โควิด-19 – วิธีง่ายๆที่จะรู้ว่า คุณ ไม่มีมัน!
COVID-19 - An
Easy Way to Know You DON'T HAVE IT!
-
ดร. คริสตี้ ไรซิงเจอร์ เป็นอายุรแพทย์(internist)อาศัยอยู่ใน ออสติน, เท็กซัส, กับสามีและลูกสี่คน. เธอได้ทำงานที่ Seton
Community Clinics ตั้งแต่ปี 2006.
เธอเข้าเรียนที่ Georgetown University School of Medicine และจบสาขา
Internal Medicine Residency ของเธอที่ Providence
Portland Medical Center ใน ปอร์ตแลนด์, โอเรกอน.
ดร.คริสตี้: ไฮ, ยินดีต้อนรับสู่ สุขภาพของคุณกับ ดร.คริสตี้,
ดิฉันชื่อ ดร. คริสตี้ ไรซิงเจอร์ และวันนี้ในรายการกับสุขภาพของคุณ
เราจะคุยกันเกี่ยวกับ โควิด-19.
มีความคิดที่ผิดๆอยู่มากมาย(a lot of
misconceptions)ที่ข้างนอกนั่นและดิฉันที่นี่เพื่อจะทำความกระจ่างชัด(here
to clear)บางอย่างเหล่านั้นที่มีกันอยู่.
คำถามแรกที่ดิฉันมีโดยส่วนของตัวเอง(personally)ก็คือ, พวกเขาได้ชื่อ โควิด-19 (COVID-19)มาได้อย่างไร? เอาละ, มันมาจากคำว่า COrona Virus Disease
ที่ได้เริ่มระบาดที่ อู๋ฮั่น(Wuhan)ประเทศจีน
ในปี 2019.
ดังนั้น, จึงได้มาเป็นชื่อ โควิด-19(COVID-19).
ดังที่พวกเราทั้งหมดทราบกันดีในตอนนี้ว่าโรคนี้(the disease)เริ่มต้นที่ใน อู๋ฮั่น(Wuhan) ประเทศจีน,
ในตลาดอาหารทะเล(seafood market)ที่ขายสัตว์มีชีวิตทั้งหลาย(live
animals), และด้วยอะไรบางอย่าง(somehow)มันได้กระโดดจาก(jump
from)สัตว์มีชีวิตมาสู่บุคคล(person)ซึ่งค่อนข้างธรรมดาที่เราจะเห็นได้ว่า
ก็เป็นเช่นนี้กับไวรัสตัวอื่นทั้งหลายเช่นกัน(with other viruses as well).
และเมื่อมีหนึ่งหรือสองคนได้ติดเชื้อ(got infected)แล้วมันก็จะเป็นการส่งผ่านแบบ “บุคคล-ต่อ-บุคคล(person-to-person
transmission)”.
ดิฉันต้องการที่จะแค่เตือนทุกคนว่า
วิถีทางหลัก(the
main mode)ของการส่งผ่าน(of transmission)คือ ละอองของการหายใจทั้งหลาย(respiratory
droplets)นั่นหมายความว่า, เมื่อบุคคลหนึ่งไอ(coughs)เมื่อบุคคลหนึ่งจาม(sneezes)หรือแม้กระทั่งเมื่อพวกเขาพูดคุย(talk), พวกเขาก็ปล่อยกระจาย ละอองของการหายใจทั้งหลาย(respiratory
droplets)ออกมาด้วย.
และละอองทั้งหลายเหล่านี้(these droplets)ตกลงไปบนพื้นผิวทั้งหลาย(landing on surface)หรือว่าพวกมันก็ตรงเข้าไปในดวงตาของคุณ(directly
enter your eyes), จมูกของคุณ(your nose),
ปากของคุณ(your mouth)เมื่อคุณกำลังพูดคุยกับบุคคลอื่นผู้นั้น.
