าสู่การยุทธ.

         จะมีสถูปศิลาที่นี่ในวันนี้เพื่อเป็นเครื่องหมายถึงการผ่านไปของอีกวิญญาณหนึ่งไหม? พอลถามตนเอง. ฟรีเมนจะหยุดที่นี่ในอนาคต, แต่ละคนจะเพิ่มก้อนหินอีกและคิดถึงมวดดิบผู้ที่ตายในที่แห่งนี้?

         เขารู้ว่านี้อยู่ในท่ามกลางทางเลือกทั้งหลายของวันนี้, ความจริงที่ไปตามเส้นทั้งหลายของอนาคตแผ่รังสีจากตำแหน่งนี้ในกาล-อวกาศ. ภาพทัศน์ที่ไม่สมบูรณ์รังควานเขา. ยิ่งเขาดื้อดึงต่อเจตจำนงอันน่าสะพรึงกลัวของเขานั้นและต่อสู้ต้านการมาถึงของจิฮาด(jihad)นั้น, ก็ยิ่งใหญ่หลวงที่ความอลหม่านวุ่นวายซึ่งถักทอผ่านทะลุญาณการเห็นล่วงหน้าของเขา. อนาคตทั้งปวงของเขากำลังไหลบ่ามาเหมือนแม่น้ำที่ระบาดแรงไปสู่รอยแตก---แก่นเชื่อมต่ออันดุดันโพ้นเลยไปที่ซึ่งทั้งหมดอยู่ในม่านหมอกและเมฆทั้งหลาย.

         สติลจาร์เข้ามาหา,” ชานิพูด. “ข้าต้องยืนแยกไปแล้วในตอนนี้, ที่รัก. ตอนนี้, ข้าต้องเป็นเสย์ยาดินาและสังเกตการณ์พิธีกรรมที่มันอาจจะถูกรายงานอย่างสัจในจดหมายเหตุทั้งหลาย.” เธอเงยมองเขาและ, ชั่วขณะหนึ่ง, สิ่งสงวนไว้ของเธอเลื่อนเข้ามา, แล้วเธอได้ตนเองอยู่ในการควบคุม. “เมื่อเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว, ข้าจะเตรียมอาหารให้กับท่านด้วยมือของข้าเอง,” เธอพูด. เธอหันร่างจากไป.

         สติลจาร์เคลื่อนมายังเขาข้ามทรายแป้งนุ่มนั้น, ก่อกวนฝุ่นฟุ้งขึ้นเพียงน้อยนิด. เบ้ามืดของดวงตาของเขายังคงแน่วแน่จับอยู่ที่พอลด้วยการจ้องมองอย่างดุดัน. การสะดุดตาของเคราดำเหนือหน้ากากของชุดสติลล์สูท, เส้นสายของแก้มโหนกชัน, คงได้ถูกหิน-ลมกัดเซาะตามธรรมชาติมาตลอดทั้งหมดของการเคลื่อนไหวของพวกเขา.

         ชายนั้นถือแถบธงของพอลที่อยู่บนคันเสาของมัน---แถบธงผ้าสีเขียวและดำพร้อมหลอดน้ำในคันเสานั้น---นั่นได้เป็นตำนานหนึ่งของดินแดนนี้ไปแล้ว. กึ่งภาคภูมิใจ, พอลคิด: ข้าไม่สามารถทำสิ่งที่ง่ายที่สุดได้โดยปราศจากการที่มันกลายเป็นตำนานได้. พวกเขาจะจดลงไปถึงว่าข้าได้แยกจากชานิอย่างไร, ข้าได้ต้อนรับสติลจาร์อย่างไร---ทุกฝีก้าวที่ข้าได้ทำในวันนี้. มีชีวิตอยู่หรือตาย, มันคือตำนาน. ข้าต้องไม่ตาย. แล้วมันก็จะเป็นเพียงแค่ตำนานและไม่มีอะไรที่จะหยุดจิฮาด(jihad)ได้.

