หน้าเว็บ

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (43)

 

         และวันนั้นได้รุ่งอรุณเมื่ออาร์ราคิสทอดนอนอยู่ที่จุดศูนย์หมุนวนแห่งเอกภพด้วยกงล้อถูกตั้งไว้ที่จะหมุนรอบ.

---จาก “การตื่นขึ้นของ อาร์ราคิส” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

        

         “ท่านดูที่สิ่งนั้นทีสิ!สติลจาร์กระซิบ.

         พอลนอนอยู่ข้างเขาในร่องยาวของหินสูงบนริมขอบกำแพงโล่พลัง, ตาตรึงอยู่กับก้องส่องทางไกลเก่าเก็บของฟรีเมน. เลนส์น้ำมันถูกปรับจุดเพ่งมองอยู่ที่เรือยานขนส่งอวกาศที่แสดงตัวปรากฏอยู่โดยแสงรุ่งอรุณในแอ่งใต้ล่างของพวกเขา. ใบหน้าสูงตะวันออกของเรือยานนั้นระยิบระยับในแสงแบนราบของดวงอาทิตย์, แต่เงาด้านข้างยังคงแสดงรูช่องท่าสีเหลืองทั้งหลายจากลูกโคมเรืองแสงของตอนราตรี. โพ้นเลยเรือยานนั้นไป, นครแห่งอาร์ราคีนนอนอยู่เยือกเย็นและเป็นประกายในแสงของดวงอาทิตย์ทางตอนเหนือ.

         มันไม่ใช่ยานขนส่งนั้นที่ทำให้สติลจาร์ตื่นเต้นหวาดกลัว, พอลรู้, แต่เป็นโครงสร้างที่ซึ่งยานขนส่งนั้นเป็นท่าเทียบศูนย์กลางหลักเพียงที่เดียว. หมู่กระท่อมโลหะโดดเดี่ยว, สูงหลายชั้น, เอื้อมออกไปในวงกลมราวหนึ่งพันเมตรจากฐานของยานขนส่ง---กระโจมที่ประกอบกันเข้าด้วยแผ่นโลหะทั้งหลาย---สถานที่พักชั่วคราวสำห้ากองพลของซาร์เดาการ์และฝ่าบาทองค์จักรพรรดิ, จักรพรรดิ ปาดิชาห์ ที่ 4.

         จากตำแหน่งของเขานั่งยองอยู่ทางด้านซ้ายมือของพอล, เกอร์นีย์ ฮัลเล็คพูด: “ข้านับได้เก้าชั้นกับมัน. ต้องเป็นค่อนข้างเล็กน้อยของซาร์เดาการ์ที่ในนั้น.

         “ห้ากองพล,” พอลพูด.

         “มันเริ่มแสงสว่างแล้ว,” สติลจาร์บ่นขู่. “เราชอบมันไม่, ท่านกำลังเผนเปิดตัวเอง, มวดดิบ. เราถอยกลับเข้าไปในหหินตอนนี้กันเถิด.”

         “ข้าปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ที่นี่,” พอลพูด.

         “เรือนั่นติดอาวุธยิงวิถีโค้ง,” เกอร์นีย์พูด.

         “พวกเขาเชื่อว่าปกป้องเราไว้ได้แล้วด้วยโล่พลังทั้งหลายนี้,” พอลพูด. “พวกเขาจะไม่เสียเปล่ากับการยิงใส่อะไรที่ไม่สามารถระบุสามรายหรือแม้กระทั่งพวกมันเห็นเราก็ตาม.”

         พอลเหวี่ยงกล้องส่องทา

ไกลเพื่อกวาดไล่กำแพงทางด้านไกลออกไปนั้นของแอ่ง, มองเห็นหน้าผาปุปะเว้าแหว่งทั้งหลาย, ลอยลาดเลื่อนที่คือเครื่องหมายของสุสานฝังศพของกองกำลังมากมายของบิดาตน. และเขาได้มีสัมผัสรู้สึกในชั่วชณะนั้นถึงความเหมาะเจาะของสิ่งทั้งหลายที่เงาของทหารพวกนั้นน่าจะกำลังมองลงมาดูในชั่วขณะนี้. ป้อมปราการของพวกฮาร์คอนเนนและเมืองทั้งหลายตัดผ่านข้ามแผ่นดินโล่ห์พลังทั้งหลายทอดนอนอยู่ในมือของฟรีเมนหรือตัดขาดออกไปจากแหล่งต้นทางของมันเหมือนเส้นฟางขาดแหลกออกจากกอและถูกปล่อยทิ้งให้เหี่ยวแห้ง. มีเหลือเพียงแอ่งนี้และนครในนี้เท่านั้นที่ยังคงอยู่กับศัตรู.

         “พวกมันอาจจะพยายามฝ่าวงล้อมเข้ามาโจมตีด้วยยานธ็อปเปอร์,” สติลจาร์พูด. “ถ้าพวกมันเห็นเรา.”

         “ให้พวกมันทำ,” พอลพูด. “เรามีจะได้มีธ็อปเปอร์ให้เผากันในวันนี้.....และเรารู้ว่าพายุกำลังจะมา.”

