และมันมาถึงในปีที่สามแห่ง
สงครามทะเลทราย ที่ พอล-มวด’ดิบ
นอนทอดกายตามลำพังอยู่ใน ถ้ำคูหาแห่งเหล่านกภายใต้ คิสวา(kiswa*)แขวนลอยอยู่ข้างในห้องเล็กขัง.
และเขานอนดุจผู้ที่ตายไปแล้ว, ถูกกุมติดอยู่ในวิวรณ์แห่งชีววารี, ชีวิตของเขาเปลี่ยนผ่านโพ้นเลยขอบเขตทั้งหลายแห่งกาละ/เวลาโดยยาพิษซึ่งให้ชีวิต.
กระนั้นเองที่คำพยากรณ์สร้างทำความสัจจริงที่ไลสาน อัล-กาอิบ
อาจเป็นได้ทั้งตายและมีชีวิต.
---“ตำนานที่ถูกรวบรวมไว้ แห่ง อาร์ราคิส” โดย
เจ้าหญิงอีร์อูลาน
ชานิมาถึงดานนอกของแอ่งฮับบานยะในความมืดก่อนรุ่งอรุณ, ได้ยินเสียง’ธ็อปเปอร์ที่นำเธอมาจากตอนใต้บินวนตีวงออกไปยังที่หลบซ่อนในความกว้างใหญ่ของแอ่งนั้น.
รอบตัวเธอ, ผู้ดูแลคุ้มครองทั้งหลายรักษาระยะห่างไว้,
กระจายโอบไปยังหมู่ก้อนหินของสันผาเพื่อตรวจสอบหาซึ่งอันตราย---และมอบให้แก่คู่ครองของมวด’ดิบ, มารดาของบุตรชายแรก,
ด้วยสิ่งที่เธอได้ร้องขอไว้: ชั่วขณะที่จะเดินไปตามลำพัง.
ทำไมเขาถึงส่งหมายเรียกข้ามา? เธอถามตัวเอง.
เขาได้บอกข้าก่อนหน้านี้ว่าข้าต้องยังคงอยู่ที่มรตอนใต้กับลีโตน้อยและอาเลีย.
เธอรวบเสื้อคลุมของเธอและกระโจนอย่างแผ่วเบาข้ามแนวกั้นของก้อนหินและขึ้นไบนเส้นทางปีนป่ายที่มีเพียงผู้ที่ฝึกฝนกับทะเลทรายมาแล้วเท่านั้นที่สามารถจดจำมันได้ในความมืด.
กรวดเล็กไหลเลื่อนอยู่ใต้ฝ่าเท้าและเธอเต้นระบำข้ามพวกมันไปโดยปราศจากการพินิจพิจารณาอันจำเป็นในการคล่องแคล่วว่องไวใดเลย.
การปีนป่ายนั้นเป็นความเบิกบานใจยิ่ง,
ผ่อนคลายความหวาดกลัวที่ได้บ่มเพาะในตัวเธอมาเพราะการส่งผู้คุ้มครองดูแลอย่างเงียบงันในการออกเดินทางมาและการที่ยาน’ธ็อปเปอร์อันล้ำค่าถูกส่งให้ไปรับเธอ.
เธอรู้สึกถึงภายในร่างกระโจนไปที่ความใกล้ของการที่จะกลับมาอยู่ร่วมกันอีกกับพอล-มวด’ดิบ, อูซุลของเธอ.
ชื่อของเขาอาจจะเป็นการกรีดร้องในการยุทธไปทั่วทั้งหมดของดินแดน: “มวด’ดิบ! มวด’ดิบ! มวด’ดิบ!” แต่เธอรู้ดีถึงชายที่แตกต่างไปด้วยชื่อที่แตกต่าง---บิดาของบุตรชายของเธอ,
คนรักที่อ่อนโยน.
ร่างใหญ่โตโผล่พรวดออกมาจากหมู่ก้อนหินเหนือเธอ,
กวักมือโบกให้เธอเร็วขึ้น. เธอสาวเท้าของเธอเร่งเร็วขึ้น.
นกอรุณทั้งหลายได้ส่งเสียงเรียกแล้วอยู่และลอยเข้าไปในท้องฟ้า.
แสงสลัวแผ่กระจายข้ามขอบฟ้าทิศตะวันออก.
ร่างที่อยู่เหนือเธอขึ้นไปนั้นไม่ใช่ผู้คุ้มครองของเธอเอง.
โอธียัม? เธอฉงนใจ,
สังเกตได้ถึงการเคลื่อนไหวและกิริยาที่คุ้นเคย. เธอขึ้นมาถึงเขา,
จำได้ในแสงสว่างที่กำลังรุ่งขึ้นแผ่กว้าง, ร่างแบนเรียบของผู้หมวดฟีเดย์คิน,
หมวกคลุมศีรษะของเขาถูกเหวี่ยงเปิดออกและเครื่องกรองที่ปากถูกคลายสายรัดออกในวิธีที่ใครในบางครั้งทำเมื่อเสี่ยงอันตรายอยู่ข้างนอกบนทะเลทรายในชั่วขณะหนึ่ง.
“เร็วเข้า,” เขาทำเสียงขู่ฟ่อ,
แล้วนำเธอลงไปตามช่องแตกลับของหินเข้าสู่ถ้ำคูหาที่ซ่อนหลบ.
“มันจะสว่างในไม่ช้านี้แล้ว,” เขากระซิบขณะที่เขาถือประตูผนึกเปิดไว้ให้เธออยู่.
“พวกฮาร์คอนเนนส่งหน่วยลาดตระเวนสะเปะสะปะออกมาถึงบางแห่งของภูมิภาคนี้ทั่วไปหมด.
เราไม่กล้าเปิดโอกาสให้ถูกค้นพบในตอนนี้.”
พวกเขาโผล่พรวดเข้ามาในทางเข้าของช่องทางเดินด้านข้างแคบๆสู่ถ้ำแห่งเหล่านก.
ลูกโคมลอยแขวนเรืองแสงสว่างขึ้น. โอธียัมดันตัวผ่านเธอไป, บอก: “ตามข้ามา.
เร็วด้วย, เดี๋ยวนี้.”
พวกเขาเร่งความเร็วลงไปตามช่องทางเดิน,
ผ่านประตูวาวล์อีกอันหนึ่ง,
ช่องทางเดินอีกอันหนึ่งและผ่านม่านแขวนกั้นบังเข้าไปในอะไรที่ได้เป็นเวิ้งห้องของเสย์ยาดินาในหลายวันเมื่อที่นี้ได้เป็นคูหาที่พัก.
