และวันนั้นได้รุ่งอรุณเมื่ออาร์ราคิสทอดนอนอยู่ที่จุดศูนย์หมุนวนแห่งเอกภพด้วยกงล้อถูกตั้งไว้ที่จะหมุนรอบ.
---จาก
“การตื่นขึ้นของ อาร์ราคิส” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน
“ท่านดูที่สิ่งนั้นทีสิ!” สติลจาร์กระซิบ.
พอลนอนอยู่ข้างเขาในร่องยาวของหินสูงบนริมขอบกำแพงโล่พลัง,
ตาตรึงอยู่กับก้องส่องทางไกลเก่าเก็บของฟรีเมน.
เลนส์น้ำมันถูกปรับจุดเพ่งมองอยู่ที่เรือยานขนส่งอวกาศที่แสดงตัวปรากฏอยู่โดยแสงรุ่งอรุณในแอ่งใต้ล่างของพวกเขา.
ใบหน้าสูงตะวันออกของเรือยานนั้นระยิบระยับในแสงแบนราบของดวงอาทิตย์,
แต่เงาด้านข้างยังคงแสดงรูช่องท่าสีเหลืองทั้งหลายจากลูกโคมเรืองแสงของตอนราตรี.
โพ้นเลยเรือยานนั้นไป, นครแห่งอาร์ราคีนนอนอยู่เยือกเย็นและเป็นประกายในแสงของดวงอาทิตย์ทางตอนเหนือ.
มันไม่ใช่ยานขนส่งนั้นที่ทำให้สติลจาร์ตื่นเต้นหวาดกลัว,
พอลรู้, แต่เป็นโครงสร้างที่ซึ่งยานขนส่งนั้นเป็นท่าเทียบศูนย์กลางหลักเพียงที่เดียว.
หมู่กระท่อมโลหะโดดเดี่ยว, สูงหลายชั้น, เอื้อมออกไปในวงกลมราวหนึ่งพันเมตรจากฐานของยานขนส่ง---กระโจมที่ประกอบกันเข้าด้วยแผ่นโลหะทั้งหลาย---สถานที่พักชั่วคราวสำห้ากองพลของซาร์เดาการ์และฝ่าบาทองค์จักรพรรดิ,
จักรพรรดิ ปาดิชาห์ ที่ 4.
จากตำแหน่งของเขานั่งยองอยู่ทางด้านซ้ายมือของพอล,
เกอร์นีย์ ฮัลเล็คพูด: “ข้านับได้เก้าชั้นกับมัน. ต้องเป็นค่อนข้างเล็กน้อยของซาร์เดาการ์ที่ในนั้น.
“ห้ากองพล,” พอลพูด.
“มันเริ่มแสงสว่างแล้ว,” สติลจาร์บ่นขู่.
“เราชอบมันไม่, ท่านกำลังเผนเปิดตัวเอง, มวด’ดิบ.
เราถอยกลับเข้าไปในหหินตอนนี้กันเถิด.”
“ข้าปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ที่นี่,” พอลพูด.
“เรือนั่นติดอาวุธยิงวิถีโค้ง,” เกอร์นีย์พูด.
“พวกเขาเชื่อว่าปกป้องเราไว้ได้แล้วด้วยโล่พลังทั้งหลายนี้,”
พอลพูด. “พวกเขาจะไม่เสียเปล่ากับการยิงใส่อะไรที่ไม่สามารถระบุสามรายหรือแม้กระทั่งพวกมันเห็นเราก็ตาม.”
พอลเหวี่ยงกล้องส่องทา
ไกลเพื่อกวาดไล่กำแพงทางด้านไกลออกไปนั้นของแอ่ง,
มองเห็นหน้าผาปุปะเว้าแหว่งทั้งหลาย, ลอยลาดเลื่อนที่คือเครื่องหมายของสุสานฝังศพของกองกำลังมากมายของบิดาตน.
และเขาได้มีสัมผัสรู้สึกในชั่วชณะนั้นถึงความเหมาะเจาะของสิ่งทั้งหลายที่เงาของทหารพวกนั้นน่าจะกำลังมองลงมาดูในชั่วขณะนี้.
ป้อมปราการของพวกฮาร์คอนเนนและเมืองทั้งหลายตัดผ่านข้ามแผ่นดินโล่ห์พลังทั้งหลายทอดนอนอยู่ในมือของฟรีเมนหรือตัดขาดออกไปจากแหล่งต้นทางของมันเหมือนเส้นฟางขาดแหลกออกจากกอและถูกปล่อยทิ้งให้เหี่ยวแห้ง.
มีเหลือเพียงแอ่งนี้และนครในนี้เท่านั้นที่ยังคงอยู่กับศัตรู.
“พวกมันอาจจะพยายามฝ่าวงล้อมเข้ามาโจมตีด้วยยาน’ธ็อปเปอร์,” สติลจาร์พูด.
“ถ้าพวกมันเห็นเรา.”
“ให้พวกมันทำ,” พอลพูด.
“เรามีจะได้มี’ธ็อปเปอร์ให้เผากันในวันนี้.....และเรารู้ว่าพายุกำลังจะมา.”
เขาเหวี่ยงกวาดกล้องส่องทางไกลไปทางด้านไกลของสนามบินอากาศยานแห่งอาร์ราคีนในตอนนี้,
ไปยังยานเรือพิฆาตของฮาร์คอนเนนที่เรียงแถวอยู่ที่นั้นพร้อมด้วยป้ายริ้วธงของ
โชอัม กัมปะนี
โบกสะบัดแผ่วเบาจากเสารายของพวกมันบนพื้นดินใต้ยานเรือพิฆาตเหล่านั้น. และเขาคิดถึงความสิ้นหวังที่ได้บีบบังคับให้พวกกิลด์อนุญาตยอมให้สองเหล่าของยานพวกนี้ลงสู่พื้นขณะที่ลำอื่นๆถูกเก็บสำรองเอาไว้.
