“ควบคุมเหรียญกษาปณ์และราชสำนักทั้งหลาย---ปล่อย ให้พวกกระต่ายได้ที่เหลือไป.” จักรพรรดิ ปาดิชาห์ แนะนำเจ้า เช่นนั้น. และเขาตรัสกับเจ้าว่า: “ถ้าเจ้าต้องการกำไรทั้งหลาย, เจ้าต้องครองอำนาจ.” มีความสัจจริงในคำพูดเหล่านี้, แต่ข้าได้ถ ถามกับตนเอง:“ใครล่ะคือกระต่ายนั้นและใครล่ะที่ถูกปกครอง?”
---สาส์นลับของ มวด’ดิบ ส่งให้กับ
ลานสราอาด จาก “การตื่นขึ้นของ อาร์ราคิส” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน
ความคิดมาโดยไม่ได้รับเชิญสู่จิตใจของเจสสิกา: พอลจะได้ผ่านประสบการณ์การทดสอบเป็นผู้ขี่ทะเลทรายในขณะใดหนึ่งในนี้.
พวกเขาพยายามที่จะปิดบังความจริงนี้จากฉัน, แต่มันชัดเจนอยู่แล้ว.
และชานิได้ไปด้วยเพื่อทำธุระเรื่องเวทย์บางอย่าง.
เจสสิกานั่งอยู่ในห้องโถงพัก,
กุมชั่วขณะของความเงียบระหว่างชั้นเรียนกลางคืนทั้งหลาย. มันเป็นห้องโถงที่สบาย,
แต่ไม่ได้ใหญ่เท่ากับอันหนึ่งที่เธอได้รื่นรมย์ในสิฐ ทาบร์ก่อนที่พวกเขาจะบินหนีจากการล่ล่าสังหาร.
กระนั้น, สถานที่นี้ก็มีพรมหนาที่บนพื้น, หมอนนุ่ม, โต๊ะกาแฟเตี้ยใกล้มือ,
ม่านลากสีสันแขวนอยู่ที่ผนังทั้งหลาย,
และแสงเรืองเหลืองของลูกโคมลอยทั้งหลายเหนือศีรษะ.
ห้องนั้นถูกแผ่ซ่านด้วยกลิ่นตะกอนฉุนเผ็ดเด่นพิเศษของสิฐคามฟรีเมนที่เธอได้คุ้นสู่สมาคมถึงความรู้สึกแห่งมั่นคงปลอดภัย.
กระนั้นเธอก็ยังรู้ว่าเธอจะไม่มีวันได้เอาชนะความรู้สึกของการมีชีวิตอยู่กับสถานที่ต่างถิ่นได้.
มันเป็นความกระด้างของพรมนั่นและม่านทั้งหลายที่พยายามปิดบังไว้.
เสียงเบาแว่วๆกังวานของการตบแทงทะลุห้องโถงพักเข้ามา,
เจสสิการู้ว่ามันเพื่อบอกถึงการฉลองยินดีกับการให้กำเนิด, บางทีของสุบิอัย.
เวลาของเธอได้ใกล้แล้ว. และเจสสิการู้ว่าเธอได้เห็นทารกนั้นในเร็วพอ---ทูตสวรรค์ตัวน้อยตาสีฟ้าถูกนำมายังแม่อธิการเพื่อประทานพร.
เธอรู้ด้วยเช่นกันว่าธิดาของเธอนั้น, อาเลีย,
จะอยู่ในการฉลองนั้นและจะรายงานกับมัน.
มันยังไม่ถึงเวลาที่จะทำสวดตอนกลางคืนของการจากกัน.
พวกเขาจะไม่เริ่มงานฉลองการให้กำเนิดใกล้กันกับพิธีที่ได้ไว้ทุกข์กับการโจมตีของทาสแห่งโพริตริน,
รอสแสค, และฮาร์มอนเธป.
เจสสิกาถอนหายใจ. เธอรู้ว่าเธอกำลังพยายามที่จะคอยเอาความคิดทั้งหลายของเธอออกไปจากบุตรชายของเธอและอันตรายที่เขาได้เผชิญหน้า---หลุมกับดักทั้งหลายกับขวากหนามอาบพิษของพวกมัน,
การโจมตีพวกฮาร์คอนเนน(ถึงแม้ว่าเหล่านี้ได้กำลังเติบโตขึ้นน้อยลงกว่าที่พวกฟรีเมนได้ทำลายยานอากาศและผู้จู่โจมของพวกนั้นด้วยอาวุธใหม่ทั้งหลายที่พอลได้ให้พวกเขา),
และอันตรายทั้งหลายตามธรรมชาติของทะเลทรายนั้น---ผู้สร้างทั้งหลายและหุบเหวทั้งหลายของความกระหายและฝุ่นธุลี.
เธอคิดไปถึงการเรียกหากาแฟและด้วยความคิดนั้นมาด้วยกับสัมปชัญญะที่เคยปรากฏของปฏิทรรศน์ในวิถีของฟรีเมนแห่งชีวิต: พวกเขามีชีวิตอยู่กันดีได้อย่างไรในคูหาสิฐคามทั้งหลายเมื่อเปรียบเทียบต่อชุมชนปิยอนที่พื้นผิวทั้งหลาย(graben
pyons*); กระนั้นก็
* https://dune.fandom.com/wiki/Graben,_Sink_and_Pan
ยัง,
อีกมากมายเท่าไรที่พวกเขาได้ทนทานในฮาจร์(hajr)เปิดโล่งของทะเลทรายมากการสิ่งใดที่ทาสของฮาร์คอนเนนได้ทนทาน.
มือเข้มคล้ำหนึ่งสอดตัวมันเองผ่านม่านแขวนข้างตัวเธอเข้ามา,
ยื่นส่งถ้วยใบหนึ่งลงบนโต๊ะและดึงจนกลับไป.
จากถ้วยนั้นอวลขึ้นมาของกลิ่นอายของกาแฟเครื่องเทศ.
สิ่งมอบให้ในการฉลองของการให้กำเนิด,
เธอคิด.
เธอหยิบกาแฟถ้วยนั้นมาและจิบมัน,
ยิ้มให้กับตัวเธอเอง. ในสังคมอะไรอื่นของเอกภพของเรา, เธอถามตนเอง, บุคคลหนึ่งในสถานะของฉันจะสามารถได้รับเครื่องดื่มลับนิรนามและดื่มได้เต็มที่กับเครื่องดื่มนั้นโดยปราศจากความกลัว?
