หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (40)

 

         เมื่อกฎหมายและหน้าที่เป็นหนึ่งเดียวกัน, รวมตัวเข้าโดยลัทธิศาสน์, เจ้าก็ไม่มีวันได้กลายเป็นมีสติสัมปชัญญะอย่างเต็มที่, สัมปชัญญะเต็มเปี่ยมของตนเอง. เจ้ามักจะน้อยกว่าเป็นปัจเจกตนเองลงเล็กน้อย.

---จาก “มวดดิบ: เก้าสิบ-เก้ามหัศจรรย์แห่งเอกภพ” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

 

         โรงงานเครื่องเทศของพวกลักลอบของเถื่อนด้วยยานบรรทุกและยานโดรนออมนิธ็อปเปอร์ทั้งหลายบินวงเข้ามาถึงโดยยกทรายของนูนเนินปลิวกระจายเหมือนฝูงผึ้งติดตามราชินีของมัน. ข้างหน้าของฝูงผึ้งทอดตัวอยู่คือสันหินผาเตี้ยที่ยกตัวขึ้นจากพื้นทะเลทรายเหมือนหุ่นจำลองแบบเล็กๆของกำแพงโล่ห์พลัง. หาดแห้งทั้งลายของสันผานั้นถูกกวาดสะอาดเกลี้ยงไปด้วยพายุที่เพิ่งผ่านไป.

         ในโรงงานรูปโครงสร้างเหมือนฟองนั้น, เกอร์นีย์ ฮัลเล็คเอนกายไปข้างหน้า, ปรับแต่งเลนส์น้ำมันของกล้องส่อสองตาและตรวจดูภูมิทัศน์เหล่านั้น. โพ้นเลยสันผาไป, เขาสามารถมองเห็นแผ่นคล้ำที่อาจจะเป็นเครื่องเทศกระเด็นฟอง, เขาให้สัญญานไปยังยานออมนิธ็อปเปอร์ที่บินวนเหนือหัวซึ่งส่งมันให้ไปตรวจสอบ.

         ยานธ็อปเปอร์นั้นกระพือปีกเพื่อบอกว่ามันได้รับทราบสัญญานนั้นแล้ว. มันแยกออกไปจากฝูงผึ่ง, เร่งความเร็วลงไปยังแผ่นทรายคล้ำเข้มนั้น, ตีวงเหนือพื้นที่ด้วยเครื่องตรวจห้อยลงไปใกล้พื้นผิวนั้น.

         เกือบจะในทันทีทันใดนั้น, มันก็สู่การทำปีกหุบจุ่มจิ้มและตีวงที่บอกกับโรงงานที่รอคอยอยู่ว่าเครื่องเทศได้ถูกพบแล้ว.

         เกอร์นีย์สอดกล้องส่องสองตาของเขาเก็บเข้าซอง, รู้ว่าคนอื่นๆได้เห็นสัญญานนั้นแล้ว. เขาชอบที่จุดแห่งนี้. สันผายื่นเป็นเชิงโล่กำบังและปกป้องให้. นี่เป็นตอนลึกเข้ามาในทะเลทราย, สถานที่ที่ไม่คุ้นเคยสำหรับการถูกซุ่มโจมตี.....ยังคง.....เกอร์นีย์ส่งสัญญานไปยังลูกเรือให้บินโฉบขึ้นไปเหนือสันผานั้น, เพื่อที่จะไล่กวาดตรวจมัน, ส่งพวกสำรองทั้งหลายให้ขึ้นไปเข้าตำแหน่งที่ตั้งในรูปแบบรายรอบพื้นที่---ไม่สูงเกินไปนักเพราะว่าแล้วพวกเขาจะสามารถถูกเห็นได้จากระยะไกลโดยเครื่องตรวจหาของฮาร์คอนเนนฺ.

         เขากังขาใจ,ด้วยกระนั้น, ว่าหน่วยลาดตระเวนฮาร์คอนเนนทั้งหลายน่าจะอยู่ไกลทางตอนใต้หรือไม่. นี่ยังคงเป็นชนบทของฟรีเมน.

         เกอร์นีย์ตรวจดูอาวุธของเขา, สาปแช่งโชคชะตาที่ทำให้โล่พลังไร้ประโยชน์ที่ข้างนอกนี่. อะไรก็ตามที่เรียกให้พวกหนอนเข้ามาหาจะถูกหลีกเลี่ยงการใช้งานในทุกกรณีทั้งหมด. เขาถูกรอยแผลเป็นสีหมึกองุ่นที่เลื้อยไปตามกรามของเขา, ศึกษาฉากทัศน์นั้น, ตัดสินใจว่ามันเป็นที่ปลอดภัยที่สุดที่จะนำคณะภาคพื้นดินผ่านทะลุสันผามา. การตรวจสอบด้วยการเดินเท้าก็ยังคงเป็นสิ่งแน่นอนมากที่สุด. เจ้าไม่สามารถเป็นที่ว่าระมัดระวังเกินไปนักเมื่อฟรีเมนและฮาร์คอนเนนจ่ออยู่ที่คอหอยของกันและกัน.

         มันเป็นพวกฟรีเมนที่สร้างวามกังวลให้กับเขาที่นี่. พวกนั้นไม่สนใจการค้าขายทั้งหมดของเครื่องเทศที่เจ้าสามารถหาซื้อได้, แต่พวกเขาเป็นปีศาจร้ายทั้งหลายบนเส้นทางสงครามถ้าเจ้าย่างเท้าเข้ามาเหยียบที่ซึ่งพกวเขาได้ห้ามเจ้าไว้ว่าไม่ให้ไป. และพวกนั้นฉลาดในเล่ห์เหลี่ยมร้ายปานปีศาจในการรอช้า.

         มันก่อกวนใจเกอร์นีย์, การยุทธแบบเล่ห์เหลี่ยมร้ายและคล่องแคล่วชำนาญของพวกชนพื้นเมืองนี้. พวกเขาไม่ได้เล่นอย่างละเมียดละไมโอ่อ่าในการสงครามชั้นดีเท่าที่เขาได้เคยประสบปะทะมา, และเขาได้ถูกฝึกมาโดยนักต่อสู้ที่ดีที่สุดในเอกภพแล้วจึงได้เพิ่มรสชาติจากการยุทธทั้งหลายที่มีเพียงสุดยอดฝีมือน้อยรายเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้.

         อีกครั้งที่เกอร์นีย์กวาดตรวจภูมิทัศน์เหล่านั้น, สงสัยในใจว่าทำไมเราถึงได้รู้สึกไม่สบายใจ. บางทีมันเป็นเพราะหนอนทรายที่เขาได้เห็น.....แต่นั้นอยู่อีกด้านหนึ่งของสันผานี้.      

         ศีรษะหนึ่งโผล่ผุดเข้ามาในฟอง-โครงข้างตัวเกอร์นีย์---ผู้บัญชาการโรงงาน, โจรสลัดชราตาเดียวด้วยเครารกเต็ม, ดวงตาสีฟ้าและฟันสีนมจากอาหารอุดมด้วยเครื่องเทศ.

         “ดูจะเป็นแผ่นผืนที่อุดมสมบูรณ์เลยนะ, ขอรับ,” ผู้บัญชาการโรงงานพูด. “เราจะจัดการเอามันเลยไหม?”

         “ลงไปที่ริมของสันผานั่น,” เกอร์นีย์สั่งการ. “ปล่อยให้ข้านำขึ้นฝั่งด้วยคนของข้าเอง. เจ้าสามารถไถนำเอาเครื่องเทศออกมาจากตรงนั้น. เราจะต้องคอยมองจากสันหินนั้นไว้.”

         อ๊าย.”

         “ในกรณีที่มีเรื่องขึ้นมา,” เกอร์นีย์บอก, “รักษาโรงงานเอาไว้. เราจะยกมันขึ้นมาด้วยพวกยานธ็อปเปอร์ทั้งหลาย.”

         ผู้บัญชาการโรงงานวันทยาหัตถ์. “อ๊าย, ขอรับ.” เขาผลุบหัวกลับลงไปผ่านฝาเปิด/ปิดนั้น.

         อีกครั้งที่เกอร์นีย์กวาดไล่ตรวจเส้นขอบฟ้า. เขาจำเป็นต้องเคารพต่อความเป็นไปได้ที่ว่ามีพวกฟรีเมนที่นี่และเขาเป็นผู้บุกรุก. ฟรีเมนทำให้เขากังวลใจ, ความทรหดและความสามารถอันคาดไม่ถึงของพวกเขา. หลายสิ่งเกี่ยวกับธุรกิจนี้ทำให้เขาเป็นห่วงกังวล, แต่รางวัลมันยิ่งใหญ่. ตวามจริงที่ว่าเขาไม่สามารถส่งยานค้นหาสูงขึ้นไปเหนือหัวนั้นทำให้เขากังวล, ด้วยเช่นกัน. สัญญาณวิทยุที่จำเป็นนั้นเงียบสนิทยิ่งเติมเพิ่มให้กับความไม่สบายใจของเขา.

         โรงงานคลานคืบคราว์เลอร์เลี้ยวหัน, เริ่มต้นเคลื่อนลงสู่พื้น. อย่างนุ่มนวลที่มันไถลลงไปยังหาดทรายแห้งที่เชิงตีนสันผา. เหยียบย่ำสัมผัสทราย.

         เกอร์นีย์เปิดโดมฟองนั้นออก, ปลดสายรัดนิรภัยของเขา. ในขณะนั้นโรงงานหยุดลง, เขาก้าวออกมา, เหวี่ยงฝาฟองนั้นปิดลงด้านหลังเขา, ตะกายปีนออกมาเหนือยามรักษาการณ์เดินเท้าทั้งหลายเพื่อเหวี่ยงตัวลงสู่พื้นทรายเลยพ้นจากตาข่ายฉุกเฉิน. ห้าคนของยามคุ้มกันส่วนตัวของเขาออกมาหาเขา, รีบเร่งอกมาจากจมูกฝาเปิด/ปิด. คนอื่นๆกำลังปล่อยปีกบินหิ้วโรงงานออก. มันหลุดออก, ยกตัวออกขึ้นบินเป็นวงจอดระดับต่ำเหนือศีรษะ.

