มีอยู่ในทุกสรรพสิ่งเป็นแบบลายที่คือส่วนหนึ่งของจักรวาลของเรา.
มันมีความสมมาตร, ความงดงาม, และความสง่า---คุณลักษณ์เหล่านั้นที่เจ้าพบเสมอในนั้นที่ศิลปินแท้จริงจับเอาไว้ได้.
เจ้าสามารถพบมันในการหันพลิกกลับของเหตุผลทั้งหลาย,
ในวิถีที่ร่องรอยทรายไปตามสันเนิน,
ในสาขาของกลุ่มทั้งหลายแห่งพุ่มครีโอโสตหรือแบบลายแห่งใบของมัน.
เราพยายามที่จะลอกเลียนลวดลายเหล่านี้มาในการอยู่อาศัยของเราและสังคมของเรา,
เสาะหาจังหวะทำนอง, เริงระบำทั้งหลาย, รูปทรงของความอบอุ่นสบายนั้น. กระนั้น,
มันก็เป็นไปได้ที่จะเห็นภัยอันตรายในการค้นพบของอันติมะสัมบูรณ์สิ้นนั้น.
มันกระจ่างชัดว่าลวดลายอันติมะบรรจุไว้ด้วยความคงที่แน่นอนของตัวมันเอง.
ในความสมบูรณ์สิ้นเยี่ยงนั้น, สรรพสิ่งทั้งหมดเคลื่อนไปสู่มรณะ.
---จาก “รวบรวมคำกล่าว ของ มวด’ดืบ” โดย
เจ้าหญิง อีร์อูลาน
พอล
มวด’ดิบ
จำได้ว่าได้มีอาหารมื้อหนักด้วยเครื่องเทศเป็นส่วนประกอบสำคัญ.
เขาติดแน่นอยู่กับความทรงจำนี้เพราะมันเป็นปลายสมอยึดเหนี่ยวและเขาสามารถบอกกับตนเองจากข้อได้เปรียบนี้ว่าประสบการณ์รับรู้ฉับพลันของเขานั้นต้องเป็นความฝันหนึ่ง.
ข้าคือโรงละครของกระบวนการทั้งหลาย, เขาบอกกับตนเอง.
ข้าคือเหยื่อต่อภาพทัศน์ซึ่งไม่สมบูรณ์,
ต่อการวิ่งแข่งของจิตสำนึกและเป้าประสงค์อันสยดสยองของมัน.
กระนั้น,
เขาก็ยังไม่สามารถหนีจากความกลัวที่เขาได้ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งได้รุกล้ำย่ำเหยียบตัวเขาเอง,
สูญเสียงตำแหน่งแห่งหนในกาละ,
ดังนั้นอดีตและอนาคตและปัจจุบันได้ผสมปนเปกันโดยปราศจากการแยกยแตกต่างกันออกมา.
มันเป็นประเภทของความล้าเหนื่อยของการมองเห็นและมันมา, เขารู้ดี,
จากความต้องการแน่วแน่คงที่ของการยึดกุมอนาคตที่เห็นล่วงหน้าเป็นดุจชนิดหนึ่งของความทรงจำที่อยู่ในตัวของมันเองที่สิ่งนั้นซึ่งแท้จริงแล้วเป็นของอดีต.
ชานิเตรียมอาหารนี้ให้กับข้า,
เขาบอกกับตนเอง.
กระนั้นชานิก็ยังได้อยู่ลึกในตอนใต้---ในชนบทหนาวเย็นที่ซึ่งดวงอาทิตย์นั้นร้อน---ที่ลับในหนึ่งในป้อมปราการของสิฐคามใหม่,
ปลอดภัยอยู่กับบุตรของพวกเขา, ลีโต ที่2.
หรือ,
นั่นเป็นสิ่งที่ยังจะบังเกิดขึ้นหรือ?
ไม่, เขาได้ทำความมั่นใจให้ใหม่, สำหรับ
อาเลีย-ผู้ประหลาด, น้องสาวของเขา, ได้ไปที่นั่นกับมารดาของเขาและกับชานิ---ยี่สิบ-เครื่องตบพื้นเดินทางเข้าไปในตอนใต้,
นั่งอยู่ในเสลี่ยงของแม่อธิการที่ยึดติดอยู่บนหลังของผู้สร้างดุร้ายนั้น.
เขาหลีกหลบจากความคิดของการขี่หนอนยักษ์ทั้งหลายนั้น,
ถามตนเอง: นี่อาเลียยังไม่กำเนิดอีกหรือ?
ข้าได้อยู่ในการบุก, พอลหวนนึกได้. เราได้กำลังบุกเข้าโจมตีเพื่อเอากลับคืนมาซึ่งน้ำของผู้ตายของเราในอาร์ราคีน.
และข้าได้ค้นพบสิ่งยังคงเหลืออยู่ของบิดาของข้าในกองฟอนพิธีเผาศพนั้น.
ข้าตั้งสถูปบูชาบรรจุกระโหลกศีรษะของบิดาของข้าในกองหินฟรีเมนอยู่มองออกไปเหนือช่องเขา
เฮจ พาสส์.
หรือสิ่งนั้นก็ยังไม่ได้เป็นไป?
แผลทั้งหลายของข้านี้เป็นจริง, พอลบอกกับตัวเขา.
แผลเป็นทั้งหลายของข้านี้เป็นจริง.
สถูปบูชากะโหลกศีรษะของบิดาข้านั้นก็เป็นจริง.
แต่กระนั้นก็ยังอยู่ในสภาวะเหมือนฝัน, พอลจำได้ถึงว่า
ฮาราห์, ภรรยาของจามิส, ได้บุกเข้ามาหาเขาครั้งหนึ่งเพื่อที่จะพูดว่าได้มีการต่อสู้ที่ในระเบียงของสิฐคาม.
นั่นเป็นสิฐคามตามชายขอบรอบนอกก่อนที่พวกผู้หญิงและเด็กจะถูกส่งเข้าไปในตอนลึกขอทะเลทรายภาคใต้.
ฮาราห์ได้ยืนอยู่ตรงนั้นในปากทางเข้าสู่โถงด้านใน,
ปีกสีดำขอผมเธอถูกมัดรวบไว้ด้านหลังโดยแหวนนับน้ำบนโซ่.
เธอได้เลิกผ้าม่านของโถงที่แขวนอยู่ออกไปทางด้านข้างและบอกกับเขาว่าชานิได้เพิ่งฆ่าใครบางคน.
เรื่องนี้บังเกิดขึ้นไปแล้ว, พอลบอกกับตนเอง.
เรื่องนี้เป็นจริง,
ยังไม่ได้เกิดออกมาจากเวลาของมันและมูลเหตุที่จะเปลี่ยนแปลง.
พอลจำได้ถึงว่าเขาได้พรวดพราดพุ่งออกไปเพื่อเจอชานิกำลังยืนอยู่ภายใต้ลูกโคมสีเหลืองของระเบียงทางเดิน,
แต่งกายอยู่ในชุดคลุมห่มสีฟ้าเจิดจ้าด้วยหมวกคลุมศีรษะเหวี่ยงไว้ไปทางด้านหลัง,
เหงื่ออาบหลั่งจากการออกแรงอยู่ร่างเล็กบอบบางของเธอนั้น.
เธอได้สอดมีดกริชของเธอเข้าไว้ในฝักแล้ว.
กลุ่มคนแออัดกันได้รีบเร่งลงไปตามระเบียงทางเดินพร้อมสัมภาระ.
และพอลจำได้ว่ากำลังบอกกับตนเอง: เจ้ามักจะรู้เสมอว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขากำลังแบกร่างศพนึ่ง.
