เจ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปฏิบัติต่อกันทางการเมืองทั้งหลายภายในลัทธิศาสน์ดั้งเดิม.
พลังอำนาจนี้ดิ้นรนต่อสู้ซึมซาบกระทบการฝึกฝน,
การศึกษาและการวินัยแห่งชุมชมตามจารีตดั้งเดิม. เพราะแรงกดดันนี้,
ผู้นำทั้งหลายของชุมชนเยี่ยงนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเผชิญหน้าซึ่งคำถามถึงที่สุดในเรื่องกิจการภายใน: ที่จะจำนนต่อความคิดของการฉวยโอกาสอย่างสมบูรณ์สิ้นขณะที่ราคาของการดำรงอยู่ในกฏเกณฑ์ของพวกเขา,
หรือการเสี่ยงที่จะสักการะตัวพวกเขาเองเพื่อให้แก่จริยะตามจารีตดั้งเดิมนั้น.
---จาก
“มวด’ดิบ ประเด็นทางศาสนา” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน
พอลรอคอยบนทะเลทรายด้านนอกเส้นทางการเข้ามาหาของผู้สร้างยักษ์ใหญ่มหึมา.
ข้าต้องไม่รอคอยเหมือนนักลักลอบค้าของเถื่อน---ไร้ความอดทนและกระวนกระวาย, เขาเตือนตนเอง.
ข้าต้องเป็นส่วนหนึ่งของทะเลทราย.
สิ่งนั้นเป็นเพียงไม่กี่นาทีก็จากไปแล้วในตอนนี้,
เติมเต็มยามเช้าด้วยเสียงเสียดสีซี่ดๆของเส้นทางมาของมัน.
ฟันมหึมาภายในคูหาวงกลมปากของมันที่แผ่ออกเหมือนดอกไม้ใหญ่ยักษ์.
กลิ่นเครื่องเทศจากตัวมันฟุ้งคลุ้งคลุมไปในอากาศ.
สติลล์สูทของพอลลอยแน่นขึ้นอย่างง่ายดายกับร่างของเขาและเขารู้สึกตื่นรู้ห่างไกลได้แต่เพียงที่อุดจมูก,
หน้ากากหายใจ. คำสอนของสติลจาร์,
ชั่วโมงของการเพียรพยายามบากบั่นทั้งหลายบนทะเลทราย,
บดบังทอดเงาอยู่เหนือใดอื่นทั้งหมด.
“ไกลข้างนอกรัศมีของผู้สร้างที่เจ้าต้องยืนในเม็ดทรายหรือ?”
สติลจาร์ถามเขา.
และเขาได้ตอบอย่างถูกต้อง:
“ครึ่งเมตรสำหรับทุกเมตรของเส้นผ่าศูนย์กลางผู้สร้าง.”
“ทำไม?”
“เพื่อหลีกเลี่ยงกระแสวนดูดของทรายในเส้นทางของมันและยังคงมีเวลาที่จะวิ่งเข้าไปหาและเกาะติดมัน.”
“เจ้าได้ขึ้นขี่รายเล็กๆที่เพิ่งให้กำเนิดต่อเมล็ดพันธุ์และน้ำแห่งชีวิต,”
สติลจาร์ได้พูด. “แต่อะไรที่เจ้าจะถูกเรียกมาหาในการทดสอบของเจ้าคือผู้สร้างซึ่งดุร้ายป่าเถื่อน,
ผู้เฒ่าแห่งทะเลทราย. เจ้าต้องให้ความเคารพอย่างถูกต้องรายสิ่งเช่นนั้น.”
ตอนนี้เสียงตบพื้นลึกๆผสมปนเข้ากับเสียงซี่ดๆของการเข้ามาหาของหนอนนั้น.
พอลสูดหายใจลึก, ได้กลิ่นความขื่นของแร่ธาตุของทรายผ่านทะลุเข้ามาแม้เครื่องกรองที่จมูกของเขา.
ผู้สร้างอันป่าเถื่อนดุร้าย, ผู้เฒ่าแห่งทะเลทราย,
ปรากฏใกล้เข้ามาเกือบอยู่บนเขา.
หงอนส่วนหัวตอนหน้าของมันเหวี่ยงคลื่นทรายที่จะน่ากวาดข้ามหัวเข่าของเขา.
เข้ามาเลย, เจ้าสัตว์ร้ายที่น่ารัก,
เขาคิด. ขึ้นมา. เจ้าได้ยินที่ข้าเรียกหา. เข้ามาเลย. เข้ามเลย.
