หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (38)

                     “ควบคุมเหรียญกษาปณ์และราชสำนักทั้งหลาย---ปล่อย           ให้พวกกระต่ายได้ที่เหลือไป.” จักรพรรดิ ปาดิชาห์ แนะนำเจ้า           เช่นนั้น. และเขาตรัสกับเจ้าว่า: “ถ้าเจ้าต้องการกำไรทั้งหลาย,               เจ้าต้องครองอำนาจ.” มีความสัจจริงในคำพูดเหล่านี้, แต่ข้าได้ถ           ถามกับตนเอง:“ใครล่ะคือกระต่ายนั้นและใครล่ะที่ถูกปกครอง?”

          ---สาส์นลับของ มวดดิบ ส่งให้กับ ลานสราอาด จาก     “การตื่นขึ้นของ อาร์ราคิส” โดย     เจ้าหญิงอีร์อูลาน

 

         ความคิดมาโดยไม่ได้รับเชิญสู่จิตใจของเจสสิกา: พอลจะได้ผ่านประสบการณ์การทดสอบเป็นผู้ขี่ทะเลทรายในขณะใดหนึ่งในนี้. พวกเขาพยายามที่จะปิดบังความจริงนี้จากฉัน, แต่มันชัดเจนอยู่แล้ว.

         และชานิได้ไปด้วยเพื่อทำธุระเรื่องเวทย์บางอย่าง.

         เจสสิกานั่งอยู่ในห้องโถงพัก, กุมชั่วขณะของความเงียบระหว่างชั้นเรียนกลางคืนทั้งหลาย. มันเป็นห้องโถงที่สบาย, แต่ไม่ได้ใหญ่เท่ากับอันหนึ่งที่เธอได้รื่นรมย์ในสิฐ ทาบร์ก่อนที่พวกเขาจะบินหนีจากการล่ล่าสังหาร. กระนั้น, สถานที่นี้ก็มีพรมหนาที่บนพื้น, หมอนนุ่ม, โต๊ะกาแฟเตี้ยใกล้มือ, ม่านลากสีสันแขวนอยู่ที่ผนังทั้งหลาย, และแสงเรืองเหลืองของลูกโคมลอยทั้งหลายเหนือศีรษะ. ห้องนั้นถูกแผ่ซ่านด้วยกลิ่นตะกอนฉุนเผ็ดเด่นพิเศษของสิฐคามฟรีเมนที่เธอได้คุ้นสู่สมาคมถึงความรู้สึกแห่งมั่นคงปลอดภัย.

         กระนั้นเธอก็ยังรู้ว่าเธอจะไม่มีวันได้เอาชนะความรู้สึกของการมีชีวิตอยู่กับสถานที่ต่างถิ่นได้. มันเป็นความกระด้างของพรมนั่นและม่านทั้งหลายที่พยายามปิดบังไว้.

         เสียงเบาแว่วๆกังวานของการตบแทงทะลุห้องโถงพักเข้ามา, เจสสิการู้ว่ามันเพื่อบอกถึงการฉลองยินดีกับการให้กำเนิด, บางทีของสุบิอัย. เวลาของเธอได้ใกล้แล้ว. และเจสสิการู้ว่าเธอได้เห็นทารกนั้นในเร็วพอ---ทูตสวรรค์ตัวน้อยตาสีฟ้าถูกนำมายังแม่อธิการเพื่อประทานพร. เธอรู้ด้วยเช่นกันว่าธิดาของเธอนั้น, อาเลีย, จะอยู่ในการฉลองนั้นและจะรายงานกับมัน.

         มันยังไม่ถึงเวลาที่จะทำสวดตอนกลางคืนของการจากกัน. พวกเขาจะไม่เริ่มงานฉลองการให้กำเนิดใกล้กันกับพิธีที่ได้ไว้ทุกข์กับการโจมตีของทาสแห่งโพริตริน, รอสแสค, และฮาร์มอนเธป.

         เจสสิกาถอนหายใจ. เธอรู้ว่าเธอกำลังพยายามที่จะคอยเอาความคิดทั้งหลายของเธอออกไปจากบุตรชายของเธอและอันตรายที่เขาได้เผชิญหน้า---หลุมกับดักทั้งหลายกับขวากหนามอาบพิษของพวกมัน, การโจมตีพวกฮาร์คอนเนน(ถึงแม้ว่าเหล่านี้ได้กำลังเติบโตขึ้นน้อยลงกว่าที่พวกฟรีเมนได้ทำลายยานอากาศและผู้จู่โจมของพวกนั้นด้วยอาวุธใหม่ทั้งหลายที่พอลได้ให้พวกเขา), และอันตรายทั้งหลายตามธรรมชาติของทะเลทรายนั้น---ผู้สร้างทั้งหลายและหุบเหวทั้งหลายของความกระหายและฝุ่นธุลี.

         เธอคิดไปถึงการเรียกหากาแฟและด้วยความคิดนั้นมาด้วยกับสัมปชัญญะที่เคยปรากฏของปฏิทรรศน์ในวิถีของฟรีเมนแห่งชีวิต: พวกเขามีชีวิตอยู่กันดีได้อย่างไรในคูหาสิฐคามทั้งหลายเมื่อเปรียบเทียบต่อชุมชนปิยอนที่พื้นผิวทั้งหลาย(graben pyons*); กระนั้นก็

         * https://dune.fandom.com/wiki/Graben,_Sink_and_Pan

ยัง, อีกมากมายเท่าไรที่พวกเขาได้ทนทานในฮาจร์(hajr)เปิดโล่งของทะเลทรายมากการสิ่งใดที่ทาสของฮาร์คอนเนนได้ทนทาน.

         มือเข้มคล้ำหนึ่งสอดตัวมันเองผ่านม่านแขวนข้างตัวเธอเข้ามา, ยื่นส่งถ้วยใบหนึ่งลงบนโต๊ะและดึงจนกลับไป. จากถ้วยนั้นอวลขึ้นมาของกลิ่นอายของกาแฟเครื่องเทศ.

         สิ่งมอบให้ในการฉลองของการให้กำเนิด, เธอคิด.