กิลด์เป็นเหมือนคนที่กำลังทดสอบทรายด้วยนิ้วหัวแม่เท้าของเขาเพื่อวัดตรวจอุณหภูมิของมันก่อนที่จะตั้งกระโจมขึ้น.
“มีสิ่งใดใหม่ที่มองเห็นได้จากที่นี้หรือ?”
เกอร์นีย์ถาม. “เราน่าจะเข้าไปในใต้ที่กำบังได้แล้ว. พายุกำลังมา.”
พอลหันความสนใจของเขากลับมายังป้อมกระท่อมยักษ์นั้น.
“พวกมันกระทั่งนำเอาผู้หญิงของพวกมันมาด้วย,” เขาพูด. “และพวกขี้ข้าและพวกคนรับใช้.
อ้า-ห-ห, จักรพรรดิที่รักของข้า, ท่านช่างมั่นอกมั่นใจในตนเองแท้.”
“มีคนกำลังขึ้นมาตามเส้นทางลับ,” สติลจาร์พูด.
“มันอาจบางทีเป็นโอธียัมกับคอร์บากำลังกลับมา.”
“เอาละ, สติล,” พอลพูด.
“เราจะกลับกันแล้ว.”
แต่เขามองอีกเป็นครั้งสุดท้ายไปรอบๆผ่านกล้องส่องทางไกลนั้น---ศึกษาถึงแผนผังกับเรือยานเหล่านั้นของมันที่จอดอยู่,
หอกระท่อมโลหะเลื่อมระยิบพวกนั้น, เมืองที่เงียบสงัด, ยานเรือพิฆาตของนักรบรับจ้างฮาร์คอนเนน.
แล้วเขาก็ไถลเลื่อนกลับหลังอ้อมเนินหินชันนั้น. ตำแหน่งที่นั้นของเขาถูกแทนด้วยยามรักษาการณ์ฟีเดย์คินผู้หนึ่ง.
พอลรีบเร่งเข้าไปในช่องแคบยุบเข้าไปในผิวหน้าของกำแพงโล่ห์.
มันเป็นสถานที่ราวสามสิบเมตรในเส้นผ่าศูนย์กลางและลึกเกือบสามเมตร,
รูปรอยธรรมชาติของก้อนหินที่ฟรีเมนได้หลบซ่อนอยู่ภายใต้ที่ปกปิดอำพรางสลัวนี้.
เครื่องมือการสื่อสารถูกวางอยู่เป็นกลุ่มรอบรูหลุมหนึ่งในผนังด้านขวามือ. ยามฟีเดย์คินทั้งหลายเคลื่อนพลผ่านช่องเว้าเวิ้งนี้รอคอยคำบัญชาการของ
มวด’ดิบให้บุกโจมตี.
สองคนโผล่พรวดจากรูหลุมนั้นข้างเครื่องมือสื่อสาร,
พูดไปยังยามรักษาการณ์ที่นั่น.
พอลจ้องมองยังสติลจาร์,
พยักหน้าปทางทหารสองคนนั้น. “รับรายงานมาจากพวกนั้นที, สติล.”
สติลจาร์เคลื่อนไปอย่างเชื่อฟัง.
พอลหมอบกายลงโดยให้หลังพิงกับก้อนหิน,
เหยียดกล้ามเนื้อของเขา, หยัดหลังตรงขึ้น. เขาเห็นสติลจาร์ส่งทหารสองคนนั้นกลับเข้าไปในรูหลุมมืดในก้อนหิน,
คิดถึงเรื่องการปีนไต่ลงไกลตามอุโมงค์แคบที่คนได้ทำขึ้นไปยังพื้นล่างของแอ่ง.
สติลจาร์เดินข้ามมาหาพอล.
“อะไรที่สำคัญนักหรือที่เขาไม่สามารถส่งข่าวด้วยซีเอลาโก(cielago – ค้างคาวนำสาส์น)?” พอลถาม.
“พวกเขาเก็บรักษานกทั้งหลายของเขาเอาไว้สำหรับใช้ในการรบ,”
สติลจาร์พูด. เขาเหลือบมองที่อุปกรณ์สื่อสาร, กลับมาที่พอล.
“แม้กระทั่งด้วยคลื่นควบแน่น, มันก็ผิดที่จะใช้สิ่งเหล่านั้น, มวด’ดิบ.
พวกมันสามารถค้นพบท่านโดยการตรวจหาทิศทางการปล่อยประจุของมันได้.”
“พวกมันในไม่ช้าก็จะยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้นหาข้า,”
พอลพูด. “ทหารพวกนั้นรายงานมาว่าอย่างไรบ้าง?”
“สัตว์เลี้ยงซร์เดาการ์ของเราได้ถูกปล่อยไว้ใกล้ช่องเก่าแก่ต่ำอยู่ระหว่างบนชายขอบและอยู่ในเส้นทางของพวกมันไปหานายของมัน.
เครื่องปล่อยจรวดและอาวุธวิถีโค้งอื่นๆถูกติดตั้งไว้เข้าที่แล้ว.
ผู้คนกำลังระดมพลตามที่ท่านบัญชาไป. มันเป็นไปตามกิจวัตรทั้งหมด.”
พอลชำเลืองข้ามอ่างช่องแคบนั้น,
ศึกษาคนของเขาในแสงสว่างผ่านเครื่องกรองทำไว้ให้สอดคล้องกับการปกปิดอำพรางตน.