คลื่นนั้นยกเท้าของเขาขึ้น.
ฝุ่นธุลีผิวหน้ากวาดข้ามผ่านร่างของเขา. เขากยัดตัวเองให้มั่น,
โลกของเขาถูกครอบคลุมโดยเส้นทางนั้นของกำแพงโค้งเมฆทราย, หน้าผาของท่อนตัวนั่น,
ปล้องวงแหวนเป็นเส้นร่องชัดเจนอยู่ในมัน.
พอลยกตะขอปฏักของเขา, เล็งไปตามพวกมัน,
เอนเข้าไป. เขารู้ว่าพวกมันงับติดและดึง. เขากระโจนขึ้นไป,
ฝังเท้าของเขาลงเข้ากับกำแพงนั้น, เอนร่างออกเข้าหากับเงี่ยงที่เกาะติดอยู่, นี่เป็นชั่วขณะแท้จริงเป็นตายของการทดสอบ: ถ้าเขาได้ฝังตะขอคู่นี้อย่างถูกต้องที่ริมขอบนำของส่วนปล้องวงแหวน,
เปิดส่วนปล้องนี้ออก, หนอนนี้ก็จะไม่กลิ้งลงและบดขยี้เขา.
หนอนนั้นช้าลง. มันไถลข้ามเครื่องตบพื้น,
ปิดเงียบมัน. อย่างช้าๆ, มันเริ่มม้วนตัว---ขึ้น, ขึ้น---นำเอารอยเปิดจากตะขอติดเงี่ยงอยู่นั้นสูงขึ้นไปเท่าที่จะเป็นไปได้,
หนีออกจากเม็ดทรายที่เสียดทิ่มแทงผิวนุ่มข้างในบดเบียดกันอยู่ของส่วนปล้องนั้น.
พอลพบตัวเองกำลังขี่ตั้งตัวขึ้นเหนือบนตัวของหนอนนี้.
เขารู้สึกปีติยินดี, เหมือนจักรพรรดิผู้กำลังสำรวจพิเคราะห์โลกของเขา. เขาหยุดยั้งแรงกระตุ้นอยากทันทีทันใดในการที่จะทำโอ่อ่าผ่าเผยตรงนั้น,
ที่จะหันเลี้ยวหนอน, เพื่อแสดงอวดความเป็นนายเหนือเจ้าสัตว์นี้.
ทันทีนั้นเขาก็เข้าใจได้ว่าทำไมสติลจาร์ได้เตือนเขาในทันทีเกี่ยวกับเด็กหนุ่มผู้สะเพร่าผู้เต้นแร้งเต้นกาและล้อเล่นกับเจ้าสัตว์ร้ายเหล่านี้,
ทำยืนกลับหัวด้วยมือบนหลังของพวกมัน, โยกตะขอออกและ สับลงไปใหม่ก่อนที่หนอนจะสะบัดพวกเขาหล่น.
ทิ้งตะขอไว้อันหนึ่งในที่นั้น, พอลดงตะขออีกอันหนึ่งออกมาและฝังมันลงไปที่ด้านข้างลำตัว.
เมื่อตะขออันที่สองได้ติดแน่นและได้ทดสอบดูแล้ว, เขาก็นำอีกอันหนึ่งลงตามมากบอันแรก,
การทำเช่นนี้พาตัวเขาลงมาตามด้านข้าง. ผู้สร้างพลิกม้วนตัว,
และขณะที่มันม้วนตัว, มันก็หัน,
ตีวงเลี้ยวกวาดฝุ่นแป้งทรายคลุ้งไปในที่คนอื่นๆซึ่งกำลังรออยู่.
พอลเห็นพวกเขาขึ้นมา,
ใช้ตะขอของพวกเขาในการปีนไต่, แต่ลีกเลี่ยงจุดประสาทสัมผัสละเอียดอ่อนที่ขอบวงปล้องจนกระทั่งพวกเขาได้ขึ้นมาอยู่บนสุด.
พวกเขาได้ขึ้นขี่ในที่สุดในแถวสามตอนด้านหลังของเขา, มั่นคงอยู่ด้วยตะขอของตนเอง.
สติลจาร์เคลื่อนขึ้นมาผ่านลำดับแถวนั้น,
ตรวจดูตำแหน่งตะขอของพอล, ชำเลืองมองขึ้นมาหาพอลด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม.