         เธอหยิบกาแฟถ้วยนั้นมาและจิบมัน, ยิ้มให้กับตัวเธอเอง. ในสังคมอะไรอื่นของเอกภพของเรา, เธอถามตนเอง, บุคคลหนึ่งในสถานะของฉันจะสามารถได้รับเครื่องดื่มลับนิรนามและดื่มได้เต็มที่กับเครื่องดื่มนั้นโดยปราศจากความกลัว? ข้าสามารถเปลี่ยนผันยาพิษใดก้ตามที่มันได้ทำร้ายข้า, หรือ ชุดอาหาร, แต่ผู้ให้บริจาคไม่ได้ตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้.

         เธอทำให้ถ้วยนั้นแห้งเหือด, รู้สึกถึงพลังงานและชูกำลังของสารในมัน---ร้อนและโอชา.

         และเธอสงสัยว่าอะไรที่สังคมอื่นจะได้จับจ้องตามธรรมชาติต่อความเป็นส่วนตัวและสะดวกสบายของเธอที่ผู้ให้จะรุกล้ำเข้ามาได้ก็แต่เพียงแค่ยื่นมอบของกำนัลและไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับเธอด้วยสิ่งอุทิศนั้น? เคารพและรักได้ส่งของกำนัลมา---ด้วยเพียงแต่เจือความกลัวมาบางเบาเล็กน้อย.

         อีกองค์ประกอบหนึ่งของเหตุบังเอิญได้บังคับตัวมันเองเข้ามาในสัมปชัญญะของเธอ:เธอได้คิดถึงกาแฟและมันก็ได้ปรากฏขึ้น. ไม่มีอะไรเกี่ยวกับโทรจิตที่นี่, เธอรู้ดี. มันเป็นทาว(tau* - โปรตีนในเซลประสาท), หนึ่งเดียว(oneness)แห่งชุมชนสิฐคาม, สิ่งชดเชยจากพิษอันบางเบาของอาหารเจือ

         * http://www.athasit.com/article/detail/252

เครื่องเทศนั้นที่พวกเขาแบ่งปันกัน. มวลมหาผู้คนไม่เคยคาดหวังต่อการบรรลุปัญญาอันสว่างไสวที่เมล็ดเครื่องเทศนี้นำมาให้กับเธอ, พวกเขาไม่ได้ถูกฝึกมาและได้เตรียมตัวมาสำหรับมัน. จิตของพวกเขาปฏิเสธอะไรที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้หรือรวมเอามาเก็บไว้ได้. กระนั้นพวกเขาก็ได้รู้สึกและมีมีปฏิกิริยาสนองได้ในบางครั้งเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตเชิงเดี่ยว.

         และความคิดของความบังเอิญไม่เคยเข้าไปในจิตของพวกเขา.

         พอลได้ผ่านการทดสอบของเขาบนทะเลทรายไหม? เจสสิกาถามตนเอง. เขามีความสามารถทำได้, แต่อุบัติเหตุก็สามารถฟาดผ่าลงมาใส่กระทั่งผู้ที่สามารถมากที่สุด.

         การรอคอย.

         มันคือความมืดมน, เธอคิด. เจ้าสามารถรอคอยแค่นานเหลือเกินนั้นได้. แล้วความมืดมนของการรอคอยนั้นก็เอาชนะเจ้า.

         มีมรรยาททั้งหมดของการรอคอยในชีวิตของพวกเขา.

         มากกว่าสองปีที่เราได้มาอยู่ที่นี่, เธอคิด, และเป็นสองเท่าของตัวเลขนั้นเป็นอย่างน้อยที่สุดที่จะไปอีกก่อนที่เราสามารถกระทั่งหวังที่จะคิดถึงเรื่องการพยายามที่จะแย่งชิงอาร์ราคิสคืนมาจากผู้ปกครองของฮาร์คอนเนน, มูดีร์ นาห์ยะ, เจ้าสัตว์ร้าย แร็บบาน.

         แม่อธิการคะ?”

         เสียงจากข้างนอกผ่านม่านบังที่ประตูของเธอนั่นเป็นของฮาราห์, ผู้หญิงอีกคนหนึ่งในครอบครัวของพอล.

         “ได้, ฮาราห์.”

         ม่านแยกออกและฮาราห์ดูเหมือนจะไถลพรวดผ่านพวกมันเข้ามา. เธอสวมสายรัดแบบสิฐคาม, สีแดง-เหลืองพันรอบแขนเปิดเปลือยของเธอเกือบไปถึงบ่า. ผมสีดำถูกแยกออกตรงกลางและกวาดกลับไปทางด้านหลังเหมือนปีกแมลง, แบบและชุ่มน้ำมันติดอยู่กับศีรษะของเธอ. หน้าตายื่นและท่าทางดุร้ายนั้นถูกดึงเข้าไปในแค่การขมวดคิ้วแน่น.

         ด้านหลังของฮาราห์นั้นคืออาเลีย, เด็กหญิงของราวสองขวบ.

         การเห็นธิดาของเธอ, เจสสิกาถูกกุมอย่างที่เธอเป็นบ่อยครั้งโดยความคล้ายคลึงของอาเลียกับพอลในตอนอายุเท่านี้---ดวงตาโตกว้างเหมือนกันนั้นเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังในการมองจ้องแบบค้นหาของเธอ, ผมสีเข้มและความเต็มอิ่มแน่นของปาก. แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียด, ด้วยเช่นกัน, และมันเป็นในสิ่งเหล่านี้ที่ผู้ใหญ่ส่วนมากซึ่งพบอาเลียแล้วรู้สึกอึดอัด. เด็กนี้---โตมากกว่าทารกหัดเดินเพียงเล็กน้อย---แบกไว้กับตัวเองด้วยความสงบนิ่งและสัมปชัญญะโพ้นเลยอายุปีของเธอไปไกล. พวกผู้ใหญ่ต่างตื่นตกใจที่พบว่าเธอหัวเราะกับการเล่นสนุกอย่างละเอียดลออในคำพูดเกี่ยวกับเรื่องเพศ. หรือพวกเขาได้จับกุมตนเองไว้กับการได้ฟังเธอพูดกึ่งอ้าปากออกเสียง, ยังคงพร่ามัวดั่งที่มันเป็นโดยเพดานปากอ่อนนุ่มที่ยังไร้รูปทรง, และค้นพบว่าในคำพูดของเธอนั้นมีเล่ห์เหลี่ยมในการแสดงความเห็นที่สามารถมีแต่ผู้ที่มีประสบการณ์ผ่านมาแล้วซึ่งเด็กสองขวบใดจะเคยได้พบ.

