เมื่อกฎหมายและหน้าที่เป็นหนึ่งเดียวกัน,
รวมตัวเข้าโดยลัทธิศาสน์, เจ้าก็ไม่มีวันได้กลายเป็นมีสติสัมปชัญญะอย่างเต็มที่,
สัมปชัญญะเต็มเปี่ยมของตนเอง. เจ้ามักจะน้อยกว่าเป็นปัจเจกตนเองลงเล็กน้อย.
---จาก
“มวด’ดิบ: เก้าสิบ-เก้ามหัศจรรย์แห่งเอกภพ” โดย
เจ้าหญิงอีร์อูลาน
โรงงานเครื่องเทศของพวกลักลอบของเถื่อนด้วยยานบรรทุกและยานโดรนออมนิธ็อปเปอร์ทั้งหลายบินวงเข้ามาถึงโดยยกทรายของนูนเนินปลิวกระจายเหมือนฝูงผึ้งติดตามราชินีของมัน.
ข้างหน้าของฝูงผึ้งทอดตัวอยู่คือสันหินผาเตี้ยที่ยกตัวขึ้นจากพื้นทะเลทรายเหมือนหุ่นจำลองแบบเล็กๆของกำแพงโล่ห์พลัง.
หาดแห้งทั้งลายของสันผานั้นถูกกวาดสะอาดเกลี้ยงไปด้วยพายุที่เพิ่งผ่านไป.
ในโรงงานรูปโครงสร้างเหมือนฟองนั้น, เกอร์นีย์
ฮัลเล็คเอนกายไปข้างหน้า, ปรับแต่งเลนส์น้ำมันของกล้องส่อสองตาและตรวจดูภูมิทัศน์เหล่านั้น.
โพ้นเลยสันผาไป, เขาสามารถมองเห็นแผ่นคล้ำที่อาจจะเป็นเครื่องเทศกระเด็นฟอง,
เขาให้สัญญานไปยังยานออมนิธ็อปเปอร์ที่บินวนเหนือหัวซึ่งส่งมันให้ไปตรวจสอบ.
ยาน’ธ็อปเปอร์นั้นกระพือปีกเพื่อบอกว่ามันได้รับทราบสัญญานนั้นแล้ว.
มันแยกออกไปจากฝูงผึ่ง, เร่งความเร็วลงไปยังแผ่นทรายคล้ำเข้มนั้น,
ตีวงเหนือพื้นที่ด้วยเครื่องตรวจห้อยลงไปใกล้พื้นผิวนั้น.
เกือบจะในทันทีทันใดนั้น,
มันก็สู่การทำปีกหุบจุ่มจิ้มและตีวงที่บอกกับโรงงานที่รอคอยอยู่ว่าเครื่องเทศได้ถูกพบแล้ว.
เกอร์นีย์สอดกล้องส่องสองตาของเขาเก็บเข้าซอง,
รู้ว่าคนอื่นๆได้เห็นสัญญานนั้นแล้ว. เขาชอบที่จุดแห่งนี้.
สันผายื่นเป็นเชิงโล่กำบังและปกป้องให้. นี่เป็นตอนลึกเข้ามาในทะเลทราย,
สถานที่ที่ไม่คุ้นเคยสำหรับการถูกซุ่มโจมตี.....ยังคง.....เกอร์นีย์ส่งสัญญานไปยังลูกเรือให้บินโฉบขึ้นไปเหนือสันผานั้น,
เพื่อที่จะไล่กวาดตรวจมัน,
ส่งพวกสำรองทั้งหลายให้ขึ้นไปเข้าตำแหน่งที่ตั้งในรูปแบบรายรอบพื้นที่---ไม่สูงเกินไปนักเพราะว่าแล้วพวกเขาจะสามารถถูกเห็นได้จากระยะไกลโดยเครื่องตรวจหาของฮาร์คอนเนนฺ.
เขากังขาใจ,ด้วยกระนั้น, ว่าหน่วยลาดตระเวนฮาร์คอนเนนทั้งหลายน่าจะอยู่ไกลทางตอนใต้หรือไม่.
นี่ยังคงเป็นชนบทของฟรีเมน.
เกอร์นีย์ตรวจดูอาวุธของเขา,
สาปแช่งโชคชะตาที่ทำให้โล่พลังไร้ประโยชน์ที่ข้างนอกนี่. อะไรก็ตามที่เรียกให้พวกหนอนเข้ามาหาจะถูกหลีกเลี่ยงการใช้งานในทุกกรณีทั้งหมด.
เขาถูกรอยแผลเป็นสีหมึกองุ่นที่เลื้อยไปตามกรามของเขา, ศึกษาฉากทัศน์นั้น,
ตัดสินใจว่ามันเป็นที่ปลอดภัยที่สุดที่จะนำคณะภาคพื้นดินผ่านทะลุสันผามา.
การตรวจสอบด้วยการเดินเท้าก็ยังคงเป็นสิ่งแน่นอนมากที่สุด.
เจ้าไม่สามารถเป็นที่ว่าระมัดระวังเกินไปนักเมื่อฟรีเมนและฮาร์คอนเนนจ่ออยู่ที่คอหอยของกันและกัน.
มันเป็นพวกฟรีเมนที่สร้างวามกังวลให้กับเขาที่นี่.
พวกนั้นไม่สนใจการค้าขายทั้งหมดของเครื่องเทศที่เจ้าสามารถหาซื้อได้,
แต่พวกเขาเป็นปีศาจร้ายทั้งหลายบนเส้นทางสงครามถ้าเจ้าย่างเท้าเข้ามาเหยียบที่ซึ่งพกวเขาได้ห้ามเจ้าไว้ว่าไม่ให้ไป.
และพวกนั้นฉลาดในเล่ห์เหลี่ยมร้ายปานปีศาจในการรอช้า.
มันก่อกวนใจเกอร์นีย์,
การยุทธแบบเล่ห์เหลี่ยมร้ายและคล่องแคล่วชำนาญของพวกชนพื้นเมืองนี้.
พวกเขาไม่ได้เล่นอย่างละเมียดละไมโอ่อ่าในการสงครามชั้นดีเท่าที่เขาได้เคยประสบปะทะมา,
และเขาได้ถูกฝึกมาโดยนักต่อสู้ที่ดีที่สุดในเอกภพแล้วจึงได้เพิ่มรสชาติจากการยุทธทั้งหลายที่มีเพียงสุดยอดฝีมือน้อยรายเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้.
อีกครั้งที่เกอร์นีย์กวาดตรวจภูมิทัศน์เหล่านั้น,
สงสัยในใจว่าทำไมเราถึงได้รู้สึกไม่สบายใจ.
บางทีมันเป็นเพราะหนอนทรายที่เขาได้เห็น.....แต่นั้นอยู่อีกด้านหนึ่งของสันผานี้.
ศีรษะหนึ่งโผล่ผุดเข้ามาในฟอง-โครงข้างตัวเกอร์นีย์---ผู้บัญชาการโรงงาน,
โจรสลัดชราตาเดียวด้วยเครารกเต็ม, ดวงตาสีฟ้าและฟันสีนมจากอาหารอุดมด้วยเครื่องเทศ.
“ดูจะเป็นแผ่นผืนที่อุดมสมบูรณ์เลยนะ,
ขอรับ,” ผู้บัญชาการโรงงานพูด. “เราจะจัดการเอามันเลยไหม?”
“ลงไปที่ริมของสันผานั่น,” เกอร์นีย์สั่งการ.
“ปล่อยให้ข้านำขึ้นฝั่งด้วยคนของข้าเอง.
เจ้าสามารถไถนำเอาเครื่องเทศออกมาจากตรงนั้น. เราจะต้องคอยมองจากสันหินนั้นไว้.”
“อ๊าย.”
“ในกรณีที่มีเรื่องขึ้นมา,” เกอร์นีย์บอก,
“รักษาโรงงานเอาไว้. เราจะยกมันขึ้นมาด้วยพวกยาน’ธ็อปเปอร์ทั้งหลาย.”
ผู้บัญชาการโรงงานวันทยาหัตถ์.
“อ๊าย, ขอรับ.” เขาผลุบหัวกลับลงไปผ่านฝาเปิด/ปิดนั้น.
อีกครั้งที่เกอร์นีย์กวาดไล่ตรวจเส้นขอบฟ้า.
เขาจำเป็นต้องเคารพต่อความเป็นไปได้ที่ว่ามีพวกฟรีเมนที่นี่และเขาเป็นผู้บุกรุก.
ฟรีเมนทำให้เขากังวลใจ, ความทรหดและความสามารถอันคาดไม่ถึงของพวกเขา.
หลายสิ่งเกี่ยวกับธุรกิจนี้ทำให้เขาเป็นห่วงกังวล, แต่รางวัลมันยิ่งใหญ่.
ตวามจริงที่ว่าเขาไม่สามารถส่งยานค้นหาสูงขึ้นไปเหนือหัวนั้นทำให้เขากังวล,
ด้วยเช่นกัน. สัญญาณวิทยุที่จำเป็นนั้นเงียบสนิทยิ่งเติมเพิ่มให้กับความไม่สบายใจของเขา.
โรงงานคลานคืบคราว์เลอร์เลี้ยวหัน,
เริ่มต้นเคลื่อนลงสู่พื้น. อย่างนุ่มนวลที่มันไถลลงไปยังหาดทรายแห้งที่เชิงตีนสันผา.
เหยียบย่ำสัมผัสทราย.
เกอร์นีย์เปิดโดมฟองนั้นออก,
ปลดสายรัดนิรภัยของเขา. ในขณะนั้นโรงงานหยุดลง, เขาก้าวออกมา,
เหวี่ยงฝาฟองนั้นปิดลงด้านหลังเขา,
ตะกายปีนออกมาเหนือยามรักษาการณ์เดินเท้าทั้งหลายเพื่อเหวี่ยงตัวลงสู่พื้นทรายเลยพ้นจากตาข่ายฉุกเฉิน.
ห้าคนของยามคุ้มกันส่วนตัวของเขาออกมาหาเขา, รีบเร่งอกมาจากจมูกฝาเปิด/ปิด.