“เจ้าทำมันได้, เอ๋?” สติลจาร์ถาม,
ขึ้นเสียงของเขาให้ดังผ่านเสียงซี่ดๆเสียดสีของทรายของเสร้นทางพวกเขา.
“นั่นคืออะไรที่เจ้าคิด? เข้าทำมันได้?” เขาหยียดร่างขึ้น.
“ทีนี้ข้าบอกกับเจ้าว่านั่นเป็นงานที่สะเพร่า. เรามีเด็กอายุสิบสองขวบที่ทำได้ดีกว่านี้.
มีกลองทรายอยู่ที่ด้านซ้ายของเจ้าในที่ที่เจ้ายืนรออยู่.
เจ้าไม่ควรถอยไปที่นั่นถ้าหนอนเลี้ยวไปทางนั้น.”
รอยยิ้มเลื่อนออกยไปจากใบหน้าของพอล.
“ข้าเห็นกลองทรายตรงนั้น.”
“แล้วทำไมเจ้าไม่ส่งสัญญาณไปให้หนึ่งในพวกเราให้ขึ้นไปตำแหน่งนั้นที่สองต่อจากเจ้า?
มันเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้แม้ในการทดสอบ.”
พอลกลืนน้ำลาย, กันหน้าเข้าหาสายลมของเส้นทางพวกเขา.
“เจ้าคิดว่านี่เป็นสิ่งเลวของข้าที่พูดเรื่องนี้ในตอนนี้,”
สติลจาร์พูด. “มันเป็นหน้าที่ของข้า. ข้าคิดถึงคุณค่าของเจ้าที่มีต่อกองทหาร.
ถ้าเจ้าได้ล้มกลิ้งลงไปในกลองทรายนั้น, ผู้สร้างก็จะตรงเข้ามาหาเจ้า.”
แทนที่จากแรงกระตุ้นของโทสะ, พอลรู้ว่าสติลจาร์พูดความสัจจริง.
มันใช้เวลานานนาทีและด้วยแรงพยายามเต็มที่ของการฝึกฝนมาที่เขาได้รับจากมารดาของเขาสำหรับพอลที่จะหวนจับอารมณ์สสงบใจลงได้.
“ข้าขออภัย,” เขาพูด, “มันจะไม่บังเกิดขึ้นอีก.”
“ในตำแหน่งรัดแน่น,
ต้องปล่อยตนเองให้มีทางเลือกที่สองเสมอ, บางคนที่สามารถจัดการผู้สร้างได้เมื่อเจ้าไม่สามารถทำ,”
สติลจาร์พูด. “จำไว้ว่าเราทงานร่วมกันอยู่. วิธีนั้น, เราเป็นที่แน่ชัด.
เราทำงานด้วยกัน, เอ๋?”
เขาตบบ่าของพอล.
“เราทำงานด้วยกัน,” พอลยอมรับ.
“ตอนนี้,” สติลจาร์พูด,
และเสียงของเขาแหบพร่า, “แสดงให้ข้าเห็นว่าเจ้ารู้ในการบังคับผู้สร้างอย่างไรสิ.
เราอยู่ด้านไหนในตอนนี้?”
พอลชำเลืองลงไปวัดสัดส่วนวงที่ผิวปล้องบนที่พวกเขายืนอยู่,
สังเกตเห็นลักษณะและขนาดของสัดส่วนนั้น,วิธีที่มันได้เติบโตใหญ่ขึ้นกว่าทางด้านขวามือของเขา,
เล็กกว่าทางด้านซ้ายมือของเขา. หนอนทุกตัว, เขารู้,
จะเคลื่อนอย่างเป็นลักษณะชัดเจนด้วยด้านหนึ่งยกขึ้นอย่างถี่ๆมากกว่า.
ขณะที่มันเติบโตแก่ขึ้น, คุณลักษณะยก-ข้างขึ้นนี้จะกลายเป็นเกือบสิ่งคงที่.
สัดส่วนตอนล่างเติบโตใหญ่ขึ้นกว่า, หนักขึ้นยิ่งกว่า, เรียบเนียนกว่า.
สัดส่วนตอนบนสามารถถูกบอกได้โดยขนาดเพียงอย่างเดียวบนหนอนใหญ่.
ยกตะขอของเขาขึ้น, พอลเคลื่อนไปทางด้านซ้ายมือ.
เขาทำท่าให้แนวขนาบข้างทั้งหลายลงไปเพื่อเปิดส่วนปล่องทั้งหลายไปตามด้านข้างและคอยให้หนอนตั้งลำตรงเส้นทางขณะที่มันม้วนเลี้ยวตัว.
