หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (41)

 

           บ่อยครั้งเช่นไรที่มันเป็นว่าชายผู้โกรธชังนั้นปฏิเสธต่ออะไรในสิ่งที่ข้างในตนเองกำลังบอกกับเขา.

---“คำพูดที่ถูกรวบรวมไว้ ของ มวดดิบ” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

 

         ฝูงคนในถ้ำโถงประชุมแผ่รังสีความรู้สึกที่อัดแน่นออกมาจนเจสสิกาได้รู้สึกไปถึงวันที่พอลฆ่าจามิส. มีความประสาทตื่นกลัวอยู่ในน้ำเสียงพึมพำทั้งหลาย. กลุ่มคณะเล็กๆจับตัวรวมกันเหมือนกระจุกปมทั้งหลายในหมู่เสื้อคลุม.

         เจสสิกายัดกระบอกข่าวสาส์นในใต้เสื้อคลุมของเธอขณะที่เธอเร่งด่วนยังเชิงตะพักยื่นจากเขตที่พักส่วนตัวของพอล. เธอรู้สึกสงบนิ่งลงหลังจากการเดินทางไกลยาวนานจากทางตอนใต้, แต่ยังคงปวดร้าวใจที่พอลจะยังไม่ให้พวกเขาใช้ยานออมนิธ็อปเปอร์ที่จับยึดมาได้.

         “เราไม่ได้มีการควบคุมเต็มที่ทางอากาศ,” เขาได้บอก. “และเราต้องไม่กลายไปพึ่งพาอยู่กับเชื้อเพลิงนอกพิภพ. ทั้งเชื้อเพลิงและยานอากาศต้องถูกรวบรวมและเก็บเอาไว้ในวันเวลาของความลำบากถึงขีดสูงสุด.”

         พอลยืนอยู่กับกลุ่มของทหารหนุ่มทั้งหลายใกล้เชิงยื่นนั้น. แสงซีดของลูกโคมลอยเรืองแสงให้ฉากทัศน์แต้มแต่งของความไม่เป็นจริง. มันเป็นเหมือนภาพวาดฉากละคร, แต่ด้วยมิติเพิ่มเติมของกลิ่นโพรงแออัด, กระซิบกระซาบ, เสียงทั้งหลายของเท้าเดินลากไปมา.

         เธอศึกษาบุตรชายของตน, สงสัยใจว่าทำไมเขาได้ยังไม่ย่างเท้าอวดสิ่งแปลกใจของเขาออกมา---เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค. ความคิดเรื่องเกอร์นีย์รบกวนใจเธอด้วยความทรงจำทั้งหลายของมันแห่งอดีตที่ง่ายดายกว่า---วันทั้งหลายของความรักและความงดงามกับบิดาของพอล.

         สติลจาร์รอคอยอยู่ด้วยกลุ่มเล็กๆของเขาเองที่ปลายสุดอีกด้านของเชิงตะพักยื่น.  มีความรู้สึกของความหยิ่งศักดิ์ศรีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เกี่ยวกับเขา, วิธีที่เขายืนปราศจากการพูดคุย.

         เราต้องไปสูญเสียชายผู้นั้น, เจสสิกาคิด. แผนการของพอลต้องได้ผล. สิ่งใดอื่นจะเป็นโศกนาฏกรรมสูงสุด.

         เธอก้าวยาวลงไปจากเชิงตะพัก, ผ่านสติลจาร์โดยปราศจากการเหลียวมอง, ก้าวลงเข้าไปในฝูงชุมนุม. ช่องทางเดินหนึ่งได้ทำขึ้นให้กับเธอขณะที่เธอมุ่งตรงไปหาพอล. และความเงียบติดตามเธอไป.

         เธอรู้ถึงความหมายของความเงียบนั้น---คำถามที่ไม่ได้พูดออกมาของผู้คน, ความกลัวเกรงต่อท่านแม่อธิการ.

         พวกทหารหนุ่มผละถอยลังออกจากพอลเมื่อเธอเดินเข้าไปถึงเขา, และเธอพบว่าตนเองท้อแท้ใจไปชั่วขณะโดยโดยความเคารพเยี่ยงใหม่นี้ที่พวกนั้นมอบให้แก่เขา. “ทหารทั้งหมดภายใต้ตำแหน่งของเจ้าประจำการปกป้องคุ้มกันเจ้า.” หลักการของเบเน เกสเสอริตว่าเอาไว้. แต่เธอพบว่าไม่มีความละโมบปรารถนาใดในใบหน้าเหล่านี้. พวกเขายั้งอยู่ในระยะโดยพิธีศาสน์ที่ได้มักหมมมาให้รายล้อมความเป็นผู้นำของพอล. และเอหวนจำถึงการบอกำว้อีกอันของเบเน เกสเสอริต: “ผู้พยากรณ์ทั้งหลายมีหนทางแห่งการตายโดยความรุนแรง.”

         พอลมองมายังเธอ.

         “ถึงเวลาแล้ว,” เธอพูด, และส่งผ่านกระบอกข่าวสาส์นไปให้เขา.

         หนึ่งในสหายของพอล, กล้าหาญกว่าคนอื่นๆๆ, ชำเลืองข้ามไปที่สติลจาร์, พูด: “ท่านจะเรียกท้าเขาออกมาหรือไม่, มวดดิบ? ตอนนี้ถึงเวลาให้แน่นอนแล้ว. พวกเขาจะคิดว่าท่านเป็นคนขลาดถ้าท่าน---”

         “ใครกล้าเรียกข้าว่าคนขลาด?” พอลถามสั่ง. มือของเขาพุ่งวาบไปที่ด้ามของมีดกริชคริชคไน้ฟของเขา.

         ความเงียบงันลงไปทั่วกลุ่มนั้น, แผ่กระจายออกไปในฝูงชุมนุม.

         “มีงานที่จะต้องทำ,” พอลพูดขณะที่ทหารผู้นั้นดึงตัวถอยกลับไปจากเขา. พอลหันหนีไป, ไหล่แหวกผ่านฝูงชุมนุมไปยังเชิงตะพักนั้น, กระโจนอย่างแผ่วเบาขึ้นยังมันและหันหน้ามาหาฝูงคน.

         “ทำมันเลย!” บางคนกรีดร้องขึ้น.

         เสียงพึมพำและกระซิบกระซาบทั้งหลายดังขึ้นหลังเสียงกรีดร้องนั้น.

         พอลรอคอยให้เสียงเงียบลง. มันมาอย่างช้าๆในท่ามกลางเสียงลากเท้าแกรกกรากและไอกระแอมทั้งหลาย. เมื่อมันเงียบสงบลงในถ้ำคูหา, พอลเชิดคางของเขาขึ้น, พูดในน้ำเสียงที่พาไปถึงมุมที่ไกลที่สุด.

         “พวกเจ้าเหนื่อยหน่ายกับการรอคอย,” พอลพูด.

         อีกครั้ง, เขารอคอยขณะที่เสียงกรีดร้องตอบขานรับหายตายลงไป.

         จริงแท้, พวกเขาได้เหนื่อยหน่ายกับการรอคอย, พอลคิด. เขาเดาะน้ำหนักกระบอกสาส์นในมือ, คิดว่าอะไรที่มันถูกบรรจุอยู่. มารดาของเขาได้แสดงมันต่อเขา, อธิบายว่ามันได้ถูกนำมาจากคนถือสาส์นฮาร์คอนเนนได้อย่างไร. แร็บบานกำลังถูกทอดทิ้งอยู่กับกองกำลังทั้งหลายของตนเองที่นี่บนอาร์ราคิส! เขาไมสามารถเรียกร้องความช่วยเหลือหรือกองกำลังเสริมทัพได้อีก!

         อีกครั้ง, พอลยกเสียงของเขาให้ดังขึ้น: “พวกเจ้าคิดว่ามันถึงเวลาที่ข้าจะเรียกท้าสติลจาร์ออกมาประลองและเปลี่ยนผู้นำของกองทหารทั้งหลาย!” ก่อนที่พวกเขาจะโห่ร้องขานรับ. พอลขว้างเสียงของเขาเข้าใส่พวกนั้นด้วยความโกรธ: “พวกเจ้าคิดว่าไลสาน อัล-กาอิบเป็นไอ้งั่งถ่อยสถุลรึ?”