ข้าสามารถเปลี่ยนผันยาพิษใดก้ตามที่มันได้ทำร้ายข้า, หรือ ชุดอาหาร,
แต่ผู้ให้บริจาคไม่ได้ตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้.
เธอทำให้ถ้วยนั้นแห้งเหือด,
รู้สึกถึงพลังงานและชูกำลังของสารในมัน---ร้อนและโอชา.
และเธอสงสัยว่าอะไรที่สังคมอื่นจะได้จับจ้องตามธรรมชาติต่อความเป็นส่วนตัวและสะดวกสบายของเธอที่ผู้ให้จะรุกล้ำเข้ามาได้ก็แต่เพียงแค่ยื่นมอบของกำนัลและไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับเธอด้วยสิ่งอุทิศนั้น?
เคารพและรักได้ส่งของกำนัลมา---ด้วยเพียงแต่เจือความกลัวมาบางเบาเล็กน้อย.
อีกองค์ประกอบหนึ่งของเหตุบังเอิญได้บังคับตัวมันเองเข้ามาในสัมปชัญญะของเธอ:เธอได้คิดถึงกาแฟและมันก็ได้ปรากฏขึ้น. ไม่มีอะไรเกี่ยวกับโทรจิตที่นี่,
เธอรู้ดี. มันเป็นทาว(tau* - โปรตีนในเซลประสาท), หนึ่งเดียว(oneness)แห่งชุมชนสิฐคาม, สิ่งชดเชยจากพิษอันบางเบาของอาหารเจือ
*
http://www.athasit.com/article/detail/252
เครื่องเทศนั้นที่พวกเขาแบ่งปันกัน.
มวลมหาผู้คนไม่เคยคาดหวังต่อการบรรลุปัญญาอันสว่างไสวที่เมล็ดเครื่องเทศนี้นำมาให้กับเธอ,
พวกเขาไม่ได้ถูกฝึกมาและได้เตรียมตัวมาสำหรับมัน.
จิตของพวกเขาปฏิเสธอะไรที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้หรือรวมเอามาเก็บไว้ได้.
กระนั้นพวกเขาก็ได้รู้สึกและมีมีปฏิกิริยาสนองได้ในบางครั้งเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตเชิงเดี่ยว.
และความคิดของความบังเอิญไม่เคยเข้าไปในจิตของพวกเขา.
พอลได้ผ่านการทดสอบของเขาบนทะเลทรายไหม?
เจสสิกาถามตนเอง. เขามีความสามารถทำได้,
แต่อุบัติเหตุก็สามารถฟาดผ่าลงมาใส่กระทั่งผู้ที่สามารถมากที่สุด.
การรอคอย.
มันคือความมืดมน, เธอคิด. เจ้าสามารถรอคอยแค่นานเหลือเกินนั้นได้.
แล้วความมืดมนของการรอคอยนั้นก็เอาชนะเจ้า.
มีมรรยาททั้งหมดของการรอคอยในชีวิตของพวกเขา.
มากกว่าสองปีที่เราได้มาอยู่ที่นี่, เธอคิด,
และเป็นสองเท่าของตัวเลขนั้นเป็นอย่างน้อยที่สุดที่จะไปอีกก่อนที่เราสามารถกระทั่งหวังที่จะคิดถึงเรื่องการพยายามที่จะแย่งชิงอาร์ราคิสคืนมาจากผู้ปกครองของฮาร์คอนเนน,
มูดีร์ นาห์ยะ, เจ้าสัตว์ร้าย แร็บบาน.
“แม่อธิการคะ?”
เสียงจากข้างนอกผ่านม่านบังที่ประตูของเธอนั่นเป็นของฮาราห์,
ผู้หญิงอีกคนหนึ่งในครอบครัวของพอล.
“ได้, ฮาราห์.”
ม่านแยกออกและฮาราห์ดูเหมือนจะไถลพรวดผ่านพวกมันเข้ามา.
เธอสวมสายรัดแบบสิฐคาม,
สีแดง-เหลืองพันรอบแขนเปิดเปลือยของเธอเกือบไปถึงบ่า.
ผมสีดำถูกแยกออกตรงกลางและกวาดกลับไปทางด้านหลังเหมือนปีกแมลง,
แบบและชุ่มน้ำมันติดอยู่กับศีรษะของเธอ.
หน้าตายื่นและท่าทางดุร้ายนั้นถูกดึงเข้าไปในแค่การขมวดคิ้วแน่น.
ด้านหลังของฮาราห์นั้นคืออาเลีย,
เด็กหญิงของราวสองขวบ.
การเห็นธิดาของเธอ, เจสสิกาถูกกุมอย่างที่เธอเป็นบ่อยครั้งโดยความคล้ายคลึงของอาเลียกับพอลในตอนอายุเท่านี้---ดวงตาโตกว้างเหมือนกันนั้นเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังในการมองจ้องแบบค้นหาของเธอ,
ผมสีเข้มและความเต็มอิ่มแน่นของปาก. แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียด,
ด้วยเช่นกัน, และมันเป็นในสิ่งเหล่านี้ที่ผู้ใหญ่ส่วนมากซึ่งพบอาเลียแล้วรู้สึกอึดอัด.
เด็กนี้---โตมากกว่าทารกหัดเดินเพียงเล็กน้อย---แบกไว้กับตัวเองด้วยความสงบนิ่งและสัมปชัญญะโพ้นเลยอายุปีของเธอไปไกล.
พวกผู้ใหญ่ต่างตื่นตกใจที่พบว่าเธอหัวเราะกับการเล่นสนุกอย่างละเอียดลออในคำพูดเกี่ยวกับเรื่องเพศ.
หรือพวกเขาได้จับกุมตนเองไว้กับการได้ฟังเธอพูดกึ่งอ้าปากออกเสียง,
ยังคงพร่ามัวดั่งที่มันเป็นโดยเพดานปากอ่อนนุ่มที่ยังไร้รูปทรง,
และค้นพบว่าในคำพูดของเธอนั้นมีเล่ห์เหลี่ยมในการแสดงความเห็นที่สามารถมีแต่ผู้ที่มีประสบการณ์ผ่านมาแล้วซึ่งเด็กสองขวบใดจะเคยได้พบ.
