หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (39)

 

 

              เจ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปฏิบัติต่อกันทางการเมืองทั้งหลายภายในลัทธิศาสน์ดั้งเดิม. พลังอำนาจนี้ดิ้นรนต่อสู้ซึมซาบกระทบการฝึกฝน, การศึกษาและการวินัยแห่งชุมชมตามจารีตดั้งเดิม. เพราะแรงกดดันนี้, ผู้นำทั้งหลายของชุมชนเยี่ยงนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเผชิญหน้าซึ่งคำถามถึงที่สุดในเรื่องกิจการภายใน: ที่จะจำนนต่อความคิดของการฉวยโอกาสอย่างสมบูรณ์สิ้นขณะที่ราคาของการดำรงอยู่ในกฏเกณฑ์ของพวกเขา, หรือการเสี่ยงที่จะสักการะตัวพวกเขาเองเพื่อให้แก่จริยะตามจารีตดั้งเดิมนั้น.

---จาก “มวดดิบ ประเด็นทางศาสนา” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

 

         พอลรอคอยบนทะเลทรายด้านนอกเส้นทางการเข้ามาหาของผู้สร้างยักษ์ใหญ่มหึมา. ข้าต้องไม่รอคอยเหมือนนักลักลอบค้าของเถื่อน---ไร้ความอดทนและกระวนกระวาย, เขาเตือนตนเอง. ข้าต้องเป็นส่วนหนึ่งของทะเลทราย.

         สิ่งนั้นเป็นเพียงไม่กี่นาทีก็จากไปแล้วในตอนนี้, เติมเต็มยามเช้าด้วยเสียงเสียดสีซี่ดๆของเส้นทางมาของมัน. ฟันมหึมาภายในคูหาวงกลมปากของมันที่แผ่ออกเหมือนดอกไม้ใหญ่ยักษ์. กลิ่นเครื่องเทศจากตัวมันฟุ้งคลุ้งคลุมไปในอากาศ.

         สติลล์สูทของพอลลอยแน่นขึ้นอย่างง่ายดายกับร่างของเขาและเขารู้สึกตื่นรู้ห่างไกลได้แต่เพียงที่อุดจมูก, หน้ากากหายใจ. คำสอนของสติลจาร์, ชั่วโมงของการเพียรพยายามบากบั่นทั้งหลายบนทะเลทราย, บดบังทอดเงาอยู่เหนือใดอื่นทั้งหมด.

         “ไกลข้างนอกรัศมีของผู้สร้างที่เจ้าต้องยืนในเม็ดทรายหรือ?” สติลจาร์ถามเขา.

         และเขาได้ตอบอย่างถูกต้อง: “ครึ่งเมตรสำหรับทุกเมตรของเส้นผ่าศูนย์กลางผู้สร้าง.”

         “ทำไม?”

         “เพื่อหลีกเลี่ยงกระแสวนดูดของทรายในเส้นทางของมันและยังคงมีเวลาที่จะวิ่งเข้าไปหาและเกาะติดมัน.”

         “เจ้าได้ขึ้นขี่รายเล็กๆที่เพิ่งให้กำเนิดต่อเมล็ดพันธุ์และน้ำแห่งชีวิต,” สติลจาร์ได้พูด. “แต่อะไรที่เจ้าจะถูกเรียกมาหาในการทดสอบของเจ้าคือผู้สร้างซึ่งดุร้ายป่าเถื่อน, ผู้เฒ่าแห่งทะเลทราย. เจ้าต้องให้ความเคารพอย่างถูกต้องรายสิ่งเช่นนั้น.”

         ตอนนี้เสียงตบพื้นลึกๆผสมปนเข้ากับเสียงซี่ดๆของการเข้ามาหาของหนอนนั้น. พอลสูดหายใจลึก, ได้กลิ่นความขื่นของแร่ธาตุของทรายผ่านทะลุเข้ามาแม้เครื่องกรองที่จมูกของเขา. ผู้สร้างอันป่าเถื่อนดุร้าย, ผู้เฒ่าแห่งทะเลทราย, ปรากฏใกล้เข้ามาเกือบอยู่บนเขา. หงอนส่วนหัวตอนหน้าของมันเหวี่ยงคลื่นทรายที่จะน่ากวาดข้ามหัวเข่าของเขา.

         เข้ามาเลย, เจ้าสัตว์ร้ายที่น่ารัก, เขาคิด. ขึ้นมา. เจ้าได้ยินที่ข้าเรียกหา. เข้ามาเลย. เข้ามเลย.