         ฮาราห์ทิ้งตัวลงบนหมอนด้วยอาการถอนหายใจเขม็งหน้าบึ้งตึงใส่เด็กนั้น.

         อาเลีย,” เจสสิกาแสดงอาการยังธิดาของเธอ.

         เด็กนั้นข้ามมาที่หมอนข้างมารดาของเธอ, ทิ้งตัวลงไปหามันและเกี่ยวมือของมารดาเธอ. ผัสสะของเนื้อหนังฟื้นคืนสัมปชัญญะที่เป็นซึ่งกันและกันอันพวกเขาได้แบ่งปันมาตั้งแต่ก่อนการกำเนิดของอาเลีย. มันไม่ใช่เรื่องของการแบ่งปันความคิด---ถึงแม้ว่ามีการปะทุขึ้นฉับพลันของการนั้นถ้าพวกเขาได้สัมผัสกันขณะที่เจสสิกาได้กำลังเปลี่ยนแปลงยาพิษเครื่องเทศสำหรับพิธีกรรมนั้น. มันเป็นบางอย่างที่ใหญ่โตกว่า, สัมปชัญญะในทันทีทันใดของประกายที่มีชีวิต, สิ่งที่แหลมและคมกริบ, ประสาท-ซิมพา ติโก(nerve-sympatico*)ที่ทำให้พวกเขามีอารมณ์เป็นนึ่งเดียว.

         * https://en.wikipedia.org/wiki/Sympathoadrenal_system

         ในอากัปกิริยาพิธีการที่เป็นความเหมาะสมต่อสมาชิกครอบครัวของบุตรชายเธอ, เจสสิกาพูด:ซูบาคห์ อุล คูฮาร์(subakh ul kuhar – เจ้าสบายดีหรือ?), ฮาราห์. ค่ำคืนนี้พบเจ้าดีไหม?”

         ด้วยพิธีการจารีตธรรมเนียมเช่นกัน, เธอตอบ :ซูบาคห์ อัน นาร์(subakh un nar* - ข้าสบายดี, และท่านล่ะ?)” คำพูดนั้นแทบจะไร้ซึ่งน้ำเสียงใด. อีกครั้ง, เธอถอนหายใจ.

         เจสสิกาสัมผัสได้ถึงความขบขันจากอาเลีย.

         กห์านิมะ(ghanima* - ของทิ้งที่ชำรุด/เสียแล้ว)ของพี่ชายข้าได้รำคาญใจกับข้า,” อาเลียพูดในกึ่ง-ปากคำแบบของเธอ.

         เจสสิกาสังเกตในคำที่อาเลียใช้ในการหมายถึงฮาราห์---กห์านิมะ. ในความละเอียดอ่อนทั้งหลายของลิ้นชนฟรีเมน, คำนี้หมายถึง “บางอย่างที่ได้มาในการรบ” และด้วยการเติมน้ำเสียงสูงขึ้นก็จะเป็นบางอย่างที่ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้อีกต่อไปกับจุดประสงค์ดั้งเดิมของมัน. เครื่องประดับตบแต่ง, ปลายหอกที่ใช้ถ่วงน้ำหนักชายม่าน.

         ฮาราห์ทำหน้าบึ้งตึงยิ่งขึ้นกับเด็กนั้น. “อย่าพยายามดูถูกข้า, นังหนู. ข้ารู้แห่งหนของข้าดี.”

         “เจ้าได้ทำอะไรไปรึคราวนี้, อาเลีย?” เจสสิกาถาม.

         ฮาราห์ตอบกลับมาแทน: “ไม่ใช่แค่ที่เธอปฏิเสธที่จะเล่นกับเด็กๆอื่นในวันนี้, แต่เธอบุกรุกเข้าไปในที่.....”

         “ข้าซ่อนตัวอยู่หลังพวกม่านแขวนแล้วเฝ้าดูลูกของซูบิอัยกำลังกำเนิดมา,” อาเลียพูด. “เป็นเด็กชาย. เขาร้องและร้องอีก. ช่างมีปอดที่ใหญ่อะไรเช่นนั้น! เมื่อเขาได้ร้องจนนานพอ.....”

         “เธอก็ออกมาแล้วแตะตัวเขา,” ฮาราห์พูด, “แล้วเด็กนั่นก็หยุดร้อง. ทุกคนรู้ว่าเด็กของฟรีเมนต้องร้องให้เสร็จในการกำเนิด, ถ้าเขาอยู่ในสิฐเพราะว่าเขาไม่มีวันที่จะร้องได้อีกมิเช่นนั้นเขาก็จะทรยศต่อเราบนฮัจร์(hajr).

         “เขาได้ร้องไห้มาพอแล้ว,” อาเลียพูด. “ข้าแค่ต้องการจะรู้สึกถึงประกายของเขา, ชีวิตของเขา. แค่นั้นเอง. และเมื่อเขารู้สึกถึงข้าเขาก็ไม่อยากจะร้องไห้อีกต่อไป.”

         “นั่นทำให้มีการพูดกันในหมู่ผู้คน,” ฮาราห์พูด.

         “ลูกของซูบิอัยแข็งแรงดีไหม?” เจสสิกาถาม. เธอมองเห็นว่าบางอย่างได้กำลังทำให้ฮาราห์เดือดร้อนอย่างลึกๆและสงสัยว่ามันคืออะไร.

         “แข็งแรงดีอย่างที่มารดาใดจะร้องขอล่ะ,” ฮาราห์พูด. “พวกเขารู้ว่าอาเลียไม่ได้ทำร้ายอะไรเด็กนั่น. พวกเขาไม่ได้ติดใจอะไรมากนักในการแตะต้องตัวเขาของเธอ. เขาสงบลงทันทีและมีความสุข. มันเป็น.....” ฮาราห์ยักไหล่.

         “มันเป็นความแปลกประหลาดของธิดาของข้า, เช่นนั้นใช่ไหม?” เจสสิกาถาม. “มันเป็นวิธีที่เธอพูดถึงสิ่งทั้งหลายเกินเลยหลายปีจากอายุของเธอและไม่มีเด็กใดที่อายุเท่ากับเธอจะสามารถรู้ถึง---สิ่งทั้งหลายของอดีต.”

         “เธอสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าเด็กนั้นหน้าตาเหมือนกับเบลา เทจียูส?” ฮาราห์เรียกร้อง.