แหวนน้ำของชานิ, แต่งเปิดในชุมบนปมหนึ่งรอบคอของเธอส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเมื่อเธอหันร่างมาหาเขา.
“ชานินี่มันอะไรกันรึ?” เขาถาม.
“ข้าส่งออกไปคนหนึ่งผู้ที่กล้าท้าทายท่านในการปะทะตัวต่อตัว,
อูซุล.”
“เจ้าฆ่ารเขารึ?”
“ใช่. แต่บางทีข้าควรปล่อยเขาไปให้กับฮาราห์.”
(และพอลจำขึ้นมาได้ถึงใบหน้าทั้งหลายของผู้คนรายล้อมพวกเขาได้แสดงออกมาอย่างไรในความนิยมชื่นชมสำหรับคำพูดเหล่านี้.
กระทั่งฮาราห์ก็ได้หัวเราะ.)
“แต่เขามาเพื่อท้าประลองกับข้า!”
“ท่านได้ฝึกฝนข้าด้วยตัวท่านเองในวธีพิกลนั้น,
อูซุล.”
“แน่นอนละ! แต่เจ้าไม่ควรจะ---”
“ข้าได้กำเนิดมาในทะเลทราย, อูซุล.
ข้ารู้วิธีที่จะใช้มีดกริชอยางไร.”
เขาข่มกลั้นโทสะของตนเอง,
พยายามที่จะพูดอย่างมีเหตุผล. “เรื่องนี้ทั้งหมดอาจจะเป็นความจริง, ชานิ,
แต่---”
“ข้าไม่ได้เป็นเด็กล่าแมงป่องในสิฐด้วยแสงของลูกโคมแขวนอีกต่อไปแล้ว,
อูซุล. ข้าไม่เล่นเกม.”
พอลจ้องมองเธอ,
ติดจับอยู่กับอารมณ์โกรธแปลกประหลาดภายใต้ท่าทีปกติของเธอนั้น.
“เขาไม่ได้มีค่าอะไร, อูซุล,” ชานิพูด.
“ข้าจะไม่รบกวนการทำสมาธิของท่านด้วยคนเช่นแบบนี้.” เธอเคลื่อนเข้ามาใกล้,
มองที่เขาออกมาจากมุมหางตาของเธอ,
ลดเสียงของเธอลงเพื่อที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน. “และ, ที่รัก,
เมื่อมันได้เรียนรู้ว่าการท้าประลองอาจต้องเผชิญหน้ากับข้าและถูกนำมาซึ่งการตายอันน่าอดสูโดยผู้หญิงของมวด’ดิบ,
ก็จะมีเพียงน้อยนิดของผู้กล้าท้าทาย.”
ใช่, พอลบอกกับตนเอง,
นั่นได้บังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน. มันเป็นอดีต-แท้จริง. และตวเลขของผู้ท้าประลองทดสอบมีดใหม่ของมวด’ดิบก็หล่นลดลงอย่างรวดเร็ว.
ที่ไหนสักแห่ง, ในโลกที่
ไม่ใช่-จาก-ความฝัน, มีนัยของการเคลื่อนไหว, เสียงร้องของนกราตรี.
ข้าฝัน, พอลย้ำความมั่นใจให้ตนเอง.
มันเป็นอาหารเครื่องเทศนั้น.
กระนั้น,
ก็ยังมีเกี่ยวกับตัวเขาในความรู้สึกของการถูกละทอดทิ้ง.
เขาสงสัยว่ามันอาจจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าฤห์-วิญญาณของเขาได้ลื่นไถลด้วยเหตุใดก็ตามเข้าสู่โลกที่พวกฟรีเมนได้เชื่อถือว่าเขาได้มีสัจธาตุองเขา---เข้าไปสู่อาลัม
อัล-มิธาล(alam
ai-mithal* - อาณาจักรแห่งฝัน),
โลกแห่งความเสมือนทั้งหลาย, ที่อาณาจักรอภิปรัชญาซึ่งขีดจำกัดทางกายภาพทั้งหมดได้
* https://en.wikipedia.org/wiki/Malakut
ถูกเคลื่อนย้ายออกไป.
และเขารู้ถึงความหวาดกลัวกับความคิดของที่แห่งหนเยี่ยงนั้น,
เพราะว่าการเคลื่อนย้ายของขีดจำกัดทั้งหลายทั้งหมดไปนั้นหมายถึงการเคลื่อนย้ายของจุดอ้างอิงยึดทั้งหมดออกไปด้วย.
ในภูมิทัศน์ของเทวตำนานที่เขาไม่สามารถจัดวางตำแหน่งแห่งหนตนเองและพูดว่า: “ข้าเป็นข้าเพราะข้าอยู่ที่นี่.”
มารดาของเขาครั้งหนึ่งเคยบอกไว้ว่า: “ผู้คนได้ถูกแบ่งแยกออกจากกัน, บางรายของพวกเขา,
ในสิ่งที่พวกเขาคิดต่อเจ้าอย่างไร.”
ข้าต้องตื่นขึ้นจากความฝันนี้, พอลบอกกับตนเอง.
เพราะสิ่งนี้ได้บังเกิดขึ้นแล้ว---คำพูดเหล่านี้จากมารดาของเขา, ท่านหญิง
เจสสิกา ผู้ซึ่งในตอนนี้คือแม่อธิการของชนฟรีเมน,
คำพูดทั้งหลายนี้ได้ผ่านความเป็นจริงไปแล้ว.
เจสสิกาได้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของสัมพันธภาพเชิงลัทธิศาสน์ระหว่างตัวของเขาและพวกฟรีเมน,
พอลรู้. เธอไม่ชอบความจริงที่ว่าผู้คนของทั้งสองสิฐคามและบนพื้นผิวได้อ้างเอ่ยถึงมวด’ดิบว่าคือพระองค์. และเธอได้สอบถามไปในท่ามกลางเผ่าทั้งหลาย,
ส่งสายลับเซย์ยาดินาทั้งหลายของเธอไป, รวบรวมคำตอบของพวกเขาเหล่านั้นและครุ่นคิดวิตกเอากับพวกนั้น.
เธอได้อ้างเอ่ยถึงภาษิตของเบเน
เกสเสอริตต่อเขา: “เมื่อลัทธิศาสน์และการเมืองเดินทางในเกวียนเดียวกัน,
ผู้ขับขี่ย่อมเชื่อว่าไม่มีอะไรที่จะมายืนขวางทางของพวกเขาได้.
การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็จะผลีลาม---เร็วขึ้นและเร็วมากขึ้นและเร็วยิ่งขึ้น. พวกเขาแหวกโยนความคิดทั้งหมดที่กีดขวางไปและลืมว่าหน้าผานั้นไม่ได้แสดงให้เห็นตัวมันเองต่อผู้ที่รีบเร่งตาบอดจนกระทั่งมันสายเกินไปแล้ว.”
พอลวนนึกได้ว่าเขาได้นั่งลงที่นั้นในพื้นที่ส่วนของมารดา,
ในโถงที่ถูกห่มคลุมด้วนม่านแขวนมืดเข้มกับพื้นผิวของพวกนั้นถูกปิดบังด้วยลวดลายที่ปักทอออกมาจากเทวตำนานของชนฟรีเมน.
เขาได้นั่งที่นั้น, ฟังเธอพูดออกมา,
สังเกตจำถึงวิธีที่เธอมักจะสังเกตการณ์ตรวจตรา---กระทั่งเมื่อดวงตาของเธอได้ลดต่ำลง.