เมื่อละอองจากการหายใจเหล่านี้(these
respiratory droplets)ตกลงบนพื้นผิว(land on surface)แล้วคุณแตะสัมผัสสิ่งบริการเหล่านั้น(touch those services)และไม่เป็นที่รู้จักต่อคุณ, แล้วคุณก็ไปแตะสัมผัส(touch)ดวงตาของคุณ, จมูกของคุณ, ปากของคุณ,
และนั่นก็คือที่ไวรัสนี้ได้แพร่กระจาย(spread)สู่คุณได้อย่างไร.
ผู้คนมากมายพูดว่า,
ฉันไม่เคยแตะสัมผัสใบหน้าของฉัน, นั่นไม่เป็นความจริง(that’s not
true).
คุณแตะสัมผัสใบหน้าของคุณมากมายหลายครั้งมากเหลือเกินในระหว่างชั่วโมงนั้น,
และคุณก็แค่ไม่ได้กระทั่งตระหนักรู้ถึงมัน(don’t even realize it).
ดังนั้นมันจึงง่ายเหลือเกินในการถูกติดเชื้อโรค(easily
contracted)และอย่างง่ายที่จะส่งผ่านแพร่เชื้อโรคได้(easily
transmissible)จากบุคคลหนึ่งสู่คนถัดไป.
ประมาณเวลาของการฟักตัว(the estimated
incubation time)หลังจากการเปิดสัมผัส(after exposure)เป็นราวสี่ถึงห้าวัน. แต่มันสามารถนานจนตลอดไปได้(can last) หรือสามารถเกิดขึ้น(occur)สองถึงเจ็ดวันได้.
ดังนั้น,
เมื่อคุณได้เปิดสัมผัส(exposure), สองวันหลังจากที่ได้เปิดสัมผัสมาถึงเจ็ดวันหลังจากที่ได้เปิดสัมผัสมา(seven
days after the exposure),
แต่ปกติก็มักจะเป็นสี่ถึงห้าวันหลังจากที่เปิดสัมผัสมา, คุณก็จะเริ่มต้นที่จะมีอาการ(start
to have symptoms), ถ้าคุณได้รับเชื้อมัน(contracted it).
ผู้คนส่วนมากจะมีอาการทั้งหลายนิดหน่อย(mild symptoms). ส่วนมาก คือหมายถึง 80%
ของผู้คนที่ได้เปิดสัมผัส(exposed)หรือได้รับเชื้อไวรัส(contracted
the virus), มีอาการเพียงน้อยมาก, มาก(very, very mild
symptoms). 99% ของผู้คนที่มีการป่วยไข้นี้(that
have this illness)มีไข้(get fever).
มันสามารถเป็นไข้เล็กน้อย(be a mild
fever) 99 องศา(degree - ฟาเรนไฮต์)หรือสูงกว่านี้, แต่ 99% ของผู้คนกับโควิด-19 มีไข้(have a fever). 70%
มีความเหนื่อยอ่อนล้า(have fatigue). 59%มีอาการไอ(have cough). 35%
มีอาการปวดเมื่อยตัว(have body aches).
15% ของผู้คนที่ได้รับเชื้อโควิด-19 เริ่มต้นที่จะมีอาการหนักทั้งหลาย(have severe symptoms) เช่น การพร่องออกซิเจนในเลือด(hypoxia1)ที่หมายความว่า
มีค่าการอิ่มตัวของออกซิเจนต่ำ(a low oxygen saturation).
1https://amprohealth.com/nutrition/oxygen/
คุณรู้จักเครื่องวัดออกซิเจนเล็กๆ(a little pulse
oximeters)ที่พวกเขาเอามาติดไว้ที่ปลายนิ้วทั้งหลายของคุณเมื่อคุณอยู่ที่สำนักงานของหมอ,
นั่นแหละคือ pulse ox.