         คลื่นนั้นยกเท้าของเขาขึ้น. ฝุ่นธุลีผิวหน้ากวาดข้ามผ่านร่างของเขา. เขากยัดตัวเองให้มั่น, โลกของเขาถูกครอบคลุมโดยเส้นทางนั้นของกำแพงโค้งเมฆทราย, หน้าผาของท่อนตัวนั่น, ปล้องวงแหวนเป็นเส้นร่องชัดเจนอยู่ในมัน.

         พอลยกตะขอปฏักของเขา, เล็งไปตามพวกมัน, เอนเข้าไป. เขารู้ว่าพวกมันงับติดและดึง. เขากระโจนขึ้นไป, ฝังเท้าของเขาลงเข้ากับกำแพงนั้น, เอนร่างออกเข้าหากับเงี่ยงที่เกาะติดอยู่, นี่เป็นชั่วขณะแท้จริงเป็นตายของการทดสอบ: ถ้าเขาได้ฝังตะขอคู่นี้อย่างถูกต้องที่ริมขอบนำของส่วนปล้องวงแหวน, เปิดส่วนปล้องนี้ออก, หนอนนี้ก็จะไม่กลิ้งลงและบดขยี้เขา.

         หนอนนั้นช้าลง. มันไถลข้ามเครื่องตบพื้น, ปิดเงียบมัน. อย่างช้าๆ, มันเริ่มม้วนตัว---ขึ้น, ขึ้น---นำเอารอยเปิดจากตะขอติดเงี่ยงอยู่นั้นสูงขึ้นไปเท่าที่จะเป็นไปได้, หนีออกจากเม็ดทรายที่เสียดทิ่มแทงผิวนุ่มข้างในบดเบียดกันอยู่ของส่วนปล้องนั้น.

         พอลพบตัวเองกำลังขี่ตั้งตัวขึ้นเหนือบนตัวของหนอนนี้. เขารู้สึกปีติยินดี, เหมือนจักรพรรดิผู้กำลังสำรวจพิเคราะห์โลกของเขา. เขาหยุดยั้งแรงกระตุ้นอยากทันทีทันใดในการที่จะทำโอ่อ่าผ่าเผยตรงนั้น, ที่จะหันเลี้ยวหนอน, เพื่อแสดงอวดความเป็นนายเหนือเจ้าสัตว์นี้.

         ทันทีนั้นเขาก็เข้าใจได้ว่าทำไมสติลจาร์ได้เตือนเขาในทันทีเกี่ยวกับเด็กหนุ่มผู้สะเพร่าผู้เต้นแร้งเต้นกาและล้อเล่นกับเจ้าสัตว์ร้ายเหล่านี้, ทำยืนกลับหัวด้วยมือบนหลังของพวกมัน, โยกตะขอออกและ         สับลงไปใหม่ก่อนที่หนอนจะสะบัดพวกเขาหล่น.

         ทิ้งตะขอไว้อันหนึ่งในที่นั้น, พอลดงตะขออีกอันหนึ่งออกมาและฝังมันลงไปที่ด้านข้างลำตัว. เมื่อตะขออันที่สองได้ติดแน่นและได้ทดสอบดูแล้ว, เขาก็นำอีกอันหนึ่งลงตามมากบอันแรก, การทำเช่นนี้พาตัวเขาลงมาตามด้านข้าง. ผู้สร้างพลิกม้วนตัว, และขณะที่มันม้วนตัว, มันก็หัน, ตีวงเลี้ยวกวาดฝุ่นแป้งทรายคลุ้งไปในที่คนอื่นๆซึ่งกำลังรออยู่.

        พอลเห็นพวกเขาขึ้นมา, ใช้ตะขอของพวกเขาในการปีนไต่, แต่ลีกเลี่ยงจุดประสาทสัมผัสละเอียดอ่อนที่ขอบวงปล้องจนกระทั่งพวกเขาได้ขึ้นมาอยู่บนสุด. พวกเขาได้ขึ้นขี่ในที่สุดในแถวสามตอนด้านหลังของเขา, มั่นคงอยู่ด้วยตะขอของตนเอง.

         สติลจาร์เคลื่อนขึ้นมาผ่านลำดับแถวนั้น, ตรวจดูตำแหน่งตะขอของพอล, ชำเลืองมองขึ้นมาหาพอลด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม.