เมื่อเขาได้ทำให้มันหันแล้ว, เขาทำท่าให้สองคนคัดท้ายออกมาจากแถวและเข้าในตำแหน่งข้างหน้า.
“อ๊าค, ฮาอีอีอีอี-โย่ห์!” เขาตะโกนเรียไปตามแบบจารีตประเพณี.
คนคัดท้ายด้านข้างเปิดส่วนวงปล้องตรงนั้นออก.
ในการตีวงเลี้ยวอย่างสง่าผึ่งผาย,
ผู้สร้างนั้นหันกลับเพื่อปกป้องส่วนช่องเปิดของมัน.
เต็มวงมาและเมื่อมันกันหัวกลับไปทางทิศใต้, พอลตะโกน: “จียราต!”
คนคัดท้ายปล่อยตะขอของตน. ผู้สร้างก็ตั้งตัวเป็นแนวตรงไปกับเส้นทาง.
สติลจาร์พูด: “ดีมาก. พอล
มวด’ดิบ.
ด้วยเต็มมากล้นของการฝึกปฏิบัติ, เจ้าก็อาจกระนั้นกลายเนนักขี่ทะเลทราย.”
พอลขมวดคิ้ว, คิด: ข้าไม่ได้ขึ้นมาเป็นคนแรกรึ?
จากด้านหลังของเขามีเสียงหัวเราะดังมาทันที.
กองทหารเริ่มต้นท่องบทสวด, โยนชื่อของเขาเข้าใส่ท้องฟ้า.
“มวด’ดิบ! มวด’ดิบ! มวด’ดิบ! มวด’ดิบ!”
และไกลสู่ด้านหลังลงไปตามผิวบนลังของหนอนนั้น,
พอลได้ยินเสียงฟาดตีของปฏักกระทบส่วนของปล้องหางทั้งหลาย.
หนอนนั้นเริ่มเร่งความเร็วขึ้น. เสื้อคลุมของพวกเขาสะบัดกระพือในสายลม.
เสียงขัดสีของร่องทางพวกเขาเพิ่มดังขึ้น.
พอลมองกลับหลังผ่านกองทหารไป,
พบใบหน้าของชานิอยู่ในท่ามกลางพวกนั้น. เขามองที่เธอขณะที่พูดกับสติลจาร์.
“แล้วข้าก็คือนักขี่ทะเลทรายไหม, สติล?”
“ฮัล ยอว์น!
เจ้าเป็นนักขี่ทะเลทรายแล้วในวันนี้.”
“งั้นข้าอาจเลือกจุมายทั้งหลายของเราได้สินะ.”
“นั่นเป็นสิถีของมัน.”
“และข้าก็เป็นกำเนิดซึ่งฟรีเมนแล้วในวันนี้ที่นี่ในชายขอบแฮ็บบานยะ.
ข้าได้ไม่ได้มีชีวิตก่อนวันนี้อีก. ข้าคือเช่นเด็กผู้หนึ่งจนกระทั่งวันนี้.”
“ไม่เชิงเป็นเด็กนัก,” สติลจาร์พูด.
เขารัดแน่นมุมหนึ่งของหมวกคลุมศีรษะที่ลมได้กระชากมัน.
“แต่ได้มีจุกอุดผนึกปิดกั้นโลกขิงข้า,
และจุกอุดนั้นได้ถูกดึงออกแล้ว.”
“ไม่มีจุกอุด.”
“ข้าจะไปทางตอนใต้, สติลจาร์---ยี่สิบเครื่องตบพื้น.
ข้าจะมองดวงดูดินแดนที่เราสร้าง,
ดินแดนนี้ที่ข้าได้แต่เพียงมองผ่านดวงตาทั้งหลายของผู้อื่น.”
และข้าจะได้เห็นบุตรชายของข้าและครอบครัวของข้า,
เขาคิด. ข้าจำเป็นต้องการเวลาในตอนนี้ที่จะพิจารณาตัดสินใจอนาคตที่ซึ่งข้าสามารถแก้ปลดมันออก,
สิ่งที่จะวิ่งไปอย่างป่าเถื่อนคลั่ง.
สติลจาร์มองดูเขาอย่างนิ่งแน่ว,
กวาดสายตาอย่างตรวจวัด. พอลยังคงให้ความสนใจของเขาอยู่กับชานิ,
มองเห็นความสนใจปรากฏขึ้นอย่างรวเร็วบนใบหน้าของเธอ,
สังเกตเห็นด้วยเช่นกันถึงความตื่นเต้นที่คำพูดของเขาได้ปลุกเร้ากระตุ้นในหมู่ทหาร.