ดังนั้น, ถ้าตัวเลขนั่นต่ำกว่า 99%, นั่นก็ไม่ปกติ(not normal)และนั่นคือ hypoxia เป็นการที่ตัวเลขออกซิเจนต่ำ(low pulse ox number).
อีกทั้งคุณอาจจะเป็นบุคคลทั้งหลายที่มีโรคร้ายแรง(the persons
with severe disease)ด้วยเช่นกัน.
อีกทั้งยังเริ่มต้นที่จะมียิ่งนักไปกว่า 50% เกี่ยวกับปอด(have
greater than 50% lung involvement)ด้วยเช่นกัน. ที่หมายถึงว่าพวกมันจะเริ่มต้นมีการแทรกซึม(start
to have infiltrates)และมีทุกรูปแบบ(there all types) ทุกประเภท(all kinds)ของการแทรกซึมแตกต่างกัน(of
different infiltrates).
แต่ถ้ามากยิ่งไปกว่า
50% ของปอดถูกเกี่ยวข้องด้วย(greater than 50% of the lung is involved), นั่นก็เป็นที่น่ากังวลจริงๆ(really concerning)และนั่นความว่าพวกเขาได้เป็นโรคร้ายแรง(have
severe disease).
และก็มีที่อย่างวิกฤต
5% เหล่านี้ที่เป็นผู้ป่วย(critical 5% these are patients)ที่ก้าวหน้าขึ้นไปถึงการล้มเหลวของระบบการหายใจ(progress on
respiratory failure)ที่ต้องการ(requiring)การใส่ท่อช่วยหายใจ(intubation).
การใส่ท่อช่วยหายใจ(intubation)คือเมื่อคุณได้เชื่อมต่อกับ(you’re connected to)การระบายอากาศหมุนเวียนด้วยเครื่องจักรกล(mechanical ventilation), ท่อหลอดหนึ่งจะติดไว้ที่ลำคอของคุณ(a tube is placed on your
throat), คุณถูกทำให้บรรเทาสงบลง(you’re sedated)และคุณก็ถูกเชื่อต่อเข้ากับเครื่องช่วยชีวิต(connected to a
life-support machine).
มันเป็นเรื่องใหญ่โตจริงๆ(really a big
deal).
อาการอื่นทั้งหลายอีกที่สามารถบังเกิดขึ้นได้(other symptoms
that can happen)เมื่อคุณมีโรคร้ายแรงวิกฤต(critical disease)ก็คือ, อวัยวะทั้งหลายของคุณ(your organs)อาจจะเริ่มต้นที่จะล้มเหลว(may
start to fail). คุณอาจจะเข้าไปสู่บางอย่างที่เรียกว่า ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ(sepsis2)ที่ความดันเลือดของคุณ(your blood
pressure)ลดลงต่ำมากจริงๆ(gets really low).
และเราได้เห็นมาบางรายที่น่าสนใจของการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ(seeing some
interesting cardiovascular death)เกี่ยวโยงเป็นไปได้ของไวรัสกับโรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ(cardiomyopathy3)
ซึ่งก็คือเมื่อหัวใจได้โตมากขึ้น(gets really enlarged)เพราะไวรัส(because
of virus)และดิฉันยังไม่รู้เรื่องนั้นมากนักในตอนนี้.
ฉันคิดว่าเรายังคงกำลังเรียนรู้อีกมากกับเรื่องนี้.
3
https://www.pobpad.com/cardiomyopathy
กรณีทั้งหลายซึ่งรุนแรงมากที่สุด(the most
severe cases)เกิดขึ้นในผู้ป่วย(incur in patients)ที่มีอายุมาก(that are old), หมายถึงว่า
พวกเขามีอายุมากกว่า 65
ปีและโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพวกเขาแก่กว่า 80 ปี.
เมื่อคุณได้ยินเกี่ยวกับการเสียชีวิตเหล่านั้นบนโทรทัศน์,
จดสังเกตเอาไว้ถึงอายุส่วนมากของพวกเขาจะค่อนข้างสูงวัยกว่าคุณและดิฉัน.
