บ่อยครั้งเช่นไรที่มันเป็นว่าชายผู้โกรธชังนั้นปฏิเสธต่ออะไรในสิ่งที่ข้างในตนเองกำลังบอกกับเขา.
---“คำพูดที่ถูกรวบรวมไว้
ของ มวด’ดิบ” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน
ฝูงคนในถ้ำโถงประชุมแผ่รังสีความรู้สึกที่อัดแน่นออกมาจนเจสสิกาได้รู้สึกไปถึงวันที่พอลฆ่าจามิส.
มีความประสาทตื่นกลัวอยู่ในน้ำเสียงพึมพำทั้งหลาย.
กลุ่มคณะเล็กๆจับตัวรวมกันเหมือนกระจุกปมทั้งหลายในหมู่เสื้อคลุม.
เจสสิกายัดกระบอกข่าวสาส์นในใต้เสื้อคลุมของเธอขณะที่เธอเร่งด่วนยังเชิงตะพักยื่นจากเขตที่พักส่วนตัวของพอล.
เธอรู้สึกสงบนิ่งลงหลังจากการเดินทางไกลยาวนานจากทางตอนใต้, แต่ยังคงปวดร้าวใจที่พอลจะยังไม่ให้พวกเขาใช้ยานออมนิธ็อปเปอร์ที่จับยึดมาได้.
“เราไม่ได้มีการควบคุมเต็มที่ทางอากาศ,”
เขาได้บอก. “และเราต้องไม่กลายไปพึ่งพาอยู่กับเชื้อเพลิงนอกพิภพ.
ทั้งเชื้อเพลิงและยานอากาศต้องถูกรวบรวมและเก็บเอาไว้ในวันเวลาของความลำบากถึงขีดสูงสุด.”
พอลยืนอยู่กับกลุ่มของทหารหนุ่มทั้งหลายใกล้เชิงยื่นนั้น.
แสงซีดของลูกโคมลอยเรืองแสงให้ฉากทัศน์แต้มแต่งของความไม่เป็นจริง.
มันเป็นเหมือนภาพวาดฉากละคร, แต่ด้วยมิติเพิ่มเติมของกลิ่นโพรงแออัด,
กระซิบกระซาบ, เสียงทั้งหลายของเท้าเดินลากไปมา.
เธอศึกษาบุตรชายของตน, สงสัยใจว่าทำไมเขาได้ยังไม่ย่างเท้าอวดสิ่งแปลกใจของเขาออกมา---เกอร์นีย์
ฮัลเล็ค. ความคิดเรื่องเกอร์นีย์รบกวนใจเธอด้วยความทรงจำทั้งหลายของมันแห่งอดีตที่ง่ายดายกว่า---วันทั้งหลายของความรักและความงดงามกับบิดาของพอล.
สติลจาร์รอคอยอยู่ด้วยกลุ่มเล็กๆของเขาเองที่ปลายสุดอีกด้านของเชิงตะพักยื่น.
มีความรู้สึกของความหยิ่งศักดิ์ศรีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เกี่ยวกับเขา,
วิธีที่เขายืนปราศจากการพูดคุย.
เราต้องไปสูญเสียชายผู้นั้น, เจสสิกาคิด.
แผนการของพอลต้องได้ผล. สิ่งใดอื่นจะเป็นโศกนาฏกรรมสูงสุด.
เธอก้าวยาวลงไปจากเชิงตะพัก, ผ่านสติลจาร์โดยปราศจากการเหลียวมอง,
ก้าวลงเข้าไปในฝูงชุมนุม. ช่องทางเดินหนึ่งได้ทำขึ้นให้กับเธอขณะที่เธอมุ่งตรงไปหาพอล.
และความเงียบติดตามเธอไป.
เธอรู้ถึงความหมายของความเงียบนั้น---คำถามที่ไม่ได้พูดออกมาของผู้คน,
ความกลัวเกรงต่อท่านแม่อธิการ.
พวกทหารหนุ่มผละถอยลังออกจากพอลเมื่อเธอเดินเข้าไปถึงเขา,
และเธอพบว่าตนเองท้อแท้ใจไปชั่วขณะโดยโดยความเคารพเยี่ยงใหม่นี้ที่พวกนั้นมอบให้แก่เขา.
“ทหารทั้งหมดภายใต้ตำแหน่งของเจ้าประจำการปกป้องคุ้มกันเจ้า.” หลักการของเบเน
เกสเสอริตว่าเอาไว้. แต่เธอพบว่าไม่มีความละโมบปรารถนาใดในใบหน้าเหล่านี้.
พวกเขายั้งอยู่ในระยะโดยพิธีศาสน์ที่ได้มักหมมมาให้รายล้อมความเป็นผู้นำของพอล.
และเอหวนจำถึงการบอกำว้อีกอันของเบเน เกสเสอริต: “ผู้พยากรณ์ทั้งหลายมีหนทางแห่งการตายโดยความรุนแรง.”
พอลมองมายังเธอ.
“ถึงเวลาแล้ว,” เธอพูด,
และส่งผ่านกระบอกข่าวสาส์นไปให้เขา.
หนึ่งในสหายของพอล,
กล้าหาญกว่าคนอื่นๆๆ, ชำเลืองข้ามไปที่สติลจาร์, พูด: “ท่านจะเรียกท้าเขาออกมาหรือไม่,
มวด’ดิบ?
ตอนนี้ถึงเวลาให้แน่นอนแล้ว. พวกเขาจะคิดว่าท่านเป็นคนขลาดถ้าท่าน---”
“ใครกล้าเรียกข้าว่าคนขลาด?” พอลถามสั่ง.
มือของเขาพุ่งวาบไปที่ด้ามของมีดกริชคริชคไน้ฟของเขา.
ความเงียบงันลงไปทั่วกลุ่มนั้น,
แผ่กระจายออกไปในฝูงชุมนุม.
“มีงานที่จะต้องทำ,” พอลพูดขณะที่ทหารผู้นั้นดึงตัวถอยกลับไปจากเขา.
พอลหันหนีไป, ไหล่แหวกผ่านฝูงชุมนุมไปยังเชิงตะพักนั้น,
กระโจนอย่างแผ่วเบาขึ้นยังมันและหันหน้ามาหาฝูงคน.
“ทำมันเลย!” บางคนกรีดร้องขึ้น.
เสียงพึมพำและกระซิบกระซาบทั้งหลายดังขึ้นหลังเสียงกรีดร้องนั้น.
พอลรอคอยให้เสียงเงียบลง.
มันมาอย่างช้าๆในท่ามกลางเสียงลากเท้าแกรกกรากและไอกระแอมทั้งหลาย.
เมื่อมันเงียบสงบลงในถ้ำคูหา, พอลเชิดคางของเขาขึ้น,
พูดในน้ำเสียงที่พาไปถึงมุมที่ไกลที่สุด.
“พวกเจ้าเหนื่อยหน่ายกับการรอคอย,” พอลพูด.
อีกครั้ง,
เขารอคอยขณะที่เสียงกรีดร้องตอบขานรับหายตายลงไป.
จริงแท้,
พวกเขาได้เหนื่อยหน่ายกับการรอคอย, พอลคิด.
เขาเดาะน้ำหนักกระบอกสาส์นในมือ, คิดว่าอะไรที่มันถูกบรรจุอยู่.
มารดาของเขาได้แสดงมันต่อเขา, อธิบายว่ามันได้ถูกนำมาจากคนถือสาส์นฮาร์คอนเนนได้อย่างไร.
แร็บบานกำลังถูกทอดทิ้งอยู่กับกองกำลังทั้งหลายของตนเองที่นี่บนอาร์ราคิส! เขาไมสามารถเรียกร้องความช่วยเหลือหรือกองกำลังเสริมทัพได้อีก!
อีกครั้ง, พอลยกเสียงของเขาให้ดังขึ้น:
“พวกเจ้าคิดว่ามันถึงเวลาที่ข้าจะเรียกท้าสติลจาร์ออกมาประลองและเปลี่ยนผู้นำของกองทหารทั้งหลาย!” ก่อนที่พวกเขาจะโห่ร้องขานรับ. พอลขว้างเสียงของเขาเข้าใส่พวกนั้นด้วยความโกรธ:
“พวกเจ้าคิดว่าไลสาน อัล-กาอิบเป็นไอ้งั่งถ่อยสถุลรึ?”