“พวกทหารนั้นต่างกระหายที่จะบุกโจมตีกับเจ้าในแอ่งอ่างของฮาร์คอนเนนทั้งหลาย.”
สติลจาร์พูด. “แอ่งอ่างทั้งหลายอยู่เพียงหนึ่งเครื่องตบพื้นไปเท่านั้น.”
“ฟีเดย์คินได้บุกโจมตีกับข้า,” พอลพูด.
“พวกเขาจะโมตีกับข้าอีกจนกว่าจะไม่มีฮาร์คอนเนนายใจอากาศของอาร์ราคิส.”
สติลจาร์ศึกษาเขาขณะที่พวกเขาขี่ไป,
และพอลตระหนักได้ว่าชายผู้นี้ได้มองเห็นชั่วขณะผ่านความทรงจำของการที่เขาได้ทำอย่างไรในการลุกขึ้นบัญชาการแห่งสิฐคามทับร์และต่อการเป็นผู้นำแห่งสภาแห่งผู้นำในตอนนี้ที่เลียต-คายนิ์สได้ตายลง.
เขาได้ยินรายงานทั้งหลายของความไม่สงบในหมู่พวกฟรีเมนหนุ่ม,
พอลคิด.
“เจ้าปรารถนาจะการประชุมของผู้นำทั้งหลายหรือ?”
สติลจาร์ถาม.
ดวงตาทั้งหลายพลุ่งโชนในทหารหนุ่มของกองกำลังนั้น.
พวกเขาแกว่งโยนขณะที่ขี่, และพวกเขาเฝ้ามองอยู่. และพอลเห็นท่าทางของความกังวลใจในการองของชานิ,
วิธีที่เธอมองจากสติลจาร์, ผู้เป็นลุงของเธอ, ไปยังพอล-มวด’ดิบ, ผู้เป็นคู่ครองของเธอ.
“ท่านไม่สามารถคาดเดาได้ในอะไรที่ข้าต้องการ,”
พอลพูด.
และเขาคิด: ข้าม่สามารถถอยกลับได้. ข้าต้องกุมการควบคุมเหนือผู้คนเหล่านี้.
“เจ้าคือมูดีร์แงการขี่ทะเลทรายในวันนี้,”
สติลจาร์พูด. เย็นชาอย่างเป็นทางการกังวานในน้ำเสียงของเขา:
“เจ้าจะใช้อำนาจนี้ของอย่างไรล่ะ?”
“เราจะไปทางตอนใต้,” พอลพูด.
“แม้ว่าข้าจะพูดว่าเราจะหันกลับไปทางเหนือเมื่อวันนี้จบลงแล้วหรือ?”
“เราจะไปทางตอนใต้,” พอลพูดซ้ำ.
สัมผัสรูของศักดิ์ศรีที่ไม่อาจเลี่ยงหนีได้ห่อหุ้มสติลจาร์ขณะที่เขาดึงเสื้อคลุมของเขารัดแน่นเข้ากับตัว.
“จะมีการประชุมกัน.” เขาพูด. “ข้าจะส่งข่าวไป.”
เขาคิดว่าข้าจะท้าเรียกเขาออกมาประลอง,
พอลคิด. และเขารู้ว่าเขาไม่สามารถยืนขวางข้าได้.
พอลหันน้าไปทางทิศใต้,
รู้สึกถึงสายลมปะทะแก้มที่เปิดเผยอยู่ของเขา,
คิดถึงความจำเป็นทั้งหลายที่ไปในการตัดสินใจทั้งหลายของเขา.
พวกเขาไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างร,
เขาคิด.
แต่เขารู้ว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้ความคิดเห็นใจผู้อื่นใดนั้นมาลดทอนกระทบต่อเขา.
เขาต้องคงไว้ต่อเส้นตรงกลางแห่งพายุกาลเวลาที่เขาสามารถมองเห็นมันในอนาคต.
จะมีมาในฉับพลันเมื่อมันสามารถถูกปลดปล่อย,
แต่มีเพียงถ้าเขาอยู่ในที่ซึ่งเขาสามารถตัดปมตรงกลางของมันได้เท่านั้น.
ข้าจะไม่เรียกท้าเขาออกมาถ้ามันสามารถเป็นการช่วยได้,
เขาคิด. ถ้ามีหนทางอื่นอีกที่จะป้องกันจีฮาดได้.....