         เขาเหวี่ยงกวาดกล้องส่องทางไกลไปทางด้านไกลของสนามบินอากาศยานแห่งอาร์ราคีนในตอนนี้, ไปยังยานเรือพิฆาตของฮาร์คอนเนนที่เรียงแถวอยู่ที่นั้นพร้อมด้วยป้ายริ้วธงของ โชอัม กัมปะนี โบกสะบัดแผ่วเบาจากเสารายของพวกมันบนพื้นดินใต้ยานเรือพิฆาตเหล่านั้น. และเขาคิดถึงความสิ้นหวังที่ได้บีบบังคับให้พวกกิลด์อนุญาตยอมให้สองเหล่าของยานพวกนี้ลงสู่พื้นขณะที่ลำอื่นๆถูกเก็บสำรองเอาไว้. กิลด์เป็นเหมือนคนที่กำลังทดสอบทรายด้วยนิ้วหัวแม่เท้าของเขาเพื่อวัดตรวจอุณหภูมิของมันก่อนที่จะตั้งกระโจมขึ้น.

         “มีสิ่งใดใหม่ที่มองเห็นได้จากที่นี้หรือ?” เกอร์นีย์ถาม. “เราน่าจะเข้าไปในใต้ที่กำบังได้แล้ว. พายุกำลังมา.”

         พอลหันความสนใจของเขากลับมายังป้อมกระท่อมยักษ์นั้น. “พวกมันกระทั่งนำเอาผู้หญิงของพวกมันมาด้วย,” เขาพูด. “และพวกขี้ข้าและพวกคนรับใช้. อ้า-ห-ห, จักรพรรดิที่รักของข้า, ท่านช่างมั่นอกมั่นใจในตนเองแท้.”

         “มีคนกำลังขึ้นมาตามเส้นทางลับ,” สติลจาร์พูด. “มันอาจบางทีเป็นโอธียัมกับคอร์บากำลังกลับมา.”

         “เอาละ, สติล,” พอลพูด. “เราจะกลับกันแล้ว.”

         แต่เขามองอีกเป็นครั้งสุดท้ายไปรอบๆผ่านกล้องส่องทางไกลนั้น---ศึกษาถึงแผนผังกับเรือยานเหล่านั้นของมันที่จอดอยู่, หอกระท่อมโลหะเลื่อมระยิบพวกนั้น, เมืองที่เงียบสงัด, ยานเรือพิฆาตของนักรบรับจ้างฮาร์คอนเนน. แล้วเขาก็ไถลเลื่อนกลับหลังอ้อมเนินหินชันนั้น. ตำแหน่งที่นั้นของเขาถูกแทนด้วยยามรักษาการณ์ฟีเดย์คินผู้หนึ่ง.

         พอลรีบเร่งเข้าไปในช่องแคบยุบเข้าไปในผิวหน้าของกำแพงโล่ห์. มันเป็นสถานที่ราวสามสิบเมตรในเส้นผ่าศูนย์กลางและลึกเกือบสามเมตร, รูปรอยธรรมชาติของก้อนหินที่ฟรีเมนได้หลบซ่อนอยู่ภายใต้ที่ปกปิดอำพรางสลัวนี้. เครื่องมือการสื่อสารถูกวางอยู่เป็นกลุ่มรอบรูหลุมหนึ่งในผนังด้านขวามือ. ยามฟีเดย์คินทั้งหลายเคลื่อนพลผ่านช่องเว้าเวิ้งนี้รอคอยคำบัญชาการของ มวดดิบให้บุกโจมตี.

         สองคนโผล่พรวดจากรูหลุมนั้นข้างเครื่องมือสื่อสาร, พูดไปยังยามรักษาการณ์ที่นั่น.

         พอลจ้องมองยังสติลจาร์, พยักหน้าปทางทหารสองคนนั้น. “รับรายงานมาจากพวกนั้นที, สติล.”

         สติลจาร์เคลื่อนไปอย่างเชื่อฟัง.

         พอลหมอบกายลงโดยให้หลังพิงกับก้อนหิน, เหยียดกล้ามเนื้อของเขา, หยัดหลังตรงขึ้น. เขาเห็นสติลจาร์ส่งทหารสองคนนั้นกลับเข้าไปในรูหลุมมืดในก้อนหิน, คิดถึงเรื่องการปีนไต่ลงไกลตามอุโมงค์แคบที่คนได้ทำขึ้นไปยังพื้นล่างของแอ่ง.

         สติลจาร์เดินข้ามมาหาพอล.

         “อะไรที่สำคัญนักหรือที่เขาไม่สามารถส่งข่าวด้วยซีเอลาโก(cielago – ค้างคาวนำสาส์น)?” พอลถาม.

         “พวกเขาเก็บรักษานกทั้งหลายของเขาเอาไว้สำหรับใช้ในการรบ,” สติลจาร์พูด. เขาเหลือบมองที่อุปกรณ์สื่อสาร, กลับมาที่พอล. “แม้กระทั่งด้วยคลื่นควบแน่น, มันก็ผิดที่จะใช้สิ่งเหล่านั้น, มวดดิบ. พวกมันสามารถค้นพบท่านโดยการตรวจหาทิศทางการปล่อยประจุของมันได้.”

         “พวกมันในไม่ช้าก็จะยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้นหาข้า,” พอลพูด. “ทหารพวกนั้นรายงานมาว่าอย่างไรบ้าง?”

         “สัตว์เลี้ยงซร์เดาการ์ของเราได้ถูกปล่อยไว้ใกล้ช่องเก่าแก่ต่ำอยู่ระหว่างบนชายขอบและอยู่ในเส้นทางของพวกมันไปหานายของมัน. เครื่องปล่อยจรวดและอาวุธวิถีโค้งอื่นๆถูกติดตั้งไว้เข้าที่แล้ว. ผู้คนกำลังระดมพลตามที่ท่านบัญชาไป. มันเป็นไปตามกิจวัตรทั้งหมด.”