มีความนิ่งงันเงียบชงักขึ้น.
เขากำลังยอมที่จะเล่นบทบาททางลัทธิศาสน์,
เจสสิกาคิด. เขาต้องไม่ทำมัน!
“มันเป็นวิถี!”
ใครบางคนตะโกนขึ้น.
พอลพูดอย่างแห้งแล้ง, สืบเสาะถึงอารมณ์แฝงอยู่ใต้กระแส.
“วิถีทั้งหลายเปลี่ยนไปแล้ว.”
เสียงโกรธหนึ่งดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งของคูหา: “เราจะพูดกันว่าอะไรที่จะเปลี่ยน.”
มีเสียงตะโกนถึงการเห็นด้วยทั้งหลายกระจัดกระจายผ่านไปทั่วฝูงชุมนุม.
“ตามที่พวกเจ้าปรารถนา,” พอลพูด.
และเจสสิกาได้ยินเสียงสูงต่ำเป็นทำนองอย่างประณีตขึ้นเมื่อเขาใช้พลังแห่งวจนะที่เธอได้สอนเขามา.
“พวกเจ้าจะพูด,”
เขาเห็นด้วย. “แต่อย่างแรกเจ้าจะฟังที่ข้าพูด.”
สติลจาร์เคลื่อนไปตามเชิงตะพัก,
ใบหน้ารกเคราของเขาไร้ความรู้สึก. “นี่ก็เป็นวิถีด้วย, เช่นกัน,” เขาพูด.
“เสียงของฟรีเมนคนใดก็อาจเป็นที่ถูกรับฟังในสภา. พอล มวด’ดิบ คือ ฟรีเมน.”
“สิ่งที่ดีต่อเผ่า,
นั่นคือความสำคัญมากที่สุด, เอ๋?” พอลถาม.
ยังคงเป็นน้ำเสียงราบเรียบแห่งศักดิ์ศรี,
สติลจาร์พูด. “กระนั้นคือก้าวย่างที่เราได้รับการชี้นำมา.”
“เอาละ,” พอลพูด.
“เช่นนั้น,
ผู้ซึ่งปกครองกองทหารทั้งหลายของเผ่าเรา---และผู้ซึ่งปกครองเผ่าและกองทหารทั้งหลายทั้งหมดผ่านการสั่งสอนแนะนำการต่อสู้ที่เราได้ฝึกฝนมาในวิถีพิกลระหลาดล่ะหรือ?”
พอลรอคอย,
มองข้ามไปทั่วทุกศีรษะของฝูงคน. ไม่มีคำตอบมา.
ทันทีนั้น, เขาพูด: “สติลจาร์ปกครองทั้งหมดนี้มาหรือ? เขาพูดกับตนเองว่าเขาไม่ได้.
ข้าปกครองหรือ? กระทั่งสติลจาร์เองก็ออกคำสั่งต่อข้าในบางโอกาส,
ดังนั้นปราชญ์ทั้งหลาย, ผู้ฉลาดที่สุดในบรรดาผู้ฉลาด, ฟังต่อข้าและให้เกียรติข้าในสภา.”
มีลากเท้าเงียบๆปนเปกันอยู่ในฝูงชุมนุม.
“ดังนั้น,” พอลพูด.
“มารดาของข้านี้ได้ปกครองรึ?” เขาชี้ลงไปที่เจสสิกาในชุดคลุมสีดำของเธอแห่งเจ้าหน้าที่ท่ามกลางพวกนั้น.
“สติลจาร์และผู้นำกองทหารอื่นถามคำแนะนำจากเธอในเกือบทุกครั้งของการตัดสินใหญ่ๆ.
พวกเจาก็รู้เรื่องนี้ดี. แต่แม่อธิการเดินบนทะเลทรายหรือเป็นผู้นำการโจมตีทลายล้างต่อฮาร์คอนเนนส์หรือ?”
คิ้วเริ่มขมวดยับย่นบนใบหน้าทั้งหลายของเหล่าคนที่พอลสามารถมองเห็นได้,
แต่ยังคงมีเสียงพึมพำด้วยความโกรธกันอยู่.
นี่เป็นวิธีอันตรายที่จะทำมัน, เจสสิกาคิด.,
แต่เธอจำได้ถึงข่าวสาส์นในกระบอกนั้นและอะไรที่มันแสดงนัยไว้.
และเธอได้เห็นความตั้งใจของพอล: ตรงไปยังก้นบึ้งของความรู้สึกไม่มั่นใจของพวกเขา, จัดการควบคุมนั่น,
แล้วที่เหลือกะจต้อวติดตามมาเอง.
“ไม่มีใครจดจำได้ถึงความเป็นผู้นำโดยปราศจากการท้าประลองและประฝีมือฆ่ากัน,
เอ๋?” พอลถาม.
“นั่นเป็นวิถี!”
ใครบางคนตะโกนขึ้น.
“อะไรคือเป้ามายของเรา?” พอลถาม.
“คือที่จะปลดบัลลังก์ของแร็บบาน, เจ้าสัตว์ฮาร์คอนเนน, และรื้อฟื้นสร้างโลกใหม่ของเราให้เข้าสู่ที่ซึ่งเราจื้นคืนครอบครัวของเราขึ้นมาในความสุขท่ามกลางน้ำที่มากมาล้นหลาม---นี่เป็นเป้าหมายของเราหรือไม่ล่ะ?”
“งานยากจำเป็นต้องใช้วิธีลำบาก,”
ใครบางคนตะโกน.
“เจ้าจะหักทำลายมีดดาบของเจ้าก่อนการศึกหรือ?”
พอลถามสั่ง. “ที่ข้าพูดนี้คือความสัจจริง,
ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเช่นโอ้อวดโวหารหรือท้าทาย-ว่า:
ไม่มีใครในที่นี้, สติลจาร์รวมอยู่ด้วย,
ผู้ที่สามารถยืนขวางต้านข้าได้ในการต่อสู้เดี่ยว. นี่คือคำยอมรับของสติลจาร์ด้วยตนเอง.
เขารู้มันดี, ดังเช่นที่พวกเจ้าทั้งหมดรู้.”
อีกครั้ง,
เสียงพึมพำด้วยความโกรธดังขึ้นในหมู่ฝูงชุมนุม.
“หลายคนของพวกเจ้าในที่นี้ได้เคยอยู่กับข้าบนพื้นการฝึก,”
พอลพูด. “พวกเจ้ารู้เรื่องนี้ดีว่าไม่ใช่คำโอ้อวดโอหัง.
ข้าพูดมันเพราะว่ามันคือความสัจจริงที่รู้กันดีในพวกเราทั้งหมด,
และข้าจะเป็นคนโ.งั่งที่ม่ได้เห็นมันด้วยตนเอง.
ข้าเริ่มต้นการฝึกในวิถีเหล่านี้ก่อนที่พวกเจ้าจะทำและครูสอนของข้านั้นแกร่งกร้าวกว่าผู้ใดที่เจ้าเคยได้เห็นมา.
อย่างไรอื่นหรือที่เจ้าคิดว่าข้าได้เอาชนะจามิสในวัยอายุเมื่อลูกทั้งหลายของพวกเจ้ายังคงต่อสู้กันแต่เพียงการรบเล่นล้อเลียน?”
เขากำลังใช้วจนะได้ดี, เจสสิกาคิด,
แต่นั่นไม่เพียงพอกับผู้คนเหล่านี้. พวกเขามีฉนวนกั้นที่ดีต่อเสียงควบคุม.
เขาต้องกุมพวกนี้ไว้ด้วยเหตุผล.
“ดังนั้น,” พอลพูด,
“เรามาถึงเรื่องนี้กัน.” เขาชูกระบอกสาส์นนั้น, เปิดแผ่นสายรัดของมันออก. “นี่ถูกเอามาจากคนเดินสาส์นของฮาร์คอนเนน.
ความเป็นทางการถูกต้องของมันโพ้นเลยคำถามใด. มันถูกจ่าหน้าไปถึงแร็บบาน.