เขารู้สึกได้ว่าถึงเวลาที่กำลังคืบคลานเหมือนแมลงทำงานในหนทางของมันข้ามไปตามก้อนหินเปิดโล่ง.
“มันจะทำให้ซาร์เดาการ์เสียเวลาไปบ้างเล็กน้อยในการเดินเท้าก่อนที่พวกมันจะสามารถส่งสัญญาณไปถึงยานลำเลียงพลได้,”
พอลพูด. “พวกมันถูกเฝ้าจับตาดูไว้แล้วนะ?”
“พวกมันถูกเฝ้าดูไว้อยู่,” สติลจาร์พูด.
ข้างตัวของพอล, เกอร์นีย์
ฮัลเล็คกระแอมในลำคอของตน.
“เราไมดีที่สุดกว่าที่จะไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยหรอกหรือ?”
“ไม่มีสถานที่เช่นนั้นหรอก?” พอลพูด.
“รายงานสภาพอากาศยังพอช่วยหาได้บ้างไหม?”
“มหามารดาพายุกำลังมา,” สติลจาร์พูด.
“ท่านไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้หรือ, มวด’ดิบ?”
“อากาศรู้สึกว่าปั่นป่วนจริงๆ,” พอลยอมรับ.
“แต่ข้าชอบความแน่นอนที่เสาตรวจวัดสภาพอากาศมากว่า.”
“พายุจะมาถึงที่นี่ในราวหนึ่งชั่วโมง,” สติลจาร์พูด.
เขาพยักหน้าไปยังช่องว่างที่มองออกไปเห็นหอกระโจมของจักรพรรดินั้นและยานเรือพิฆาตของฮาร์คอนเนน.
“พวกเขารู้นั่นด้วย, เช่นกัน. ไม่ใช่แค่ยาน’ธ็อปเปอร์ในท้องฟ้า. ทุกอย่างถูกดึงเข้าเก็บและตรึงมัดลงแน่น. พวกเขาได้มีรายงานกับสภาวะอากาศจากเพื่อนของพวกเขาในอวกาศ.”
“มีพวกลาดตระเวนออกมาไล่หาบ้างไหม?” พอลถาม.
“ไม่มีเลยตั้งแต่การลองจอดเมื่อคืนที่ผ่านมา,”
สติลจาร์พูด. “พวกเขารู้ว่าเราอยู่ที่นี่.
ข้าคิดว่าในตอนนี้พวกเขารอคอยที่จะเลือกเวลาเหมาะกับของพวกมันเอง.”
“เราเลือกเวลานั้น,” พอลพูด.
เกอร์นีย์เหลือบมองขึ้นไปข้างบน,
ก่นคำราม: “ถ้าพวกมันให้เราทำ.”
“กองเรือนั่นจะต้องอยู่ในอวกาศ,” พอลพูด.
เกอร์นีย์สั่นศีรษะของตน.
“พวกเขาไม่มีทางเลือก,” พอลพูด.
“เราสามารถทำลายเครื่องเทศนี้ได้. พวกกิลด์ไม่กล้าเสี่ยงในเรื่องนั้น.”
“ผู้คนที่สิ้นหวังเป็นสิ่งอันตรายมากที่สุด,”
เกอร์นีย์พูด.
“เราไม่สิ้นหวังหรือ?” สติลจาร์พูด.
เกอร์นีย์ขู่ใส่เขา.
“เจ้าไม่ได้อาศัยอยู่กับความฝันของชนฟรีเมน,”
พอลเตือนให้ระวังตัว. “สติลกำลังคิดถึงบรรดาน้ำทั้งหมดที่เราได้ใช้ในการให้สินบนไปแล้ว,
หลายปีของการรอคอยที่เราได้เพิ่มให้ก่อนที่อาร์ราคิสจะสามารถเติบโตผลิบาน.
เขาไม่ได้---”
“อ๊ารรรจห์,” เกอร์นีย์ก่นคำราม.
“ทำไมเขาถึงช่างอารมณ์เสียเช่นนี้นัก?” สติลจาร์ถาม.
“เขามักจะอารมณ์ขุ่นมัวเสมอก่อนการสู้รบ,”
พอลพูด. “มันเป็นแค่รูปแบบของอารมณ์ขันดีๆของเกอร์นีย์ที่อนุญาตให้กับตัวเอง.”
อย่างช้าๆ,
รอยยิ้มเยี่ยงสุนัขป่าแผ่พาดใบหน้าของเกอร์นีย์,
ฟันเผยซี่ขาวเรียงเหนือที่ครอบปากของชุดสติลล์สูทของเขา.
“มันทำให้ข้าขุ่นมัวมากที่คิดกับบรรดาวิญญาณน่าสงสารทั้งหมดของพวกฮาร์คอนเนนที่เราจะเด็ดฆ่าไปสดๆ,”
เขาพูด.
สติลจาร์หัวร่อในลำคอ.
“เขาพูดคุนเหมือนฟีเดย์คิน.”
“เกอร์นีย์เป็นหน่วยโจมตีมรณะมาแต่กำเนิด,”
พอลพูด. และเขาคิด: ใช่,
ปล่อยให้พวกเขาสาระวนอยู่ในจิตใจของพวกเขาด้วยการพูดคุยเล็กๆน้อยๆก่อนที่เราทดสอบตัวเราเองต่อกองกำลังนั่นบนพื้นราบ.
เขามองผ่านช่องว่างในผนังหินนั้นออกไปและกลับมาที่เกอร์นีย์,
พบว่านักรบ-วณิพกนั้นได้เริ่มก่นขู่คำรามในคอต่อไปใหม่อีก.