คนอื่นๆกำลังปล่อยปีกบินหิ้วโรงงานออก. มันหลุดออก,
ยกตัวออกขึ้นบินเป็นวงจอดระดับต่ำเหนือศีรษะ.
ทันทีนั้นโรงงานคราว์เลอร์ใหญ่เอียงตัวเซ,
เหวี่ยงตัวออกไปจากสันผาตรงไปยังแผ่นเข้มคล้ำของเครื่องเทศข้างนอกในทะเลทรายนั้น.
ยาน’ธ็อปเปอร์หนึ่งโฉบลงมาใกล้,
ไถลลงหยุดจอด. อีกลำตามลงมาและอีกลำอื่น. พวกมันสำรอกคายกองลาดตระเวนของเกอร์นีย์ออกมาและยกตัวบินขึ้น.
เกอร์นีย์ทดสอบกล้ามเนื้อของเขาในชุดสติลล์สูทของเขา,
ยืดเหยียดมัน. เขาปล่อยหน้ากากกรองออกจากใบหน้าของตน,
สูญเสียความชื้นเพื่อความจำเป็นที่ยิ่งใหญ่กว่า---พลังส่งออกไปซึ่งเสียงของเขาถ้าเข้าต้องสั่งบัญชาการทั้งหลาย.
เขาเริ่มต้นปีนขึ้นไปบนก้อนหินเหล่านั้น, ตรวจสอบภูมิประเทศ---ก้อนกรวดและเม็ดถั่วทรายใต้เท้า,
กลิ่นของเครื่องเทศ.
ที่ตั้งดีสำหรับฐานฉุกเฉิน, เขาคิด.
อาจเป็นเหตุผลที่ดีที่จะฝังเสบียงทั้งหลายไว้สักเล็กน้อยที่นี่.
เขาชำเลืองมองกลับไป,
เฝ้าดูคนของเขากระจายกกันออกไปขณะที่พวกนั้นตามเขามา. ทหารที่ดี, กระทั้งรายที่มาใหม่ที่เขายังไม่มีเวลาได้ทดสอบ.
ทหารที่ดี. ไม่ต้องให้บอกทุกครั้งว่าต้องทำอะไร.
ม่มีโล่พลังส่งประกายออกมาในคนใดของพวกนั้น. ไม่มีคนขลาดในหมู่นี้,
แบกโล่ห์พลังทั้งหลายเข้ามาในทะเลทรายที่ซึ่งหนอนทรายสามารถสัมผัสรู้ถึงสนามพลังนั้นและเข้ามาปล้นพวกเขาจากเครื่องเทศที่พวกเขาค้นพบ.
จากแนวตั้งลาดในหินทั้งหลายนั้น, เกอร์นีย์สามารถมองเห็นแผ่นปื้นของเครื่องเทศเกือบครึ่งกิโลเมตรห่างออกไปและเครื่องคราว์เลอร์เกือบจะไปถึงริมขอบที่ใกล้อยู่.
เขาชำเลืองมองขึ้นไปยังยานบินคุ้มกัน, สังเกตถึงระดับความสูงนั้น---ไม่สูงเกินไป.
เขาพยักหน้าให้กับตนเอง, หันไปดำเนินการปีนขึ้นไปสันผาของเขาอีก.
ในทันทีนั้น, สันผาระเบิดออก.
สิบสองเส้นทางอยู่ใกล้ของเปลวเพลิงแลบขึ้นไปยังยาน’ธ็อปเปอร์และปีกบินบรรทุก.
มีเสียงปะทุระเบิดของโ,จากโรงงานคืบคลานคราว์เลอร์,
และก้อนหินทั้งหลายรบตัวของเกอร์นีย์ก็เต็มไปด้วยทหารเสื้อคลุมครอบศีรษะ.
เกอร์นีย์มีเวลาที่คิด: ด้วยแตรเขาทั้งหลายของมหามารดาเถิด! จรวด! พวกเขากล้าที่จะใช้จรวด!
แล้วเขาก็เผชิญต่อหน้าต่อตากับร่างในหมวดคลุมศีรษะที่คู้กายอยู่ต่ำ,
มีดกริชอยู่ในการเตรียมพร้อม.
อีกสองคนยืนรอคอยอยู่บนก้อนหินเหนือไปทางซ้ายและขวามือ.
มีเพียงดวงตาของนักรบอยู่เหนือเขาที่ปรากฏต่อเกอร์นีย์ระหว่างหมวกคลุมศีรษะและผ้าบังหน้าสีทรายไหม้คร่ำคร่า,
แต่ร่างคู้อยู่และการพร้อมเช่นนั้นเตือนเขาว่านี่เป็นนักรบที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี.
ดวงตาเหล่านั้นเป็นสีฟ้า-ใน-ฟ้าของฟรีเมนทะเลทรายตอนลึก.
เกอร์นีย์เคลื่อนมือข้างหนึ่งไปยังมีของตนเอง,
รักษาดวงตาของเขาให้จับตรึงอยู่กับมีดของอีกฝ่ายหนึ่ง. ถ้าพวกเขากล้าที่จะใช้จรวด,
พวกเขาก็มีอาวุธนำวิถียิงทั้งหลายอื่นอีก.
ชั่วขณะนี้โต้เถียงอย่างระมัดระวังเป็นที่สุด.
เขาสามารถบอกได้ด้วยตามลำพังแค่เสียงว่าอย่างน้อยที่สุดส่วนหนึ่งของยานบินเหนือศีรษะของเขาได้ถูกซัดร่วง.
มีเสียงคำรามตะคอก, ด้วยเช่นกัน, สังเกตได้ว่ามีหลายคนกำลังดิ้นรนอยู่ที่ด้านหลังของเขา.
ดวงตาของนักรบเหนือหัวของเกอร์นีย์นั้นติดตามการเคลื่อนไหวของมือที่ไปยังมีดนั้น,
กลับมาจ้องเข้าไปในดวงตาของเกอร์นีย์.
“ปล่อยมีดให้อยู่ในฝักของมัน, เกอร์นีย์
ฮัลเล็ค,” ชายนั้นพูด.
เกอร์นีย์ลังเล.
เสียงนั้นหังดูคุ้นเคยอย่างแปลกพิกลถึงแม้จะผ่านเครื่องกรองของชุดสติลล์สูทออกมา.
“เจ้ารู้ชื่อของข้ารึ?” เขาพูด.
“เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้มีดกับข้าหรอก, เกอร์นีย์,”
ชายนั้นลอก. เขาหยัดร่างขึ้น, สอดมีดกริชคริชคไน้ฟเข้าไปในฝักของมันกลับในใต้เสื้อคลุม.
“บอกคนของเจ้าให้หยุดการต่อต้านที่ไร้ประโยชน์นั้นเสีย.”
ชายนั้นเหวี่ยงหมวกคลุมศีรษะเปิดออกกลับไปทางด้านหลังของเขา,
เหวี่ยงที่กรองไปทางด้านข้าง.
ความตื่นตกใจของอะไรที่เขาได้เห็นทำให้กล้ามเนื้อของเกอร์นีย์แข็งทื่อ.
เขาคิดในทีแรกว่าเขากำลังมองดูผีของดยุค ลีโต อะไทรดิส.
การจำได้ค่อยคืบเข้ามาจนเต็มที่อย่างช้าๆ.
“พอล,” เขากระซิบ. แล้วดังขึ้น.
“นี่เป็น พอล จริงรึ?”
“เจ้าไม่เชื่อใจในสายตาของตนเองไปแล้วหรือ?”
พอลพูด.
“พวกเขาบอกว่าเจ้าตายไปแล้ว,”
เกอร์นีย์หอบสำลัก. เขาสืบไปข้างหน้าครึ่งก้าว.
“บอกคนของเจ้าให้ยอมแพ้,” พอลสั่ง.
เขาโบกมือไปยังด้านต่ำเอื้อมลงไปถึงของสันผา.
เกอร์นีย์หันกลับ,
ลังเลที่เอาสายตาละจากพอล. เขามองเห็นเพียงสองสามหมวดของผู้ดิ้นสู้.
คนทะเลทรายหมวกคลุมศีรษะดูเหมือนจะอยู่ทุกหนแห่งรายรอบ. โรงงานคราว์เลอร์นอนนิ่งเงียบมีฟรีเมนกำลังยืนอยู่เหนือมัน.
ไม่มียานบินอยู่เหนือศีรษะขึ้นเลยสักลำ.
“หยุดต่อสู้.” เกอร์นีย์ตะโกน.
เขาสูดหายใจลึก, ป้องปากด้วยมือเป็นโทรโข่ง. “นี่คือเกอร์นีย์ ฮัลเล็ค! หยุดต่อสู้!”
อย่างช้าๆ, เหนื่อยอ่อน,
ร่างที่ดิ้นสู้เหล่านั้นแยกออกจากกัน. ดวงตาหันมายังเขา, อย่างถามไถ่.
“พวกนี้คือเพื่อน,” เกอร์นีย์ตะโกนบอก.
“เพื่อที่ดีเหลือเกิน!”
บางคนตะโกนกลับมา. “ครึ่งหนึ่งของพวกเราถูกฆ่าไปแล้ว.”
“มันเป็นการผิดพลาด,” เกอร์นีย์บอก.
“อย่าเพิ่มเติมมันไปอีก.”
เขาหันกลับมายังพอล,
จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้า-ใน-ฟ้าแบบฟรีเมนคู่นั้น.
ยิ้มสัมผัสปากของพอล,
แต่มีความกระด้างในการแสดงออกนั้นที่เตือนเกอร์นีย์ถึงดยุค เฒ่า,
ปู่ของพอล, เกอร์นีย์มองเห็นแล้วว่าความกระด้างอย่างมีกำลังวังชาในพอลที่ไม่เคยได้มีเห็นมาก่อนในตระกูลอะไทรดิส---ท่าทางคล้ายมีผิวที่หนังดูเหนียวแน่น,
ดวงตาที่ชำเลืองมองและคาดการณ์คำนวณในการเหลือบดูซึ่งเหมือนกับว่าจะชั่งน้ำหนักทุกสิ่งที่เห็นในสายตา.
“พวกเขาบอกว่าเจ้าตายไปแล้ว,” เกอร์นีย์พูดซ้ำ.