มันบอกเขาว่าคำร้องขอสำรับกองทหารใหม่นั้นได้รับการปฏิเสธ,
ว่าการเก็บเกี่ยวเครื่องเทศของเขานั้นต่ำกว่าโควตาไปไกล,
ว่าเขาต้องบีบคั้นเครื่องเทศมากยิ่งขึ้นจากอาร์ราคิสด้วยผู้คนที่เขามีอยู่.”
สติลจาร์เคลื่อนเข้ามาที่ข้างพอล.
“มากมายกี่คนของพวกเจ้าที่มองเห็นว่ามันหมายความถึงอะไร?”
พอลถาม. “สติลจาร์มองออกในทันที.”
“พวกมันถูกตัดหาง!” ใครบางคนตะโกน.
พอลเอาข่าวสาส์นและกระบอกนั้นเก็บเข้าไปในสายคาดเอวของเขา.
จากต้นคอของตนเขาปลดเอาขดสายถักรัดคอชิการไวริ์(shigawire*)และถอดแหวนที่ร้อยอยู่ออกมาจากขด,
กุมแหวนนั้นชูขึ้น.
* https://dune.fandom.com/wiki/Shigawire
“นี่คือธำมรงค์ราชศักดิ์ดยุคของบิดาข้า,”
เขาพูด.
“ข้าได้สาบานว่าจะไม่สวมมันอีกจนกว่าข้าพร้อมที่จะนำกองทหารของข้าขึ้นเหนือทั้งปวงของอาร์ราคิสและทวงอ้างสิทธิ์มันในศักดินาอันชอบธรรมของข้า.”
เขาสวมแหวนนั้นเข้ากับนิ้วของตน, กำมือเป็นกำปั้น.
ความนิ่งสงัดเกาะกุมถ้ำคูหานั้น.
“ใครปกครองที่นี้รึ?” พอลถาม.
เขาชูกำปั้นขึ้น. “ข้าครองอำนาจที่นี่! ข้าปกครองทุกตารางนิ้วของอาร์ราคิส!
นี่คือราชศักดินาแห่งดยุคไม่ว่าจักรพรรดิจะพูดว่าใช่หรือไม่! เขาก็มอบมันต่อบิดาของข้าและมันมาตกทอดมาสู่ข้าโดยบิดาของข้า!”
พอลยกร่างตนเขย่งขึ้นปลายเท้า,
ลดกลับลงสู่ส้นเท้าของตน, เขาศึกษาฝูงชุมนุมนั้น,
รู้สึกถึงอารมณ์พุ่งพล่านของพวกนั้น.
เกือบแล้ว, เขาคิด.
“มีผู้คนที่นี้ผู้ที่จะรั้งตำแหน่งสำคัญทั้งหลายลนอาร์ราคิสเมื่อข้าทวงสิทธิ์ของจักรวรรดิซึ่งเป็นของข้านี้ได้,”
พอลพูด. “สติลจาร์คือหนึ่งในผู้คนเหล่านั้น.
ไม่ใช่เพราะว่าข้าปรารถนาจะให้สินบนต่อเขา! ไม่ใช่ออกมาจากความกตัญญู, แม้ว่าข้าข้าคือหนึ่งในหลายคนที่นี้ผู้ซึ่งเป็นหนี้ชีวิตต่อเขาด้วยชีวิต.
ไม่! เพราะว่าเขาฉลาด, และเข้มแข็ง.
เพราะว่าเขาบริหารปกครองกองทหารนี้ด้วยเชาวน์ปัญญาของเขาเองและม่ใช่แต่เพียงด้วยกฏเกณฑ์วิถีทั้งหลาย.
พวกเจ้าคิดว่าข้าโง่เง่าหรือ?
พวกเจ้าคิดว่าข้าจะตัดแขนขวาของข้าและปล่อยให้มันเลือดไหลนองพื้นของคูหานี้เพียงแค่จัดาความบันเทิงเยี่ยงละครสัตว์ให้กับพวกเจ้าหรือ?”
พอลกวาดสายตากึ่งจ้องมองไปทั่วฝูงชุมนุม.
“มีใครในที่นี้ที่จะพูดว่าข้าไม่ใช่ผู้ครองอำนาจอย่างถูกต้องเต็มบนอาร์ราคิส?
ต้องให้ข้าได้พิสูจน์มันโดยการละทิ้งฟรีเมนทุกเผ่าในชายขอบโดยปราศจากผู้นำหรือ?”
ข้างร่างของพอล, สติลจาร์กระสับกระส่าย,
มองเขาอย่างมีคำถาม.
“ข้าจะลบออกจากความเข้มแข็งของเราในตอนที่เราจำเป็นต้องการมันหรือ?”
พอลถาม. “ข้าคือผู้ปกครองของพวกเจ้า, และข้าพูดต่อพวกเจ้าว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะหยุดการฆ่าผู้คนที่ดีที่สุดของพวกเราและเริ่มต้นการฆ่าศัตรูที่แท้จริงของเรา---เจ้าฮาร์คอนเนนส์นั่น!”
ในหนึ่งการเคลื่อนไหวอย่างเร็วพร่า, สติลจาร์ดึงมีดกริชคริสคไน้ฟของเขาออกมาและชี้ขึ้นไปเหนือศีรษะทั้งหลายของฝูงชุมนุม.
“ดยุค พอล-มวด’ดิบ
จงเจริญ!” เขาตะโกน.
เสียงคำรามอื้ออึงโสตประสาทลั่นเต็มไปทั่วถ้ำคูหา,
ก้องและสะท้อนก้องกลับไปมา. พวกเขากำลังโห่ร้องและสวดท่องมนต์: “ย่า ไฮยะ
ชูฮาดะ! มวด’ดิบ! มวด’ดิบ! มวด’ดิบ! ย่า ไฮยะ ชูฮาดะ!”
เจสสิกาแปลความของมันให้กับตนเอง: “จงเจริญเถิดเหล่านักรบแห่งมวด’ดิบ!” ฉากทัศน์ที่เธอและพอลและสติลจาร์ได้ปรุงสร้างมันขึ้นในระว่างพวกเขาได้ทำงานอย่างที่พวกเขาได้วางแผนไว้.
ความอึกทึกนั้นตายลงอย่างช้าๆ.
เมื่อความเงียบได้กลับคืนมา, พอลกันหน้าไปที่สติลจาร์,
พูด:
“คุกเข่าลง, สติลจาร์.”
สติลจาร์ทิ้งตัวลงบนเข่าของเขากับพื้นเชิงตะพัก.
“มอบมีดกริชของเจ้ามาให้ข้า,” พอลพูด.
สติลจาร์เชื่อฟัง.
นี่ไม่ใช่ที่เราได้วางแผนเอาไว้, เจสสิกาคิด.
“พูดตามข้า, สติลจาร์,” พอลพูด,
และเขาตะโกนขึ้นคำพูดทั้งหลายนั้นของพิธีการมอบอำนาจขณะที่เขาได้ยินเสียงของบิดาตนเองใช้ในพวกนั้น.
“ข้า, สติลจาร์, จงรับมีดนี้จากหัตถ์ดยุคแห่งข้า.”
“ข้า, สติลจาร์, รับมีดนี้จากหัตถ์ดยุคแห่งข้า,”
สติลจาร์พูด, และรับมีดสีน้ำนมนั้นคืนจากพอล.
“ที่แห่งใดซึ่งดยุคแห่งข้าบัญชา,
นั้นจะมีข้าวางมีดนี้,” พอลพูด.
สติลจาร์กล่าวตามคำทั้งหลายนั้น,
พูดอย่างช้าและเคร่งขรึม.
การหวนจำได้ถึงแหล่งที่มาของพิธีกรรมนี้,
เจสสิกากระพริบเปลือกตากั้นน้ำตาที่เอ่อท้นกลับคืน, สั่นศีรษะของเธอ. ข้ารู้ดีถึงเหตุผลของการนี้,
เธอคิด. ข้าจะไม่ปล่อยให้มันก่อกวนข้าได้.
“ข้าขออุทิศมีดนี้ต่อเหตุผลที่ดีของดยุคแห่งข้าและความตายแห่งศัตรูของพระองค์ตราบนานเท่าที่เลือดของเราจะไหลลั่งไป,”
พอลพูด.