         พอลชำเลืองข้ามอ่างช่องแคบนั้น, ศึกษาคนของเขาในแสงสว่างผ่านเครื่องกรองทำไว้ให้สอดคล้องกับการปกปิดอำพรางตน. เขารู้สึกได้ว่าถึงเวลาที่กำลังคืบคลานเหมือนแมลงทำงานในหนทางของมันข้ามไปตามก้อนหินเปิดโล่ง.

         “มันจะทำให้ซาร์เดาการ์เสียเวลาไปบ้างเล็กน้อยในการเดินเท้าก่อนที่พวกมันจะสามารถส่งสัญญาณไปถึงยานลำเลียงพลได้,” พอลพูด. “พวกมันถูกเฝ้าจับตาดูไว้แล้วนะ?”

         “พวกมันถูกเฝ้าดูไว้อยู่,” สติลจาร์พูด.

         ข้างตัวของพอล, เกอร์นีย์ ฮัลเล็คกระแอมในลำคอของตน. “เราไมดีที่สุดกว่าที่จะไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยหรอกหรือ?”

         “ไม่มีสถานที่เช่นนั้นหรอก?” พอลพูด. “รายงานสภาพอากาศยังพอช่วยหาได้บ้างไหม?”

         “มหามารดาพายุกำลังมา,” สติลจาร์พูด. “ท่านไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้หรือ, มวดดิบ?”

         “อากาศรู้สึกว่าปั่นป่วนจริงๆ,” พอลยอมรับ. “แต่ข้าชอบความแน่นอนที่เสาตรวจวัดสภาพอากาศมากว่า.”

         “พายุจะมาถึงที่นี่ในราวหนึ่งชั่วโมง,” สติลจาร์พูด. เขาพยักหน้าไปยังช่องว่างที่มองออกไปเห็นหอกระโจมของจักรพรรดินั้นและยานเรือพิฆาตของฮาร์คอนเนน. “พวกเขารู้นั่นด้วย, เช่นกัน. ไม่ใช่แค่ยานธ็อปเปอร์ในท้องฟ้า. ทุกอย่างถูกดึงเข้าเก็บและตรึงมัดลงแน่น.  พวกเขาได้มีรายงานกับสภาวะอากาศจากเพื่อนของพวกเขาในอวกาศ.”

         “มีพวกลาดตระเวนออกมาไล่หาบ้างไหม?” พอลถาม.

         “ไม่มีเลยตั้งแต่การลองจอดเมื่อคืนที่ผ่านมา,” สติลจาร์พูด. “พวกเขารู้ว่าเราอยู่ที่นี่. ข้าคิดว่าในตอนนี้พวกเขารอคอยที่จะเลือกเวลาเหมาะกับของพวกมันเอง.”

         “เราเลือกเวลานั้น,” พอลพูด.

         เกอร์นีย์เหลือบมองขึ้นไปข้างบน, ก่นคำราม: “ถ้าพวกมันให้เราทำ.”

         “กองเรือนั่นจะต้องอยู่ในอวกาศ,” พอลพูด.

         เกอร์นีย์สั่นศีรษะของตน.

         “พวกเขาไม่มีทางเลือก,” พอลพูด. “เราสามารถทำลายเครื่องเทศนี้ได้. พวกกิลด์ไม่กล้าเสี่ยงในเรื่องนั้น.”

         “ผู้คนที่สิ้นหวังเป็นสิ่งอันตรายมากที่สุด,” เกอร์นีย์พูด.

         “เราไม่สิ้นหวังหรือ?” สติลจาร์พูด.

         เกอร์นีย์ขู่ใส่เขา.

         “เจ้าไม่ได้อาศัยอยู่กับความฝันของชนฟรีเมน,” พอลเตือนให้ระวังตัว. “สติลกำลังคิดถึงบรรดาน้ำทั้งหมดที่เราได้ใช้ในการให้สินบนไปแล้ว, หลายปีของการรอคอยที่เราได้เพิ่มให้ก่อนที่อาร์ราคิสจะสามารถเติบโตผลิบาน. เขาไม่ได้---”

         “อ๊ารรรจห์,” เกอร์นีย์ก่นคำราม.

         “ทำไมเขาถึงช่างอารมณ์เสียเช่นนี้นัก?” สติลจาร์ถาม.

         “เขามักจะอารมณ์ขุ่นมัวเสมอก่อนการสู้รบ,” พอลพูด. “มันเป็นแค่รูปแบบของอารมณ์ขันดีๆของเกอร์นีย์ที่อนุญาตให้กับตัวเอง.”

         อย่างช้าๆ, รอยยิ้มเยี่ยงสุนัขป่าแผ่พาดใบหน้าของเกอร์นีย์, ฟันเผยซี่ขาวเรียงเหนือที่ครอบปากของชุดสติลล์สูทของเขา. “มันทำให้ข้าขุ่นมัวมากที่คิดกับบรรดาวิญญาณน่าสงสารทั้งหมดของพวกฮาร์คอนเนนที่เราจะเด็ดฆ่าไปสดๆ,” เขาพูด.

         สติลจาร์หัวร่อในลำคอ. “เขาพูดคุนเหมือนฟีเดย์คิน.”

         เกอร์นีย์เป็นหน่วยโจมตีมรณะมาแต่กำเนิด,” พอลพูด. และเขาคิด: ใช่, ปล่อยให้พวกเขาสาระวนอยู่ในจิตใจของพวกเขาด้วยการพูดคุยเล็กๆน้อยๆก่อนที่เราทดสอบตัวเราเองต่อกองกำลังนั่นบนพื้นราบ.  เขามองผ่านช่องว่างในผนังหินนั้นออกไปและกลับมาที่เกอร์นีย์, พบว่านักรบ-วณิพกนั้นได้เริ่มก่นขู่คำรามในคอต่อไปใหม่อีก.