         “แต่เขาก็เป็นเช่นนั้น!อาเลียพูด. “ลูกของซูบิอัยหน้าตาแค่เหมือนลูกชายของมิธาที่เพิ่งเกิดก่อนที่จะแยกทางมานี้.”

         อาเลีย!เจสสิกาพูด. “ข้าได้เตือนเจ้าแล้วนะ.”

         “แต่, ท่านแม่. ข้าเห็นมันและมันเป็นความสัจและ.....”

         เจสสิกาส่ายศีรษะของเธอ, มองเห็นสัญญานของความอึดอัดใจบนใบหน้าของฮาราห์. ข้าได้ให้กำเนิดอะไรหรือ? เจสสิกาถามตนเอง. ลูกสาวผู้รู้แต่กำเนิดในทุกสิ่งที่ข้ารู้.....และมากยิ่งกว่า: ทุกสิ่งถูกเปิดเผยต่อเธอออกมาจากระเบียงทางเดินของอดีตโดยแม่อธิการทั้งหลายภายในข้า.

         “มันไม่ใช่แค่สิ่งที่เธอพูด,” ฮาราห์พูด. “มันเป็นเรื่องการออกกำลังกาย, ด้วย: วิธีที่เธอนั่งแล้วจ้องมองที่ก้อนหิน, เคลื่อนไหวเพียงหนึ่งกล้ามเนื้อข้างจมูกของเธอ, หรือกล้ามเนื้อบนหลังของนิ้วหนึ่ง, หรือ---”

         “เหล่านั้นเป็นการฝึกของเบเน เกสเสอริต,” เจสสิกาพูด. “เจ้าก็รู้นั่น, ฮาราห์. เจ้าจะปฏิเสธลูกสาวของข้าในการสืบทอดมรดกหรือ?”

         ท่านแม่อธิการ, ท่านรู้สิ่งเหล่านั้นว่าไม่สำคัญอะไรกับข้า,” ฮาราห์พูด. “มันเป็นผู้คนและวิธีที่พวกนั้นที่ถือสำคัญ. ข้ารู้สึกถึงอันตรายในมัน. พวกเขาพูดกันว่าธิดาของท่านเป็นปีศาจ, ที่เด็กคนอื่นๆปฏิเสธที่จะเล่นกับเธอ, ที่เธอได้---”

         “เธอมีน้อยเกินไปในสิ่งทั่วไปกับเด็กคนอื่นๆ.” เจสสิกาพูด. “เธอไม่ใช่ปีศาจ. มันเป็นแค่---”

         “แน่นอนล่ะ, ว่าเธอไม่ใช่!

         เจสสิกาพบว่าตนเองแปลกใจกับน้ำเสียงอันร้อนแรงดุเดือดของฮาราห์, ชำเลืองลงมองไปที่อาเลีย. เด็กนั้นปรากฏอยู่ในอาการหายไปกับภวังค์ของตน, แผ่รังสีของความรู้สึกถึง.....รอคอย. เจสสิกาหันความสนใจของเธอกลับมายังฮาราห์.

         “ข้าเคารพต่อความสัจที่เจ้าเป็นสมาชิกหนึ่งในครัวเรือนของลูกชายข้า.” เจสสิกาพูด. (อาเลียกระสับกระส่ายกับมือของเธอ.) เจ้าอาจพูดอย่างเปิดอกได้กับข้าในอะไรก็ตามที่ก่อความเดือดร้อนให้กับเจ้า.”

         “ข้าจะไม่ใช่สมาชิกในครัวเรือนของบุตรชายท่านอีกนานมากกว่านี้นัก.” ฮาราห์. “ข้าได้รอคอยเช่นนี้มานาแล้วเพื่อเห็นแก่บุตรชายทั้งสองของข้า, การฝึกพิเศษ, พวกเขาได้รับว่าเป็นลูกๆของอูซุล. มันเป็นเล็กน้อยเพียงพอที่ข้าสามารถให้พวกเขาได้ตั้งแต่มันได้รู้กันว่าข้านั้นไม่ได้แบ่งปันเตียงนอนับบุตรชายของท่าน.”

         อีกครั้งที่อาเลียกระสับกระส่ายอยู่ขางเธอ, กึ่ง-หลับ, อุ่น.

         “เจ้าได้ทำการเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับบุตรชายของข้า, กระนั้น,” เจสสิกาพูด. และเธอเติมเพิ่มให้กับตัวเธอเองเพราะความคิดเยี่ยงนี้ได้เคยเป็นเช่นกันกับเธอ: เพื่อน.....มิใช่ภรรยา. ความคิดของเจสสิกาไปในตอนนั้นกลับตรงสู่ศูนย์กลาง, ยังความปวดร้าวในทันทีที่มาจากการพูดคุยธรรมดาในสิฐคามที่สัมพันธภาพของลูกชายเธอกับชานิได้กลายเป็นสิ่งถาวร, การสมรส.

         ข้ารักชานิ, เจสสิกาคิด, แต่เธอหวนจำถึงตัวเองที่ความรักนั้นอาจจะต้องก้าวหลบไปด้านข้างสำหรับความจำเป็นของราชวงศ์. การสมรสของราชวงศ์มีเหตุผลอื่นทั้งลายที่ไม่ใช่ความรัก.

         “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ถึงแผนการที่ท่านวางให้กับบุตรชายของท่านหรือ?” ฮาราห์ถาม.

         “เจ้าหมายความถึงอะไร?” เจสสิกาบัญชาถาม.

         “ท่านวางแผนถึงการรวมเผ่าทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวภายใต้เขา,” ฮาราห์พูด.

         “นั่นเลวร้ายหรือ?”

         “ข้ามองเห็นอันตรายสำหรับเขา.....และอาเลียเป็นส่วนหนึ่งของอันตรายนั่น.”

         อาเลียอิงซบเบียดอยู่ใกล้กับมารดาของเธอ, ดวงตาเปิดออกแล้วในตอนนี้และกำลังศึกษาดูฮาราห์.

         “ข้าได้เฝ้าดูท่านทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน,” ฮาราห์พูด, “วิธีที่ท่านสัมผัส. และอาเลียเหมือนเลือดเนื้อของข้าเองเพราะว่าเธอเป็นน้องสาวของใครคนหนึ่งที่เป็นเหมือนน้องชายของข้า. ข้าได้เฝ้าดูแลเธอและคุ้มกันเธอมาตั้งแต่เวลาที่เธอเป็นเด็กแบเบาะ, ตั้งแต่เวลาตอนราซซิอะ(razzia – จู่โจม)เมื่อเราบินหนีมายังที่นี่. ข้าได้เห็นสิ่งทั้งหลายมากมายเกี่ยวกับเธอ.”