“และมันดูเหมือนว่าเป็นการป้องกันที่ดีที่สุดที่ปล่อยให้พวกเขาคิดเช่นนั้น,”
พอลพูด.
เกอร์นีย์ตระหนักได้ว่านั่นคือทั้งหมดของคำขอโทษที่เขาได้เคยได้รับสำหรับการถูกละทิ้งต่อแหล่งที่มาของเขาเอง,
ทอดทิ้งเขาให้ถูกเชื่อว่าดยุคหนุ่มของเขา.....เพื่อนของเขา, ได้ตายไปแล้ว.
เขาสงสัยใจกระนั้นว่ามีสิ่งใดเหลืออยู่หรือไม่ในที่นี้ของเด็กชายผู้นั้นที่เขาได้รู้จักและฝึกฝนให้มาในวิถีทั้งหลายของนักรบ.
พอลก้าวเข้ามาใกล้เกอร์นีย์,
พบว่าดวงตาของเขานั้นคมวาว. “เกอร์นีย์.”
มันดูเหมือนจะบังเกิดขึ้นได้ด้วยตัวมันเอง,
และพวกเขาก็สอดกอดกัน, ตบหลังกันและกัน, ความรู้สึกของการรื้อฟื้นยืนยันมั่นใจของเนื้อหนังตัวตน.
“เจ้าเสือน้อยเอ๋ย! เจ้าเสือน้อย!” เกอร์นีย์พูดไม่หยุด.
และพอล, “เกอร์นีย์, ท่าน! เกอร์นีย์,
ท่าน!”
ทันทีนั้น, พวกเขาก้าวแยกออกจากกัน,
มองกันและกัน. เกอร์นีย์สูดหายใจลึก. “แล้วเจ้าก็คือทำไมฟรีเมนถึงได้เติบโตฉลาดล้ำเหลือเกินในกลยุทธการรบ.
ข้าน่าจะได้รู้ดี.
พวกเขาเอาแต่ทำสิ่งทั้งหลายที่ข้าควรจะได้วางแผนเช่นนั้นด้วยตัวข้าเอง.
ถ้าเพียงแต่ข้าได้รู้ว่า.....” เขาสั่นศีรษะของตน.
“ถ้าเจ้าได้แค่บอกข้ามาสักคำเดียว, เจ้าหนุ่ม. ก็จะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งข้าได้. ข้าจะวิ่งแล่นมาทันทีเลย.”
สายตาของพอลที่มองจับมาทำให้เขาหยุด.....แข็งกร้าว,
จ้องมองอย่างชั่งน้ำหนัก.
เกอร์นีย์ถอนหายใจ. “แน่นอน,
และได้มีพวกที่กังขาว่าทำไมเกอร์นีย์ ฮัลเล็คถึงเอาแต่วิ่งไป,
และบางรายก็จะได้ทำอะไรมากยิ่งกว่าถาม. พวกเขาได้ออกไปตามล่าหาคำตอบนั้น.”
พอลพยักหน้ารับ, เหลือบมองยังฟรีเมนที่กำลังรอคอยอยู่รอบๆพวกเขา---สายตามองที่สงสัยใคร่รู้ยกย่องอยู่บนใบหน้าทั้งหลายของฟีเดย์คิน.
เขาหันจากเหล่าหน่วยจู่โจมมรณะกลับมายังเกอร์นีย์.
พบว่าอดีตปรมาจารย์ดาบของเขาได้เติมเต็มเขาด้วยความภาคภูมิใจ.
เขาเห็นมันเป็นเช่นลางที่ดี,
สัญญานบอกว่าเขาอยู่บนเส้นทางของอนาคตที่ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี.
ด้วยเกอร์นีย์อยู่เคียงข้างข้า.
พอลชำเลืองมองลงไปตามสันผาผ่านฟีเดย์คิน,
ศึกษาดูลูกมือพวกลักลอบขนของเถื่อนที่ได้มาด้วยกันกับฮัลเล็ค.
“คนของเจ้ายืนเช่นไร, เกอร์นีย์?”
เขาถาม.
“พวกเขาคือนักลักลอบขนของเถื่อนทั้งหมด,”
เกอร์นีย์พูด. “พวกเขายืนในที่ที่มีกำไรให้.”
“กำไรเพียงพอเล็กน้อยในการเสี่ยงภัยของเรา,”
พอลพูด, และเขาสังเกตได้ว่าสัญญานนิ้วอันละเอียดอ่อนแวบมาหาเขาโดยมือขวาของเกอร์นีย์---รหัสมือเก่าแก่ออกมาจากอดีตของพวกเขา.
มีพวกคนที่น่ากลัวและไว้ใจม่ได้ในหมู่ลูกมือพวกลักลอบขนของเถื่อน.
พอลเม้มริมฝีปากของเขาเพื่อบ่งชี้ว่าเขาเข้าใจแล้ว,
มองขึ้นไปยังพวกที่กำลังยืนคุ้มกันอยู่เหนือพวกเขาบนก้อนหินเหล่านั้น. เขาเห็นสติลจาร์ที่นั้น.
ความทรงจำของปัญหาที่ยังไม่ได้คลี่คลายกับสติลจาร์เย็นลงซึ่งความภูมิใจของพอล.
“สติลจาร์,” เขาพูด, “นี่คือเกอร์นีย์
ฮัลเล็คแห่งผู้ที่ท่านเคยได้ยินข้าพูดถึง. ปรมาจารย์อาวุธของบิดาข้า, หนึ่งในปรมาจารย์ดาบผู้ได้สอนข้ามา,
เพื่อนเก่า. เขาสามารถถูกไว้ใจได้ในการเสี่ยงภัยอันตรายใด.”
“ข้าได้ยิน,” สติลจาร์พูด.
“เจ้าคือดยุคของเขา.”
พอลจ้องมองที่ใบหน้ามืดคล้ำเหนือเขา,
สงสัยใจที่เหตุผลซึ่งได้กระตุ้นเร้าให้สติลจาร์ได้พูดเช่นนั้นออกมา. ดยุคของเขา.
มีน้ำเสียงเน้นแปลกอย่างประณีตในคำพูดนั้นของสติลจาร์,
ราวดั่งว่าเขาอยากที่จะพูดบางอย่างอื่นมากกว่า. และนั่นเป็นไม่เหมือนเช่นสติลจาร์ที่คือผู้นำของฟรีเมน,
ชายผู้ซึ่งพูดตามใจของตนเอง.
ดยุคของข้า? เกอร์นีย์คิด.
เขามองในทีท่าใหม่มายังพอล. ใช่, ด้วยการตายของลีโต,
ราชศักดิ์นั้นย่อมตกอยู่ที่บ่าของพอล.
รูปแบบการทำสงครามของฟรีเมนบนอาร์ราคิสเริ่มต้นที่จะเข้าสู่รูปทรงใหม่ในจิตใจของเกอร์นีย์.
ดยุคของข้า! สถานที่หนึ่งที่ได้ตายไปแล้วภายในตัวเขาเริ่มกลับคืนมามีชีวิต.
เพียงส่วนหนึ่งของสัมปชัญญะของเขาเพ่งจับอยู่กับคำสั่งของพอลต่อลูกมือนักลักลอบขนของเถื่อนนั้นให้ปลดอาวุธจนกระทั่งพวกเขาสามารถถูกสอบสวนถามได้.
จิตใจของเกอร์นีย์กลับมาสู่การบังคับบัญชาเมื่อเขาได้ยินบางคนของเขาประท้วงค้าน.
เขาสั่นศีรษะของตน, หมุนตัวไป, “พวกแกหูหนวกรึไง?” เขาตะคอกลั่น. “นี่คือดยุคแห่งอาร์ราคิสผู้ทรงราชศักดิ์เต็ม.
ทำตามบัญชาของท่าน.”
อย่างบ่นพึม,
พวกลักลอบขนของเถื่อนยอมจำนน.
พอลเคลื่อนขึ้นไปข้างกายของเกอร์นีย์,
พูดลดเสียงต่ำลง. “ข้าไม่ได้คาดหวังว่าท่านจะเข้ามาในกับดักนี้, เกอร์นีย์.”
“ข้าสมควรถูกตำหนิอย่างเหมาะสมแล้ว,” เกอร์นีย์พูด.
“ข้าจะเดิมพันว่าแผ่นผืนเครื่องเทศของท่านนั่นบางน้อยยิ่งไปกว่าความหนาของเม็ดทราย,
เหยื่อล่อที่ยั่วยวนเรา.”
“เดิมพันนั้นท่านชนะ,” พอลพูด.
เขามองลงไปยังที่พวกคนที่ถูกปลดอาวุธ. “มีคนของบิดาข้าหลงเหลืออยู่ในกลุ่มพวกลูกมือนี้บ้างไหม?”
“ไม่มีเลย.
เราถูกกระจายออกไปจนเหลือน้อย. มีอยู่สองสามคนในหมู่พวกพ่อค้า.
ส่วนใหญ่ได้ใช้จ่ายกำรของพวกเขาที่จะไปจากสถานที่นี้.”
“แต่ท่านยังอยู่.”
“ข้าอยู่.”
“เพราะว่าแร็บบานอยู่ที่นี่,” พอลพูด.
“ข้าคิดว่าข้าไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วนอกจากการล้างแค้น,”
เกอร์นีย์พูด.
เสียงร้องแปลกๆตัดแทรกเข้ามาขัดจากยอดสันผา,
เกอร์นีย์เงยมองขึ้นไปเห็นฟรีเมนคนหนึ่งกำลังโบกผ้าเช็ดหน้า.
“ผู้สร้างรายหนึ่งมา,” พอลบอก.
เขาเคลื่อนออกไปยังจุดปลายชี้ของก้อนหินพ้อมเกอร์นีย์ติดตามมา, มองออกไปยังทางทิศตะวันตกเฉียงใต้.
โพรงร่องกองพะเนินเนินดินทรายของหนอนตัวหนึ่งสามารถถูกเห็นได้ในกึ่งกลางระยะไกล, ฝุ่น-ครอบร่องรอยทางที่ตัดตรงผ่านทะลุนูนทรายทั้งหลายบนเส้นทางตรงเข้ามาหาสันผานี้.