พรมและหมอนอิงทั้งหลายตอนนี้ปิดคลุมไปทั่วพื้นห้อง. ม่านทอแขวนด้วยสีแดงรูปลักษณ์ของเหยี่ยวบังซ่อนผนังหินทั้งหลายไว้.
โต๊ะสนามเตี้ยอยู่ที่ด้านหนึ่งถูกกองสุมอยู่ด้วยกระดาษจากที่ส่งกลิ่นอายของเครื่องเทศซึ่งแหล่งกำเนิดที่ใช้ทำขึ้น.
แม่อธิการนั่งอยู่ตามลำพังที่ด้านตรงข้ามของทางเข้า.
เธอเงยหน้าขึ้นด้วยการจ้องจากภายในที่ทำให้สั่นเทาโดยไม่สามารถลอกเลียนกันได้.
โอธียัมกดฝ่ามือเข้าหากัน, พูด: “ข้าได้นำชานิมาแล้ว.”
เขาโค้งคำนับ, ล่าถอยผ่านม่านกั้นบังออกไป.
และเจสสิกาคิด: ข้าจะบอกกับชานิอย่างไรดีนะ?
“หลานของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เจสสิกาถาม.
แล้วมันก็ต้องเป็นการทักทายตามจารีตพิธี,
ชานิคิด, และความหวาดกลัวของเธอก็กลับมา. มวด’ดิบอยู่ที่ไหน?
ทำไมเขาถึงไม่อยู่ที่นี่เพื่อทักทายข้า?
“เขาแข็งแรงดีและมีความสุข,
ท่านแม่ของข้า,” ชานิพูด. “ข้าทิ้งเขาไว้กับอาเลียในการดุแลของฮาราห์.”
ท่านแม่ของข้า, เจสสิกาคิด.
ใช่, เธอมีสิทธิที่จะเรียกข้าเช่นนั้นในการทักทายอย่างเป็นทางการ.
เธอได้ให้ข้าด้วยหลายชาย.
“ข้าได้ยินมาว่าเสื้อผ้าของขวัญได้ถูกส่งมาจากโคอะนัวสิฐคาม,”
เจสสิกาพูด.
“มันเป็นผ้าที่น่ารักมาก,” ชานิพูด.
“อาเลียฝากข่าวสารอะไรมาด้วยบ้างไหม?”
“ไม่มีข่าวสาร. แต่สิฐนั่นเคลื่อนไปได้ราบรื่นดียิ่งขึ้นในตอนนี้มี่ผู้คนกำลังเริ่มที่จะยอมรับความมหัศจรรย์ในตัวเธอ.”
ทำไมเธอถึงลากเรื่องนี้ออกมาด้วยล่ะ? ชานิกังขาในใจ.
บางอย่างดูจะเป็นเรื่องฉุกเฉินเหลือเกินที่พวกเขาได้ส่งยาน’ธ็อปเปอร์ไปรับตัวข้ามา.
ตอนนี้, เราได้แต่ลากผ่านพิธีการทั้งหลายไปกันอยู่.
“เราต้องมีบางผ้าใหม่ๆบ้างมาตัดเป็นเครื่องแต่งกายทั้งหลายสำหรับลีโตน้อย,”
เจสสิกาพูด.
“ตามแต่ที่ท่านปรารถนาเถิด,
ท่านแม่ของข้า,” ชานิพูด. เธอลดสาตาลงต่ำ.
“มีข่าวเกี่ยวกการสงครามบ้างไหม?” เธอเก็บอาการแสดงออกทางใบหน้าที่เจสสิกาอาจไม่เห็นถึงทีท่าทรยศต่อน้ำเสียง---นั่นคือคำถามเกี่ยวกับพอล
มวด’ดิบ.
“ชัยชนะใหม่ทั้งหลาย,” เจสสิกาพูด.
“แร็บบานได้ส่งคำโหมโรงอย่างระมัดระวังมาเกี่ยวกับการสงบศึก.
ผู้ส่งสาส์นทั้งหลายต่างกลับไปโดยปราศจากน้ำของพวกตน. แร็บบานได้กระทั่งเบาภาระทั้งหลายของผู้คนในบางแห่งของหมู่บ้านในแอ่งลุ่มทั้งหลาย.
แต่เขาสายเกินไป. ผู้คนรู้ว่าเขาได้ทำมันไปก็เพราะหวาดกลัวต่อเรา.”
“เช่นนั้นมันก็ดำเนินไปดังที่มวด’ดิบได้พูดไว้,” ชานิพูด.
เธอจ้องมองยังเจสสิกา, พยายามที่จะรักษาความกลัวไว้กับตัวเธอเอง. ข้าได้พูดชื่อของเขาไปแล้ว,
แต่เธอไม่ได้ตอบสนอง.
ใครก็ไม่สามารถเห็นอารมณ์ใดในหินผาเลื่อมมันที่เธอเรียกว่าใบหน้า.....แต่เธอเยือกเย็นเกินไป.
ทำไมเธอช่างสงบนิ่งเหลือเกิน? อะไรได้บังเกิดขึ้นต่ออูซุลของข้าหรือ?
“ข้าปรารถนาให้เราอยู่กันที่ทางตอนใต้,” เจสสิกาพูด.
“โอเอซิสที่นั่นช่างสวยงามเหลือเกินในตอนที่เราจากมา.
เจ้าไม่ได้โหยหาถึงวันที่เมื่อดินแดนทั้งปวงอาจผลิบานแบบนั้นได้หรอกหรือ?”
“ดินแดนนั้นงดงาม, จริงๆ,” ชานิพูด.
“แต่มีความเศร้าโศกอย่างมากในมัน.”
“ความโศกเศร้าคือราคาของชัยชนะ,” เจสสิกาพูด.
นี่เธอกำลังเตรียมตัวให้ข้าพร้อมสำหรับความโศกเศร้าหรือ?
ชานิถามตนเอง. เธอพูด: “มีผู้หญิงมากมายเหลือเกินที่ปราศจากผู้ชาย.
มีความอิจฉากันเมื่อมันถูกเรียนรู้ว่าข้าได้ถูกเรียกตัวมายังทางเหนือนี้.”
“ข้าเป็นผู้ส่งหมายเรียกเจ้ามาเอง,” เจสสิกาพูด.
ชานิรู้สึกหัวใจของเธอกำลังเต้นดุจฆ้อนทุบ.
เธอต้องการที่จะเอามือปิดหูของเธอ,
หวาดกลัวอย่างเต็มเปี่ยมของอะไรที่พวกเขาอาจได้ยิน. ก็ยังนิ่งอยู่,
เธอรักษาน้ำเสียงเสมอราบเรียบ: “สาส์นนั้นถูกลงนามโดยมวด’ดิบ.”