สติลจาร์กล่าวซ้ำมันตามเขา.
“จุมพิตมีดนี้,” พอลสั่ง.
สติลจาร์เชื่อฟัง, แล้ว,
ในกิริยาของฟรีเมน, จุมพิตมือข้างที่ถือมีดของพอล.
กับการพยักหน้ารับของพอล, เขาสวมฝักเข้ากับมีดนั้น, ลุกขึ้นยืนบนเท้าของตน.
เสียงถอนหายใจกระซิบของความตื่นเต้นผ่านทะลุไปทั่วฝูงชุมนุม,
และเจสสิกาได้ยินคำพูด: “คำพยากรณ์---เบเน เกสเสอริตจะแสดงหนทางให้ปรากฏและแม่อธิการจะมองเห็นมัน.”
และ, จากห่างไกลออกไป:
“ท่านแสดงต่อเราให้ปรากฏผ่านบุตรของท่าน!”
“สติลจาร์คือผู้นำเผ่านี้,” พอลพูด.
“จงอย่าได้มีผู้ใดผิดพลาดการนั้น. เขาบัญชาการด้วยเสียงแห่งข้า. เขาบอกกับพวกเจ้า,
มันเป็นเช่นเดียวกับที่ข้าบอกกับเจ้า.”
ฉลาด, เจสสิกาคิด. ผู้บัญชาการเผ่านี้ต้องไม่สูญเสียหน้าในท่ามกลางเหล่าคนผู้ต้องเชื่อฟังเขา.
พอลลดเสียงของเขาต่ำลง, พูด: “สติลจาร์,
ข้าต้องการผู้เดินทะเลทรายออกไปไม่ใช่คืนนี้และซิเอลาโกทั้งหลาย(cielagos – ค้างคาวนำสาส์น)ส่งหมายเรียกชุมนุม สภา.
เมื่อท่านได้ส่งพวกเขาไปแล้ว, นำชาตต์, คอร์บาและออธิยมและผู้หมวดคนอื่นอีกสองที่ท่านคัดเลือกเองมา.
พาพวกเขมีที่พำนักส่วนตัวของข้าเพื่อวางแผนการยุทธ. เราต้องมีชัยชนะเพื่อแสดงต่อสภาแห่งผู้นำเมื่อพวกเขามาถึง.”
พอลพยักหน้ากับมารดาของเขาเข้ามาร่วมกับเขา,
นำทางลงไปจากเชิงตะพักและผ่านฝูงชุมนุมไปยังช่องทางเดินกลางและโถงพักผ่อนทั้งหลายที่ได้ถูกเตรียมไว้ที่นั้น.
ขณะที่พอลแหวกผ่านฝูงคน, มือทั้งหลายไอ้เอื้อมออกมาสัมผัสตัวเขา.
เสียงทั้งหลายเรียกมายังเขา.
“มีดของข้าไปยังแห่งหนที่สติลจาร์บัญชามัน,
พอล-มวด’ดิบ!
ขอให้เราได้สู้รบในเร็วนี้, พอล-มวด’ดิบ! ขอให้เราเปียกชุ่มพิภพของเราด้วยเลือดของเจ้าฮาร์คอนเนนส์!”
รู้สึกถึงอารมณ์ของฝูงคน, เจสสิกาสัมผัสสำนึกของชายขอบปริ่มการต่อสู้ของผู้คนเหล่านี้.
พวกเขาไม่สามารถที่จะพร้อมได้มากไปกว่านี้. เรากำลังนำพวกเขาขึ้นไปจุดยอดสูงสุด,
เธอคิด.
ในตอนในของห้องโถง, พอลโบกมือให้มารดาของเขาได้นั่งลง,
พูด:
“รอที่นี่.” และเขามุดผ่านม่านแขวนยังช่องทางเดินด้านข้าง.
มันเงียบสงบในห้องโถงนั้นหลังจากพอลได้จากไปแล้ว,
เงียบเหลือเกินด้านหลังม่านแขวนบังทั้งหลายที่แม้กระทั่งเสียงซู่ซ่าของเครื่องสูบลมทั้งหลายที่หมุนเวียนอากาศในสิฐคามก็ไม่ทะลุผ่านเข้ามายังที่ที่เธอนั่งอยู่ได้.
เขากำลังไปเอาตัวเกอร์นีย์ ฮัลเล็คมายังที่นี่, เธอคิด.
และเธอสงสัยที่มีอาการปนเปแปลกๆของอารมณ์ปรากฏที่เต็มล้นเกอร์นีย์ของเธอและซึ่งดนตรีของเขาได้เคยเป็นส่วนหนึ่งของมากมายเวลาแห่งความปีติสุขบนคาลาดานก่อนที่จะย้ายมายังอาร์ราคิสนี้.
เธอได้รู้สึกว่าคาลาดานได้บังเกิดขึ้นต่อใครบางคน.
ในเกือบสามปีตั้งแต่เมื่อนั้น, เธอได้กลายเป็นบุคคลอื่นไปแล้ว.
การต้องเผชิญหน้ากับเกอร์นีย์บีบบังคับการประเมินค่าใหม่ของการเปลี่ยนแปลง.
ชุดรับใช้กาแฟของพอล,
จอกอัลลอยทรงสูงทำด้วยเงินผสมแจ๊สเมี่ยมที่เขาได้สืบทอดมรดกมาจากจามิส,
วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยทางขวามือของเธอ. เธอคนมัน, คิดไปถึงว่ากี่มือมากมายแล้วที่ได้สัมผัสโลหะนั้น.
ชานิได้ให้บริการพอลจากมันภายในไม่กี่เดือน.
อะไรที่ผู้หญิงทะเลทรายสามารถทำให้ดยุคได้นอกจากบริการกาแฟให้เขา?
เธอถามตนเอง. เธอนำมาให้เขาได้แค่กับการไร้อำนาจ, ไร้ครอบครัว. พอลมีแค่เพียงโอกาสหลักใหญ่หนึ่งเดียว---ที่จะผูกพันตนเองกับมหาราชสำนักที่ทรงอำนาจเต็มเปี่ยม,
บางทีแม้กระทั่งกับครอบครัวของจักรพรรดิ.
มีเจ้าหญิงทั้งหลายที่สามารถทำการสมรสได้, จะอย่างไรก็ตาม,
และทุกผู้ของพวกนั้นได้รับการฝึกมาจากเบเน เกสเสอริต.
เจสสิกาจินตนาการถึงตัวเธอเองออกจากสภาพอากาศอันรุนแรงร้ายแรงอาร์ราคิสไปเพื่อชีวิตแห่งอำนาจและความมั่นคงปลอดภัยที่เธอสามารถรู้ได้ในฐานะมารดาของสนมแห่งราชสำนัก.
เธอเหลือบมองม่านหนาแขวนที่ปิดกั้นก้อนหินทั้งหลายของถ้ำคูหาคอกนี้ไว้,
คิดถึงว่าเธอมาถึงที่นี่ได้อย่างไร---ขี่มาในท่ามกลางหมู่ทัพแห่งหนอนทรายทั้งหลาย,
เสลี่ยงและแผ่นพื้นสุมมัดรวมไว้ด้วยสิ่งของจำเป็นทั้งหลายที่ใช้ในการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง.
ตราบนานเท่าที่ชานิยังคงมีชีวิตอยู่,
พอลจะมองไม่เห็นถึงถาระหน้าที่ของเขา, เจสสิกาคิด. เธอได้ให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เขาและนั่นก็เพียงพอแล้ว.
ทันทีนั้นของความโหยหาที่จะเห็นหลานชายของเธอ,
เด็กนั้นที่เมือนคล้ายมากเหลือเกินกับรูปลักษณ์ของปู่ของตน---ช่างเหมือนลีโตเหลือเกิน,
กวาดผ่านเธอไป. เจสสิกาวางฝ่ามือเข้ากับแก้มของเธอ,
เริ่มพิธีกรรมหายใจที่สงบระงับอารมณ์และกระจ่างจิตให้ชัด,
แล้วค้อมตัวไปข้างหน้าจากเหนือเอวในอาการของการปฏิบัติตนอุทิศสักการที่เตรียมพร้อมร่างกายสำรับรับคำสั่งของจิต.