ฮาราห์ทิ้งตัวลงบนหมอนด้วยอาการถอนหายใจเขม็งหน้าบึ้งตึงใส่เด็กนั้น.
“อาเลีย,” เจสสิกาแสดงอาการยังธิดาของเธอ.
เด็กนั้นข้ามมาที่หมอนข้างมารดาของเธอ,
ทิ้งตัวลงไปหามันและเกี่ยวมือของมารดาเธอ.
ผัสสะของเนื้อหนังฟื้นคืนสัมปชัญญะที่เป็นซึ่งกันและกันอันพวกเขาได้แบ่งปันมาตั้งแต่ก่อนการกำเนิดของอาเลีย.
มันไม่ใช่เรื่องของการแบ่งปันความคิด---ถึงแม้ว่ามีการปะทุขึ้นฉับพลันของการนั้นถ้าพวกเขาได้สัมผัสกันขณะที่เจสสิกาได้กำลังเปลี่ยนแปลงยาพิษเครื่องเทศสำหรับพิธีกรรมนั้น.
มันเป็นบางอย่างที่ใหญ่โตกว่า, สัมปชัญญะในทันทีทันใดของประกายที่มีชีวิต,
สิ่งที่แหลมและคมกริบ, ประสาท-ซิมพา ติโก(nerve-sympatico*)ที่ทำให้พวกเขามีอารมณ์เป็นนึ่งเดียว.
* https://en.wikipedia.org/wiki/Sympathoadrenal_system
ในอากัปกิริยาพิธีการที่เป็นความเหมาะสมต่อสมาชิกครอบครัวของบุตรชายเธอ,
เจสสิกาพูด: “ซูบาคห์ อุล คูฮาร์(subakh ul kuhar – เจ้าสบายดีหรือ?), ฮาราห์. ค่ำคืนนี้พบเจ้าดีไหม?”
ด้วยพิธีการจารีตธรรมเนียมเช่นกัน,
เธอตอบ : “ซูบาคห์ อัน นาร์(subakh un nar* - ข้าสบายดี, และท่านล่ะ?)”
คำพูดนั้นแทบจะไร้ซึ่งน้ำเสียงใด. อีกครั้ง, เธอถอนหายใจ.
เจสสิกาสัมผัสได้ถึงความขบขันจากอาเลีย.
“กห์านิมะ(ghanima* - ของทิ้งที่ชำรุด/เสียแล้ว)ของพี่ชายข้าได้รำคาญใจกับข้า,”
อาเลียพูดในกึ่ง-ปากคำแบบของเธอ.
เจสสิกาสังเกตในคำที่อาเลียใช้ในการหมายถึงฮาราห์---กห์านิมะ.
ในความละเอียดอ่อนทั้งหลายของลิ้นชนฟรีเมน, คำนี้หมายถึง
“บางอย่างที่ได้มาในการรบ” และด้วยการเติมน้ำเสียงสูงขึ้นก็จะเป็นบางอย่างที่ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้อีกต่อไปกับจุดประสงค์ดั้งเดิมของมัน.
เครื่องประดับตบแต่ง, ปลายหอกที่ใช้ถ่วงน้ำหนักชายม่าน.
ฮาราห์ทำหน้าบึ้งตึงยิ่งขึ้นกับเด็กนั้น.
“อย่าพยายามดูถูกข้า, นังหนู. ข้ารู้แห่งหนของข้าดี.”
“เจ้าได้ทำอะไรไปรึคราวนี้, อาเลีย?”
เจสสิกาถาม.
ฮาราห์ตอบกลับมาแทน:
“ไม่ใช่แค่ที่เธอปฏิเสธที่จะเล่นกับเด็กๆอื่นในวันนี้,
แต่เธอบุกรุกเข้าไปในที่.....”
“ข้าซ่อนตัวอยู่หลังพวกม่านแขวนแล้วเฝ้าดูลูกของซูบิอัยกำลังกำเนิดมา,”
อาเลียพูด. “เป็นเด็กชาย. เขาร้องและร้องอีก. ช่างมีปอดที่ใหญ่อะไรเช่นนั้น! เมื่อเขาได้ร้องจนนานพอ.....”
“เธอก็ออกมาแล้วแตะตัวเขา,” ฮาราห์พูด,
“แล้วเด็กนั่นก็หยุดร้อง. ทุกคนรู้ว่าเด็กของฟรีเมนต้องร้องให้เสร็จในการกำเนิด,
ถ้าเขาอยู่ในสิฐเพราะว่าเขาไม่มีวันที่จะร้องได้อีกมิเช่นนั้นเขาก็จะทรยศต่อเราบนฮัจร์(hajr).
“เขาได้ร้องไห้มาพอแล้ว,” อาเลียพูด.
“ข้าแค่ต้องการจะรู้สึกถึงประกายของเขา, ชีวิตของเขา. แค่นั้นเอง.
และเมื่อเขารู้สึกถึงข้าเขาก็ไม่อยากจะร้องไห้อีกต่อไป.”
“นั่นทำให้มีการพูดกันในหมู่ผู้คน,” ฮาราห์พูด.
“ลูกของซูบิอัยแข็งแรงดีไหม?” เจสสิกาถาม.
เธอมองเห็นว่าบางอย่างได้กำลังทำให้ฮาราห์เดือดร้อนอย่างลึกๆและสงสัยว่ามันคืออะไร.
“แข็งแรงดีอย่างที่มารดาใดจะร้องขอล่ะ,” ฮาราห์พูด.
“พวกเขารู้ว่าอาเลียไม่ได้ทำร้ายอะไรเด็กนั่น. พวกเขาไม่ได้ติดใจอะไรมากนักในการแตะต้องตัวเขาของเธอ.
เขาสงบลงทันทีและมีความสุข. มันเป็น.....” ฮาราห์ยักไหล่.
“มันเป็นความแปลกประหลาดของธิดาของข้า,
เช่นนั้นใช่ไหม?” เจสสิกาถาม.
“มันเป็นวิธีที่เธอพูดถึงสิ่งทั้งหลายเกินเลยหลายปีจากอายุของเธอและไม่มีเด็กใดที่อายุเท่ากับเธอจะสามารถรู้ถึง---สิ่งทั้งหลายของอดีต.”
“เธอสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าเด็กนั้นหน้าตาเหมือนกับเบลา
เทจียูส?” ฮาราห์เรียกร้อง.
“แต่เขาก็เป็นเช่นนั้น!” อาเลียพูด.