คุณรู้นะว่าในตอนบั้นปลายของพวกเขา,
ผู้ป่วยทั้งหลายเหล่านี้(these
patients)ที่มี โรควินิจฉัยร่วมทั้งหลาย(comordibities4),
หมายถึงว่า มีความป่วยไข้อื่น(other illness)อยู่แล้ว เช่น
4 https://dict.drkrok.com/comorbidity/
โรคหลอดเลือดหัวใจ(cardiovascular
disease). ดังนั้นถ้าคุณได้เคยมีอาการหัวใจวาย(a heart
attack) หรือเส้นเลือดอุดตันในสมอง(stroke),
ถ้าคุณมีโรคเบาหวาน(diabetes)โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มันไม่สามารถควบคุมได้(it’s
uncontrolled), ถ้ามคุณมีโรคชนิดก็ตามเกี่ยวกับปอด(have any
sort of lung disease) เช่น COPD หรือ ถุงลมโป่งพอง(emphysema)หรือถ้าคุณสูบบุหรี่, หรือถ้าคุณมีความดันเลือดสูง(have high
blood pressure), หรือถ้าคุณอยู่ในระหว่างการบำบัดมะเร็ง(treated
for cancer)หรือได้มีมะเร็งแล้วและกำลังใช้ยากดภูมิคุ้มกัน(immunosuppressants5) เช่น
5 https://dict.drkrok.com/immunosuppressive-drug-immunosuppressant-drugs/
Prednisone หรืออะไรอื่นที่ใช้บำบัดรักษาทางการแพทย์เหมือนกัน.
เหล่านี้คนไข้ที่มีความโน้มเอียงยิ่งขึ้นที่จะเป็นโรครุนแรง(tend to have
more severe disease).
สำหรับผู้ที่มีโรครุนแรง(have severe
disease), นี่คือ timeline
ของอะไรที่เราได้พบเห็นมา.
-
หายใจถี่สั้นกว่าปกติ(shortness of
breath)ตามปกติ, (usually)จะเกิดขึ้นในราวห้าถึงหกหกวัน
-
เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล(admission to
the hospital)ตามปกติ(usually),
จะเกิดขึ้นในราว 7 ถึง 8 วัน
-
เข้ารักษาในห้องICU และใช้เครื่องช่วยหายใจ(intubation),
ตามปกติก็จะเกิดขึ้นในราว 10 วัน.
-
แต่การพัฒนาขึ้นไปถึง
การล้มเหลวของระบบหายใจ(progression
to respiratory failure)สามารถเป็นที่ฉับไวและเร็วมากจริงๆ(really
rapid and quick), ซึ่งกำลังเป็นที่น่ากังวล(which is
concerning).
สัญญาณเตือนเบื้องต้น(an early
warning sign)สำหรับความรุนแรงและวิกฤตของโรค(for severe and
critical disease)คือบางอย่างที่เรียกว่า hypoxia(การพร่องของออกซิเจนในเลือด)ที่ดิฉันได้อธิบายไว้แล้วว่าเป็น การลดลงต่ำจนอิ่มตัวของออกซิเจน(a
low o saturation).
แต่คุณอาจจะไม่มีอาการทั้งหลายมากมายนัก(not have much
many symptoms).
แต่นั่นก็คือบางอย่างที่แพทย์ของคุณจะต้องระแวดระวังถึง(aware about)และสังเกตจดไว้. และคุณควรจะเป็นอยู่ในการติดต่อรายวัน(should be
in daily communication)กับแพทย์นั้น. ถ้าคุณพบว่ามีอาการ hypoxia แต่ไม่อาการใดอื่นอีก, hypoxia อีกครั้งก็ต่ำลง,
ถึงการต่ำลงของออกซิเจนจนอิ่มตัว(to low oxygen saturation).