         มีความนิ่งงันเงียบชงักขึ้น.

         เขากำลังยอมที่จะเล่นบทบาททางลัทธิศาสน์, เจสสิกาคิด.  เขาต้องไม่ทำมัน!

         “มันเป็นวิถี!” ใครบางคนตะโกนขึ้น.

         พอลพูดอย่างแห้งแล้ง, สืบเสาะถึงอารมณ์แฝงอยู่ใต้กระแส. “วิถีทั้งหลายเปลี่ยนไปแล้ว.”

         เสียงโกรธหนึ่งดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งของคูหา: “เราจะพูดกันว่าอะไรที่จะเปลี่ยน.”

         มีเสียงตะโกนถึงการเห็นด้วยทั้งหลายกระจัดกระจายผ่านไปทั่วฝูงชุมนุม.

         “ตามที่พวกเจ้าปรารถนา,” พอลพูด.

         และเจสสิกาได้ยินเสียงสูงต่ำเป็นทำนองอย่างประณีตขึ้นเมื่อเขาใช้พลังแห่งวจนะที่เธอได้สอนเขามา.

         “พวกเจ้าจะพูด,” เขาเห็นด้วย. “แต่อย่างแรกเจ้าจะฟังที่ข้าพูด.”

         สติลจาร์เคลื่อนไปตามเชิงตะพัก, ใบหน้ารกเคราของเขาไร้ความรู้สึก. “นี่ก็เป็นวิถีด้วย, เช่นกัน,” เขาพูด. “เสียงของฟรีเมนคนใดก็อาจเป็นที่ถูกรับฟังในสภา. พอล มวดดิบ คือ ฟรีเมน.”

         “สิ่งที่ดีต่อเผ่า, นั่นคือความสำคัญมากที่สุด, เอ๋?” พอลถาม.

         ยังคงเป็นน้ำเสียงราบเรียบแห่งศักดิ์ศรี, สติลจาร์พูด. “กระนั้นคือก้าวย่างที่เราได้รับการชี้นำมา.”

         “เอาละ,” พอลพูด. “เช่นนั้น, ผู้ซึ่งปกครองกองทหารทั้งหลายของเผ่าเรา---และผู้ซึ่งปกครองเผ่าและกองทหารทั้งหลายทั้งหมดผ่านการสั่งสอนแนะนำการต่อสู้ที่เราได้ฝึกฝนมาในวิถีพิกลระหลาดล่ะหรือ?”

         พอลรอคอย, มองข้ามไปทั่วทุกศีรษะของฝูงคน. ไม่มีคำตอบมา.

         ทันทีนั้น, เขาพูด:สติลจาร์ปกครองทั้งหมดนี้มาหรือ? เขาพูดกับตนเองว่าเขาไม่ได้. ข้าปกครองหรือ? กระทั่งสติลจาร์เองก็ออกคำสั่งต่อข้าในบางโอกาส, ดังนั้นปราชญ์ทั้งหลาย, ผู้ฉลาดที่สุดในบรรดาผู้ฉลาด, ฟังต่อข้าและให้เกียรติข้าในสภา.”

         มีลากเท้าเงียบๆปนเปกันอยู่ในฝูงชุมนุม.

         “ดังนั้น,” พอลพูด. “มารดาของข้านี้ได้ปกครองรึ?” เขาชี้ลงไปที่เจสสิกาในชุดคลุมสีดำของเธอแห่งเจ้าหน้าที่ท่ามกลางพวกนั้น. “สติลจาร์และผู้นำกองทหารอื่นถามคำแนะนำจากเธอในเกือบทุกครั้งของการตัดสินใหญ่ๆ. พวกเจาก็รู้เรื่องนี้ดี. แต่แม่อธิการเดินบนทะเลทรายหรือเป็นผู้นำการโจมตีทลายล้างต่อฮาร์คอนเนนส์หรือ?”

         คิ้วเริ่มขมวดยับย่นบนใบหน้าทั้งหลายของเหล่าคนที่พอลสามารถมองเห็นได้, แต่ยังคงมีเสียงพึมพำด้วยความโกรธกันอยู่.

         นี่เป็นวิธีอันตรายที่จะทำมัน, เจสสิกาคิด., แต่เธอจำได้ถึงข่าวสาส์นในกระบอกนั้นและอะไรที่มันแสดงนัยไว้. และเธอได้เห็นความตั้งใจของพอล: ตรงไปยังก้นบึ้งของความรู้สึกไม่มั่นใจของพวกเขา, จัดการควบคุมนั่น, แล้วที่เหลือกะจต้อวติดตามมาเอง.

         “ไม่มีใครจดจำได้ถึงความเป็นผู้นำโดยปราศจากการท้าประลองและประฝีมือฆ่ากัน, เอ๋?” พอลถาม.

         “นั่นเป็นวิถี!” ใครบางคนตะโกนขึ้น.

         “อะไรคือเป้ามายของเรา?” พอลถาม. “คือที่จะปลดบัลลังก์ของแร็บบาน, เจ้าสัตว์ฮาร์คอนเนน, และรื้อฟื้นสร้างโลกใหม่ของเราให้เข้าสู่ที่ซึ่งเราจื้นคืนครอบครัวของเราขึ้นมาในความสุขท่ามกลางน้ำที่มากมาล้นหลาม---นี่เป็นเป้าหมายของเราหรือไม่ล่ะ?”

         “งานยากจำเป็นต้องใช้วิธีลำบาก,” ใครบางคนตะโกน.

         “เจ้าจะหักทำลายมีดดาบของเจ้าก่อนการศึกหรือ?” พอลถามสั่ง. “ที่ข้าพูดนี้คือความสัจจริง, ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเช่นโอ้อวดโวหารหรือท้าทาย-ว่า: ไม่มีใครในที่นี้, สติลจาร์รวมอยู่ด้วย, ผู้ที่สามารถยืนขวางต้านข้าได้ในการต่อสู้เดี่ยว. นี่คือคำยอมรับของสติลจาร์ด้วยตนเอง. เขารู้มันดี, ดังเช่นที่พวกเจ้าทั้งหมดรู้.”

         อีกครั้ง, เสียงพึมพำด้วยความโกรธดังขึ้นในหมู่ฝูงชุมนุม.

         “หลายคนของพวกเจ้าในที่นี้ได้เคยอยู่กับข้าบนพื้นการฝึก,” พอลพูด. “พวกเจ้ารู้เรื่องนี้ดีว่าไม่ใช่คำโอ้อวดโอหัง. ข้าพูดมันเพราะว่ามันคือความสัจจริงที่รู้กันดีในพวกเราทั้งหมด, และข้าจะเป็นคนโ.งั่งที่ม่ได้เห็นมันด้วยตนเอง. ข้าเริ่มต้นการฝึกในวิถีเหล่านี้ก่อนที่พวกเจ้าจะทำและครูสอนของข้านั้นแกร่งกร้าวกว่าผู้ใดที่เจ้าเคยได้เห็นมา. อย่างไรอื่นหรือที่เจ้าคิดว่าข้าได้เอาชนะจามิสในวัยอายุเมื่อลูกทั้งหลายของพวกเจ้ายังคงต่อสู้กันแต่เพียงการรบเล่นล้อเลียน?”

         เขากำลังใช้วจนะได้ดี, เจสสิกาคิด, แต่นั่นไม่เพียงพอกับผู้คนเหล่านี้. พวกเขามีฉนวนกั้นที่ดีต่อเสียงควบคุม. เขาต้องกุมพวกนี้ไว้ด้วยเหตุผล.

         “ดังนั้น,” พอลพูด, “เรามาถึงเรื่องนี้กัน.” เขาชูกระบอกสาส์นนั้น, เปิดแผ่นสายรัดของมันออก. “นี่ถูกเอามาจากคนเดินสาส์นของฮาร์คอนเนน. ความเป็นทางการถูกต้องของมันโพ้นเลยคำถามใด. มันถูกจ่าหน้าไปถึงแร็บบาน. มันบอกเขาว่าคำร้องขอสำรับกองทหารใหม่นั้นได้รับการปฏิเสธ, ว่าการเก็บเกี่ยวเครื่องเทศของเขานั้นต่ำกว่าโควตาไปไกล, ว่าเขาต้องบีบคั้นเครื่องเทศมากยิ่งขึ้นจากอาร์ราคิสด้วยผู้คนที่เขามีอยู่.”