“ลูกของซูบิอัยหน้าตาแค่เหมือนลูกชายของมิธาที่เพิ่งเกิดก่อนที่จะแยกทางมานี้.”
“อาเลีย!” เจสสิกาพูด.
“ข้าได้เตือนเจ้าแล้วนะ.”
“แต่, ท่านแม่.
ข้าเห็นมันและมันเป็นความสัจและ.....”
เจสสิกาส่ายศีรษะของเธอ,
มองเห็นสัญญานของความอึดอัดใจบนใบหน้าของฮาราห์. ข้าได้ให้กำเนิดอะไรหรือ?
เจสสิกาถามตนเอง. ลูกสาวผู้รู้แต่กำเนิดในทุกสิ่งที่ข้ารู้.....และมากยิ่งกว่า:
ทุกสิ่งถูกเปิดเผยต่อเธอออกมาจากระเบียงทางเดินของอดีตโดยแม่อธิการทั้งหลายภายในข้า.
“มันไม่ใช่แค่สิ่งที่เธอพูด,” ฮาราห์พูด.
“มันเป็นเรื่องการออกกำลังกาย, ด้วย:
วิธีที่เธอนั่งแล้วจ้องมองที่ก้อนหิน,
เคลื่อนไหวเพียงหนึ่งกล้ามเนื้อข้างจมูกของเธอ, หรือกล้ามเนื้อบนหลังของนิ้วหนึ่ง,
หรือ---”
“เหล่านั้นเป็นการฝึกของเบเน
เกสเสอริต,” เจสสิกาพูด. “เจ้าก็รู้นั่น, ฮาราห์. เจ้าจะปฏิเสธลูกสาวของข้าในการสืบทอดมรดกหรือ?”
“ท่านแม่อธิการ,
ท่านรู้สิ่งเหล่านั้นว่าไม่สำคัญอะไรกับข้า,” ฮาราห์พูด.
“มันเป็นผู้คนและวิธีที่พวกนั้นที่ถือสำคัญ. ข้ารู้สึกถึงอันตรายในมัน.
พวกเขาพูดกันว่าธิดาของท่านเป็นปีศาจ, ที่เด็กคนอื่นๆปฏิเสธที่จะเล่นกับเธอ,
ที่เธอได้---”
“เธอมีน้อยเกินไปในสิ่งทั่วไปกับเด็กคนอื่นๆ.”
เจสสิกาพูด. “เธอไม่ใช่ปีศาจ. มันเป็นแค่---”
“แน่นอนล่ะ, ว่าเธอไม่ใช่!”
เจสสิกาพบว่าตนเองแปลกใจกับน้ำเสียงอันร้อนแรงดุเดือดของฮาราห์,
ชำเลืองลงมองไปที่อาเลีย. เด็กนั้นปรากฏอยู่ในอาการหายไปกับภวังค์ของตน,
แผ่รังสีของความรู้สึกถึง.....รอคอย. เจสสิกาหันความสนใจของเธอกลับมายังฮาราห์.
“ข้าเคารพต่อความสัจที่เจ้าเป็นสมาชิกหนึ่งในครัวเรือนของลูกชายข้า.”
เจสสิกาพูด. (อาเลียกระสับกระส่ายกับมือของเธอ.) เจ้าอาจพูดอย่างเปิดอกได้กับข้าในอะไรก็ตามที่ก่อความเดือดร้อนให้กับเจ้า.”
“ข้าจะไม่ใช่สมาชิกในครัวเรือนของบุตรชายท่านอีกนานมากกว่านี้นัก.”
ฮาราห์. “ข้าได้รอคอยเช่นนี้มานาแล้วเพื่อเห็นแก่บุตรชายทั้งสองของข้า,
การฝึกพิเศษ, พวกเขาได้รับว่าเป็นลูกๆของอูซุล. มันเป็นเล็กน้อยเพียงพอที่ข้าสามารถให้พวกเขาได้ตั้งแต่มันได้รู้กันว่าข้านั้นไม่ได้แบ่งปันเตียงนอนับบุตรชายของท่าน.”
อีกครั้งที่อาเลียกระสับกระส่ายอยู่ขางเธอ,
กึ่ง-หลับ, อุ่น.
“เจ้าได้ทำการเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับบุตรชายของข้า,
กระนั้น,” เจสสิกาพูด. และเธอเติมเพิ่มให้กับตัวเธอเองเพราะความคิดเยี่ยงนี้ได้เคยเป็นเช่นกันกับเธอ: เพื่อน.....มิใช่ภรรยา. ความคิดของเจสสิกาไปในตอนนั้นกลับตรงสู่ศูนย์กลาง,
ยังความปวดร้าวในทันทีที่มาจากการพูดคุยธรรมดาในสิฐคามที่สัมพันธภาพของลูกชายเธอกับชานิได้กลายเป็นสิ่งถาวร,
การสมรส.
ข้ารักชานิ, เจสสิกาคิด,
แต่เธอหวนจำถึงตัวเองที่ความรักนั้นอาจจะต้องก้าวหลบไปด้านข้างสำหรับความจำเป็นของราชวงศ์.
การสมรสของราชวงศ์มีเหตุผลอื่นทั้งลายที่ไม่ใช่ความรัก.
“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ถึงแผนการที่ท่านวางให้กับบุตรชายของท่านหรือ?”
ฮาราห์ถาม.
“เจ้าหมายความถึงอะไร?” เจสสิกาบัญชาถาม.
“ท่านวางแผนถึงการรวมเผ่าทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวภายใต้เขา,”
ฮาราห์พูด.
“นั่นเลวร้ายหรือ?”
“ข้ามองเห็นอันตรายสำหรับเขา.....และอาเลียเป็นส่วนหนึ่งของอันตรายนั่น.”
อาเลียอิงซบเบียดอยู่ใกล้กับมารดาของเธอ,
ดวงตาเปิดออกแล้วในตอนนี้และกำลังศึกษาดูฮาราห์.
“ข้าได้เฝ้าดูท่านทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน,”
ฮาราห์พูด, “วิธีที่ท่านสัมผัส. และอาเลียเหมือนเลือดเนื้อของข้าเองเพราะว่าเธอเป็นน้องสาวของใครคนหนึ่งที่เป็นเหมือนน้องชายของข้า.