         ทันทีนั้นโรงงานคราว์เลอร์ใหญ่เอียงตัวเซ, เหวี่ยงตัวออกไปจากสันผาตรงไปยังแผ่นเข้มคล้ำของเครื่องเทศข้างนอกในทะเลทรายนั้น.

         ยานธ็อปเปอร์หนึ่งโฉบลงมาใกล้, ไถลลงหยุดจอด. อีกลำตามลงมาและอีกลำอื่น. พวกมันสำรอกคายกองลาดตระเวนของเกอร์นีย์ออกมาและยกตัวบินขึ้น.

         เกอร์นีย์ทดสอบกล้ามเนื้อของเขาในชุดสติลล์สูทของเขา, ยืดเหยียดมัน. เขาปล่อยหน้ากากกรองออกจากใบหน้าของตน, สูญเสียความชื้นเพื่อความจำเป็นที่ยิ่งใหญ่กว่า---พลังส่งออกไปซึ่งเสียงของเขาถ้าเข้าต้องสั่งบัญชาการทั้งหลาย. เขาเริ่มต้นปีนขึ้นไปบนก้อนหินเหล่านั้น, ตรวจสอบภูมิประเทศ---ก้อนกรวดและเม็ดถั่วทรายใต้เท้า, กลิ่นของเครื่องเทศ.

         ที่ตั้งดีสำหรับฐานฉุกเฉิน, เขาคิด. อาจเป็นเหตุผลที่ดีที่จะฝังเสบียงทั้งหลายไว้สักเล็กน้อยที่นี่.

         เขาชำเลืองมองกลับไป, เฝ้าดูคนของเขากระจายกกันออกไปขณะที่พวกนั้นตามเขามา. ทหารที่ดี, กระทั้งรายที่มาใหม่ที่เขายังไม่มีเวลาได้ทดสอบ. ทหารที่ดี. ไม่ต้องให้บอกทุกครั้งว่าต้องทำอะไร. ม่มีโล่พลังส่งประกายออกมาในคนใดของพวกนั้น. ไม่มีคนขลาดในหมู่นี้, แบกโล่ห์พลังทั้งหลายเข้ามาในทะเลทรายที่ซึ่งหนอนทรายสามารถสัมผัสรู้ถึงสนามพลังนั้นและเข้ามาปล้นพวกเขาจากเครื่องเทศที่พวกเขาค้นพบ.

         จากแนวตั้งลาดในหินทั้งหลายนั้น, เกอร์นีย์สามารถมองเห็นแผ่นปื้นของเครื่องเทศเกือบครึ่งกิโลเมตรห่างออกไปและเครื่องคราว์เลอร์เกือบจะไปถึงริมขอบที่ใกล้อยู่. เขาชำเลืองมองขึ้นไปยังยานบินคุ้มกัน, สังเกตถึงระดับความสูงนั้น---ไม่สูงเกินไป. เขาพยักหน้าให้กับตนเอง, หันไปดำเนินการปีนขึ้นไปสันผาของเขาอีก.

         ในทันทีนั้น, สันผาระเบิดออก.

         สิบสองเส้นทางอยู่ใกล้ของเปลวเพลิงแลบขึ้นไปยังยานธ็อปเปอร์และปีกบินบรรทุก. มีเสียงปะทุระเบิดของโ,จากโรงงานคืบคลานคราว์เลอร์, และก้อนหินทั้งหลายรบตัวของเกอร์นีย์ก็เต็มไปด้วยทหารเสื้อคลุมครอบศีรษะ.

         เกอร์นีย์มีเวลาที่คิด: ด้วยแตรเขาทั้งหลายของมหามารดาเถิด! จรวด! พวกเขากล้าที่จะใช้จรวด!

         แล้วเขาก็เผชิญต่อหน้าต่อตากับร่างในหมวดคลุมศีรษะที่คู้กายอยู่ต่ำ, มีดกริชอยู่ในการเตรียมพร้อม. อีกสองคนยืนรอคอยอยู่บนก้อนหินเหนือไปทางซ้ายและขวามือ. มีเพียงดวงตาของนักรบอยู่เหนือเขาที่ปรากฏต่อเกอร์นีย์ระหว่างหมวกคลุมศีรษะและผ้าบังหน้าสีทรายไหม้คร่ำคร่า, แต่ร่างคู้อยู่และการพร้อมเช่นนั้นเตือนเขาว่านี่เป็นนักรบที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี. ดวงตาเหล่านั้นเป็นสีฟ้า-ใน-ฟ้าของฟรีเมนทะเลทรายตอนลึก.

         เกอร์นีย์เคลื่อนมือข้างหนึ่งไปยังมีของตนเอง, รักษาดวงตาของเขาให้จับตรึงอยู่กับมีดของอีกฝ่ายหนึ่ง. ถ้าพวกเขากล้าที่จะใช้จรวด, พวกเขาก็มีอาวุธนำวิถียิงทั้งหลายอื่นอีก. ชั่วขณะนี้โต้เถียงอย่างระมัดระวังเป็นที่สุด. เขาสามารถบอกได้ด้วยตามลำพังแค่เสียงว่าอย่างน้อยที่สุดส่วนหนึ่งของยานบินเหนือศีรษะของเขาได้ถูกซัดร่วง. มีเสียงคำรามตะคอก, ด้วยเช่นกัน, สังเกตได้ว่ามีหลายคนกำลังดิ้นรนอยู่ที่ด้านหลังของเขา.

         ดวงตาของนักรบเหนือหัวของเกอร์นีย์นั้นติดตามการเคลื่อนไหวของมือที่ไปยังมีดนั้น, กลับมาจ้องเข้าไปในดวงตาของเกอร์นีย์.

         “ปล่อยมีดให้อยู่ในฝักของมัน, เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค,” ชายนั้นพูด.

         เกอร์นีย์ลังเล. เสียงนั้นหังดูคุ้นเคยอย่างแปลกพิกลถึงแม้จะผ่านเครื่องกรองของชุดสติลล์สูทออกมา.

         “เจ้ารู้ชื่อของข้ารึ?” เขาพูด.

         “เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้มีดกับข้าหรอก, เกอร์นีย์,” ชายนั้นลอก. เขาหยัดร่างขึ้น, สอดมีดกริชคริชคไน้ฟเข้าไปในฝักของมันกลับในใต้เสื้อคลุม. “บอกคนของเจ้าให้หยุดการต่อต้านที่ไร้ประโยชน์นั้นเสีย.”

         ชายนั้นเหวี่ยงหมวกคลุมศีรษะเปิดออกกลับไปทางด้านหลังของเขา, เหวี่ยงที่กรองไปทางด้านข้าง.

         ความตื่นตกใจของอะไรที่เขาได้เห็นทำให้กล้ามเนื้อของเกอร์นีย์แข็งทื่อ. เขาคิดในทีแรกว่าเขากำลังมองดูผีของดยุค ลีโต อะไทรดิส. การจำได้ค่อยคืบเข้ามาจนเต็มที่อย่างช้าๆ.

         พอล,” เขากระซิบ. แล้วดังขึ้น. “นี่เป็น พอล จริงรึ?”

         “เจ้าไม่เชื่อใจในสายตาของตนเองไปแล้วหรือ?” พอลพูด.

         “พวกเขาบอกว่าเจ้าตายไปแล้ว,” เกอร์นีย์หอบสำลัก. เขาสืบไปข้างหน้าครึ่งก้าว.

         “บอกคนของเจ้าให้ยอมแพ้,” พอลสั่ง. เขาโบกมือไปยังด้านต่ำเอื้อมลงไปถึงของสันผา.

         เกอร์นีย์หันกลับ, ลังเลที่เอาสายตาละจากพอล. เขามองเห็นเพียงสองสามหมวดของผู้ดิ้นสู้. คนทะเลทรายหมวกคลุมศีรษะดูเหมือนจะอยู่ทุกหนแห่งรายรอบ. โรงงานคราว์เลอร์นอนนิ่งเงียบมีฟรีเมนกำลังยืนอยู่เหนือมัน. ไม่มียานบินอยู่เหนือศีรษะขึ้นเลยสักลำ.

         “หยุดต่อสู้.” เกอร์นีย์ตะโกน. เขาสูดหายใจลึก, ป้องปากด้วยมือเป็นโทรโข่ง. “นี่คือเกอร์นีย์ ฮัลเล็ค! หยุดต่อสู้!

         อย่างช้าๆ, เหนื่อยอ่อน, ร่างที่ดิ้นสู้เหล่านั้นแยกออกจากกัน. ดวงตาหันมายังเขา, อย่างถามไถ่.

         “พวกนี้คือเพื่อน,” เกอร์นีย์ตะโกนบอก.

         “เพื่อที่ดีเหลือเกิน!” บางคนตะโกนกลับมา. “ครึ่งหนึ่งของพวกเราถูกฆ่าไปแล้ว.”

         “มันเป็นการผิดพลาด,” เกอร์นีย์บอก. “อย่าเพิ่มเติมมันไปอีก.”

         เขาหันกลับมายังพอล, จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้า-ใน-ฟ้าแบบฟรีเมนคู่นั้น.

         ยิ้มสัมผัสปากของพอล, แต่มีความกระด้างในการแสดงออกนั้นที่เตือนเกอร์นีย์ถึงดยุค เฒ่า, ปู่ของพอล, เกอร์นีย์มองเห็นแล้วว่าความกระด้างอย่างมีกำลังวังชาในพอลที่ไม่เคยได้มีเห็นมาก่อนในตระกูลอะไทรดิส---ท่าทางคล้ายมีผิวที่หนังดูเหนียวแน่น, ดวงตาที่ชำเลืองมองและคาดการณ์คำนวณในการเหลือบดูซึ่งเหมือนกับว่าจะชั่งน้ำหนักทุกสิ่งที่เห็นในสายตา.

         “พวกเขาบอกว่าเจ้าตายไปแล้ว,” เกอร์นีย์พูดซ้ำ.

