อทวิภาวะ และ จิตสำนึก ของ “สรรพสิ่ง” – ติช นัท
ฮันห์
Nonduality
and the Consciousness of 'Things' - Thich Nhat Hanh
-จาก
Bart
Georgi Chashymie 14 ต.ค. 2016
สัตว์ทั้งหลายและพืชทั้งหลาย มีจิตสำนึกหรือไม่(consciousness
- วิญญาณ/อัตตา)ไหม? อิเล็กตรอน(electron – อนุภาคลบในอะตอม)
มีชีวิตไหม? ท่านติช นัท ฮันห์ ในบทสนากับนักดาราศาสตร์ฟิสิกซ์ของ
มหาวิทยาลัยแห่งเวอร์จิเนีย(University of Virginia Astrophysicist) ดร. ทรินห์ ซ่วน ถวน.
ถวน: แม้ว่า,
ท่านได้อ้างว่า(claim) อิเล็กตรอน(electron)มีจิตสำนึก(has
consciousness)ซึ่ง...ซึ่งผมไม่คิดว่าได้เคยมีหลักฐานทาวิทยาศาสตร์ใด(ever
any scientific evidence)สำหรับเรื่องนี้อย่างที่มันเป็น(for
this as it was).
ผมคิดว่า
ระดับขั้นของจิตสำนึก(degree
of consciousness), ผมจะพูดว่า อย่างเช่นสุนัข(a dog), จิตสำนึก(consciousness)ไม่ใช่เหมือนกับเช่นจิตสำนึกของมนุษย์(not
the same as a man consciousness). และเมื่อท่านได้เห็นอิเล็กตรอน,
ท่านเห็นพวกมันทั้งหมด, ท่านรู้ว่าพวกมันเปลี่ยนก็แต่กับมวล...(they change
only by mass), ประจุไฟฟ้า(electric
charge)และการหมุน(spin)เท่านั้น.
เราพิศวงเกี่ยวกับ(wonder about)จุดกำเนิดของเอกภพ(the origin of universe) –
แห่งหนที่เรากำลังไป(where we are going)ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือความตาย(whether
there is life or death). แต่ผมไม่คิดว่าสุนัข(dog)หรือแมว(cat)ถามตัวเขาเอง(ask himself)ถึงคำถามนั้น. แน่นอนละ, ผมพูดภาษาแมวไม่ได้,
แต่....ผมไม่คิดว่าแมวน่าจะขอตัวเองให้มีคำถามนี้ขึ้น.
ผมไม่เห็นว่าพวกแมวทั้งหลายจะผลิตสร้าง(producing)ซิมโฟนีแบบบีโธเฟ่น(Beethoven
symphony, หรือวาดภาพแบบโมเนต์(painting a Monet). ผมคิดว่ามันมีระดับความแตกต่างทั้งหลายของจิตสำนึก(consciousness)และเราไม่สามารถเอาสิ่งทั้งหลายในธรรมชาติ(things in nature) หรือ ในเอกภพ(in universe)มาอยู่ในระดับเดียวกัน(on
the same level).
ดังนั้นผมจึงจะถามความเห็นของท่านในเรื่องที่ว่านั้น.
ท่านจะยังคงบอกว่า อิเล็กตรอน(electron)
นั้นเป็นเช่นเดียวกันกับมนุษย์(the same as a human being)หรือ?
ติช
นัท ฮันห์: ฉะนั้น,
คำถามนี้สะท้อนถึง จิตใจของการแบ่งแยก(a mind of discrimination).
ชัดเจนมาก(very clearly).
เรารู้ว่าเมื่อเรามองเข้าไปในเซลล์ทั้งหลายของเรา(look into our
cells)ในฐานะมนุษย์(as a human being),
เราเห็นได้ว่ามนุษย์(human being)นั้นทำด้วยแต่เพียง
ธาตุทั้งหลายที่ไม่ใช่มนุษย์(made only of non-human elements). เรามีแร่ธาตุ(the mineral element)อยู่ในตัวเรา(in
us). เรามีธาตุของผักในตัวเรา(the element of vegetable in
us), และเรามีธาตุของสัตว์ในตัวเรา(the element animal in us).