         สติลจาร์เคลื่อนเข้ามาที่ข้างพอล.

         “มากมายกี่คนของพวกเจ้าที่มองเห็นว่ามันหมายความถึงอะไร?” พอลถาม. “สติลจาร์มองออกในทันที.”

         “พวกมันถูกตัดหาง!” ใครบางคนตะโกน.

         พอลเอาข่าวสาส์นและกระบอกนั้นเก็บเข้าไปในสายคาดเอวของเขา. จากต้นคอของตนเขาปลดเอาขดสายถักรัดคอชิการไวริ์(shigawire*)และถอดแหวนที่ร้อยอยู่ออกมาจากขด, กุมแหวนนั้นชูขึ้น.

         * https://dune.fandom.com/wiki/Shigawire

         “นี่คือธำมรงค์ราชศักดิ์ดยุคของบิดาข้า,” เขาพูด. “ข้าได้สาบานว่าจะไม่สวมมันอีกจนกว่าข้าพร้อมที่จะนำกองทหารของข้าขึ้นเหนือทั้งปวงของอาร์ราคิสและทวงอ้างสิทธิ์มันในศักดินาอันชอบธรรมของข้า.” เขาสวมแหวนนั้นเข้ากับนิ้วของตน, กำมือเป็นกำปั้น.

         ความนิ่งสงัดเกาะกุมถ้ำคูหานั้น.

         “ใครปกครองที่นี้รึ?” พอลถาม. เขาชูกำปั้นขึ้น. “ข้าครองอำนาจที่นี่! ข้าปกครองทุกตารางนิ้วของอาร์ราคิส! นี่คือราชศักดินาแห่งดยุคไม่ว่าจักรพรรดิจะพูดว่าใช่หรือไม่! เขาก็มอบมันต่อบิดาของข้าและมันมาตกทอดมาสู่ข้าโดยบิดาของข้า!

         พอลยกร่างตนเขย่งขึ้นปลายเท้า, ลดกลับลงสู่ส้นเท้าของตน, เขาศึกษาฝูงชุมนุมนั้น, รู้สึกถึงอารมณ์พุ่งพล่านของพวกนั้น.

         เกือบแล้ว, เขาคิด.

         “มีผู้คนที่นี้ผู้ที่จะรั้งตำแหน่งสำคัญทั้งหลายลนอาร์ราคิสเมื่อข้าทวงสิทธิ์ของจักรวรรดิซึ่งเป็นของข้านี้ได้,” พอลพูด. “สติลจาร์คือหนึ่งในผู้คนเหล่านั้น. ไม่ใช่เพราะว่าข้าปรารถนาจะให้สินบนต่อเขา! ไม่ใช่ออกมาจากความกตัญญู, แม้ว่าข้าข้าคือหนึ่งในหลายคนที่นี้ผู้ซึ่งเป็นหนี้ชีวิตต่อเขาด้วยชีวิต. ไม่! เพราะว่าเขาฉลาด, และเข้มแข็ง. เพราะว่าเขาบริหารปกครองกองทหารนี้ด้วยเชาวน์ปัญญาของเขาเองและม่ใช่แต่เพียงด้วยกฏเกณฑ์วิถีทั้งหลาย. พวกเจ้าคิดว่าข้าโง่เง่าหรือ? พวกเจ้าคิดว่าข้าจะตัดแขนขวาของข้าและปล่อยให้มันเลือดไหลนองพื้นของคูหานี้เพียงแค่จัดาความบันเทิงเยี่ยงละครสัตว์ให้กับพวกเจ้าหรือ?”

         พอลกวาดสายตากึ่งจ้องมองไปทั่วฝูงชุมนุม. “มีใครในที่นี้ที่จะพูดว่าข้าไม่ใช่ผู้ครองอำนาจอย่างถูกต้องเต็มบนอาร์ราคิส? ต้องให้ข้าได้พิสูจน์มันโดยการละทิ้งฟรีเมนทุกเผ่าในชายขอบโดยปราศจากผู้นำหรือ?”

         ข้างร่างของพอล, สติลจาร์กระสับกระส่าย, มองเขาอย่างมีคำถาม.

         “ข้าจะลบออกจากความเข้มแข็งของเราในตอนที่เราจำเป็นต้องการมันหรือ?” พอลถาม. “ข้าคือผู้ปกครองของพวกเจ้า, และข้าพูดต่อพวกเจ้าว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะหยุดการฆ่าผู้คนที่ดีที่สุดของพวกเราและเริ่มต้นการฆ่าศัตรูที่แท้จริงของเรา---เจ้าฮาร์คอนเนนส์นั่น!

         ในหนึ่งการเคลื่อนไหวอย่างเร็วพร่า, สติลจาร์ดึงมีดกริชคริสคไน้ฟของเขาออกมาและชี้ขึ้นไปเหนือศีรษะทั้งหลายของฝูงชุมนุม. “ดยุค พอล-มวดดิบ จงเจริญ!” เขาตะโกน.

         เสียงคำรามอื้ออึงโสตประสาทลั่นเต็มไปทั่วถ้ำคูหา, ก้องและสะท้อนก้องกลับไปมา. พวกเขากำลังโห่ร้องและสวดท่องมนต์:ย่า ไฮยะ ชูฮาดะ! มวดดิบ! มวดดิบ! มวดดิบ! ย่า ไฮยะ ชูฮาดะ!

         เจสสิกาแปลความของมันให้กับตนเอง: “จงเจริญเถิดเหล่านักรบแห่งมวดดิบ!ฉากทัศน์ที่เธอและพอลและสติลจาร์ได้ปรุงสร้างมันขึ้นในระว่างพวกเขาได้ทำงานอย่างที่พวกเขาได้วางแผนไว้.

         ความอึกทึกนั้นตายลงอย่างช้าๆ.

         เมื่อความเงียบได้กลับคืนมา, พอลกันหน้าไปที่สติลจาร์, พูด: “คุกเข่าลง, สติลจาร์.”

         สติลจาร์ทิ้งตัวลงบนเข่าของเขากับพื้นเชิงตะพัก.

         “มอบมีดกริชของเจ้ามาให้ข้า,” พอลพูด.

         สติลจาร์เชื่อฟัง.

         นี่ไม่ใช่ที่เราได้วางแผนเอาไว้, เจสสิกาคิด.

         “พูดตามข้า, สติลจาร์,” พอลพูด, และเขาตะโกนขึ้นคำพูดทั้งหลายนั้นของพิธีการมอบอำนาจขณะที่เขาได้ยินเสียงของบิดาตนเองใช้ในพวกนั้น. “ข้า, สติลจาร์, จงรับมีดนี้จากหัตถ์ดยุคแห่งข้า.”

         “ข้า, สติลจาร์, รับมีดนี้จากหัตถ์ดยุคแห่งข้า,” สติลจาร์พูด, และรับมีดสีน้ำนมนั้นคืนจากพอล.

         “ที่แห่งใดซึ่งดยุคแห่งข้าบัญชา, นั้นจะมีข้าวางมีดนี้,” พอลพูด.

         สติลจาร์กล่าวตามคำทั้งหลายนั้น, พูดอย่างช้าและเคร่งขรึม.

         การหวนจำได้ถึงแหล่งที่มาของพิธีกรรมนี้, เจสสิกากระพริบเปลือกตากั้นน้ำตาที่เอ่อท้นกลับคืน, สั่นศีรษะของเธอ. ข้ารู้ดีถึงเหตุผลของการนี้, เธอคิด. ข้าจะไม่ปล่อยให้มันก่อกวนข้าได้.

         “ข้าขออุทิศมีดนี้ต่อเหตุผลที่ดีของดยุคแห่งข้าและความตายแห่งศัตรูของพระองค์ตราบนานเท่าที่เลือดของเราจะไหลลั่งไป,” พอลพูด.