         “และมันดูเหมือนว่าเป็นการป้องกันที่ดีที่สุดที่ปล่อยให้พวกเขาคิดเช่นนั้น,” พอลพูด.

         เกอร์นีย์ตระหนักได้ว่านั่นคือทั้งหมดของคำขอโทษที่เขาได้เคยได้รับสำหรับการถูกละทิ้งต่อแหล่งที่มาของเขาเอง, ทอดทิ้งเขาให้ถูกเชื่อว่าดยุคหนุ่มของเขา.....เพื่อนของเขา, ได้ตายไปแล้ว. เขาสงสัยใจกระนั้นว่ามีสิ่งใดเหลืออยู่หรือไม่ในที่นี้ของเด็กชายผู้นั้นที่เขาได้รู้จักและฝึกฝนให้มาในวิถีทั้งหลายของนักรบ.

         พอลก้าวเข้ามาใกล้เกอร์นีย์, พบว่าดวงตาของเขานั้นคมวาว. “เกอร์นีย์.”

         มันดูเหมือนจะบังเกิดขึ้นได้ด้วยตัวมันเอง, และพวกเขาก็สอดกอดกัน, ตบหลังกันและกัน, ความรู้สึกของการรื้อฟื้นยืนยันมั่นใจของเนื้อหนังตัวตน.

         “เจ้าเสือน้อยเอ๋ย! เจ้าเสือน้อย!เกอร์นีย์พูดไม่หยุด.

         และพอล, “เกอร์นีย์, ท่าน! เกอร์นีย์, ท่าน!

         ทันทีนั้น, พวกเขาก้าวแยกออกจากกัน, มองกันและกัน. เกอร์นีย์สูดหายใจลึก. “แล้วเจ้าก็คือทำไมฟรีเมนถึงได้เติบโตฉลาดล้ำเหลือเกินในกลยุทธการรบ. ข้าน่าจะได้รู้ดี. พวกเขาเอาแต่ทำสิ่งทั้งหลายที่ข้าควรจะได้วางแผนเช่นนั้นด้วยตัวข้าเอง. ถ้าเพียงแต่ข้าได้รู้ว่า.....” เขาสั่นศีรษะของตน. “ถ้าเจ้าได้แค่บอกข้ามาสักคำเดียว, เจ้าหนุ่ม. ก็จะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งข้าได้. ข้าจะวิ่งแล่นมาทันทีเลย.”

         สายตาของพอลที่มองจับมาทำให้เขาหยุด.....แข็งกร้าว, จ้องมองอย่างชั่งน้ำหนัก.

         เกอร์นีย์ถอนหายใจ. “แน่นอน, และได้มีพวกที่กังขาว่าทำไมเกอร์นีย์ ฮัลเล็คถึงเอาแต่วิ่งไป, และบางรายก็จะได้ทำอะไรมากยิ่งกว่าถาม. พวกเขาได้ออกไปตามล่าหาคำตอบนั้น.”

         พอลพยักหน้ารับ, เหลือบมองยังฟรีเมนที่กำลังรอคอยอยู่รอบๆพวกเขา---สายตามองที่สงสัยใคร่รู้ยกย่องอยู่บนใบหน้าทั้งหลายของฟีเดย์คิน. เขาหันจากเหล่าหน่วยจู่โจมมรณะกลับมายังเกอร์นีย์. พบว่าอดีตปรมาจารย์ดาบของเขาได้เติมเต็มเขาด้วยความภาคภูมิใจ. เขาเห็นมันเป็นเช่นลางที่ดี, สัญญานบอกว่าเขาอยู่บนเส้นทางของอนาคตที่ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี.

         ด้วยเกอร์นีย์อยู่เคียงข้างข้า.

         พอลชำเลืองมองลงไปตามสันผาผ่านฟีเดย์คิน, ศึกษาดูลูกมือพวกลักลอบขนของเถื่อนที่ได้มาด้วยกันกับฮัลเล็ค.

         “คนของเจ้ายืนเช่นไร, เกอร์นีย์?” เขาถาม.

         “พวกเขาคือนักลักลอบขนของเถื่อนทั้งหมด,” เกอร์นีย์พูด. “พวกเขายืนในที่ที่มีกำไรให้.”

         “กำไรเพียงพอเล็กน้อยในการเสี่ยงภัยของเรา,” พอลพูด, และเขาสังเกตได้ว่าสัญญานนิ้วอันละเอียดอ่อนแวบมาหาเขาโดยมือขวาของเกอร์นีย์---รหัสมือเก่าแก่ออกมาจากอดีตของพวกเขา. มีพวกคนที่น่ากลัวและไว้ใจม่ได้ในหมู่ลูกมือพวกลักลอบขนของเถื่อน.

         พอลเม้มริมฝีปากของเขาเพื่อบ่งชี้ว่าเขาเข้าใจแล้ว, มองขึ้นไปยังพวกที่กำลังยืนคุ้มกันอยู่เหนือพวกเขาบนก้อนหินเหล่านั้น. เขาเห็นสติลจาร์ที่นั้น. ความทรงจำของปัญหาที่ยังไม่ได้คลี่คลายกับสติลจาร์เย็นลงซึ่งความภูมิใจของพอล.

         สติลจาร์,” เขาพูด, “นี่คือเกอร์นีย์ ฮัลเล็คแห่งผู้ที่ท่านเคยได้ยินข้าพูดถึง. ปรมาจารย์อาวุธของบิดาข้า, หนึ่งในปรมาจารย์ดาบผู้ได้สอนข้ามา, เพื่อนเก่า. เขาสามารถถูกไว้ใจได้ในการเสี่ยงภัยอันตรายใด.”

         “ข้าได้ยิน,” สติลจาร์พูด. “เจ้าคือดยุคของเขา.”

         พอลจ้องมองที่ใบหน้ามืดคล้ำเหนือเขา, สงสัยใจที่เหตุผลซึ่งได้กระตุ้นเร้าให้สติลจาร์ได้พูดเช่นนั้นออกมา. ดยุคของเขา. มีน้ำเสียงเน้นแปลกอย่างประณีตในคำพูดนั้นของสติลจาร์, ราวดั่งว่าเขาอยากที่จะพูดบางอย่างอื่นมากกว่า. และนั่นเป็นไม่เหมือนเช่นสติลจาร์ที่คือผู้นำของฟรีเมน, ชายผู้ซึ่งพูดตามใจของตนเอง.

         ดยุคของข้า? เกอร์นีย์คิด. เขามองในทีท่าใหม่มายังพอล. ใช่, ด้วยการตายของลีโต, ราชศักดิ์นั้นย่อมตกอยู่ที่บ่าของพอล.

         รูปแบบการทำสงครามของฟรีเมนบนอาร์ราคิสเริ่มต้นที่จะเข้าสู่รูปทรงใหม่ในจิตใจของเกอร์นีย์. ดยุคของข้า! สถานที่หนึ่งที่ได้ตายไปแล้วภายในตัวเขาเริ่มกลับคืนมามีชีวิต. เพียงส่วนหนึ่งของสัมปชัญญะของเขาเพ่งจับอยู่กับคำสั่งของพอลต่อลูกมือนักลักลอบขนของเถื่อนนั้นให้ปลดอาวุธจนกระทั่งพวกเขาสามารถถูกสอบสวนถามได้.

         จิตใจของเกอร์นีย์กลับมาสู่การบังคับบัญชาเมื่อเขาได้ยินบางคนของเขาประท้วงค้าน. เขาสั่นศีรษะของตน, หมุนตัวไป, “พวกแกหูหนวกรึไง?” เขาตะคอกลั่น. “นี่คือดยุคแห่งอาร์ราคิสผู้ทรงราชศักดิ์เต็ม. ทำตามบัญชาของท่าน.”

         อย่างบ่นพึม, พวกลักลอบขนของเถื่อนยอมจำนน.

         พอลเคลื่อนขึ้นไปข้างกายของเกอร์นีย์, พูดลดเสียงต่ำลง. “ข้าไม่ได้คาดหวังว่าท่านจะเข้ามาในกับดักนี้, เกอร์นีย์.”

         “ข้าสมควรถูกตำหนิอย่างเหมาะสมแล้ว,” เกอร์นีย์พูด. “ข้าจะเดิมพันว่าแผ่นผืนเครื่องเทศของท่านนั่นบางน้อยยิ่งไปกว่าความหนาของเม็ดทราย, เหยื่อล่อที่ยั่วยวนเรา.”

         “เดิมพันนั้นท่านชนะ,” พอลพูด. เขามองลงไปยังที่พวกคนที่ถูกปลดอาวุธ. “มีคนของบิดาข้าหลงเหลืออยู่ในกลุ่มพวกลูกมือนี้บ้างไหม?”

         “ไม่มีเลย. เราถูกกระจายออกไปจนเหลือน้อย. มีอยู่สองสามคนในหมู่พวกพ่อค้า. ส่วนใหญ่ได้ใช้จ่ายกำรของพวกเขาที่จะไปจากสถานที่นี้.”

         “แต่ท่านยังอยู่.”

         “ข้าอยู่.”

         “เพราะว่าแร็บบานอยู่ที่นี่,” พอลพูด.

         “ข้าคิดว่าข้าไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วนอกจากการล้างแค้น,” เกอร์นีย์พูด.

         เสียงร้องแปลกๆตัดแทรกเข้ามาขัดจากยอดสันผา, เกอร์นีย์เงยมองขึ้นไปเห็นฟรีเมนคนหนึ่งกำลังโบกผ้าเช็ดหน้า.

         ผู้สร้างรายหนึ่งมา,” พอลบอก. เขาเคลื่อนออกไปยังจุดปลายชี้ของก้อนหินพ้อมเกอร์นีย์ติดตามมา, มองออกไปยังทางทิศตะวันตกเฉียงใต้. โพรงร่องกองพะเนินเนินดินทรายของหนอนตัวหนึ่งสามารถถูกเห็นได้ในกึ่งกลางระยะไกล, ฝุ่น-ครอบร่องรอยทางที่ตัดตรงผ่านทะลุนูนทรายทั้งหลายบนเส้นทางตรงเข้ามาหาสันผานี้.