         “เจ้าทำมันได้, เอ๋?” สติลจาร์ถาม, ขึ้นเสียงของเขาให้ดังผ่านเสียงซี่ดๆเสียดสีของทรายของเสร้นทางพวกเขา. “นั่นคืออะไรที่เจ้าคิด? เข้าทำมันได้?” เขาหยียดร่างขึ้น. “ทีนี้ข้าบอกกับเจ้าว่านั่นเป็นงานที่สะเพร่า. เรามีเด็กอายุสิบสองขวบที่ทำได้ดีกว่านี้. มีกลองทรายอยู่ที่ด้านซ้ายของเจ้าในที่ที่เจ้ายืนรออยู่. เจ้าไม่ควรถอยไปที่นั่นถ้าหนอนเลี้ยวไปทางนั้น.”

         รอยยิ้มเลื่อนออกยไปจากใบหน้าของพอล. “ข้าเห็นกลองทรายตรงนั้น.”

         “แล้วทำไมเจ้าไม่ส่งสัญญาณไปให้หนึ่งในพวกเราให้ขึ้นไปตำแหน่งนั้นที่สองต่อจากเจ้า? มันเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้แม้ในการทดสอบ.”

         พอลกลืนน้ำลาย, กันหน้าเข้าหาสายลมของเส้นทางพวกเขา.

         “เจ้าคิดว่านี่เป็นสิ่งเลวของข้าที่พูดเรื่องนี้ในตอนนี้,” สติลจาร์พูด. “มันเป็นหน้าที่ของข้า. ข้าคิดถึงคุณค่าของเจ้าที่มีต่อกองทหาร. ถ้าเจ้าได้ล้มกลิ้งลงไปในกลองทรายนั้น, ผู้สร้างก็จะตรงเข้ามาหาเจ้า.”

         แทนที่จากแรงกระตุ้นของโทสะ, พอลรู้ว่าสติลจาร์พูดความสัจจริง. มันใช้เวลานานนาทีและด้วยแรงพยายามเต็มที่ของการฝึกฝนมาที่เขาได้รับจากมารดาของเขาสำหรับพอลที่จะหวนจับอารมณ์สสงบใจลงได้. “ข้าขออภัย,” เขาพูด, “มันจะไม่บังเกิดขึ้นอีก.”

         “ในตำแหน่งรัดแน่น, ต้องปล่อยตนเองให้มีทางเลือกที่สองเสมอ, บางคนที่สามารถจัดการผู้สร้างได้เมื่อเจ้าไม่สามารถทำ,” สติลจาร์พูด. “จำไว้ว่าเราทงานร่วมกันอยู่. วิธีนั้น, เราเป็นที่แน่ชัด. เราทำงานด้วยกัน, เอ๋?”

         เขาตบบ่าของพอล.

         “เราทำงานด้วยกัน,” พอลยอมรับ.

         “ตอนนี้,” สติลจาร์พูด, และเสียงของเขาแหบพร่า, “แสดงให้ข้าเห็นว่าเจ้ารู้ในการบังคับผู้สร้างอย่างไรสิ. เราอยู่ด้านไหนในตอนนี้?”

         พอลชำเลืองลงไปวัดสัดส่วนวงที่ผิวปล้องบนที่พวกเขายืนอยู่, สังเกตเห็นลักษณะและขนาดของสัดส่วนนั้น,วิธีที่มันได้เติบโตใหญ่ขึ้นกว่าทางด้านขวามือของเขา, เล็กกว่าทางด้านซ้ายมือของเขา. หนอนทุกตัว, เขารู้, จะเคลื่อนอย่างเป็นลักษณะชัดเจนด้วยด้านหนึ่งยกขึ้นอย่างถี่ๆมากกว่า. ขณะที่มันเติบโตแก่ขึ้น, คุณลักษณะยก-ข้างขึ้นนี้จะกลายเป็นเกือบสิ่งคงที่. สัดส่วนตอนล่างเติบโตใหญ่ขึ้นกว่า, หนักขึ้นยิ่งกว่า, เรียบเนียนกว่า. สัดส่วนตอนบนสามารถถูกบอกได้โดยขนาดเพียงอย่างเดียวบนหนอนใหญ่.

         ยกตะขอของเขาขึ้น, พอลเคลื่อนไปทางด้านซ้ายมือ. เขาทำท่าให้แนวขนาบข้างทั้งหลายลงไปเพื่อเปิดส่วนปล่องทั้งหลายไปตามด้านข้างและคอยให้หนอนตั้งลำตรงเส้นทางขณะที่มันม้วนเลี้ยวตัว. เมื่อเขาได้ทำให้มันหันแล้ว, เขาทำท่าให้สองคนคัดท้ายออกมาจากแถวและเข้าในตำแหน่งข้างหน้า.