“เขาโตพอเลย,” พอลพูด.
เสียงกระทบกระแทกยกลอยขึ้นมาจากโรงงานคราว์เลอร์ข้างล่างพวกเขา.
มันได้เปิดทำงานไต่คลานของมันเหมือนแมลงยักษ์, อุ้ยอ้ายตรงเข้ามายังสันผา.
“แย่เกินไปที่เราไม่ได้เก็บยานหิ้วบินแครี่ออลเอาไว้,”
พอลพูด.
เกอร์นีย์เหลียวมองเขา,
มองกลับไปยังแผ่นปื้นทั้งหลายของควันและซากเศษออกไปบนทะเลทรายนั้นที่ซึ่งยานกิ้วบินแครี่ออลและยานออมนิธ็อปเปอร์ทั้งหลายได้ถูกสอยลงมาด้วยจรวดของฟรีเมน.
เขารู้สึกทันทีเจ็บแปลบใจไปกับคนที่สูญเสียไปที่นั่น---คนของเขา, และเขาพูด:
“บิดาของท่านคงจะกังวลใจมากกว่าในผู้คนที่เขาสามารถช่วยชิตไว้ได้.”
พอลยิงสายตากร้าวมายังเขา,
ลดการจ้องมองของเขาต่ำลง. ทันทีนั้น, เขาพูด: “พวเขาเป็นเพื่อนของท่าน, เกอร์นีย์. ข้าเข้าใจ. ต่อเรา,
เช่นนั้น, พวกเขาคือผู้บุกรุกที่อาจจะห็นสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาไม่ควรจะได้เน.
ท่านต้องเข้าใจในเรื่องนั้น.”
“ข้าเข้าใจมันดีพอ,” เกอร์นีย์พูด.
“ตอนนี้, ข้าใคร่รู้ว่าจะได้เห็นอะไรที่ข้าไม่ควรเห็น.”
พอลมองขึ้นเพื่อเห็นรอยยิ้มดุจหมาป่าชราและจดจำได้บนใบหน้าของสติลจาร์,
รอยริ้วยัลย่นของแผลเป็นสีองุ่นเลื้อยไปตามกรามของชายผู้นั้น.
เกอร์นีย์พยักหน้ายังทะเลทรายเบื้องล่างพวกเขา.
ฟรีเมนกำลังลงมือทำธุรการงานของตนไปทั่วภูมิทัศน์นั้น.
มันกระแทกต่อเขาว่าไม่มีพวกนั้นเลยสักคนที่เป็นกังวลต่อการเข้ามาของหนอนทรายนั้น.
เสียงตั้มตั้มดังมาจากนูนทรายลางแจ้งทั้งหลายโพ้นเลยแผ่นปื้นเหยื่อล่อของเครื่องเทศนั้นไป---เสียงตีกลองที่ดูเหมือนจะถูกได้ยินผ่านทะลุเท้าของพวกเขา.
เกอร์นีย์มองเห็นฟรีเมนแผ่กระจายออกไปข้ามตัดทะเลทรายในเส้นทางมาของหนอนนั้น.
นอนนั้นเข้ามาเหมือนบางปลาทรายมหึมา,
สร้างสันหงอนลดเลี้ยวของพื้นผิว, ปล้องวงแหวนของมันกระเพื่อมและบิดม้วน.
ในชั่วขณะ, จากจุดที่ได้เปรียบของเขาเหนือทะเลทราย, เกอร์นีย์มองเห็นการจัดการกับหนอนนั้น---การกระโจนอย่างกล้าหาญของมือปฏักตะขอแรก,
การม้วนพลิกตัวของสัตว์ร้ายนั้น, วิธีที่คณะคนทั้งปวงขึ้นไปบนด้านข้างโค้งสะเก็ดวิบวับวาวของหนอนนั้น.
“นั่นคือหนึ่งในสิ่งทั้งหลายที่ท่านไม่ควรได้เห็น,”
พอลพูด.
“มีนิทานและคำเล่าลือทั้งหลาย,” เกอร์นีย์พูด.
“แต่มันไม่ใช่สิ่งง่ายดายเลยที่จะเชื่อโดยปราศจากการที่ได้เห็นมันเอง.”
เขาส่ายศีรษะของตน. “สิ่งมีชีวิตที่บรรดาผู้คนทั้งหมดของอาร์ราคิสพากันหวาดกลัว,
ท่านปฏิบัติกับมันเหมือนขึ้นขี่สัตว์เลี้ยงทั่วไป.”
“ท่านเคยได้ยินบิดาข้าเคยพูดไว้ถึงพลังแห่งทะเลทราย,”
พอลพูด. “นั่นล่ะมัน. พื้นผิวของพิภพนี้เป็นของเรา.
ไม่มีพายุหรือสัตว์ร้ายใดหรือสภาวะใดที่สามารถหยุดเราได้.”
เรา, เกอร์นีย์คิด. เขาหมายถึงฟรีเมน.
เขาพูดถึงตนเองเป็นหนึ่งในพวกนั้น. อีกครั้ง, เกอร์นีย์มองไปที่สีฟ้าเครื่องเทศในดวงตาของพอล.
ตาของเขาเอง, เขารู้, ได้มีสัมผัสของสีนั้นด้วย,
แต่พวกลักลอบขนของเถื่อนทั้งหลายสามารถหาอาหารทั้งหลายจากนอกพิภพมาได้และมีความพัวพันเกี่ยวข้องอย่างประณีตในเรื่องชนชั้นวรรณะในสีแห่งดวงตาทั้งหลายในท่ามกลางพวกเขา.
พวกเขาพูดว่า “สัมผัสนั้นของแปรงสีฟันเครื่องเทศ” เพื่อหมายถึงคนที่ได้ถลำเข้าไปในความเป็นพื้นถิ่นเกินไปง
และก้มักจะมีนัยของการไม่ไว้ใจอยู่ในความคิดนั้นด้วย.
“ครั้งหนึ่งเมื่อเราไม่ได้ขี่ผู้สร้างนั้นในตอนกลางวันในละติจูดเหล่านี้,”
พอลพูด. “แต่แร็บบานมียานอากาศไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมส่วนที่เหลือที่เขาสามารถสูญเสียมันไปเปล่ากับการมองหาจุดด่างทั้งหลายในทะเลทราย.”
เขามองมาที่เกอร์นีย์. “ยานบินของท่านเป็นที่น่าตกใจต่อเราที่นี่.”
ต่อเรา.....ต่อเรา.....
เกอร์นีย์ส่ายศีรษะเพื่อขับไล่ความคิดเยี่ยงนั้นออกไป.
“เราไม่ได้เป็นความตื่นตกใจต่อท่านอย่างที่ท่านมีต่อพวกเรา,” เขาพูด.
“การพูดคุยของแร็บบานเป็นอย่างไรหรือ
ถึงเรื่องที่แอ่งอ่างและหมู่บ้านทั้งหลาย?” พอลถาม.
“พวกเขาบอกกันว่าพวกเขาได้สร้างป้อมปราการขึ้นในหมู่บ้านรอบนอกทั้งหลายยังจุดที่ท่านไม่สามารถทำร้ายพวกเขาได้.
พวกเขาพูดว่าพวกเขาจำเป็นต้องก็แค่นั่งอยู่ข้างในการป้องกันของพวกเขานั้นขณะที่ท่านลากตัวเองอยู่ข่างนอกในการโจมตีที่ไร้ประโยชน์.”
“ในคำพูดที่บอกได้ว่า,” พอลพูด,
“พวกนั้นถูกทำให้หยุดการเคลื่อนที่.”
“ขณะที่ท่านสามารถไปในทุกที่ที่ท่านประสงค์,”
เกอร์นีย์พูด.
“ในกลเม็ดที่ข้าได้เรียนมาจากท่าน,” พอลพูด.
“พวกเขาได้สูญเสียความริเริ่มมุ่งมั่น,
ซึ่งมายความว่าพวกเขาได้สูญเสียสงครามนั้นไป.”
เกอร์นีย์ยิ้ม, อย่างช้าๆ,
แสดงออกถึงการรู้.
“ศัตรูของเราแน่ชัดว่าได้อยู่ในที่ที่ข้าต้องการให้เขาอยู่,”
พอลพูด. เขาเหลือบมามองยังเกอร์นีย์. “เอาละ, เกอร์นีย์,
ท่านจะรับเกณฑ์เข้าร่วมกันกับข้าเพื่อจบการประชันรณรงค์กันนี้ไหม?”
“รับเกณฑ์?” เกอร์นีย์จ้องมองเขา.
“ฝ่าบาท, ข้าไม่เคยละทิ้งจากการรับใช้ต่อท่าน.
ท่านเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ทอดทิ้งข้าไว้.....ให้คิดว่าท่านได้ตายไปแล้ว. และข้า,
ถูกปล่อยทิ้งให้เร่ร่อนจรไป, ทำอะไรล้างไถ่ถอนบาปเท่าที่ข้าจะทำได้,
รอคอยสำหรับวันเวลาที่ข้าจะได้ขายชีวิตของข้าเพื่อะไรที่มีคุณค่า---คือความตายของแร็บบาน.”
ความเงียบอย่างขัดเขินปักหลักลงมายังพอล.
ผู้หญิงหนึ่งปีนป่ายขึ้นมาตามก้อนหินยังพวกเขา,
ดวงตาของเธอระหว่างหมวกคลุมศีรษะของสติลล์ชุดและหน้ากากปิดใบหน้าแวบไปมาระหว่างพอลและสหายของเขา.
เธอหยุดตรงหน้าของพอล. เกอร์นีย์สังเกตเห็นได้ว่าบรรยากาศการความเป็นเจ้าของรายรอบตัวเธอ,
วิธีที่เธอยืนใกล้ชิดกับพอล.
“ชานิ,” พอลพูด, “นี่คือเกอร์นีย์
ฮัลเล็ค. เจ้าได้ยินข้าพูดถึงเขามาแล้ว.”
เธอมองมาที่ฮัลเล็ค, กลับมาที่พอล.
“ข้าเคยได้ยินมา.”