“ความกังวลนั้นลดทอนกำลัง,” พอลพึมพำ.
“เจ้าเคยบอกกับข้ามาครั้งหนึ่ง, เกอร์นีย์.”
“ดยุคของข้า,” เกอร์นีย์พูด,
“หัวหน้าความกังวลของข้าก็คือระเบิดปรมาณู. ถ้าท่านใช้พวกมันที่จะระเบิดรูในกำแพงโล่ห์.....”
“ผู้คนเหล่านั้นที่อยู่ข้างบนนั้นจะไม่ใช่ระเบิดปรมาณูกับเรา,”
พอลพูด. “พวกเขาไม่กล้าหรอก.....และสำหรับเหตุผลเดียวกันคือพวกเขาไม่สามารถเสี่ยงต่อการที่เราจะทำลายแหล่งทรัพยากรเครื่องเทศนี้.”
“แต่จคำสั่งห้ามต่อ---”
“คำสั่งห้าม!” พอลคำราม.
“มันคือความกลัว, ไม่ใช่คำสั่งห้ามอะไรที่คอยกันให้ราชสำนักทั้งหลายไว้ออกจากการเขวี้ยงระเบิดปรมาณูใส่กันและกัน.
ภาษาของมหาราชสภานั้นชัดเจนเพียงพอ: ‘การใช้ระเบิดปรมาณูต่อมนุษย์จะถือว่ามีความผิดฐานลบล้างกฎหมายระหว่างพิภพ.’ เรากำลังจะระเบิดกำแพงโล่พลัง, ไม่ใช่มนุษย์.”
“มันดีเกินไปในจุดนั้น,” เกอร์นีย์พูด.
“นักแยกแยะละเอียด-ประณีตทั้งหลายข้างบนนั่นจะยินดีต้อนรับในจุดใดๆทั้งนั้น,”
พอลพูด. “เลิกคุยกันถึงเรื่องนี้กันอีกเถิด.”
เขาหันไป,
หวังว่าเขาจะรู้สึกมั่นใจได้เช่นนั้นจริงๆ. ในทันทีนั้น, เขาพูด:
“อะไรเกี่ยวกับประชาชนในนครนั่นล่ะ? พวกเขาอยู่ในตำแหน่งกันแล้วหรือ?”
“ใช่,” สติลจาร์พึมพำบ่น.
พอลมองดูเขา.
“อะไรกัดกินท่านอยู่รึ?”
“ข้าไม่เคยรู้เลยว่าคนเมืองพวกนั้นจะสามารถไว้วางใจได้อย่างสมบูรณ์,”
สติลจาร์พูด.
“ข้าเคยเป็นคนเมืองด้วยตนเองมาครั้งหนึ่ง.”
พอลพูด.
สติลจาร์ตัวแข็ง.
ใบหน้าของเขามืดคล้ำลงด้วยเลือดฉีด. “มวด’ดิบรู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่น---”
“ข้ารู้ว่าท่านหมายความถึงอะไร, สติล.
แต่การทดสอบของคนนั้นไม่ใช่อะไรอย่างที่ท่านคิดว่าเขาจะทำ.
มันคืออะไรที่เขาได้ทำจริงๆ. พวกคนเมืองเหล่านี้มีเลือดฟรีเมน.
มันเป็นแค่พวกเขายังไม่ได้เรียนรู้ว่าจะหลบหนีจากโซ่ตรวนของพวกเขาได้อย่างไร.
เราจะสอนพวกเขา.”
สติลจาร์พยักหน้า,
พูดในน้ำเสียงสลดใจ: “เป็นนิสัยชั่วชีวิต, มวด’ดิบ. บนทุ่งสุสานเราได้เรียนรู้ที่จะดูแคลนพวกคนแห่งชุมชนทั้งหลาย.”
พอลเหลือบมองยังเกอร์นีย์,
เห็นเขากำลังศึกษาดูสติลจาร์อยู่. “บอกเราสิ, เกอร์นีย์,
ทำไมพวกคนเมืองข้างล่างนั้นถูกต้อนจากบ้านเรือนของพวกเขาโดบพวกซาร์เดาการ์?”
“ลูกไม้เก่าแก่, ท่านดยุคของข้า.
พวกเขาคิดจะโยนภาระมาให้เราด้วยผู้ลี้ภัย.”
“มันได้นานมาแล้วตั้งแต่พวกกองโจรปฏิบัติการได้ผลที่ผู้ยิ่งใหญ่ได้ลืมไปแล้วว่าจะต่อสู้กับพวกเขาอย่างไร,”
พอลพูด. “พวกซาร์เดาการ์ได้เล่นเกมเข้ามาอยู่ในมือของเรา.
พวกเขาตะครุบผู้หญิงคนเมืองบางรายไปเพื่อเกมกีฬาของตน,
ประดับประดามาตรฐานการยุทธสงครามของพวกมันด้วยศีรษะของผู้ที่ต่อต้าน. และพวกมันก็ได้สร้างไข้ระบาดแห่งความเกลียดชังขึ้นในหมู่ประชาชนที่ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะมองเฝ้ารอสงครามที่กำลังมาถึงดุจอะไรที่ไม่มีที่ไร้ความสะดวกสบายไปยิ่งกว่านี้ได้อีกแล้ว....และความเป็นไปได้ของการแลกเปลี่ยนเจ้านายทั้งหลายอีกหนึ่งชุดไปเป็นอีกชุดหนึ่ง.
ซาร์เดาการ์เกณฑ์คัดสรรคนมาให้กับเราเอง, สติลจาร์.”
“คนเมืองนั่นดูเหมือนจะกระเหี้ยนกระหือรือ,”
สติลจาร์พูด.