         อ๊าค, ฮาอีอีอีอี-โย่ห์!” เขาตะโกนเรียไปตามแบบจารีตประเพณี. คนคัดท้ายด้านข้างเปิดส่วนวงปล้องตรงนั้นออก.

         ในการตีวงเลี้ยวอย่างสง่าผึ่งผาย, ผู้สร้างนั้นหันกลับเพื่อปกป้องส่วนช่องเปิดของมัน. เต็มวงมาและเมื่อมันกันหัวกลับไปทางทิศใต้, พอลตะโกน: จียราต!

         คนคัดท้ายปล่อยตะขอของตน. ผู้สร้างก็ตั้งตัวเป็นแนวตรงไปกับเส้นทาง.

         สติลจาร์พูด: “ดีมาก. พอล มวดดิบ. ด้วยเต็มมากล้นของการฝึกปฏิบัติ, เจ้าก็อาจกระนั้นกลายเนนักขี่ทะเลทราย.”

         พอลขมวดคิ้ว, คิด: ข้าไม่ได้ขึ้นมาเป็นคนแรกรึ?

         จากด้านหลังของเขามีเสียงหัวเราะดังมาทันที. กองทหารเริ่มต้นท่องบทสวด, โยนชื่อของเขาเข้าใส่ท้องฟ้า.

         มวดดิบ! มวดดิบ! มวดดิบ! มวดดิบ!

         และไกลสู่ด้านหลังลงไปตามผิวบนลังของหนอนนั้น, พอลได้ยินเสียงฟาดตีของปฏักกระทบส่วนของปล้องหางทั้งหลาย. หนอนนั้นเริ่มเร่งความเร็วขึ้น. เสื้อคลุมของพวกเขาสะบัดกระพือในสายลม. เสียงขัดสีของร่องทางพวกเขาเพิ่มดังขึ้น.

         พอลมองกลับหลังผ่านกองทหารไป, พบใบหน้าของชานิอยู่ในท่ามกลางพวกนั้น. เขามองที่เธอขณะที่พูดกับสติลจาร์. “แล้วข้าก็คือนักขี่ทะเลทรายไหม, สติล?”

         ฮัล ยอว์น! เจ้าเป็นนักขี่ทะเลทรายแล้วในวันนี้.”

         “งั้นข้าอาจเลือกจุมายทั้งหลายของเราได้สินะ.”

         “นั่นเป็นสิถีของมัน.”

         “และข้าก็เป็นกำเนิดซึ่งฟรีเมนแล้วในวันนี้ที่นี่ในชายขอบแฮ็บบานยะ. ข้าได้ไม่ได้มีชีวิตก่อนวันนี้อีก. ข้าคือเช่นเด็กผู้หนึ่งจนกระทั่งวันนี้.”

         “ไม่เชิงเป็นเด็กนัก,” สติลจาร์พูด. เขารัดแน่นมุมหนึ่งของหมวกคลุมศีรษะที่ลมได้กระชากมัน.

         “แต่ได้มีจุกอุดผนึกปิดกั้นโลกขิงข้า, และจุกอุดนั้นได้ถูกดึงออกแล้ว.”

         “ไม่มีจุกอุด.”

         “ข้าจะไปทางตอนใต้, สติลจาร์---ยี่สิบเครื่องตบพื้น. ข้าจะมองดวงดูดินแดนที่เราสร้าง, ดินแดนนี้ที่ข้าได้แต่เพียงมองผ่านดวงตาทั้งหลายของผู้อื่น.”

         และข้าจะได้เห็นบุตรชายของข้าและครอบครัวของข้า, เขาคิด. ข้าจำเป็นต้องการเวลาในตอนนี้ที่จะพิจารณาตัดสินใจอนาคตที่ซึ่งข้าสามารถแก้ปลดมันออก, สิ่งที่จะวิ่งไปอย่างป่าเถื่อนคลั่ง.

         สติลจาร์มองดูเขาอย่างนิ่งแน่ว, กวาดสายตาอย่างตรวจวัด. พอลยังคงให้ความสนใจของเขาอยู่กับชานิ, มองเห็นความสนใจปรากฏขึ้นอย่างรวเร็วบนใบหน้าของเธอ, สังเกตเห็นด้วยเช่นกันถึงความตื่นเต้นที่คำพูดของเขาได้ปลุกเร้ากระตุ้นในหมู่ทหาร.