สิ่งน่าสนใจมากที่สุดของไวรัสนี้ก็คือ,
การขับเชื้อไวรัส(the
viral shedding)สามารถบังเกิดขึ้นได้ก่อนอาการทั้งหลายของโรค(can
occur before symptoms), กระทั่งพัฒนาการ,
พวกมันเริ่มต้นที่จะลดน้อยลง(begin to decrease)ห้าวันหลังจากการเปิดสัมผัส(five
days after exposure)แต่พวกมันสามารถยืดยาวออกไปได้ถึงสิบวัน(can
last to 10 days).
ดังนั้นผู้คนที่ไม่ได้มีอาการเล็กน้อยมากๆ(very mild
symptoms)ก็จะคล่องแคล่วขันแข็งในการขับเชื้อ(actively
shedding)โรคนี้และมอบให้(giving)มันให้กับผู้คนอื่น.
ที่เป็นข้อมูลชิ้นหนึ่งอันยิ่งใหญ่มากจริงๆ(a really great
bit of information)เกี่ยวกับเรื่องนี้, เกี่ยวกับโควิด-19นี้, คือว่าเด็กๆได้รับการยกเว้นไว้อย่างยิ่งใหญ่(greatly spared)จากผลกระทบทั้งหลายอันวิบัติหายนะเหล่านี้(these devastating
effects), จากโควิด-19.
เราแค่ไม่พบเห็นการเสียชีวิตมากมายยิ่ง(not seeing
very many deaths)ในเด็กเล็ก(in children)และดิฉันก็ขอขอบคุณอย่างเต็มเปี่ยมสำหรับการนั้น.
อันนี้เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของดิฉัน(just my
personal opinions)เกี่ยวกับบางสิ่งที่ควรและไม่ควรถูกทำ(should
or shouldn’t be done)สำหรับผู้ป่วยทั้งหลายที่ รัฐอาร์คันซอว์(Arkansas), เกี่ยวกับโควิด-19.
อย่างแรกจริงๆ, คุณไม่มีความจำเป็นในการเจาะตรวจเลือด(blood work)ใด, นอกเสียจากว่าคุณได้เข้าโรงพยาบาล(hospitalized),
เราแค่ไม่ทำ. ห้องแล็บไม่ได้กำลังจะช่วยอะไรในการวินิจฉัยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง(aren’t
going to help determine one way or the other). พวกเขาไม่ได้ช่วยได้เต็มที่แบบนั้น.
การนับเซลล์โลหิตขาว(the white blood cell count)ซึ่งมักจะวินิจฉัย(often
determines)ว่าบางคนได้ติดเชื้อหรือไม่(whether someone has
an infect or not)สามารถเป็นได้ทั้งสูงหรือต่ำ(can be high
or can be low).
ดังนั้นในตอนสิ้นสุดของวัน(so at the end
of the day),
ฉันก็แค่ไม่คิดว่าคุณควรจะขอให้แพทย์ของคุณที่จะให้คุณได้ถูกดูดเลือด(to
have blood drawn).
อีกสิ่งหนึ่งก็คือ,
ไม่ต้องสวมใส่หน้ากาก(don’t
wear a mask)ถ้าคุณไม่ได้มีอาการไอ(have a cough)หรือถ้าคุณไม่ได้มีอาการทั้งหลาย(have symptoms)คุณจะแตะสัมผัสใบหน้าของคุณได้มากยิ่งขึ้น.
แล้ว, ผู้ที่จำเป็นจริงๆที่ต้องอยู่กับมวลชนและจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้,
คุณควรจะสวมหน้ากาก(wear a mask)ถ้าคุณมีการไอ
หรือถ้าคุณกำลังใส่ใจต่อบางคน(you’re caring for someone)ที่คุณได้เกี่ยวข้องกังวล(concerned)ว่าพวกเขามีเชื้อโควิด-19,
หรือถ้าบุคคลผู้นั้นได้มีการไอ(that person has a cough).