เราไม่ได้มีแต่เพียงบรรพบุรุษมนุษย์ทั้งหลายเท่านั้น(not only have
human ancestors), แต่ก็มีบรรพบุรุษสัตว์(have animals ancestors), และบรรพบุรุษพืช(vegetable ancestors)และก็ยังมีบรรพบุรุษแร่ธาตุด้วยเช่นกัน(also
mineral ancestors); และบรรพบุรุษทั้งหลายของเรา(our
ancestors)ไม่ได้เป็นของอดีตนั้น(do not belong to the past), พวกเขาเป็นของปัจจุบัน(they belong to the present). พวกเขาปัจจุบันเต็มที่ในตัวเรา(fully present in us). ปราศจากพวกเขา(without them),
เราไม่สามารถมองเห็นในอย่างวิธีที่เรามองนี้ได้(we cannot see the way we
see), เราไม่สามารถคิด(think)ในอย่างวิธีที่เราคิดนี้ได้(the
way we think), เราไม่สามารถมีชีวิต(live)ในอย่างที่เรามีชีวิตนี้ได้(the
way we live).
และอิเล็กตรอน(the electron)dก็ยังอยู่ในตัวเราด้วยเช่นกัน.
ดังนั้น,
เมื่อฉันผลิดสร้างความคิด(produce
a thought), ทุกบรรพบุรุษทั้งหลายในตัวฉัน, รวมทั้ง(including)บรรพบุรุษแร่ธาตุ(the mineral ancestor), บรรพบุรุษสัตว์,
ผักทั้งหลาย, ทำงานร่วมกันกับผม(collaborate with me)เพื่อที่จะผลิตสร้างความคิดนั้น(in
order to produce that thought).
มันเหมือนกับที่เวลาคุณมองเห็น(when you see), เมื่อคุณมองที่ต้นไม้หนึ่ง(look at the tree),
นั่นไม่ใช่งานของแค่เพียงดวงตาของคุณเท่านั้น(not the job only your eyes)และคุณก็รู้เป็นอย่างดีมากว่า ปราศจากสมอง(without the brain), ปราศจากเลือด(without the blood), ปราศเซลล์ในร่างกายของคุณ(with
the cells in your body), ปราศจากทั้งหมดนั้น(without all
that). “การมองเห็น(seeing)”ก็จะเป็นสิ่งที่ไปไม่ได้สำหรับดวงตา(would
be an impossible thing for eyes).
ดังนั้น,
เมื่อดวงตานั้นมองเห็น(when
the eyes see), ร่างกายทั้งหมด(the whole body)ก็กำลังมีส่วนร่วม(is
participating)ในการกระทำของการมองเห็นนั้น.
ดังนั้น,
เมื่อเราผลิตสร้างความคิดหนึ่ง(produce a thought), เมื่อเรามีเหตุผล(when
we reason), เมื่อเราสร้างสรรค์ดนตรี(when we create music), เมื่อเราทำคณิตศาสตร์(when we do mathematics),
ไม่ใช่แค่จำนวนเซลล์ประสาททั้งหลาย(not only a number of neurons)เท่านั้นที่กำลังเช่นกัน, แต่ร่างกายทั้งหมด(the whole body), การเชื่อมโยงของบรรพบุรุษทั้งหมด(the whole linkage of
ancestors)ในตัวเรากำลังมีส่วนร่วม(are participating)ในการผลิตสร้างความคิดนั้น(in producing that thought).
