1) กาย(body), จิต(mind), จิตสำนึก(consciousness) และ อัตตา, อาตมัน(soul) คืออะไร?
1.1) ความมาเป็นเช่นนี้(minestory)
นั่นคือ
ที่มาของการแปลความในคำเทศน์สอนของผู้”รู้”ในแนวทางอารยัน/พุทธ ของกระผม.
คือตามสันดานของ”แมว”มักจะอยากรู้อยากเห็นใน
- เรื่องที่ใครเค้าไม่สงสัยกัน...
แบบว่า
Curiosity
killed the cat – การสอดรู้สอดเห็นนั่นแหละที่ฆ่าแมว (การสอดรู้สอดเห็นที่เป็นอันตราย)...ก็ไม่หวาดเกรงอันตรายหรือ”ตาย”หรอกอ่ะนะ.
ถึงตายแล้วตกไปในนรก-ก็เคยเจรจาท่านเค้าเอาไว้บ้างแล้วเรื่องรับจ้างให้คำปรึกษาการออกแบบวางผัง
- เพื่อรองรับปริมาณที่เพิ่มขึ้นของการอยู่อาศัยที่นั้น...หุหุหุ.
แต่
บางที ก็มักจะมีผู้เดือดร้อนจากการแปล/หรือหยิบยกอะไรในความคิดของผู้อื่น
เอามาปรากฏเป็นวิทยาทานในสื่อเว็บส่วนตัวของกระผม ที่ไม่ได้มีรายได้จากการโฆษณาอะไรทั้งสิ้น.
เพราะไม่มีความจำเป็นต้องมีรายได้ใดจากการเอาความคิดของผู้อื่นมาเผยแพร่,
เพราะนั่นเป็นการหารายได้ที่เป็นติรัจฉานวิชาหรืออสัมมาอาชีวะอะไรแบบนั้น.
ผิดข้อตกลงกับท่านผู้ดูแลสัมปรายภพเอาไว้-ขืนทำก็โดนยกเลิกพันธสัญญาอ่ะดิ่.
แต่ทั้งนี้,
เนื่องด้วยเกษียณราชการแล้ว(แต่ก็คืนคุณเงินของประชาชนอันน้อยนิด
ที่ให้กระผมมาเพื่อแลกกับการทำงานอันมหาศาลทั้งประเทศ, ตั้งแต่แม่ฮ่องสอนยันนราธิวาส)...มีเวลาทำงานในสิ่งที่ตนคิดเองได้เต็มที่
- ไม่ต้องรับคำสั่งจากใครอีก(นอกจากท่านผู้นั้น)...จึงทำหน้าที่พลเมืองสามัญชนตามรัฐธรรมนูญ
ในการให้คำแนะนำ/วิพากษ์/วิจารณ์-และเสนอข้อมูลรอบข้าง
ไว้ในประเด็นที่กำลังเป็นเหตุให้สังคมประเทศนี้กำลังล่มสลาย...ลงไว้ในสื่อfacebook. ที่ไม่ใช่อย่างอื่นมากนักเพราะแอพบางตัวไม่เหมาะกับการบันทึกข้อมูล/ภาพทั้งหลายได้มากๆในคราวเดียวกัน.
แล้วก็จะเอาไปเก็บไว้ในบล็อกของกระผมที่ชื่อ sayamsubin
เหมือนเป็นห้องสมุดส่วนตัว/แต่เปิดให้ใครเข้าไปอ่านได้เป็น สาธารณะ.
เอาว่า
- ยินดีรับใช้/ให้คำตอบ(มั่วซั่ว)กับทุกผู้สอดรู้สอดเห็นอันเป็นอันตรายทั้งหลาย...เท่าที่จะไปคว้าหามาจากผู้อื่นใดในที่สาธารณะได้....ใน
คำถามละ 20.-บาท(ขึ้นราคาเพราะโคหวิด) ทั้งนี้ให้ผู้สนใจถามทั้งหลาย...เดินออกไปหน้าปากซอยบ้านของตน
แล้วเอาเงิน 20.-บาทนั้นยกให้แก่ผู้ใดที่ร้องขอ/ต้องการ-แล้วถ่ายรูปส่งinboxมาให้กระผม...แค่นี้แหละ...แล้วท่านจะได้รับคำตอบอย่างจุใจไม่ต้องไปเสาะหาเองให้เสียเวลา...อิอิอิ.
2) ชีวิติ(life) คืออะไร?