การเลือกของพอลในถ้ำแห่งเหล่านกเป็นที่ตั้งศูนย์บัญชาการของขำม่สามารถถูกตั้งคำถามใดได้,
เธอรู้. มันเป็นไปตามอุดมคติ. และทางด้านทิศเหนือทอดอยู่ด้วยช่องลมเปิดออกสู่หมู่บ้านที่ได้รับการปกป้องไว้ในแอ่งกำแพงผาล้อม.
มันเป็นหมู่บ้านกุญแจหลัก, บ้านของเหล่าช่างฝีมือและนักเทคนิค,
ศูนย์การซ่อมบำรุงของเขตป้องกันทั้งปวงของฮาร์คอนเนน.
เสียงกระแอมดังมาจากข้างนอกม่านแขวนบังของห้องโถง.
เจสสิกายัดกายขึ้น, สูดหายใจลึก, ผ่อนลมายใจออกช้าๆ.
“เข้ามา,” เธอพูด.
แผ่นชิ้นม่านทั้งหลายเหวี่ยงออกและเกอร์นีย์
ฮัลเล็คมุ่งตรงเข้ามาสู่ในห้อง. เธอมีเวลาเพียงแค่เหลือบดูแวบหนึ่งของใบหน้าของเขากับความบูดบึ้งพิกลของมัน,
แล้วเขาก็อยู่ด้านหลังของเธอ, ยกร่างของเอขึ้นยืนบนเท้าด้วยหนึ่งแขนกล้ามมัดแข็งแรงใต้คางของเธอ.
“เกอร์นีย์, เจ้าคนโง่,
เจ้ากำลังทำอะไร?” เธอถามสั่ง.
แล้วเธอรู้สึกถึงสัมผัสของปลายมับลังของเธอ.
สัมปชัญญะเย็นยะเยียบแผ่กระจายออกจากปลายมีดนั้น. เธอรู้ในทันทีนั้นได้ว่าเกอร์นีย์หมายจะฆ่าเธอ.
ทำไม? เธอไม่สามารถคิดดึ้งเหตุผลใด,
เพราะเขาไม่ได้เป็นประเภทที่เปลี่ยนเป็นผู้ทรยศได้.
แต่เธอได้รู้สึกแน่ชัดในความตั้งใจของเขา. การรู้ถึงมัน, จิตของเธอป่วนวน.
นี่คือชายที่ไม่มีใครเอาชนะได้ง่าย. นี่คือนักฆ่าที่เฝ้าระวังต่อวจนะ,
เฝ้าระวังทุกกลอุบาย, เฝ้าระวังถึงทุกกดเม็ดของความตายและความโหดเหี้ยม.
นี่คือเครื่องมือที่เธอเองได้ช่วยฝึกฝนให้ด้วยนัยยะประณีตและคำแนะนำทั้งหลาย.
“เจ้าคิดว่าเจ้าหลบหนีได้แล้วสินะ, เอ๋,
นางแม่มด?” เกอร์นีย์ขู่คำราม.
ก่อนที่เอจะสามารถหันคำถามทั้งหลายนั้นไปเหนือจิตใจของเธอหรือพยายามที่จะตอบ,
ม่านบังกั้นนั้นแยกออกและพอลเข้ามา.
“นี่ไงเขา, ท่านแม่---” พอลชงักหยุด,
รับเอาความตึงเครียดของฉากทัศน์นั้น.
“เจ้าจะยืนอยู่ในที่ที่เจ้าอยู่นั่น, ฝ’บาท,” เกอร์นีย์บอก.
“นี่อะไร.....” พอลสั่นศีรษะของตน.
เจสสิกาเริ่มที่จะพูด,
รู้สึกแขนรัดแน่นขึ้นกับลำคอของเธอ.
“เจ้าจะพูดก็ต่อเมื่อข้าอนุญาตเท่านั้น,
แม่มด,” เกอร์นีย์บอก.
“ข้าต้องการเพียงหนึ่งอย่างจากเจ้าเพื่อบุตรชายของเจ้าที่จะได้ยินมัน, และข้าได้เตรียมพร้อมที่จะส่งมีดนี้เข้าไปนัวใจของเจ้าด้วยปฏิริยาจากสัญญานแรกของการจู่โจมต่อข้า.
เสียงของเจ้าจะยังคงอยู่ในระดับเสียงเดียว.
แน่นอนด้วยว่ากล้ามเนื้อของเจ้าจะไม่เขม็งหรือขยับ.
เจ้าจะกระทำด้ตัววยการระแวดระวังสุดขีดมากที่สุดที่จะให้ตนเองได้รับสองสามหรือมากวินาทีของชีวิต.
และข้าให้ความมั่นใจแก่เจ้า, ว่าเหล่านี้คือที่เจ้าจะมีได้.”
พอลก้าวมาข้างหน้า. “เกอร์นีย์,
พวก, นี่มันอะไร---”
“หยุดอยู่ตรงที่เจ้าอยู่นั้น!” เกอร์นีย์ตวาด.
“อีกหนึ่งก้าวและเธอจะตาย.”
มือของพอลเลื่อนไปที่ด้ามมีดของเขา.
เขาพูดในความสงบนิ่งสนิท: “เจ้าดีที่สุดที่จะอธิบายตนเอง, เกอร์นีย์.”
“ข้าให้สัตย์ปฏิญาณที่จะสังหารคนทรยศต่อบิดาของเจ้า,”
เกอร์นีย์พูด.
“เจ้าคิดว่าข้าสามารถลืมชายผู้ที่ได้ช่วยชีวิตข้าจากหลุมทาสของฮาร์คอนนเนน,
ให้อิสรภาพแก่ข้า, ชีวิต, และเกียรติ.....ให้มิตรภาพแก่ข้า,
สิ่งหนึ่งที่ข้าได้รับรางวัลเหนือสิงอื่นดทั้งปวง-ได้หรือ?
ข้าได้ตัวผู้ทรยศอยู่ใต้มีดของข้า. ไม่มีใครสามารถหยุดข้าได้---”
“เจ้าไม่สามารถทำผิดยิ่งขึ้นไปอีก, เกอร์นีย์,”
พอลพูด.
และเจสสิกาคิด: แล้วมันเป็นเช่นนี้เอง! ช่างเยาะหยันแท้!
“ผิด, ข้านี่หรือ?” เกอร์นีย์ร้องถาม:
“เราจงมาฟังมันจากผู้หญิงนี้ด้วยตัวเธอเองเถิด.
และให้เธอจดจำว่าข้าได้ติดสินบนและสืบความลับและหลอกเล่ห์โกงทั้งหลายมาเพื่อที่จะยืนยันมั่นในการกล่าวหานี้.
ข้ากระทั่งวางยาเซมูตาดับกัปตันยามรักษษการณ์ฮาร์คอนเนเพื่อให้ได้ส่วนหนึ่งของเรื่องราวนี้มา.”
เจสสิการู้สึกถึงการคลายออกที่ลำคอของเธอเบาบางเล็กน้อย,
แต่ก่อนที่เธอจะสามารถพูดได้, พอลพูด: “ผู้ทรยศนั้นคือหยู. ข้าเคยบอกกับเจ้าไปครั้งหนึ่งแล้ว, เกอร์นีย์ง
ลักฐานนั้นสมบูรณ์สิ้น, ไม่สามารถเปลี่ยนพลิกเป็นอย่างอื่นได้. มันคือหยู.
ข้าไม่ใส่ใจหรอกที่เจ้าได้ความสงสัยของเจ้ามาอย่างไร---เพราะมันสามารถเป็นอะไรอื่นไม่ได้---แต่ถ้าเจ้าทำร้ายมารดาของข้า.....”
พอลดึงมีดกริชของเขาขึ้นจากฝัก, กุมมีดนั้นอยู่ตรงหน้าของเขา
“.....ข้าจะได้เลือดของเจ้า.”
“หยูถูกวางยาปรับสถานะ, ให้เข้าได้เหมาะสมกับราชสำนัก,”
เกอร์นีย์กร่นคำราม. “เขาไม่สามารถเปลี่ยนเป็นคนทรยศได้.”
“ข้ารู้วิธีที่จะเอาการปรับสถานะนั้นออกไปได้,”
พอลพูด.