         “พวกทหารนั้นต่างกระหายที่จะบุกโจมตีกับเจ้าในแอ่งอ่างของฮาร์คอนเนนทั้งหลาย.” สติลจาร์พูด. “แอ่งอ่างทั้งหลายอยู่เพียงหนึ่งเครื่องตบพื้นไปเท่านั้น.”

         ฟีเดย์คินได้บุกโจมตีกับข้า,” พอลพูด. “พวกเขาจะโมตีกับข้าอีกจนกว่าจะไม่มีฮาร์คอนเนนายใจอากาศของอาร์ราคิส.”

         สติลจาร์ศึกษาเขาขณะที่พวกเขาขี่ไป, และพอลตระหนักได้ว่าชายผู้นี้ได้มองเห็นชั่วขณะผ่านความทรงจำของการที่เขาได้ทำอย่างไรในการลุกขึ้นบัญชาการแห่งสิฐคามทับร์และต่อการเป็นผู้นำแห่งสภาแห่งผู้นำในตอนนี้ที่เลียต-คายนิ์สได้ตายลง.

         เขาได้ยินรายงานทั้งหลายของความไม่สงบในหมู่พวกฟรีเมนหนุ่ม, พอลคิด.

         “เจ้าปรารถนาจะการประชุมของผู้นำทั้งหลายหรือ?” สติลจาร์ถาม.

         ดวงตาทั้งหลายพลุ่งโชนในทหารหนุ่มของกองกำลังนั้น. พวกเขาแกว่งโยนขณะที่ขี่, และพวกเขาเฝ้ามองอยู่. และพอลเห็นท่าทางของความกังวลใจในการองของชานิ, วิธีที่เธอมองจากสติลจาร์, ผู้เป็นลุงของเธอ, ไปยังพอล-มวดดิบ, ผู้เป็นคู่ครองของเธอ.

         “ท่านไม่สามารถคาดเดาได้ในอะไรที่ข้าต้องการ,” พอลพูด.

         และเขาคิด: ข้าม่สามารถถอยกลับได้. ข้าต้องกุมการควบคุมเหนือผู้คนเหล่านี้.

         “เจ้าคือมูดีร์แงการขี่ทะเลทรายในวันนี้,” สติลจาร์พูด. เย็นชาอย่างเป็นทางการกังวานในน้ำเสียงของเขา: “เจ้าจะใช้อำนาจนี้ของอย่างไรล่ะ?”

         “เราจะไปทางตอนใต้,” พอลพูด.

         “แม้ว่าข้าจะพูดว่าเราจะหันกลับไปทางเหนือเมื่อวันนี้จบลงแล้วหรือ?”

         “เราจะไปทางตอนใต้,” พอลพูดซ้ำ.

         สัมผัสรูของศักดิ์ศรีที่ไม่อาจเลี่ยงหนีได้ห่อหุ้มสติลจาร์ขณะที่เขาดึงเสื้อคลุมของเขารัดแน่นเข้ากับตัว. “จะมีการประชุมกัน.” เขาพูด. “ข้าจะส่งข่าวไป.”

         เขาคิดว่าข้าจะท้าเรียกเขาออกมาประลอง, พอลคิด. และเขารู้ว่าเขาไม่สามารถยืนขวางข้าได้.

         พอลหันน้าไปทางทิศใต้, รู้สึกถึงสายลมปะทะแก้มที่เปิดเผยอยู่ของเขา, คิดถึงความจำเป็นทั้งหลายที่ไปในการตัดสินใจทั้งหลายของเขา.

         พวกเขาไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างร, เขาคิด.

         แต่เขารู้ว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้ความคิดเห็นใจผู้อื่นใดนั้นมาลดทอนกระทบต่อเขา. เขาต้องคงไว้ต่อเส้นตรงกลางแห่งพายุกาลเวลาที่เขาสามารถมองเห็นมันในอนาคต. จะมีมาในฉับพลันเมื่อมันสามารถถูกปลดปล่อย, แต่มีเพียงถ้าเขาอยู่ในที่ซึ่งเขาสามารถตัดปมตรงกลางของมันได้เท่านั้น.

         ข้าจะไม่เรียกท้าเขาออกมาถ้ามันสามารถเป็นการช่วยได้, เขาคิด. ถ้ามีหนทางอื่นอีกที่จะป้องกันจีฮาดได้.....