ข้าได้เฝ้าดูแลเธอและคุ้มกันเธอมาตั้งแต่เวลาที่เธอเป็นเด็กแบเบาะ, ตั้งแต่เวลาตอนราซซิอะ(razzia
– จู่โจม)เมื่อเราบินหนีมายังที่นี่.
ข้าได้เห็นสิ่งทั้งหลายมากมายเกี่ยวกับเธอ.”
เจสสิกาพยักหน้ารับ,
รู้สึกถึงความกังวลเริ่มต้นที่จะเติบโตขึ้นในอาเลียข้างกายของเธอ.
“ท่านรู้ว่าข้าหมายถึงอะไร,” ฮาราห์พูด.
“วิธีที่เธอรู้จากในตอนแรกในอะไรที่เรากำลังพูดกับเธอ. เมื่อใดกันที่ได้มีทารกอื่นที่รู้ถึงวินัยของน้ำในตอนเด็กเช่นนี้?
อะไรด้วยหรือที่คำแรกของทารกอื่นพูดกับพยาบาลของเธอว่า: “ข้ารักเจ้า, ฮาราห์?”
ฮาราห์จ้องมองอาเลีย.
“ทำไมท่านถึงคิดว่าข้ายอมรับคำเยาะหยันของเธอ?
ข้ารู้ว่าไม่ได้มีความมุ่งร้ายในพวกมันนั่นแหละ.”
อาเลียเงยหน้าขึ้นมองมารดาของเธอ.
“ใช่, ข้ามีพลังการให้เหตุผล, ท่านแม่อธิการ.”
ฮาราห์พูด. “ข้าน่าจะได้เป็นของเสย์ยาดินา.
ข้าได้เห็นอะไรที่ข้าได้เห็น.”
“ฮาราห์.....” เจสสิกายักไหล่.
“ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้.” และเธอรู้สึกแปลกใจกับตนเอง,
เพราะว่าคำวาจานี้เป็นความสัจจริง.
อาเลียยืดร่างขึ้น,
ผึ่งไหล่ของเธอ. เจสสิการู้สึกถึงประสาทสัมผัสว่าการรอคอยนี้ได้จบแล้ว,
และอารมณ์ผสมรวมกันของความตัดสินใจและความเศร้า.
“เราทำผิดพลาด,” อาเลียพูด.
“ตอนนี้เราจำเป็นต้องการฮาราห์.”
“มันเป็นตอนพิธีกรรมของเมล็ดพันธุ์,” ฮาราห์พูด,
“เมื่อท่านเปลี่ยนน้ำแห่งชีวิต, แม่อธิการ, เมื่ออาเลียยังไม่กำเนิดภายในคุณ.”
จำเป็นต้องการฮาราห์? เจสสิกาถามตนเอง.
“ใครอื่นหรือที่สามารถพูดคุยในหมู่ผู้คนนั้นและทำให้พวกเขาเริ่มต้นที่จะเข้าใจข้า?”
อาเลียถาม.
“อะไรที่เจ้าจะให้เธอทำหรือ?” เจสสิกาถาม.
“เธอรู้อยู่แล้วว่าอะไรที่จะทำ,” อาเลียพูด.
“ข้าจะบอกกับพวกเขาถึงความสัจจริง,” ฮาราห์พูด.
ใบหน้าของเธอดูเหมือนในทันทีทันใดแก่ชราและเศร้าด้วยผิวสีมะกอกของมันลากดึงไปสู่ขมวดย่นยับ,
กลิ่นอายแม่มดในรูปลักษณ์ชัดเฉียบนั้น. “ข้าจะบอกพวกเขาว่าอาเลียเป็นแค่เสแสร้งที่จะเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก,
ว่าเธอไม่เคยเป็นเด็กหญิงตัวเล็กเลย.”
อาเลียส่ายศีรษะของเธอ. น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มของเธอ,
และเจสสิกาประสาทสัมผัสรูถึงคลื่นของความเศร้าใจจากธิดาของเธอราวกับว่าอารมณ์นั้นเป็นของเธอเอง.
“ข้ารู้ว่าข้าเป็นคนประหลาด,” อาเลียกระซิบ.
ผลรวมของความเป็นผู้ใหญ่ออกมาจากปากของเด็กเป็นเหมือนการยืนยันอันขมขื่น.
“เจ้าไม่ใช่คนประหลาด!” ฮาราห์ตวัด.
“ใครกล้าพูดว่าเจ้าคือคนประหลาดรึ?”
อีกครั้ง, เจสสิกาตกตะลึงกับคำเน้นอันเดือดดุของความปกป้องในน้ำเสียงของฮาราห์.
เจสสิกามองเห็นแล้วว่าอาเลียได้ตัดสินอย่างถูกต้องแล้ว---พวกเขาจำเป็นต้องการฮาราห์.
เผ่านี้จะเข้าใจกับฮาราห์---ทั้งคำพูดทั้งหลายของเธอและอารมณ์ทั้งหลายของเธอ---เพราะมันชัดเจนว่าเธอรักอาเลียราวกับว่านี้เป็นลูกของเธฮเอง.
“ใครพูดมัน?” ฮาราห์ถามซ้ำ.
“ไม่มีใครพูดหรอก.”
อาเลียใช้มุมหนึ่งของเจสสิกามาเช็ดน้ำตาจากใบหน้าของเธอ.
เธอเช็ดไล้เสื้อคุณที่เธอได้ทำเปียกชื้นและย่นยับกับมัน.
“งั้นเจ้าก็อย่าพูดมันอีก,” ฮาราห์สั่ง.
“ค่ะ, ฮาราห์.”
“ตอนนี้,” ฮาราห์พูด,
“เจ้าอาจะบอกกับข้าว่าอะไรที่มันเป็นเหมือนเช่นนั้นที่ข้าอาจบอกกับคนอื่นๆได้.
บอกข้าสิว่ามันเป็นอะไรที่ได้บังเกิดขึ้นต่อเจ้า.”
อาเลียกล้ำกลืน,
เงยหน้าขึ้นมองมารดาของเธอ.
เจสสิกาพยักหน้าให้.
“วันหนึ่งข้าได้ตื่นขึ้น,” อาเลียพูด.
“มันเป็นเหมือนตื่นขึ้นมาจากนอนนอกจากว่าข้าไม่สามารถจดจำได้ว่าได้นอนลับไป.
ข้ารู้สึกอุ่น, ที่มืดๆ. และข้าก็หวาดกลัว.”