         “ความกังวลนั้นลดทอนกำลัง,” พอลพึมพำ. “เจ้าเคยบอกกับข้ามาครั้งหนึ่ง, เกอร์นีย์.”

         ดยุคของข้า,” เกอร์นีย์พูด, “หัวหน้าความกังวลของข้าก็คือระเบิดปรมาณู. ถ้าท่านใช้พวกมันที่จะระเบิดรูในกำแพงโล่ห์.....”

         “ผู้คนเหล่านั้นที่อยู่ข้างบนนั้นจะไม่ใช่ระเบิดปรมาณูกับเรา,” พอลพูด. “พวกเขาไม่กล้าหรอก.....และสำหรับเหตุผลเดียวกันคือพวกเขาไม่สามารถเสี่ยงต่อการที่เราจะทำลายแหล่งทรัพยากรเครื่องเทศนี้.”

         “แต่จคำสั่งห้ามต่อ---”

         “คำสั่งห้าม!พอลคำราม. “มันคือความกลัว, ไม่ใช่คำสั่งห้ามอะไรที่คอยกันให้ราชสำนักทั้งหลายไว้ออกจากการเขวี้ยงระเบิดปรมาณูใส่กันและกัน. ภาษาของมหาราชสภานั้นชัดเจนเพียงพอ: การใช้ระเบิดปรมาณูต่อมนุษย์จะถือว่ามีความผิดฐานลบล้างกฎหมายระหว่างพิภพ. เรากำลังจะระเบิดกำแพงโล่พลัง, ไม่ใช่มนุษย์.”

         “มันดีเกินไปในจุดนั้น,” เกอร์นีย์พูด.

         “นักแยกแยะละเอียด-ประณีตทั้งหลายข้างบนนั่นจะยินดีต้อนรับในจุดใดๆทั้งนั้น,” พอลพูด. “เลิกคุยกันถึงเรื่องนี้กันอีกเถิด.”

         เขาหันไป, หวังว่าเขาจะรู้สึกมั่นใจได้เช่นนั้นจริงๆ. ในทันทีนั้น, เขาพูด: “อะไรเกี่ยวกับประชาชนในนครนั่นล่ะ? พวกเขาอยู่ในตำแหน่งกันแล้วหรือ?”

         “ใช่,” สติลจาร์พึมพำบ่น.

         พอลมองดูเขา. “อะไรกัดกินท่านอยู่รึ?”

         “ข้าไม่เคยรู้เลยว่าคนเมืองพวกนั้นจะสามารถไว้วางใจได้อย่างสมบูรณ์,” สติลจาร์พูด.

         “ข้าเคยเป็นคนเมืองด้วยตนเองมาครั้งหนึ่ง.” พอลพูด.

         สติลจาร์ตัวแข็ง. ใบหน้าของเขามืดคล้ำลงด้วยเลือดฉีด. “มวดดิบรู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่น---”

         “ข้ารู้ว่าท่านหมายความถึงอะไร, สติล. แต่การทดสอบของคนนั้นไม่ใช่อะไรอย่างที่ท่านคิดว่าเขาจะทำ. มันคืออะไรที่เขาได้ทำจริงๆ. พวกคนเมืองเหล่านี้มีเลือดฟรีเมน. มันเป็นแค่พวกเขายังไม่ได้เรียนรู้ว่าจะหลบหนีจากโซ่ตรวนของพวกเขาได้อย่างไร. เราจะสอนพวกเขา.”

         สติลจาร์พยักหน้า, พูดในน้ำเสียงสลดใจ: “เป็นนิสัยชั่วชีวิต, มวดดิบ. บนทุ่งสุสานเราได้เรียนรู้ที่จะดูแคลนพวกคนแห่งชุมชนทั้งหลาย.”

         พอลเหลือบมองยังเกอร์นีย์, เห็นเขากำลังศึกษาดูสติลจาร์อยู่. “บอกเราสิ, เกอร์นีย์, ทำไมพวกคนเมืองข้างล่างนั้นถูกต้อนจากบ้านเรือนของพวกเขาโดบพวกซาร์เดาการ์?”

         “ลูกไม้เก่าแก่, ท่านดยุคของข้า. พวกเขาคิดจะโยนภาระมาให้เราด้วยผู้ลี้ภัย.”

         “มันได้นานมาแล้วตั้งแต่พวกกองโจรปฏิบัติการได้ผลที่ผู้ยิ่งใหญ่ได้ลืมไปแล้วว่าจะต่อสู้กับพวกเขาอย่างไร,” พอลพูด. “พวกซาร์เดาการ์ได้เล่นเกมเข้ามาอยู่ในมือของเรา. พวกเขาตะครุบผู้หญิงคนเมืองบางรายไปเพื่อเกมกีฬาของตน, ประดับประดามาตรฐานการยุทธสงครามของพวกมันด้วยศีรษะของผู้ที่ต่อต้าน. และพวกมันก็ได้สร้างไข้ระบาดแห่งความเกลียดชังขึ้นในหมู่ประชาชนที่ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะมองเฝ้ารอสงครามที่กำลังมาถึงดุจอะไรที่ไม่มีที่ไร้ความสะดวกสบายไปยิ่งกว่านี้ได้อีกแล้ว....และความเป็นไปได้ของการแลกเปลี่ยนเจ้านายทั้งหลายอีกหนึ่งชุดไปเป็นอีกชุดหนึ่ง. ซาร์เดาการ์เกณฑ์คัดสรรคนมาให้กับเราเอง, สติลจาร์.”