ใบหน้ารูปไข่ของเธอได้เส้นสายใหม่ในมันที่มุมปากทั้งหลาย,
แต่ผมนั้นยังคงเหมือนสัมฤทธิ์ขัดมันวาวง ดวงตาเบิกกว้างสีเขียว, แม้กระนั้น,
ซ่อนอยู่ใต้สีฟ้าซ่านชุ่มฉ่ำจากเบ้าหลอมเกินไปของเครื่องเทศ.
“พวกฟรีเมนมีลัทธิศาสน์ที่เรียบง่าย,
ปฏิบัติได้,” เขาพูด.
“ไม่มีอะไรเกี่ยวกับลัทธิศาสน์ที่เรียบง่ายหรอก,”
เธอเตือน.
แต่พอล,
มองเห็นอนาคตในเมฆหมอกที่ยังคงแขวนคลุมอยู่เหนือพวกเขา,
พบว่าตนเองเหวี่ยงกันไปด้วยความโกรธ. เขาสามารถทำได้แค่พูด:
“ลัทธิศาสน์เป็นหน่วยเดียวกันกับพลังของเรา. มันคือพลังลึกลับของเรา.”
“เจ้าต้องหว่านเพาะอย่างสุขุมกับกลิ่นอายนี้,
ทักษะศิลป์นี้,” เธอกล่าวสั่ง. “เจ้าอย่าได้หยุดการปลูกฝัง.”
“ดังเช่นที่ตัวท่านเองได้สอนข้า,”
เขาพูด.
แต่เธอได้ถูกเต็มเปี่ยมด้วยวิวาทะคารมและโต้แย้งทั้งหลายแล้วในวันนั้น.
มันได้เป็นวันแห่งพิธีเข้าสุหนัตของลีโตน้อย. พอลได้เข้าใจบางอย่างของเหตุผลสำหรับความกังวลของเธอ.
เธอไม่เคยที่จะยอมรับความสัมพันธ์ฉันท์ชายหญิงของเขา---การ”สมรสในผู้เยาว์”---กับชานิ.
แต่ชานิได้ผลิตสร้างบุตรชายอะไทรดิสให้, และเจสสิกาได้พบว่าตนเองไม่สามารถปฏิเสธเด็กชายนั้นกับมารดาของเขาได้.
เจสสิกาได้กระสับกระส่ายในท้ายสุดกับการจ้องมองของเขา, พูด:
“ลูกคิดว่าเป็นแม่ที่ผิดธรรมชาติไหม?”
“แน่นอนล่ะว่าไม่.”
“แม่เห็นวิธีที่ลูกเฝ้าดูแม่เมื่อแม่อยู่กับน้องสาวของลูก.
ลูกไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับน้องสาวของลูก.”
“ข้รู้ว่าทำไมอาเลียถึงแตกต่างออกไป,”
เขาพูด. เธอยังไม่ด้กำเนิด, ส่วนหนึ่งของแม่, เมื่อแม่ได้เปลี่ยนน้ำแห่งชีวิต.
เธอ---”
“ลูกไม่ได้รู้อะไรของมันทั้งนั้น!”
และพอล, ทันทีนั้นไม่สามารถที่จะแสดงออกถึงความรู้ที่ได้เพิ่มออกมาจากกาละของมันเอง,
พูดได้แต่เพียง: “ข้าคิดว่าท่านไม่ใช่ธรรมชาติ.”
เธอมองเห็นความเศร้าใจของเขา, พูด:
“มีอยู่สิ่งหนึ่ง, ลูกแม่.”
“อะไรรึ?”
“แม่รักชานิของลูกจริงๆ.
แม่ยอมรับเธอ.”
นี่เป็นความจริง, พอลบอกกับตนเอง.
นี่ไม่ใช่ภาพทัศน์ไม่สมบูรณ์ที่จะต้องถูกเปลี่ยนแปลงโดยการบิดหมุนออกมาจากการกำเนิดขึ้นเองของกาละ.
การย้ำความแน่นอนใจอีกนั้นให้เขาซึ่งการยึดกุมไว้ใหม่ต่อโลกของเขา.
ชิ้นเล็กชิ้นน้อยของความเป็นจริงเริ่มต้นที่จะหยดผ่านสภาวะฝันลงเข้าไปสู่สัมปชัญญะของเขา.
เขารู้ในทันทีนั้นว่าเขาได้อยู่ในไฮเร็จ(hiereg*), ค่ายพักในทะเลทราย. ชานิได้ตั้งกระโจมสติลเต้นท์ของพวกเขาบนแป้ง-ทรายเพื่อความอ่อนนุ่มของมัน.
นั่นหมายความได้เพียงแต่ว่าชานิได้ใกล้ชิดกับ---ชานิ, วิญญาณของเขา.
ชานิซิฮายะ(sihaya – ฤดูใบไม่ผลิแห่งทะเลทราย)ของเขา,
หอมหวานดั่งฤดูใบไม้ผลิของทะเลทราย, ชานิขึ้นมาจากกลุ่มปาล์มทั้งหลายลึกไปในเขตทางใต้.
* https://dune.fandom.com/wiki/Fremen_language
ตอนนี้,
เขาจำได้ถึงที่เธอร้องเพลงทหารทะเลทรายให้ขังในเวลาเพื่อการนอน.
“โอ้ วิญญาณของข้า
ไร้ซึ่งรสชาติต่อสรวงสวรรค์ค่ำคืนนี้
เจ้าจะไปยังที่นั้น
เชื่อฟังในโอวาทต่อที่รักของข้า”
และเธอได้ร้องเพลงการเดินเท้าของคนรักทั้งหลายได้แบ่งปันกันบนทะเลทราย,
จังหวะของมันเหมือนทรายของนูนเนินที่ลากดึงต่อเท้าเหล่านั้น.
“บอกข้าเถิดถึงดวงตาของเจ้า
และข้าจะบอกเจ้าถึงหัวใจของเจ้า.
บอกข้าเถิดถึงเท้าของเจ้า
และข้าจะบอกเจ้าถึงมือของเจ้า.
บอกข้าเถิดถึงการนอนของเจ้า
และข้าจะบอกเจ้าถึงการตื่นของเจ้า.
บอกข้าเถิดถึงความปรารถนาของเจ้า
และข้าจะบอกเจ้าถึงความต้องการของเจ้า.
เขาได้ยินบางคนกำลังดีดพิณบาลิเส็ทในอีกกระโจมหนึ่ง.
และเขาได้คิดในตอนนั้นถึง เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค. หวนนึกถึงโดยความคล้ายคลึงของเครื่องดนตรีนั้น,
เขาได้คิดถึงเกอร์นีย์ผู้ซึ่งใบหน้าที่เขาได้เห็นในกลุ่มของพวกลักลอบค้าของเถื่อน,
แต่ผู้ที่ไม่ได้เห็นเขา,
ไม่สามารถเห็นเขาได้หรือว่ารู้ถึงเขาเพราะเกรงว่าจะพลิกผันไปอย่างไม่สมควรยังพวกฮาร์คอนเนนส์ในเรื่องที่บุตรชายของท่านดยุคที่พวกตนได้ฆ่าไปแล้ว.
แต่แนววิธีของผู้เล่นในค่ำคืนนั้น,
ลักษณะพิเศษของนิ้วทั้งหลายบนสายพิณบาลิเส็ทนั้น, นำมาซึ่งนักดนตรีตัวจริงกลับมายังความทรงจำของพอล.
เป็นแชตต์จอมกระโจน, นายกองแห่งฟีเดย์คิน,
หัวหน้าแห่งหน่วยคอมมาโดมรณะผู้ทำหน้าที่คุ้มกันมวด’ดิบ.
เขารู้สึกในตอนนี้ได้ถึงปืนมัวลา(muala pistol)ที่เข็มขัดของเขา,
มีดกริชคริสไน้ฟ. เขารู้สึกถึงความเงียบสงัดกำลังรายรอบตัวเขา.