ดังนั้นเมื่อมองดูแบบนั้น(so looking
like that), คุณเห็นได้ว่าคุณนั้นทำด้วยสิ่งที่ ไม่ใช่-ธาตุคุณทั้งหลาย(non-you
elements)และ ไม่ใช่-ธาตุคุณทั้งหลายนี้(the non-you
elements)ดำเนินต่อไปที่จะเป็น(continue to be)อยู่ในตัวคุณ(in
you). และถ้าคุณเอา ไม่ใช่-ธาตุคุณทั้งหลาย(non-you
elements)ออกไป(out), ก็จะไม่มี “คุณ”
เหลืออยู่(there no ‘you’ left).
ดังนั้นเราจึงมี
ปมของความรู้สึกว่าเหนือชั้นกว่าคนอื่น(have the complex of superiority)ที่เป็นมนุษย์(as a human being). เราคิดว่าเรามีอะไรประเภทที่ว่า เชาว์ปัญญานั้น(that
kind of intelligence), อะไรประเภทที่ว่า จิตสำนึกนั้น(that
kind of consciousness), ที่สิ่งมีชีวิตอื่นทั้งหลาย(that
other living beings)ไม่ได้มี.
แต่ฉันไม่ได้ภูมิใจมากกับอะไรประเภทจิตใจ(not very proud
of that mind)ที่ว่าเรากำลังใช้ชีวิตในแต่ละวัน(are using in
our daily life)ในจิตใจประเภทแบ่งแยก; จิตใจ
ของ การแบ่งแยก(the mind of discrimination)โดนจับโดย(caught
by)ความคิดทั้งหลายอย่างมากมาย(many notions),
คือพื้นฐานทุกชนิดทั้งหมดของความทุกข์(are the foundation of all kind of suffering).
เราแบ่งแยกต่อนี้และนั้น(discrimination
against this and that). และนั่นได้สร้างสรรค์(creates)ปมทั้งหลายของความรู้สึกว่าเหนือชั้นกว่าคนอื่น(a complexes of
superiority), ปมด้อย(inferiority), ความเสมอภาค(equality)และอะไรอื่นอีกเช่นนั้น(and so on).
พืชนี้มี
เชาว์ปัญญา(this
plant has intelligence). พืชนี้มีความรู้(this plant
has knowledge). พืชนี้มี เจตจำนงที่จะมีชีวิต(this
plant has a will to live). พืชนี้รู้ว่าจะเสกสรรดอกไม้หรือผลทั้งหลายได้อย่างไร(this
plant knows how to fabricate flowers and fruits)และวิธีที่จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรในหนทางที่ดีที่สุดที่มันสามารถได้(how
to continue to live the best way it can). และดูเหมือนว่ากับฉันแล้วพืชนี้กำลังสร้างสรรค์(is
creating)ความทุกข์ที่น้อยกว่ามนุษย์เราทั้งหลาย(less
suffering than we human beings).
ฉันไม่ได้ภาคภูมิใจมากในจิตใจของฉันต่อการแบ่งแยก(not very proud
of my mind of discrimination).
ดังนั้น(therefore), ฉันจึงเป็นอิสระจาก ปมความเหนือชั้นกว่าคนอื่นของมนุษย์(free
from the complex of superiority of a human being).
ฉันรู้ว่าฉันสามารถทำได้ดีกว่า(can do better).
และนั่นคือทำไม,
เมื่อคุณผลิตสร้างความคิดหนึ่ง(produce a thought), พระแม่ธรณี(Mother
Earth)ก็กำลังผลิตสร้างความคิดนั้น(is producing that
thought)ไปด้วยกันกับคุณ(together with you).
อย่าพูดว่าคุณเป็นผู้เดียว(don’t say you
are alone), ที่กำลังผลิตสร้างความคิดนั้น(is producing that
thought).
แม่ธรณี(Mother Earth)อยู่ในตัวคุณที่รากฐาน(is in you at the foundation)และท่านกำลังผลิตสร้างความคิดนั้น(she
is producing that thought)ด้วยกันกับคุณในเวลาเดียวกัน(with
you at the same time).