         เจสสิกาพยักหน้ารับ, รู้สึกถึงความกังวลเริ่มต้นที่จะเติบโตขึ้นในอาเลียข้างกายของเธอ.

         “ท่านรู้ว่าข้าหมายถึงอะไร,” ฮาราห์พูด. “วิธีที่เธอรู้จากในตอนแรกในอะไรที่เรากำลังพูดกับเธอ. เมื่อใดกันที่ได้มีทารกอื่นที่รู้ถึงวินัยของน้ำในตอนเด็กเช่นนี้? อะไรด้วยหรือที่คำแรกของทารกอื่นพูดกับพยาบาลของเธอว่า: “ข้ารักเจ้า, ฮาราห์?”

         ฮาราห์จ้องมองอาเลีย. “ทำไมท่านถึงคิดว่าข้ายอมรับคำเยาะหยันของเธอ? ข้ารู้ว่าไม่ได้มีความมุ่งร้ายในพวกมันนั่นแหละ.”

         อาเลียเงยหน้าขึ้นมองมารดาของเธอ.

         “ใช่, ข้ามีพลังการให้เหตุผล, ท่านแม่อธิการ.” ฮาราห์พูด. “ข้าน่าจะได้เป็นของเสย์ยาดินา. ข้าได้เห็นอะไรที่ข้าได้เห็น.”

         ฮาราห์.....” เจสสิกายักไหล่. “ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้.” และเธอรู้สึกแปลกใจกับตนเอง, เพราะว่าคำวาจานี้เป็นความสัจจริง.

         อาเลียยืดร่างขึ้น, ผึ่งไหล่ของเธอ. เจสสิการู้สึกถึงประสาทสัมผัสว่าการรอคอยนี้ได้จบแล้ว, และอารมณ์ผสมรวมกันของความตัดสินใจและความเศร้า.

         “เราทำผิดพลาด,” อาเลียพูด. “ตอนนี้เราจำเป็นต้องการฮาราห์.”

         “มันเป็นตอนพิธีกรรมของเมล็ดพันธุ์,” ฮาราห์พูด, “เมื่อท่านเปลี่ยนน้ำแห่งชีวิต, แม่อธิการ, เมื่ออาเลียยังไม่กำเนิดภายในคุณ.”

         จำเป็นต้องการฮาราห์? เจสสิกาถามตนเอง.

         “ใครอื่นหรือที่สามารถพูดคุยในหมู่ผู้คนนั้นและทำให้พวกเขาเริ่มต้นที่จะเข้าใจข้า?” อาเลียถาม.

         “อะไรที่เจ้าจะให้เธอทำหรือ?” เจสสิกาถาม.

         “เธอรู้อยู่แล้วว่าอะไรที่จะทำ,” อาเลียพูด.

         “ข้าจะบอกกับพวกเขาถึงความสัจจริง,” ฮาราห์พูด. ใบหน้าของเธอดูเหมือนในทันทีทันใดแก่ชราและเศร้าด้วยผิวสีมะกอกของมันลากดึงไปสู่ขมวดย่นยับ, กลิ่นอายแม่มดในรูปลักษณ์ชัดเฉียบนั้น. “ข้าจะบอกพวกเขาว่าอาเลียเป็นแค่เสแสร้งที่จะเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก, ว่าเธอไม่เคยเป็นเด็กหญิงตัวเล็กเลย.”

         อาเลียส่ายศีรษะของเธอ. น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มของเธอ, และเจสสิกาประสาทสัมผัสรูถึงคลื่นของความเศร้าใจจากธิดาของเธอราวกับว่าอารมณ์นั้นเป็นของเธอเอง.

         “ข้ารู้ว่าข้าเป็นคนประหลาด,” อาเลียกระซิบ. ผลรวมของความเป็นผู้ใหญ่ออกมาจากปากของเด็กเป็นเหมือนการยืนยันอันขมขื่น.

         “เจ้าไม่ใช่คนประหลาด!ฮาราห์ตวัด. “ใครกล้าพูดว่าเจ้าคือคนประหลาดรึ?”

         อีกครั้ง, เจสสิกาตกตะลึงกับคำเน้นอันเดือดดุของความปกป้องในน้ำเสียงของฮาราห์. เจสสิกามองเห็นแล้วว่าอาเลียได้ตัดสินอย่างถูกต้องแล้ว---พวกเขาจำเป็นต้องการฮาราห์. เผ่านี้จะเข้าใจกับฮาราห์---ทั้งคำพูดทั้งหลายของเธอและอารมณ์ทั้งหลายของเธอ---เพราะมันชัดเจนว่าเธอรักอาเลียราวกับว่านี้เป็นลูกของเธฮเอง.

         “ใครพูดมัน?” ฮาราห์ถามซ้ำ.

         “ไม่มีใครพูดหรอก.”

         อาเลียใช้มุมหนึ่งของเจสสิกามาเช็ดน้ำตาจากใบหน้าของเธอ. เธอเช็ดไล้เสื้อคุณที่เธอได้ทำเปียกชื้นและย่นยับกับมัน.

         “งั้นเจ้าก็อย่าพูดมันอีก,” ฮาราห์สั่ง.

         “ค่ะ, ฮาราห์.”

         “ตอนนี้,” ฮาราห์พูด, “เจ้าอาจะบอกกับข้าว่าอะไรที่มันเป็นเหมือนเช่นนั้นที่ข้าอาจบอกกับคนอื่นๆได้. บอกข้าสิว่ามันเป็นอะไรที่ได้บังเกิดขึ้นต่อเจ้า.”

         อาเลียกล้ำกลืน, เงยหน้าขึ้นมองมารดาของเธอ.

         เจสสิกาพยักหน้าให้.

         “วันหนึ่งข้าได้ตื่นขึ้น,” อาเลียพูด. “มันเป็นเหมือนตื่นขึ้นมาจากนอนนอกจากว่าข้าไม่สามารถจดจำได้ว่าได้นอนลับไป. ข้ารู้สึกอุ่น, ที่มืดๆ. และข้าก็หวาดกลัว.”