มันเป็นความเงียบก่อนรุ่งอันพิเศษนั้นเมื่อนกราตรีทั้งหลายได้จากไปและสิ่งมีชีวิตตอนกลางวันยังไม่ได้ส่งสัญญานการเตือนปลุกของมันต่อศัตรูของพวกมัน,
ที่คือ ดวงอาทิตย์.
“เจ้าต้องขี่ทะเลทรายในแสงของวันที่ ไช-ฮูลุด(Shai-hulud)จะเห็นและรู้ว่าเจ้าไม่ได้มีความกลัว,”
สติลจาร์ได้บอกไว้.
“กระนั้นแล้วเราหมุนเวลาของเราไปรอบๆและจัดตัวเราสู่การนอนในคืนนี้.”
อย่างเงียบๆ, พอลลุกขึ้นนั่ง,
รู้สึกถึงความหลวมคลายของสติลล์สูทที่ถูกปลดหย่อนไว้รอบตัวร่างของเขา,
เงาของกระโจมทะเลทรายสติลเต้นท์เลยออกไป. อย่างแผ่วเบาที่เขาเคลื่อนกาย, กระนั้นชานิก็ได้ยินเขา.
เธอพูดมาจากสลัวของกระโจม,
เงาหนึ่งอยู่ตรงนั้น: “มันยังไม่มีแสงเต็มที่เลย, ที่รัก.”
“ซิฮายะ,” เขาบอก,
พูดด้วยกึ่งหัวเราะในน้ำเสียง.
“เจ้าเรียกข้าว่าฤดูใบไม้ผลิแห่งทะเลทราย,”
เธอพูด, “แต่วันนี้ข้าตัวรำคาญของท่าน. ข้าคือเซย์ยาดินาผู้เฝ้าดูให้พิธีกรรมนั้นถูกเชื่อฟัง.”
เขาเริ่มต้นรัดแน่นชุดสติลล์สูทของตน.
“เจ้าบอกข้าครั้งหนึ่งถึงคำทั้งหลายของ คิตาบ อัล-อิบาร์(Kitab al-Ibar),” เขาพูด.
“เจ้าได้บอกข้าว่า: ‘ผู้หญิงคือสนามรบของท่าน;
จงไปเถิดยังสนามรบของท่านและให้ถึงมัน.”
“ข้าคือมารดาของบุตรแรกของท่าน,”
เธอเห็นด้วย.
เขาเห็นเธอในความสีเทาเข้าคู่ไปกับเขาในการเคลื่อนไหวสำหรับกับการเคลื่อนที่ไป,
รัดแน่นสติลล์สูทของเธอสำหรับทะเลทรายเปิดโล่ง. “ท่านควรเอาที่เหลืไปให้มากที่สุดที่ท่านสามารถทำได้,”
เธอพูด.
เขาจดจำความรักของเธอที่มีต่อเขาในการพูดนั้นและดุเธออย่างนุ่มนวล: “เซย์ดินาแห่งการเฝ้าคุมไม่แนะนำให้ระมัดระวังหรือตักเตือนคู่แข่งขันนะ.”
เธอเลื่อนข้ามมายังข้างกายเขา,
แตะแก้มของเขาด้วยฝ่ามือของเธอ. “วันนี้, ข้าเป็นทั้งผู้เฝ้าคุมและผู้หญิง.”
“เจ้าควรทิ้งหน้าที่นี้ไปให้กับผู้อื่น,”
เขาพูด.
“การรอคอยนั้นแย่เพียงพอเมื่อดีที่สุด,”
เธอพูด, “ข้าจะในไม่ช้านี้ที่มาอยู่ข้างท่าน.”
เขาจุมพิตฝ่ามือของเธอก่อนจะรัดปิดแผ่นบังใบหน้าของชุดสูทของตน,
แล้วหันและแกะเปิดผนึกของกระโจมออก.
อากาศที่เข้ามาสู่พวกเขาอุ้มความเยือกเย็นไม่-เกือบ-เป็นความแห้งที่น่าจะหุนหันไล่ตามร่องรอยของน้ำค้างในรุ่งอรุณ.
มาด้วยกับมันคือกลิ่นของมวลเริ่มจะเป็นของเครื่องเทศ,
มวลที่พวกเขาได้ตรวจพบออกมาในทางตะวันออกเฉียงเหนือ, และนั่นบอกกับพวกเขาได้ว่าน่าจะมีผู้สร้างอยู่ใกล้ๆนี้.
พอลคลานผ่านหูรูดช่องเปิดนั้น,
ยืนขึ้นบนพื้นทรายและเหยียดไล่ความหลับใหลออกไปจากกล้ามเนื้อของเขา.
แสงสว่างเขียว-มุกอ่อนๆแกะร่องรอยอยู่ที่ขอบฟ้าด้านตะวันออก.
กระโจมทั้งหลายของกองกำลังของเขาเป็นเหมือนนูนทรายเล็กๆรายรอบเขาในความสลัว.
เขาห็นการเคลื่อนไหวออกไปทางซ้ายมือ---ยามรักษาการณ์,
และรู้ว่าพวกนั้นได้เห็นเขาแล้ว.
พวกนั้นรู้ถึงอันตรายที่เขาได้เผชิญในวันนี้.
ฟรีเมนแต่ละคนได้เผชิญมันมาแล้ว.
พวกนั้นให้เขาชั่วขณะท้ายสุดนี้ของการแยกตัวตามลำพังในตอนนี้ซึ่งเขาอาจจะได้เตรียมตัวของเขา.
มันต้องทำให้เสร็จไปในวันนี้,
เขาบอกกับตนเอง.
เขาคิดถึงพลังที่เขาได้ถือกุมไว้ในใบหน้าของการสังหารหมู่---เหล่าผู้เฒ่าชราผู้ส่งบุตรชายทั้งหลายของพวกเขามากับเขาเพื่อทำการฝึกฝนในวิธีพิกลประหลาดของการยุทธ,
เหล่าผู้ชราที่ให้ต่อเขาด้วยความเคารพอย่างสูงที่สุดของการสรรเสริญเยี่ยงฟรีเมน:
“แผนการของท่านได้ผล, มวด’ดิบ.”
กระนั้นก็ยังมีนักรบฟรีเมนที่ดุร้ายที่สุดและตัวเล็กที่สุดสามารถทำสิ่งที่เขาไม่เคยทำได้.
และพอลรู้ว่าความเป็นผู้นำของเขานั้นได้รับความเจ็บปวดจากความรู้ที่พบห็นในทุกที่ของความแตกต่างระหว่างพวกเขา.
เขาไม่ได้ขี่ผู้สร้าง.
โอ้, เขาได้ขึ้นไปบนนั้นกับคนอื่นๆสำหรับการเดินทางฝึกฝนทั้งหลายและการโจมตีทั้งหลาย,
แต่เขาไม่ได้ทำการเดินทางของตัวเขาเอง. จนกว่าเขาจะได้ทำ,
โลกของเขาได้ถูกผูกมัดเอาไว้กับความสามารถทั้งหลายของคนอื่นๆ. ไม่มีที่ไม่ใช่ฟรีเมนแท้แล้วจะสามารถอนุญาตเรื่องนี้ได้.
จนกว่าเขาจะได้ทำสิ่งนี้ด้วยตนเอง, กระทั่งแดนใต้อันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย---พื้นที่ราวยี่สิบเครื่องตบพื้นโพ้นเลยไปในทะเลทราย---ได้ปฏิเสธเขานอกเสียจากเขาได้บัญชาให้นั่งเสลี่ยงหามและขี่ไปเยี่ยงแม่อธิการหรือเป็นผู้ป่วยหรือบาดเจ็บ.