กระดูกชิ้นโตของฉันถัดไปของการโต้แย้ง(my big next
big bone of contention)คือ, ใครควรเป็นผู้ได้รับการตรวจหาเชื้อ(should
be tested).
อันที่จริงแล้ว,
ดิฉันคิดว่าเพียงแค่ผู้ป่วยทั้งหลาย(only patients)ที่
สูงอายุกว่า(older)ที่มีไข้สูง 99
องศาหรือสูงกว่า(with a fever of 99 degrees or higher), พวกเขาควรได้รับการตรวจหาเชื้อ(should
be tested)ทั้ง โรคไข้หวัดใหญ่(influenza)และ โควิด-19(COVID-19).
ถ้าคุณวัยหนุ่มสาวและหรือไม่ก็มีสุขภาพแข็งแรง(young and otherwise
healthy), อย่าไปตรวจหาเชื้อกันในตอนนี้(don’t go get tested
right now).
มันค่อนข้างยุ่งยากลำบากซับซ้อนจริงๆ(really
complicated)และคุณก็กำลังทำความล่าช้าลงไปให้กับระบบ(you’re
slowly down the system). และคุณกำลังสร้างภาระให้กับระบบ(burdening
a system)ที่ไม่จำเป็นต้องมีภาระเพิ่มขึ้นในตอนนี้.
อย่างไรก็ตาม,
ถ้าคุณสูงอายุ(older), หรือถ้าคุณมีโรคอื่น(other disease)เหมือนเช่นทั้งหลายที่ดิฉันเอ่ยถึงไปแล้ว,
และคุณก็มีไข้สูง 99 องศาหรือสูงกว่า(have a fever of
99 degrees or higher), คุณก็ควรไปรับการตรวจหาเชื้อ(should
go get tested).
เอาละ,
แล้วคุณจะไปที่ไหนล่ะ? นั่นเรากำลังยังคงทำงานกันในรายละเอียดมากมายทั้งหลายนั้นเสร็จออกมา(still working
a lot of details out), แต่คุณโทรศัพท์ไปหาแพทย์ของคุณ(call
your doctor)หรือ อายุรแพทย์ปฐมภูมิของคุณ(your primary care
physician) หรือ ผู้ให้บริการตรวจ(provider).
พวกเขามีข้อมูล(information)เกี่ยวกับที่ไหนที่จะส่งตัวคุณไป(where
to send you).
มีคลินิกหลายแห่งแบบขับรถผ่านเข้าไปเลยได้(drive-through
clinic)กำลังจัดตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ทั้งหลาย(being setup in
cities)ทั่วทั้งสหรัฐ อเมริกา. และบางการตรวจเชื้อได้กระทำผ่าน สำนักงานอนามัยของเมือง(the
City Health Department).
การบำบัดรักษานั้นที่จริงแล้วไม่ใช่ด้วยการใช้ยาต้านไวรัสทั้งหลาย(rally not with
antivirals), พวกเขาไม่ได้มีการทำเช่นนั้น. เรายังไม่ได้ค้นพบยาต้านไวรัสนี้(have
not found an antiviral)ที่มีประสิทธิผลต่อโคหวิด-19(that’s been effective against COVID-19).
ดังนั้น,
จึงไม่มีการสั่งยาทั้งหลาย(prescriptions), การรักษาด้วยยา(medication)ที่ได้แสดงมาว่าเป็นสิ่งทั้งหลายที่ได้ผล(been shown to be
effective things)อย่างเช่น การรักษาด้วยยาทั้งหลายที่ลดไข้ลง(medications
that lower fever)อย่าง ไทลีนอล(Tylenol),
ได้แสดงว่าเป็นที่ช่วยได้ดี(to be helpful).
การรักษาด้วยยาที่ช่วยหยุดยั้งหรือการไอ(help suppress
or cough), สามารถเป็นที่ยอดเยี่ยมแค่การที่จะทำให้สบายขึ้น(provide
comfort).