         การฟังต่อเสียงกึ่ง-เต็มปากของลูกสาวของเธอ, เจสสิกาจำได้ถึงวันนั้นในถ้ำคูหาใหญ่.

         “เมื่อข้าได้หวาดกลัว,” อาเลียพูด. “ข้าได้พยายามที่จะหลบหนี, แต่ไม่มีหนทางที่จะหลบหนี. แล้วข้าก็เห็นประกาย.....แต่มันไม่เหมือนชัดนักกับการมองเห็นมัน. ประกายนั้นแค่อยู่ที่ตรงนั้นและข้ารู้สึกถึงอารมณ์ของประกายนั้น.....กำลังทำให้ข้ากล่อมให้สงบและปลอบโยนข้า, บอกกับข้าวิธีนั้นว่าทุกสิ่งจะไม่เป็นไรเลย. นั่นเป็นมารดาของข้า.”

         ฮาราห์ถูที่ตาของเธอ, ยิ้มใความมั่นใจแก่อาเลีย. กระนั้นก็มีทีท่าของความแตกตื่นในดวงตาของหญิงฟรีเมนนี้, การเอาจริงเอาจังราวกับว่าพวกเขา, ด้วยเช่นกัน, กำลังพยายามที่จะได้ยินคำพูดของอาเลีย.

         และเจสสิกาคิด. เรารู้อะไรจริงๆหรือถึงว่าใครคนหนึ่งจะคิดได้อย่างไรเช่นนี้.....ออกมาจากอันพิเศษเฉพาะของประสบการณ์รับรู้และการฝึกฝนและบรรพบุรุษ?

         “เพียงเมื่อข้ารู้สึกปลอดภัยและวางใจขึ้น,” อาเลียพูด, “ก็มีประกายอีกอันหนึ่งกับเรา.....และทุกอย่างได้กำลังบังเกิดขึ้นในทันที. ประกายอันอื่นเป็นแม่อธิการชรา. เธอได้.....แลกเปลี่ยนชีวิตกับมารดาของข้า.....ทุกอย่าง.....และข้าได้อยู่ที่นั่นกับพวกเขา, มองเห็นทั้งหมด.....ทุกอย่าง. และมันก็จบลง, และข้าอยู่กับพวกเขาและคนอื่นๆทั้งหมดและตัวข้า.....เพียงแต่มันทำข้าให้ใช้เวลานานที่จะหาตัวเองเจออีกครั้ง. มีคนอื่นๆมากมายเหลือเกิน.”

         “มันเป็นสิ่งที่โหดร้าย,” เจสสิกาพูด. “ไม่มีสิ่งชีวิตใดควรจะตื่นเข้าไปในจิตสำนึกเช่นนั้น. ความพิศวงของมันคือเจ้าสามารถยอมรับทั้งหมดทั้งหมดของนั่นที่ได้บังเกิดขึ้นมาต่อเจ้าได้.”

         “ข้าไม่สามารถทำอะไรอื่นใดได้!อาเลียพูด. “ข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรที่จะปฏิเสธรือหลบซ่อนจิตสำนึกของข้า.....หรือปิดมันลงไป.....ทุกอย่างแค่บังเกิดขึ้น.....ทุกอย่าง.....”

         “เราไม่ได้รู้,” ฮาราห์พึมพำ. “เมื่อตอนที่เราให้มารดาของเจ้าด้วยน้ำนั้นเพื่อเปลี่ยน, เราไม่ได้รู้ว่ามีเจ้าอยู่ภายในตัวเธอ.”

         “อย่าโศกเศร้าเกี่ยวกับมันเลย, ฮาราห์.” อาเลียพูด. “ข้าไม่ควรรู้สึกเสียใจกับตัวเอง. ว่าไปแล้ว, มีเหตุให้เกิดสำหรับความสุขที่นี่. ข้าเป็นแม่อธิการ. เผ่ามีสองแม่.....”

         เธอหยุดชงัก, เอียงศีรษะของเธอเพื่อฟัง.

         ฮาราห์โยกกลับไปนั่งบนส้นเท้าของเธอกับหมอน, จ้องที่อาเลีย, นำความสนใจนั้นของเธอข้นไปยังใบหน้าของเจสสิกา.

         “เจ้าสงสัยอะไรรึ?” เจสสิกาถาม.

         “ช่-ช่-ชู่ห์,” อาเลียบอก.

         จังหวะการสวดมนตร์ไกลออกไปมาถึงพวกเขาผ่านม่านแขวนที่แยกพวกเขาออกจากระเบียงทางเดินของสิฐ. มันเริ่มดังขึ้น, นำมาด้วยเสียงทั้งหลายที่ชัดเจนในตอนนี้:ย่า! ย่า! ย่าวน์! ย่า! ย่า! ย่าวน์! มู เซอิน, วัลวาห์! ย่า! ย่า! ย่าวน์! มู เซอิน, วัลวาห์!

         เหล่าผู้สวดนั้นผ่านทางเข้าด้านนอก, และเสียงของพวกเขาระเบิดบูมผ่านเข้ามายังด้านในของห้องพักทั้งหลาย. อย่างช้าๆเสียงนั้นก็ลดถอยลง.

         เมื่อเสียงได้หร่เลือนอย่างพอเพียงแล้ว, เจสสิกาเริ่มต้นพิธีกรรม, ความเศร้าอยู่ในน้ำเสียงของเธอ: เป็น รามาธานและเอพริลของเบลา เทจียูส.”

         “ครอบครัวของข้านั่งในลานสระของพวกเขา,” ฮาราห์พูด, “ในอาบน้ำกลางแจ้งด้วยความชื้นที่ฟุ้งขึ้นมาจากละออกของน้ำพุ. มีปอร์ตีกุล(portyguls – ส้มปอร์ตุเกศ)ต้นหนึ่ง, กลมและเข้มลึกในสีสัน, อยู่ใกล้มือ. มีตะกร้าใส่มิช มิช(mish mish)และบาคลาวา(baklawa)และเหยือกของลิบาน(liban)---รูปแบบของสิ่งดีๆทั้งหลายที่จะกิน. ในสวนทั้งหลายของเราและฝูงสัตว์, มีสันติ.....สันติอยู่ในทั้งหมดของดินแดน.”

         “ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความสุขจนกระทั่งการถูกโจมตีมาถึง,” อาเลียพูด.