         สติลจาร์ปักคานเสานั้นลงในทรายข้างพอล, ทิ้งมือของเขาลงข้างลำตัว. ดวงตาสีฟ้าภายในฟ้านั้นยังคงอยู่ในระดับและแน่วนิ่ง. และพอลคิดว่าดวงตาของเขาเองได้เป็นเหมือนเช่นหน้ากากของสีนี้อย่างไรจากเครื่องเทศนั้น.

         “พวกเขาปฏิเสธเราในเรื่องฮัจจ์(Hujj),” สติลจาร์พูดด้วยความเคร่งขรึมพิธีกรรม.

         ดังที่ชานิได้สอนเขาไว้, พอลตอบสนอง: “ใครหรือที่สามารถปฏิเสธฟรีเมนถึงสิทธิที่จะเดินหรือขี่ไปในที่ซึ่งเขามีเจตจำนง?”

         “ข้าคือ นาอิบ(Naib),” สติลจาร์พูด, “ไม่เคยถูกจับกุมตัวทั้งที่มีชีวิตอยู่ไปได้. ข้าคือขาหนึ่งในสามของแท่นความตายที่จะทำลายล้างศัตรู.”

         ความเงียบปักหลักอยู่เหนือพวกเขา.

         พอลชำเลืองมองฟรีเมนคนอื่นๆกระจายอยู่เหนือทะเลทรายโพ้นเลยจากสติลจาร์ไป, วิธีที่พวกเขายืนโดยปราศจากการเคลื่อนไหวเพื่อชั่วขณะหนึ่งของการสวดภาวนาส่วนตัว. และเขาคิดถึงว่าพวกฟรีเมนเป็นผู้คนเช่นไรที่มีชีวิตอยู่ประกอบด้วยการฆ่าฟัน, และผู้คนทั้งปวงผู้ได้มีชีวิตอยู่ด้วยความโกรธและเศร้าสลดใจตลอดชั่ววันเวลาในชีวิตของพวกเขา, ไม่เคยสักครั้งที่จะหยุดคิดพิจารณาว่าอะไรอาจเข้ามาแทนที่ของไม่ว่า---นอกจากเพื่อความฝันกับสิ่งที่เลียต-คายนิ์สฉีดซึมซาบแผ่ซ่านในพวกเขาไว้ก่อนที่เขาจะตาย.

         “อยู่แห่งใดหรือที่พระเจ้าผู้นำเราผ่านดินแดนแห่งทะเลทรายและขวากหลุมทั้งหลาย?” สติลจาร์ถาม.

         “พระองค์อยู่สถิตกับเรา,” ฟรีเมนสวดรับ.

         สติลจาร์แบะไหล่ของเขา, ก้าวเข้ามาใกล้พอลอีกและลดเสียงของเขาต่ำลง. “ตอนนี้, จดจำถึงอะไรที่ข้าบอกกับเจ้าไว้. ทำมันอย่างง่ายๆและอย่างตรง---ไม่มีอะไรฝันเพ้อ. ในหมู่ผู้คนของพวกเราเราขี่ผู้สร้างมาตั้งแต่อายุสิบสอง. เจ้ามากกว่าหกปีเลยจากอายุนั้นและไม่ได้กำเนิดมาต่อชีวิตนี้. เจ้าไม่จำเป็นต้องสร้างความประทับใจด้วยความกล้าหาญของเจ้า. เรารู้ดีว่าเจ้านั้นกล้าหาญ. ทั้งที่เจ้าต้องทำคือเรียกผู้สร้างมาแล้วขี่เขา.”

         “ข้าจะจดจำไว้,” พอลพูด.

         “ขอให้เห็นว่าเจ้าทำ. ข้าจะไม่ได้เจ้ามาทำอับอายให้กับคำสอนของข้า.”