         สติลจาร์กล่าวซ้ำมันตามเขา.

         “จุมพิตมีดนี้,” พอลสั่ง.

         สติลจาร์เชื่อฟัง, แล้ว, ในกิริยาของฟรีเมน, จุมพิตมือข้างที่ถือมีดของพอล. กับการพยักหน้ารับของพอล, เขาสวมฝักเข้ากับมีดนั้น, ลุกขึ้นยืนบนเท้าของตน.

         เสียงถอนหายใจกระซิบของความตื่นเต้นผ่านทะลุไปทั่วฝูงชุมนุม, และเจสสิกาได้ยินคำพูด: “คำพยากรณ์---เบเน เกสเสอริตจะแสดงหนทางให้ปรากฏและแม่อธิการจะมองเห็นมัน.” และ, จากห่างไกลออกไป: “ท่านแสดงต่อเราให้ปรากฏผ่านบุตรของท่าน!

         สติลจาร์คือผู้นำเผ่านี้,” พอลพูด. “จงอย่าได้มีผู้ใดผิดพลาดการนั้น. เขาบัญชาการด้วยเสียงแห่งข้า. เขาบอกกับพวกเจ้า, มันเป็นเช่นเดียวกับที่ข้าบอกกับเจ้า.”

         ฉลาด, เจสสิกาคิด. ผู้บัญชาการเผ่านี้ต้องไม่สูญเสียหน้าในท่ามกลางเหล่าคนผู้ต้องเชื่อฟังเขา.

         พอลลดเสียงของเขาต่ำลง, พูด:สติลจาร์, ข้าต้องการผู้เดินทะเลทรายออกไปไม่ใช่คืนนี้และซิเอลาโกทั้งหลาย(cielagos – ค้างคาวนำสาส์น)ส่งหมายเรียกชุมนุม สภา. เมื่อท่านได้ส่งพวกเขาไปแล้ว, นำชาตต์, คอร์บาและออธิยมและผู้หมวดคนอื่นอีกสองที่ท่านคัดเลือกเองมา. พาพวกเขมีที่พำนักส่วนตัวของข้าเพื่อวางแผนการยุทธ. เราต้องมีชัยชนะเพื่อแสดงต่อสภาแห่งผู้นำเมื่อพวกเขามาถึง.”

         พอลพยักหน้ากับมารดาของเขาเข้ามาร่วมกับเขา, นำทางลงไปจากเชิงตะพักและผ่านฝูงชุมนุมไปยังช่องทางเดินกลางและโถงพักผ่อนทั้งหลายที่ได้ถูกเตรียมไว้ที่นั้น. ขณะที่พอลแหวกผ่านฝูงคน, มือทั้งหลายไอ้เอื้อมออกมาสัมผัสตัวเขา. เสียงทั้งหลายเรียกมายังเขา.

         “มีดของข้าไปยังแห่งหนที่สติลจาร์บัญชามัน, พอล-มวดดิบ! ขอให้เราได้สู้รบในเร็วนี้, พอล-มวดดิบ! ขอให้เราเปียกชุ่มพิภพของเราด้วยเลือดของเจ้าฮาร์คอนเนนส์!

         รู้สึกถึงอารมณ์ของฝูงคน, เจสสิกาสัมผัสสำนึกของชายขอบปริ่มการต่อสู้ของผู้คนเหล่านี้. พวกเขาไม่สามารถที่จะพร้อมได้มากไปกว่านี้. เรากำลังนำพวกเขาขึ้นไปจุดยอดสูงสุด, เธอคิด.

         ในตอนในของห้องโถง, พอลโบกมือให้มารดาของเขาได้นั่งลง, พูด: “รอที่นี่.” และเขามุดผ่านม่านแขวนยังช่องทางเดินด้านข้าง.

         มันเงียบสงบในห้องโถงนั้นหลังจากพอลได้จากไปแล้ว, เงียบเหลือเกินด้านหลังม่านแขวนบังทั้งหลายที่แม้กระทั่งเสียงซู่ซ่าของเครื่องสูบลมทั้งหลายที่หมุนเวียนอากาศในสิฐคามก็ไม่ทะลุผ่านเข้ามายังที่ที่เธอนั่งอยู่ได้.

         เขากำลังไปเอาตัวเกอร์นีย์ ฮัลเล็คมายังที่นี่, เธอคิด. และเธอสงสัยที่มีอาการปนเปแปลกๆของอารมณ์ปรากฏที่เต็มล้นเกอร์นีย์ของเธอและซึ่งดนตรีของเขาได้เคยเป็นส่วนหนึ่งของมากมายเวลาแห่งความปีติสุขบนคาลาดานก่อนที่จะย้ายมายังอาร์ราคิสนี้. เธอได้รู้สึกว่าคาลาดานได้บังเกิดขึ้นต่อใครบางคน. ในเกือบสามปีตั้งแต่เมื่อนั้น, เธอได้กลายเป็นบุคคลอื่นไปแล้ว. การต้องเผชิญหน้ากับเกอร์นีย์บีบบังคับการประเมินค่าใหม่ของการเปลี่ยนแปลง.

         ชุดรับใช้กาแฟของพอล, จอกอัลลอยทรงสูงทำด้วยเงินผสมแจ๊สเมี่ยมที่เขาได้สืบทอดมรดกมาจากจามิส, วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยทางขวามือของเธอ. เธอคนมัน, คิดไปถึงว่ากี่มือมากมายแล้วที่ได้สัมผัสโลหะนั้น. ชานิได้ให้บริการพอลจากมันภายในไม่กี่เดือน.

         อะไรที่ผู้หญิงทะเลทรายสามารถทำให้ดยุคได้นอกจากบริการกาแฟให้เขา? เธอถามตนเอง. เธอนำมาให้เขาได้แค่กับการไร้อำนาจ, ไร้ครอบครัว. พอลมีแค่เพียงโอกาสหลักใหญ่หนึ่งเดียว---ที่จะผูกพันตนเองกับมหาราชสำนักที่ทรงอำนาจเต็มเปี่ยม, บางทีแม้กระทั่งกับครอบครัวของจักรพรรดิ. มีเจ้าหญิงทั้งหลายที่สามารถทำการสมรสได้, จะอย่างไรก็ตาม, และทุกผู้ของพวกนั้นได้รับการฝึกมาจากเบเน เกสเสอริต.

         เจสสิกาจินตนาการถึงตัวเธอเองออกจากสภาพอากาศอันรุนแรงร้ายแรงอาร์ราคิสไปเพื่อชีวิตแห่งอำนาจและความมั่นคงปลอดภัยที่เธอสามารถรู้ได้ในฐานะมารดาของสนมแห่งราชสำนัก. เธอเหลือบมองม่านหนาแขวนที่ปิดกั้นก้อนหินทั้งหลายของถ้ำคูหาคอกนี้ไว้, คิดถึงว่าเธอมาถึงที่นี่ได้อย่างไร---ขี่มาในท่ามกลางหมู่ทัพแห่งหนอนทรายทั้งหลาย, เสลี่ยงและแผ่นพื้นสุมมัดรวมไว้ด้วยสิ่งของจำเป็นทั้งหลายที่ใช้ในการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง.

         ตราบนานเท่าที่ชานิยังคงมีชีวิตอยู่, พอลจะมองไม่เห็นถึงถาระหน้าที่ของเขา, เจสสิกาคิด. เธอได้ให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เขาและนั่นก็เพียงพอแล้ว.

         ทันทีนั้นของความโหยหาที่จะเห็นหลานชายของเธอ, เด็กนั้นที่เมือนคล้ายมากเหลือเกินกับรูปลักษณ์ของปู่ของตน---ช่างเหมือนลีโตเหลือเกิน, กวาดผ่านเธอไป. เจสสิกาวางฝ่ามือเข้ากับแก้มของเธอ, เริ่มพิธีกรรมหายใจที่สงบระงับอารมณ์และกระจ่างจิตให้ชัด, แล้วค้อมตัวไปข้างหน้าจากเหนือเอวในอาการของการปฏิบัติตนอุทิศสักการที่เตรียมพร้อมร่างกายสำรับรับคำสั่งของจิต.