“ข้าลงนามมันเช่นนั้นตามการเสนอของผู้หมวดทั้งหลายของเขา,”
เจสสิกาพูด. “มันเป็นอุบายหลบเลี่ยงที่จำเป็น.” และเจสสิกาคิด: นี่คือผู้หญิงที่กล้าหาญ,
ของพอลของข้า.
เธอยังกุมคงความพิถีพิถันแม้กระทั่งเมื่อความกลัวได้เกือบท่วมท้นเธอ. ใช่. เธออาจเป็นผู้ที่เราจำเป็นต้องการในตอนนี้.
มีเพียงระดับเสียงบางเบาที่สุดของการยอมรับสภาพคืบคลานเข้ามาในน้ำเสียงของชานิขณะที่เธอพูด.
“ตอนนี้ท่านควรจะพูดสิ่งที่ท่านต้องพูดได้แล้ว.”
“เจ้าเป็นที่จำเป็นต้องการที่นี่เพื่อช่วยเหลือฟื้นคืนสติให้พอล,”
เจสสิกาพูด. และเธอคิด: นั่นล่ะ!
ข้าพูดมันออกมาในวิธีที่ถูกต้องตรงชัด. ฟื้นคืน. เช่นนั้นเธอก็รู้ว่าพอลฺยังคงมีชวิตอยู่และรู้ว่ามีภยันตราย,
ทั้งหมดในคำเดียวกัน.
ชานิมองอยู่ชั่วขณะเพื่อสงบตนเอง,
แล้ว: “มันคืออะไรที่ข้าควรทำหรือ?” เธอต้องการกระโจนเข้าใส่เจสสิกา,
เขย่าตัวเธอและกรีดร้อง: “พาข้าไปหาเขา!” แต่เธอรอคอยอย่างเงียบสงบสำหรับคำตอบนั้น.
“ข้าสงสัย,” เจสสิกาพูด, “ว่าพวกฮาร์คอนเนนส์ได้จัดการส่งสายลับทั้งหมดมาในหมู่พวกเราเพื่อวางยาพิษต่อพอล.
มันเป็นแค่การอธิบายเช่นนี้ได้เท่านั้นที่ดูเหมือนจะลงตัวที่สุด. ยาพิษท่ำม่ใช่ปกติทั่วไปมากที่สุด.
ข้าได้ตรวจดูเลือดของเขาแล้วในวิธีที่ละเอียดประณีตมากที่สุดซึ่งำม่อาจตรวจหามันเจอได้.”
ชานิดันตัวเองไปข้างหน้าทรุดลงกับเข่าของเธอ.
“ยาพิษ? เข้าอยู่ในความเจ็บปวดไหม? ข้าจะ.....”
“เขาหมดสติไป,” เจสสิกาบอก. “ขบวนการท้งหลายแห่งชีวิตของเขาลดลงต่ำมากเหลือกระทั่งพวกนั้นถูกตรวจพบได้เพียงแค่ด้วยกลวิธีอย่างละเอียดประณีตเท่านั้น.
ข้าสั่นกลัวที่จะคิดว่าอะไรที่สามารถบังเกิดขึ้นได้ถ้าหากว่าข้าไม่ได้เป็นผู้ที่ค้นพบตัวเขา.
เขาปรากฏเป็นเช่นคนตายในสายตาของผู้ไม่ได้รับการฝึกมา.”
“ท่านมีเหตุผลทั้งหลายอื่นใดมากไปกว่าการเอื้อเฟื้อสำหรับที่มีหมายเรียกตัวข้ามา,”
ชานิพูด. “ข้ารู้ท่านดี, แม่อธิการ.
อะไรที่ท่านคิดว่าข้าอาจทำได้ในสิ่งที่ท่านไม่สามารถทำได้?”
เธอช่างกล้าหาญ, น่ารัก และ อา-ห-ห-ห,
ช่างสามารถหยั่งรู้ได้เหลือเกิน, เจสสิกาคิด. เธอน่าจะถูกทำให้เป็น เบเน
เกสเสอริต ที่ดีเยี่ยมได้.
“ชานิ,” เจสสิกาพูด, “เจ้าอาจจะพบว่าเรื่องนี้ยากที่จะเชื่อแต่ข้าไม่รู้เลยอย่างชัดแน่ว่าทำไมข้าส่งไปรับตัวเจ้ามา.
มันเป็นสัญชาตญาณ.....ญาณสังหรณ์พื้นฐาน. ความคิดนี้ขึ้นมาเอง: ‘เรียกหาชานิมา.....’”
เป็นครั้งแรก, ชานิมองเห็นความเศร้าใจในการแสดงออกมาของเจสสิกา,
ความปวดร้าวที่ไร้ปิดบังซึ่งได้เปลี่ยนแปลงจากการมองกลับเข้าข้างใน.
“ข้าได้ทำทุกอย่างที่ข้ารู้ที่ทำไปแล้ว,”
เจสสิกาพูด. “นั่นทั้งหมด.....มันช่างไกลโพ้นเลยอะไรที่ปกติธรรมดาจะคาดไปถึงได้ว่าคือทั้งหมดที่เจ้าจะค้นพบในจินตานการอันยุ่งยากลำบากถึงมัน.
กระนั้นก็ยัง.....ข้าล้มเหลว.”
“สหายเก่าผู้นั้น, ฮัลเล็ค,” ชานิถาม,
“เป็นไปได้ไหมว่าเขาคือผู้ทรยศ?”
“ไม่ใช่เกอร์นีย์,”
เจสสิกาพูด.
สองคำนั้นแบกเอาการสนทนาทั้งปวง, และชานิเห็นการค้นหา,
ทดสอบ.....ความทรงจำทั้งหลายของความล้มเหลวเก่าๆทั้งหลายที่เข้ามาในการปฏิเสธนี้.
ชานิโยกกลับไปอยู่บนเท้าของตน,
ยืนขึ้น, ไล้ลูบเสื้อคลุมที่มีรอยเปื้อนทะเลทรายของเธอ. “พาข้าไปที่เขา,” เธอพูด.
เจสสิกาลุกขึ้น, หันร่างผ่านม่านแขวนบังกั้นบนผนังทางด้านซ้ายมือออกไป.
ชานิติดตาม,
พบตัวเองในอะไรที่เป็นห้องเก็บของ,
ผนังหินของมันถูกปิดไว้อยู่ใต้ผ้าม่านหนาหนักทั้งหลาย. พอลนอนอยู่บนแผ่นเบาะสนามติดกับผนังด้านไกล.
ลูกโคมแขวนลอยเรืองแสงหนึ่งอันเหนือร่างเขาส่องสว่างต้องใบหน้าของเขา.