ความทรงจำหวนกลับมายังเขาของการปล้ำฟัดของเขากับสัมปชัญญะภายในของเขาระหว่างกลางคืน.
เขาเห็นคู่ขนานแปลกประหลาดในที่นี่---ถ้าเขาเป็นนายของผู้สร้าง,
การปกครองของเขาก็จะถูกทำให้แข็งแกร่งขึ้น, ถ้าเขาเป็นนายของดวงตากลับข้างใน,
สิ่งนี้ก็จะแบกเอาการทดสอบคำบัญชาการของมันเองไป.
แต่โพ้นเลยพวกเขาไปนั้นทอดวางอยู่ด้วยพื้นที่เมฆปกคลุม, มหาทุรทวีปที่ซึ่งจักรวาลทั้งหมดดูเหมือนจะถูกนำมายุ่งเหยิง.
ความแตกต่างทั้งลายในหนทางทั้งหลายที่เขาหยั่งรู้เข้าใจจักรวาลนั้นหลอกหลอนเขา---ความเที่ยงตรงเข้าคู่กับความไม่เที่ยงตรง.
เขาเห็นมัน ใน สิทุ(in
situ).
กระนั้นก็ยัง, เมื่อมันกำเนิดขึ้น, เมื่อมันเข้ามาในแรงกดดันทั้งหลายของความเป็นจริง,
เจ้าตอนนี้ได้มีชีวิตของมันเองและเติบโตกับความแตกต่างอันประณีตของมันเอง.
เจตจำนงอันน่าสะพรึงกลัวยังคงอยู่. จิตสำนึกวิ่งแข่งขันกันยังคงอยู่.
และเหนือทั้งหมดได้ปรากฏขึ้นลางๆถึงจิฮาด(jihad), เลือดนองและบ้าคลั่ง.
ชานิออกมาร่วมกับเขาที่ด้านนอกกระโจม,
กอดข้อศอกของเธอ,
เงยขึ้นมองเขาจากมุมดวงตาของเธอวิธีที่เธอทำเมื่อเธอกำลังศึกษาอารมณ์ของเขา.
“บอกข้าอีกครั้งสิเกี่ยวกับน้ำทั้งหลายของพิภพกำเนิดของท่าน,
อูซุล.”
เขาเห็นได้ว่าเธอกำลังพยายามที่จะหลอกล่อเบี่ยงเบนเขา,
ผ่นอคลายจิตใจของเขาที่ตึงเขม็งทั้งหลายก่อนการทดสอบมรณะนั้น. มันได้เติบโตสว่างมากขึ้น,
และเขาสังเกตจำว่าบางฟีเดย์คินของเขาได้กำลังล้มกระโจมของพวกเขาเก็บกันแล้ว.
“ข้าอยากจะให้เจ้าบอกข้าเกี่ยวกับสิฐคามและเกี่ยวกับบุตรชายของเรามากกว่า,
เขาพูด. “ลีโตของเรากุมมารดาของข้าไว้ในฝ่ามือของเขารึยัง?”
“เป็นอาเลียที่เขากุมไว้ด้วย,”
เธอพูด. “และเขาโตรวดเร็วมาก. เขาจะเป็นชายร่างใหญ่เลยแน่.”
“มันเป็นเช่นไรที่ทางตอนใต้นั้นน่ะ?”
เขาถาม.
“เมื่อท่านขี่ผู้สร้างนั้นได้แล้วท่านก็จะเห็นมันด้วยตนเองล่ะ,”
เธอพูด.
“แต่ข้าปรารถนาที่จะเห็นทันก่อนผ่านดวงตาของเจ้า.”
“มันเปล่าเปลี่ยวอย่างมีพลังเต็มเปี่ยมเลย.”
เขาสัมผัสผ้าโพกเนโซห์นิ(nezhoni)ที่หน้าผากของเธอที่มันโพกนูนยื่นจากหมวกของสติลล์สูทเธอ.
“ทำไมเจ้าจะไม่คุยเกี่ยวกับสิฐนั้นล่ะ?”
“ข้าได้คุยเกี่ยวกับมันแล้ว. สิฐนั่นเป็นสถานที่เปลี่ยวเปล่าปราศจากผู้ชายของเรา.
มันเป็นสถานที่เพื่อทำงาน. เราลงแรงในโรงงานทั้งหลายและห้องกระถางทั้งหลาย.
มีอาวุธที่ต้องทำ, หลักทั้งหลายสำหรับปักปลูกพืชที่เราอาจจะพยากรณ์อากาศ,
เครื่องเทศที่เก็บรวบรวมเพื่อสำหรับติดสินบนนั่น. มีผ้าทอถักและพรมผืนที่ต้องทำ,
เซลเชื้อเพลิงที่ต้องชาร์จ. มีเด็กๆที่ต้องฝึกที่ซึ่งกำลังเข้มแข็งของเผ่าอาจจะไม่มีวันถูกสูญเสียไป.”
“ไม่มีอะไรน่าภิรมย์ในสิฐนั้นเลยหรือ?”
“เด็กๆนั้นแหละที่คือความภิรมย์ใจในสิฐคามนั้น.
เราสังเกตพิธีกรรมทั้งหลาย. เรามีอาหารที่เพียงพอ.
บางครั้งหนึ่งในพวกเราอาจจะมาทางเหนือเพื่ออยู่กับชายของเธอ. ชีวิตต้องไปต่อ.”
“น้องสาวของข้า, อาเลีย---เธอถูกยอมรับหรือยังจากผู้คน?”
ชานิหันมายังเขาในแสงอรุณที่เรืองรองขึ้น.
ดวงตาของเธอทะลุเข้าไปในตัวเขา. “เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องถูกถกกันในอีกเวลาอื่น,
ที่รัก.”
“เรามาถกกันในตอนนี้เถิด.”
“ท่านควรจะสงวนพลังงานทั้งหลายของท่านไว้สำหรับการทดสอบนี้,”
เธอพูด.
เขามองเห็นว่าเขาได้แตะต้องบางอย่างที่อ่อนไหว,
ได้ยินการถอนดึงกลับในน้ำเสียงของเธอ.
“ความไม่รู้นำสิ่งกังวลใจทั้งหลายของมันมาเอง,” เขาพูด.
ทันทีทันใดนั้นเธอก็พยักหน้ารับ, พูด,
“ก็ยังมี.....ความไม่เข้าใจอยู่เพราะความแปลกประหลาดของอาเลีย.
พวกผู้หญิงกลัวกันมากเพราะว่าเด็กตัวเล็กๆมีมากกว่าทารกพูดคุย.....ถึงสิ่งที่มีเพียงแต่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะรู้.
พวกเขาไม่เข้าใจถึง.....การเปลี่ยนแปลงในครรภ์ที่ทำให้อาเลีย.....แตกต่างไป.”
“มีเรื่องเดือดร้อนไหม?”
เขาถาม. และเขาคิด: ข้าได้เห็นภาพทัศน์ทั้งหลายของความเดือดร้อนอยู่เหนืออาเลีย.
ชานิมองยังเส้นที่ขอบฟ้ากำลังเติบโตขึ้นของแสงอาทิตย์.
“บางรายของพวกผู้หญิงตั้งคณะกันไปร้องอุทธรณ์ต่อแม่อธิการ.
พวกเขาเรียกร้องให้เธอไล่ปีศาจที่อยู่ในตัวลูกสาวของเธอ.
พวกเขาได้อ้างถึงพระคัมภีร์: “ย่อมไม่ไร้ซึ่งความทุกข์เมื่อแม่มดอยู่ในหมู่ของเรา.”