         การเลือกของพอลในถ้ำแห่งเหล่านกเป็นที่ตั้งศูนย์บัญชาการของขำม่สามารถถูกตั้งคำถามใดได้, เธอรู้. มันเป็นไปตามอุดมคติ. และทางด้านทิศเหนือทอดอยู่ด้วยช่องลมเปิดออกสู่หมู่บ้านที่ได้รับการปกป้องไว้ในแอ่งกำแพงผาล้อม. มันเป็นหมู่บ้านกุญแจหลัก, บ้านของเหล่าช่างฝีมือและนักเทคนิค, ศูนย์การซ่อมบำรุงของเขตป้องกันทั้งปวงของฮาร์คอนเนน.

         เสียงกระแอมดังมาจากข้างนอกม่านแขวนบังของห้องโถง. เจสสิกายัดกายขึ้น, สูดหายใจลึก, ผ่อนลมายใจออกช้าๆ.

         “เข้ามา,” เธอพูด.

         แผ่นชิ้นม่านทั้งหลายเหวี่ยงออกและเกอร์นีย์ ฮัลเล็คมุ่งตรงเข้ามาสู่ในห้อง. เธอมีเวลาเพียงแค่เหลือบดูแวบหนึ่งของใบหน้าของเขากับความบูดบึ้งพิกลของมัน, แล้วเขาก็อยู่ด้านหลังของเธอ, ยกร่างของเอขึ้นยืนบนเท้าด้วยหนึ่งแขนกล้ามมัดแข็งแรงใต้คางของเธอ.

         เกอร์นีย์, เจ้าคนโง่, เจ้ากำลังทำอะไร?” เธอถามสั่ง.

         แล้วเธอรู้สึกถึงสัมผัสของปลายมับลังของเธอ. สัมปชัญญะเย็นยะเยียบแผ่กระจายออกจากปลายมีดนั้น. เธอรู้ในทันทีนั้นได้ว่าเกอร์นีย์หมายจะฆ่าเธอ. ทำไม? เธอไม่สามารถคิดดึ้งเหตุผลใด, เพราะเขาไม่ได้เป็นประเภทที่เปลี่ยนเป็นผู้ทรยศได้. แต่เธอได้รู้สึกแน่ชัดในความตั้งใจของเขา. การรู้ถึงมัน, จิตของเธอป่วนวน. นี่คือชายที่ไม่มีใครเอาชนะได้ง่าย. นี่คือนักฆ่าที่เฝ้าระวังต่อวจนะ, เฝ้าระวังทุกกลอุบาย, เฝ้าระวังถึงทุกกดเม็ดของความตายและความโหดเหี้ยม. นี่คือเครื่องมือที่เธอเองได้ช่วยฝึกฝนให้ด้วยนัยยะประณีตและคำแนะนำทั้งหลาย.

         “เจ้าคิดว่าเจ้าหลบหนีได้แล้วสินะ, เอ๋, นางแม่มด?” เกอร์นีย์ขู่คำราม.

         ก่อนที่เอจะสามารถหันคำถามทั้งหลายนั้นไปเหนือจิตใจของเธอหรือพยายามที่จะตอบ, ม่านบังกั้นนั้นแยกออกและพอลเข้ามา.

         “นี่ไงเขา, ท่านแม่---” พอลชงักหยุด, รับเอาความตึงเครียดของฉากทัศน์นั้น.

         “เจ้าจะยืนอยู่ในที่ที่เจ้าอยู่นั่น, ฝบาท,” เกอร์นีย์บอก.

         “นี่อะไร.....” พอลสั่นศีรษะของตน.

         เจสสิกาเริ่มที่จะพูด, รู้สึกแขนรัดแน่นขึ้นกับลำคอของเธอ.

         “เจ้าจะพูดก็ต่อเมื่อข้าอนุญาตเท่านั้น, แม่มด,” เกอร์นีย์บอก. “ข้าต้องการเพียงหนึ่งอย่างจากเจ้าเพื่อบุตรชายของเจ้าที่จะได้ยินมัน, และข้าได้เตรียมพร้อมที่จะส่งมีดนี้เข้าไปนัวใจของเจ้าด้วยปฏิริยาจากสัญญานแรกของการจู่โจมต่อข้า. เสียงของเจ้าจะยังคงอยู่ในระดับเสียงเดียว. แน่นอนด้วยว่ากล้ามเนื้อของเจ้าจะไม่เขม็งหรือขยับ. เจ้าจะกระทำด้ตัววยการระแวดระวังสุดขีดมากที่สุดที่จะให้ตนเองได้รับสองสามหรือมากวินาทีของชีวิต. และข้าให้ความมั่นใจแก่เจ้า, ว่าเหล่านี้คือที่เจ้าจะมีได้.”

         พอลก้าวมาข้างหน้า. “เกอร์นีย์, พวก, นี่มันอะไร---”

         “หยุดอยู่ตรงที่เจ้าอยู่นั้น!เกอร์นีย์ตวาด. “อีกหนึ่งก้าวและเธอจะตาย.”

         มือของพอลเลื่อนไปที่ด้ามมีดของเขา. เขาพูดในความสงบนิ่งสนิท: “เจ้าดีที่สุดที่จะอธิบายตนเอง, เกอร์นีย์.”

         “ข้าให้สัตย์ปฏิญาณที่จะสังหารคนทรยศต่อบิดาของเจ้า,” เกอร์นีย์พูด. “เจ้าคิดว่าข้าสามารถลืมชายผู้ที่ได้ช่วยชีวิตข้าจากหลุมทาสของฮาร์คอนนเนน, ให้อิสรภาพแก่ข้า, ชีวิต, และเกียรติ.....ให้มิตรภาพแก่ข้า, สิ่งหนึ่งที่ข้าได้รับรางวัลเหนือสิงอื่นดทั้งปวง-ได้หรือ? ข้าได้ตัวผู้ทรยศอยู่ใต้มีดของข้า. ไม่มีใครสามารถหยุดข้าได้---”

         “เจ้าไม่สามารถทำผิดยิ่งขึ้นไปอีก, เกอร์นีย์,” พอลพูด.

         และเจสสิกาคิด: แล้วมันเป็นเช่นนี้เอง! ช่างเยาะหยันแท้!

         “ผิด, ข้านี่หรือ?” เกอร์นีย์ร้องถาม: “เราจงมาฟังมันจากผู้หญิงนี้ด้วยตัวเธอเองเถิด. และให้เธอจดจำว่าข้าได้ติดสินบนและสืบความลับและหลอกเล่ห์โกงทั้งหลายมาเพื่อที่จะยืนยันมั่นในการกล่าวหานี้. ข้ากระทั่งวางยาเซมูตาดับกัปตันยามรักษษการณ์ฮาร์คอนเนเพื่อให้ได้ส่วนหนึ่งของเรื่องราวนี้มา.”

         เจสสิการู้สึกถึงการคลายออกที่ลำคอของเธอเบาบางเล็กน้อย, แต่ก่อนที่เธอจะสามารถพูดได้, พอลพูด: “ผู้ทรยศนั้นคือหยู. ข้าเคยบอกกับเจ้าไปครั้งหนึ่งแล้ว, เกอร์นีย์ง ลักฐานนั้นสมบูรณ์สิ้น, ไม่สามารถเปลี่ยนพลิกเป็นอย่างอื่นได้. มันคือหยู. ข้าไม่ใส่ใจหรอกที่เจ้าได้ความสงสัยของเจ้ามาอย่างไร---เพราะมันสามารถเป็นอะไรอื่นไม่ได้---แต่ถ้าเจ้าทำร้ายมารดาของข้า.....” พอลดึงมีดกริชของเขาขึ้นจากฝัก, กุมมีดนั้นอยู่ตรงหน้าของเขา “.....ข้าจะได้เลือดของเจ้า.”

         หยูถูกวางยาปรับสถานะ, ให้เข้าได้เหมาะสมกับราชสำนัก,” เกอร์นีย์กร่นคำราม. “เขาไม่สามารถเปลี่ยนเป็นคนทรยศได้.”

         “ข้ารู้วิธีที่จะเอาการปรับสถานะนั้นออกไปได้,” พอลพูด.