“เราจะตั้งค่ายพักในตอนอาหารมื้อเย็นและสวดอ้อนวอนที่ถ้ำของนกที่อยู่ใต้สัน
แฮ็บบันยะ,” สติลจาร์พูด. เขากยัดตัวไว้ด้วยตะขอหนึ่งกับผู้สร้างที่แกว่งไกวไปมา,
ชี้ไปทางข้างหน้าที่แนวก้อนหินกั้นเตี้ยซึ่งผุดขึ้นมาจากทะเลทราย.
พอลศึกษาหน้าผานั้น, มีแนวร่องริ้วทั้งหลายมหึมาของก้อนหินตัดพาดผ่านมันเหมือนคลื่น.
ไม่มีสีเขียว, ไม่มีไม้ดอกผลิบานอันนุ่มนวลที่เส้นขอบฟ้าอันแข็งกระด้างนั้น.
โพ้นเลยมันไปยืดเหยียดออกไปเป็นทางสู่ทะเลทรายตอนใต้---เส้นทางของอย่างน้อยที่สุดสิบวันและคืน,
เร็วเท่าที่พวกเขาจะควบเร่งผู้สร้างทั้งหลายได้.
ยี่สิบเครื่องตบพื้น.
หนทางนำไปไกลโพ้นเลยกองกำลังลาดตระเวนทั้งหลายของฮาร์คอนเนน.
เขารู้ดีว่ามันเป็นจะอย่างไร. ความฝันทั้งหลายได้แสดงต่อเขาไปแล้ว. หนึ่งวัน,
ขณะที่พวกเขาไปได้มีความเปลี่ยนแปลงจางๆของสีบนเส้นขอบฟ้า---เปลี่ยนแปลงที่สุดบางเบาซึ่งเขาอาจรู้สึกว่าเขาจินตนาการมันไปเองออกมาจากความหวังทั้งหลายของเขา---และก็จะมีสิฐคามแห่งใหม่.
“การตัดสินใจของข้าเหมาะสมกับมวด’ดิบหรือไม่?”สติลจาร์ถาม.
มีเพียงแค่สัมผัสเบาบางที่สุดในความเหน็บแนมกริ่งอยู่ในน้ำเสียงของเขา, แต่หูของฟรีเมนทั้งหลายที่อยู่รายรอบพวกเขา,
ตื่นตัวต่อในทุกเสียงในการร้องของนกหรือเสียงหลอดส่งข่าวของค้างคาวซีลาโก(cielago’s piping message),
ย่อมได้ยินคำเหน็บนั้นและเฝ้าดูพอลเพื่อจะมองว่าเขาจะทำเช่นไร.
“สติลจาร์ได้ยินที่ข้าให้สัตย์สาบานความจงรักภักดีต่อเขาเมื่อเราอุทิศตนให้กับหน่วยฟีเดย์คิน,”
พอลพูด. “หน่วยจู่โจมมรณะของข้ารู้ว่าข้าได้พูดด้วยเกียรติศักดิ์ศรี. สติลจาร์กังขามันหรือ?”
ความเจ็บปวดแท้จริงเผยตัวมันออกมาในน้ำเสียงของพอล.
สติลจาร์ได้ยินมันและลดสายตาจ้องมองนั้นลงต่ำ.
“อูซุล, สหายแห่งสิฐคามของข้า,
เขาย่อมจะไม่มีวันถูกกังขาใดได้.” สติลจาร์พูด. “แต่เจ้าคือพอล-มวด’ดิบ, ดยุคแห่งอะไทรดิส,
และเจ้าคือไลซาน อัล-กาอิบ, วจนะจากฺโลกภายนอก.
คนเหล่านี้ข้ากระทั่งไม่รู้จัก.”
พอลหันไปเพื่อเฝ้ามองสัน
แฮ็บบันยะปีนออกมาจากทะเลทราย. ผู้สร้างภายใต้พวกเขายังคงรู้สึกแข็งแรงและมุ่งมั่น.
มันสามารถแบกพาพวกเขาไปได้เกือบเป็นระยะทางสองเท่าของผู้อื่นใดในฟรีเมนได้เคยมีประสบการณ์.
เขารู้ถึงมัน. ไม่มีอะไรที่ข้างนอกนิทานทั้งหลายที่ถูกเล่าขานให้เด็กๆซึ่งสามารถเข้ากันได้กับชายชราแห่งทะเลทรายผู้นี้.