เสื้อคลุมสีดำปิดตัวของเขาไว้ถึงหน้าอก,
ปล่อยให้แขนของเขาอยู่ข้างนอกมันเหยียดไปตามข้างตัวของเขา.
เขาปรากฏอยู่ว่าไม่สวมเสื้อผ้าใดอยู่ใต้เสื้อคลุมนั้น.
ผิวกนังของเขาเปิดออกเหมือนขี้ผึ้ง, แข็งแกร่ง.
ไม่มีการเคลื่อนไหวใดให้เห็นกับร่างเขา.
ชานิกดกลั้นความปรารถนาที่จะพุ่งไปข้างหน้า,
เหวี่ยงตัวของเธอข้ามหาเขา. เธอพบความคิดทั้งหลายของเธอ, แทนที่นั้น,
กำลังไปหาบุตรชายของเธอ---ลีโต. และเธอตระหนักได้ว่าในทันทีทันใดนี้ที่เจสสิกาครั้งหนึ่งได้เผชิญเช่นชั่วขณะนี้---ผู้ชายของเธอถูกกุมไว้ด้วยความตาย,
ใช้กำลังบังคับเข้ามาในจิตใจของเธอเองเพื่อพิจารณาว่าอะไรที่อาจจะต้องทำเพื่อช่วยชีวิตบุตรชายหนุ่มของตน.
การตระหนักรู้ได้ก่อรูปสิ่งผูกมัดกับหญิงชรานี้จนชานิเอื้อมออกไปและกุมมือของเจสสิกา.
คำตอบรับกุมคือตความปวดร้าวในมันอย่างเข้มข้น.
“เขามีชีวิตอยู่,” เจสสิกาพูด. “ข้ายืนยันแก่เจ้าว่าเขายังมีชีวิตอยู่.
แต่เส้นใยชีวิตของเขานั้นช่างบางเบาเหลือเกินมันสามารถหลบหนีการตรวจหาได้อย่างง่ายดาย.
มีบางคนในหมู่ผู้นำได้บ่นกันว่านั่นเป็นแม่พูดและไม่ใช่แม่อธิการพูด,
ว่าบุตรชายของข้านั่นได้ตายแล้วอย่างแท้จริงและข้าไม่ต้องการที่จะยอมรับให้น้ำของเขาแก่เผ่า.”
“เขาเป็นเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว?” ชานิถาม.
เธอแกะมืออกจากมือของเจสสิกา, เคลื่อนร่างไกลเข้าในห้องนั้น.
“สามสัปดาห์,” เจสสิกาพูด.
“ข้าใช้เวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์พยายามที่จะฟื้นคืนเขาขึ้นมา. มีการประชุม,
โต้เถียงกัน.....สืบสวนตรวจสอบทั้งหลาย. แล้วข้าก็ส่งคนไปรับตัวเจ้ามา. เดย์คินเชื่อฟังคำสั่งทั้งหลายของข้า,
มิเช่นนั้นข้าก็คงไม่อาจจะสามารถเลื่อนช้าออกไปอีกได้.....”
เธอไล้ริมฝีปากให้หายแห้งผากด้วยลิ้นของเธอเฝ้าดูชานิเดินข้ามห้องไปหาพอล.
ชานิยืนอยู่เหนือร่างของเขาในตอนนี้,
มองลงไปที่เคราอ่อนหนุ่มของความเยาว์วัยที่รายล่อมกรอบของใบหน้า,
ไล่เลาะร่องรอยด้วยดวงตาของเธอในเส้นสายสีน้ำตาล, จมูกแข็ง,
ดวงตาที่ปิด---รูปลักษณ์อันสงบสันติในทีท่านอนลับแข็งทื่ออยู่นั้น.
“เขารับอาหารหล่อเลี้ยงอยู่ได้อย่างไรหรือ?”
ชานิถาม.
“การเรียกร้องต้องการแห่งเลือดเนื้อของเขานั้นบางเบามากเสียจนเขายังม่จำเป็นต้องการอาหาร,”
เจสสิกาพูด.
“มีมากมายเท่าไหร่ที่รู้ว่าอะไรนี้ได้บังเกิดขึ้น?”
ชานิถาม.
“มีเพียงที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดที่สุดของเขาเท่านัน,
ผู้นำสองสามราย, ฟีเดย์คินและ, แน่นอน, ใครก็ตามที่ได้จัดการยาพิษนี้.”
“ไม่มีเบาะแสใดของผู้ที่วางยาพิษนี้หรือ?”
“และมันไม่มีอะไรที่ต้องการให้กับการสอบสวนนี้เลย,”
เจสสิกาพูด.
“พวกฟีเดย์คินพูดว่าอย่างไรบ้างหรือ?”
ชานิถาม.
“พวกเขาเชื่อว่าพอลอยู่ในภวังค์สักการะการ,
รวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะทำการยุทธครั้งสุดท้ายทั้งหลาย.
นี่ป็นความคิดที่ข้าได้เพาะหว่านไว้.”
ชานิลดตัวเธอต่ำลงไปคุกเข่าของเธออยู่ข้างเบาะนอนนั้น,
ก้มลงไปเหนือใบน้าของพอล.
เธอสัมผัสรู้ได้ถึงความแตกต่างอย่างฉับพลันในอากาศใกล้ใบหน้าของเขานั้น.....แต่มันเป็นเพียงเครื่องเทศเท่านั้น,
เครื่องเทศที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งซึ่งกลิ่นอายของมันฟุ้งแผ่ซ่านอยู่ในทุกสิ่งในชีวิตฟรีเมน.
กระนั้นยังคง.....
“ท่านแม่ไม่ได้กำเนิดขึ้นมากับเครื่องเทศเหมือนที่พวกเราเป็น,”
ชานิพูด “ท่านแม่ได้สอบสวนถึงความเป็นไปได้ที่ร่างของเขาได้กบฏต่อเครื่องเทศซึ่งมากเกินไปในการบริโภคของเขาบ้างหรือม่?”
“ปฏิกิริยาอาการภูมิแพ้เป็นลบทั้งหมด,” เจสสิกาพูด.
เธอปิดดวงตาของเธอลง,
มากเท่าที่จะอุดกั้นฉากทัศน์ได้เพราะความตระหนักทันทีทันใดของความอ่อนล้า. นานเท่าไหร่ที่ข้าได้อยู่อย่างปราศจากการนอนหลับ?
เธอถามตนเอง. นานเกินไปแล้ว.
“เมื่อท่านเปลี่ยนชีววารี/น้ำแห่งฺชีวิตินั้น,”
ชานิพูด, “ท่านทำมันภายในตัวท่านเองโดยสัมปชัญญะกลับเข้าข้างใน.