ตั้งแต่เด็กมาแล้วที่เราทุกคนมักจะได้รับคำตอบในเชิงพรรณนาดราม่าไปเรื่อยๆถึง
ว่า ชีวิตคือการต่อสู้...แหะแหะแหะ...อันนี้เคาคงเกิดมาเป็นลูกทหารชั้นผู้น้อยอ่ะมั๊ง?
คือลูกนายพลคงไม่ต้องสอนประโยคนี้กันอ่ะนะ...หรือ
ชีวิตคือสิ่งที่เติบโตเคลื่อนไหวได้ หรือเป็น ชีวอินทรีย์ คือเป็น พืช/สัตว์/คน...ส่วนอินทรียวัตถุ
คือ ซากพืช/สัตว์/คน...
ทีนี้...พอเด็กสันดานแมวแบบกระผม ไปถามผู้”รู้”...แล้ว
“เทวดา” มี ชีวิต
มั๊ยอ่ะครับ?...เท่านั้นแหละควันออกหูไปฟ้องแม่กระผมกันเป็นแถวๆ...ว่า ลูกชายคุณแม่ปากคอเราะร้ายชอบย้อนแย้งอยู่เรื่อยเลยนะคะ?....หุหุหุ...แม่ของกระผมจบ
ป.๔...มักจะตอบว่า...เค้าเป็นลูกคนสุดท้องของอิชั้นเอง...ปากมันแบบนั้นก็ได้มาจากอิชั้นที่เป็นแม่ของมันเองแหละ...อิชั้นตอบอะไรลูกเค้าไม่ได้
- อิชั้นก็บอกเค้าไปตรงๆว่า ไม่รุ๊จ้ะ - แม่เอ็งจบแค่ ป.๔...ตัวเองเรียนถึง ป.๕
ยังจะมาถามแม่อีกทำไม?...อิอิอิ...
ทีนี้, พอสูงวัยขึ้นอีกหน่อย...ก็มีท่านผู้ใหญ่บอกสอนว่า...ชีวิตคือการประกอบกันของ
รูปและนาม/กายและจิต – body and mind.
หุหุหุ...ไม่กล้าย้อนถามท่านอีกว่า...แล้ว”เทวดา”มี “รูป-กาย”
มั๊ยอ่ะครับ?...คือเวลาเจอ ผู้”รู้” - ที่รู้ว่าตนรู้อะไร/และรู้ว่าตนไม่รู้อะไรเนี่ยะ...กระผมจะสัมผัสรับรู้ได้ถึงความเมตตากรุณาอันยิ่งยวดที่ท่านได้เอ่ยปากสอน...เพราะการรู้ว่าผู้ใดสามารถตอบได้
– แล้วยังไม่ถามแทรกขณะการสอนอยู่นั้น...ถือว่าเป็นการกระทำอย่างหยาบ/ไม่ละเอียด...และเป็นที่เสือกระคายแก่จิตใจของตนเอง...คือ
ผู้รู้จริงนั้นท่านไม่ระคายด้วยหรอก...เหมือนเวลาที่หมาตัวเล็กๆมาเห่าใส่ท่านนั่นแหละ...
ทีนี้, ถ้าผู้รู้ - สัมผัสได้ว่า
เราผู้ฟังสามารถเข้าใจมากต่อไปในรายละเอียดได้...ท่านก็จะอธิบายต่อไป...หรือตอบคำถามที่กระผมได้ถามไป...มีนิทานเรื่องหนึ่งที่กระผมได้รับคำสอนจากพระภิกษุตามวัดในป่าบ้านนอกคอกนาท่านหนึ่ง...ท่านเล่านิทาน-อธิบายถึงธรรมของพระพุทธเจ้าไว้ว่ายังงี้...หุหุหุ...
“ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว,
มีพรานผู้หนึ่งเก่งกาจและยกตนเป็น “ปราชญ์”-หรือ ผู้รู้”ของหมู่บ้านแห่งหนึ่งได้ออกไปทำมาหากินล่าสัตว์,
แล้วเดินเลยลึกเข้าไปในป่าใหญ่ที่ตนยังไม่เคยไป.
ตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็เพลิดเพลินกับสิ่งแปลกใหม่ใหญ่โตอลังการ. จนตะวันบ่ายคล้อยลง,
พรานใหญ่ก็สำนึกตนได้ซ่า ตนเองหาทางกลับบ้านไม่ได้แล้ว. พรานนั้นจึงรีบเสาะหาหนทาง/ทิศทางที่จะกลับบ้านให้ได้อยู่อย่างเร่งรีบ.