         “เขาโตพอเลย,” พอลพูด.

         เสียงกระทบกระแทกยกลอยขึ้นมาจากโรงงานคราว์เลอร์ข้างล่างพวกเขา. มันได้เปิดทำงานไต่คลานของมันเหมือนแมลงยักษ์, อุ้ยอ้ายตรงเข้ามายังสันผา.

         “แย่เกินไปที่เราไม่ได้เก็บยานหิ้วบินแครี่ออลเอาไว้,” พอลพูด.

         เกอร์นีย์เหลียวมองเขา, มองกลับไปยังแผ่นปื้นทั้งหลายของควันและซากเศษออกไปบนทะเลทรายนั้นที่ซึ่งยานกิ้วบินแครี่ออลและยานออมนิธ็อปเปอร์ทั้งหลายได้ถูกสอยลงมาด้วยจรวดของฟรีเมน. เขารู้สึกทันทีเจ็บแปลบใจไปกับคนที่สูญเสียไปที่นั่น---คนของเขา, และเขาพูด: “บิดาของท่านคงจะกังวลใจมากกว่าในผู้คนที่เขาสามารถช่วยชิตไว้ได้.”

         พอลยิงสายตากร้าวมายังเขา, ลดการจ้องมองของเขาต่ำลง. ทันทีนั้น, เขาพูด: “พวเขาเป็นเพื่อนของท่าน, เกอร์นีย์. ข้าเข้าใจ. ต่อเรา, เช่นนั้น, พวกเขาคือผู้บุกรุกที่อาจจะห็นสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาไม่ควรจะได้เน. ท่านต้องเข้าใจในเรื่องนั้น.”

         “ข้าเข้าใจมันดีพอ,” เกอร์นีย์พูด. “ตอนนี้, ข้าใคร่รู้ว่าจะได้เห็นอะไรที่ข้าไม่ควรเห็น.”

         พอลมองขึ้นเพื่อเห็นรอยยิ้มดุจหมาป่าชราและจดจำได้บนใบหน้าของสติลจาร์, รอยริ้วยัลย่นของแผลเป็นสีองุ่นเลื้อยไปตามกรามของชายผู้นั้น.

         เกอร์นีย์พยักหน้ายังทะเลทรายเบื้องล่างพวกเขา. ฟรีเมนกำลังลงมือทำธุรการงานของตนไปทั่วภูมิทัศน์นั้น. มันกระแทกต่อเขาว่าไม่มีพวกนั้นเลยสักคนที่เป็นกังวลต่อการเข้ามาของหนอนทรายนั้น.

         เสียงตั้มตั้มดังมาจากนูนทรายลางแจ้งทั้งหลายโพ้นเลยแผ่นปื้นเหยื่อล่อของเครื่องเทศนั้นไป---เสียงตีกลองที่ดูเหมือนจะถูกได้ยินผ่านทะลุเท้าของพวกเขา. เกอร์นีย์มองเห็นฟรีเมนแผ่กระจายออกไปข้ามตัดทะเลทรายในเส้นทางมาของหนอนนั้น.

         นอนนั้นเข้ามาเหมือนบางปลาทรายมหึมา, สร้างสันหงอนลดเลี้ยวของพื้นผิว, ปล้องวงแหวนของมันกระเพื่อมและบิดม้วน. ในชั่วขณะ, จากจุดที่ได้เปรียบของเขาเหนือทะเลทราย, เกอร์นีย์มองเห็นการจัดการกับหนอนนั้น---การกระโจนอย่างกล้าหาญของมือปฏักตะขอแรก, การม้วนพลิกตัวของสัตว์ร้ายนั้น, วิธีที่คณะคนทั้งปวงขึ้นไปบนด้านข้างโค้งสะเก็ดวิบวับวาวของหนอนนั้น.

         “นั่นคือหนึ่งในสิ่งทั้งหลายที่ท่านไม่ควรได้เห็น,” พอลพูด.

         “มีนิทานและคำเล่าลือทั้งหลาย,” เกอร์นีย์พูด. “แต่มันไม่ใช่สิ่งง่ายดายเลยที่จะเชื่อโดยปราศจากการที่ได้เห็นมันเอง.” เขาส่ายศีรษะของตน. “สิ่งมีชีวิตที่บรรดาผู้คนทั้งหมดของอาร์ราคิสพากันหวาดกลัว, ท่านปฏิบัติกับมันเหมือนขึ้นขี่สัตว์เลี้ยงทั่วไป.”

         “ท่านเคยได้ยินบิดาข้าเคยพูดไว้ถึงพลังแห่งทะเลทราย,” พอลพูด. “นั่นล่ะมัน. พื้นผิวของพิภพนี้เป็นของเรา. ไม่มีพายุหรือสัตว์ร้ายใดหรือสภาวะใดที่สามารถหยุดเราได้.”

         เรา, เกอร์นีย์คิด. เขาหมายถึงฟรีเมน. เขาพูดถึงตนเองเป็นหนึ่งในพวกนั้น. อีกครั้ง, เกอร์นีย์มองไปที่สีฟ้าเครื่องเทศในดวงตาของพอล. ตาของเขาเอง, เขารู้, ได้มีสัมผัสของสีนั้นด้วย, แต่พวกลักลอบขนของเถื่อนทั้งหลายสามารถหาอาหารทั้งหลายจากนอกพิภพมาได้และมีความพัวพันเกี่ยวข้องอย่างประณีตในเรื่องชนชั้นวรรณะในสีแห่งดวงตาทั้งหลายในท่ามกลางพวกเขา. พวกเขาพูดว่า “สัมผัสนั้นของแปรงสีฟันเครื่องเทศ” เพื่อหมายถึงคนที่ได้ถลำเข้าไปในความเป็นพื้นถิ่นเกินไปง และก้มักจะมีนัยของการไม่ไว้ใจอยู่ในความคิดนั้นด้วย.

         “ครั้งหนึ่งเมื่อเราไม่ได้ขี่ผู้สร้างนั้นในตอนกลางวันในละติจูดเหล่านี้,” พอลพูด. “แต่แร็บบานมียานอากาศไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมส่วนที่เหลือที่เขาสามารถสูญเสียมันไปเปล่ากับการมองหาจุดด่างทั้งหลายในทะเลทราย.” เขามองมาที่เกอร์นีย์. “ยานบินของท่านเป็นที่น่าตกใจต่อเราที่นี่.”

         ต่อเรา.....ต่อเรา.....

         เกอร์นีย์ส่ายศีรษะเพื่อขับไล่ความคิดเยี่ยงนั้นออกไป. “เราไม่ได้เป็นความตื่นตกใจต่อท่านอย่างที่ท่านมีต่อพวกเรา,” เขาพูด.

         “การพูดคุยของแร็บบานเป็นอย่างไรหรือ ถึงเรื่องที่แอ่งอ่างและหมู่บ้านทั้งหลาย?” พอลถาม.

         “พวกเขาบอกกันว่าพวกเขาได้สร้างป้อมปราการขึ้นในหมู่บ้านรอบนอกทั้งหลายยังจุดที่ท่านไม่สามารถทำร้ายพวกเขาได้. พวกเขาพูดว่าพวกเขาจำเป็นต้องก็แค่นั่งอยู่ข้างในการป้องกันของพวกเขานั้นขณะที่ท่านลากตัวเองอยู่ข่างนอกในการโจมตีที่ไร้ประโยชน์.”

         “ในคำพูดที่บอกได้ว่า,” พอลพูด, “พวกนั้นถูกทำให้หยุดการเคลื่อนที่.”

         “ขณะที่ท่านสามารถไปในทุกที่ที่ท่านประสงค์,” เกอร์นีย์พูด.

         “ในกลเม็ดที่ข้าได้เรียนมาจากท่าน,” พอลพูด. “พวกเขาได้สูญเสียความริเริ่มมุ่งมั่น, ซึ่งมายความว่าพวกเขาได้สูญเสียสงครามนั้นไป.”

         เกอร์นีย์ยิ้ม, อย่างช้าๆ, แสดงออกถึงการรู้.

         “ศัตรูของเราแน่ชัดว่าได้อยู่ในที่ที่ข้าต้องการให้เขาอยู่,” พอลพูด. เขาเหลือบมามองยังเกอร์นีย์. “เอาละ, เกอร์นีย์, ท่านจะรับเกณฑ์เข้าร่วมกันกับข้าเพื่อจบการประชันรณรงค์กันนี้ไหม?”

         “รับเกณฑ์?” เกอร์นีย์จ้องมองเขา. “ฝ่าบาท, ข้าไม่เคยละทิ้งจากการรับใช้ต่อท่าน. ท่านเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ทอดทิ้งข้าไว้.....ให้คิดว่าท่านได้ตายไปแล้ว. และข้า, ถูกปล่อยทิ้งให้เร่ร่อนจรไป, ทำอะไรล้างไถ่ถอนบาปเท่าที่ข้าจะทำได้, รอคอยสำหรับวันเวลาที่ข้าจะได้ขายชีวิตของข้าเพื่อะไรที่มีคุณค่า---คือความตายของแร็บบาน.”

         ความเงียบอย่างขัดเขินปักหลักลงมายังพอล.

         ผู้หญิงหนึ่งปีนป่ายขึ้นมาตามก้อนหินยังพวกเขา, ดวงตาของเธอระหว่างหมวกคลุมศีรษะของสติลล์ชุดและหน้ากากปิดใบหน้าแวบไปมาระหว่างพอลและสหายของเขา. เธอหยุดตรงหน้าของพอล. เกอร์นีย์สังเกตเห็นได้ว่าบรรยากาศการความเป็นเจ้าของรายรอบตัวเธอ, วิธีที่เธอยืนใกล้ชิดกับพอล.

         ชานิ,” พอลพูด, “นี่คือเกอร์นีย์ ฮัลเล็ค. เจ้าได้ยินข้าพูดถึงเขามาแล้ว.”

         เธอมองมาที่ฮัลเล็ค, กลับมาที่พอล. “ข้าเคยได้ยินมา.”

         “พวกผู้คนนั่นไปที่ไหนกับผู้สร้างหรือ?” พอลถาม.