“พวกผู้คนนั่นไปที่ไหนกับผู้สร้างหรือ?”
พอลถาม.
“พวกเขาแค่เบี่ยงเบนมันออกไปเพื่อให้เวลาเราเก็บรักษาเครื่องมืออุปกรณ์ได้.”
“แล้วงั้น.....” พอลหยุดชงัก, สืดดมกลิ่นในอากาศ.
“มีลมพายุกำลังเข้ามา,” ชานิพูด.
เสียงหนึ่งตะโกนเรียกมาจากยอดสันผาเหนือพวกเขา: “โฮ, มี---พายุกำลังมา!”
เกอร์นีย์ความรวดเร็วของการเคลื่อนไหวในท่ามกลางหมู่ฟรีเมนในตอนนี้---การพุ่งตัวไปกับการนั้นและสัใผสรู้ของความรีบด่วน.
สิ่งหนึ่งที่หนอนทรายไม่ได้จุดไฟก็คือการได้นำเอาเกือบความน่าตระหนกของลมพายุ.
โรงงานคราว์เลอร์อุ้ยอ้ายขึ้นมาสู่หาดทรายแห้งข้างใต้พวกเขาและเส้นทางนั้นเปิดโล่งสำหรับมันในหมู่ก้อนหินผาทั้งหลาย.....และก้อนหินนั้นใกล้อยู่ด้านหลังของมันสุดแนบเนียนจนเส้นทางหลบหนีไปจากดวงตาของเขา.
“ท่านมีแหล่งหลบซ่อนเยี่ยงนี้อีกมากมายไหม?”
เกอร์นีย์ถาม.
“มากมายเหลาเท่า,” พอลพูด.
เขามองที่ชานิ. “หาคอร์บา. บอกเขาว่าเกอร์นีย์ได้เตือนข้าว่ามีคนในหมู่ลูกมือพวกลักลอบขนของเถื่อนผู้ที่ไม่อาจไว้ใจได้.”
เธอมองมายังเกอร์นีย์อีกครั้ง,
กลับมายังพอล, พยักหน้ารับ, และผละออกลงไปตามก้อนหินทั้งหลาย,
กระโจนไปมาเหมือนเลียงผาตัวน้อย.
“เธอเป็นผู้หญิงของท่าน,” เกอร์นีย์พูด.
“มารดาของบุตรคนแรกของข้า,” พอลพูด
“มีลีโตอีกผู้หนึ่งแล้วในหมู่ของอะไทรดิส.”
เกอร์นีย์ยอมรับเรื่องนี้ด้วยเพียงดวงตาที่เบิกกว้างของเขา.
พอลเฝ้าดูการกระทำรายรอบตัวพวกเขาด้วยสายตาวิกฤตเคร่ง.
สีแดงส้มเผ็ดร้อนโดดเด่นออกมาจากท้องฟ้าด้านทิศใต้ในตอนนี้และก็มีมาถึงด้วยแรงระเบิดเต็มที่และสายลมปะทุเข้าปะทะฟาดซัดด้วยฝุ่นไปทั่วรอบศีรษะพวกเขา.
“ผนึกชุดสูทของท่าน,” พอลพูด. และเขาก็รัดแน่นหน้ากากและหมวกคลุมใบหน้าของเขา.
เกอร์นีย์เชื่อฟัง,
ขอบคุณสำหรับเครื่องกรองนั้น.
พอลพูด, เสียงของเขาห่ออุ้มด้วยเครื่องกรองอากาศนั้น:
“รายไหนของลูกมือของท่านที่ท่านำว้ใจ, เกอร์นีย์?”
“มีบางรายที่คัดเกณฑ์เข้ามาใหม่,” เกอร์นีย์พูด.
“พวกนอกพิภพทั้งหลาย.....” เขาลังเล, สงสัยในตนเองขึ้นมาฉับพลัน. พวกนอกพิภพ.
คำนั้นออกมาอย่างง่ายดายต่อลิ้นของเขา.
“ว่า?” พอลพูด.
“พวกนั้นไม่เหมือนพวกตามล่าหาโชคลาภทั้งหลายที่เราได้มีอยู่,”
เกอร์นีย์พูด. “พวกเขาอึดกว่า.”
“สายลับฮาร์คอนเนน?” พอลถาม.
“ข้าคิดว่านะ, ฝ’บาท, ว่าพวกเขาไม่รายงานต่อฮาร์คอนเนนใด. ข้าสงสัยว่าพวกเขาเป็นทหารของกองทัพจักรวรรดิ.
พวกเขามีเลศนัยของซาร์เดาการ์ เซคันดัสเกี่ยวกับพวกนั้น.”
พอลเหลือบมองคมกริบมายังเขา. “ซาร์เดาการ์รึ?”
เกอร์นีย์ยักไหล่.
“พวกนั้นสามารถเป็นได้, แต่มันมีหน้ากากปิดบังไว้อย่างดี.”
พอลพยักหน้า, คิดว่าเป็นการง่ายอย่างไรที่เกอร์นีย์ได้กลับคืนมาสู่รูปแบบของผู้คอยรับใช้อะไทรดิส......แต่ด้วยการสงวนท่าทีอย่างแนบเนียน.....แตกต่างออกไป.
อาร์ราคิสได้เปลี่ยนแปลงเขาไป, ด้วยเช่นกัน.
ฟรีเมนคลุมหัวสองคนโผล่พรวดออกมาจากรอยแตกของผาหินใต้ล่างของพวกเขา,
เริ่มต้นปีนขึ้นมา. หนึ่งในพวกนั้นแบกมัดห่อสีดำขนาดใหญ่เหนือไหล่ข้างหนึ่ง.
“ลูกมือของข้าอยู่ที่ไหนในตอนนี้?” เกอร์นีย์ถาม.
“คุมตัวปลอดภัยอยู่ในหมู่ก้อนหินข้างล่างเรา,”
พอลพูด. “เรามีถ้ำหนึ่งที่นี่---ถ้ำแห่งนก.
เราจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรกับพวกเขาหลังจากพายุ.”
เสียงหนึ่งเรียกมาจากเหนือพวกเขา: “มวด’ดิบ!”
พอลหันไปที่เสียงเรียกนั้น, เห็นฟรีเมนยามรักษาการณ์หนึ่งกำลังแสงท่าทางให้พวกเขาลงไปยังถ้ำเบื้องล่าง.
พอลส่งสัญญานว่าเขาได้ยินแล้ว.
เกอร์นีย์ศึกษาเขาด้วยอาการแสดงออกใหม่.
“ท่านคือมวด’ดิบ?”
เขาถาม. “ท่านคือ ลม-แห่ง-ทะเลทราย?”
“มันเป็นนามฟรีเมนของข้า,” พอลพูด.
เกอร์นีย์หันหนีไป,
รู้สึกถึงสัมผัสรู้อย่างทุกข์ใจของลางร้าย.
ครึ่งหนึ่งในการตายของลูกมือของเขาบนทะเลทราย, คนอื่นๆถูกจับกุม.
เขาไม่ได้ใส่ใจนักเกี่ยวกับพวกที่คัดเกณฑ์เข้ามาใหม่, พวกที่น่าสงสัย,
แต่ในหมู่คนอื่นๆนั้นเป็นคนดี, เพื่อน, ผู้คนสำหรับใครที่เขารู้สึกถึงความรับผิดชอบที่มีต่อ.
“เราจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรกับพวกเขาหลังจากพายุ.” นั่นอะไรที่พอลได้พูด,
มวด’ดิบได้พูด.
และเกอร์นีย์หวนนึกจำได้ถึงนิทานทั้งหลายของมวด’ดิบ, ไลสาน อัล-กาอิบ---ว่าเขาได้ถลกหนังของเจ้าหน้าที่ฮาร์คอนเนนอย่างไรไปทำหนังหน้ากลองของเขา,
ว่าเขาได้แวดล้อมอยู่ด้วยหน่วยจู่โจมมรณะ, ฟีเดย์คินผู้กระโจนเข้าสู่การยุทธด้วยมนต์สวดถึงความตายทั้งหลายบนริมฝีปากของพวกเขา.
เขาเอง.
สองฟรีเมนนั้นปีนป่ายก้อนหินขึ้นมากระโจนอย่างแผ่วเบายังลานตะพักตรงหน้าของพอล.
ใบหน้ามืดคล้ำหนึ่งพูด: “ทั้งหมดปลอดภัยแล้ว, มวด’ดิบ. เราดีที่สุดที่จะลงไปข้างล่างในตอนนี้.”
พอลมองยังห่อมัดที่อีกผู้หนึ่งแบกอยู่,
พูด:
“คอร์ธา, อะไรอยู่ในห่อนั้น?”
สติลจาร์ตอบ:
“นั่นอยู่ในเครื่องคราว์เลอร์นั้น.
มันมีชื่อแรกของสหายของท่านที่นี่และมันบรรจุมีพิณบาลิเส็ทหนึ่ง. หลายครั้งที่ข้าเคยได้ยินท่านพูดถึงความฉกาจฉกรรจ์ของเกอร์นีย์
ฮัลเล็คกับพิณบาลิเส็ท.”
เกอร์นีย์ศึกษาผู้พูด,
มองเห็นชายเคราสีดำเหนือหน้ากาสติลล์สูท, จ้องมองมาเยี่ยงเหยี่ยว,
จมูกที่งองุ้ม.
“ท่านมีสหายที่ช่างคิดผู้หนึ่ง,ฝ’บาท.” เกอร์นีย์พูด. “ขอบคุณ, สติลจาร์.”
สติลจาร์ส่งสัญญานให้สหายของเขาส่งห่อมัดนั้นต่อเกอร์นีย์,
พูด:
“ขอบคุณท่านลอร์ด ดยุคของท่าน.
การสนับสนุนขององค์ท่านสมควรได้รับความยกย่องชื่นชมของท่านในที่นี้.”
เกอร์นีย์รับห่อนั้นมา,
ฉงนใจโดยน้ำเสียงมีแฝงเร้นกร้าวมาในคำสนทนานั้น. มีอากาศของการท้าทายเกี่ยวกับชายผู้นี้,
และเกอร์นีย์สงสัยใจว่ามันสามารถเป็นความรู้สึกของการอิจฉาหรือไม่ในฟรีเมนนี้.