         “เลือดไหลเย็นเยียบที่การกรีดร้องของเพื่อนทั้งหลาย,” เจสสิกาพูด. และเธอรู้สึกถึงความทรงจำทั้งหลายเร่งผ่านเธอออกมาจากบรรดาอดีตอื่นทั้งหมดเหล่านั้นที่เธอได้แบ่งปัน.

         “ลา ลา ลา, ผู้หญิงได้ร่ำร้อง.” ฮาราห์พูด.

         “ผู้จู่โจมเข้ามาผ่านมุชตามาล(mushtamal* - สวนพักผ่อนเปิดโล่ง), ตรงเข้ามาหาเราด้วยมีดของพวกมันจุ่มแดงหยดจากชีวิตทั้งหลายของผู้ชายของเรา,” เจสสิกาพูด.

         ความเงียบมาครอบคลุมเหนือทั้งสามของพวกเขาเช่นเดียวกับในทั้งหมดของห้องพักของสิฐคาม, ความเงียบขณะที่พวกเขาจดจำและเก็บความโศกเศร้าของพวกเขาไว้ในเลือดเนื้อ.

         ทันทีนั้น, ฮาราห์พึมพำท่อนสุดท้ายของสวดให้กับพิธีกรรมนั้น, ให้คำทั้งหลายในเสียงแหบพร่าที่เจสสิกาไม่เคยได้ยินมาก่อนในพวกเขา.

         “เราจะไม่มีวันให้อภัยและเราจะไม่มีวันลืม,” ฮาราห์พูด.

         ในความครุ่นคิดอย่างเงียบงันที่ติดตามคำพูดของเธอมานั้น, พวกเขาได้ยินเสียงพึมพัมหนึ่งของผู้คน, เสียงเฟี๊ยว๊าวของเสื้อคลุมมากมาย. เจสสิการู้สึกสัมผัสได้ถึงบางคนกำลังยืนข้นโพ้นเลยจากม่านบังที่เป็นโล่ห์กั้นห้องโถงของเธอ.

         ท่านแม่อธิการ?”

         เสียงของหญิงหนึ่ง, และเจสสิกาจำมันได้: เสียงของธาร์ธาร์, หนึ่งในภรรยาของสติลจาร์.

         “มีอะไรหรือ, ธาร์ธาร์?”

         “มีเรื่องแล้ว, แม่อธิการ.”

         เจสสิการู้สึกมีการหดตัวที่หัวใจของเธอ, ความหวาดกลัวฉับพลันถึงพอล. “พอล.....” เธอสะอึกหายใจ.

         ธาร์ธาร์เปิดม่านบังออกกว้าง, ก้าวเข้ามาในห้องโถง. เจสสิกาแวบเห็นผู้คนเบียดเสียดกันในห้องด้านนอกก่อนที่ม่านเหล่านั้นจะร่วงลง. เธอเงยขึ้นมองธาร์ธาร์---หญิงร่างเล็ก, ผิวคล้ำในชุดคลุมเหลือบแดงขอสีดำ, ดวงตาสีฟ้าทั้งหมดล้วนของเธอวิ่งมาจับอยู่ที่เจสสิกา, ช่องหายใจของจมูกเล็กนิดของเธอพองออกเผยให้เห็นรอยแผลเป็นจากที่อุด.

         “มีอะไรรึ?” เจสสิกาถามบัญชา.

         “มีคำบอกมาจากทะเลทราย,” ธาร์ธาร์พูด. “อูซุลพบกับผู้สร้างกับการทดสอบของเขา.....มันเป็นวันนี้. พวกคนหนุ่มบอกว่าเขาไม่สามารถล้มเหลวได้, เขาจะเป็นผู้ขี่ทะเลทรายในตอนราตรีนี้. พวกคนหนุ่มเป็นคณะสำหรับการบุกสังหารราซเซีย(razzia). พวกเขาจะบุกโมตีในทางตอนเหนือแล้วพบกับอูซุลที่นั่น. พวกเขาบอกว่าพวกเขาส่งเสียงร้องไห้ในตอนนั้น. พวกเขาบอกว่าพวกเขาจะบีบบังคับให้อูซุลท้าประลองกับสติลจาร์และเข้าครองอำนาตจบัญชาการของเผ่าทั้งหลาย.”

         รวบรวมน้ำ, เพาะปลูกนูนเนินทรายทั้งหลาย, เปลี่ยนแปลงโลกของพวกเขาอย่างช้าๆแต่อย่างแน่นอน---เหล่านี้ไม่เป็นการเพียงพออีกต่อไปแล้ว, เจสสิกาคิด. การโจมตีเล็กๆน้อยๆ, การโจมตีอย่างเหมาะสม---เหล่านี้ไม่เพียงพออีกต่อไปแล้วในตอนนี้ที่พอลและข้าได้ฝกฝนพวกเขามา. พวกเขารู้สึกถึงพลังของพวกตน. พวกเขาต้องการที่จะต่อสู้.    

         ธาร์ธาร์โยกจากเท้าหนึ่งไปยังอีกเท้าหนึ่ง, กระแอมคอของเธอโล่ง.

         เรารู้ถึงความจำเป็นที่ต้องระวังอันตรายที่รออยู่, เจสสิกาคิด. แต่ก็มีแกนของความอัดอั้นตันใจของพวกเรา. เรารู้ด้วยเช่กันว่าการบาดเจ็บที่รอคอยอยู่ได้แผ่ขยายมานานสามารถทำอะไรต่อเราได้. เราสูญเสียสำนึกทั้งหลายของเจตจำนงไปถ้าเรารอคอยกันนานเกินไป.

         “พวกทหารหนุ่มบอกว่าถ้าอูซุลไม่ท้าเรียกสติลจาร์ออกมาประอง, แล้วเขาก็จะต้องเป็นหวาดกลัว,”ธาร์ธาร์พูด.

         เธอลดการจ้อมองของเธอลง.

         “แล้วนั่นคือหนทางของมันสินะ,” เจสสิกาพึมพำ. เธอคิด: ข้ามองเห็นมันกำลังมาอย่างดี. เช่นเดียวกับสติลจาร์.

         อีกครั้ง,ธาร์ธาร์กระแอมในลำคอของเธอ. “กระทั่งน้องชายของข้า, โชอาห์, ก็พูดมัน,” เธอพูด. “พวกเขาจะทิ้งอูซุลให้ไม่มีทางเลือก.”