         “พวกเขาแค่เบี่ยงเบนมันออกไปเพื่อให้เวลาเราเก็บรักษาเครื่องมืออุปกรณ์ได้.”

         “แล้วงั้น.....” พอลหยุดชงัก, สืดดมกลิ่นในอากาศ.

         “มีลมพายุกำลังเข้ามา,” ชานิพูด.

         เสียงหนึ่งตะโกนเรียกมาจากยอดสันผาเหนือพวกเขา: “โฮ, มี---พายุกำลังมา!

         เกอร์นีย์ความรวดเร็วของการเคลื่อนไหวในท่ามกลางหมู่ฟรีเมนในตอนนี้---การพุ่งตัวไปกับการนั้นและสัใผสรู้ของความรีบด่วน. สิ่งหนึ่งที่หนอนทรายไม่ได้จุดไฟก็คือการได้นำเอาเกือบความน่าตระหนกของลมพายุ. โรงงานคราว์เลอร์อุ้ยอ้ายขึ้นมาสู่หาดทรายแห้งข้างใต้พวกเขาและเส้นทางนั้นเปิดโล่งสำหรับมันในหมู่ก้อนหินผาทั้งหลาย.....และก้อนหินนั้นใกล้อยู่ด้านหลังของมันสุดแนบเนียนจนเส้นทางหลบหนีไปจากดวงตาของเขา.

         “ท่านมีแหล่งหลบซ่อนเยี่ยงนี้อีกมากมายไหม?” เกอร์นีย์ถาม.

         “มากมายเหลาเท่า,” พอลพูด. เขามองที่ชานิ. “หาคอร์บา. บอกเขาว่าเกอร์นีย์ได้เตือนข้าว่ามีคนในหมู่ลูกมือพวกลักลอบขนของเถื่อนผู้ที่ไม่อาจไว้ใจได้.”

         เธอมองมายังเกอร์นีย์อีกครั้ง, กลับมายังพอล, พยักหน้ารับ, และผละออกลงไปตามก้อนหินทั้งหลาย, กระโจนไปมาเหมือนเลียงผาตัวน้อย.

         “เธอเป็นผู้หญิงของท่าน,” เกอร์นีย์พูด.

         “มารดาของบุตรคนแรกของข้า,” พอลพูด “มีลีโตอีกผู้หนึ่งแล้วในหมู่ของอะไทรดิส.”

         เกอร์นีย์ยอมรับเรื่องนี้ด้วยเพียงดวงตาที่เบิกกว้างของเขา.

         พอลเฝ้าดูการกระทำรายรอบตัวพวกเขาด้วยสายตาวิกฤตเคร่ง. สีแดงส้มเผ็ดร้อนโดดเด่นออกมาจากท้องฟ้าด้านทิศใต้ในตอนนี้และก็มีมาถึงด้วยแรงระเบิดเต็มที่และสายลมปะทุเข้าปะทะฟาดซัดด้วยฝุ่นไปทั่วรอบศีรษะพวกเขา.

         “ผนึกชุดสูทของท่าน,” พอลพูด.  และเขาก็รัดแน่นหน้ากากและหมวกคลุมใบหน้าของเขา.

         เกอร์นีย์เชื่อฟัง, ขอบคุณสำหรับเครื่องกรองนั้น.

         พอลพูด, เสียงของเขาห่ออุ้มด้วยเครื่องกรองอากาศนั้น: “รายไหนของลูกมือของท่านที่ท่านำว้ใจ, เกอร์นีย์?”

         “มีบางรายที่คัดเกณฑ์เข้ามาใหม่,” เกอร์นีย์พูด. “พวกนอกพิภพทั้งหลาย.....” เขาลังเล, สงสัยในตนเองขึ้นมาฉับพลัน. พวกนอกพิภพ. คำนั้นออกมาอย่างง่ายดายต่อลิ้นของเขา.

         “ว่า?” พอลพูด.

         “พวกนั้นไม่เหมือนพวกตามล่าหาโชคลาภทั้งหลายที่เราได้มีอยู่,” เกอร์นีย์พูด. “พวกเขาอึดกว่า.”

         “สายลับฮาร์คอนเนน?” พอลถาม.

         “ข้าคิดว่านะ, ฝบาท, ว่าพวกเขาไม่รายงานต่อฮาร์คอนเนนใด. ข้าสงสัยว่าพวกเขาเป็นทหารของกองทัพจักรวรรดิ. พวกเขามีเลศนัยของซาร์เดาการ์ เซคันดัสเกี่ยวกับพวกนั้น.”

         พอลเหลือบมองคมกริบมายังเขา. “ซาร์เดาการ์รึ?”

         เกอร์นีย์ยักไหล่. “พวกนั้นสามารถเป็นได้, แต่มันมีหน้ากากปิดบังไว้อย่างดี.”

         พอลพยักหน้า, คิดว่าเป็นการง่ายอย่างไรที่เกอร์นีย์ได้กลับคืนมาสู่รูปแบบของผู้คอยรับใช้อะไทรดิส......แต่ด้วยการสงวนท่าทีอย่างแนบเนียน.....แตกต่างออกไป. อาร์ราคิสได้เปลี่ยนแปลงเขาไป, ด้วยเช่นกัน.

         ฟรีเมนคลุมหัวสองคนโผล่พรวดออกมาจากรอยแตกของผาหินใต้ล่างของพวกเขา, เริ่มต้นปีนขึ้นมา. หนึ่งในพวกนั้นแบกมัดห่อสีดำขนาดใหญ่เหนือไหล่ข้างหนึ่ง.

         “ลูกมือของข้าอยู่ที่ไหนในตอนนี้?” เกอร์นีย์ถาม.

         “คุมตัวปลอดภัยอยู่ในหมู่ก้อนหินข้างล่างเรา,” พอลพูด. “เรามีถ้ำหนึ่งที่นี่---ถ้ำแห่งนก. เราจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรกับพวกเขาหลังจากพายุ.”

         เสียงหนึ่งเรียกมาจากเหนือพวกเขา:มวดดิบ!

         พอลหันไปที่เสียงเรียกนั้น, เห็นฟรีเมนยามรักษาการณ์หนึ่งกำลังแสงท่าทางให้พวกเขาลงไปยังถ้ำเบื้องล่าง. พอลส่งสัญญานว่าเขาได้ยินแล้ว.

         เกอร์นีย์ศึกษาเขาด้วยอาการแสดงออกใหม่. “ท่านคือมวดดิบ?” เขาถาม. “ท่านคือ ลม-แห่ง-ทะเลทราย?”

         “มันเป็นนามฟรีเมนของข้า,” พอลพูด.

         เกอร์นีย์หันหนีไป, รู้สึกถึงสัมผัสรู้อย่างทุกข์ใจของลางร้าย. ครึ่งหนึ่งในการตายของลูกมือของเขาบนทะเลทราย, คนอื่นๆถูกจับกุม. เขาไม่ได้ใส่ใจนักเกี่ยวกับพวกที่คัดเกณฑ์เข้ามาใหม่, พวกที่น่าสงสัย, แต่ในหมู่คนอื่นๆนั้นเป็นคนดี, เพื่อน, ผู้คนสำหรับใครที่เขารู้สึกถึงความรับผิดชอบที่มีต่อ. “เราจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรกับพวกเขาหลังจากพายุ.” นั่นอะไรที่พอลได้พูด, มวดดิบได้พูด. และเกอร์นีย์หวนนึกจำได้ถึงนิทานทั้งหลายของมวดดิบ, ไลสาน อัล-กาอิบ---ว่าเขาได้ถลกหนังของเจ้าหน้าที่ฮาร์คอนเนนอย่างไรไปทำหนังหน้ากลองของเขา, ว่าเขาได้แวดล้อมอยู่ด้วยหน่วยจู่โจมมรณะ, ฟีเดย์คินผู้กระโจนเข้าสู่การยุทธด้วยมนต์สวดถึงความตายทั้งหลายบนริมฝีปากของพวกเขา.

         เขาเอง.

         สองฟรีเมนนั้นปีนป่ายก้อนหินขึ้นมากระโจนอย่างแผ่วเบายังลานตะพักตรงหน้าของพอล. ใบหน้ามืดคล้ำหนึ่งพูด: “ทั้งหมดปลอดภัยแล้ว, มวดดิบ. เราดีที่สุดที่จะลงไปข้างล่างในตอนนี้.”

         พอลมองยังห่อมัดที่อีกผู้หนึ่งแบกอยู่, พูด:คอร์ธา, อะไรอยู่ในห่อนั้น?”

         สติลจาร์ตอบ: “นั่นอยู่ในเครื่องคราว์เลอร์นั้น. มันมีชื่อแรกของสหายของท่านที่นี่และมันบรรจุมีพิณบาลิเส็ทหนึ่ง. หลายครั้งที่ข้าเคยได้ยินท่านพูดถึงความฉกาจฉกรรจ์ของเกอร์นีย์ ฮัลเล็คกับพิณบาลิเส็ท.”

         เกอร์นีย์ศึกษาผู้พูด, มองเห็นชายเคราสีดำเหนือหน้ากาสติลล์สูท, จ้องมองมาเยี่ยงเหยี่ยว, จมูกที่งองุ้ม.

         “ท่านมีสหายที่ช่างคิดผู้หนึ่ง,ฝบาท.” เกอร์นีย์พูด. “ขอบคุณ, สติลจาร์.”

         สติลจาร์ส่งสัญญานให้สหายของเขาส่งห่อมัดนั้นต่อเกอร์นีย์, พูด: “ขอบคุณท่านลอร์ด ดยุคของท่าน. การสนับสนุนขององค์ท่านสมควรได้รับความยกย่องชื่นชมของท่านในที่นี้.”

         เกอร์นีย์รับห่อนั้นมา, ฉงนใจโดยน้ำเสียงมีแฝงเร้นกร้าวมาในคำสนทนานั้น. มีอากาศของการท้าทายเกี่ยวกับชายผู้นี้, และเกอร์นีย์สงสัยใจว่ามันสามารถเป็นความรู้สึกของการอิจฉาหรือไม่ในฟรีเมนนี้. นี่คือใครบางคนที่ชื่อเกอร์นีย์ ฮัลเล็คผู้เป็นที่รู้จักพอลกระทั่งในเวลาก่อนหน้าจะมายังอาร์ราคิส, ชายผู้ได้แบ่งปันความสนิทสนมที่สติลจาร์ไม่สามารถบุกรุกเข้าไปได้.