“ความเกลียดชังของพวกเขากำลังสดใหม่และใสชัด,”
พอลพูด. “นั่นคือทำไมเราใช้พวกเขาเป็นกองกำลังสร้างความตื่นตกใจ.”
“นักฆ่าในท่ามกลางพวกเขานั้นจะน่ากลังยิ่ง,”
เกอร์นีย์พูด.
สติลจาร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย.
“พวกเขาคือตัวบอกถึงแต้มต่อ,” พอลพูด.
“พวกเขารู้ทุกซาร์เดาการ์การฆ่าของพวกเขาผลลัพธ์หนึ่งที่เราไม่ต้องคำนึง.
เห็นไหม, ท่านสุภาพบุรุษ, พวกเขามีบางอย่างที่จะตายเพื่อแล้ว. พวกเขาได้ค้นพบว่าพวกเขาคือผู้คน.
พวกเขาได้กำลังตื่นขึ้นมาแล้ว.”
เสียงอุทานพึมพำมาจากยามเฝ้ามองที่กล้องส่องทางไกล.
พอลเคลื่อนร่างไปที่รอยแยกก้อนหินนั้น: “มีอะไรที่ข้างนอกนั่นหรือ?”
“มีการเคลื่อนไหววุ่นวายใหญ่โต,
มวด’ดิบ,”
ยามเฝ้าดูนั้นบอก. “ที่กระโจมโลหะยักษ์ร้ายนั่น. ยานผิวพื้นคันหนึ่งออกมาจากกำแพงขอบตะวันตกและมันเหมือนเหยี่ยวหนึ่งพุ่งเข้าไปหารังของนกกระทาหิน.”
“เชลยซาร์เดาการ์ของเราได้มาถึงแล้ว,”
พอลพูด.
“พวกมันมีโล่พลังรอบสนามลงจอดยานทั้งหมดในตอนนี้,”
ยามเฝ้าดูนั้นบอก. “ข้าสามารถมองเห็นอากาศกระเพื่อมเต้นระบำอยู่กระทั่งกับริมขอบของลานโกดังที่พวกมันเก็บเครื่องเทศไว้.”
“ตอนนี้พวกมันรู้ว่าใครที่พวกมันต่อสู้อยู่,”
เกอร์นีย์พูด. “ให้พวกสัตว์ฮาร์คอนเนนทั้งหลายได้ตัวสั่นและกังวลในตัวพวกมันที่อะไทรดิสยังมีชีวิตอยู่กันไปเถิด.”
พอลพูดกับฟีเดย์คินที่ส่องกล้องทางไกลอยู่.
“คอยดูเสาธงบนยอดเรือยานของจักรพรรดินั่น.
ถ้าธงของข้าได้ขึ้นไปสู่ยอดเสานั้น---”
“มันจะไม่เป็นเช่นนั้น,” เกอร์นีย์พูด.
พอลมองเห็นใบหน้าขมวดย่นอย่างฉงนใจของสติลจาร์,
พูด:
“ถ้าจักรพรรดิจดจำได้ถึงการเรียกร้องอ้างสิทธิของข้า,
เขาจะส่งสัญญาณโดยการฟื้นคืนธงของอะไทรดิสต่ออาร์ราคิส. เราจะใช้แผนที่สองตอนนั้น,
เคลื่อนเข้าจัดการต่อพวกฮาร์คอนเนนส์เท่านั้น. พวกซาร์เดาการ์จะยืนอยู่ด้านข้างและปล่อยให้เราลงลงมือแก้ปัญหากับเรื่องราวของพวกเรากันเอง.”
“ข้าไม่มีประสบการณ์รับรู้กับเรื่องของชาวนอกพิภพแบบนี้,”
สติลจาร์พูด. “ข้าเคยได้ยินเรื่องพวกนั้น, แต่มันดูไม่เหมือนกับ---”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์หรอกที่จะรู้ว่าพวกมันกำลังจะทำอะไร,”
เกอร์นีย์พูด.
“พวกมันกำลังส่งธงใหม่ขึ้นไปสู่ยอดเสาบนเรือสูงนั่น,”
ยามเฝ้าดูพูด. “ธงนั่นสีเหลือง...มีวงกลมสีดำกับสีแดงอยู่ตรงกลาง.”
“เป็นการทำธุรกิจชิ้นนี้ที่ละเอียดประณีตยิ่ง,”
พอลพูด. “ธงของ โชอัม กัมปะนี.”
“มันเป็นเหมือนเช่นเดียวกับธงที่อยู่บนเรือยานอื่นๆ,”
ยามฟีเดย์คินนั้นพูด.
“ข้าไม่เข้าใจ,” สติลจาร์พูด.
“งานธุรกิจที่ละเอียดประณีตจริงแท้เลย,”
เกอร์นีย์พูด. “ถ้าเขาส่งธงอะไทรดิสขึ้นไปสู่ยอดเสานั้น,
เขาก็ต้องมีชีวิตอยู่กับอะไรที่นั่นหมายถึง. มีผู้สังเกตการณ์อยู่มากหลายเกี่ยวกับเรื่องนี้เกินไป.
เขาสามารถส่งสัญญาณกับธงพวกฮาร์คอนเนนกับคณะทำงานของเขา---การประกาศตนอย่างอย่างราบเรียบที่ควรจะเป็น.
แต่ไม่---เขากลับส่งผ้าขี้ริ้วของโชอัมขึ้นไป.
เขากำลังบอกต่อผู้คนข้างบนนั้นว่า.....” เกอร์นีย์ชี้ขึ้นไปยังอวกาศ.