“แล้วมารดาของข้าพูดอะไรกับพวกนั้น?”
“เธอท่องถึงกฎและไล่ส่งพวกผู้หญิงนั้นไปให้ได้อับอาย.
เธอบอกว่า: “ถ้าอาเลียกระตุ้นให้มีเรื่องเดือดร้อน,
มันเป็นความผิดของผู้มีอำนาจหน้าที่สำหรับการไม่คาดการณ์และป้องกันความเดือดร้อนนั้น.”
และเธอก็พยายามที่จะอธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ทำงานกับอาเลียอย่างไรในครรภ์.
แต่พวกผู้หญิงนั้นโกรธเพราะว่าพวกเขาได้รับความอับอาย. พวกเชาเดินหนีบ่นพึมพำไป.”
จะมีเรื่องเดือดร้อนเพราะอาเลีย,
เขาคิด.
ผลึกพัดมาของทรายสัมผัสส่วนเปิดอยู่ของใบหน้าของเขา,
นำมาซึ่งกลิ่นของมวลก่อน-เป็นเครื่องเทศ. “เอล ซายาล(el sayal),
ฝนของทรายที่นำยามเช้ามา,” เขาพูด.
เขามองออกไปข้ามแสงสีเทาของภูมิทัศน์ของทะเลทราย,
ภูมิทัศน์โพ้นเลยความเนอกเห็นใจ, ทรายนั้นที่ถูกก่อรูปทรงซึมซับในตัวมันเอง.
แสงสว่างแห้งเป็นริ้วหลากสีที่มุมมืดของทางตอนใต้---สัญญานว่าพายุหนึ่งได้ก่อตัวประจุสถิตขึ้นที่นั้น.
ม้วนของสายฟ้าสะเทือนเลือนลั่นยาวนานตามมา.
“เสียงที่สร้างความงดงามให้แผ่นดิน,” ชานิพูด.
คนของเขามากขึ้นกำลังวุ่นวายออกมาจากกระโจมทั้งหลาย.
พวกยามรักษาการณ์กำลังเข้ามาทางชายขอบนั้น. ทุกอย่างรายรอบเขาเคลื่อนไวอย่างราบรื่นในกิจวัตรโบราณที่ไม่ต้องมีคำสั่งบัญชาใด.
“ออกคำสั่งเล็กน้อยเท่าที่เป็นไปได้,”
บิดาของเขาได้บอกกับเขา.....ครั้งหนึ่ง....นานมาแล้ว.
“เมื่อใดที่เจ้าได้ให้คำสั่งไปกับเป้าหมายนั้น, เจ้าต้องออกคำสั่งต่อเป้าหมายนั้นเสมอ.”
พวกฟรีเมนรู้ถึงกฎนี้โดยสัญชาตญาณ.
นายกองหน้าของหน่วยเริ่มสวดมนตร์เช้า,
เสียงของเขาโหยหวนข้ามเนินนูนของทราย. “ผู้ที่สามารถหันหนีจากเทพมรณะได้หรือ?
อะไรที่ไช-ฮูลุดได้มีโองการไว้ต้องเป็น.”
พอลฟัง,
จดจำได้ถึงว่าคำเหล่านี้ที่เริ่มต้นการสวดถึงความตายของฟีเดย์คินของเขา,
คำทั้งหลายของหน่วยคอมมานโดมรณะท่องในขณะที่พวกเขาเหวี่ยงตนเองเข้าสู่การยุทธ.
จะมีสถูปศิลาที่นี่ในวันนี้เพื่อเป็นเครื่องหมายถึงการผ่านไปของอีกวิญญาณหนึ่งไหม?
พอลถามตนเอง. ฟรีเมนจะหยุดที่นี่ในอนาคต, แต่ละคนจะเพิ่มก้อนหินอีกและคิดถึงมวด’ดิบผู้ที่ตายในที่แห่งนี้?
เขารู้ว่านี้อยู่ในท่ามกลางทางเลือกทั้งหลายของวันนี้,
ความจริงที่ไปตามเส้นทั้งหลายของอนาคตแผ่รังสีจากตำแหน่งนี้ในกาล-อวกาศ.
ภาพทัศน์ที่ไม่สมบูรณ์รังควานเขา. ยิ่งเขาดื้อดึงต่อเจตจำนงอันน่าสะพรึงกลัวของเขานั้นและต่อสู้ต้านการมาถึงของจิฮาด(jihad)นั้น,
ก็ยิ่งใหญ่หลวงที่ความอลหม่านวุ่นวายซึ่งถักทอผ่านทะลุญาณการเห็นล่วงหน้าของเขา. อนาคตทั้งปวงของเขากำลังไหลบ่ามาเหมือนแม่น้ำที่ระบาดแรงไปสู่รอยแตก---แก่นเชื่อมต่ออันดุดันโพ้นเลยไปที่ซึ่งทั้งหมดอยู่ในม่านหมอกและเมฆทั้งหลาย.
“สติลจาร์เข้ามาหา,”
ชานิพูด. “ข้าต้องยืนแยกไปแล้วในตอนนี้, ที่รัก. ตอนนี้, ข้าต้องเป็นเสย์ยาดินาและสังเกตการณ์พิธีกรรมที่มันอาจจะถูกรายงานอย่างสัจในจดหมายเหตุทั้งหลาย.”
เธอเงยมองเขาและ, ชั่วขณะหนึ่ง, สิ่งสงวนไว้ของเธอเลื่อนเข้ามา,
แล้วเธอได้ตนเองอยู่ในการควบคุม. “เมื่อเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว,
ข้าจะเตรียมอาหารให้กับท่านด้วยมือของข้าเอง,” เธอพูด. เธอหันร่างจากไป.
สติลจาร์เคลื่อนมายังเขาข้ามทรายแป้งนุ่มนั้น,
ก่อกวนฝุ่นฟุ้งขึ้นเพียงน้อยนิด. เบ้ามืดของดวงตาของเขายังคงแน่วแน่จับอยู่ที่พอลด้วยการจ้องมองอย่างดุดัน.
การสะดุดตาของเคราดำเหนือหน้ากากของชุดสติลล์สูท, เส้นสายของแก้มโหนกชัน,
คงได้ถูกหิน-ลมกัดเซาะตามธรรมชาติมาตลอดทั้งหมดของการเคลื่อนไหวของพวกเขา.
ชายนั้นถือแถบธงของพอลที่อยู่บนคันเสาของมัน---แถบธงผ้าสีเขียวและดำพร้อมหลอดน้ำในคันเสานั้น---นั่นได้เป็นตำนานหนึ่งของดินแดนนี้ไปแล้ว.
กึ่งภาคภูมิใจ, พอลคิด: ข้าไม่สามารถทำสิ่งที่ง่ายที่สุดได้โดยปราศจากการที่มันกลายเป็นตำนานได้.
พวกเขาจะจดลงไปถึงว่าข้าได้แยกจากชานิอย่างไร, ข้าได้ต้อนรับสติลจาร์อย่างไร---ทุกฝีก้าวที่ข้าได้ทำในวันนี้.
มีชีวิตอยู่หรือตาย, มันคือตำนาน. ข้าต้องไม่ตาย. แล้วมันก็จะเป็นเพียงแค่ตำนานและไม่มีอะไรที่จะหยุดจิฮาด(jihad)ได้.
สติลจาร์ปักคานเสานั้นลงในทรายข้างพอล,
ทิ้งมือของเขาลงข้างลำตัว. ดวงตาสีฟ้าภายในฟ้านั้นยังคงอยู่ในระดับและแน่วนิ่ง.
และพอลคิดว่าดวงตาของเขาเองได้เป็นเหมือนเช่นหน้ากากของสีนี้อย่างไรจากเครื่องเทศนั้น.