         “เราจะตั้งค่ายพักในตอนอาหารมื้อเย็นและสวดอ้อนวอนที่ถ้ำของนกที่อยู่ใต้สัน แฮ็บบันยะ,” สติลจาร์พูด. เขากยัดตัวไว้ด้วยตะขอหนึ่งกับผู้สร้างที่แกว่งไกวไปมา, ชี้ไปทางข้างหน้าที่แนวก้อนหินกั้นเตี้ยซึ่งผุดขึ้นมาจากทะเลทราย.

         พอลศึกษาหน้าผานั้น, มีแนวร่องริ้วทั้งหลายมหึมาของก้อนหินตัดพาดผ่านมันเหมือนคลื่น. ไม่มีสีเขียว, ไม่มีไม้ดอกผลิบานอันนุ่มนวลที่เส้นขอบฟ้าอันแข็งกระด้างนั้น. โพ้นเลยมันไปยืดเหยียดออกไปเป็นทางสู่ทะเลทรายตอนใต้---เส้นทางของอย่างน้อยที่สุดสิบวันและคืน, เร็วเท่าที่พวกเขาจะควบเร่งผู้สร้างทั้งหลายได้.

         ยี่สิบเครื่องตบพื้น.

         หนทางนำไปไกลโพ้นเลยกองกำลังลาดตระเวนทั้งหลายของฮาร์คอนเนน. เขารู้ดีว่ามันเป็นจะอย่างไร. ความฝันทั้งหลายได้แสดงต่อเขาไปแล้ว. หนึ่งวัน, ขณะที่พวกเขาไปได้มีความเปลี่ยนแปลงจางๆของสีบนเส้นขอบฟ้า---เปลี่ยนแปลงที่สุดบางเบาซึ่งเขาอาจรู้สึกว่าเขาจินตนาการมันไปเองออกมาจากความหวังทั้งหลายของเขา---และก็จะมีสิฐคามแห่งใหม่.

         “การตัดสินใจของข้าเหมาะสมกับมวดดิบหรือไม่?”สติลจาร์ถาม. มีเพียงแค่สัมผัสเบาบางที่สุดในความเหน็บแนมกริ่งอยู่ในน้ำเสียงของเขา, แต่หูของฟรีเมนทั้งหลายที่อยู่รายรอบพวกเขา, ตื่นตัวต่อในทุกเสียงในการร้องของนกหรือเสียงหลอดส่งข่าวของค้างคาวซีลาโก(cielago’s piping message), ย่อมได้ยินคำเหน็บนั้นและเฝ้าดูพอลเพื่อจะมองว่าเขาจะทำเช่นไร.

         สติลจาร์ได้ยินที่ข้าให้สัตย์สาบานความจงรักภักดีต่อเขาเมื่อเราอุทิศตนให้กับหน่วยฟีเดย์คิน,” พอลพูด. “หน่วยจู่โจมมรณะของข้ารู้ว่าข้าได้พูดด้วยเกียรติศักดิ์ศรี. สติลจาร์กังขามันหรือ?”

         ความเจ็บปวดแท้จริงเผยตัวมันออกมาในน้ำเสียงของพอล. สติลจาร์ได้ยินมันและลดสายตาจ้องมองนั้นลงต่ำ.

         อูซุล, สหายแห่งสิฐคามของข้า, เขาย่อมจะไม่มีวันถูกกังขาใดได้.” สติลจาร์พูด. “แต่เจ้าคือพอล-มวดดิบ, ดยุคแห่งอะไทรดิส, และเจ้าคือไลซาน อัล-กาอิบ, วจนะจากฺโลกภายนอก. คนเหล่านี้ข้ากระทั่งไม่รู้จัก.”

         พอลหันไปเพื่อเฝ้ามองสัน แฮ็บบันยะปีนออกมาจากทะเลทราย. ผู้สร้างภายใต้พวกเขายังคงรู้สึกแข็งแรงและมุ่งมั่น. มันสามารถแบกพาพวกเขาไปได้เกือบเป็นระยะทางสองเท่าของผู้อื่นใดในฟรีเมนได้เคยมีประสบการณ์. เขารู้ถึงมัน. ไม่มีอะไรที่ข้างนอกนิทานทั้งหลายที่ถูกเล่าขานให้เด็กๆซึ่งสามารถเข้ากันได้กับชายชราแห่งทะเลทรายผู้นี้. มันเป็นเนื้อหาของตำนานอันใหม่, พอลตระหนัก.