ท่านแม่ได้ใช้สัมปชัญญะนี้ในการทดสอบเลือดของเขาไปหรือไม่?”
“เลือดฟรีเมนทั่วไป,” เจสสิกาพูด.
“ได้ถูกทำให้กลมกลืนอย่างสมบูรณ์สิ้นต่อการบริโภคและชีวิตที่นี่.”
ชานิเอนหลักลับข้นมาอยู่บนส้นเท้าของเธอ,
เก็บกลั้นระงับความกลัวของเธอในการคิดขณะที่เธอศึกษาใบหน้าของพอล. นี่เป็นกลเม็ดที่เธอได้เรียนรู้จากการเฝ้าดูแม่อธิการทั้งหลาย.
กาละเวลาสามารถถูกทำเพื่อรับใช้จิต. ผู้ที่เพ่งสมาธิไปยังการวิปัสสนาทั้งปวง.
ทันทีนั้น, ชานิพูด: “มีผู้สร้างอยู่ที่นี่หรือไม่?”
“มีอยู่มากมาย,” เจสสิกาพูดด้วยสัมผัสของความอ่อนล้า.
“เราไม่เคยปราศจากพวกเขาในทุกวันนี้. แต่ละชัยชนะต้องการพรของมัน.
แต่ละพิธีกรรมก่อนที่จะบุกโจมตี---”
“แต่พอล มวด’ดิบได้รั้งตัวของเขาเองปลีกออกไปจากพิธีกรรมเหล่านี้,”
ชานิพูด.
เจสสิกาพยักหน้าให้กับตัวเอง, จำได้ถึงความรู้สึกลังเลไม่แน่ใจบุตรชายของเธอต่อยาเสพย์เครื่องเทศนี้และสัมปชัญญะการมองเนล่วงหน้าที่มันตกตะกอน.
“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” เจสสิกาถาม.
“มันได้ถูกพูดกัน.”
“มากเกินที่ถูกพูดกัน,” เจสสิกาพูอย่างขมขื่น.
“เอาชีววารีดิบมาให้ข้า.” ชานิพูด.
เจสสิกาตัวแข็งทื่อกับสัมผัสของคำบัญชาในน้ำเสียงของชานิ,
แล้วสังเกตเห็นได้ถึงสมาธิอันแรงกล้าของหญิงวาวผู้นี้และพูด: “ทันทีเลย.”
เธอผ่านม่านแขวนบังกั้นนั้นออกไปเพื่อเรียกสั่งผู้ดูแลน้ำ.
ชานินั่งจ้องมองยังพอล. ถ้าเขาได้พยายามจะทำสิ่งนี้,
เธอคิด. และมันคือชนิดของสิ่งที่เขาอาจพยายาม.....
เจสสิกฺคุกเข่าลงข้างชานิ,
ยื่นส่งเหยือกหูหิ้วเรียบง่ายอย่างที่ใช้ในค่ายพักใบหนึ่งให้เธอ.
กลิ่นอายของยาพิษที่พุ่งเข้าปะทะนั้นแหลมแสบต่อรูจมูกของชานิ.
เธอจุ่มนิ้วลงไปในของเหลวนั้น, ยื่นนิ้วนั้นไปใกล้กับจมูกของพอล.
ผิวหนังไล่ไปตามสันของจมูกของเขากระตูกอย่างเบาบาง.
อย่างช้าๆรูจมูกก็บานขึ้น.
เจสสิกากลั้นหายสำลัก.
ชานิแตะนิ้วที่ชุ่มนั้นที่ริมฝีปากด้านบนของพอล.
เขาดึงยาว, สะอื้นสูดหายใจเข้า.
“อะไรกันนี่,” เจสสิกาสั่ง.
“อยู่นิ่งไว้,” ชานิบอก. “ท่านต้องเปลี่ยนอันเล็กน้อยของน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้.
เร็วเข้า!”
โดยปราศจากคำถามใด,
เพราะว่าเธอจำได้ถึงระดับลักษณะของสัมปชัญญะในน้ำเสียงของชานินั้น, เจสสิกายกเหยือกนั้นขึ้นสู่ปากของเธอ,
ดื่มมันลงไปเพียงจิบเล็กน้อย.
ดวงตาของพอลเปิดออก.
เขาจ้องขึ้นมายังชานิ.
“มันไม่จำเป็นที่ท่านแม่ต้องเปลี่ยนน้ำนั้นหรอก,”
เขาพูด. เสียงของเขาอ่อนล้า, แต่แน่วแน่.
เจสสิกา, จิบของของเหลวนั้นอยู่ที่บนลิ้นของเธอ, พบว่าร่างขอเธอกำลังฟื้นตัว,
กำลังเปลี่ยนยาพิษนั้นเกือบจะเป็นไปอย่างอัตโนมัติ. ในการยกระดับขึ้นอย่างเบาของพิธีการมักจะถูกแจ้งให้รู้เสมอ,
เธอสัมผัสรู้ถึงแสงชีวิตเรืองรองจากพอล---รังสีที่นั้นกำลังแสดงออกบนประสาทสัมผัสของเธอ.
ในฉับพลันนั้น, เธอรู้.
“ลูกดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้น!” เธอโพล่งออกมา.
“หนึ่งหยดของมัน,” พอลพูด.
“เล็กน้อยเหลือเกิน.....หนึ่งหยด.”
“ลูกทำเรื่องโ.เขลาเช่นนั้นไปได้อย่างไรกัน?”
เธอถามสั่ง.
“เขาเป็นลูกชายของท่าน,” ชานิพูด.
เจสสิกาจ้องมองเธอ.
รอยยิ้มที่หาได้ยาก,
อบอุ่นและเต็มเปี่ยมด้วยความเข้าใจ, สัมผัสริมฝีปากของพอล.
“ฟังที่รักของข้าสิ,” เขาพูด. “ฟังเธอ, ท่านแม่. เธอรู้แล้ว.”
“สิ่งที่คนอื่นๆสามารถทำได้, เขาต้องทำ,”
ชานิพูด.
“เมื่อข้าได้หยดนั้นอยู่ปากของข้า,
เมื่อข้ารู้สึกถึงมันและได้กลิ่นมัน, เมื่อข้ารู้ว่ามันกำลังทำต่อข้า,
แล้วข้าก็รู้ว่าข้าสามารถทำสิ่งที่ท่านแม่ได้ทำ,” เขาพูด. “ผู้ควบคุมดูแลเบเน
เกสเสอริตทั้งหลายพูดถึงเรื่อง ควิทสาตซ์ ฮาเดรัค,
แต่พวกเขาไม่สามารถเริ่มต้นที่จะเดาได้ถึงสถานที่มากมายทั้งหลายที่ข้าได้เข้าไปอยู่.