“หลักฐาน,” เกอร์นีย์ดึงดัน.
“หลักฐานไม่ได้อยู่ที่นี่,” พอลพูด.
“มันอยู่ที่สิฐคามทับร์, ไกลลึกไปทางตอนใต้, แต่ถ้า---”
“นี่เป็นลูกเล่ห์,” เกอร์นีย์กร่นขู่,
และแขนของเขารัดแน่นขึ้นบนคอของเจสสิกา.
“ไม่ใช่ลูกเล่ห์,” พอลพูด,
และเสียงของเขานำไปด้วยความเศร้าอันช่างน่าสะพรึงกลัวซึ่งเสียงนั้นฉีกหัวใจของเจสสิกา.
“ข้าเห็นข่าวสารที่จับกุมได้จากสายลับของฮาร์คอนเนน,”
เกอร์นีย์พูด. “บันทึกนั่นชี้ตรงไปที่---”
“ข้าก็เห็นมัน, เช่นกัน,” พอลพูด.
“บิดาของข้าแสดงมันให้ข้าดูเองในคืนนั้นที่เขาได้อธิบายว่าทำไมมันถึงเป็นลูกเล่ห์ของฮาร์คอนเนนเล็งเป้าไปที่การทำให้เขาสงสัยในผู้หญิงที่เขารัก.”
“อะย่าห์!” เกอร์นีย์พูด.
“เจ้าไม่ได้มี---”
“เงียบเถอะ,” พอลพูด, และความนิ่งในระดับเสียงเดียวของคำพูดทั้งหลายของเขานำไปซึ่งคำบัญชายิ่งกว่าที่เจสสิกาเคยได้ยินในเสียงพูดอื่น.
เขาได้มีมหาบัญชาแล้ว, เธอคิด.
แขนของเกอร์นีย์สั่นระริกกับลำคอของเธอ.
ปลายของมีดที่หลังของเธอขยับเคลื่อนด้วยความไม่ใจ.
“อะไรที่เจ้าไม่ได้ทำ,” พอลพูด,
“คือได้ยินสิ่งมารดาของข้าสะอื้นไห้ในคืนเหนือการสูญเสียดยุคของเธอไป.
เจ้าไม่ได้เห็นดวงตาของเธอแทงทิ่มเปลวไฟเมื่อเอพูดถึงการเข่นฆ่าพวกฮาร์คอนเนนส์.”
งั้นเขาได้ฟังอยู่สินะ, เธอคิด. น้ำตาท่วมท้นบอดมิดดวงตาของเธอตอนนั้น.
“อะไรที่เจ้าไม่ได้ทำ,” พอลว่าต่อไป,
“คือจำได้ถึงบทเรียนทั้งหลายที่เจ้าได้เรียนรู้ในหลุมทาสของฮาร์คอนเนน.
เจ้าพูดด้วยความภาคภูมิใจในมิตรภาพต่อบิดาของข้า! เจ้าไม่ได้เรียนรู้หรอกรึถึงความแตกต่างระหว่างฮาร์คอนเนนับอะไทรดิสแล้วนั่นที่เจ้าจะได้กลิ่นถึงลูกเล่ห์ของฮาร์คอนเนนจากเหล็กไนที่พวกมันทิ้งไว้บนมัน?
เจ้าไม่ได้เรียนรู้ถึงความจงรักภักดีแห่งอะไทรดิสนั้นได้ถูกซื้อได้ด้วยความรักขณะที่เหรียญของฮาร์คอนเนนนั้นคือความเกลียดชัง?
เจ้าไม่สามารถมองทะลุเห็นถึงธรรมชาติของการทรยศนี้หรอกรึ?”
“แต่หยู?” เกอร์นีย์พึมพำ.
“หลักฐานที่เราได้มาคือข่าวสารจากหยูเองให้แก่เรายอมรับถึงการทรยศของเขา,”
พอลพูด. “ข้าสาบานเรื่องนี้กับเจ้าด้วยความรักที่ข้ายึดถือต่อเจ้า,
ความรักที่ข้ายังคงยึดถือแม้กลังจากที่ข้าปล่อยทิ้งให้เจ้านอนตายอยู่ที่พื้นนี้.”
ได้ยินบุตรชายของเธอ, เจสสิกาประหลาดใจมากกับสัมปชัญญะในตัวเขา,
การแทงทะลุภาพด้านในของสติปัญญาของเขา.
“บิดาของข้ามีสัญชาตญาณกับสหายทั้งหลายของเขา,”
พอลพูด. “เขาให้ความรักของเขาอย่างประหยัด,
แต่ด้วยการไม่เคยมีการพลั้งเผลอ.
ความอ่อนแอของเขาทอดวางอยู่ในความเกลียดชังที่เข้าใจผิดพลาด. เขาได้คิดว่าใครคนใดก็ตามที่เกลียดชังฮาร์คอนเนนส์ก็จะไม่สามารถทรยศต่อเขาได้.”
เขาชำเลืองมาที่มารดาของตน. “เธอรู้เรื่องนี้ดี.
ข้าได้ให้เธอไปแล้วในข่าวสารของบิดาข้าที่บอกว่าเขาไม่มีวันไร้ความไว้วางใจต่อเธอ.”
เจสสิการู้สึกตนเองหลุดจากการควบคุม,
กัดริมฝีปากล่างของเธอ. มองเห็นความแข็งกร้าวเป็นทางการในพอล,
เธอตระหนักได้ว่าอะไรที่คำพูดเหล่านี้ได้ทำให้เขาต้องจ่ายอะไรไป.
เออยากจะวิ่งเข้าปาเขา, โอบกล่อมศีรษะของเขาเข้ากับอกของเธอดังที่เธอไม่เคยได้ทำ.
แต่แขนที่โอบลำคอเธออยู่นั้นได้หยุดสั่นเทาลง, มีดชี้ที่หลังของเธอกดนิ่งและคมแหลม.
“หนึ่งในชั่วขณะอันน่าสะพรึงกลัวมากที่สุดใรชีวิตของเด็กชาย,”
พอลฺพูด,
“คือเมื่อเขาได้ค้นพบว่าบิดาของเขาและมารดาของเขาเป็นแค่มนุษย์ผู้แบ่งปันความรักที่เขาไม่เคยสามารถได้รับลิ้มรสนั้นได้.
มันเป็นความสูญหาย, การตื่นขึ้นมาต่อความสัจจริงที่โลกนี้อยู่ตรงนั้นและตรงนี้และเราอยู่ในมันตามลำพัง.
ชั่วขณะนั้นที่แบกพาความสัจจริงของมันเองมา, ที่เจ้าไม่สามารถลบเลี่ยงมันได้.
ข้าได้ยินบิดาของข้าเมื่อเขาพูดถึงมารดาของข้า. เธอไม่ได้เป็นผู้ทรยศ, เกอร์นีย์.”
เจสสิกาพบเสียงของเธอ, พูด: ฎเกอร์นีย์,
ปล่อยข้า.” มีคำบัญชาพิเศษใดในคำพูดนั้น, ม่มีเล่ห์กลที่เล่นบนความอ่อนแอของเขา,
แต่มือของเกอร์นีย์ล่นลงไป. เธอข้ามไปหาพอล, ยืนตรงหน้าของเขา,
ไม่แตะต้องตัวเขา.
“พอล,” เธอพูด,
“มีการตื่นขึ้นอื่นอีกในจักรวาลนี้. ข้าทันทีนั้นได้เห็นว่าข้าได้ใช้เจ้าอย่างไรและปรับเปลี่ยนเจ้าอย่างไรเพื่อจัดเตรียมเจ้าบนเส้นทางองการเลือกของข้าเอง.....เส้นทางหนึ่ที่ข้าต้องเลือก---ถ้านั่นเป็นขอแก้ตัวใด---เพราะการฝึกฝนของตัวข้า.”
เธอกล้ำกลืนผ่านก้อนในลำคอของเธอ, มองขึ้นเข้าไปในดวงตาของลูกชายเธอ. “พอล.....แม่ต้องการให้ลูกทำบางอย่างเพื่อแม่,
เลือกเส้นทางแห่งความสุข. ผู้หญิงทะเลทรายของลูก, แต่งงานกับเธอถ้าลูกปรารถนา.