“.....ที่ไหนเป็นจุดทำกำไร. เขากำลังพูดว่าเขาไม่ใส่ใจว่ามันจะมีอะไทรดิสอยู่หรือไม่.”
“อีกนานเท่าไร่ที่พายุจะเข้าปะทะกับกำแพงโล่พลังนี้?”
พอลถาม.
สติลจาร์หันเดินออกไป, ปรึกษาคนหนึ่งของฟีเดย์คินในชามอ่าง.
ทันทีนั้น, เขาก็กลับมา, พูด: “ในเร็วมากนี้, มวด’ดิบ. เร็วกว่าที่เราคาดเอาไว้. มันเป็นมหา-ใหญ่-มารดาทวดใหญ่ของพายุ.....บางทีกระทั่งยิ่งกว่าที่ท่านปรารถนาเอาไว้.”
“มันคือพายุของข้า,”
พอลพูด, และเห็นความเงียบตื่นตระหนกอยู่บนใบหน้าของฟีเดย์คินที่ได้ยินคำพูดนั้นของเขา.
“แม้ว่ามันเขย่าพิภพทั้งปวงได้มันก็จะไม่ยิ่งไปกว่าที่ข้าปรารถนามันเอาไว้.
มันจะซัดเข้ากับกำแพงโล่ห์นี้เต็มที่ไหม?”
“ใกล้เพียงพอที่จะไม่ทำความแตกต่างได้,”
สติลจาร์พูด.
ผู้นำสาส์นเดินข้ามมาจากรูช่องที่นำลงไปสู่แอ่งด้านล่าง,
พูด:
“หน่วยลาดตระเวนของซาร์เดาการ์และฮาร์คอนเนนกำลังถอนกลับ, มวด’ดิบ.”
“พวกมันคาดหวังว่าพายุนั้นจะกระหน่ำทรายมากมายเข้าใส่แอ่งลุ่มนี้จนบดบังทัศนวิสัยไปสิ้น,”
สติลจาร์พูด. “พวกมันคิดว่าเราจะถูกตรึงไว้ด้วยเช่นกัน.”
“บอกพลปืนของเราให้จัดตั้งมุมยิงของพวกเขาให้ดีก่อนทัศนวิสัยจะลดลง.”
พอลพูด. “พวกเขาต้องซัดจมูกของยานเรือเหล่านั้นทันทีที่พายุได้ทำลายโล่ห์พลังป้องกันนั้นแล้ว.”
เขาก้าวไปยังผนังของชามอ่าง, ดึงกลับแผ่นพับที่ปกปิดอำพรางไว้และมองออกไปยังท้องฟ้า.
หางม้าบิดม้วนของลมทรายสามารถถูกมองเห็นได้ตัดกับท้องฟ้ามืดครึ้ม. พอลปล่อยม่านกำบังปิดกลับคืน,
พูด:
“เริ่มต้นส่งคนของเราลงไปได้, สติล.”
“ท่านจะไม่ไปกับเราหรือ?” สติลจาร์ถาม.
“ข้าจะรออยู่ที่นี่อีกนิดกับฟีเดย์คิน,”
พอลพูด.
สติลจาร์ยักไหล่อย่างบอกรู้ไปยังเกอร์นีย์,
เคลื่อนร่างยังช่องรูในกำแพงหิน, หายลับไปในเงามืดของมัน.
“ไกกดที่จะระเบิดกำแพงโล่ห์นี้ให้ทะลายลงไปด้านข้าง,
ที่ข้าทิ้งไว้ให้อยู่ในมือของท่าน, เกอร์นีย์,” พอลพูด. “เจ้าจะทำมันไหม?”
“ข้าจะทำมัน.”
พอลทำสัญญาณไปยังผู้หมวดฟีเดย์คิน,
พูด:
“โอธียัม, เริ่มเคลื่อนที่หน่วยตรวจออกไปจากพื้นที่บริเวณระเบิดได้แล้ว.
พวกเขาต้องอยู่นอกออกไปจากที่นั้นก่อนที่พายุจะเข้าปะทะ.”
ชายนั้นโค้งคำนับ, ตามสติลจาร์ไป.
เกอร์นีย์เอนร่างพิงกับแผ่นหิน,
พูดยังยามที่อยู่กับกล้องส่องทางไกล. “คอยสนใจจับอยู่ที่กำแพงทางด้านทิศใต้. มันจะไร้การคุ้มกันอย่างสมบูรณ์สิ้นจนกระทั่งเราระเบิดมัน.”
“ปล่อยซิเอลาโก(cielago -
ค้างคาวส่งสาส์น)ไปกับสัญญาณบอกเวลา,”
พอลบัญชา.
“ยานรถพื้นดินทังหลายกำลังเคลื่อนไปทางกำแพงด้านทิศใต้,”
ยามเฝ้าดูที่กล้องส่องทางไกลพูด. “บางคันกำลังใช้อาวุธวิถีโค้ง, ทดสอบ.
ผู้คนของเรากำลังใช้ตัวโล่พลังดังที่ท่านได้บัญชา. ยานรถพื้นดินหยุดวิ่งแล้ว.”
ในความเงียบสงัดทันทีนั้น, พอลได้ยินเสียงลมปีศาจทั้งหลายกำลังบรรเลงอยู่เหนือศีรษะ---แนวหน้าของพายุ.
ทรายเริ่มต้นไหลลงมาสู่ชามอ่างผ่านช่องว่างทั้งหลายในที่กำบัง.
การระเบิดของลมปะทะเข้ากับม่านปิดกำบัง, ฟาดกระชากมันปลิวออกไป.