ในชั่วสองสามนาทีข้า.....” เขาหยุดชงัก, มองที่ชานิด้วยคิ้วขมวดฉงน. “ชานิ?
เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง? เจ้าถูกคาดว่าจะอยู่.....ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่?”
เขาพยามที่จะดันตัวเองลุกขึ้นมาอยู่บนศอกของเขา.
ชานิกดเขากลับลงไปอย่างนุ่มนวล.
“ได้โปรด, อูซุลของข้า,” เธอพูด.
“ข้ารู้สึกว่าอ่อนเปลี้ยเหลือเกิน,”
เขาพูด. เขามองพุ่งไปรอบข้องนั้น. “นานเท่าไร่ที่ข้ามาอยู่ที่นี่หรือ?”
“ลูกได้มาอยู่ที่นี่สามสัปดาห์แล้วในอาการไม่รู้สึกตัวที่ลึกมากจนประกายของชีวิตดูเหมือนจะได้โบยบินไป,”
เจสสิกาพูด.
“แต่มันเป็น.....ข้าดื่มมันไปเมื่อชั่วครู่มานี้เองและ.....”
“ชั่วครู่สำหรับลูก,
สามสัปดาห์ของความกลัวสำหรับแม่,” เจสสิกาพูด.
“มันเป็นแค่หนึ่งหยดเท่านั้น,
แต่ข้าได้เปลี่ยนมัน,” พอลพูด. “ข้าได้เปลี่ยนชีววารี/น้ำแห่งชีวิต.”
และก่อนที่ชานิหรือเจสสิกาจะทันสามารถหยุดเขาได้, เขาจุ่มมือลงไปในเหยือกที่พวกเขาวางไว้อยู่บนพื้นข้างตัวเขา,
และเขานำมือเปียกชุ่มอุ้มนั้นไปที่ปากของตน, กลืนของเหลวเต็มในอุ้งมือลงไป.
“พอล!” เจสสิกากรีดร้อง.
เขาตะครุบมือของเธอ,
เผชิญหน้าของเธอด้วยรอยยิ้มเยาะของความตาย, และเขาส่งสัมปชัญญะของเขาพุ่งเข้าไปทั่วเธอ.
ไมตรีจิตนั้นไม่ได้เป็นที่อ่อนโยน,
ไม่ใช่เป็นเช่นการแบ่งปัน,
ไม่ได้เป็นเช่นการโอบล้อมรวมเข้ากันราวกับมันได้เป็นเช่นเดียวกับอาเลียและแม่อธิการชราในถ้ำคูหาคราวนั้น.....แต่มันก็มีความเป็นมิตรปรองดอง: การแบ่งปันในสัมผัสสำนึกแห่งการมีอยู่ทั้งปวง. มันสั่นเขย่าเธอ,
ทำให้เธออ่อนแอ, และเธองอก่อหงอของในจิตของเธอ, หวาดกลัวต่อตัวเขา.
ดงอกมา, เขาพูด:
“ท่านแม่พูดถึงสถานที่ซึ่งท่านไม่สามารถเข้าไปได้? สถานที่นี้ที่ซึ่งแม่อธิการไม่สามารถเผชิญหน้าได้,
แสดงมันต่อข้าสิ.”
เธอสั่นศีรษะของเธอ,
ตื่นกลัวโดยความคิดสุดโต่งนั้น.
“แสดงมันต่อข้า!” เขาสั่ง.
“ไม่!”
แต่เธอไม่สามารถหลบหนีเขาไปได้.
เหมือนถูกตีด้วยกระบองสั้นโดยแรงกำลังของความตื่นกลัวแต่อเขานั้น, เธอหลับดวงตาของเธอและเพ่งกลับเข้าไปข้างใน---ในทิศทาง-ที่-เป็น-ความมืดมิด.
จิตสำนึกของพอลไหลผ่านท่วมทะลุและรายล้อมเธอและเข้าไปในความมืดมิดนั้น.
เธอหรี่ตาดูสถานที่นั้นก่อนที่จิตของเธอจะว่างเปล่าในตัวมันเองจากไปพ้นความตื่นกลัวนั้น.
โดยปราศจากการรู้ว่าทำไม, การมีอยู่ทั้งปวงของเธอสั่นรัวที่อะไรซึ่งเธอได้เห็น---ขอบเขตหนึ่งที่ซึ่งสายลมพัดและมีประกายเจิดจ้าเลื่อมพราย,
ที่ซึ่งวงแหวนทั้งหลายของแสงแผ่ขยายออกและหดตัว,
ที่ซึ่งแถวของรูปทรงบวมทั้งหลายเปล่งสีขาวไหลลอยไปทั่วบนและล่างและรอบแสงสว่างทั้งหลาย,
ขับไล่ความมืดมิดและพัดพาออกไปยังที่ใดสักแห่ง.
ทันทีนั้น, เธอเปิดตาของเธอลืมขึ้น,
มองเห็นพอลเงยจ้องมาที่เธอ. เขายังคงกุมมือของเธออยู่,
แต่ความไมตรีอันน่าตื่นกลัวนั้นจากไปแล้ว. เธอเงียบสงบการสั่นเทาของตัวเธอลง. พอลปล่อยมือของเธอ.
มันเป็นราวกับว่าสิ่งค้ำพยุงบางอย่างได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไป.
เธอโซเซลุกขึ้นและถอย, เกือบจะล้มคะมำลงไปถ้าชานิไม่กระโดดเข้ามารองรับเธอไว้ทัน.
“ท่านแม่อธิการ!” ชานิพูด.
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เหนื่อยน่ะ,” เจสสิกากระซิบ.
“ช่าง.....เหนื่อยเหลือเกิน.”
“นี่,” ชานิบอก. “นั่งลงที่นี่.”
เธอช่วยเจสสิกาไปที่หมอนอิงพิงอยู่กับผนัง.
แขนแข็งแรงของวัยเยาว์รู้สึกดีต่อเจสสิกา.
เธอเกาะอิงกับชานิ.
“เขาได้, ตามสัจจริง, เห็นถึงน้ำแห่งชีวิตหรือ?”
ชานิถาม. เธอปลดตนเองออกจากการกุมของเจสสิกา.
“เขาได้เห็น,” เจสสิกากระซิบ. จิตของเธอยังคงม้วนและกระตุกจากผัสสะนั้น.
มันเป็นเหมือนการก้าวสู่แผ่นดินแข็งหลังจากลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเลมาสามสัปดาห์.