นี่คือใครบางคนที่ชื่อเกอร์นีย์ ฮัลเล็คผู้เป็นที่รู้จักพอลกระทั่งในเวลาก่อนหน้าจะมายังอาร์ราคิส,
ชายผู้ได้แบ่งปันความสนิทสนมที่สติลจาร์ไม่สามารถบุกรุกเข้าไปได้.
“ท่านคือทั้งสองที่ข้าได้เป็นเพื่อน,” พอลพูด.
“สติลจาร์, แห่งฟรีเมน,
เป็นนามที่มีกิตติศัพท์,” เกอร์นีย์พูด. “นักฆ่าฮาร์คอนเนนคนใดก็ตามข้าก็ถือว่าเป็นเกียรติที่ได้นับอยู่ในหมู่เพื่อนของข้า.”
“ท่านจะสัมผัสมือด้วยเพื่อนของข้าเกอร์นีย์
ฮัลเล็คหรือไม่, สติลจาร์?” พอลถาม.
อย่างช้าๆ, สติลจาร์ยื่นมือของเขาออกมา,
กุมมือด้านจับดาบอันหนัก, หยาบกระด้างของเกอร์นีย์.
“มีน้อยรายผู้ที่ไม่เคยได้ยินนามของเกอร์นีย์ ฮัลเล็ค,” เขาพูด,
และปล่อยการกุมนั้นของตน. เขาหันไปยังพอล. “พายุกำลังพุ่งเข้ามาแล้ว.”
“ทันทีเลย,” พอลพูด.
สติลจาร์หันไป,
นำพวกเขาผ่านทะลุก้อนหินทั้งหลาย, หมุนรอบและหันเส้นทางเข้าไปในรอยแตกร่องในเงามืดมียอมใพวกเขาไปสู่ทางเข้าด้านต่ำของถ้ำหนึ่ง.
หลายคนรีบปิดยึดแผ่นผนึกประตูด้านหลังของพวกเขา,
ลูกโคมเรืองแสงทั้งหลายแสดงให้เห็นที่ว่างเพดานรูปโดมด้วยขอบยกขึ้นที่ด้านหนึ่งและช่องทางเดินนำออกไปจากมัน.
พอลกระโจนไปยังหิ้งชั้นนั้นพร้อมด้วยเกอร์นีย์ตามหลังของเขา,
นำทางเข้าไปสู่ช่องทางเดิน. คนอื่นๆมุ่งหน้าไปยังอีกช่องทางเดินตรงข้ามกับทางเข้า.
พอลนำทางทะลุผ่านห้องพักรอด้านหน้าและเข้าสู่โถงหนึ่งที่มีม่านแขวนสีองุ่นเข้มบนผนังทั้งหลายของมัน.
“เราสามารถมีความส่วนตัวได้ที่นี่ชั่วครู่,”
พอลพูด. “คนอื่นๆจะเคารพต่อข้าใน----”
ฉาบเตือนภัยดังแคล๊งคล๊างขึ้นจากด้านนอกห้องโถง,
ถูกตามมาด้วยเสียงตะโกนและเสียงปะทะของอาวุธ. พอลหมุนตัวอย่างเร็ว,
วิ่งกลับทะลุผ่านห้องพักรอและออกมาสู่ริมลานในอาคารหนือห้องโถงด้านนอก. เกอร์นีย์ตามติดทันทีอยู่ข้างหลังของเขา,
อาวุธถูกดึงออกมา.
ใต้ล่างของพวกเขาบนพื้นห้องของถ้ำหมุนรอบอยู่ด้วยของร่างคนทั้งหลาย.
พอลยืนประเมินฉากนั้นอยู่ชั่วขณะ, แยกแยะฟรีเมนในเสื้อคลุมและบุรเกาะอ์(bourkas*)จากชุดแต่งกายของเหล่าคน
ที่พวกเขาต่อสู้ด้วย.
ประสาทสัมผัสที่มารดาของเขาได้ฝึกฝนให้มาที่จะตรวจสอบเบาะแสละเอียดอ่อนมากที่สุดหยิบยกความสัจจริงสำคัญออกมาได้---ฟรีเมนได้ต่อสู้กับพวกคนที่สวมชุดคลุมของพวกลักลอบขนของเถื่อน,
แต่พวกลักลอบขนของเถื่อนได้หมอบคู้ลงในแบบชุดสามคน,
หันหลังชนกันเป็นรูปสามเหลี่ยมที่ดันกัน.
นิสัยนั้นของการต่อสู้ในระยะประชิดเป็นเครื่องหมายการค้าของซาร์เดาการ์แห่งจักรพรรดิ.
ฟีเดย์คินในฝูงคนเห็นพอล,
และเสียงร้องเพลงศึกได้ถูกยกขึ้นก้องไปใน้องโถง: “มวด’ดิบ! มวด’ดิบ!”
ดวงตาอื่นอีกหนึ่งได้จับที่พอลออกมา.
มีดสีดำหมุนคว้างเข้ามาหาเขา. พอลหลบ,
มีดนั้นกระแทกเข้ากับหินด้านหลังของเขา, เหลือบมองเห็นเกอร์นีย์นำมันกลับขึ้นมา.
กระจุกสามคนนั้นถูกกดดันถอยกลังในตอนนี้.
เกอร์นีย์ถือมีดนั้นขึ้นมาด้านหน้าสายตาของพอล,
ชี้ที่เส้นเล็กบางเหลืองขดของสีแห่งจักรพรรดิ, ตราสิงโตทอง,
ดวงตาหลายด้านรอบที่ปมปลายด้าม.
ซาร์เดาการ์อย่างแน่ชัด.
พอลก้าวออกไปจากริมขอบของหิ้งชั้น.
มีเพียงสามซาร์เดาการ์นั้นที่ยังคงเหลืออยู่.
ร่างรุ่งริ่งม้วนกลิ้งอาบเลือดนอนบิดอยู่ข้ามห้องโถง.
“หยุดมือ!” พอลตะโกน. “ดยุค พอล
อะไทรดิส บัญชาให้พวกเจ้าหยุด.”
การต่อสู้แกว่งไกว, ลังเล.
“เจ้าซาร์เดาการ์!” พอลตะโกนเรียกไปยังกลุ่มที่ยังเหลืออยู่นั้น.
“โดยผู้ใดหรือที่สั่งการให้พวกเจ้าเหิมเกริมต่อผู้ครองราชศักดิ์ดยุค?” และ,
อย่างรวดเร็ว, ขณะที่คนของเขาเริ่มดันเข้ามาห้อมล้อมซาร์เดาการ์: “ข้าสั่งให้หยุดเดี๋ยวนี้!”
หนึ่งในสามผู้จนตรอกหยัดร่างขึ้น.
“ใครพูดว่าเราคือซาร์เดาการ์?” เขาร้อง.
พอลเอามีดจากเกอร์นีย์มา,
ชูมันสูงขึ้น. “นี่พูดว่าเจ้าคือซาร์เดาการ์.”
“แล้วใครพูดว่าเจ้าคือผู้ครองราชย์ศักดิ์ดยุค?”
ชายนั้นร้องถาม.
พอลชี้ไปที่พวกฟีเดย์คิน.
“คนเหล่านี้พูดว่าข้าคือผู้ครองราชย์ศักดิ์ดยุค. จักพรรดิของเจ้าเองพระราชทานอาร์ราคิสให้กับราชสำนัก
อะไทรดิส. ข้าคือราชสำนึก อะไทรดิส.”
ซาร์เดาการ์นั้นยืนนิ่งเงียบ,
กระสับกระส่าย.
พอลศึกษาชายนั้น---สูง,
ร่างเรียบ, มีรอยซีดของแผลเป็นพาดข้ามครึ่งหนึ่งของแก้มซ้ายของเขา.
โทสะและความสับสนได้ถูกทรยศในกิริยาของเขา,
แต่ยังคงมีความยิ่งยะโสเกี่ยวกับตัวเขาปราศจากซึ่งซาร์เดาการ์เปลือยเปล่าอวดตัวตนออกมา---และด้วยสิ่งซึ่งเขาสามารถปรากฏได้อย่างเต็มที่จากการแต่งกายด้วยการเปลือยร่าง.
พอลเหลือบมองยังผู้หมวดหคนหนึ่ของหน่วยฟีเดย์คินของเขา,
พูด: คอร์บา, พวกเขามีอาวุธมาได้อย่างไร?”
“พวกเขากลบมีดซ่อนเอาไว้ในกระเป๋าเล่ห์ลับภายในสติลล์สูทของพวกมัน,”
ผู้หมวดนั้นพูด.
พอลสำรวจร่างผู้ตายและบาดเจ็บด้านตรงข้ามของห้องโถง,
ดึงความสนใจของเขากลับมาที่ผู้หมวดนั้น. ม่มีความจำเป็นใดสำหรับคำพูด.
ผู้หมวดนั้นลดตาลงต่ำ.
“ชานิอยู่ที่ไหน?” พอลถามและรอคอย,
กลั้นหายใจ, สำหรับคำตอบ.
“สติลจาร์ลักพาเธอไปด้านข้าง.”
เขาพยักหน้ายังอีกช่องทางเดินอื่น, เหลือบมองยังผู้ตายและบาดเจ็บ.
“ข้าถือตนเองในการรับผิดชอบสำหรับความผิดพลาดนี้. มวด’ดิบ.”
“มีซาร์เดาการ์เหล่านี้อยู่ที่นั้นมากเท่าไร,
เกอร์นีย์?” พอลถาม.
“สิบ.”
พอลกระโจนอย่างแผ่วเบาลงไปที่พื้นของห้องโถง,
ก้าวยาวๆข้ามห้องไปยืนอยู่ภายในระยะโจมตีของซาร์เดาการ์ผู้พูดนั้น.
อากาศเขม็งตึงมาครอบคลุมเหนือเหล่าฟีเดย์คิน.
พวกเขาไม่ชอบที่พอลเปืดตัวเข้ากาอันตราย.
นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิญาณไว้ที่จะป้องกันเพราะว่าฟรีเมนหวังที่จะพิทักษ์ไว้ซึ่งภูมิปัญญาของมวด’ดิบ.