         “คนเมืองนั่นดูเหมือนจะกระเหี้ยนกระหือรือ,” สติลจาร์พูด.

         “ความเกลียดชังของพวกเขากำลังสดใหม่และใสชัด,” พอลพูด. “นั่นคือทำไมเราใช้พวกเขาเป็นกองกำลังสร้างความตื่นตกใจ.”

         “นักฆ่าในท่ามกลางพวกเขานั้นจะน่ากลังยิ่ง,” เกอร์นีย์พูด.

         สติลจาร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย.

         “พวกเขาคือตัวบอกถึงแต้มต่อ,” พอลพูด. “พวกเขารู้ทุกซาร์เดาการ์การฆ่าของพวกเขาผลลัพธ์หนึ่งที่เราไม่ต้องคำนึง. เห็นไหม, ท่านสุภาพบุรุษ, พวกเขามีบางอย่างที่จะตายเพื่อแล้ว. พวกเขาได้ค้นพบว่าพวกเขาคือผู้คน. พวกเขาได้กำลังตื่นขึ้นมาแล้ว.”

         เสียงอุทานพึมพำมาจากยามเฝ้ามองที่กล้องส่องทางไกล. พอลเคลื่อนร่างไปที่รอยแยกก้อนหินนั้น: “มีอะไรที่ข้างนอกนั่นหรือ?”

         “มีการเคลื่อนไหววุ่นวายใหญ่โต, มวดดิบ,” ยามเฝ้าดูนั้นบอก. “ที่กระโจมโลหะยักษ์ร้ายนั่น. ยานผิวพื้นคันหนึ่งออกมาจากกำแพงขอบตะวันตกและมันเหมือนเหยี่ยวหนึ่งพุ่งเข้าไปหารังของนกกระทาหิน.”

         “เชลยซาร์เดาการ์ของเราได้มาถึงแล้ว,” พอลพูด.

         “พวกมันมีโล่พลังรอบสนามลงจอดยานทั้งหมดในตอนนี้,” ยามเฝ้าดูนั้นบอก. “ข้าสามารถมองเห็นอากาศกระเพื่อมเต้นระบำอยู่กระทั่งกับริมขอบของลานโกดังที่พวกมันเก็บเครื่องเทศไว้.”

         “ตอนนี้พวกมันรู้ว่าใครที่พวกมันต่อสู้อยู่,” เกอร์นีย์พูด. “ให้พวกสัตว์ฮาร์คอนเนนทั้งหลายได้ตัวสั่นและกังวลในตัวพวกมันที่อะไทรดิสยังมีชีวิตอยู่กันไปเถิด.”

         พอลพูดกับฟีเดย์คินที่ส่องกล้องทางไกลอยู่. “คอยดูเสาธงบนยอดเรือยานของจักรพรรดินั่น. ถ้าธงของข้าได้ขึ้นไปสู่ยอดเสานั้น---”

         “มันจะไม่เป็นเช่นนั้น,” เกอร์นีย์พูด.

         พอลมองเห็นใบหน้าขมวดย่นอย่างฉงนใจของสติลจาร์, พูด: “ถ้าจักรพรรดิจดจำได้ถึงการเรียกร้องอ้างสิทธิของข้า, เขาจะส่งสัญญาณโดยการฟื้นคืนธงของอะไทรดิสต่ออาร์ราคิส. เราจะใช้แผนที่สองตอนนั้น, เคลื่อนเข้าจัดการต่อพวกฮาร์คอนเนนส์เท่านั้น. พวกซาร์เดาการ์จะยืนอยู่ด้านข้างและปล่อยให้เราลงลงมือแก้ปัญหากับเรื่องราวของพวกเรากันเอง.”

         “ข้าไม่มีประสบการณ์รับรู้กับเรื่องของชาวนอกพิภพแบบนี้,” สติลจาร์พูด. “ข้าเคยได้ยินเรื่องพวกนั้น, แต่มันดูไม่เหมือนกับ---”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์หรอกที่จะรู้ว่าพวกมันกำลังจะทำอะไร,” เกอร์นีย์พูด.

“พวกมันกำลังส่งธงใหม่ขึ้นไปสู่ยอดเสาบนเรือสูงนั่น,” ยามเฝ้าดูพูด. “ธงนั่นสีเหลือง...มีวงกลมสีดำกับสีแดงอยู่ตรงกลาง.”

“เป็นการทำธุรกิจชิ้นนี้ที่ละเอียดประณีตยิ่ง,” พอลพูด. “ธงของ โชอัม กัมปะนี.”

“มันเป็นเหมือนเช่นเดียวกับธงที่อยู่บนเรือยานอื่นๆ,” ยามฟีเดย์คินนั้นพูด.

“ข้าไม่เข้าใจ,” สติลจาร์พูด.

“งานธุรกิจที่ละเอียดประณีตจริงแท้เลย,” เกอร์นีย์พูด. “ถ้าเขาส่งธงอะไทรดิสขึ้นไปสู่ยอดเสานั้น, เขาก็ต้องมีชีวิตอยู่กับอะไรที่นั่นหมายถึง. มีผู้สังเกตการณ์อยู่มากหลายเกี่ยวกับเรื่องนี้เกินไป. เขาสามารถส่งสัญญาณกับธงพวกฮาร์คอนเนนกับคณะทำงานของเขา---การประกาศตนอย่างอย่างราบเรียบที่ควรจะเป็น. แต่ไม่---เขากลับส่งผ้าขี้ริ้วของโชอัมขึ้นไป. เขากำลังบอกต่อผู้คนข้างบนนั้นว่า.....” เกอร์นีย์ชี้ขึ้นไปยังอวกาศ. “.....ที่ไหนเป็นจุดทำกำไร. เขากำลังพูดว่าเขาไม่ใส่ใจว่ามันจะมีอะไทรดิสอยู่หรือไม่.”