         สติลจาร์ดึงแท่งพลาสติกราวหนึ่งเมตรยาวจากใต้เสื้อคลุมของเขาออกมา. สิ่งนั้นมีปลายชี้แหลมด้านหนึ่ง, มีขดลวดสปริงหนีบติดไว้ที่อีกปลายด้านหนึ่ง. “ข้าได้เตรียมเครื่องตบพื้นนี้ด้วยตัวข้าเอง. มันเป็นที่ดีอันหนึ่ง. รับมันไป.”

         พอลรู้สึกถึงความอบอุ่นเรียบรื่นของพลาสติกนั้นขณะที่เขารับเอาเครื่องตบพื้นนั้นมา.

         ชิชาคลิมีตะขอทั้งหลายของเจ้า,” สติลจาร์พูด. “เขาจะส่งพวกมันให้กับเจ้าเมื่อเจ้าก้าวออกไปที่นูนทรายตรงโน้น.” เขาชี้ไปทางขวามือของเขา. “เรียกผู้สร้างตัวใหญ่หนึ่งมา, อูซุล. แสดงหนทางให้เราเห็น.”

         พอลสังเกตได้ถึงน้ำเสียงของสติลจาร์นั้น---กึ่งพิธีกรรมและกึ่งที่เป็นความห่วงใยของเพื่อน.

         ในชั่วขณะนั้น, ดวงอาทิตย์ดูเหมือนจะมุ่งหน้าขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้า. ท้องฟ้าไปสู่สีเงินของเทา-ฟ้าที่เตือนให้รู้ว่านี้จะเป็นวันของการร้อนระอุและความแห้งที่สุดๆกระทั่งสำหรับอาร์ราคิส.

         “มันเป็นเวลาของวันที่ร้อนระอุมาก,” สติลจาร์พูด, และตอนนี้เสียงของเขาเป็นพิธีการอย่างทั้งปวง. “ไป, อูซุล, และขี่ผู้สร้าง, เดินทางในทะเลยเยี่ยงผู้นำของทหาร.”

         พอลทำความเคารพต่อธงของเขา, สังเกตเห็นว่าธงสีเขียวและดำนั้นแขวนอย่างอ่อนล้าอย่างไรในตอนนี้ที่สายลมรุ่งอรุณได้นิ่งสนิท. เขากันไปยังนูนทรายที่สติลจาร์ได้ชี้ไปนั้น---เนินลาดสีนำตาลไหม้สกปรกด้วยยอดหงอดรูปตัว-เอส. เรียบร้อยแล้ว, ที่กองทหารนี้ได้เคลื่อนออกไปในทิศทางตรงกันข้าม, ปีนขึ้นไปยังนูนทรายอื่นที่ได้เป็นที่กำบังของค่ายพักของพวกเขามา.

         ร่างในเสื้อคลุมหนึ่งยังคงอยู่ในเส้นทางไปของพอล: ชิชาคลิ, ผู้นำหน่วยสายตรวจของฟีเดย์คิน, มีเพียงแค่ดวงตาที่เปลือกตาเรียวเอียงของเขาเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็นได้ระหว่างหมวกปิดของชุดสติลล์สูทและหน้ากาก.

         ชิชาคลิยื่นเสนอแท่งเหมือนด้ามแซ่เรียวๆสองอันมาให้ขณะที่พอลเดินเข้ามาถึง. แท่งนั้นยาวราวหนึ่งเมตรครึ่งด้วยตะขอพลาสติกผสมเหล็กแวววาวที่ปลายอันหนึ่ง, ยาบสากที่ปลายสุดอีกด้านสำหรับการกุมแน่น.

         พอลรับพวกนั้นมาทั้งคู่ไว้ในมือซ้ายของเขาดังที่เป็นพิธีกรรม.

         “พวกนี้เป็นตะขอของข้าเอง,” ชิชาคลิพูดในเสียงแหบพร่า, “พวกมันไม่เคยทำพลาด.”