มันเป็นเนื้อหาของตำนานอันใหม่, พอลตระหนัก.
มือหนึ่งกุมที่บ่าของเขา.
พอลมองที่มัน,
ไล่ตามแขนไปยังใบหน้าที่อยู่เลยมันไปนั้น---ดวงตาเบ้ามืดของสติลจาร์เปิดอยู่ระหว่างหน้ากากกรองและหมวดคลุมศีรษะของสติลล์สูท.
“ผู้ที่นำสิฐคามทับร์ก่อนหน้าข้า,”
สติลจาร์พูด, “เขาเป็นสหายของข้า. เราได้แบ่งปันอันตรายต่อกัน. เขาเป็นหนี้ในชีวิตของเขาต่อข้ามากมายครั้ง.....และข้าก็เป็นหนี้เขาในของข้า.”
“ข้าเป็นสายของท่าน, สติลจาร์,” พอลพูด.
“ไม่มีใครกังขาในมัน,” สติลจาร์พูด.
เขาเคลื่อนมือของตนออกไป, ยักไหล่. “มันเป็นวิถีนั้น.”
พอลมองเห็นว่าสติลจาร์นั้นหมกมุ่นจริงจังเกินไปในวิถีของฟรีเมนที่จะพิจารณาในความเป็นไปได้ของผู้คนอื่นใด.
นี่คือผู้นำที่ได้บังเหียนทั้งหลายจากมือที่ตายของผู้ถือครองก่อนหน้านั้น,
หรือได้เข่นฆ่ามาในหมู่ผู้แข็งแรงที่สุดแห่งเผ่าของเขาถ้าผู้นำตายไปในทะเลทราย. สติลจาร์ได้ข้นมาเป็นนาอิบ(naib - รอง/ผู้ช่วย)ในวิถีนั้น.
“เราควรทิ้งผู้สร้างนี้ไว้ในทรายลึก,”
พอลพูด.
“ใช่,” สติลจาร์เห็นด้วย. “เราสามารถเดินเท้าไปยังถ้ำนั่นจากที่นี่.”
“เราได้ขี่เขามาไกลพอที่เขาจะฝังตัวเองและขุ่นเคืองไปสักวันหรือสองวัน,”
พอลพูด.
“เจ้าเป็นมูดีร์(mudir)ของการขี่ทะเลทราย,” สติลจาร์พูด.
“บอกมาว่าเมื่อไรที่เรา.....” เขาหยุดชงักลง, จ้องไปทางขอบ้าด้านตะวันออก.
พอลเอี้ยวตัวไป. สีฟ้า-เครื่องเทศมัวครึ้มบนดวงตาของเขาทำให้ท้องฟ้าปรากฏมืด,
สีน้ำเงินของท้องฟ้าไร้เมฆกรองอุดมมั่งคั่งที่กับมันคือประกายแวบวาบในระยะไกลเป็นจังหวะโผล่ออกมาตัดคมชัดออกมา.
ยานออมนิธ็อปเปอร์!
“ ‘ธ็อปเปอร์เล็กลำหนึ่ง,” สติลจาร์บอก.
“อาจเป็นแมวมอง,” พอลพูด. “ท่านคิดว่าพวกมันจะเห็นเรา.”
เขาส่งท่าทางด้วยมือซ้ายของตน. “ออกไป. กระจายออกไปในทะเลทราย.”
กองกำลังเริ่มทำงานไต่ลงไปตามด้านข้างของหนอนนั้น,
ทิ้งตัวลง, ปนเปเข้าไปกับทะเลทรายใต้เสื้อคลุมของพกเขา, พอลกำหนดจุดที่ชานิทิ้งตัวลง.
ทันทีนั้น, มีเพียงเขากับสติลจาร์ที่ยังอยู่ข้างบน.
“ขึ้นก่อน, ลงทีหลัง,” พอลพูด.
สติลจาร์พยักหน้า, ทิ้งตัวลงไปตามด้านข้างบนตะขอของเขา,
กระโจนลงไปบนพื้นทราย. พอลรอคอยจนกระทั่งผู้สร้างได้ปลอดภัยพ้นจากพื้นที่การกระจายตัวของพวกเขา,
แล้วจึงปล่อยตะขอของเขา. นี่เป็นชั่วชณะสำคัญของกลเม็ดกับหนอนที่ยังม่หมดเรี่ยวแรง.