จนกระทั่งพรานนั้นได้มาถึงลานโล่งกลางป่าทึบนั้นแห่งหนึ่ง,
และใต้ต้นไม้ใหญ่สูงร่มครึ้มนั้นก็มีร่างหนึ่งนั่งอยู่กับพื้นดินคลุมหญ้าหลับตาพริ้มนิ่งอยู่
และเหมือนตาฝาด, พรานรู้สึกถึงรังสีเปล่งปลั่งรายล้อมรอบร่างนั้นออกมาเรืองๆ.
พรานเดินเข้าไปนั่งกราบตามวิสัย,
แล้วเอ่ยปากซักถามตามวิชาการว่า...ท่านเป็นใคร? อยู่ที่นี่มานานแล้วหรือ?
ป่าทึบนี้มีชื่อว่าอะไร? มีสิงสาราสัตว์มากน้อยขนาดไหน?
กลางคืนมีภูตผีปีศาจร้ายมาทำอันรายคนหรือไม่? แถวนี้มีอะไรให้กินมั่ง? ฯลฯ.
ท่านผู้นั้นลืมตาขึ้นมองแล้วตอบว่า,
“มึงอยากจะกลับไปบ้านใช่มั๊ย?” พรานรีบตอบว่า, “ใช่ ขอรับ.” ท่านก็ถามว่า, “แล้วทำไมไม่ถามทางกลับบ้าน?
เรื่องอื่นๆมึงจะอยากรู้ไปทำไม? รู้แล้วมันจะช่วยให้มีงรอดตายได้กลับบ้านรึ?”
พรานเหงื่อตกแล้วเลิกถามด้านวิชาการทั้งหลาย,
ถามท่านนั้นไปง่ายๆ, “แล้วจะกลับบ้านน่ะ,กระผมไปทางไหนได้อ่ะ ขอรับ.”
ท่านผู้รู้นั้นหลับตาอีก
แล้วตอบว่า, “ถ้ากูรู้, กูก็ไม่มานั่งหลับตาอยู่ใต้ต้นไม้นี้หรอก.
กูก็กลับบ้านไปเองแหล่ว.”
หุหุหุ
- นั่นแหละ ชีวิต คืออะไร?
ในหนังสือชื่อ “มิลินทปัญหา
กษัตริย์กรีกถาม – พระเถระตอบ” (The Debate of King Milinda)
แปลและเรียบเรียงโดย Bhikkhu Pesala และคุณนวพร เรืองสกุล, หน้า
๑๑๑, เชิงอรรถ ๓๕...ความว่า
การค้นหากำเนิดของชีวิตในซุปเปอร์โนวาหรือในดีเอ็นเอ
เป็นการค้นหาที่เปล่าประโยชน์ เพราะมูลเหตุอยู่ในจิต ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
“เราแสวงหาช่างผู้ทำเรือน
เมื่อไม่ประสบจึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสาร มีชาติเป็นอเนก
ความเกิดบ่อยๆเป็นทุกข์
แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้
ซี่โครงทุกซี่ของเราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว
จิตของเราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่แล้ว
เพราะเราบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นตัณหาแล้ว”
ดังเช่นที่รู้กันดีแล้วว่า
พระพุทธองค์ท่านตรัสสอนเรื่อง การพ้นจากทุกข์(suffering)เพียงเท่านั้น...อะไรอื่นอันไม่จำเป็น/หรือเป็นสิ่งที่ต้องรู้ด้วยปัญญาญาณจากการปฏิบัติ...ก็ถือว่าเป็น
อจินไตย ซึ่งคือ? ก็อ่านจากที่คัดลอกมาจาก วิกพีเดีย ข้างล่างเอาเองเถิด...
อจินไตย แปลว่า
สิ่งที่ไม่ควรคิด อจินไตย มาจากคำว่า อะ + จินไตย (พึงคิดพิจารณา) แปลว่า
ไม่พึงคิดหริอจำแนกตรรกะลงไปได้ หมายถึง
สิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน มี 4 อย่างได้แก่
· พุทธวิสัย วิสัยแห่งความมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
· ฌานวิสัย วิสัยแห่งอิทธิฤทธิ์ของผู้มีฌาน ทั้งมนุษย์ และเทวดา
· กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม และวิบากกรรม คือการให้ผลของกรรมที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ
· โลกวิสัย วิสัยแห่งโลก คือการมีอยู่ของสวรรค์ นรก และสังสาระวัฏ[1]
ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย
เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้
ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้
ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้
อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น