“พวกเขาปฏิเสธเราในเรื่องฮัจจ์(Hujj),” สติลจาร์พูดด้วยความเคร่งขรึมพิธีกรรม.
ดังที่ชานิได้สอนเขาไว้, พอลตอบสนอง:
“ใครหรือที่สามารถปฏิเสธฟรีเมนถึงสิทธิที่จะเดินหรือขี่ไปในที่ซึ่งเขามีเจตจำนง?”
“ข้าคือ นาอิบ(Naib),” สติลจาร์พูด, “ไม่เคยถูกจับกุมตัวทั้งที่มีชีวิตอยู่ไปได้.
ข้าคือขาหนึ่งในสามของแท่นความตายที่จะทำลายล้างศัตรู.”
ความเงียบปักหลักอยู่เหนือพวกเขา.
พอลชำเลืองมองฟรีเมนคนอื่นๆกระจายอยู่เหนือทะเลทรายโพ้นเลยจากสติลจาร์ไป,
วิธีที่พวกเขายืนโดยปราศจากการเคลื่อนไหวเพื่อชั่วขณะหนึ่งของการสวดภาวนาส่วนตัว.
และเขาคิดถึงว่าพวกฟรีเมนเป็นผู้คนเช่นไรที่มีชีวิตอยู่ประกอบด้วยการฆ่าฟัน,
และผู้คนทั้งปวงผู้ได้มีชีวิตอยู่ด้วยความโกรธและเศร้าสลดใจตลอดชั่ววันเวลาในชีวิตของพวกเขา,
ไม่เคยสักครั้งที่จะหยุดคิดพิจารณาว่าอะไรอาจเข้ามาแทนที่ของไม่ว่า---นอกจากเพื่อความฝันกับสิ่งที่เลียต-คายนิ์สฉีดซึมซาบแผ่ซ่านในพวกเขาไว้ก่อนที่เขาจะตาย.
“อยู่แห่งใดหรือที่พระเจ้าผู้นำเราผ่านดินแดนแห่งทะเลทรายและขวากหลุมทั้งหลาย?”
สติลจาร์ถาม.
“พระองค์อยู่สถิตกับเรา,” ฟรีเมนสวดรับ.
สติลจาร์แบะไหล่ของเขา,
ก้าวเข้ามาใกล้พอลอีกและลดเสียงของเขาต่ำลง. “ตอนนี้,
จดจำถึงอะไรที่ข้าบอกกับเจ้าไว้. ทำมันอย่างง่ายๆและอย่างตรง---ไม่มีอะไรฝันเพ้อ.
ในหมู่ผู้คนของพวกเราเราขี่ผู้สร้างมาตั้งแต่อายุสิบสอง.
เจ้ามากกว่าหกปีเลยจากอายุนั้นและไม่ได้กำเนิดมาต่อชีวิตนี้.
เจ้าไม่จำเป็นต้องสร้างความประทับใจด้วยความกล้าหาญของเจ้า.
เรารู้ดีว่าเจ้านั้นกล้าหาญ. ทั้งที่เจ้าต้องทำคือเรียกผู้สร้างมาแล้วขี่เขา.”
“ข้าจะจดจำไว้,” พอลพูด.
“ขอให้เห็นว่าเจ้าทำ.
ข้าจะไม่ได้เจ้ามาทำอับอายให้กับคำสอนของข้า.”
สติลจาร์ดึงแท่งพลาสติกราวหนึ่งเมตรยาวจากใต้เสื้อคลุมของเขาออกมา.
สิ่งนั้นมีปลายชี้แหลมด้านหนึ่ง, มีขดลวดสปริงหนีบติดไว้ที่อีกปลายด้านหนึ่ง.
“ข้าได้เตรียมเครื่องตบพื้นนี้ด้วยตัวข้าเอง. มันเป็นที่ดีอันหนึ่ง. รับมันไป.”
พอลรู้สึกถึงความอบอุ่นเรียบรื่นของพลาสติกนั้นขณะที่เขารับเอาเครื่องตบพื้นนั้นมา.
“ชิชาคลิมีตะขอทั้งหลายของเจ้า,” สติลจาร์พูด.
“เขาจะส่งพวกมันให้กับเจ้าเมื่อเจ้าก้าวออกไปที่นูนทรายตรงโน้น.”
เขาชี้ไปทางขวามือของเขา. “เรียกผู้สร้างตัวใหญ่หนึ่งมา, อูซุล.
แสดงหนทางให้เราเห็น.”
พอลสังเกตได้ถึงน้ำเสียงของสติลจาร์นั้น---กึ่งพิธีกรรมและกึ่งที่เป็นความห่วงใยของเพื่อน.
ในชั่วขณะนั้น,
ดวงอาทิตย์ดูเหมือนจะมุ่งหน้าขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้า.
ท้องฟ้าไปสู่สีเงินของเทา-ฟ้าที่เตือนให้รู้ว่านี้จะเป็นวันของการร้อนระอุและความแห้งที่สุดๆกระทั่งสำหรับอาร์ราคิส.
“มันเป็นเวลาของวันที่ร้อนระอุมาก,”
สติลจาร์พูด, และตอนนี้เสียงของเขาเป็นพิธีการอย่างทั้งปวง. “ไป, อูซุล,
และขี่ผู้สร้าง, เดินทางในทะเลยเยี่ยงผู้นำของทหาร.”
พอลทำความเคารพต่อธงของเขา, สังเกตเห็นว่าธงสีเขียวและดำนั้นแขวนอย่างอ่อนล้าอย่างไรในตอนนี้ที่สายลมรุ่งอรุณได้นิ่งสนิท.
เขากันไปยังนูนทรายที่สติลจาร์ได้ชี้ไปนั้น---เนินลาดสีนำตาลไหม้สกปรกด้วยยอดหงอดรูปตัว-เอส.
เรียบร้อยแล้ว, ที่กองทหารนี้ได้เคลื่อนออกไปในทิศทางตรงกันข้าม, ปีนขึ้นไปยังนูนทรายอื่นที่ได้เป็นที่กำบังของค่ายพักของพวกเขามา.
ร่างในเสื้อคลุมหนึ่งยังคงอยู่ในเส้นทางไปของพอล: ชิชาคลิ, ผู้นำหน่วยสายตรวจของฟีเดย์คิน,
มีเพียงแค่ดวงตาที่เปลือกตาเรียวเอียงของเขาเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็นได้ระหว่างหมวกปิดของชุดสติลล์สูทและหน้ากาก.
ชิชาคลิยื่นเสนอแท่งเหมือนด้ามแซ่เรียวๆสองอันมาให้ขณะที่พอลเดินเข้ามาถึง.
แท่งนั้นยาวราวหนึ่งเมตรครึ่งด้วยตะขอพลาสติกผสมเหล็กแวววาวที่ปลายอันหนึ่ง,
ยาบสากที่ปลายสุดอีกด้านสำหรับการกุมแน่น.
พอลรับพวกนั้นมาทั้งคู่ไว้ในมือซ้ายของเขาดังที่เป็นพิธีกรรม.
“พวกนี้เป็นตะขอของข้าเอง,” ชิชาคลิพูดในเสียงแหบพร่า,
“พวกมันไม่เคยทำพลาด.”
พอลพยักหน้ารับ,
ดำรงอยู่ในความเงียบที่จำเป็น,
เคลื่อนกายผ่านชายนั้นและขึ้นไปตามลาดเอียงของนูนทราย. ที่สันยอดรูปหงอน,
เขาหันชำเลืองมองกลับมา, เห็นกองทหารกระจายกันออกไปเหมือนฝูงบินของแมลง, เสื้อคลุมของพวกเขากระพือสะบัด.