สิ่งสำคัญมากที่สุดก็คือว่า,
ถ้าคุณมีไข้และมีการไอ(have
a fever and a cough)เช่นนั้นคุณก็ควรจะแยกกันตัวคุณเอง(should
isolate yourself), ที่จะกีดกันการส่งผ่าน/การแพร่เชื้อ(prevent
transmission)ต่อผู้อื่นบางคน(to someone else).
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง,
ประชากรผู้สูงวัย(the
older populations)ในสหรัฐอเมริกา, คุณควรอยู่ในการติดต่อกับแพทย์ของคุณ(stay
in contact with your doctor)ผ่านทางโทรศัพท์,
และพยายามที่จะตัดสินใจว่า(try to decide)ถ้าคุณเป็นใครบางคน(you’re
someone)ที่อาจจะจำเป็นต้องไปยังห้องฉุกเฉิน(may need to go
to the emergency room).
ถ้าคุณตัดสินใจว่าคุณจำเป็นที่จะต้องไปยังห้องฉุกเฉิน(emergency room)เพราะว่าคุณมีประสบการณ์รับรู้(experiencing)ในการหายใจหอบสั้น(shortness
of breath)หรือที่ dyspnea(การหายใจลำบาก),
ที่ดิฉันได้พูดถึงไปแล้ว. มันสำคัญมากอย่างยิ่งที่คุณจะต้องโทรศัพท์ไปหาพวกเขาก่อนที่คุณจะไป(so
important to call them before you go),
และโทรศัพท์หาแพทย์ของคุณด้วยเช่นกัน, เพื่อให้พวกเขาได้รู้ตัว.
นานเท่าไหร่ที่คุณควรแยกกันตัวเอง(isolate
yourself)หลังจากที่คุณมีอาการเหล่านี้(these symptoms).
โปรดจำไว้,
ดิฉันไม่ได้กำลังให้คำแนะนำว่า ทุกคนได้รับการตรวจหาเชื้อโคหวิด-19(get checked
for COVID-19).
ดังนั้นคุณอาจไม่แน่ใจได้ว่าคุณได้มีมันหรือไม่,
แต่ถ้าคุณมีไข้และการไอและอ่อนล้ากล้ามเนื้อ(fatigue), เช่นนี้แล้ว,
เราก็สามารถอาจจะยอมรับได้ว่า(probably assume that)คุณติดเชื้อโควิด-19 หรือ โรคไข้ปอดอักเสบ(influenza). และดิฉันก็จะบอกว่า, คุณควรแยกกันตัวเอง(isolate yourself) 100% ไปนานจนกว่าที่คุณไม่ได้มีไข้ถึง 72 ชั่วโมงโดยไม่ได้รักษาด้วยยาทั้งหลายใด(72 hours on no medications).
ดังนั้น,
คุณไม่สามารถใช้การรักษาด้วยยาทั้งหลาย(can’t be taking medications)เพื่อที่จะลดไข้ลง(to lower fever)แล้วออกไปข้างนอกเลย.
นั่นไม่เหมือนกันกับการปลอดไข้(not the same as being fever free)โดยปราศจากการใช้ยารักษาเป็นเวลา 72 ชั่วโมง(3 วัน -ผู้แปล).
ที่ควรสนใจคือ,
ที่ในอังกฤษ(United
Kingdom), พวกเขากำลังแนะนำว่า(they’re recommending that)ผู้คนอยู่ในภาวะกักกันตนเองอย่างเต็มที่สุด 7 วัน(completely isolated 7 days)หลังจากที่พวกเขาเริ่มต้นมีอาการทั้งหลายของพวกเขา(after
the start of their symptoms)และนั่นสำหรับกรณีที่เบาบางทั้งหลายด้วย(for
milder cases), แน่นอนละ.