“อีกนานเท่าไร่ที่พายุจะเข้าปะทะกับกำแพงโล่พลังนี้?” พอลถาม.

สติลจาร์หันเดินออกไป, ปรึกษาคนหนึ่งของฟีเดย์คินในชามอ่าง. ทันทีนั้น, เขาก็กลับมา, พูด: “ในเร็วมากนี้, มวดดิบ. เร็วกว่าที่เราคาดเอาไว้. มันเป็นมหา-ใหญ่-มารดาทวดใหญ่ของพายุ.....บางทีกระทั่งยิ่งกว่าที่ท่านปรารถนาเอาไว้.”

“มันคือพายุของข้า,” พอลพูด, และเห็นความเงียบตื่นตระหนกอยู่บนใบหน้าของฟีเดย์คินที่ได้ยินคำพูดนั้นของเขา. “แม้ว่ามันเขย่าพิภพทั้งปวงได้มันก็จะไม่ยิ่งไปกว่าที่ข้าปรารถนามันเอาไว้. มันจะซัดเข้ากับกำแพงโล่ห์นี้เต็มที่ไหม?”

         “ใกล้เพียงพอที่จะไม่ทำความแตกต่างได้,” สติลจาร์พูด.

         ผู้นำสาส์นเดินข้ามมาจากรูช่องที่นำลงไปสู่แอ่งด้านล่าง, พูด: “หน่วยลาดตระเวนของซาร์เดาการ์และฮาร์คอนเนนกำลังถอนกลับ, มวดดิบ.”

         “พวกมันคาดหวังว่าพายุนั้นจะกระหน่ำทรายมากมายเข้าใส่แอ่งลุ่มนี้จนบดบังทัศนวิสัยไปสิ้น,” สติลจาร์พูด. “พวกมันคิดว่าเราจะถูกตรึงไว้ด้วยเช่นกัน.”

         “บอกพลปืนของเราให้จัดตั้งมุมยิงของพวกเขาให้ดีก่อนทัศนวิสัยจะลดลง.” พอลพูด. “พวกเขาต้องซัดจมูกของยานเรือเหล่านั้นทันทีที่พายุได้ทำลายโล่ห์พลังป้องกันนั้นแล้ว.” เขาก้าวไปยังผนังของชามอ่าง, ดึงกลับแผ่นพับที่ปกปิดอำพรางไว้และมองออกไปยังท้องฟ้า. หางม้าบิดม้วนของลมทรายสามารถถูกมองเห็นได้ตัดกับท้องฟ้ามืดครึ้ม. พอลปล่อยม่านกำบังปิดกลับคืน, พูด: “เริ่มต้นส่งคนของเราลงไปได้, สติล.”

         “ท่านจะไม่ไปกับเราหรือ?” สติลจาร์ถาม.

         “ข้าจะรออยู่ที่นี่อีกนิดกับฟีเดย์คิน,” พอลพูด.

         สติลจาร์ยักไหล่อย่างบอกรู้ไปยังเกอร์นีย์, เคลื่อนร่างยังช่องรูในกำแพงหิน, หายลับไปในเงามืดของมัน.

         “ไกกดที่จะระเบิดกำแพงโล่ห์นี้ให้ทะลายลงไปด้านข้าง, ที่ข้าทิ้งไว้ให้อยู่ในมือของท่าน, เกอร์นีย์,” พอลพูด. “เจ้าจะทำมันไหม?”

         “ข้าจะทำมัน.”

         พอลทำสัญญาณไปยังผู้หมวดฟีเดย์คิน, พูด:โอธียัม, เริ่มเคลื่อนที่หน่วยตรวจออกไปจากพื้นที่บริเวณระเบิดได้แล้ว. พวกเขาต้องอยู่นอกออกไปจากที่นั้นก่อนที่พายุจะเข้าปะทะ.”

         ชายนั้นโค้งคำนับ, ตามสติลจาร์ไป.

         เกอร์นีย์เอนร่างพิงกับแผ่นหิน, พูดยังยามที่อยู่กับกล้องส่องทางไกล. “คอยสนใจจับอยู่ที่กำแพงทางด้านทิศใต้. มันจะไร้การคุ้มกันอย่างสมบูรณ์สิ้นจนกระทั่งเราระเบิดมัน.”

         “ปล่อยซิเอลาโก(cielago - ค้างคาวส่งสาส์น)ไปกับสัญญาณบอกเวลา,” พอลบัญชา.

         “ยานรถพื้นดินทังหลายกำลังเคลื่อนไปทางกำแพงด้านทิศใต้,” ยามเฝ้าดูที่กล้องส่องทางไกลพูด. “บางคันกำลังใช้อาวุธวิถีโค้ง, ทดสอบ. ผู้คนของเรากำลังใช้ตัวโล่พลังดังที่ท่านได้บัญชา. ยานรถพื้นดินหยุดวิ่งแล้ว.”

         ในความเงียบสงัดทันทีนั้น, พอลได้ยินเสียงลมปีศาจทั้งหลายกำลังบรรเลงอยู่เหนือศีรษะ---แนวหน้าของพายุ. ทรายเริ่มต้นไหลลงมาสู่ชามอ่างผ่านช่องว่างทั้งหลายในที่กำบัง. การระเบิดของลมปะทะเข้ากับม่านปิดกำบัง, ฟาดกระชากมันปลิวออกไป.