โดยไม่หันกลับมา, พอลพูดกับผู้หมวดของเขา:
“มีเรากี่รายที่ได้ตายและบาดเจ็บ?”
“สี่บาดเจ็บ, สองตาย, มวด’ดิบ.”
พอลมองเห็นการเคลื่อนไหวโพ้นเลยซาร์เดาการ์ไป,
ชานิและสติลจาร์กำลังยืนในช่องทางเดินอีกอันหนึ่ง.
เขาหันความสนใจของตนมายังซาร์เดาการ์, จ้องมองเข้าไปในสีขาวทั้งหลายเยี่ยงผู้นอกพิภพของดวงตาคนพูดนั้น.
“เจ้า, อะไรคือนามของเจ้า?” พอลถามสั่ง.
ชายนั้นร่างแข็งทื่อ,
เหลือบมองซ้ายและขวา.
“อย่าได้ลองมัน,” พอลพูด.
“มันชัดเจนต่อข้าว่าเจ้าถูกสั่งมาให้ค้นหาและทำลายมวด’ดิบ.
ข้าจะรับประกันได้เลยว่าเจ้าคือผู้ที่เสนอแนะให้เสาะหาเครื่องเทศลึกเข้ามาในทะเลทรายนี้.”
เสียงสำลักหายใจจากเกอร์นีย์ด้านหลังของเขานำรอยยิ้มเรียวน้อยมาสู่ริมฝีปากของพอล.
เลือดค่อยๆแผ่ซ่านบนใบหน้าของซาร์เดาการ์.
“อะไรที่เจ้าได้เห็นนั้นมากยิ่งไปกว่ามวด’ดิบ,” พอลพูด.
“เจ็ดคนของพวกเจ้าได้ตายสำหรับสองคนของเรา. สามต่อหนึ่ง. ค่อนข้างดีกับการปะทะกับซาร์เดาการ์,
เอ๋?”
ชายนั้นลุกขึ้นยืนบนนิวเท้าของตน,
จมกลับลงไปอีกเมื่อฟีเดย์คินกดดันไปข้างหน้า.
“ข้าถามชื่อของเจ้า,” พอลพูด,
และเขาเรียกพลังละเอียดอ่อนของวจนะขึ้นมาในน้ำเสียง:
“บอกชื่อของเจ้าต่อข้า.”
“กัปตัน อรามชัม, ซาร์เดาการ์แห่งจักรพรรดิ!” ชายผู้นั้นสะบัดเสียง. กรามของเขาห้อยแบะ. เขาจ้องที่พอลอย่างสับสนใจ.
อากัปกิริยาเกี่ยวกับเขาที่ถูกขับไล่ไปจากถ้ำคูหานี้ดุจกระต่ายป่ามุดหนีออกจากโพรง.
“เอาละ, กัปตัน อรามชัม,”
พอลพูด, “พวกฮาร์คอนเนนส์น่าจะจ่ายอย่างงามที่ได้เรียนรู้อะไรที่เจ้ารู้ในตอนนี้.
และจักรพรรดิ---อะไรที่เขาน่าจะไม่จ่ายให้ในสิ่งที่เรียนรู้ว่าอะไทรดิสยังคงมีชีวิตอยู่ตรงข้ามกับผลลัพธ์ที่น่าจะเป็นจากการทรยศของเขา.”
กัปตันนั้นเหลือบมองซ้ายและขวายังอีกสองคนที่เหลือกันอยู่กับเขา.
พอลสามารถเกือบจะเห็นความคิดทั้งหลายพลิกกลับในหัวของชายผู้นั้น. ซาร์เดาการ์ไม่ได้ยอมเชื่อฟัง,
แต่จักรพรรดิต้องเรียนรู้ถึงการข่มขู่นี้.
ยังคงใช้พลังวจนะ, พอลพูด: “ยอมเชื่อฟัง, กัปตัน.”
ชายทางด้านซ้ายมือของกัปตันกระโจนขึ้นปราศจากการเตือนเข้ามาหาพอล,
เจอเข้ากับการสะบัดวาบปะทะด้วยมีดจากกัปตันของตนเองในหน้าอกของตน.
ผู้จู่โจมกระแทกร่างลงกับพื้นอย่างกองผ้าเปียกด้วยมีดยังคงอยู่ในมือ.
กัปตันนั้นหันหน้าไปหาสหายหนึ่งเดียวของเขาทีเหลืออยู่.
“ข้าตัดสินใจว่าอะไรดีที่สุดในการรับใช้ต่อพระองค์,” เขาพูด. “เข้าใจไหม?!”
ไหล่ของซาร์เดาการ์อีกรายนั้นหดห่อลง.
“ทิ้งอาวุธของเจ้า,” กัปตันพูด.
ซาร์เดาการ์นั้นทำตามสั่ง.
กัปตันนั้นหันความสนใจของเขากลับมาที่พอล.
“ข้าได้ฆ่าเพื่อนคนหนึ่งเพื่อท่าน,” เขาพูด. “ขอให้เราได้จดจำถึงการนั้นเถิด.”
“เจ้าคือนักโทษของข้า,” พอลพูด.
“เจ้าได้ยอมเชื่อฟังต่อข้า. ไม่ว่าเจ้าอยู่หรือตายนั้นไม่มีความสำคัญใด.”
เขาทำท่าทางต่อยามคุ้มกันของเขาให้นำตัวสองซาร์เดาการ์ไป,
ส่งสัญญานต่อผู้หมวดที่ได้ค้นตัวนักโทษทั้งหลาย.
ยามคุ้มกันเคลื่อนเข้ามา, ลากตัวซาร์เดาการ์ออกไปในทันที.
พอลก้มไปยังผู้หมวดของเขา.
“มวด’ดิบ,” ชายนั้นพูด.
“ข้าล้มเหลวต่อท่านใน.....”
“ความล้มเหลวนั้นเป็นของข้า, คอร์บา,”
พอลพูด. “ข้าควรจะได้เตือนเจ้าว่าให้ค้นหาอะไร. ในอนาคต, เมื่อทำการค้นตัวซาร์เดาการ์,
จำเรื่องนี้เอาไว้. จำมัน, ด้วยว่า,
แต่ละครั้งของความล้มเหลวแค่เล็บเท้าหนึ่งหรือสองนั้นก็สามารถถูกรวมเข้าด้วยกันกับประเด็นอื่นที่ลับซ่อนไว้เกี่ยวกับร่างกายของพวกมันที่จะทำ
พวกเขาจะมีมากกว่าฟันปลอมหนึ่งซี่. ที่สามารถซ่อนขดลวดของชิกาไวริ์(shigawire)ในเส้นผม---ดีเกินที่เจ้าแทบจะตรวจหาเจอมันได้,
กระนั้นยังแข็งแรงเพียงพอที่จะรัดและตัดหัวคนออกมาได้ในกระบวนการ. กับซาร์เดาการ์,
เจ้าต้องสแกนตรวจพวกเขา, ส่องดูพวกเขา---ทั้งคลื่นสะท้อนและรังสีหนัก---ตัดตอนทุกเศษเล็กเศษน้อยของขนในร่างกาย.
และเมื่อเจ้าผ่านแล้ว, ก็ทำให้แน่ใจว่าเจ้าไม่ได้ยังไม่ได้ค้นพบในทุกสิ่งอยู่.
เขาเงยขึ้นมองยังเกอร์นีย์,
ผู้ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้และฟัง.
“งั้นดีที่สุดก็คือการฆ่าพวกมัน,”
ผู้หมวดนั้นพูด.
พอลส่ายศีรษะ, ยังคงมองอยู่ที่เกอร์นีย์.
“ไม่, ข้าต้องการให้พวกมันได้หลบหนีไป.”
เกอร์นีย์จ้องมาที่เขา. “ฝ’บาท....” เขาสำลักหายใจ.
“อะไรรึ?”
“คนของท่านพูดถูก.
ฆ่าพวกนักโทษนั้นในทันที. ทำลายหลักฐานทั้งหมดของพวกมัน.
ท่านได้ทำความอับอายให้กับซาร์เดาการ์แห่งจักรพรรดิ! เมื่อองค์จักรพรรดิได้เรียนนั่นแล้วเขาก็จะไม่อยุดนิ่งจนกว่าจะได้ตัวท่านไปอยู่บนกองไฟอ่อนๆ.”
“จักรพรรดินั้นไม่ดูเหมือนจะมีอำนาจอะไรเหนือข้า,”
พอลพูด. เขาพูดอย่างช้าๆ, เยือกเย็น,. บางอย่างได้บังเกิดขึ้นภายในตัวเขาขณะที่เขาเผชิญหน้ากับซาร์เดาการ์นั้น.
ผลรวมการตัดสินใจหนึ่งได้สะสมเข้ามาในสัมปชัญญะของเขา. “เกอร์นีย์,”
เขาพูด, “มีพวกกิลด์เมนอยู่กับแร็บบานมากมายไหม?”
เกอร์นีย์หยัดร่างขึ้น,
ดวงตาหรี่แคบลง. “คำถามของท่านไม่ทำให้.....”
“มีไหม?” พอลตวาด.
“อาร์ราคิสกำลังคลานยั๊วเยี๊ยไปด้วยตัวแทนทั้งหลายของกิลด์.
พวกเขากำลังซื้อเครื่องเทศราวกับว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่ามากที่สุดในจักรวาล.
ทำไมอื่นใดที่ท่านคิดว่าเราถึงเสี่ยงภัยอันตรายไกลขนาดนี้เข้ามาใน.....”
“มันเป็นสิ่งล้ำค่ามากที่สุดของจักรวาล,”
พอลพูด. “ต่อพวกเขา.”
เขามองยังสติลจาร์และชานิผู้ซึ่งในตอนนี้ข้ามห้องโถงเข้ามาหาเขา.
“และเราควบคุมมัน, เกอร์นีย์”
“พวกฮาร์คอนเนนส์ควบคุมมัน!” เกอร์นีย์ประท้วงค้าน.