พอลส่งสัญญาณให้ฟีเดย์คินของเขาให้เข้าที่กำบัง,
เดินข้ามไปหาทหารเหล่านั้นที่เครื่องมือสื่อสารทั้งหลายใกล้ปากอุโมงค์. เกอร์นีย์อยู่ที่ข้างหลังของเขา.
พอลคู้กายลงเหนือพลส่งสัญญาณ.
คนหนึ่งพูด: “มหามารดา-สุดยิ่งใหญ่ของพายุเลย,
มวด’ดิบ.”
พอลเลือบขึ้นมองความมืดมิดของท้องฟ้า,
พูด: “เกอร์นีย์, ให้คนสังเกตการณ์กำแพงทิศใต้นั่นถอนตัวออกมา.”
เขาต้องทวนซ้ำคำสั่งนั้น, ตะโกนไปเหนือเสียงก่นคำรามของพายุ.
เกอร์นีย์กันร่างไปตามคำสั่ง.
พอลรัดสายเครื่องกรองที่ใบหน้าให้แน่นขึ้น,
รัดกมวกคลุมศีรษะของชุดสติลล์สูท.
เกอร์นีย์กลับมา.
พอลแตะไหล่ของเขา,
ชี้ไปที่ไกกดระเบิดที่ติดตั้งอยู่เข้าไปในปากอุโมงค์เลยพลส่งสัญญาณไป. เกอร์นีย์เดินเข้าไปในอุโมงค์นั้น,
หยุดอยู่ที่นั่น, มือข้างหนึ่งของเขาอยู่ที่ไกกด, สายตาของเขามองมายังพอล.
“เรารับสัญญาณข่าวอะไรไม่ได้,”
พลส่งสัญญาณข้างพอลบอก. “ประจุไฟฟ้าสถิตมากเกินไป.”
พอลพยักหน้า, คงสายตาของเขาอยู่กับน้าปัดบอกเวลา-มาตรฐานที่ตรงหน้าของพลส่งสัญญาณ.
ทันทีนั้น, พอลมองไปยังเกอร์นีย์, ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง,
หันความสนใจของเขากลับมาที่น้าปัดนาฬิกา. เวลานั้นนับคืบคลานไปรอบวงจรสุดท้ายของมัน.
“เอาเลย!” พอลตะโกน,
และหันมือที่ชูไว้ลง.
เกอร์นีย์กดไกระเบิดนั้น.
มันดูเหมือนหนึ่งวินาทีเต็มผ่านไปก่อนที่พวกเขาจะรู้สึกว่าพื้นดินใต้พวกเขาฉีกออกและเขย่า.
เสียงรัวกระหึ่มเติมเข้ามาในคำรามของพายุ.
ยามเฝ้าดูฟีเดย์คินจากกล้องส่องทางไกลปรากฏตัวขึ้นข้างพอล,
กล้องส่องถูกหนีบอยู่ในซอกรักแร้ข้างหนึ่ง. “กำแพงโล่ห์แตกออกแล้ว, มวด’ดิบ!” เขาตะโกน. “พายุนั่นกำลังปะทะมันอยู่และพลปืนของเราเริ่มต้นยิงแล้ว.”
พอลคิดถึงพายุที่กำลังกวาดข้ามไปทั่วแอ่งลุ่ม,
ประจุไฟฟ้าสถิตภายในกำแพงของทรายที่ทำลายทุกโล่พลังป้องกันในค่ายพักของศัตรู.
“พายุนั่น!” ใครบางคนตะโกน. “เราต้องเข้าใต้ที่กำบัง,
มวด’ดิบ!”
พอลกลับมายังสัมผัสรู้ขึ้น,
รู้สึกได้ถึงเข็มทรายทั้งหลายทิ่มแทงแก้มที่เปิดอยู่ของเขา. เราทำตามพันธะสัญญาแล้ว,
เขาคิด. เขาเอาแขนโอบไหล่ของพลส่งสัญญาณ, พูด: “ทิ้งเครื่องมือเอาไว้! ยังมีอีกมากที่ในอุโมงค์นั่น.” เขารู้สึกตนเองถูกดึงออกไป, ฟีเดย์คินดันอยู่รอบร่างของเขาเพื่อปกป้องเขา.
พวกเขาบีบกันเข้าไปในปากอุโมงค์, รู้สึกถึงความเงียบเชียบของมันตัดแย้ง,
เลี้ยวอ้อมหัวมุมเข้าไปในห้องโถงเล็กๆด้วยลูกโคมลอยเรืองแสงทั้งหลายอยู่เหนือศีรษะและอีกอุโมงค์หนึ่งอยู่โพ้นเลยไป.
พลส่งสัญญาณอีกรายนั่งอยู่ที่นั้นกับเครื่องมือ.
“ประจุไฟฟ้าสถิตมากเกินไป,” ชายนั้นบอก.
ม้วนหนึ่งของทรายเติมใส่อากาศที่รายล้อมพวกเขา.
“ผนึกปากอุโมงค์!” พอลตะโกน.
แรงกดดันฉับพลันของความนิ่งสงัดแสดงถึงคำบัญชาของเขาได้รับการทำตาม. “ทางลงไปหาแอ่งลุ่มข้างล่างนั่นยังคงเปิดอยู่ไหม?”
พอลถาม.
ฟีเดย์คินกนึ่งออกไปตรวจดู,
กลับมา, พูด: “การระเบิดนั่นทำใกก้อนหินเล็กๆหล่นลงมาแต่พวกวิศวกรบอว่ามันยังคงเปิดอยู่.
พวกเขากำลังทำความสะอาดมันด้วยเลซบีม(lasbeams -
ปืนแสงเลเซอร์ทั้งหลาย).”
“บอกพวกเขาให้ใช้มือของตัวเอง!” พอลตวาด.