ขัดขืนต่อทุกคนและทุกสิ่งเพื่อที่จะทำสิ่งนี้. แต่จเลือกเส้นทางของลูกเอง.
แม่.....”
เธอชงัก,
หยุดลงโดยเสียงต่ำของการพึมพำเบื้องหลังของเธอ.
เกอร์นีย์!
เธอเห็นดวงตาของพอลตรงจับเลยไกลเธอไป,
หันตัวกลับ.
เกอร์นีย์ยังคงยืนอยู่ที่จุดเดิม,
แต่ได้สอดมีดเข้าในฝักแล้ว,
ดึงเสื้อคลุมของเขาออกจากหน้าอกเพื่อเปิดให้เห็นสีเทาลื่นของผิวชุดสติลล์สูท,
แบบที่พวกลักลอบขนของเถื่อนซื้อขายกันในท่ามกลางทุ่งโพรงสิฐคามทั้งหลายง
“เอามีดของท่านมาที่ในหน้าอกของข้านี้,” เกอร์นีย์พึมพำ.
“ข้าพูดว่าฆ่าข้าและจบสิ้นกับมันไป. ข้าได้ทำลายเกียรติแห่งชื่อของข้าเอง.
ข้าได้ทรยศต่อดยุคของข้าเอง! สิ่งดีที่สุด---”
“อยู่นิ่งไว้!” พอลพูด.
เกอร์นีย์จ้องมองเขา.
“ปิดเสื้อคลุมและหยุดทำตัวเหมือนคนโง่,” พอลพูด.
“ข้ามีความโง่เขลาเพียงพอแล้วสำหรับวันนี้.”
“ฆ่าข้า, ข้าบอก!” เกอร์นีย์เดือดดาล.
“เจ้ารู้จักข้าดีกว่าการนั้น,” พอลพูด.
“มีมากมายชนิดของปัญญาอ่อนที่เจ้าคิดว่าข้าเป็นหรือ? ข้าต้องผ่านเรื่องเช่นนี้ไปให้ได้กับทุกคนที่ข้าต้องมีพวกเขาด้วยหรือ?”
เกอร์นีย์มองที่เจสสิกา,
พูดในเสียงท้อแท้, อ้อนวอนที่ไม่เหมือนเป็นเขา: “งั้นก็ท่าน, ท่านหญิงของข้า,
ได้โปรด.....ท่านฆ่าข้าเถิด.”
เจสสิกาเดินข้ามไปหาเขา,
วางมือทั้งสองลงบนไหล่ทั้งคู่ของเขา. “เกอร์นีย์, ทำไมเจ้าถึงดื้อดึงให้อะไทรดิสต้องฆ่าผู้ที่พวกเขารักล่ะหรือ?”
อย่างนุ่มนวล, เธอดึงเสื้อคลุมที่แผ่กว้างเปิดอยู่ออกมาจากนิ้วมือของเขา,
ปิดและรัดผ้านั้นเหนือหน้าอกของเขา.
เกอร์นีย์พูดอย่างแตกสลาย: “แต่.....ข้า.....”
“ท่านคิดว่าท่านกำลังทำสิ่งนั้นเพื่อลีโต,”
เธอพูด, “และสำหรับสิ่งนี้ข้ายกย่องท่าน.”
“ท่านหญิงของข้า.” เกอร์นีย์พูด.
เขาทิ้งคางของตนลงแนบเหนือหน้าอกของตน, ถูกเปลือกตาของเขาต้านน้ำตาที่ไหล.
“ขอเราจงคิดถึงเรื่องนี้ว่าเป็นการเข้าใจผิดใหมู่สายทั้งหลายเถิด,”
เธอพูด, และพอลได้ยินการกล่อมปลอบ,
การปรับแต่งระดับเสียงทั้งหลายในน้ำเสียงของเธอ.
“มันจบแล้วและเราสามารถเป็นที่ขอบคุณอย่างเต็มเปี่ยมที่เราจำไม่มีอีกครั้งซึ่งได้อะไรแบบนี้ที่เกิดการเข้าใจผิดระหว่างพวกเรา.”
เกอร์นีย์เปิดดวงตาขึ้นแวววาวด้วยความชื้น,
ก้มลงมามองเธอ.
“เกอร์นีย์ ฮัลเล็คคนที่ข้ารู้จักนั้นเป็นชายที่เก่งกาจทั้งมีดและพิณบาลิเส็ท,”
เจสสิกาพูด. “เป็นชายแห่งพิณบาลิเส็ทที่ข้าชื่นชมมากที่สุด. นั่นไม่ใช่เกอร์นีย์
ฮัลเล็คที่จำได้หรอกหรือว่าข้าเคยได้รื่นรมย์ในการฟังเป็นชั่วโมงขณะที่เขาเล่นเพลงเพื่อข้า?
ท่านยังมีพิณบาลิเส็ทอยู่อีกไหม?”
“ข้ามีอันใหม่หนึ่ง,” เกอร์นีย์พูด.
“ซื้อจากชูชุค, ตัวนี้เสียงหวาน. เล่นได้เหมือนวาโรต้าของจริง,
แม้ว่าไม่มีลายเซ็นบนมัน. ข้าคิดกับตัวเองว่ามันถูกทำขึ้นโดยนักศึกษาของวาโนต้าที่.....”
เขายุดชงัก. “อะไรที่ข้าสามารถพูดได้กับท่านหรือ, ท่านหญิงของข้า?
นี่เราพร่ำเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับ---”
“ไม่ได้พร่ำเพ้อเจ้อ, เกอร์นีย์,”
พอลพูด. เขาข้ามมายืนข้างมารดาของเขา, ตาสบตากับเกอร์นีย์.
“ไม่ได้เพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อย, แต่คือสิ่งหนึ่งที่นำความสุขมาในระหว่างเพื่อน. ข้าถือว่ามันเป็นความกรุณาถ้าท่านจะเล่นเพื่อเธอในตอนนี้.
กากรวางแผนสงครามสามารถรอคอยไปได้สักระยะหนึ่ง.
เราจะไม่เข้าไปสู่การสู้รบจนกว่าพรุ่งนี้เมื่อใดก็ได้.”
“ข้า....ข้าจะไปเอาพิณบาลิเส็ท,” เกอร์นีย์พูด.
“มันอยู่ที่ช่องทางเดิน.” เขาก้าวอ้อมพวกเขาและผ่านทะลุม่านกั้นออกไป.
พอลวางมือของเขาบนแขนมารดาของตน,
พบว่าเธอกำลังตัวสั่นเทา.
“มันจบแล้ว, ท่านแม่,” เขาพูด.
ปราศจากการหันศีรษะของเธอ,
เธอเงยขึ้นยังเขาจากมุมกนึ่งของดวงตาเธอ. “จบแล้วรึ?”
“แน่นอน, กับเกอร์นีย์นั้น.....”
“เกอร์นีย์? โอ้.....ใช่.”
เธอลดสายตามองลง.
ม่านกั้นสั่นเปิดออกเมื่อเกอร์นีย์กลับมาพร้อมด้วยพิณบาลิเส็ท.
เขาเริ่มตั้งเสียงมัน, หลบเลี่ยงสายตาของพวกเขา.
ม่านบังที่ผนังทำให้เสียงกังวานสะท้อนของมันตุ่นมัวลง,
ทำให้เสียงเครื่องดนตรีนั้นเล็กและละเอียดขึ้น.
พอลนำมารดาของตนไปยังหมอนอิง,
ให้เธอนั่งลงที่นั่นด้วยหลังหันพิงกับความหนาของม่านแขวนของผนัง. เขาทันทีนั้นวาบคิดขึ้นได้ว่าเธอดูเหมือนชราลงไปเช่นไรในสายตาของเขาด้วยการเริ่มต้นของเส้นสายจากทะเลทรายแห้งแล้งในใบหน้าของเธอ,
รอยร่องยืดยาวที่มุมของดวงตาสีฟ้าบังของเธอ.
เธอเหนื่อยล้าแล้ว, เขาคิด. เราต้องหาบางหนทางให้เธอได้ผ่อนเบาจากภาระของเธอแล้ว.
เกอร์นีย์ดีดกวาดคอร์ดลง.