         “ท่านคือทั้งสองที่ข้าได้เป็นเพื่อน,” พอลพูด.

         สติลจาร์, แห่งฟรีเมน, เป็นนามที่มีกิตติศัพท์,” เกอร์นีย์พูด. “นักฆ่าฮาร์คอนเนนคนใดก็ตามข้าก็ถือว่าเป็นเกียรติที่ได้นับอยู่ในหมู่เพื่อนของข้า.”

         “ท่านจะสัมผัสมือด้วยเพื่อนของข้าเกอร์นีย์ ฮัลเล็คหรือไม่, สติลจาร์?” พอลถาม.

         อย่างช้าๆ, สติลจาร์ยื่นมือของเขาออกมา, กุมมือด้านจับดาบอันหนัก, หยาบกระด้างของเกอร์นีย์. “มีน้อยรายผู้ที่ไม่เคยได้ยินนามของเกอร์นีย์ ฮัลเล็ค,” เขาพูด, และปล่อยการกุมนั้นของตน. เขาหันไปยังพอล. “พายุกำลังพุ่งเข้ามาแล้ว.”

         “ทันทีเลย,” พอลพูด.

         สติลจาร์หันไป, นำพวกเขาผ่านทะลุก้อนหินทั้งหลาย, หมุนรอบและหันเส้นทางเข้าไปในรอยแตกร่องในเงามืดมียอมใพวกเขาไปสู่ทางเข้าด้านต่ำของถ้ำหนึ่ง. หลายคนรีบปิดยึดแผ่นผนึกประตูด้านหลังของพวกเขา, ลูกโคมเรืองแสงทั้งหลายแสดงให้เห็นที่ว่างเพดานรูปโดมด้วยขอบยกขึ้นที่ด้านหนึ่งและช่องทางเดินนำออกไปจากมัน.

         พอลกระโจนไปยังหิ้งชั้นนั้นพร้อมด้วยเกอร์นีย์ตามหลังของเขา, นำทางเข้าไปสู่ช่องทางเดิน. คนอื่นๆมุ่งหน้าไปยังอีกช่องทางเดินตรงข้ามกับทางเข้า. พอลนำทางทะลุผ่านห้องพักรอด้านหน้าและเข้าสู่โถงหนึ่งที่มีม่านแขวนสีองุ่นเข้มบนผนังทั้งหลายของมัน.

         “เราสามารถมีความส่วนตัวได้ที่นี่ชั่วครู่,” พอลพูด. “คนอื่นๆจะเคารพต่อข้าใน----”

         ฉาบเตือนภัยดังแคล๊งคล๊างขึ้นจากด้านนอกห้องโถง, ถูกตามมาด้วยเสียงตะโกนและเสียงปะทะของอาวุธ. พอลหมุนตัวอย่างเร็ว, วิ่งกลับทะลุผ่านห้องพักรอและออกมาสู่ริมลานในอาคารหนือห้องโถงด้านนอก. เกอร์นีย์ตามติดทันทีอยู่ข้างหลังของเขา, อาวุธถูกดึงออกมา.

         ใต้ล่างของพวกเขาบนพื้นห้องของถ้ำหมุนรอบอยู่ด้วยของร่างคนทั้งหลาย. พอลยืนประเมินฉากนั้นอยู่ชั่วขณะ, แยกแยะฟรีเมนในเสื้อคลุมและบุรเกาะอ์(bourkas*)จากชุดแต่งกายของเหล่าคน

         *https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B9%8C

ที่พวกเขาต่อสู้ด้วย. ประสาทสัมผัสที่มารดาของเขาได้ฝึกฝนให้มาที่จะตรวจสอบเบาะแสละเอียดอ่อนมากที่สุดหยิบยกความสัจจริงสำคัญออกมาได้---ฟรีเมนได้ต่อสู้กับพวกคนที่สวมชุดคลุมของพวกลักลอบขนของเถื่อน, แต่พวกลักลอบขนของเถื่อนได้หมอบคู้ลงในแบบชุดสามคน, หันหลังชนกันเป็นรูปสามเหลี่ยมที่ดันกัน.

         นิสัยนั้นของการต่อสู้ในระยะประชิดเป็นเครื่องหมายการค้าของซาร์เดาการ์แห่งจักรพรรดิ.

         ฟีเดย์คินในฝูงคนเห็นพอล, และเสียงร้องเพลงศึกได้ถูกยกขึ้นก้องไปใน้องโถง: มวดดิบ! มวดดิบ!

         ดวงตาอื่นอีกหนึ่งได้จับที่พอลออกมา. มีดสีดำหมุนคว้างเข้ามาหาเขา. พอลหลบ, มีดนั้นกระแทกเข้ากับหินด้านหลังของเขา, เหลือบมองเห็นเกอร์นีย์นำมันกลับขึ้นมา.

         กระจุกสามคนนั้นถูกกดดันถอยกลังในตอนนี้.

         เกอร์นีย์ถือมีดนั้นขึ้นมาด้านหน้าสายตาของพอล, ชี้ที่เส้นเล็กบางเหลืองขดของสีแห่งจักรพรรดิ, ตราสิงโตทอง, ดวงตาหลายด้านรอบที่ปมปลายด้าม.

         ซาร์เดาการ์อย่างแน่ชัด.

         พอลก้าวออกไปจากริมขอบของหิ้งชั้น. มีเพียงสามซาร์เดาการ์นั้นที่ยังคงเหลืออยู่. ร่างรุ่งริ่งม้วนกลิ้งอาบเลือดนอนบิดอยู่ข้ามห้องโถง.

         “หยุดมือ!พอลตะโกน. “ดยุค พอล อะไทรดิส บัญชาให้พวกเจ้าหยุด.”

         การต่อสู้แกว่งไกว, ลังเล.

         “เจ้าซาร์เดาการ์!พอลตะโกนเรียกไปยังกลุ่มที่ยังเหลืออยู่นั้น. “โดยผู้ใดหรือที่สั่งการให้พวกเจ้าเหิมเกริมต่อผู้ครองราชศักดิ์ดยุค?” และ, อย่างรวดเร็ว, ขณะที่คนของเขาเริ่มดันเข้ามาห้อมล้อมซาร์เดาการ์: “ข้าสั่งให้หยุดเดี๋ยวนี้!

         หนึ่งในสามผู้จนตรอกหยัดร่างขึ้น. “ใครพูดว่าเราคือซาร์เดาการ์?” เขาร้อง.

         พอลเอามีดจากเกอร์นีย์มา, ชูมันสูงขึ้น. “นี่พูดว่าเจ้าคือซาร์เดาการ์.”

         “แล้วใครพูดว่าเจ้าคือผู้ครองราชย์ศักดิ์ดยุค?” ชายนั้นร้องถาม.

         พอลชี้ไปที่พวกฟีเดย์คิน. “คนเหล่านี้พูดว่าข้าคือผู้ครองราชย์ศักดิ์ดยุค. จักพรรดิของเจ้าเองพระราชทานอาร์ราคิสให้กับราชสำนัก อะไทรดิส. ข้าคือราชสำนึก อะไทรดิส.”

         ซาร์เดาการ์นั้นยืนนิ่งเงียบ, กระสับกระส่าย.

         พอลศึกษาชายนั้น---สูง, ร่างเรียบ, มีรอยซีดของแผลเป็นพาดข้ามครึ่งหนึ่งของแก้มซ้ายของเขา. โทสะและความสับสนได้ถูกทรยศในกิริยาของเขา, แต่ยังคงมีความยิ่งยะโสเกี่ยวกับตัวเขาปราศจากซึ่งซาร์เดาการ์เปลือยเปล่าอวดตัวตนออกมา---และด้วยสิ่งซึ่งเขาสามารถปรากฏได้อย่างเต็มที่จากการแต่งกายด้วยการเปลือยร่าง.

         พอลเหลือบมองยังผู้หมวดหคนหนึ่ของหน่วยฟีเดย์คินของเขา, พูด: คอร์บา, พวกเขามีอาวุธมาได้อย่างไร?”

         “พวกเขากลบมีดซ่อนเอาไว้ในกระเป๋าเล่ห์ลับภายในสติลล์สูทของพวกมัน,” ผู้หมวดนั้นพูด.

         พอลสำรวจร่างผู้ตายและบาดเจ็บด้านตรงข้ามของห้องโถง, ดึงความสนใจของเขากลับมาที่ผู้หมวดนั้น. ม่มีความจำเป็นใดสำหรับคำพูด. ผู้หมวดนั้นลดตาลงต่ำ.

         ชานิอยู่ที่ไหน?” พอลถามและรอคอย, กลั้นหายใจ, สำหรับคำตอบ.

         สติลจาร์ลักพาเธอไปด้านข้าง.” เขาพยักหน้ายังอีกช่องทางเดินอื่น, เหลือบมองยังผู้ตายและบาดเจ็บ. “ข้าถือตนเองในการรับผิดชอบสำหรับความผิดพลาดนี้. มวดดิบ.”

         “มีซาร์เดาการ์เหล่านี้อยู่ที่นั้นมากเท่าไร, เกอร์นีย์?” พอลถาม.

         “สิบ.”

         พอลกระโจนอย่างแผ่วเบาลงไปที่พื้นของห้องโถง, ก้าวยาวๆข้ามห้องไปยืนอยู่ภายในระยะโจมตีของซาร์เดาการ์ผู้พูดนั้น.

         อากาศเขม็งตึงมาครอบคลุมเหนือเหล่าฟีเดย์คิน. พวกเขาไม่ชอบที่พอลเปืดตัวเข้ากาอันตราย. นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิญาณไว้ที่จะป้องกันเพราะว่าฟรีเมนหวังที่จะพิทักษ์ไว้ซึ่งภูมิปัญญาของมวดดิบ.