         พอลส่งสัญญาณให้ฟีเดย์คินของเขาให้เข้าที่กำบัง, เดินข้ามไปหาทหารเหล่านั้นที่เครื่องมือสื่อสารทั้งหลายใกล้ปากอุโมงค์. เกอร์นีย์อยู่ที่ข้างหลังของเขา. พอลคู้กายลงเหนือพลส่งสัญญาณ.

         คนหนึ่งพูด: “มหามารดา-สุดยิ่งใหญ่ของพายุเลย, มวดดิบ.”

         พอลเลือบขึ้นมองความมืดมิดของท้องฟ้า, พูด: เกอร์นีย์, ให้คนสังเกตการณ์กำแพงทิศใต้นั่นถอนตัวออกมา.” เขาต้องทวนซ้ำคำสั่งนั้น, ตะโกนไปเหนือเสียงก่นคำรามของพายุ.

         เกอร์นีย์กันร่างไปตามคำสั่ง.

         พอลรัดสายเครื่องกรองที่ใบหน้าให้แน่นขึ้น, รัดกมวกคลุมศีรษะของชุดสติลล์สูท.

         เกอร์นีย์กลับมา.

         พอลแตะไหล่ของเขา, ชี้ไปที่ไกกดระเบิดที่ติดตั้งอยู่เข้าไปในปากอุโมงค์เลยพลส่งสัญญาณไป. เกอร์นีย์เดินเข้าไปในอุโมงค์นั้น, หยุดอยู่ที่นั่น, มือข้างหนึ่งของเขาอยู่ที่ไกกด, สายตาของเขามองมายังพอล.

         “เรารับสัญญาณข่าวอะไรไม่ได้,” พลส่งสัญญาณข้างพอลบอก. “ประจุไฟฟ้าสถิตมากเกินไป.”

         พอลพยักหน้า, คงสายตาของเขาอยู่กับน้าปัดบอกเวลา-มาตรฐานที่ตรงหน้าของพลส่งสัญญาณ. ทันทีนั้น, พอลมองไปยังเกอร์นีย์, ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง, หันความสนใจของเขากลับมาที่น้าปัดนาฬิกา. เวลานั้นนับคืบคลานไปรอบวงจรสุดท้ายของมัน.

         “เอาเลย!พอลตะโกน, และหันมือที่ชูไว้ลง.

         เกอร์นีย์กดไกระเบิดนั้น.

         มันดูเหมือนหนึ่งวินาทีเต็มผ่านไปก่อนที่พวกเขาจะรู้สึกว่าพื้นดินใต้พวกเขาฉีกออกและเขย่า. เสียงรัวกระหึ่มเติมเข้ามาในคำรามของพายุ.

         ยามเฝ้าดูฟีเดย์คินจากกล้องส่องทางไกลปรากฏตัวขึ้นข้างพอล, กล้องส่องถูกหนีบอยู่ในซอกรักแร้ข้างหนึ่ง. “กำแพงโล่ห์แตกออกแล้ว, มวดดิบ!” เขาตะโกน. “พายุนั่นกำลังปะทะมันอยู่และพลปืนของเราเริ่มต้นยิงแล้ว.”

         พอลคิดถึงพายุที่กำลังกวาดข้ามไปทั่วแอ่งลุ่ม, ประจุไฟฟ้าสถิตภายในกำแพงของทรายที่ทำลายทุกโล่พลังป้องกันในค่ายพักของศัตรู.

         “พายุนั่น!” ใครบางคนตะโกน. “เราต้องเข้าใต้ที่กำบัง, มวดดิบ!

         พอลกลับมายังสัมผัสรู้ขึ้น, รู้สึกได้ถึงเข็มทรายทั้งหลายทิ่มแทงแก้มที่เปิดอยู่ของเขา. เราทำตามพันธะสัญญาแล้ว, เขาคิด. เขาเอาแขนโอบไหล่ของพลส่งสัญญาณ, พูด: “ทิ้งเครื่องมือเอาไว้! ยังมีอีกมากที่ในอุโมงค์นั่น.” เขารู้สึกตนเองถูกดึงออกไป, ฟีเดย์คินดันอยู่รอบร่างของเขาเพื่อปกป้องเขา. พวกเขาบีบกันเข้าไปในปากอุโมงค์, รู้สึกถึงความเงียบเชียบของมันตัดแย้ง, เลี้ยวอ้อมหัวมุมเข้าไปในห้องโถงเล็กๆด้วยลูกโคมลอยเรืองแสงทั้งหลายอยู่เหนือศีรษะและอีกอุโมงค์หนึ่งอยู่โพ้นเลยไป.

         พลส่งสัญญาณอีกรายนั่งอยู่ที่นั้นกับเครื่องมือ.

         “ประจุไฟฟ้าสถิตมากเกินไป,” ชายนั้นบอก.

         ม้วนหนึ่งของทรายเติมใส่อากาศที่รายล้อมพวกเขา.

         “ผนึกปากอุโมงค์!พอลตะโกน. แรงกดดันฉับพลันของความนิ่งสงัดแสดงถึงคำบัญชาของเขาได้รับการทำตาม. “ทางลงไปหาแอ่งลุ่มข้างล่างนั่นยังคงเปิดอยู่ไหม?” พอลถาม.

         ฟีเดย์คินกนึ่งออกไปตรวจดู, กลับมา, พูด: “การระเบิดนั่นทำใกก้อนหินเล็กๆหล่นลงมาแต่พวกวิศวกรบอว่ามันยังคงเปิดอยู่. พวกเขากำลังทำความสะอาดมันด้วยเลซบีม(lasbeams - ปืนแสงเลเซอร์ทั้งหลาย).”