พอลเหลือบมองยังเขา, พูด: “ข้ามี.....หลายสิ่งที่ข้าจำเป็นต้องให้ความสนใจ.
รออยู่ที่นี่หั้บข้า.”
เกอร์นีย์พยักหน้า.
จิตใจของเขาดูเหมือนอยู่ไกลห่างออกไป,
ราววกับว่าเขาได้อยู่สำหรับชั่วขณะนี้ภายใต้ท้องฟ้าเปิดโ,งของคาลาดานด้วยกลุ่มเมฆครึ้มที่ขอบฟ้าอันสัญญาให้ถึงฝนที่จะมีมา.
พอลบังคับตนเองให้หันจากไป,
ปล่อยตนเองผ่านทะลุม่านกั้นหนักแขวนห้อยเหนือช่องทางเดินนั้นออกไป. เขาได้ยินเกอร์นีย์ร้องรับกับเสียงทางด้านหลังของเขา,
และหยุดชั่วขณะข้างนอกห้องนั้นเพื่อฟังต่อดนตรีแผ่วค่อยนั้น.
“สวนไม้ผลและลานแถวองุ่น,
และสาวงามอกอวบแน่น,
และถ้วยหนึ่งไหลล้นตรงหน้าข้า.
ทำไมข้าต้องพร่ำพูดถึงการรบพุ่งทั้งหลาย,
และขุนเขาที่ลดสลายสู่ฝุ่นธุลีหรือ?
ทำไมข้าต้องรู้สึกถึงหยดน้ำตาเหล่านี้หรือ?
สวรรค์ทั้งหลายยืนเปิดอยู่
และโปรยหว่านความรวยร่ำของพวกเขา;
มือของข้าต้องการแต่กวาดรวบความมั่งคั่งของพวกเขา.
ทำไมข้าต้องคิดถึงการซุ่มโจมตี,
และยาพิษในถ้วยเหลวหลอมล่ะหรือ?
ทำไมข้าถึงรู้สึกถึงปีวันของข้าล่ะ?
แขนของความรักกวักมือเรียกหา
ด้วยความปรีดาเปลือยเปล่าของพวกเขา,
และสัญญาแห่งอีเดนของความปีติสุขทั้งหลาย.
ทำไมข้าต้องจดจำถึงรอยแผลเป็นทั้งหลาย,
ฝันของการกระทำผิดบาปเก่าชราทั้งหลาย.....
และทำไมข้าต้องนอนหลับไปกับความกลัวด้วยหรือ?
คนนำสาส์นฟีเดย์คินในเสื้อคลุมปรากฏขึ้นจากมุมหนึ่งของช่องทางเดินตอนหน้าขึ้นไปของพอล.
ชายผู้นั้นมีหมวกคลุมศีรษะเหวี่ยงเปิดไปไว้ด้านหลังและสายรัดของชุดสติลล์สูทปล่อยห้อยอยู่ที่ต้นคอ,
พิสูจน์ว่าเขาได้เพิ่งเข้ามาถึงจากทะเลทรายเปิดโล่งด้านนอก.
พอลส่งท่าทางให้เขาหยุด, ปล่อยม่านกั้นบังประตูและเคลื่อนลงไปตามช่องทางเดินเข้าหาผู้นำสาส์นนั้น.
ชายนั้นโค้งคำนับ,
มือประสานอยู่ที่ด้านน้าของตนตามวิธีที่เขาควรจะแสดงในการต้อนรับแม่อธิการหรือเสย์ยาดินาแห่งพิธีกรรม.
เขาพูด: “มวด’ดิบ,
ผู้นำทั้งหลายกำลังเริ่มที่จะมาถึงเพื่อประชุมสภาแล้ว.”
“เร็วขนาดนี้เลยรึ?”
“มีหลายคนที่สติลจาร์ส่งไปก่อนแล้วเมื่อมันถูกคิดว่า.....”
ชายนั้นยักไหล่.
“ข้าเข้าใจ.” พอลชำเลืองมองด้านหลังไปยังเสียงแผ่วเบาของพิณบาลิเส็ท,
คิดถึงเพลงเก่าแก่ที่มารดาของเขาชอบ---การยื่นเข้ามาอย่างพิกลของเสียงความสุขและคำร้องอันเศร้า.
“สติลจาร์จะมาที่นี่ในไม่ช้าพร้อมกับคนอื่นๆ. แสดงให้พวกเขายังที่ซึ่งมารดาของข้ารอคอยอยู่ด้วย.”
“ข้าจะคอยอยู่ที่นี่, มวด’ดิบ,” ผู้นำสาส์นพูด.
“ใช่.....ใช่, ทำเช่นนั้น.”
พอลดันตนเองผ่านชายนั้นเข้าไปในตอนลึกของถ้ำคูหา,
มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่แต่ละถ้ำคูหาเช่นนี้มี---สถานที่ซึ่งใกล้กับอ่างเก็บ-กักน้ำของมัน.
จะมีไช-ฮูลุดเล็กๆในที่นี้, สิ่งมีชีวิตไม่มากไปกว่าเก้าเมตรยาว, ถูกหยุดการเจริญเติบโตและขังไว้โดยรายรอบล้อมหลุมน้ำทั้งหลาย.
ผู้สร้าง, หลังจากโผล่จากเชื้อผู้สร้างตัวน้อยของมันแล้ว,
จะหลีกเลี่ยงน้ำเพราะเป็นพิษของมันเอง. และการจมน้ำของผู้สร้างเป็นความลับอันยิ่งใหญ่ที่สุดของฟรีเมนเพราะว่ามันได้ผลิตแก่นสารแห่งสมาพันธ์นี้---ชีววารี,
น้ำแห่งชีวิต, ยาพิษทีสามารถถูกเปลี่ยนได้โดยแม่อธิการ.
การตัดสินใจได้มาสู่พอลขณะที่เขาเผชิญหน้าต่อความตึงเครียดของอันตรายที่มีต่อมารดาของเขา.
ไม่มีเส้นของอนาคตที่เขาได้เห็นที่พานำเอาชั่วขณะของอันตรายจากเกอร์นีย์ ฮัลเล็ค.
อนาคต---เมฆหมอก-สีเทา-อนาคต---ด้วยความรู้สึกของมันเองที่เอกภพทั้งปวงได้ม้วนไปสู่แกนที่เดือดพล่านแขวนห้อยอยู่รอบตัวเขาเหมือนโลกของภูตปีศาจ.
ข้าต้องมองเห็นมัน,
เขาคิด.
ร่างกายของเขาได้ได้รับเครื่องเทศจำเพาะอย่างช้าๆอดทนที่ทำให้ภาพทัศน์เหตุการณ์ล่วงหน้าน้อยลงไปและยิ่งน้อยลงไป.....มัวสลัวลงและมัวสลัวลง.
ทางคลี่คลายในเรื่องนี้ปรากฏชัดเจนต่อเขา.
ข้าจะจมผู้สร้าง.
เราจะเห็นกันในตอนนี้ว่าข้าคือ ควิทสาตซ์ ฮาเดรัค
ผู้ที่สามารถรอดชีวิตจากการทดสอบที่แม่อธิการได้รอดชีวิตกันมานั้นหรือไม่.
และมันมาถึงในปีที่สามแห่ง
สงครามทะเลทราย ที่ พอล-มวด’ดิบ
นอนทอดกายตามลำพังอยู่ใน ถ้ำคูหาแห่งเหล่านกภายใต้ คิสวา(kiswa*)แขวนลอยอยู่ข้างในเซลล์.
และเขานอนดุจผู้ที่ตายไปแล้ว, ถูกกุมติดอยู่ในวิวรณแห่งชีววารี, ชีวิตของเขาเปลี่ยนผ่านโพ้นเลยขอบเขตทั้งหลายแห่งกาละ/เวลาโดยยาพิษซึ่งให้ชีวิต.
กระนั้นเองที่คำพยากรณ์สร้างทำความสัจจริงที่ไลสาน อัล-กาอิบ
อาจเป็นได้ทั้งตายและมีชีวิต.
---“ตำนานที่ถูกรวบรวมไว้ แห่ง อาร์ราคิส” โดย
เจ้าหญิงอีร์อูลาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น