เช่นเคยเสมอมา(as always), ฉันติดว่าหนึ่งในบรรดาเว็บไซท์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด(one of
the most reputable websites)สำหรับการปรับข้อมูลให้ทันเหตุการณ์(for
up-to-date information)คือ CDC.gov, มีการให้ข้อมูลผิดๆอยู่มากมาย(a
lot of misinformation)อยู่ที่นั่น.
และดิฉันต้องการที่จะช่วยยืนยันอีกครั้งให้แน่ใจ(help reassure)มากกว่าจะดำเนินต่อให้เกิดขความไม่มีเหตุผลและเพิ่มความหวาดกลัว(to
cause irrationality and increased fear).
ดังนั้น,
ในตอนจบของวันนี้, หนึ่งสิ่งที่ดิฉันต้องการให้ทุกคนได้กลับบ้าน(to take home), ที่ถ้าคุณมีไข้, มีไข้อย่างเบาบาง(a mild fever)และการไอ(a
cough)และอ่อนล้าปวดเมื่อยเนื้อตัว(fatigue),
คุณอาจได้รับเชื้อโคหวิด-19.
แต่ก่อนที่คุณจะรีบเผ่นพรวดออกไปเพื่อตรวจสอบหาเชื้อ(go get tested), คิดจริงๆถึงว่า(really think about)คุณกำลังอยู่ในขั้นเสี่ยงสูงหรือไม่(are
in a high-risk category or not).
ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในขั้นเสี่ยงสูง(in high-risk
category), ดิฉันควรจะพูดว่า หยุดการไปตรวจหาเชื้อนี้ก่อนในตอนนี้(hold
off going to get tested for now).
นั่นอาจเปลี่ยนแปลงได้ในตอนที่ความสามารถในการทดสอบตรวจหาเชื้อมีเพิ่มขึ้น(as
testing availability increases).
แต่สำหรับในตอนนี้,
ปล่อยการทดสอบให้มีต่อผู้สูงอายุทั้งหลาย(the older adults).
และผู้คนที่มีการภูมิคุ้มกัน(immunosuppression)และ โรคประจำตัว(comorbid
conditions)เช่น โรคเบาหวาน(diabetes),
โรคความดันสูง(high blood pressure)แล้วก็อะไรอื่นอีกที่ดิฉันได้เอ่ยถึงไปแล้ว,
อยู่ออกไปให้ปลอดภัยที่บ้านโน่น, จำไว้ว่าให้ล้างมือของคุณ(remember to
wash your hands)นานสัก 20 วินาที.
นั่นจำเป็นมากจริงๆและหนึ่งในหนทางหลักทั้งหลาย(one of the
main ways)ที่เราสามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค(can
prevent transmission)จากบุคคลหนึ่งไปสู่รายถัดไป,
และเมื่อคุณล้างมือของคุณ(wash your hands)ก็ให้แน่ใจว่าได้ถูมือของคุณเข้าด้วยกัน(to
rub your hands together), เพราะว่าการเสียดสีกันของมัน(the
friction)นั่นจะทำให้ไวรัสออกไปจากมือของคุณ.
ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในระยะเข้าถึงสบู่และน้ำ(don’t have
access to soap and water), สารแอลกอฮอลพื้นฐานต่อต้านการติดเชื้อ(an
alcohol-based anti infected)เช่นนั้นที่มีแอลกอฮอล 60% หรือมากกว่า, ก็ใช้ได้ดีเยี่ยมเช่นกัน,
แต่คุณต้องทำให้มือของคุณนั้นแห้งก่อนที่จะใช้ถูพวกมัน(rubbing them), แล้วก็อย่าได้เช็ดมือของคุณกับอะไรอื่นอีก, ที่จะทำให้แอลกอฮอลหลุดไป.
ถ้าคุณไม่สามารถหาแอลกอฮอลฆ่าเชื้อที่ว่านี้ได้,
ก็มีวิธีอื่นอีกมากมายบนออนไลน์เกี่ยวกับทำของคุณไว้ใช้เองได้.
ขอบคุณที่มาร่วมกับดิฉันค่ะ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น