         “บอกพวกเขาให้ใช้มือของตัวเอง!พอลตวาด. “มีโล่พลังทั้งหลายทำงานอยู่ที่ข้างล่างนั่นหรือเปล่า?”

         “พวกเขากำลังระมัดระวังกันอยู่ขอรับ, มวดดิบ,” ชายนั้นพูด, แต่เขาก็กันกลับออกไปตามคำสั่ง.

         พลส่งสัญญาณจากด้านนอกดันตัวผ่านพวกเขาแบกเครื่องมือไป.

         “ข้าบอกให้พวกนั้นทิ้งเครื่องมือเอาไว้ที่นั่น!พอลบอก.

         ฟรีเมนไม่ชอบละทิ้งเครื่องมือ, มวดดิบ,” หนึ่งในฟีเดย์คินของเขาติเตียน.

         “คนน่ะสำคัญกว่าเครื่องมือในตอนนี้,” พอลบอก. “เราจะมีเครื่องมือกันอีกมากยิ่งขึ้นกว่าที่เราสามารถมีได้ในไม่ช้านี้หรือก็ไม่จำเป็นต้องใช้พวกมันกันอีกต่อไป.”

         เกอร์นีย์ ฮัลเล็คเข้ามาอยู่ข้างพอล, พูด: “ข้าได้ยินพวกเขาบอกว่าทางลงข้างล่างเดอยู่.เราอยู่ใกล้กับผิวพื้นมากในที่นี้, ฝบาท, พวกฮาร์คอนเนนน่าจะพยายามตอบโต้แก้แค้นเอาได้.”

         “พวกมันไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะตอบโต้แก้แค้นอะไรได้,” พอลพูด. “พวกมันแค่ในตอนนี้พบว่าพวกมันไม่ได้มีโล่ห์พลังป้องกันทั้งหลายแล้วและไม่สามารถที่จะหนีออกจากอาร์ราคิส.”

         “ป้อมบัญชาการใม่ได้ถูกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว, กระนั้นด้วย, ฝบาท,” เกอร์นีย์พูด.

         “พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีข้าในป้อมบัญชาการนั้นในตอนนี้,” พอลพูด. “แผนการจะดำเนินไปข้างหน้าโดยปราศจากข้า. เราต้องรอคอยสำหรับ---”

         “ข้ากำลังได้รับข่าว, มวดดิบ,” พลส่งสัญญาณบอกที่เครื่องมืออุปกรณ์สื่อสาร. ชายนั้นสั่นศีรษะ, กดกระบอกรับเสียงเข้ากับหูของตน. “ประจุไฟฟ้าสถิตมากเกินไป!” เขาเริ่มต้นเขียนเขี่ยลงบนแผ่นตรงน้าของเขา, ส่ายศีรษะของตนรอคอย, แล้วเขียน.....รอคอย.

         พอลข้ามไปยังด้านข้างของพลส่งสัญญาณนั้น. ฟีเดย์คินก้าวถอยหลัง, เปิดที่ว่างให้เขา. เขาก้มมองยังอะไรที่ชายผู้นั้นได้เขียนไว้, อ่าน:

         “โจมตี.....ที่ทับร์สิฐ.....ยึด.....อาเลีย(ว่าง)ครอบครับของ(ว่าง)ตายได้.....พวกเขา(ว่าง)บุตรของมวดดิบ.....”

         อีกครั้ง, พลส่งสัญญาณสั่นศีรษะของตน.

         พอลเงยหน้าขึ้นมาเห็นเกอร์นีย์กำลังจ้องมองมายังเขา.

         “ข่าวนั้นสับสนปนเป,” เกอร์นีย์พูด. “ประจุไฟฟ้าสถิต. เจ้าไม่รู้ว่านั่น.....”

         “ลูกชายของข้าตายแล้ว,” พอลพูด, และรู้ในขณะที่เขาพูดไปนั้นว่ามันเป็นความสัจจริง. “ลูกชายของข้าตายไปแล้ว.....และอาเลียถูกจับกุมตัวไว้.....เป็นตัวประกัน.” เขารู้สึกว่างเปล่า, เปลือกที่ปราศจากอารมณ์ใด. ทุกอย่างที่เขาแตะต้องนำมาซึ่งความตายและโศกเศร้า. และมันเป็นเหมือนโณคร้ายที่สามารถระบาดแพร่ข้ามไปทั่วจักรวาล.

         เขาสามารถรู้สึกได้ถึงปัญญาของชาย-ชรา, การสั่งสมออกมาจากประสบการณ์รับรู้จากความเป็นไปได้ของชีวิตทั้งหลายอย่างนับไม่ถ้วน. บางอย่างดูเหมือนที่จะหัวเราะกับตนเองและถูมือของมันภายในตัวของเขา.

         และพอลคิด: จักรวาลที่ช่างรู้เล็กน้อยเสียเหลือเกินเกี่ยวกับธรรมชาติของความโหดร้ายที่แท้จริง!

 

 

         และมวดดิบยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา, และเขาพูด: “แม้ว่าเราจะเข้าใจคิดว่าผู้ถูกจับกุมตาย, กระนั้นก็ยังที่เธอมีชีวิตอยู่. เพราะเมล็ดพันธุ์ของเธอก็คือเมล็ดพันธุ์ของข้าและวจนะของเธอก็คือวจนะของข้า. และเธอเห็นไปสู่อย่างไกลที่สุดเอื้อมของความเป็นไปได้. เย้, ไปสู่หุบเขาแห่งความไม่อาจรู้ได้ที่เธอได้เห็นก็เพราะข้า.”

---จาก “การตื่นขึ้น ของ อาร์ราคิส” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น