“มีโล่พลังทั้งหลายทำงานอยู่ที่ข้างล่างนั่นหรือเปล่า?”
“พวกเขากำลังระมัดระวังกันอยู่ขอรับ, มวด’ดิบ,” ชายนั้นพูด,
แต่เขาก็กันกลับออกไปตามคำสั่ง.
พลส่งสัญญาณจากด้านนอกดันตัวผ่านพวกเขาแบกเครื่องมือไป.
“ข้าบอกให้พวกนั้นทิ้งเครื่องมือเอาไว้ที่นั่น!” พอลบอก.
“ฟรีเมนไม่ชอบละทิ้งเครื่องมือ, มวด’ดิบ,” หนึ่งในฟีเดย์คินของเขาติเตียน.
“คนน่ะสำคัญกว่าเครื่องมือในตอนนี้,” พอลบอก.
“เราจะมีเครื่องมือกันอีกมากยิ่งขึ้นกว่าที่เราสามารถมีได้ในไม่ช้านี้หรือก็ไม่จำเป็นต้องใช้พวกมันกันอีกต่อไป.”
เกอร์นีย์ ฮัลเล็คเข้ามาอยู่ข้างพอล,
พูด: “ข้าได้ยินพวกเขาบอกว่าทางลงข้างล่างเดอยู่.เราอยู่ใกล้กับผิวพื้นมากในที่นี้,
ฝ’บาท, พวกฮาร์คอนเนนน่าจะพยายามตอบโต้แก้แค้นเอาได้.”
“พวกมันไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะตอบโต้แก้แค้นอะไรได้,”
พอลพูด. “พวกมันแค่ในตอนนี้พบว่าพวกมันไม่ได้มีโล่ห์พลังป้องกันทั้งหลายแล้วและไม่สามารถที่จะหนีออกจากอาร์ราคิส.”
“ป้อมบัญชาการใม่ได้ถูกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว,
กระนั้นด้วย, ฝ’บาท,” เกอร์นีย์พูด.
“พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีข้าในป้อมบัญชาการนั้นในตอนนี้,”
พอลพูด. “แผนการจะดำเนินไปข้างหน้าโดยปราศจากข้า. เราต้องรอคอยสำหรับ---”
“ข้ากำลังได้รับข่าว, มวด’ดิบ,”
พลส่งสัญญาณบอกที่เครื่องมืออุปกรณ์สื่อสาร. ชายนั้นสั่นศีรษะ, กดกระบอกรับเสียงเข้ากับหูของตน.
“ประจุไฟฟ้าสถิตมากเกินไป!” เขาเริ่มต้นเขียนเขี่ยลงบนแผ่นตรงน้าของเขา, ส่ายศีรษะของตนรอคอย,
แล้วเขียน.....รอคอย.
พอลข้ามไปยังด้านข้างของพลส่งสัญญาณนั้น.
ฟีเดย์คินก้าวถอยหลัง, เปิดที่ว่างให้เขา. เขาก้มมองยังอะไรที่ชายผู้นั้นได้เขียนไว้,
อ่าน:
“โจมตี.....ที่ทับร์สิฐ.....ยึด.....อาเลีย(ว่าง)ครอบครับของ(ว่าง)ตายได้.....พวกเขา(ว่าง)บุตรของมวด’ดิบ.....”
อีกครั้ง, พลส่งสัญญาณสั่นศีรษะของตน.
พอลเงยหน้าขึ้นมาเห็นเกอร์นีย์กำลังจ้องมองมายังเขา.
“ข่าวนั้นสับสนปนเป,” เกอร์นีย์พูด.
“ประจุไฟฟ้าสถิต. เจ้าไม่รู้ว่านั่น.....”
“ลูกชายของข้าตายแล้ว,” พอลพูด,
และรู้ในขณะที่เขาพูดไปนั้นว่ามันเป็นความสัจจริง. “ลูกชายของข้าตายไปแล้ว.....และอาเลียถูกจับกุมตัวไว้.....เป็นตัวประกัน.”
เขารู้สึกว่างเปล่า, เปลือกที่ปราศจากอารมณ์ใด. ทุกอย่างที่เขาแตะต้องนำมาซึ่งความตายและโศกเศร้า.
และมันเป็นเหมือนโณคร้ายที่สามารถระบาดแพร่ข้ามไปทั่วจักรวาล.
เขาสามารถรู้สึกได้ถึงปัญญาของชาย-ชรา,
การสั่งสมออกมาจากประสบการณ์รับรู้จากความเป็นไปได้ของชีวิตทั้งหลายอย่างนับไม่ถ้วน.
บางอย่างดูเหมือนที่จะหัวเราะกับตนเองและถูมือของมันภายในตัวของเขา.
และพอลคิด: จักรวาลที่ช่างรู้เล็กน้อยเสียเหลือเกินเกี่ยวกับธรรมชาติของความโหดร้ายที่แท้จริง!
และมวด’ดิบยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา, และเขาพูด: “แม้ว่าเราจะเข้าใจคิดว่าผู้ถูกจับกุมตาย, กระนั้นก็ยังที่เธอมีชีวิตอยู่.
เพราะเมล็ดพันธุ์ของเธอก็คือเมล็ดพันธุ์ของข้าและวจนะของเธอก็คือวจนะของข้า.
และเธอเห็นไปสู่อย่างไกลที่สุดเอื้อมของความเป็นไปได้. เย้, ไปสู่หุบเขาแห่งความไม่อาจรู้ได้ที่เธอได้เห็นก็เพราะข้า.”
---จาก
“การตื่นขึ้น ของ อาร์ราคิส” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น