         โดยไม่หันกลับมา, พอลพูดกับผู้หมวดของเขา: “มีเรากี่รายที่ได้ตายและบาดเจ็บ?”

         “สี่บาดเจ็บ, สองตาย, มวดดิบ.”

         พอลมองเห็นการเคลื่อนไหวโพ้นเลยซาร์เดาการ์ไป, ชานิและสติลจาร์กำลังยืนในช่องทางเดินอีกอันหนึ่ง. เขาหันความสนใจของตนมายังซาร์เดาการ์, จ้องมองเข้าไปในสีขาวทั้งหลายเยี่ยงผู้นอกพิภพของดวงตาคนพูดนั้น. “เจ้า, อะไรคือนามของเจ้า?” พอลถามสั่ง.

         ชายนั้นร่างแข็งทื่อ, เหลือบมองซ้ายและขวา.

         “อย่าได้ลองมัน,” พอลพูด. “มันชัดเจนต่อข้าว่าเจ้าถูกสั่งมาให้ค้นหาและทำลายมวดดิบ. ข้าจะรับประกันได้เลยว่าเจ้าคือผู้ที่เสนอแนะให้เสาะหาเครื่องเทศลึกเข้ามาในทะเลทรายนี้.”

         เสียงสำลักหายใจจากเกอร์นีย์ด้านหลังของเขานำรอยยิ้มเรียวน้อยมาสู่ริมฝีปากของพอล.

         เลือดค่อยๆแผ่ซ่านบนใบหน้าของซาร์เดาการ์.

         “อะไรที่เจ้าได้เห็นนั้นมากยิ่งไปกว่ามวดดิบ,” พอลพูด. “เจ็ดคนของพวกเจ้าได้ตายสำหรับสองคนของเรา. สามต่อหนึ่ง. ค่อนข้างดีกับการปะทะกับซาร์เดาการ์, เอ๋?”

         ชายนั้นลุกขึ้นยืนบนนิวเท้าของตน, จมกลับลงไปอีกเมื่อฟีเดย์คินกดดันไปข้างหน้า.

         “ข้าถามชื่อของเจ้า,” พอลพูด, และเขาเรียกพลังละเอียดอ่อนของวจนะขึ้นมาในน้ำเสียง: “บอกชื่อของเจ้าต่อข้า.”

         กัปตัน อรามชัม, ซาร์เดาการ์แห่งจักรพรรดิ!” ชายผู้นั้นสะบัดเสียง. กรามของเขาห้อยแบะ. เขาจ้องที่พอลอย่างสับสนใจ. อากัปกิริยาเกี่ยวกับเขาที่ถูกขับไล่ไปจากถ้ำคูหานี้ดุจกระต่ายป่ามุดหนีออกจากโพรง.

         “เอาละ, กัปตัน อรามชัม,” พอลพูด, “พวกฮาร์คอนเนนส์น่าจะจ่ายอย่างงามที่ได้เรียนรู้อะไรที่เจ้ารู้ในตอนนี้. และจักรพรรดิ---อะไรที่เขาน่าจะไม่จ่ายให้ในสิ่งที่เรียนรู้ว่าอะไทรดิสยังคงมีชีวิตอยู่ตรงข้ามกับผลลัพธ์ที่น่าจะเป็นจากการทรยศของเขา.”

         กัปตันนั้นเหลือบมองซ้ายและขวายังอีกสองคนที่เหลือกันอยู่กับเขา. พอลสามารถเกือบจะเห็นความคิดทั้งหลายพลิกกลับในหัวของชายผู้นั้น. ซาร์เดาการ์ไม่ได้ยอมเชื่อฟัง, แต่จักรพรรดิต้องเรียนรู้ถึงการข่มขู่นี้.

         ยังคงใช้พลังวจนะ, พอลพูด: “ยอมเชื่อฟัง, กัปตัน.”

         ชายทางด้านซ้ายมือของกัปตันกระโจนขึ้นปราศจากการเตือนเข้ามาหาพอล, เจอเข้ากับการสะบัดวาบปะทะด้วยมีดจากกัปตันของตนเองในหน้าอกของตน. ผู้จู่โจมกระแทกร่างลงกับพื้นอย่างกองผ้าเปียกด้วยมีดยังคงอยู่ในมือ.

         กัปตันนั้นหันหน้าไปหาสหายหนึ่งเดียวของเขาทีเหลืออยู่. “ข้าตัดสินใจว่าอะไรดีที่สุดในการรับใช้ต่อพระองค์,” เขาพูด. “เข้าใจไหม?!

         ไหล่ของซาร์เดาการ์อีกรายนั้นหดห่อลง.

         “ทิ้งอาวุธของเจ้า,” กัปตันพูด.

         ซาร์เดาการ์นั้นทำตามสั่ง.

         กัปตันนั้นหันความสนใจของเขากลับมาที่พอล. “ข้าได้ฆ่าเพื่อนคนหนึ่งเพื่อท่าน,” เขาพูด. “ขอให้เราได้จดจำถึงการนั้นเถิด.”

         “เจ้าคือนักโทษของข้า,” พอลพูด. “เจ้าได้ยอมเชื่อฟังต่อข้า. ไม่ว่าเจ้าอยู่หรือตายนั้นไม่มีความสำคัญใด.” เขาทำท่าทางต่อยามคุ้มกันของเขาให้นำตัวสองซาร์เดาการ์ไป, ส่งสัญญานต่อผู้หมวดที่ได้ค้นตัวนักโทษทั้งหลาย.

         ยามคุ้มกันเคลื่อนเข้ามา, ลากตัวซาร์เดาการ์ออกไปในทันที.

         พอลก้มไปยังผู้หมวดของเขา.

         มวดดิบ,” ชายนั้นพูด. “ข้าล้มเหลวต่อท่านใน.....”

         “ความล้มเหลวนั้นเป็นของข้า, คอร์บา,” พอลพูด. “ข้าควรจะได้เตือนเจ้าว่าให้ค้นหาอะไร. ในอนาคต, เมื่อทำการค้นตัวซาร์เดาการ์, จำเรื่องนี้เอาไว้. จำมัน, ด้วยว่า, แต่ละครั้งของความล้มเหลวแค่เล็บเท้าหนึ่งหรือสองนั้นก็สามารถถูกรวมเข้าด้วยกันกับประเด็นอื่นที่ลับซ่อนไว้เกี่ยวกับร่างกายของพวกมันที่จะทำ พวกเขาจะมีมากกว่าฟันปลอมหนึ่งซี่. ที่สามารถซ่อนขดลวดของชิกาไวริ์(shigawire)ในเส้นผม---ดีเกินที่เจ้าแทบจะตรวจหาเจอมันได้, กระนั้นยังแข็งแรงเพียงพอที่จะรัดและตัดหัวคนออกมาได้ในกระบวนการ. กับซาร์เดาการ์, เจ้าต้องสแกนตรวจพวกเขา, ส่องดูพวกเขา---ทั้งคลื่นสะท้อนและรังสีหนัก---ตัดตอนทุกเศษเล็กเศษน้อยของขนในร่างกาย. และเมื่อเจ้าผ่านแล้ว, ก็ทำให้แน่ใจว่าเจ้าไม่ได้ยังไม่ได้ค้นพบในทุกสิ่งอยู่.

         เขาเงยขึ้นมองยังเกอร์นีย์, ผู้ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้และฟัง.

         “งั้นดีที่สุดก็คือการฆ่าพวกมัน,” ผู้หมวดนั้นพูด.

         พอลส่ายศีรษะ, ยังคงมองอยู่ที่เกอร์นีย์. “ไม่, ข้าต้องการให้พวกมันได้หลบหนีไป.”

         เกอร์นีย์จ้องมาที่เขา. “ฝบาท....” เขาสำลักหายใจ.

“อะไรรึ?”

         “คนของท่านพูดถูก. ฆ่าพวกนักโทษนั้นในทันที. ทำลายหลักฐานทั้งหมดของพวกมัน. ท่านได้ทำความอับอายให้กับซาร์เดาการ์แห่งจักรพรรดิ! เมื่อองค์จักรพรรดิได้เรียนนั่นแล้วเขาก็จะไม่อยุดนิ่งจนกว่าจะได้ตัวท่านไปอยู่บนกองไฟอ่อนๆ.”

         จักรพรรดินั้นไม่ดูเหมือนจะมีอำนาจอะไรเหนือข้า,” พอลพูด. เขาพูดอย่างช้าๆ, เยือกเย็น,. บางอย่างได้บังเกิดขึ้นภายในตัวเขาขณะที่เขาเผชิญหน้ากับซาร์เดาการ์นั้น. ผลรวมการตัดสินใจหนึ่งได้สะสมเข้ามาในสัมปชัญญะของเขา. “เกอร์นีย์,” เขาพูด, “มีพวกกิลด์เมนอยู่กับแร็บบานมากมายไหม?”

         เกอร์นีย์หยัดร่างขึ้น, ดวงตาหรี่แคบลง. “คำถามของท่านไม่ทำให้.....”

         “มีไหม?” พอลตวาด.

         อาร์ราคิสกำลังคลานยั๊วเยี๊ยไปด้วยตัวแทนทั้งหลายของกิลด์. พวกเขากำลังซื้อเครื่องเทศราวกับว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่ามากที่สุดในจักรวาล. ทำไมอื่นใดที่ท่านคิดว่าเราถึงเสี่ยงภัยอันตรายไกลขนาดนี้เข้ามาใน.....”

         “มันเป็นสิ่งล้ำค่ามากที่สุดของจักรวาล,” พอลพูด. “ต่อพวกเขา.”

         เขามองยังสติลจาร์และชานิผู้ซึ่งในตอนนี้ข้ามห้องโถงเข้ามาหาเขา. “และเราควบคุมมัน, เกอร์นีย์

         “พวกฮาร์คอนเนนส์ควบคุมมัน!เกอร์นีย์ประท้วงค้าน.