         มือหนึ่งกุมที่บ่าของเขา.

         พอลมองที่มัน, ไล่ตามแขนไปยังใบหน้าที่อยู่เลยมันไปนั้น---ดวงตาเบ้ามืดของสติลจาร์เปิดอยู่ระหว่างหน้ากากกรองและหมวดคลุมศีรษะของสติลล์สูท.

         “ผู้ที่นำสิฐคามทับร์ก่อนหน้าข้า,” สติลจาร์พูด, “เขาเป็นสหายของข้า. เราได้แบ่งปันอันตรายต่อกัน. เขาเป็นหนี้ในชีวิตของเขาต่อข้ามากมายครั้ง.....และข้าก็เป็นหนี้เขาในของข้า.”

         “ข้าเป็นสายของท่าน, สติลจาร์,” พอลพูด.

         “ไม่มีใครกังขาในมัน,” สติลจาร์พูด. เขาเคลื่อนมือของตนออกไป, ยักไหล่. “มันเป็นวิถีนั้น.”

         พอลมองเห็นว่าสติลจาร์นั้นหมกมุ่นจริงจังเกินไปในวิถีของฟรีเมนที่จะพิจารณาในความเป็นไปได้ของผู้คนอื่นใด. นี่คือผู้นำที่ได้บังเหียนทั้งหลายจากมือที่ตายของผู้ถือครองก่อนหน้านั้น, หรือได้เข่นฆ่ามาในหมู่ผู้แข็งแรงที่สุดแห่งเผ่าของเขาถ้าผู้นำตายไปในทะเลทราย. สติลจาร์ได้ข้นมาเป็นนาอิบ(naib - รอง/ผู้ช่วย)ในวิถีนั้น.

         “เราควรทิ้งผู้สร้างนี้ไว้ในทรายลึก,” พอลพูด.

         “ใช่,” สติลจาร์เห็นด้วย. “เราสามารถเดินเท้าไปยังถ้ำนั่นจากที่นี่.”

         “เราได้ขี่เขามาไกลพอที่เขาจะฝังตัวเองและขุ่นเคืองไปสักวันหรือสองวัน,” พอลพูด.

         “เจ้าเป็นมูดีร์(mudir)ของการขี่ทะเลทราย,” สติลจาร์พูด. “บอกมาว่าเมื่อไรที่เรา.....” เขาหยุดชงักลง, จ้องไปทางขอบ้าด้านตะวันออก.

         พอลเอี้ยวตัวไป. สีฟ้า-เครื่องเทศมัวครึ้มบนดวงตาของเขาทำให้ท้องฟ้าปรากฏมืด, สีน้ำเงินของท้องฟ้าไร้เมฆกรองอุดมมั่งคั่งที่กับมันคือประกายแวบวาบในระยะไกลเป็นจังหวะโผล่ออกมาตัดคมชัดออกมา.

         ยานออมนิธ็อปเปอร์!

         ธ็อปเปอร์เล็กลำหนึ่ง,” สติลจาร์บอก.

         “อาจเป็นแมวมอง,” พอลพูด. “ท่านคิดว่าพวกมันจะเห็นเรา.” เขาส่งท่าทางด้วยมือซ้ายของตน. “ออกไป. กระจายออกไปในทะเลทราย.”

         กองกำลังเริ่มทำงานไต่ลงไปตามด้านข้างของหนอนนั้น, ทิ้งตัวลง, ปนเปเข้าไปกับทะเลทรายใต้เสื้อคลุมของพกเขา, พอลกำหนดจุดที่ชานิทิ้งตัวลง. ทันทีนั้น, มีเพียงเขากับสติลจาร์ที่ยังอยู่ข้างบน.

         “ขึ้นก่อน, ลงทีหลัง,” พอลพูด.

         สติลจาร์พยักหน้า, ทิ้งตัวลงไปตามด้านข้างบนตะขอของเขา, กระโจนลงไปบนพื้นทราย. พอลรอคอยจนกระทั่งผู้สร้างได้ปลอดภัยพ้นจากพื้นที่การกระจายตัวของพวกเขา, แล้วจึงปล่อยตะขอของเขา. นี่เป็นชั่วชณะสำคัญของกลเม็ดกับหนอนที่ยังม่หมดเรี่ยวแรง.