         “หลักฐาน,” เกอร์นีย์ดึงดัน.

         “หลักฐานไม่ได้อยู่ที่นี่,” พอลพูด. “มันอยู่ที่สิฐคามทับร์, ไกลลึกไปทางตอนใต้, แต่ถ้า---”

         “นี่เป็นลูกเล่ห์,” เกอร์นีย์กร่นขู่, และแขนของเขารัดแน่นขึ้นบนคอของเจสสิกา.

         “ไม่ใช่ลูกเล่ห์,” พอลพูด, และเสียงของเขานำไปด้วยความเศร้าอันช่างน่าสะพรึงกลัวซึ่งเสียงนั้นฉีกหัวใจของเจสสิกา.

         “ข้าเห็นข่าวสารที่จับกุมได้จากสายลับของฮาร์คอนเนน,” เกอร์นีย์พูด. “บันทึกนั่นชี้ตรงไปที่---”

         “ข้าก็เห็นมัน, เช่นกัน,” พอลพูด. “บิดาของข้าแสดงมันให้ข้าดูเองในคืนนั้นที่เขาได้อธิบายว่าทำไมมันถึงเป็นลูกเล่ห์ของฮาร์คอนเนนเล็งเป้าไปที่การทำให้เขาสงสัยในผู้หญิงที่เขารัก.”

         อะย่าห์!เกอร์นีย์พูด. “เจ้าไม่ได้มี---”

         “เงียบเถอะ,” พอลพูด, และความนิ่งในระดับเสียงเดียวของคำพูดทั้งหลายของเขานำไปซึ่งคำบัญชายิ่งกว่าที่เจสสิกาเคยได้ยินในเสียงพูดอื่น.

         เขาได้มีมหาบัญชาแล้ว, เธอคิด.

         แขนของเกอร์นีย์สั่นระริกกับลำคอของเธอ. ปลายของมีดที่หลังของเธอขยับเคลื่อนด้วยความไม่ใจ.

         “อะไรที่เจ้าไม่ได้ทำ,” พอลพูด, “คือได้ยินสิ่งมารดาของข้าสะอื้นไห้ในคืนเหนือการสูญเสียดยุคของเธอไป. เจ้าไม่ได้เห็นดวงตาของเธอแทงทิ่มเปลวไฟเมื่อเอพูดถึงการเข่นฆ่าพวกฮาร์คอนเนนส์.”

         งั้นเขาได้ฟังอยู่สินะ, เธอคิด. น้ำตาท่วมท้นบอดมิดดวงตาของเธอตอนนั้น.

         “อะไรที่เจ้าไม่ได้ทำ,” พอลว่าต่อไป, “คือจำได้ถึงบทเรียนทั้งหลายที่เจ้าได้เรียนรู้ในหลุมทาสของฮาร์คอนเนน. เจ้าพูดด้วยความภาคภูมิใจในมิตรภาพต่อบิดาของข้า! เจ้าไม่ได้เรียนรู้หรอกรึถึงความแตกต่างระหว่างฮาร์คอนเนนับอะไทรดิสแล้วนั่นที่เจ้าจะได้กลิ่นถึงลูกเล่ห์ของฮาร์คอนเนนจากเหล็กไนที่พวกมันทิ้งไว้บนมัน? เจ้าไม่ได้เรียนรู้ถึงความจงรักภักดีแห่งอะไทรดิสนั้นได้ถูกซื้อได้ด้วยความรักขณะที่เหรียญของฮาร์คอนเนนนั้นคือความเกลียดชัง? เจ้าไม่สามารถมองทะลุเห็นถึงธรรมชาติของการทรยศนี้หรอกรึ?”

         “แต่หยู?” เกอร์นีย์พึมพำ.

         “หลักฐานที่เราได้มาคือข่าวสารจากหยูเองให้แก่เรายอมรับถึงการทรยศของเขา,” พอลพูด. “ข้าสาบานเรื่องนี้กับเจ้าด้วยความรักที่ข้ายึดถือต่อเจ้า, ความรักที่ข้ายังคงยึดถือแม้กลังจากที่ข้าปล่อยทิ้งให้เจ้านอนตายอยู่ที่พื้นนี้.”

         ได้ยินบุตรชายของเธอ, เจสสิกาประหลาดใจมากกับสัมปชัญญะในตัวเขา, การแทงทะลุภาพด้านในของสติปัญญาของเขา.

         “บิดาของข้ามีสัญชาตญาณกับสหายทั้งหลายของเขา,” พอลพูด. “เขาให้ความรักของเขาอย่างประหยัด, แต่ด้วยการไม่เคยมีการพลั้งเผลอ. ความอ่อนแอของเขาทอดวางอยู่ในความเกลียดชังที่เข้าใจผิดพลาด. เขาได้คิดว่าใครคนใดก็ตามที่เกลียดชังฮาร์คอนเนนส์ก็จะไม่สามารถทรยศต่อเขาได้.” เขาชำเลืองมาที่มารดาของตน. “เธอรู้เรื่องนี้ดี. ข้าได้ให้เธอไปแล้วในข่าวสารของบิดาข้าที่บอกว่าเขาไม่มีวันไร้ความไว้วางใจต่อเธอ.”

         เจสสิการู้สึกตนเองหลุดจากการควบคุม, กัดริมฝีปากล่างของเธอ. มองเห็นความแข็งกร้าวเป็นทางการในพอล, เธอตระหนักได้ว่าอะไรที่คำพูดเหล่านี้ได้ทำให้เขาต้องจ่ายอะไรไป. เออยากจะวิ่งเข้าปาเขา, โอบกล่อมศีรษะของเขาเข้ากับอกของเธอดังที่เธอไม่เคยได้ทำ. แต่แขนที่โอบลำคอเธออยู่นั้นได้หยุดสั่นเทาลง, มีดชี้ที่หลังของเธอกดนิ่งและคมแหลม.

         “หนึ่งในชั่วขณะอันน่าสะพรึงกลัวมากที่สุดใรชีวิตของเด็กชาย,” พอลฺพูด, “คือเมื่อเขาได้ค้นพบว่าบิดาของเขาและมารดาของเขาเป็นแค่มนุษย์ผู้แบ่งปันความรักที่เขาไม่เคยสามารถได้รับลิ้มรสนั้นได้. มันเป็นความสูญหาย, การตื่นขึ้นมาต่อความสัจจริงที่โลกนี้อยู่ตรงนั้นและตรงนี้และเราอยู่ในมันตามลำพัง. ชั่วขณะนั้นที่แบกพาความสัจจริงของมันเองมา, ที่เจ้าไม่สามารถลบเลี่ยงมันได้. ข้าได้ยินบิดาของข้าเมื่อเขาพูดถึงมารดาของข้า. เธอไม่ได้เป็นผู้ทรยศ, เกอร์นีย์.”

         เจสสิกาพบเสียงของเธอ, พูด:เกอร์นีย์, ปล่อยข้า.” มีคำบัญชาพิเศษใดในคำพูดนั้น, ม่มีเล่ห์กลที่เล่นบนความอ่อนแอของเขา, แต่มือของเกอร์นีย์ล่นลงไป. เธอข้ามไปหาพอล, ยืนตรงหน้าของเขา, ไม่แตะต้องตัวเขา.

         พอล,” เธอพูด, “มีการตื่นขึ้นอื่นอีกในจักรวาลนี้. ข้าทันทีนั้นได้เห็นว่าข้าได้ใช้เจ้าอย่างไรและปรับเปลี่ยนเจ้าอย่างไรเพื่อจัดเตรียมเจ้าบนเส้นทางองการเลือกของข้าเอง.....เส้นทางหนึ่ที่ข้าต้องเลือก---ถ้านั่นเป็นขอแก้ตัวใด---เพราะการฝึกฝนของตัวข้า.” เธอกล้ำกลืนผ่านก้อนในลำคอของเธอ, มองขึ้นเข้าไปในดวงตาของลูกชายเธอ. “พอล.....แม่ต้องการให้ลูกทำบางอย่างเพื่อแม่, เลือกเส้นทางแห่งความสุข. ผู้หญิงทะเลทรายของลูก, แต่งงานกับเธอถ้าลูกปรารถนา. ขัดขืนต่อทุกคนและทุกสิ่งเพื่อที่จะทำสิ่งนี้. แต่จเลือกเส้นทางของลูกเอง. แม่.....”