“ผู้คนที่สามารถทำลายสิ่งใดได้,
พวกเขาก็ควบคุมมัน, เกอร์นีย์,” พอลพูด. เขาโบกมือหนึ่งให้เงียบไกลออกไปกับเกอร์นีย์,
พยักหน้าให้กับสติลจาร์ผู้ซึ่งหยุดลงตรงเบื้องหน้าของพอล, ชานิข้างตัวเขา.
พอลถือมีดของซาร์เดาการ์ในมือซ้ายของเขา,
ส่งมันไปที่สติลจาร์. “ท่านมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งที่ดีสำหรับเผ่านี้,” พอลพูด.
“ท่านสามารถที่จะเรียกเลือดของชีวิตข้าด้วยมีดนี้ได้หรือไม่?”
“เพื่อสิ่งที่ดีต่อเผ่านี้,” สติลจาร์คำราม.
“งั้นก็ใช้มีดนี้สิ,” พอลพูด.
“ท่านกำลังเรียกข้าให้ออกมาประลองหรือ?”
สติลจาร์ถามสั่ง.
“ถ้าข้าทำ,” พอลพูด, “ข้าจะยืนที่นั้นปราศจากอาวุธและปล่อยให้ท่านสังหารฆ่า.”
สติลจาร์สูดหายใจอย่างเร็ว, แหลม.
ชานิพูด, “อูซุล!” แล้วเหลือบมองเกอร์นีย์,
กลับมาที่พอล.
ขณะที่สติลจาร์ยังคงชั่งน้ำหนักคำพูดของพอล,
เขาพูด: “ทานคือสติลจาร์, นักรบ. เมื่อพวกซาร์เดาการ์เริ่มการต่อสู้ที่นี่,
ท่านไม่ด้อยู่ในแนวหน้าของการสู้รบ. ความคิดแรกของท่านคือปกป้องชานิ.”
“เธอเป็นหลานของเขา,” สติลจาร์พู
“ถ้าได้มีความสงสัยกังขาใจใดในฟีเดย์คินของท่านในการจัดการสถุลพวกนั้น.....”
“ทำไมความคิดแรกของท่านคือชานิ?” พอลถามสั่ง.
“มันไม่ใช่!”
“โอ้?”
“มันคือท่าน,” สติลจาร์ยอมรับ.
“ท่านคิดว่าท่านสามารถลงมือกับต้านข้าได้หรือ?”
พอลถาม.
สติลจาร์เริ่มสั่นเทา.
“มันเป็นวิถี,” เขาพึมพำ.
“มันคือวิถีที่จะฆ่าผู้ต่างถิ่นนอกพิภพที่ถูกพบในทะเลทรายและเอาน้ำของเขาเป็นของขวัญจากไช-ฮูลุด,”
พอลพูด. “กระนั้นท่านก็ยังยอมอนุญาตให้สองคนเช่นนั้นมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งคืน,
มารดาของข้าและตัวข้า.”
ขณะที่สติลจาร์ยังคงนิ่งเงียบอยู่,
ตัวสั่น, จ้องมาที่เขา, พอลพูด: “วิถีทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไป, สติล.
ท่านได้เปลี่ยนแปลงพวกมันด้วยตนเอง.”
สติลจาร์มองลงยังตราเครื่องหมายสีเหลืองบนมีดที่เขาถืออยู่.
“เมื่อข้าเป็นดยุคในชนอาร์ราคีนกับชานิอยู่เคียงข้างข้า,
ท่านคิดว่าข้าจะมีเวลาที่จะวุ่นวายตัวข้ากับในรายละเอียดของการบริหารปกครองทับร์สิฐคามหรือ?”
พอลถาม. “ท่านกังวลวุ่นวายตนเองกับปัญหากิจการายในทั้งหลายของทุกครอบครัวหรือ?”
สติลจาร์ยังคงจ้องมองอยู่ที่มีดนั้น.
“ท่านคิดว่าข้าปรารถนาจะตัดแขนของข้าเองทิ้งไปหรือ?”
พอลถามสั่ง.
อย่างช้าๆ สติลจาร์เงยหน้าขึ้นมองยังเขา.
“ท่าน!” พอลพูด.
“ท่านคิดหรือว่าข้าปรารถนาที่จะเพิกถอนตัวข้าเองหรือเผ่าแห่งสติปัญญาและพละกำลังของท่านไปรึ?”
ในน้ำเสียงลดต่ำ, สติลจาร์พูด:
“พวกคนหนุ่มในเผ่าของข้าผู้ซึ่งชื่อเป็นที่รู้ดีต่อข้า,
ชายหนุ่มผู้นี้ที่ข้าสามารถฆ่าเขาได้ในสังเวียนการท้าประลอง, เจตจำนงของไช-ฮูลุด.
ไลสาน อัล-กาอิบ, ตัวเขาที่ข้าไม่อาจทำร้ายได้.
ท่านรู้ดีในเรื่องนี้เมื่อท่านส่งมีดนี้มาให้ข้า.”
“ข้ารู้มันดี,” พอลยอมรับ.
สติลจาร์เปิดมือของเขาออก.
มีดนั้นหล่นลงกระแทกกับหินของพื้น. “วิถีเปลี่ยนไป.” เขาพูด.
“ชานิ,” พอลพูด,
“ไปที่มารดาของข้า, ส่งเธอมาที่นี่ซึ่งคำปรึกษาของเธอจะเป็นใช้ประโยชน์ได้ใน---”
“แต่ท่านบอกว่าเราจะน่าจะไปทางใต้กัน!” เธอค้าน.
“ข้าผิดไป,” เขาพูด. “พวกฮาร์คอนเนนส์ไม่ได้อยู่ที่นั่น.
สงคราไม่ได้อยู่ที่นั่น.”
เธอสูดหายใจลึก,
ยอมรับเรื่องนี้ดุจผู้หญิงทะเลทรายยอมรับความจำเป็นทั้งหมดในท่ามกลางของชีวิตที่เกี่ยวพันกับความตาย.
“เจ้าจะให้ข่าวกับมารดาของข้าด้วยหูของเธอเองตามลำพัง,”
พอลพูด. “บอกเธอว่าสติลจาร์ยอมรับรู้ว่าข้าคือดยุคแห่งอาร์ราคิส,
แต่ต้องหาหนทางให้พบเพื่อทำให้คนหนุ่มทัเงหลายได้ยอมรับเรื่องนี้โดยปราศจากการต่อสู้กัน.”
ชานิเหลือบมองสติลจาร์.
“ทำตามที่เขาบอก,” สติลจาร์คำราม.
“เราทั้งคู่รู้ดีว่าเขาสามารถเอาชนะข้าได้.....และข้าไม่สามารถลงมือต่อเขาได้...เพื่อสิ่งที่ดีต่อเผ่า.”
“ข้ากลับมาพร้อมกับมารดาของท่าน,” ชานิพูด.
“ส่งเธอ,” พอลพูด. “สัญชาตญาณของสติลจาร์นั้นถูกต้อง.
ข้าแข็งแรงกว่าเมื่อเจ้าปลอดภัย. เจ้าจะยังคงอยู่ที่สิฐคามนั้น.”
เธอเริ่มที่จะประท้วง,
แล้วก็กลืนคำพูดกลับไป.
“ซิฮายะ,” พอลพูด,
ใช้นามใกล้ชิดส่วนตัวสำหรับเธอ. เขาหมุนตัวอย่างเร็วออกไปทางขวามือ, พบกับดวงตาขมึงตึงของเกอร์นีย์.
การแลกเปลี่ยนกันระหว่างพอลและฟรีเมนเฒ่าได้ผ่านไปดุจราวกับว่าในเมฆหมอกรายรอบเกอร์นีย์ตั้งแต่เมื่อพอลได้เอ่ยอ้างถึงมารดาของเขา.
“แม่ของท่าน,” เกอร์นีย์พูด.
“ไอดาโฮช่วยชีวิตเราในคืนที่ถูกโจมตี,”
พอลพูด, เสียสมาธิไปกับการแยกจากชานิ. “ในตอนนี้เราได้---”
“เกิดอะไรกับดันแคน ไอดาโฮ, ฝ’บาท?” เกอร์นีย์ถาม.
“เขาตายไปแล้ว---ซื้อเวลาเล็กน้อยให้กับเราที่จะหลบหนี.”
นางแม่มดนั้นมีชีวิตอยู่! เกอร์นีย์คิด. ผู้ที่ข้าได้สาบานไว้ที่จะล้างแค้นต่อ,
ยังมีชีวิตอยู่! และมันชัดเจนเลยว่าดยุค พอลไม่ได้รู้ว่าสิ่งมีชีวิตเยี่ยงไรที่ได้ให้กำเนิดเขามา.
ปีศาจตนหนึ่ง! ที่ได้ทรยศต่อบิดาของเขาเองกับฮาร์คอนเนนส์!
พอลดันผ่านตัวเขาไป, กระโดดข้นไปยังเพิงตะพักนั้น.
เขาเหลียวมองกลับไป, สังเกตเห็นว่าผู้บาดเจ็บและตายได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปแล้ว,
และเขาคิดอย่างขื่นขมว่านี่เป็นอีกบทตอนหนึ่งในตำนานของพอล มวด’ดิบ. ข้าไม่ได้กระทั่งดึงมีดของข้าออกมาเลย,
แต่มันจะถูกพูดกันถึงวันนี้ว่าข้าได้สังหารยี่สิบซาร์เดาการ์ด้วยมือของข้าเอง.
เกอร์นีย์ติดตามไปพร้อมกับสติลจาร์,
ก้าวเท้าบนพื้นที่เขาไม่ได้แทบจะไม่รู้สึกถึง. ถ้ำคูหานี้ของมันด้วยด้วยแสงสีเหลืองของลูกโคมลอยเรืองแสงทั้งหลายถูกบีบบังคับให้ออกไปจากความคิดของเกอร์นีย์ด้วยโทสะ.
นางแม่มดนั้นยังมีชีวิตอยู่ขณะที่เหล่าผู้ที่นางทรยศให้กลายเป็นกระดูกทั้งหลายในหลุมศพเปล่าเปลี่ยว.
ข้าต้องออกอุบายให้พอลได้เรียนรู้ถึงความสัจจริงเกี่ยวกับเธอก่อนที่ข้าจะสังหารเธอ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น