ดังนั้นความคิดนี้(this thought)ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของคุณ(not your property).
ความคิดนี้(this thought)ที่ได้ถูกผลิตสร้าง(is
produced)คือ สิ่งสร้างสรรค์ ของ โลกทั้งปวงนี้(is a
creation of the whole earth); แต่ก็ไม่ใช่แค่เพียงโลกนี้เท่านั้น(not
only the earth), ดวงอาทิตย์ก็ด้วยเช่นกัน(the sun also), เพราะว่าปราศจากดวงอาทิตย์(without the sun),
โลกนี้ก็ไม่สามารถเป็นตัวตนของเธอได้(the earth cannot be herself); และท่านก็ไม่สามารถที่จะสร้างสรรค์คุณ(not
able to create you)และที่จะนำคุณเข้าสู่การดำรงอยู่(to
bring you into existence).
ดังนั้น,
นั่นคือ จิตใจ ของ ไม่ แบ่งแยก(the mind of Non-discrimination).
ตราบไกลเท่าที่คุณใช้จิตใจของความแบ่งแยก(use the mind
of discrimination)ที่จะตัดสิน(to judge)และที่จะจัดตั้งคุณดำเนินต่อไปที่จะสร้างสรรค์ความทุกข์(to
organize you continue to create suffering); นั่นคือทำไมมันถึงสำคัญอย่างยิ่งที่จะเคลื่อนย้ายความคิดเห็นทั้งหลายนี้(so
important to remove notions)ซึ่งอยู่ที่รากฐานของความแบ่งแยก(that
are at the foundation of discrimination)และความแยกออกจากกัน(and
separation).
-
จาก ผู้แปล...nonduality – อทวิภาวะ - คือ ไร้สภาวะความเป็นคู่กัน ของ การรับรู้ระหว่าง “ผู้รู้” กับ
“สิ่งที่ถูกรู้”(ที่เป็น สมมติสัจจ์)”
คือ
ระหว่างสมมติสัจจ์กับปรมัตถสัจจ์ถูกขจัดสิ้นไป.
ประสบการณ์รับรู้ที่เป็นอัตตวิสัยหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับสิ่งที่ถูกรู้
คล้ายกับการเทน้ำลงไปผสมกับน้ำ ฉันนั้น ผู้ปฏิบัติจะเข้าถึงความว่างด้วยการมีประสบการณ์ตรงโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางใดๆ.
“...เมื่อผู้ปฏิบัติธรรมมีประสบการณ์ตรงในความว่างที่ละเอียดประณีตขึ้นเรื่อยๆ
กิเลสจะขจัดออกไปอย่งเป็นระบบในระหว่างการปฏิบัติขั้นภาวนามรรคที่ผู้ปฏิบัติมีความแนบแน่นกับความว่างในระดับนี้
ผู้ปฏิบัติจะดำเนินไปตามลำดับที่เรียกว่า “ภูมิที่ไม่บริสุทธิ์ทั้ง ๗”
การที่ได้ชื่อว่า “ไม่บริสุทธิ์” ก็เพราะในภูมิทั้ง ๗ ดังกล่าว กิเลสจะยังไม่ถูกขจัดให้สิ้นไปอย่างหมดจดจนกว่าจะถึงภูมิที่
๘ ในภูมิที่ ๘ จนถึงภูมิที่ ๑๐ แม้แต่รอยประทับที่เกิดจากกิเลสในอดีต
ตลอดจนแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดกิเลสในอนาคตจะถูกขจัดออกไป
และจิตสามารถมองเห็นปรมัตถสัจจ์และสมมติสัจจ์ได้พร้อมกันในคราวเดียว เมื่อนั้น
จิตสัพพัญญูแห่งพุทธะจะปรากฏขึ้น...” - จากหนังสือ “ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร”
อรรถกถา โดย องค์ทะไลลามะ, นัยนา นาควัชระ แปล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น