เขายืนอยู่ตามลำพังในตอนนี้บนสันทรายด้วยเส้นขอบฟ้าตรงหน้าของเขา,
ขอบฟ้าแบนราบและไม่เคลื่อนไหวใด. นี่เป็นนูนทรายที่ดีซึ่งสติลจาร์ได้เลือก,
สูงกว่าเพื่อนๆของมันทั้งหลายสำหรับการได้เปรียบของมุมมองทัศนวิสัย.
ก้มค้อมร่างลงไป, พอลปลูกเครื่องตบพื้นลึกเข้าไปในด้านหันหน้าต่อทิศทางลมพัดไปที่ทรายได้อัดแน่นและจะให้การส่งผ่านสูงสุดของเสียงตพื้น.
แล้วเขาก็ลังเล, ทบทวนลทเรียนทั้งหลาย, ทบทวนความจำเป็นทั้งหลายของชีวิต-และ-ความตายที่เผชิญหน้ากับเขา.
เมื่อเขาเหวี่ยงสลักออก,
เครื่องตบพื้นก็จะเริ่มหมายเรียกของมัน. ข้ามทะเลทรายไป, หนอนยักษ์---ผู้สร้าง---จะได้ยินและเข้ามาหาเสียงตบพื้นนี้.
ด้วยแท่งเหมือนด้ามแซ่ฟาดสองอันนั้น, พอลรู้ดี, เขาสามารถเกาะติดกับหลังโค้งสูงของผู้สร้างนั้นได้.
ตราบนานเท่าที่ขอบข้างหน้าของท่อนวงแหวนตัดขวางลำตัวได้ถูกยึดเปิดออกโดยตะขอนี้,
เปิดออกเพื่อรับการสาดขัดสีของทรายเข้าไปในประสาทรู้สึกยิ่งขึ้นภายใน,
สัตว์ร้ายนี้ก็จะไม่ถอยหดกลับเข้าไปในใต้พื้นทรายอีก. มันจะ, ที่จริงแล้ว,
ม้วนร่างใหญ่มหึมาของมันเพื่อนำเอารอยเปิดนั้นไปห้ำกลจากผิวหน้าทะเลทรายให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้.
ข้าคือผู้ขี่ทราย, พอลบอกกับตนเอง.
เขาชำเลืองมองลงไปที่ตะขอในมือซ้ายของเขา,
คิดว่านี่คือที่เขามีเพียงแค่เอาตะขอนี้เท่านั้นเกี่ยวลงไปที่ส่วนโค้งของด้านข้างอันมหึมาของผู้สร้างเพื่อที่จะทำให้เจ้าสัตว์ร้ายนั้นม้วนตัวและพลิกขึ้น,
นำทางมันไปยังที่ที่เขาตั้งใจไป. เขาเคยได้เห็นการทำเช่นนี้. เขาได้ถูกช่วยให้ขึ้นไปด้านข้างของนอนตัวหนึ่งในการขี่ระยะสั้นของการฝึก.
หนอนที่จับได้จะสามารถถูกขี่ไจนกว่ามันจะนอนหมดแรงและสงบนิ่งอยู่เหนือพื้นผิวทรายและหนอนตัวใหม่ก็จะถูกเรียกมาอีก.
เมื่อใดที่เขาได้ผ่านการทดสอบนี้แล้ว, พอลรู้,
เขาก็ได้รับการผ่านคัดเลือกให้ทำการเดินทางยี่สิบเครื่องตบพื้นเข้าไปสู่ดินแดนตอนใต้---เพื่อพักและฟื้นฟูตนเอง---เข้าไปในทางตอนใต้ที่ซึ่งผู้หญิงและครอบครัวทั้งหลายได้ถูกซ่อนไว้จากการถูกสังหารหมู่ในท่ามกลางป่าปาล์มและโพรงสิฐคามทั้งหลาย.
เขายกศีรษะของตนขึ้นและมองไปยังทิศใต้,
เตือนตนเองว่าผู้สร้างที่ถูกเรียกมาอย่างดุร้ายจากชายขอบนั้นไม่อาจรู้ถึงขนาด,
และหนึ่งนั้นก็คือผู้ที่ไม่รู้เสมอกันต่อการทดสอบนี้เช่นกัน.
“เจ้าต้องวัดประเมินผู้สร้างที่เข้ามาหานี้อย่างระมัดระวัง,”
สติลจาร์ได้อธิบายไว้. “เจ้าต้องยืนใกล้เพียงพอที่เจ้าสามารถเกาะติดมันขณะที่มันผ่าน,
กระนั้นก็ยังไม่ใกล้จนมันฉกกลืนเจ้าเข้าไปได้.”
ด้วยการตัดสินใจในทันทีนั้น, พอลปลดสลักของเครื่องตบพื้น.
มือตบเริ่มต้นหมุนและส่งเสียงตบผ่านทรายไป, เป็นจังวะความเร็วของ
“ตั้ม.....ตั้ม.....ตั้ม.....”
เขายืดร่าง, ตรวจกวาดไปตามเส้นขอบฟ้า,
จดจำถึงคำพูดของสติลจาร์. “ตัดสินเส้นที่เข้ามาอย่างระมัดระวัง.
จำเอาไว้ว่า,
หนอนนั้นมักจะทำการเข้ามาหาอย่างมองไม่เห็นสู่เครื่องตบพื้น.งเสียงทั้งหมดด้วยเช่นกัน.
เจ้าอาจจะมักได้ยินมันก่อนที่เจ้าจะเห็นมัน.”
และคำพูดของชานิถึงการระมัดระวัง,
กระซิบในตอนกลางคืนเมื่อความกลัวของเอต่อเขาเข้ามาเอาชนะเธอ, เติมเต็มจิตใจของเขา:
“เมื่อท่านทำการยืนของท่านไปตามแนวเส้นทางของผู้สร้าง,
ท่านต้องยังคงนิ่งเอาไว้อย่างที่สุด. ท่านต้องคิดเหมือนเป็นแผ่นผืนทราย. ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมของท่านและกลายเป็นนูนทรายเล็กๆอันหนึ่งในเนื้อแท้ยิ่งของท่าน.”
อย่างช้าๆ, เขาตรวจกวาดมองขอบฟ้า, ฟัง,
เฝ้าดูหาสัญญานอย่างที่เขาถูกสอนมา.
มันมาจากทางตะวันออกเฉียงใต้,
เสียงซี่ดๆระยะไกล, เสียงกระซิบของทราย. ในทันทีนั้น, เขาเห็นในที่ไกลออกไปเป็นเส้นโรงนอกของแนวร่องรอยสิ่งมีชีวิตนั้นตัดกับแสงอรุณรุ่งและตระหนักได้ว่าเขาไม่เคยมาก่อนเห็นผู้สร้างที่มีขนาดใหญ่มากเช่นนี้มาก่อน,
ไม่เคยได้ยินถึงตัวที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้. มันปรากฏเป็นยาวมากยิ่งกว่าครึ่งลีค(1.5 ไมลิ์),
และความสูงฟุ้งขึ้นของคลื่นทรายทั่วงอนของมันนั้นเหมือนภูเขาที่เคลื่อนเข้ามา.
นี่ไม่ใช่อะไรที่ข้าได้เห็นโดยภาพทัศน์หรือในชีวิต,
พอลเตือนให้ตนเองระวัง.
เขาเร่งข้ามเส้นทางของสิ่งนั้นเพื่อที่จะเข้าที่ยืนของตน,
ถูกกุมจับไว้ไปทั่วทั้งตัวโดยความจำเป็นทั้งหลายของชั่วขณะนี้.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น