เธอสัมผัสรู้ถึงแม่อธิการชราภายในตัวเธอ.....และบรรดาผู้อื่นทั้งหมดได้ตื่นขึ้นและถามำถ่: นั่นอะไรกัน?
อะไรบังเกิดขึ้น? ที่แห่งนั้นอยู่ไหนกัน?
ผ่านทะลุมันทั้งหมดของเส้นใยทั้งหลายของความตระหนักรู้ที่บุตรชายของเธอคือ
ควิทสาตซ์ ฮาเดรัค, ผู้ที่สามารถดำรงอยู่ในที่แห่แหนมากมายในทันที.
เขาคือความจริงที่ออกมาจากความฝันของเบเน เกสเสอริต.
และความสัจจริงนั้นไม่ให้เธอซึ่งสันติสุขใด.
“เกิดอะไรขึ้น?” ชานิถามสั่ง.
เจสสิกาสั่นศีรษะของเธอ.
พอลพูด:
ในเราแต่ละคนมีพลังโบราณที่รับและให้. การเป็นชายนั้นพบว่ายากลำบากเพียงเล็กน้อยในการเผชิญหน้ากับสถานที่ภายในตัวเขาเองนั้นซึ่งพลังการรับอาศัยอยู่,
แต่มันเกือบเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะมองเห็นเข้าไปถึงพลังของการให้โดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงเข้าไปสู่บางอย่างอื่นที่ยิ่งไปกว่าเป็นชาย.
สำหรับผู้หญิง, สถานการณ์นั้นตรงกันข้าม.”
เจสสิกาพบว่าชานิกำลังจ้องดูเธอขณะทั่งพอลพูด.
“ท่านเข้าใจหรือข้าหหรือไม่, ท่านแม่?”
พอลถาม.
เธอสามารถทำได้แต่เพียงพยักหน้ารับ.
“สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ช่างโบราณเหลือเกินภายในตัวเรา,”
พอลพูด, “ที่พวกเขาได้วางพื้นฐานเข้าไปในแต่ละเซลล์แยกจากกันของร่างกายเราทั้งหลาย.
เราได้ถูกขึ้นรูปร่างโดยแรงพลังเยี่ยงนั้น. ท่านสามารถบอกกับตนเองได้ว่า, ‘ใช่, ข้าเห็นว่าสิ่งเช่นนั้นอาจเป็นได้อย่างไร.’ แต่เมื่อท่านมองกลับเข้าไปด้านในและเผชิญหน้ากับแรงพลังดิบเดิมของชีวิตท่านเองที่ไน้โล่ห์กำบัง,
ท่านเห็นภยันตรายของท่าน. ท่านเห็นว่าสิ่งนี้สามารถท่วมท้นเอาชนะท่านได้.
ภยันตรายอันยิ่งใหญ่ต่อผู้ให้นั้นคือแรงพลังที่รับเอาไป. ภยันตรายอันยิ่งใหญ่ของผู้รับไปคือแรงพลังที่ให้.
มันง่ายดายดังเช่นการเอาชนะท่วมท้นโดยการให้เช่นเดียวกับการรับเอาไป.”
“และเจ้า, ลูกรักของข้า,”เจสสิกาถาม,
“เจ้าเป็นผู้ที่ให้หรือผู้ที่รับเอาไป?”
“ข้าอยู่ที่จุดศูนย์กลางของการหมุนวน,”
เขาพูด. “ข้าไม่สามารถให้โดยปราศจากการรับเอามาและข้าไม่สามารถรับเอามาโดยปราศจาก.....”
เขาหยุดชงักลง, มองไปยังผนังที่ด้านขวามือของเขา.
ชานิรู้สึกกระแสลมสัมผัสเข้าที่แก้มของเธอ,
หันไปเพื่อเห็นม่านแขวนบังกั้นทั้งหลายปิดอยู่.
“เป็นโอธียัม,” พอลพูด. “เขากำลังฟังอยู่.”
โดยยอมรับในคำพูดนั้น, ชานิถูกสัมผัสด้วยบางอย่างของการเห็นล่วงหน้าที่ได้ตามหลอกหลอนพอล,
และเธอรู้สิ่ง-ที่-ยัง-ไม่-เป็น ดุจราวกับว่ามันได้บังเกิดขึ้นไปแล้ว. โอธียัมจะพูดถึงอะไรที่เขาได้เห็นและได้ยิน.
คนอื่นๆก็จะแผ่กระจายเรื่องราวนั้นออกไปจนกระทั่งมันเป็นไฟลามไหม้ไปทั่วดินแดนนี้.
พอล-มวด’ดิบไม่ได้เป็นเช่นผู้คนอื่น,
พวกเขาจะพูดกันเช่นนั้น. ไม่มีความสงสัยอะไรกันอีกต่อไปแล้ว. เขาคือชายผู้หนึ่ง,
กระนั้นเขาก็ยังเห็นผ่านทะลุชีวะวารี/น้ำแห่งชีวิตในวิถีแห่งแม่อธิการ.
เขาจริงแท้แล้วคือ ไลสาน อัล-กาอิบ.
“ลูกได้เห็นอนาคต, พอล,” เจสสิกาพูด.
“ลูกจะพูดในสิ่งที่ลูกได้เห็นหรือ?”
“ไม่ใช่อนาคต,” เขาพูด. “ข้าได้เห็น บัดนี้.”
เขาบังคับตนเองลุกขึ้นอยู่ในท่านั่ง, บอกมือให้ชานิหลีกไปขณะที่เธอขยับเคลื่อนเข้ามาช่วยเขา.
“อวกาศที่อยู่เหนืออาร์ราคิสได้เต็มไปด้วยยานอวกาศของกิลด์.
เจสสิกาสั่นเทากับความเที่ยงแท้ชัดเจนในน้ำเสียงของเขา.
“จักรพรรดิ ปาดิชาห์ตัวเขาเองก็อยู่ที่นั้น,”
พอลพูด. เขามองไปที่เพดานหินของห้องของเขานี้. “ด้วยผู้กล่าวสัจวจนะคนโปรดของเขาและห้ากองทัพแห่งซาร์เดาการ์.
เข้าเฒ่า บารอน วลาดิมีร์ ฮาร์คอนเนนอยู่ที่นั้นกับธูเฟอร์ ฮาวัตเคียงข้างเขาและเจ็ดเรือรบซึ่งอัดแน่นด้วยทุกทหารเกณฑ์ที่เขาจะสามารถหารวบรวมมาได้.
ทุกมหาราชสำนักมีหน่วยจู่โจมของมันอยู่เหนือเรา.....”
ชานิสั่นศีรษะของเธอ, ไม่อาจจะหันมองนีไปจากพอลได้.