         พอลพยักหน้ารับ, ดำรงอยู่ในความเงียบที่จำเป็น, เคลื่อนกายผ่านชายนั้นและขึ้นไปตามลาดเอียงของนูนทราย. ที่สันยอดรูปหงอน, เขาหันชำเลืองมองกลับมา, เห็นกองทหารกระจายกันออกไปเหมือนฝูงบินของแมลง, เสื้อคลุมของพวกเขากระพือสะบัด. เขายืนอยู่ตามลำพังในตอนนี้บนสันทรายด้วยเส้นขอบฟ้าตรงหน้าของเขา, ขอบฟ้าแบนราบและไม่เคลื่อนไหวใด. นี่เป็นนูนทรายที่ดีซึ่งสติลจาร์ได้เลือก, สูงกว่าเพื่อนๆของมันทั้งหลายสำหรับการได้เปรียบของมุมมองทัศนวิสัย.

         ก้มค้อมร่างลงไป, พอลปลูกเครื่องตบพื้นลึกเข้าไปในด้านหันหน้าต่อทิศทางลมพัดไปที่ทรายได้อัดแน่นและจะให้การส่งผ่านสูงสุดของเสียงตพื้น. แล้วเขาก็ลังเล, ทบทวนลทเรียนทั้งหลาย, ทบทวนความจำเป็นทั้งหลายของชีวิต-และ-ความตายที่เผชิญหน้ากับเขา.

         เมื่อเขาเหวี่ยงสลักออก, เครื่องตบพื้นก็จะเริ่มหมายเรียกของมัน. ข้ามทะเลทรายไป, หนอนยักษ์---ผู้สร้าง---จะได้ยินและเข้ามาหาเสียงตบพื้นนี้. ด้วยแท่งเหมือนด้ามแซ่ฟาดสองอันนั้น, พอลรู้ดี, เขาสามารถเกาะติดกับหลังโค้งสูงของผู้สร้างนั้นได้. ตราบนานเท่าที่ขอบข้างหน้าของท่อนวงแหวนตัดขวางลำตัวได้ถูกยึดเปิดออกโดยตะขอนี้, เปิดออกเพื่อรับการสาดขัดสีของทรายเข้าไปในประสาทรู้สึกยิ่งขึ้นภายใน, สัตว์ร้ายนี้ก็จะไม่ถอยหดกลับเข้าไปในใต้พื้นทรายอีก. มันจะ, ที่จริงแล้ว, ม้วนร่างใหญ่มหึมาของมันเพื่อนำเอารอยเปิดนั้นไปห้ำกลจากผิวหน้าทะเลทรายให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้.

         ข้าคือผู้ขี่ทราย, พอลบอกกับตนเอง.

         เขาชำเลืองมองลงไปที่ตะขอในมือซ้ายของเขา, คิดว่านี่คือที่เขามีเพียงแค่เอาตะขอนี้เท่านั้นเกี่ยวลงไปที่ส่วนโค้งของด้านข้างอันมหึมาของผู้สร้างเพื่อที่จะทำให้เจ้าสัตว์ร้ายนั้นม้วนตัวและพลิกขึ้น, นำทางมันไปยังที่ที่เขาตั้งใจไป. เขาเคยได้เห็นการทำเช่นนี้. เขาได้ถูกช่วยให้ขึ้นไปด้านข้างของนอนตัวหนึ่งในการขี่ระยะสั้นของการฝึก. หนอนที่จับได้จะสามารถถูกขี่ไจนกว่ามันจะนอนหมดแรงและสงบนิ่งอยู่เหนือพื้นผิวทรายและหนอนตัวใหม่ก็จะถูกเรียกมาอีก.

         เมื่อใดที่เขาได้ผ่านการทดสอบนี้แล้ว, พอลรู้, เขาก็ได้รับการผ่านคัดเลือกให้ทำการเดินทางยี่สิบเครื่องตบพื้นเข้าไปสู่ดินแดนตอนใต้---เพื่อพักและฟื้นฟูตนเอง---เข้าไปในทางตอนใต้ที่ซึ่งผู้หญิงและครอบครัวทั้งหลายได้ถูกซ่อนไว้จากการถูกสังหารหมู่ในท่ามกลางป่าปาล์มและโพรงสิฐคามทั้งหลาย.