         เธอชงัก, หยุดลงโดยเสียงต่ำของการพึมพำเบื้องหลังของเธอ.

         เกอร์นีย์!

         เธอเห็นดวงตาของพอลตรงจับเลยไกลเธอไป, หันตัวกลับ.

         เกอร์นีย์ยังคงยืนอยู่ที่จุดเดิม, แต่ได้สอดมีดเข้าในฝักแล้ว, ดึงเสื้อคลุมของเขาออกจากหน้าอกเพื่อเปิดให้เห็นสีเทาลื่นของผิวชุดสติลล์สูท, แบบที่พวกลักลอบขนของเถื่อนซื้อขายกันในท่ามกลางทุ่งโพรงสิฐคามทั้งหลายง

         “เอามีดของท่านมาที่ในหน้าอกของข้านี้,” เกอร์นีย์พึมพำ. “ข้าพูดว่าฆ่าข้าและจบสิ้นกับมันไป. ข้าได้ทำลายเกียรติแห่งชื่อของข้าเอง. ข้าได้ทรยศต่อดยุคของข้าเอง! สิ่งดีที่สุด---”

         “อยู่นิ่งไว้!พอลพูด.

         เกอร์นีย์จ้องมองเขา.

         “ปิดเสื้อคลุมและหยุดทำตัวเหมือนคนโง่,” พอลพูด. “ข้ามีความโง่เขลาเพียงพอแล้วสำหรับวันนี้.”

         “ฆ่าข้า, ข้าบอก!เกอร์นีย์เดือดดาล.

         “เจ้ารู้จักข้าดีกว่าการนั้น,” พอลพูด. “มีมากมายชนิดของปัญญาอ่อนที่เจ้าคิดว่าข้าเป็นหรือ? ข้าต้องผ่านเรื่องเช่นนี้ไปให้ได้กับทุกคนที่ข้าต้องมีพวกเขาด้วยหรือ?”

         เกอร์นีย์มองที่เจสสิกา, พูดในเสียงท้อแท้, อ้อนวอนที่ไม่เหมือนเป็นเขา: “งั้นก็ท่าน, ท่านหญิงของข้า, ได้โปรด.....ท่านฆ่าข้าเถิด.”

         เจสสิกาเดินข้ามไปหาเขา, วางมือทั้งสองลงบนไหล่ทั้งคู่ของเขา. “เกอร์นีย์, ทำไมเจ้าถึงดื้อดึงให้อะไทรดิสต้องฆ่าผู้ที่พวกเขารักล่ะหรือ?” อย่างนุ่มนวล, เธอดึงเสื้อคลุมที่แผ่กว้างเปิดอยู่ออกมาจากนิ้วมือของเขา, ปิดและรัดผ้านั้นเหนือหน้าอกของเขา.

         เกอร์นีย์พูดอย่างแตกสลาย: “แต่.....ข้า.....”

         “ท่านคิดว่าท่านกำลังทำสิ่งนั้นเพื่อลีโต,” เธอพูด, “และสำหรับสิ่งนี้ข้ายกย่องท่าน.”

         “ท่านหญิงของข้า.” เกอร์นีย์พูด. เขาทิ้งคางของตนลงแนบเหนือหน้าอกของตน, ถูกเปลือกตาของเขาต้านน้ำตาที่ไหล.

         “ขอเราจงคิดถึงเรื่องนี้ว่าเป็นการเข้าใจผิดใหมู่สายทั้งหลายเถิด,” เธอพูด, และพอลได้ยินการกล่อมปลอบ, การปรับแต่งระดับเสียงทั้งหลายในน้ำเสียงของเธอ. “มันจบแล้วและเราสามารถเป็นที่ขอบคุณอย่างเต็มเปี่ยมที่เราจำไม่มีอีกครั้งซึ่งได้อะไรแบบนี้ที่เกิดการเข้าใจผิดระหว่างพวกเรา.”

         เกอร์นีย์เปิดดวงตาขึ้นแวววาวด้วยความชื้น, ก้มลงมามองเธอ.

         เกอร์นีย์ ฮัลเล็คคนที่ข้ารู้จักนั้นเป็นชายที่เก่งกาจทั้งมีดและพิณบาลิเส็ท,” เจสสิกาพูด. “เป็นชายแห่งพิณบาลิเส็ทที่ข้าชื่นชมมากที่สุด. นั่นไม่ใช่เกอร์นีย์ ฮัลเล็คที่จำได้หรอกหรือว่าข้าเคยได้รื่นรมย์ในการฟังเป็นชั่วโมงขณะที่เขาเล่นเพลงเพื่อข้า? ท่านยังมีพิณบาลิเส็ทอยู่อีกไหม?”

         “ข้ามีอันใหม่หนึ่ง,” เกอร์นีย์พูด. “ซื้อจากชูชุค, ตัวนี้เสียงหวาน. เล่นได้เหมือนวาโรต้าของจริง, แม้ว่าไม่มีลายเซ็นบนมัน. ข้าคิดกับตัวเองว่ามันถูกทำขึ้นโดยนักศึกษาของวาโนต้าที่.....” เขายุดชงัก. “อะไรที่ข้าสามารถพูดได้กับท่านหรือ, ท่านหญิงของข้า? นี่เราพร่ำเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับ---”

         “ไม่ได้พร่ำเพ้อเจ้อ, เกอร์นีย์,” พอลพูด. เขาข้ามมายืนข้างมารดาของเขา, ตาสบตากับเกอร์นีย์. “ไม่ได้เพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อย, แต่คือสิ่งหนึ่งที่นำความสุขมาในระหว่างเพื่อน. ข้าถือว่ามันเป็นความกรุณาถ้าท่านจะเล่นเพื่อเธอในตอนนี้. กากรวางแผนสงครามสามารถรอคอยไปได้สักระยะหนึ่ง. เราจะไม่เข้าไปสู่การสู้รบจนกว่าพรุ่งนี้เมื่อใดก็ได้.”

         “ข้า....ข้าจะไปเอาพิณบาลิเส็ท,” เกอร์นีย์พูด. “มันอยู่ที่ช่องทางเดิน.” เขาก้าวอ้อมพวกเขาและผ่านทะลุม่านกั้นออกไป.

         พอลวางมือของเขาบนแขนมารดาของตน, พบว่าเธอกำลังตัวสั่นเทา.

         “มันจบแล้ว, ท่านแม่,” เขาพูด.

         ปราศจากการหันศีรษะของเธอ, เธอเงยขึ้นยังเขาจากมุมกนึ่งของดวงตาเธอ. “จบแล้วรึ?”

         “แน่นอน, กับเกอร์นีย์นั้น.....”

         เกอร์นีย์? โอ้.....ใช่.” เธอลดสายตามองลง.

         ม่านกั้นสั่นเปิดออกเมื่อเกอร์นีย์กลับมาพร้อมด้วยพิณบาลิเส็ท. เขาเริ่มตั้งเสียงมัน, หลบเลี่ยงสายตาของพวกเขา. ม่านบังที่ผนังทำให้เสียงกังวานสะท้อนของมันตุ่นมัวลง, ทำให้เสียงเครื่องดนตรีนั้นเล็กและละเอียดขึ้น.

         พอลนำมารดาของตนไปยังหมอนอิง, ให้เธอนั่งลงที่นั่นด้วยหลังหันพิงกับความหนาของม่านแขวนของผนัง. เขาทันทีนั้นวาบคิดขึ้นได้ว่าเธอดูเหมือนชราลงไปเช่นไรในสายตาของเขาด้วยการเริ่มต้นของเส้นสายจากทะเลทรายแห้งแล้งในใบหน้าของเธอ, รอยร่องยืดยาวที่มุมของดวงตาสีฟ้าบังของเธอ.

         เธอเหนื่อยล้าแล้ว, เขาคิด. เราต้องหาบางหนทางให้เธอได้ผ่อนเบาจากภาระของเธอแล้ว.

         เกอร์นีย์ดีดกวาดคอร์ดลง.