         ทิ้งปฏักและตะขอของมันไว้, หนอนยักษ์นั้นจะเริ่มฝังตัวเข้าไปในทราย. พอลวิ่งอย่างแผ่วเบากลับมาตามผิวกว้างใหญ่ของมัน, พิจารณาตัดสินชั่วขณะนั้นของเขาอย่างระมัดระวังแล้วกระโจนออกไป. เขาลงสู่พื้นแล้ววิ่งต่อไป, พุ่งไปข้างหน้าปะทะเข้ากับนูนทรายในวิธีที่เขาถูกสอนมา, และซ่อนตนเองภายใต้น้ำตกทรายที่สาดพรมลงมาเหนือเสื้อคลุมของเขา.

         ตอนนี้, รอคอย....

         พอลหัน, อย่างนุ่มนวล, เปิดรอยแยกของท้องฟ้าที่ปลายสุดของเสื้อคลุมของเขา. เขาจินตนาการว่าคนอื่นข้างลังเส้นทางของพวกเขาก็ทำเช่นเดียวกัน.

         เขาได้ยินเสียงกระพือตบของปีกทั้งหลายของยานธ็อปเปอร์นั้นก่อนที่เขาจะเนมัน. มีเสียงกระซิบของฝักไอพ่นทั้งหลายและมันก็เข้ามาเหนือแผ่นผืนของเขาในทะเลทราย, เลี้ยวตีวงกว้างไปยังสันผา.

         ยานธ็อปเปอร์ที่ไม่มีเครื่องหมาย, พอลสังเกตเห็น.

         มันบินพ้นสายตาเลยสัน แฮ็บบันยะออกไป.

         เสียงนกร้องดังมาเหนือทะเลทราย. อื่นอีก.

         พอลสั่นตนเองเป็นอิสระจากทราย, ปีนขึ้นไปบนยอดนูนทราย. ร่างคนอื่นๆยืนออกมาในแถวแนวเส้นทางห่างไปจากสันผา. เขาจำชานิและสติลจาร์ได้ในหมู่พวกนั้น.

         สติลจาร์ส่งสัญญานให้ไปยังสันผานั้น.

         พวกเขารวมหมู่กันเริ่มต้นเดินทราย, ถลไปหือผิวหน้าในจังหวะที่ขัดแยกออกที่จะไม่ไรบกวนถึงผู้สร้าง. สติลจาร์ก้าวตนเองเข้ามาข้างพอลไปตามยอดหงอนจากสายลมก่อแน่นของนูนทราย.

         “เป็นยานของพวกลักลอบของเถื่อน,” สติลจาร์พูด.

         “ดูมันจะเป็นเช่นนั้น,” พอลพูด. “แต่นี่เป็นทะเลทรายตอนลึกเกินไปสำหรับพวกลักลอบของเถื่อน.”

         “พวกนั้นมีความยุ่งยากทั้งหลายกับหน่วยแมวมองนั่น, ด้วยเช่นกัน.” สติลจาร์พูด.

         “ถ้าพวกเขาเข้ามาได้ลึกถึงนี้, พวกเขาก็อาจไปลึกกว่านี้อีก,” พอลพูด.

         “จริง.”

         “มันน่าจะไม่ดีสำหรับพวกเขาที่เห็นอะไรที่พวกเขาสามารถเห็นได้ถ้าพวกเขากล้าหาญเข้าไปลึกเกินไปในตอนใต้. พวกลักลอบของเถื่อนขายข้อมูล, ด้วย.”

         “พวกเขากำลังตามล่าหาเครื่องเทศ, เจ้าไม่คิดเช่นนั้นรึ?” สติลจาร์ถาม.

         “จะมียานปีกและยานคืบคลานกำลังรออยู่ที่ใดสักแห่งสำหรับลำนั้น,” พอลพูด. “เรามีเครื่องเทศ. ปล่อยเหื่อล่อสักแผ่นผืนทรายหนึ่งแล้วจับบางรายของนักลักลอบของเถื่อนนั้นมา. พวกนั้นน่าจะถูกสั่งสอนว่านี่เป็นดินแดนของเราและคนของเราก็จำเป็นต้องฝึกปฏิบัติการกับอาวุธใหม่ๆด้วย.”

         “ตอนนี้, อูซุลพูด,” สติลจาร์พูด. “อูซุลคิดแบบฟรีเมน.”

         แต่อูซุลต้องเปิดทางให้กับการตัดสินใจที่เข้าคู่กันได้ดีกับเจตจำนงอันน่าสะพรึงกลัว, พอลคิด.

         และพายุนั้นก็กำลังก่อตัวขึ้น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น