การฟังต่อเสียงกึ่ง-เต็มปากของลูกสาวของเธอ,
เจสสิกาจำได้ถึงวันนั้นในถ้ำคูหาใหญ่.
“เมื่อข้าได้หวาดกลัว,” อาเลียพูด.
“ข้าได้พยายามที่จะหลบหนี, แต่ไม่มีหนทางที่จะหลบหนี. แล้วข้าก็เห็นประกาย.....แต่มันไม่เหมือนชัดนักกับการมองเห็นมัน.
ประกายนั้นแค่อยู่ที่ตรงนั้นและข้ารู้สึกถึงอารมณ์ของประกายนั้น.....กำลังทำให้ข้ากล่อมให้สงบและปลอบโยนข้า,
บอกกับข้าวิธีนั้นว่าทุกสิ่งจะไม่เป็นไรเลย. นั่นเป็นมารดาของข้า.”
ฮาราห์ถูที่ตาของเธอ, ยิ้มใความมั่นใจแก่อาเลีย.
กระนั้นก็มีทีท่าของความแตกตื่นในดวงตาของหญิงฟรีเมนนี้,
การเอาจริงเอาจังราวกับว่าพวกเขา, ด้วยเช่นกัน, กำลังพยายามที่จะได้ยินคำพูดของอาเลีย.
และเจสสิกาคิด. เรารู้อะไรจริงๆหรือถึงว่าใครคนหนึ่งจะคิดได้อย่างไรเช่นนี้.....ออกมาจากอันพิเศษเฉพาะของประสบการณ์รับรู้และการฝึกฝนและบรรพบุรุษ?
“เพียงเมื่อข้ารู้สึกปลอดภัยและวางใจขึ้น,”
อาเลียพูด, “ก็มีประกายอีกอันหนึ่งกับเรา.....และทุกอย่างได้กำลังบังเกิดขึ้นในทันที.
ประกายอันอื่นเป็นแม่อธิการชรา.
เธอได้.....แลกเปลี่ยนชีวิตกับมารดาของข้า.....ทุกอย่าง.....และข้าได้อยู่ที่นั่นกับพวกเขา,
มองเห็นทั้งหมด.....ทุกอย่าง. และมันก็จบลง,
และข้าอยู่กับพวกเขาและคนอื่นๆทั้งหมดและตัวข้า.....เพียงแต่มันทำข้าให้ใช้เวลานานที่จะหาตัวเองเจออีกครั้ง.
มีคนอื่นๆมากมายเหลือเกิน.”
“มันเป็นสิ่งที่โหดร้าย,” เจสสิกาพูด.
“ไม่มีสิ่งชีวิตใดควรจะตื่นเข้าไปในจิตสำนึกเช่นนั้น.
ความพิศวงของมันคือเจ้าสามารถยอมรับทั้งหมดทั้งหมดของนั่นที่ได้บังเกิดขึ้นมาต่อเจ้าได้.”
“ข้าไม่สามารถทำอะไรอื่นใดได้!” อาเลียพูด.
“ข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรที่จะปฏิเสธรือหลบซ่อนจิตสำนึกของข้า.....หรือปิดมันลงไป.....ทุกอย่างแค่บังเกิดขึ้น.....ทุกอย่าง.....”
“เราไม่ได้รู้,” ฮาราห์พึมพำ.
“เมื่อตอนที่เราให้มารดาของเจ้าด้วยน้ำนั้นเพื่อเปลี่ยน, เราไม่ได้รู้ว่ามีเจ้าอยู่ภายในตัวเธอ.”
“อย่าโศกเศร้าเกี่ยวกับมันเลย, ฮาราห์.”
อาเลียพูด. “ข้าไม่ควรรู้สึกเสียใจกับตัวเอง. ว่าไปแล้ว,
มีเหตุให้เกิดสำหรับความสุขที่นี่. ข้าเป็นแม่อธิการ. เผ่ามีสองแม่.....”
เธอหยุดชงัก, เอียงศีรษะของเธอเพื่อฟัง.
ฮาราห์โยกกลับไปนั่งบนส้นเท้าของเธอกับหมอน,
จ้องที่อาเลีย, นำความสนใจนั้นของเธอข้นไปยังใบหน้าของเจสสิกา.
“เจ้าสงสัยอะไรรึ?” เจสสิกาถาม.
“ช่-ช่-ชู่ห์,” อาเลียบอก.
จังหวะการสวดมนตร์ไกลออกไปมาถึงพวกเขาผ่านม่านแขวนที่แยกพวกเขาออกจากระเบียงทางเดินของสิฐ.
มันเริ่มดังขึ้น, นำมาด้วยเสียงทั้งหลายที่ชัดเจนในตอนนี้: “ย่า! ย่า! ย่าวน์! ย่า! ย่า! ย่าวน์! มู เซอิน,
วัลวาห์! ย่า! ย่า! ย่าวน์! มู เซอิน,
วัลวาห์!”
เหล่าผู้สวดนั้นผ่านทางเข้าด้านนอก, และเสียงของพวกเขาระเบิดบูมผ่านเข้ามายังด้านในของห้องพักทั้งหลาย.
อย่างช้าๆเสียงนั้นก็ลดถอยลง.
เมื่อเสียงได้หร่เลือนอย่างพอเพียงแล้ว, เจสสิกาเริ่มต้นพิธีกรรม,
ความเศร้าอยู่ในน้ำเสียงของเธอ:
เป็น รามาธานและเอพริลของเบลา เทจียูส.”
“ครอบครัวของข้านั่งในลานสระของพวกเขา,” ฮาราห์พูด,
“ในอาบน้ำกลางแจ้งด้วยความชื้นที่ฟุ้งขึ้นมาจากละออกของน้ำพุ. มีปอร์ตีกุล(portyguls – ส้มปอร์ตุเกศ)ต้นหนึ่ง,
กลมและเข้มลึกในสีสัน, อยู่ใกล้มือ. มีตะกร้าใส่มิช มิช(mish mish)และบาคลาวา(baklawa)และเหยือกของลิบาน(liban)---รูปแบบของสิ่งดีๆทั้งหลายที่จะกิน.
ในสวนทั้งหลายของเราและฝูงสัตว์, มีสันติ.....สันติอยู่ในทั้งหมดของดินแดน.”
“ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความสุขจนกระทั่งการถูกโจมตีมาถึง,”
อาเลียพูด.