         เขายกศีรษะของตนขึ้นและมองไปยังทิศใต้, เตือนตนเองว่าผู้สร้างที่ถูกเรียกมาอย่างดุร้ายจากชายขอบนั้นไม่อาจรู้ถึงขนาด, และหนึ่งนั้นก็คือผู้ที่ไม่รู้เสมอกันต่อการทดสอบนี้เช่นกัน.

         “เจ้าต้องวัดประเมินผู้สร้างที่เข้ามาหานี้อย่างระมัดระวัง,” สติลจาร์ได้อธิบายไว้. “เจ้าต้องยืนใกล้เพียงพอที่เจ้าสามารถเกาะติดมันขณะที่มันผ่าน, กระนั้นก็ยังไม่ใกล้จนมันฉกกลืนเจ้าเข้าไปได้.”

         ด้วยการตัดสินใจในทันทีนั้น, พอลปลดสลักของเครื่องตบพื้น. มือตบเริ่มต้นหมุนและส่งเสียงตบผ่านทรายไป, เป็นจังวะความเร็วของ “ตั้ม.....ตั้ม.....ตั้ม.....”

         เขายืดร่าง, ตรวจกวาดไปตามเส้นขอบฟ้า, จดจำถึงคำพูดของสติลจาร์. “ตัดสินเส้นที่เข้ามาอย่างระมัดระวัง. จำเอาไว้ว่า, หนอนนั้นมักจะทำการเข้ามาหาอย่างมองไม่เห็นสู่เครื่องตบพื้น.งเสียงทั้งหมดด้วยเช่นกัน. เจ้าอาจจะมักได้ยินมันก่อนที่เจ้าจะเห็นมัน.”

         และคำพูดของชานิถึงการระมัดระวัง, กระซิบในตอนกลางคืนเมื่อความกลัวของเอต่อเขาเข้ามาเอาชนะเธอ, เติมเต็มจิตใจของเขา: “เมื่อท่านทำการยืนของท่านไปตามแนวเส้นทางของผู้สร้าง, ท่านต้องยังคงนิ่งเอาไว้อย่างที่สุด. ท่านต้องคิดเหมือนเป็นแผ่นผืนทราย. ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมของท่านและกลายเป็นนูนทรายเล็กๆอันหนึ่งในเนื้อแท้ยิ่งของท่าน.”

         อย่างช้าๆ, เขาตรวจกวาดมองขอบฟ้า, ฟัง, เฝ้าดูหาสัญญานอย่างที่เขาถูกสอนมา.

         มันมาจากทางตะวันออกเฉียงใต้, เสียงซี่ดๆระยะไกล, เสียงกระซิบของทราย. ในทันทีนั้น, เขาเห็นในที่ไกลออกไปเป็นเส้นโรงนอกของแนวร่องรอยสิ่งมีชีวิตนั้นตัดกับแสงอรุณรุ่งและตระหนักได้ว่าเขาไม่เคยมาก่อนเห็นผู้สร้างที่มีขนาดใหญ่มากเช่นนี้มาก่อน, ไม่เคยได้ยินถึงตัวที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้. มันปรากฏเป็นยาวมากยิ่งกว่าครึ่งลีค(1.5 ไมลิ์), และความสูงฟุ้งขึ้นของคลื่นทรายทั่วงอนของมันนั้นเหมือนภูเขาที่เคลื่อนเข้ามา.

         นี่ไม่ใช่อะไรที่ข้าได้เห็นโดยภาพทัศน์หรือในชีวิต, พอลเตือนให้ตนเองระวัง. เขาเร่งข้ามเส้นทางของสิ่งนั้นเพื่อที่จะเข้าที่ยืนของตน, ถูกกุมจับไว้ไปทั่วทั้งตัวโดยความจำเป็นทั้งหลายของชั่วขณะนี้.


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น