         พอลเหลือบมองยังเขา, พูด: “ข้ามี.....หลายสิ่งที่ข้าจำเป็นต้องให้ความสนใจ. รออยู่ที่นี่หั้บข้า.”

         เกอร์นีย์พยักหน้า. จิตใจของเขาดูเหมือนอยู่ไกลห่างออกไป, ราววกับว่าเขาได้อยู่สำหรับชั่วขณะนี้ภายใต้ท้องฟ้าเปิดโ,งของคาลาดานด้วยกลุ่มเมฆครึ้มที่ขอบฟ้าอันสัญญาให้ถึงฝนที่จะมีมา.

         พอลบังคับตนเองให้หันจากไป, ปล่อยตนเองผ่านทะลุม่านกั้นหนักแขวนห้อยเหนือช่องทางเดินนั้นออกไป. เขาได้ยินเกอร์นีย์ร้องรับกับเสียงทางด้านหลังของเขา, และหยุดชั่วขณะข้างนอกห้องนั้นเพื่อฟังต่อดนตรีแผ่วค่อยนั้น.

         “สวนไม้ผลและลานแถวองุ่น,

         และสาวงามอกอวบแน่น,

         และถ้วยหนึ่งไหลล้นตรงหน้าข้า.

         ทำไมข้าต้องพร่ำพูดถึงการรบพุ่งทั้งหลาย,

         และขุนเขาที่ลดสลายสู่ฝุ่นธุลีหรือ?

         ทำไมข้าต้องรู้สึกถึงหยดน้ำตาเหล่านี้หรือ?

         สวรรค์ทั้งหลายยืนเปิดอยู่

         และโปรยหว่านความรวยร่ำของพวกเขา;

         มือของข้าต้องการแต่กวาดรวบความมั่งคั่งของพวกเขา.

         ทำไมข้าต้องคิดถึงการซุ่มโจมตี,

         และยาพิษในถ้วยเหลวหลอมล่ะหรือ?

         ทำไมข้าถึงรู้สึกถึงปีวันของข้าล่ะ?

         แขนของความรักกวักมือเรียกหา

         ด้วยความปรีดาเปลือยเปล่าของพวกเขา,

         และสัญญาแห่งอีเดนของความปีติสุขทั้งหลาย.

         ทำไมข้าต้องจดจำถึงรอยแผลเป็นทั้งหลาย,

         ฝันของการกระทำผิดบาปเก่าชราทั้งหลาย.....

         และทำไมข้าต้องนอนหลับไปกับความกลัวด้วยหรือ?

         คนนำสาส์นฟีเดย์คินในเสื้อคลุมปรากฏขึ้นจากมุมหนึ่งของช่องทางเดินตอนหน้าขึ้นไปของพอล. ชายผู้นั้นมีหมวกคลุมศีรษะเหวี่ยงเปิดไปไว้ด้านหลังและสายรัดของชุดสติลล์สูทปล่อยห้อยอยู่ที่ต้นคอ, พิสูจน์ว่าเขาได้เพิ่งเข้ามาถึงจากทะเลทรายเปิดโล่งด้านนอก.

         พอลส่งท่าทางให้เขาหยุด, ปล่อยม่านกั้นบังประตูและเคลื่อนลงไปตามช่องทางเดินเข้าหาผู้นำสาส์นนั้น.

         ชายนั้นโค้งคำนับ, มือประสานอยู่ที่ด้านน้าของตนตามวิธีที่เขาควรจะแสดงในการต้อนรับแม่อธิการหรือเสย์ยาดินาแห่งพิธีกรรม. เขาพูด:มวดดิบ, ผู้นำทั้งหลายกำลังเริ่มที่จะมาถึงเพื่อประชุมสภาแล้ว.”

         “เร็วขนาดนี้เลยรึ?”

         “มีหลายคนที่สติลจาร์ส่งไปก่อนแล้วเมื่อมันถูกคิดว่า.....” ชายนั้นยักไหล่.

         “ข้าเข้าใจ.” พอลชำเลืองมองด้านหลังไปยังเสียงแผ่วเบาของพิณบาลิเส็ท, คิดถึงเพลงเก่าแก่ที่มารดาของเขาชอบ---การยื่นเข้ามาอย่างพิกลของเสียงความสุขและคำร้องอันเศร้า. “สติลจาร์จะมาที่นี่ในไม่ช้าพร้อมกับคนอื่นๆ. แสดงให้พวกเขายังที่ซึ่งมารดาของข้ารอคอยอยู่ด้วย.”

         “ข้าจะคอยอยู่ที่นี่, มวดดิบ,” ผู้นำสาส์นพูด.

         “ใช่.....ใช่, ทำเช่นนั้น.”

         พอลดันตนเองผ่านชายนั้นเข้าไปในตอนลึกของถ้ำคูหา, มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่แต่ละถ้ำคูหาเช่นนี้มี---สถานที่ซึ่งใกล้กับอ่างเก็บ-กักน้ำของมัน. จะมีไช-ฮูลุดเล็กๆในที่นี้, สิ่งมีชีวิตไม่มากไปกว่าเก้าเมตรยาว, ถูกหยุดการเจริญเติบโตและขังไว้โดยรายรอบล้อมหลุมน้ำทั้งหลาย. ผู้สร้าง, หลังจากโผล่จากเชื้อผู้สร้างตัวน้อยของมันแล้ว, จะหลีกเลี่ยงน้ำเพราะเป็นพิษของมันเอง. และการจมน้ำของผู้สร้างเป็นความลับอันยิ่งใหญ่ที่สุดของฟรีเมนเพราะว่ามันได้ผลิตแก่นสารแห่งสมาพันธ์นี้---ชีววารี, น้ำแห่งชีวิต, ยาพิษทีสามารถถูกเปลี่ยนได้โดยแม่อธิการ.

         การตัดสินใจได้มาสู่พอลขณะที่เขาเผชิญหน้าต่อความตึงเครียดของอันตรายที่มีต่อมารดาของเขา. ไม่มีเส้นของอนาคตที่เขาได้เห็นที่พานำเอาชั่วขณะของอันตรายจากเกอร์นีย์ ฮัลเล็ค. อนาคต---เมฆหมอก-สีเทา-อนาคต---ด้วยความรู้สึกของมันเองที่เอกภพทั้งปวงได้ม้วนไปสู่แกนที่เดือดพล่านแขวนห้อยอยู่รอบตัวเขาเหมือนโลกของภูตปีศาจ. 

ข้าต้องมองเห็นมัน, เขาคิด.

ร่างกายของเขาได้ได้รับเครื่องเทศจำเพาะอย่างช้าๆอดทนที่ทำให้ภาพทัศน์เหตุการณ์ล่วงหน้าน้อยลงไปและยิ่งน้อยลงไป.....มัวสลัวลงและมัวสลัวลง. ทางคลี่คลายในเรื่องนี้ปรากฏชัดเจนต่อเขา.

ข้าจะจมผู้สร้าง. เราจะเห็นกันในตอนนี้ว่าข้าคือ ควิทสาตซ์ ฮาเดรัค ผู้ที่สามารถรอดชีวิตจากการทดสอบที่แม่อธิการได้รอดชีวิตกันมานั้นหรือไม่.

 

 

และมันมาถึงในปีที่สามแห่ง สงครามทะเลทราย ที่ พอล-มวดดิบ นอนทอดกายตามลำพังอยู่ใน ถ้ำคูหาแห่งเหล่านกภายใต้ คิสวา(kiswa*)แขวนลอยอยู่ข้างในเซลล์. และเขานอนดุจผู้ที่ตายไปแล้ว, ถูกกุมติดอยู่ในวิวรณแห่งชีววารี, ชีวิตของเขาเปลี่ยนผ่านโพ้นเลยขอบเขตทั้งหลายแห่งกาละ/เวลาโดยยาพิษซึ่งให้ชีวิต. กระนั้นเองที่คำพยากรณ์สร้างทำความสัจจริงที่ไลสาน อัล-กาอิบ อาจเป็นได้ทั้งตายและมีชีวิต.

---“ตำนานที่ถูกรวบรวมไว้ แห่ง อาร์ราคิส” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น