“เลือดไหลเย็นเยียบที่การกรีดร้องของเพื่อนทั้งหลาย,”
เจสสิกาพูด. และเธอรู้สึกถึงความทรงจำทั้งหลายเร่งผ่านเธอออกมาจากบรรดาอดีตอื่นทั้งหมดเหล่านั้นที่เธอได้แบ่งปัน.
“ลา ลา ลา, ผู้หญิงได้ร่ำร้อง.” ฮาราห์พูด.
“ผู้จู่โจมเข้ามาผ่านมุชตามาล(mushtamal* -
สวนพักผ่อนเปิดโล่ง),
ตรงเข้ามาหาเราด้วยมีดของพวกมันจุ่มแดงหยดจากชีวิตทั้งหลายของผู้ชายของเรา,” เจสสิกาพูด.
ความเงียบมาครอบคลุมเหนือทั้งสามของพวกเขาเช่นเดียวกับในทั้งหมดของห้องพักของสิฐคาม,
ความเงียบขณะที่พวกเขาจดจำและเก็บความโศกเศร้าของพวกเขาไว้ในเลือดเนื้อ.
ทันทีนั้น, ฮาราห์พึมพำท่อนสุดท้ายของสวดให้กับพิธีกรรมนั้น,
ให้คำทั้งหลายในเสียงแหบพร่าที่เจสสิกาไม่เคยได้ยินมาก่อนในพวกเขา.
“เราจะไม่มีวันให้อภัยและเราจะไม่มีวันลืม,”
ฮาราห์พูด.
ในความครุ่นคิดอย่างเงียบงันที่ติดตามคำพูดของเธอมานั้น,
พวกเขาได้ยินเสียงพึมพัมหนึ่งของผู้คน, เสียงเฟี๊ยว๊าวของเสื้อคลุมมากมาย. เจสสิการู้สึกสัมผัสได้ถึงบางคนกำลังยืนข้นโพ้นเลยจากม่านบังที่เป็นโล่ห์กั้นห้องโถงของเธอ.
“ท่านแม่อธิการ?”
เสียงของหญิงหนึ่ง, และเจสสิกาจำมันได้: เสียงของธาร์ธาร์, หนึ่งในภรรยาของสติลจาร์.
“มีอะไรหรือ, ธาร์ธาร์?”
“มีเรื่องแล้ว, แม่อธิการ.”
เจสสิการู้สึกมีการหดตัวที่หัวใจของเธอ,
ความหวาดกลัวฉับพลันถึงพอล. “พอล.....” เธอสะอึกหายใจ.
ธาร์ธาร์เปิดม่านบังออกกว้าง,
ก้าวเข้ามาในห้องโถง. เจสสิกาแวบเห็นผู้คนเบียดเสียดกันในห้องด้านนอกก่อนที่ม่านเหล่านั้นจะร่วงลง.
เธอเงยขึ้นมองธาร์ธาร์---หญิงร่างเล็ก, ผิวคล้ำในชุดคลุมเหลือบแดงขอสีดำ,
ดวงตาสีฟ้าทั้งหมดล้วนของเธอวิ่งมาจับอยู่ที่เจสสิกา,
ช่องหายใจของจมูกเล็กนิดของเธอพองออกเผยให้เห็นรอยแผลเป็นจากที่อุด.
“มีอะไรรึ?” เจสสิกาถามบัญชา.
“มีคำบอกมาจากทะเลทราย,” ธาร์ธาร์พูด.
“อูซุลพบกับผู้สร้างกับการทดสอบของเขา.....มันเป็นวันนี้. พวกคนหนุ่มบอกว่าเขาไม่สามารถล้มเหลวได้,
เขาจะเป็นผู้ขี่ทะเลทรายในตอนราตรีนี้.
พวกคนหนุ่มเป็นคณะสำหรับการบุกสังหารราซเซีย(razzia). พวกเขาจะบุกโมตีในทางตอนเหนือแล้วพบกับอูซุลที่นั่น.
พวกเขาบอกว่าพวกเขาส่งเสียงร้องไห้ในตอนนั้น. พวกเขาบอกว่าพวกเขาจะบีบบังคับให้อูซุลท้าประลองกับสติลจาร์และเข้าครองอำนาตจบัญชาการของเผ่าทั้งหลาย.”
รวบรวมน้ำ,
เพาะปลูกนูนเนินทรายทั้งหลาย,
เปลี่ยนแปลงโลกของพวกเขาอย่างช้าๆแต่อย่างแน่นอน---เหล่านี้ไม่เป็นการเพียงพออีกต่อไปแล้ว,
เจสสิกาคิด. การโจมตีเล็กๆน้อยๆ,
การโจมตีอย่างเหมาะสม---เหล่านี้ไม่เพียงพออีกต่อไปแล้วในตอนนี้ที่พอลและข้าได้ฝกฝนพวกเขามา.
พวกเขารู้สึกถึงพลังของพวกตน. พวกเขาต้องการที่จะต่อสู้.
ธาร์ธาร์โยกจากเท้าหนึ่งไปยังอีกเท้าหนึ่ง,
กระแอมคอของเธอโล่ง.
เรารู้ถึงความจำเป็นที่ต้องระวังอันตรายที่รออยู่,
เจสสิกาคิด. แต่ก็มีแกนของความอัดอั้นตันใจของพวกเรา. เรารู้ด้วยเช่กันว่าการบาดเจ็บที่รอคอยอยู่ได้แผ่ขยายมานานสามารถทำอะไรต่อเราได้.
เราสูญเสียสำนึกทั้งหลายของเจตจำนงไปถ้าเรารอคอยกันนานเกินไป.
“พวกทหารหนุ่มบอกว่าถ้าอูซุลไม่ท้าเรียกสติลจาร์ออกมาประอง,
แล้วเขาก็จะต้องเป็นหวาดกลัว,”ธาร์ธาร์พูด.
เธอลดการจ้อมองของเธอลง.
“แล้วนั่นคือหนทางของมันสินะ,” เจสสิกาพึมพำ.
เธอคิด: ข้ามองเห็นมันกำลังมาอย่างดี. เช่นเดียวกับสติลจาร์.
อีกครั้ง,ธาร์ธาร์กระแอมในลำคอของเธอ.
“กระทั่งน้องชายของข้า, โชอาห์, ก็พูดมัน,” เธอพูด. “พวกเขาจะทิ้งอูซุลให้ไม่มีทางเลือก.”