ทิ้งปฏักและตะขอของมันไว้,
หนอนยักษ์นั้นจะเริ่มฝังตัวเข้าไปในทราย. พอลวิ่งอย่างแผ่วเบากลับมาตามผิวกว้างใหญ่ของมัน,
พิจารณาตัดสินชั่วขณะนั้นของเขาอย่างระมัดระวังแล้วกระโจนออกไป. เขาลงสู่พื้นแล้ววิ่งต่อไป,
พุ่งไปข้างหน้าปะทะเข้ากับนูนทรายในวิธีที่เขาถูกสอนมา,
และซ่อนตนเองภายใต้น้ำตกทรายที่สาดพรมลงมาเหนือเสื้อคลุมของเขา.
ตอนนี้, รอคอย....
พอลหัน, อย่างนุ่มนวล,
เปิดรอยแยกของท้องฟ้าที่ปลายสุดของเสื้อคลุมของเขา. เขาจินตนาการว่าคนอื่นข้างลังเส้นทางของพวกเขาก็ทำเช่นเดียวกัน.
เขาได้ยินเสียงกระพือตบของปีกทั้งหลายของยาน’ธ็อปเปอร์นั้นก่อนที่เขาจะเนมัน.
มีเสียงกระซิบของฝักไอพ่นทั้งหลายและมันก็เข้ามาเหนือแผ่นผืนของเขาในทะเลทราย,
เลี้ยวตีวงกว้างไปยังสันผา.
ยาน’ธ็อปเปอร์ที่ไม่มีเครื่องหมาย, พอลสังเกตเห็น.
มันบินพ้นสายตาเลยสัน แฮ็บบันยะออกไป.
เสียงนกร้องดังมาเหนือทะเลทราย. อื่นอีก.
พอลสั่นตนเองเป็นอิสระจากทราย,
ปีนขึ้นไปบนยอดนูนทราย. ร่างคนอื่นๆยืนออกมาในแถวแนวเส้นทางห่างไปจากสันผา. เขาจำชานิและสติลจาร์ได้ในหมู่พวกนั้น.
สติลจาร์ส่งสัญญานให้ไปยังสันผานั้น.
พวกเขารวมหมู่กันเริ่มต้นเดินทราย,
ถลไปหือผิวหน้าในจังหวะที่ขัดแยกออกที่จะไม่ไรบกวนถึงผู้สร้าง. สติลจาร์ก้าวตนเองเข้ามาข้างพอลไปตามยอดหงอนจากสายลมก่อแน่นของนูนทราย.
“เป็นยานของพวกลักลอบของเถื่อน,”
สติลจาร์พูด.
“ดูมันจะเป็นเช่นนั้น,” พอลพูด. “แต่นี่เป็นทะเลทรายตอนลึกเกินไปสำหรับพวกลักลอบของเถื่อน.”
“พวกนั้นมีความยุ่งยากทั้งหลายกับหน่วยแมวมองนั่น,
ด้วยเช่นกัน.” สติลจาร์พูด.
“ถ้าพวกเขาเข้ามาได้ลึกถึงนี้,
พวกเขาก็อาจไปลึกกว่านี้อีก,” พอลพูด.
“จริง.”
“มันน่าจะไม่ดีสำหรับพวกเขาที่เห็นอะไรที่พวกเขาสามารถเห็นได้ถ้าพวกเขากล้าหาญเข้าไปลึกเกินไปในตอนใต้.
พวกลักลอบของเถื่อนขายข้อมูล, ด้วย.”
“พวกเขากำลังตามล่าหาเครื่องเทศ,
เจ้าไม่คิดเช่นนั้นรึ?” สติลจาร์ถาม.
“จะมียานปีกและยานคืบคลานกำลังรออยู่ที่ใดสักแห่งสำหรับลำนั้น,”
พอลพูด. “เรามีเครื่องเทศ. ปล่อยเหื่อล่อสักแผ่นผืนทรายหนึ่งแล้วจับบางรายของนักลักลอบของเถื่อนนั้นมา.
พวกนั้นน่าจะถูกสั่งสอนว่านี่เป็นดินแดนของเราและคนของเราก็จำเป็นต้องฝึกปฏิบัติการกับอาวุธใหม่ๆด้วย.”
“ตอนนี้, อูซุลพูด,” สติลจาร์พูด.
“อูซุลคิดแบบฟรีเมน.”
แต่อูซุลต้องเปิดทางให้กับการตัดสินใจที่เข้าคู่กันได้ดีกับเจตจำนงอันน่าสะพรึงกลัว,
พอลคิด.
และพายุนั้นก็กำลังก่อตัวขึ้น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น