         งั้นมันก็ได้มาถึงแล้ว, เจสสิกาคิด. และพอลก็จะต้องจัดการมันด้วยตนเอง. แม่อธิการไม่อากล้ากลายเป็นไปเกี่ยวข้องในความสำเร็จนั้น.

         อาเลียปล่อยมือของเธอจากมือของมารดา, พูด: “ข้าจะไปกับธาร์ธาร์และฟังพวกทหารหนุ่มนั้น. บางทียังมีหนทางอยู่.”

         เจสสิกาสบสายตาที่จ้องมาของธาร์ธาร์, แต่พูดกับอาเลีย: “ไป, สิงั้น. และรายงานกับข้าในทันทีที่เจ้าสามารถทำได้.”

         “เราไม่ได้ต้องการสิ่งนี้ที่จะบังเกิด. ท่านแม่อธิการ,” ธาร์ธาร์พูด.

         “เราม่ได้ต้องการมัน,” เจสสิกาเห็นด้วย. “เผ่านี้ต้องการทั้งหมดของมันในพละกำลัง.” เธอเหลือบมองยังฮาราห์. “เจ้าจะไปกับพวกเขาด้วยได้ไหม?”

         ฮาราห์ตอบในส่วนของคำถามที่ไม่ได้พูดออกมา:ธาร์ธาร์จะไม่ยอมให้การทำร้ายใดที่จะตกมาสู่อาเลีย. เธอรู้ว่าเราจะเป็นภรรยาทั้งหลายด้วยกันในไม่ช้านี้, เธอและข้า, ที่จะแบ่งปันชายเดียวกัน. เราได้พูดคุยกันแล้ว. ธาร์ธาร์กับข้า.” ฮาราห์เงยขึ้นมองธาร์ธาร์, กลับมาที่เจสสิกา. “เรามีความเข้าใจกัน.”

         ธาร์ธาร์ยื่นมือของเธอมายังอาเลีย, พูด: “ดราต้องรีบแล้ว. พวกทหารหนุ่มกำลังออกไป.”

         พวกเขาดันผ่านม่านแขวนบังทั้งหลาย, มือของเด็กน้อยอยู่ในมือเล็กของหญิงนั้น, แต่เด็กน้อยดูเหมือนจะเป็นผู้จูงนำไป.

         “ถ้าพอล มวดดิบสังหารสติลจาร์, เรื่องนี้จะไม่เป็นผลดีต่อเผ่า,” ฮาราห์พูด. “มาก่อนเสมอ, มันได้เป็นวิถีของความสำเร็จ, แต่เวลาทั้งหลายได้เปลี่ยนไปแล้ว.”

         “เวลาทั้งหลายได้เปลี่ยนไปสำหรับเจ้า, ด้วยเช่นกัน,” เจสสิกาพูด.

         “ท่านไม่สามารถคิดว่าข้ากังขาใจในผลลัพธ์ของการยุทธเยี่ยงนั้น,” ฮาราห์พูด. “อูซุลสามารถเป็นอื่นไม่ได้นอกจากชนะ.”

         “นั่นคือที่ข้าหมายถึง,” เจสสิกาพูด.

         “และท่านคิดว่าความรู้สึกส่วนตัวของข้าเข้ามาในคำตัดสินของข้า,” ฮาราห์พูด. เธอส่ายศีรษะของเธอ, แหวนนับน้ำสั่นกรุ๊งกริ๊งที่ลำคอของเธอ. “ท่านช่างผิดเสียนี่กระไร. บางทีท่านคิด, เช่นกัน, ว่าข้าผิดหวังที่ไม่ได้ถูกเลือกของอูซุล, ว่าข้านั้นอิจฉาชานิ.”

         “เจ้าทำการเลือกของตนเองดังที่เจ้าสามารถทำได้,” เจสสิกาพูด.

         “ข้าสงสารชานิ,” ฮาราห์พูด.

         เจสสิกาตัวแข็งทื่อ. “เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน?”

         “ข้ารู้ว่าท่านคิดเช่นไรกับชานิ,” ฮาราห์พูด. “ท่านคิดว่าเธอไม่ใช่ภรรยาสำหรับบุตรชายของท่าน.”

         เจสสิกาเอนหลังกลับ, ผ่อนคลายอยู่บนหมอนของเธอ. เธอยักไหล่. “บางทีนะ.”

         “ท่านน่าจะถูกต้องแล้ว,” ฮาราห์พูด. “ถ้าท่านเป็น, ท่านอาจพบการผูกพันเหมือนกันอันน่าแปลกใจ---ชานิเอง. เธอต้องการอะไรก็ตามที่ดีที่สุดเพื่อเขา.”

         เจสสิกากลืนกินอดีตที่แน่นตึงทันใดขึ้นมาในลำคอของเธอ. “ชานิเป็นที่รักสำหรับข้า,” เธอพูด. “เธอไม่สามารถเป็นอะไรอื่น---”

         “พรมทั้งหลายของท่านสกปรกมากในที่นี้,” ฮาราห์พูด. เธอกวาดสายตาของเอไล่ไปรอบห้อง, หลีกหลบดวงตาของเจสสิกา. “มีผู้คนมากมายเกินไปที่ย่ำผ่านเข้ามาที่นี่ตลอดเวลา. ท่านควรจะให้มันถูกทำความสะอาดบ่อยมากขึ้น.”

 

 

                เจ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปฏิบัติต่อกันทางการเมืองทั้งหลายภายในลัทธิศาสน์ดั้งเดิม. พลังอำนาจนี้ดิ้นรนต่อสู้ซึมซาบกระทบการฝึกฝน, การศึกษาและการวินัยแห่งชุมชมตามจารีตดั้งเดิม. เพราะแรงกดดันนี้, ผู้นำทั้งหลายของชุมชนเยี่ยงนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเผชิญหน้าซึ่งคำถามถึงที่สุดในเรื่องกิจการภายใน: ที่จะจำนนต่อความคิดของการฉวยโอกาสอย่างสมบูรณ์สิ้นขณะที่ราคาของการดำรงอยู่ในกฏเกณฑ์ของพวกเขา, หรือการเสี่ยงที่จะสักการะตัวพวกเขาเองเพื่อให้แก่จริยะตามจารีตดั้งเดิมนั้น.

---จาก “มวดดิบ ประเด็นทางศาสนา” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น