         “ผู้คนที่สามารถทำลายสิ่งใดได้, พวกเขาก็ควบคุมมัน, เกอร์นีย์,” พอลพูด. เขาโบกมือหนึ่งให้เงียบไกลออกไปกับเกอร์นีย์, พยักหน้าให้กับสติลจาร์ผู้ซึ่งหยุดลงตรงเบื้องหน้าของพอล, ชานิข้างตัวเขา.

         พอลถือมีดของซาร์เดาการ์ในมือซ้ายของเขา, ส่งมันไปที่สติลจาร์. “ท่านมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งที่ดีสำหรับเผ่านี้,” พอลพูด. “ท่านสามารถที่จะเรียกเลือดของชีวิตข้าด้วยมีดนี้ได้หรือไม่?”

         “เพื่อสิ่งที่ดีต่อเผ่านี้,” สติลจาร์คำราม.

         “งั้นก็ใช้มีดนี้สิ,” พอลพูด.

         “ท่านกำลังเรียกข้าให้ออกมาประลองหรือ?” สติลจาร์ถามสั่ง.

         “ถ้าข้าทำ,” พอลพูด, “ข้าจะยืนที่นั้นปราศจากอาวุธและปล่อยให้ท่านสังหารฆ่า.”

         สติลจาร์สูดหายใจอย่างเร็ว, แหลม.

         ชานิพูด, “อูซุล!” แล้วเหลือบมองเกอร์นีย์, กลับมาที่พอล.

         ขณะที่สติลจาร์ยังคงชั่งน้ำหนักคำพูดของพอล, เขาพูด: “ทานคือสติลจาร์, นักรบ. เมื่อพวกซาร์เดาการ์เริ่มการต่อสู้ที่นี่, ท่านไม่ด้อยู่ในแนวหน้าของการสู้รบ. ความคิดแรกของท่านคือปกป้องชานิ.”

         “เธอเป็นหลานของเขา,” สติลจาร์พู “ถ้าได้มีความสงสัยกังขาใจใดในฟีเดย์คินของท่านในการจัดการสถุลพวกนั้น.....”

         “ทำไมความคิดแรกของท่านคือชานิ?” พอลถามสั่ง.

         “มันไม่ใช่!

         “โอ้?”

         “มันคือท่าน,” สติลจาร์ยอมรับ.

         “ท่านคิดว่าท่านสามารถลงมือกับต้านข้าได้หรือ?” พอลถาม.

         สติลจาร์เริ่มสั่นเทา. “มันเป็นวิถี,” เขาพึมพำ.

         “มันคือวิถีที่จะฆ่าผู้ต่างถิ่นนอกพิภพที่ถูกพบในทะเลทรายและเอาน้ำของเขาเป็นของขวัญจากไช-ฮูลุด,” พอลพูด. “กระนั้นท่านก็ยังยอมอนุญาตให้สองคนเช่นนั้นมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งคืน, มารดาของข้าและตัวข้า.”

         ขณะที่สติลจาร์ยังคงนิ่งเงียบอยู่, ตัวสั่น, จ้องมาที่เขา, พอลพูด: “วิถีทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไป, สติล. ท่านได้เปลี่ยนแปลงพวกมันด้วยตนเอง.”

         สติลจาร์มองลงยังตราเครื่องหมายสีเหลืองบนมีดที่เขาถืออยู่.

         “เมื่อข้าเป็นดยุคในชนอาร์ราคีนกับชานิอยู่เคียงข้างข้า, ท่านคิดว่าข้าจะมีเวลาที่จะวุ่นวายตัวข้ากับในรายละเอียดของการบริหารปกครองทับร์สิฐคามหรือ?” พอลถาม. “ท่านกังวลวุ่นวายตนเองกับปัญหากิจการายในทั้งหลายของทุกครอบครัวหรือ?”

         สติลจาร์ยังคงจ้องมองอยู่ที่มีดนั้น.

         “ท่านคิดว่าข้าปรารถนาจะตัดแขนของข้าเองทิ้งไปหรือ?” พอลถามสั่ง.

         อย่างช้าๆ สติลจาร์เงยหน้าขึ้นมองยังเขา.

         “ท่าน!พอลพูด. “ท่านคิดหรือว่าข้าปรารถนาที่จะเพิกถอนตัวข้าเองหรือเผ่าแห่งสติปัญญาและพละกำลังของท่านไปรึ?”

         ในน้ำเสียงลดต่ำ, สติลจาร์พูด: “พวกคนหนุ่มในเผ่าของข้าผู้ซึ่งชื่อเป็นที่รู้ดีต่อข้า, ชายหนุ่มผู้นี้ที่ข้าสามารถฆ่าเขาได้ในสังเวียนการท้าประลอง, เจตจำนงของไช-ฮูลุด. ไลสาน อัล-กาอิบ, ตัวเขาที่ข้าไม่อาจทำร้ายได้. ท่านรู้ดีในเรื่องนี้เมื่อท่านส่งมีดนี้มาให้ข้า.”

         “ข้ารู้มันดี,” พอลยอมรับ.

         สติลจาร์เปิดมือของเขาออก. มีดนั้นหล่นลงกระแทกกับหินของพื้น. “วิถีเปลี่ยนไป.” เขาพูด.

         ชานิ,” พอลพูด, “ไปที่มารดาของข้า, ส่งเธอมาที่นี่ซึ่งคำปรึกษาของเธอจะเป็นใช้ประโยชน์ได้ใน---”

         “แต่ท่านบอกว่าเราจะน่าจะไปทางใต้กัน!” เธอค้าน.

         “ข้าผิดไป,” เขาพูด. “พวกฮาร์คอนเนนส์ไม่ได้อยู่ที่นั่น. สงคราไม่ได้อยู่ที่นั่น.”

         เธอสูดหายใจลึก, ยอมรับเรื่องนี้ดุจผู้หญิงทะเลทรายยอมรับความจำเป็นทั้งหมดในท่ามกลางของชีวิตที่เกี่ยวพันกับความตาย.

         “เจ้าจะให้ข่าวกับมารดาของข้าด้วยหูของเธอเองตามลำพัง,” พอลพูด. “บอกเธอว่าสติลจาร์ยอมรับรู้ว่าข้าคือดยุคแห่งอาร์ราคิส, แต่ต้องหาหนทางให้พบเพื่อทำให้คนหนุ่มทัเงหลายได้ยอมรับเรื่องนี้โดยปราศจากการต่อสู้กัน.”

         ชานิเหลือบมองสติลจาร์.

         “ทำตามที่เขาบอก,” สติลจาร์คำราม. “เราทั้งคู่รู้ดีว่าเขาสามารถเอาชนะข้าได้.....และข้าไม่สามารถลงมือต่อเขาได้...เพื่อสิ่งที่ดีต่อเผ่า.”

         “ข้ากลับมาพร้อมกับมารดาของท่าน,” ชานิพูด.

         “ส่งเธอ,” พอลพูด. “สัญชาตญาณของสติลจาร์นั้นถูกต้อง. ข้าแข็งแรงกว่าเมื่อเจ้าปลอดภัย. เจ้าจะยังคงอยู่ที่สิฐคามนั้น.”

         เธอเริ่มที่จะประท้วง, แล้วก็กลืนคำพูดกลับไป.

         ซิฮายะ,” พอลพูด, ใช้นามใกล้ชิดส่วนตัวสำหรับเธอ. เขาหมุนตัวอย่างเร็วออกไปทางขวามือ, พบกับดวงตาขมึงตึงของเกอร์นีย์.

         การแลกเปลี่ยนกันระหว่างพอลและฟรีเมนเฒ่าได้ผ่านไปดุจราวกับว่าในเมฆหมอกรายรอบเกอร์นีย์ตั้งแต่เมื่อพอลได้เอ่ยอ้างถึงมารดาของเขา.

         “แม่ของท่าน,” เกอร์นีย์พูด.

         ไอดาโฮช่วยชีวิตเราในคืนที่ถูกโจมตี,” พอลพูด, เสียสมาธิไปกับการแยกจากชานิ. “ในตอนนี้เราได้---”

         “เกิดอะไรกับดันแคน ไอดาโฮ, ฝบาท?” เกอร์นีย์ถาม.

         “เขาตายไปแล้ว---ซื้อเวลาเล็กน้อยให้กับเราที่จะหลบหนี.”

         นางแม่มดนั้นมีชีวิตอยู่! เกอร์นีย์คิด. ผู้ที่ข้าได้สาบานไว้ที่จะล้างแค้นต่อ, ยังมีชีวิตอยู่! และมันชัดเจนเลยว่าดยุค พอลไม่ได้รู้ว่าสิ่งมีชีวิตเยี่ยงไรที่ได้ให้กำเนิดเขามา. ปีศาจตนหนึ่ง! ที่ได้ทรยศต่อบิดาของเขาเองกับฮาร์คอนเนนส์!

         พอลดันผ่านตัวเขาไป, กระโดดข้นไปยังเพิงตะพักนั้น. เขาเหลียวมองกลับไป, สังเกตเห็นว่าผู้บาดเจ็บและตายได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปแล้ว, และเขาคิดอย่างขื่นขมว่านี่เป็นอีกบทตอนหนึ่งในตำนานของพอล มวดดิบ. ข้าไม่ได้กระทั่งดึงมีดของข้าออกมาเลย, แต่มันจะถูกพูดกันถึงวันนี้ว่าข้าได้สังหารยี่สิบซาร์เดาการ์ด้วยมือของข้าเอง.

         เกอร์นีย์ติดตามไปพร้อมกับสติลจาร์, ก้าวเท้าบนพื้นที่เขาไม่ได้แทบจะไม่รู้สึกถึง. ถ้ำคูหานี้ของมันด้วยด้วยแสงสีเหลืองของลูกโคมลอยเรืองแสงทั้งหลายถูกบีบบังคับให้ออกไปจากความคิดของเกอร์นีย์ด้วยโทสะ. นางแม่มดนั้นยังมีชีวิตอยู่ขณะที่เหล่าผู้ที่นางทรยศให้กลายเป็นกระดูกทั้งหลายในหลุมศพเปล่าเปลี่ยว. ข้าต้องออกอุบายให้พอลได้เรียนรู้ถึงความสัจจริงเกี่ยวกับเธอก่อนที่ข้าจะสังหารเธอ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น