ความแปลกประหลาดของเขา, ระดับที่ราบเรียบในน้ำเสียงของเขา,
วิธีที่เขาได้มองทะลุเธอ, เติมเต็มเธอด้วยความตระหนหวาดผวา.
เจสสิกาพยายามที่จะกลืนก้อนเหนียวผ่านลำคอที่แห้งผากของเธอลงไป,
พูด: “เพื่ออะไรหรือที่พวกเขากำลังรออยู่?”
พอลเงยขึ้นมองเธอ, “เพื่อคำอนุญาตจากกิลด์ที่จะลงสู่พื้น.
พวกกิลด์จะไม่ให้ความช่วยเหลือบนอาร์ราคิสต่อกองกำลังใดที่ลงสู่พื้นโดยปราศจากการอนุญาต.”
“พวกกิลด์กำลังปกป้องเราอยู่หรือ?”
เจสสิกาถาม.
“ปกป้องเรา! พวกกิลด์มันเองเป็นสาเหตุของเรื่องนี้โดยการแผ่กระจายนิทานทั้งหลายเกี่ยวกับอะไรที่เราทำที่นี่และด้วยการลดค่าธรรมเนียมการขนส่งกองกำลังทั้งหลายไปยังจุดที่กระทั่งราชสำนักที่ยากจนที่สุดก็มาอยู่บนนั้นได้ในตอนนี้รอคอยที่จะปล้มสมภ์เรา.”
เจสสิกาสังเกตเห็นการขาดแคลนซึ่งความขมื่นในน้ำเสียงของเขาไป,
สงสัยในใจกับมัน.
เธอไม่สามารถคาดเดาคำพูดทั้งหลายของเขาได้---พวกมันมีความเข้มที่เหมือนกันที่เธอเคยได้เห็นในเสียงของเขาเมื่อคืนนั้นเขาได้เผยเส้นทางของอนาคตที่ได้ถูกนำตัวมาในหมู่พวกฟรีเมน.
พอลสูดหายใจลึก, พูด: “ท่านแม่,
ท่านต้องเปลี่ยนแปลงน้ำแห่งชีวิตจำนวนหนึ่งให้กับพวกเรา.
เราจำเป็นต้องมีตัวเร่ง. ชานิ, ส่งกองสอดแนมหนึ่งออกไป....เพื่อค้นหามวลปฐม-เครื่องเทศ.
ถ้าเราผลิตเพาะน้ำแห่งชีวิตจำนวนมากพอบนเหนือมวลปฐม-เครื่องเทศนั้น,
เจ้ารู้ไมว่าอำรจะบังเกิดขึ้น?”
เจสสิกาชั่งน้ำหนักน้ำคำพูดทั้งหลายของเขา,
ทันทีนั้นมองเห็นทะลุไปถึงความมายของเขา “พอล!” เธอสำลักลมหายใจ.
“มรณาวารี/น้ำแห่งความตาย,”
เขาพูด. “มันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่.” เขาชี้ไปที่พื้น. “แผ่ขยายความตายไปในท่ามกลางหมู่ผู้สร้างตัวเล็กๆ,
การฆ่าพาหะแห่งวัฏจักรชีวิตที่รวม-ปถึงเครื่องเทสและผู้สร้างทั้งหลาย. อาร์ราคิสจะกลายเป็นแผ่นดินรกร้างอย่างแท้จริง---ปราศจากเครื่องเทศหรือผู้สร้าง.”
ชานิยกมือขึ้นยังปากของเธอ, ตื่นตกใจที่จะใบ้นิ่งเงียบโดยคำหมิ่นแคลนลบล้างคำสั่งสอนแห่งลัทธิศาสน์ที่ไหลพูออกมาจากริมฝีปากของพอล.
“เขาผู้สามารถทำลายสิ่งใดนั้นคือผู้
ที่ควบคุมต่อมันอย่างแท้จริง,” พอลพูด: “เราสามารถทำลายล้างเครื่องเทศได้.”
“อะไรอยู่ในกำมือของพวกกิลด์หรือ?”
เจสสิกากระซิบ.
“พวกเขากำลังค้นหาตัวข้า,” พอลพูด.
“คิดถึงเรื่องนั้น!
การนำร่องทั้งหลายอันแสนประณีตเลิศเลอของพวกกิลด์,
คนที่สามารถเสาะหาไปข้างหน้าทะลุผ่านกาลเวลาเพื่อค้นพบเส้นทางอันปลอดภัยที่สุดสำหรับการเดินเรือขนส่งทั้งหลายที่รวดเร็วที่สุด,
ทั้งหมดของพวกมันในการเสาะหาตัวข้า.....และไม่สามารถค้นพบข้าได้.
พวกมันสั่นกลัวแค่ไหนล่ะ? พวกมันรู้ว่าข้าได้พบความลับของพวกมันแล้วที่นี่!” พอลยื่นอุ้งมือของเขาออกมา. “ปราศจากเครื่องเทศพวกมันก็ตาบอด!”
ชานิค้นพบเสียงของตน. “ท่ายบอกว่าท่านเห็นบัดนี้?”
พอลเอนกายกลับลงไป, ค้นหาปัจจุบันที่แพร่กระจาย,
ขอบเขตจำกัดของมันได้ถูกยืดขยายออกเข้าไปในอนาคตและเข้าไปในอดีต,
ยึดกุมอยู่กับสัมปชัญญะด้วยความยากลำบากขณะที่การส่องสว่างของเครื่องเทศเริ่มที่จะจางหายไป.
“ไปทำตามที่ข้าบัญชา,” เขาพูด. “อนาคตกำลังกลายเป็นเช่นความสับสนวุ่นวายสำหรับพวกกิลด์ดุจเดียวกับที่มันเป็นต่อข้า.
เส้นทั้งหลายแห่งภาพทัศน์กำลังแคบลง.
ทุกสิ่งรวมเพ่งมายังที่นี่ที่ซึ่งเครื่องเทศคือ.....ที่ซึ่งพวกเขามิอาจหาญกล้าที่จะเข้ายุ่งก่อกวนมาก่อน.....เพราะว่าการที่จะเข้ายุ่งก่อกวนนั้นคือการที่จะสูญเสียอะไรที่พวกเขาต้องมี.
แต่บัดนี้พวกเขาได้สิ้นหวัง. หนทางทั้งหมดนำเข้าไปสู่ความมืดมิด.
และวันนั้นได้รุ่งอรุณเมื่ออาร์ราคิสทอดนอนอยู่ที่จุดศูนย์หมุนวนแห่งเอกภพด้วยกงล้อถูกตั้งไว้ที่จะหมุนรอบ.
---จาก
“การตื่นขึ้นของ อาร์ราคิส” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น