งั้นมันก็ได้มาถึงแล้ว, เจสสิกาคิด.
และพอลก็จะต้องจัดการมันด้วยตนเอง. แม่อธิการไม่อากล้ากลายเป็นไปเกี่ยวข้องในความสำเร็จนั้น.
อาเลียปล่อยมือของเธอจากมือของมารดา,
พูด:
“ข้าจะไปกับธาร์ธาร์และฟังพวกทหารหนุ่มนั้น. บางทียังมีหนทางอยู่.”
เจสสิกาสบสายตาที่จ้องมาของธาร์ธาร์,
แต่พูดกับอาเลีย: “ไป, สิงั้น. และรายงานกับข้าในทันทีที่เจ้าสามารถทำได้.”
“เราไม่ได้ต้องการสิ่งนี้ที่จะบังเกิด. ท่านแม่อธิการ,”
ธาร์ธาร์พูด.
“เราม่ได้ต้องการมัน,” เจสสิกาเห็นด้วย.
“เผ่านี้ต้องการทั้งหมดของมันในพละกำลัง.” เธอเหลือบมองยังฮาราห์.
“เจ้าจะไปกับพวกเขาด้วยได้ไหม?”
ฮาราห์ตอบในส่วนของคำถามที่ไม่ได้พูดออกมา: “ธาร์ธาร์จะไม่ยอมให้การทำร้ายใดที่จะตกมาสู่อาเลีย.
เธอรู้ว่าเราจะเป็นภรรยาทั้งหลายด้วยกันในไม่ช้านี้, เธอและข้า,
ที่จะแบ่งปันชายเดียวกัน. เราได้พูดคุยกันแล้ว. ธาร์ธาร์กับข้า.” ฮาราห์เงยขึ้นมองธาร์ธาร์,
กลับมาที่เจสสิกา. “เรามีความเข้าใจกัน.”
ธาร์ธาร์ยื่นมือของเธอมายังอาเลีย,
พูด:
“ดราต้องรีบแล้ว. พวกทหารหนุ่มกำลังออกไป.”
พวกเขาดันผ่านม่านแขวนบังทั้งหลาย,
มือของเด็กน้อยอยู่ในมือเล็กของหญิงนั้น, แต่เด็กน้อยดูเหมือนจะเป็นผู้จูงนำไป.
“ถ้าพอล มวด’ดิบสังหารสติลจาร์, เรื่องนี้จะไม่เป็นผลดีต่อเผ่า,”
ฮาราห์พูด. “มาก่อนเสมอ, มันได้เป็นวิถีของความสำเร็จ,
แต่เวลาทั้งหลายได้เปลี่ยนไปแล้ว.”
“เวลาทั้งหลายได้เปลี่ยนไปสำหรับเจ้า,
ด้วยเช่นกัน,” เจสสิกาพูด.
“ท่านไม่สามารถคิดว่าข้ากังขาใจในผลลัพธ์ของการยุทธเยี่ยงนั้น,”
ฮาราห์พูด. “อูซุลสามารถเป็นอื่นไม่ได้นอกจากชนะ.”
“นั่นคือที่ข้าหมายถึง,” เจสสิกาพูด.
“และท่านคิดว่าความรู้สึกส่วนตัวของข้าเข้ามาในคำตัดสินของข้า,”
ฮาราห์พูด. เธอส่ายศีรษะของเธอ, แหวนนับน้ำสั่นกรุ๊งกริ๊งที่ลำคอของเธอ. “ท่านช่างผิดเสียนี่กระไร.
บางทีท่านคิด, เช่นกัน, ว่าข้าผิดหวังที่ไม่ได้ถูกเลือกของอูซุล,
ว่าข้านั้นอิจฉาชานิ.”
“เจ้าทำการเลือกของตนเองดังที่เจ้าสามารถทำได้,”
เจสสิกาพูด.
“ข้าสงสารชานิ,” ฮาราห์พูด.
เจสสิกาตัวแข็งทื่อ. “เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน?”
“ข้ารู้ว่าท่านคิดเช่นไรกับชานิ,”
ฮาราห์พูด. “ท่านคิดว่าเธอไม่ใช่ภรรยาสำหรับบุตรชายของท่าน.”
เจสสิกาเอนหลังกลับ, ผ่อนคลายอยู่บนหมอนของเธอ.
เธอยักไหล่. “บางทีนะ.”
“ท่านน่าจะถูกต้องแล้ว,” ฮาราห์พูด.
“ถ้าท่านเป็น, ท่านอาจพบการผูกพันเหมือนกันอันน่าแปลกใจ---ชานิเอง. เธอต้องการอะไรก็ตามที่ดีที่สุดเพื่อเขา.”
เจสสิกากลืนกินอดีตที่แน่นตึงทันใดขึ้นมาในลำคอของเธอ.
“ชานิเป็นที่รักสำหรับข้า,” เธอพูด. “เธอไม่สามารถเป็นอะไรอื่น---”
“พรมทั้งหลายของท่านสกปรกมากในที่นี้,” ฮาราห์พูด.
เธอกวาดสายตาของเอไล่ไปรอบห้อง, หลีกหลบดวงตาของเจสสิกา. “มีผู้คนมากมายเกินไปที่ย่ำผ่านเข้ามาที่นี่ตลอดเวลา.
ท่านควรจะให้มันถูกทำความสะอาดบ่อยมากขึ้น.”
เจ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปฏิบัติต่อกันทางการเมืองทั้งหลายภายในลัทธิศาสน์ดั้งเดิม.
พลังอำนาจนี้ดิ้นรนต่อสู้ซึมซาบกระทบการฝึกฝน, การศึกษาและการวินัยแห่งชุมชมตามจารีตดั้งเดิม.
เพราะแรงกดดันนี้, ผู้นำทั้งหลายของชุมชนเยี่ยงนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเผชิญหน้าซึ่งคำถามถึงที่สุดในเรื่องกิจการภายใน: ที่จะจำนนต่อความคิดของการฉวยโอกาสอย่างสมบูรณ์สิ้นขณะที่ราคาของการดำรงอยู่ในกฏเกณฑ์ของพวกเขา,
หรือการเสี่ยงที่จะสักการะตัวพวกเขาเองเพื่อให้แก่จริยะตามจารีตดั้งเดิมนั้น.
---จาก
“มวด’ดิบ ประเด็นทางศาสนา” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น